บทนำ
หญิงสาวผู้นอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียงถึงสองวันเริ่มรู้สึกตัวทีละน้อย กลิ่นอบอวลของยาและวัสดุทางการแพทย์ต่างๆ ทำให้พอจะรับรู้ได้ว่าตนกำลังอยู่ในโรงพยาบาล อรกานต์หายใจเข้าช้าๆ พลางค่อยๆ ขยับกายให้นอนอยู่ในท่าที่สบายขึ้น ก่อนจะเปิดเปลือกตาและพยายามปรับสายตาให้เข้ากับแสงสว่างของห้อง
มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้กับเตียงหล่อน และกำลังมองมาทางหล่อนอย่างสนอกสนใจ
“ตื่นแล้วหรือคะคุณ หนูกดกริ่งเรียกพยาบาลให้นะคะ”
อรกานต์ไม่ตอบ หล่อนมองไปรอบๆ ห้อง แน่ใจมากขึ้นว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาล และเมื่อมองย้อนกลับมายังผู้หญิงผมยุ่งประบ่า ใบหน้าแบนๆ กรามสี่เหลี่ยม ผิวค่อนข้างขาวที่ขณะนี้มาหยุดยืนอยู่ที่ข้างเตียงแล้วก็ไม่รู้จะพูดจะตอบอย่างไร หล่อนแน่ใจว่าหล่อนไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อน
เมื่อพยายามนึกไปถึงภาพความทรงจำครั้งหลังสุด อรกานต์จำได้ว่าตนเองนั้นกำลังเดินออกจากมหาวิทยาลัยด้วยความรีบร้อน ในมือถือขาตั้ง แผ่นกระดาน กระดาษ สี และอุปกรณ์วาดภาพทั้งหมดพะรุงพะรัง หล่อนมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจแล้วว่าปลอดภัย จึงรีบเดินข้ามถนน แต่แล้วรถคันหนึ่งก็เลี้ยวโค้งผ่านหัวมุมถนน ตรงดิ่งมาทางหล่อนด้วยความเร็วสูง
แล้วก็รู้สึกเหมือนกับวูบไป หล่อนนึกออกอยู่แค่นั้น
บางทีผู้หญิงคนนี้อาจเป็นคนที่ขับรถคันนั้นก็ได้
“เกิดอะไรขึ้นคะ” อรกานต์ถามเสียงแผ่ว
คนข้างเตียงมองหล่อนแปลกๆ ท่าทางอึกอัก “คุณเกิดอุบัติเหตุน่ะค่ะ”
“แล้ว…คุณพาฉันมาส่งโรงพยาบาลหรือคะ”
ทีนี้ผู้หญิงคนนั้นมองหล่อนด้วยสีหน้าตกตะลึงราวกับเห็นผี “ปะ…เปล่าค่ะ คะ…คือ…มีคนพาคุณส่งโรงพยาบาลแล้วโทรแจ้งทางบ้าน คุณผู้หญิงมาดูแลจัดการจนคุณอยู่ห้องพิเศษแล้ว ท่านก็ให้หนูเฝ้าคุณต่อค่ะ ท่านต้องรีบไปธุระ”
คราวนี้ถึงทีที่อรกานต์จ้องมองคนพูดราวกับว่าอีกฝ่ายมาจากดาวอังคาร “คุณผู้หญิง? คุณผู้หญิงไหน”
“กะ…ก็…คุณ…คุณแม่ของคุณไงคะ”
“แม่ฉัน?” คนป่วยย้อนเสียงสูง
แม่ของหล่อนกลายเป็น ‘คุณผู้หญิง’ ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อรกานต์นึกถึงใบหน้าซึ่งเจือรอยยิ้มอยู่เสมอของมารดา ใครต่อใครมักจะเรียกแม่ของหล่อนว่า ‘อาจารย์’ ต่างหาก แม่ของหล่อนเป็นอาจารย์สอนวรรณคดีอยู่ที่มหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง มีลูกศิษย์ที่รักและเคารพมากมาย แต่…คงไม่มีใครเคารพถึงขนาดเรียกท่านว่า ‘คุณผู้หญิง’ หรอก
หล่อนพยายามยันกายลุกขึ้นนั่ง ‘ผู้หญิงคนนั้น’ รีบเข้ามาช่วยประคองโดยไม่ต้องร้องขอ เมื่อได้ท่านั่งที่สบายถูกใจแล้ว หล่อนก็ยกมือขึ้นเสยผมตามความเคยชิน
อรกานต์ชะงัก นัยน์ตาเบิกกว้างทันทีที่รับรู้ได้ว่ามีสิ่งผิดปกติ ผมของหล่อน…ผมของหล่อนไม่ใช่ผมซอยสั้นซึ่งมีปอยผมลงมาระโหนกแก้มอยู่เสมอ หากแต่เป็นผมเส้นเล็ก…เล็กและนุ่มละเอียดกว่าผมของหล่อนเอง กลุ่มไหมนุ่มสลวยนี้ยาวตรง ดกหนา และคาดว่าน่าจะยาวถึงกลางหลัง หล่อนจับเส้นผมกลุ่มหนึ่งขึ้นมาพิจารณาและพบว่ามันเป็นสีน้ำตาลไหม้ เงาวับล้อแสงไฟ สวยมากทีเดียว
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ยังไม่ทันที่จะถามหรือทักท้วงใดๆ นางพยาบาลสองคนก็เข้ามาพร้อมกับเครื่องวัดความดัน คนหนึ่งยกข้อมือของหล่อนขึ้นตรวจชีพจรทันที ส่วนอีกคนส่งยิ้มให้ก่อนจะเริ่มซักถามอาการต่างๆ ของตัวหล่อน
“ตอนนี้แพทย์เวรกำลังตรวจคนไข้ตามตึกอยู่ค่ะ แต่อีกสองชั่วโมงคุณหมอปราโมทย์ก็จะมาแล้ว คุณไทร่าไม่เป็นอะไรมาก พี่ว่ารอคุณหมอปราโมทย์ทีเดียวเลยดีไหมคะ”
พยาบาลคนหนึ่งถามเมื่อซักถามอาการทั่วไปของหล่อนเสร็จเรียบร้อย อรกานต์อึ้งไปครู่ใหญ่ ค่อยๆ เรียบเรียงประโยคคำถามเมื่อครู่ในสมองเสียใหม่…คุณไทร่า…มีคนเรียกหล่อนว่า ‘คุณไทร่า’ นี่มันอะไรกันวะเนี่ย
แต่ก่อนที่จะได้ทักท้วงอะไร หล่อนก็นึกขึ้นมาได้ถึงพวงผมซึ่งยาวสยายอยู่กลางหลัง
อรกานต์นิ่งเงียบ คิ้วขมวดมุ่น ใช้ความคิดอย่างหนัก
“ตกลงรอคุณหมอปราโมทย์ไหมคะ หรือจะให้คุณหมอประวิทย์เข้ามาตรวจก่อน”
“รอค่ะ” อรกานต์ตอบเรียบๆ
“แล้วคุณไทร่าจะให้พี่โทรแจ้งคุณหญิงเลยมั้ยคะว่าคุณตื่นแล้ว หรือจะให้แดงโทร”
“เดี๋ยวให้แดงโทรค่ะ” หล่อนตอบเรียบๆ อีกครั้ง รับรู้โดยอัตโนมัติว่าผู้หญิงหน้าเหลี่ยมคนนั้นชื่อแดง และคงจะเป็นเด็กรับใช้ในบ้านของคุณหญิงกับคุณไทร่า
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหล่อนล่ะ นั่นสิ…ลูกสาวของอาจารย์มหาวิทยาลัยระดับแนวหน้ากับวิศวกรใหญ่ประจำบริษัทก่อสร้างที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ อย่างไรเสียก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับ ‘คุณหญิง’ หรือ ‘คุณไทร่า’
พยาบาลออกจากห้องไปแล้ว หากคนชื่อแดงยังคงนั่งมองหล่อนไม่วางตา
อรกานต์รู้สึกกระอักกระอ่วนใจพิกล เล่นจ้องกันแบบนี้ หล่อนจะคิดจะพูดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ เห็นทีต้องขอหลบไปอยู่เงียบๆ คนเดียวซักพัก
“ฉัน…ฉันอยากไปห้องน้ำ”
เพียงเปรยขึ้นมาเบาๆ หล่อนก็ได้รับความช่วยเหลืออย่างดีจากคนชื่อแดงอีกครั้งอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ไม่กี่อึดใจทั้งตัวหล่อนและเสาที่แขวนขวดน้ำเกลือก็เข้าไปอยู่ในห้องน้ำเรียบร้อย อรกานต์รีบปิดประตูห้องน้ำอย่างรวดเร็วก่อนที่ผู้หวังดีจะเสนอตัวเข้ามาช่วยเหลือด้านใน
โอย…รู้สึกเคล็ด ขัด ยอกไปหมดทั้งตัว แค่จะยืนนิ่งๆ ยังอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไม่เบา อรกานต์มองข้อมือข้างขวาที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ สำรวจตามแขนขาก็ไม่พบรอยขีดข่วนใดๆ น่าแปลก…ถูกรถชน มันน่าจะมีรอยถลอกหรือฟกช้ำดำเขียวบ้างนะ แล้วนี่…ทำไมทั้งแขนและขาของหล่อนถึงได้ขาวซีดอย่างนี้ล่ะ ผิวขาวเนียนละเอียดผิดกับผิวขาวอมเหลืองธรรมดาของหล่อน
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หล่อนหลับไปนานขนาดที่สีผิวเผือดลงและผมยาวขึ้นหลายนิ้วเชียวหรือ หลับไปนานขนาดที่แม่ได้เลื่อนขั้นเป็นถึงคุณหญิงเชียว
หญิงสาวเคลื่อนตัวเองไปอยู่หน้ากระจก แล้วก็ต้องตาค้างมองภาพสะท้อนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
นี่หล่อนบ้า หรือเกิดภาพหลอนกันแน่
สตรีสาวสวย…สวยมาก กำลังจ้องมองหล่อนมาจากกระจกเงา ใบหน้ารูปไข่เนียนเกลี้ยงมีรอยช้ำอยู่ที่โหนกแก้มขวาและมีผ้าปิดแผลอยู่เหนือคิ้วขวา เห็นได้ชัดว่าใบหน้าข้างขวาถูกกระแทก แต่กระนั้นรอยแผลกับความซีดเผือดของสีหน้าก็ยังปกปิดความงามไม่มิด คิ้วสีน้ำตาลไหม้พาดโค้งอยู่เหนือดวงตาสองชั้นยาวรี นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหวานซึ้ง จมูกโด่งเป็นสันตรงรับกับริมฝีปากได้รูป…สวย…หยาดฟ้ามาดิน
ทว่า…หล่อนเกลียดผู้หญิงคนนี้จับใจ เกลียดมาก…เกลียดเข้าไส้เลย
นี่คือ คุณไทร่า ธีร์วรา ภคภัทรา ตัวจริงของแท้ และแน่นอน
อรกานต์กะพริบตาถี่ๆ สะบัดศีรษะหลายครั้ง ก่อนจะลืมตาขึ้นมองกระจกอีกครั้ง
เช่นเคย ภาพสะท้อนของหล่อนคือภาพของธีร์วรา ภคภัทรา
อรกานต์ลองดึงผม หยิกแก้ม และหยิกแขนตัวเองดู โอ๊ย! ยังเจ็บ! นี่ไม่ใช่ความฝันแน่! แล้วมันคือความจริงชนิดไหนกัน หล่อนโดนรถชน แล้วตื่นขึ้นมาในร่างของธีร์วรา ภคภัทรา เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่หล่อนแสนจะเกลียดชังหรอกหรือ ความจริงเป็นเช่นนี้หรือ มันเป็นไปได้อย่างไร?!
หญิงสาวทิ้งตัวลงนั่งทอดอาลัยบนโถส้วม เอายังไงดีล่ะทีนี้ เรื่องมหัศจรรย์พันลึกอะไรก็ไม่รู้ดันมาเกิดขึ้นกับหล่อนเข้าอย่างจัง จะสลับร่างกับใครที่มันดีกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้ ดันมาเป็นยัยไทร่าคู่อาฆาตของหล่อนเสียด้วยสิ
แรกเริ่มเดิมทีนั้น หล่อนไม่ได้มีอคติหรือรังเกียจเดียดฉันท์อะไรกับเพื่อนแสนสวยคนนี้หรอก เห็นคุณเธอเชิดหยิ่งใส่ทุกคนก็ยังเข้าใจไปว่ากิริยาท่าทางเธอคงเป็นเช่นนั้นเอง รู้จักกันมากกว่านี้สักหน่อย คุ้นเคยกันกว่านี้อีกนิด ก็คงจะพอเข้ากันได้ หากแต่เมื่อช่วงเวลาแห่งการรับน้องใหม่ผ่านไป คุณไทร่าเธอก็ยังรักษาระดับความเหินห่างของตัวเธอกับเพื่อนฝูงทุกคนไว้อย่างเหนียวแน่น ใบหน้าสวยละมุนมักมีสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก ดวงตาหวานคมไม่เคยเหลือบแลสายตาไปมองใคร หาไม่ก็จะมีแววหยามหยันดูถูกฉายแสงออกมาอยู่เสมอ ริมฝีปากบางได้รูปนั้นเล่า ไม่เคยเอ่ยวาจาเป็นมิตรกับใครทั้งสิ้น มีแต่การดูหมิ่น เหยียดหยามและหาผลประโยชน์ใส่ตัว
การไม่คิดจะผูกมิตรกับผองเพื่อนคนใดเลยของธีร์วรา ทำให้อรกานต์เริ่มไม่ค่อยพอใจเพื่อนคนนี้นัก ทว่าหล่อนก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด แต่ยิ่งนานวันเข้า ความเห็นแก่ตัวและความแล้งน้ำใจอย่างร้ายกาจของธีร์วราก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพียงแค่เทอมแรก เพื่อนๆ ทุกคนต่างพากันถอยห่าง ความพยายามที่จะผูกมิตรกับสาวสวยคนนี้เหือดหายไปโดยทั่วหน้า ผู้ที่วนเวียนอยู่รอบกายเธอผู้นั้นมีเพียงเพื่อนผู้หญิงสามสี่คนที่มีบุคลิกคล้ายคลึงกัน นั่นคือ บุคลิกของสาวไฮโซมาดหรู สวยเริ่ด เชิดหยิ่ง ซึ่งวันๆ ไม่ได้ทำอะไรนอกจากแต่งตัวให้สวยเข้าไว้ และผูกไมตรีกับผู้ชายมากหน้าหลายตา คนที่ทน ‘คุณไทร่า’ ได้ เห็นจะมีแต่เพื่อนสามสี่คนนี้กับผู้ชายที่พยายามตามจีบคุณเธอเท่านั้นแหละ
ความเกลียดชังเริ่มก่อตัวขึ้น เมื่อธีร์วราเริ่มใช้อำนาจบาตรใหญ่จากการที่มีบิดาเป็นคนใหญ่คนโตในแผ่นดิน อาจารย์บางท่านถึงกับยอมให้เธอส่งงานช้ากว่ากำหนดได้เป็นกรณีพิเศษ อาจารย์บางท่านจงใจเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เช็กชื่อให้เธอแม้ว่าวันนั้นๆ เธอจะไม่ได้เข้าเรียน อาจารย์บางท่านไม่ตำหนิติเตียนอะไรเมื่อเธอเข้าเรียนสายไปถึงหนึ่งชั่วโมง มีบ้างที่อาจารย์บางท่านเรียกเธอผู้นี้ไปว่ากล่าวตักเตือน หากทว่าไม่เคยมีท่านใดที่จะกำหนดบทลงโทษจริงๆ จังๆ
อรกานต์เริ่มออกอาการต่อต้าน เมื่อสาวไฮโซคนนี้ไม่เคยเข้ามาร่วมทำรายงานกลุ่มแต่กลับมีชื่ออยู่ในคณะผู้จัดทำ หล่อนยื่นคำขาดให้ไทร่าถอนชื่อตัวเองออกไป เนื่องจากไม่เคยช่วยทำอะไรเลย แต่หล่อนกลับถูกมองด้วยสายตาดูแคลนพร้อมกับเสียงตอบเรียบเย็น ‘เท่าไหร่ล่ะ ค่าเหนื่อยของพวกเธอ ค่ากระดาษ ค่าน้ำหมึก ค่าเสียเวลาหาข้อมูล ค่าเสียเวลาพิมพ์ ค่าอะไรต่อมิอะไรทั้งหลายแหล่ ฉันให้ห้าพันเอาไปแบ่งกัน พอมั้ย’
อรกานต์โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยากจะเอาแบงก์พันห้าใบที่ได้รับมาโยนทิ้งไปให้หมด แต่…นิลยา เพื่อนสนิทของหล่อนท้วงอย่างใจเย็น ‘คิดว่ายื่นหมูยื่นแมวน่าอ้อ รายงานเสร็จแล้วจะให้ไทร่าช่วยทำอะไรก็ไม่ได้แล้ว เค้าจำเป็นต้องส่งงานชิ้นนี้เหมือนกับพวกเราทุกคนนั่นแหละ คิดซะว่าช่วยเค้าเป็นน้ำใจ แล้วเค้าก็ให้ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ กับเราเป็นการตอบแทน’
‘มันเอาเงินฟาดหัวเรานะนิล’ หล่อนตอบอย่างโกรธจัด
‘คิดว่ามันคือการตอบแทน คิดให้ได้อย่างนี้ ถ้าแกจะไม่เอาเงิน ไม่อยากถูกใครฟาดหัว แกก็ไม่ต้องเอา ให้ไอ้ปอกับไอ้สุมันไป สองคนนั่นกำลังต้องการเงิน’
เป็นความจริงที่เพื่อนบางคนมีฐานะยากจนมาก บางคนมีพ่อแม่เป็นชาวไร่ชาวนาอยู่ต่างจังหวัด มีรายได้แค่พอยังชีพไปวันๆ เมื่อลูกรักดี เรียนดี สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ พ่อแม่ก็ต้องยอมที่จะสูญเสียคนช่วยทำงานหาเงินไปคนหนึ่งเพื่อหวังอนาคตภายหน้าที่ดีกว่า ลูกจะเรียนก็ได้แต่ต้องส่งเสียตัวเอง รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหลายเองนะ พ่อแม่สุดปัญญาจริงๆ หรือบางคนนอกจากจะเรียนแล้ว ยังต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ รับผิดชอบปากท้องของยายกับน้องที่บ้านอีก มหาวิทยาลัยของรัฐเป็นที่รวมของคนทุกชนชั้นจริงๆ อรกานต์ยอมนิ่งเพราะเห็นว่าอย่างไรก็ตาม เงินก็เป็นของมีค่า และยังมีคนที่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนนี้อยู่
แต่การนิ่งนั้นทำให้ไทร่ามองหล่อนอย่างเย้ยหยันมากขึ้น ถึงกับส่งยิ้มดูแคลนมาให้หล่อนทุกครั้งที่สามารถเอาเงินจ้างเพื่อนของหล่อนบางคนให้พิมพ์รายงานให้ หรือทำการบ้านบางชิ้นให้ได้ ‘ฉันมีเงินนะอ้อ เห็นมั้ยว่ามันสำคัญกว่าคำว่าน้ำใจของเธอ’
อรกานต์แทบเต้น เกือบจะมีการตอบโต้อย่างรุนแรงเกิดขึ้นแล้ว ถ้านิลยาไม่มาขวางไว้เสียก่อน หล่อนจึงได้แต่โวยวาย ‘มันหยามเรานะนิล มันดูถูกเพื่อนเรา เอาเงินฟาดหัวเพื่อนเรา’
‘แล้วเพื่อนเราไปรับเงินเค้าจริงหรือเปล่าล่ะ’
‘จริง’ คนเดือดดาลรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ก่อนจะบ่นต่อ ‘ไม่รักศักดิ์ศรีกันบ้างเลย ไอ้พวกนี้’
นิลยาส่ายหน้า ‘พวกนั้นมันก็รู้ว่าไทร่าดูถูกมัน เอาเงินฟาดหัวมัน แต่ลองคิดดูนะ มันต้องทำงานกี่ชั่วโมงกว่าจะได้ห้าพัน บางทีทำทั้งเดือนเลยนะ แต่พิมพ์รายงานให้ไทร่า ทำแค่สองคืนก็เสร็จ คุ้มแสนจะคุ้ม อย่างน้อยก็มาเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าบ้านของมัน ไอ้สุช่วยทำการบ้านของอาจารย์วิรัชให้ได้มาพันนึง มีเงินจ่ายค่าเทอมให้น้องแล้ว คุ้มมั้ยล่ะ’ นิลยาหยุดเพื่อให้อรกานต์ได้คิดตามที่เธอพูด ก่อนจะตบท้าย ‘ใช้สมองคิดเถอะว่ะ ไอ้อ้อ อย่าห่วงศักดิ์ศรีอะไรนักเลย’
อรกานต์จึงจำต้องยอมทน ยอมนิ่งต่อไป เป็นฝ่ายที่ต้องนับหนึ่งถึงสิบในใจทุกครั้งที่สบสายตาหมิ่นแคลนและวาจากระทบกระเทียบต่างๆ
และความเกลียดชังยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อธีร์วราทำตัวสนิทสนม ปล่อยเนื้อปล่อยตัวกับเพื่อนชายคนหนึ่งของหล่อน สนิทใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลาร่วมสี่เดือน ก่อนคุณเธอจะสลัดหนุ่มหน้าซื่อตาใสคนนี้ทิ้งอย่างไม่ไยดี หันไปควงชายหนุ่มหน้าตาดีซึ่งเป็นนักธุรกิจที่จบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ส่งผลให้เพื่อนของหล่อน…ผู้ชายเดินดินธรรมดาๆ คนหนึ่ง อกหักเสียใจจนแทบจะเสียผู้เสียคน กินเหล้าเมาหยำเปขนาดเกือบถูกรถชนตาย
ตั้งแต่ครั้งนั้นมา อรกานต์จึงพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า หล่อนเกลียดผู้หญิงคนนี้สุดจิตสุดใจเลยจริงๆ
เสียงเคาะประตูอย่างขลาดๆ ดังขึ้น ปลุกอรกานต์ให้ตื่นจากภวังค์ หล่อนลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องน้ำอย่างเซ็งๆ
“หนูเห็นคุณไทร่าเข้าไปนานน่ะค่ะ เป็นห่วงก็เลยลองเคาะเรียกดู” แดงรีบแก้ตัวด้วยเสียงขลาดๆ เห็นได้ชัดว่ากลัวเกรงธีร์วราอยู่ไม่ใช่น้อย อรกานต์จึงได้แต่ลอบถอนใจเบาๆ เดินกลับขึ้นไปนอนบนเตียงคนไข้แต่โดยดี จากนั้นก็ได้แต่นอนเงียบ ใช้ความคิดอย่างหนัก หาทางออกให้กับตัวเอง
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ ก่อนที่อรกานต์จะเปิดฉากสนทนาด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ คล้ายชวนคุย
“แดง…”
“คะ”
“ตอนที่ฉันตื่นขึ้นมา ตอนแรกฉันจำแดงไม่ได้”
“คะ?”
“ตอนนี้ก็ยังจำไม่ค่อยได้”
“คะ?” เด็กสาวหน้าขาวอุทานเสียงสูงขึ้น สีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“แต่ฉันพอจำได้ว่าตัวเองเป็นใคร พ่อแม่ชื่ออะไร เรียนหนังสือที่ไหน อยู่คณะอะไร ชั้นปีอะไร…แต่นึกมากกว่านี้ก็นึกไม่ค่อยออก…ปวดหัว แดงช่วยเล่าให้ฉันฟังทีได้ไหม”
หล่อนแกล้งเอานิ้วคลึงแถวๆ ขมับขวาใกล้ๆ รอยคิ้วแตก ทำนัยน์ตาอินโนเซนต์ประกอบคำถามเพื่อให้สมจริงยิ่งขึ้น เอาเถอะ…ยังไงขอเอาตัวรอดไว้ก่อน ถ้าไทร่ากลับคืนร่างตัวเองได้ค่อยบอกกับใครต่อใครทีหลังว่านี่เป็นอาการความจำเสื่อมชั่วคราวจากการที่สมองถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
ป่านนี้ไทร่าในร่างของหล่อนจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ หวังว่าคุณเธอคงไม่ทำตัวเป็นลูกบังเกิดเกล้าให้พ่อแม่หล่อนหัวปั่นเล่นหรอกนะ
ก่อนหล่อนจะคิดอะไรไปไกลกว่านี้ แดงก็เริ่มตอบคำถามอย่างตะกุกตะกัก “หนะ…หนู…เป็นคนทำงานบ้านในบ้านคุณไทร่าค่ะ มาอยู่ได้ประมาณสองปีแล้ว หนูเป็นคนทำความสะอาดห้องกับดูแลเรื่องเสื้อผ้า รองเท้าของคุณน่ะค่ะ”
อรกานต์ยิ้มอ่อนๆ ทำท่าสบายๆ ค่อยๆ ป้อนคำถามที่อยากรู้ทีละคำถาม พยายามทำน้ำเสียงให้เป็นธรรมชาติ ไม่กระตือรือร้นจนผิดสังเกต บางคราวก็แกล้งเออออ ร้องอ๋อพอนึกออกบ้าง เพื่อความแนบเนียนยิ่งขึ้น ซึ่งหนูแดงคนซื่อนี่ก็แสนใสซื่อจริงๆ ไม่ติดใจสงสัยอะไรเลย เล่าให้ฟังตามที่ถามไปทุกประการ
กว่าคุณหญิงวราภรณ์ ภคภัทรา จะก้าวเข้ามาในห้องพักรักษาตัวของลูกสาวก็เป็นเวลาสองทุ่มเศษแล้ว คงจะทราบอาการของหล่อนอย่างละเอียดลออหมดแล้วจากคุณหมอปราโมทย์ และไอ้อาการทั้งหลายแหล่นั่นก็คงรวมอาการ ‘ความจำเสื่อมการเมือง’ ของหล่อนเข้าไปด้วยแน่นอน
อรกานต์ยกมือไหว้สตรีสูงวัยผู้ยังสวยเพริศแพร้วงามสง่าสมวัยอย่างนอบน้อม
คุณหญิงวราภรณ์ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน จับแก้มลูกสาวเบาๆ ก่อนจะลูบผมอย่างเอ็นดู “เป็นไงบ้างลูก ยังเจ็บตรงไหนอยู่รึเปล่า”
อรกานต์ส่ายหน้า พลางตอบด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ “หายแล้วค่ะ พรุ่งนี้เช้ากลับบ้านได้”
เพี้ยง! ขอให้สำเร็จทีเถอะ หล่อนอยากโทรศัพท์กลับบ้านติดต่อไทร่าในร่างของหล่อน และรีบติดต่อนิลยาโดยเร็วที่สุด
“ไม่ได้หรอกลูก” เหมือนวิมานหายวับไปกับตา แม้ว่าคำปฏิเสธจะแสนนุ่มนวล
“พรุ่งนี้หมอจะตรวจคลื่นสมอง และอยากรอดูอาการอีกสักวันสองวัน ซึ่งแม่ก็เห็นด้วย ร่างกายเราน่ะอ่อนแอ ขี้โรคขนาดไหนก็รู้ๆ อยู่ กลัวอาการจะไปทรุดที่บ้าน”
“โธ่! ไม่หรอกค่ะ”
“ไม่อะไรกัน อากาศเปลี่ยนฤดูหน่อย คนอื่นเขาแค่ฟืดฟาดเป็นหวัดคัดจมูก ไอ้เราเล่นเป็นไข้หวัดใหญ่จนต้องฉีดยา พักผ่อนน้อยไปหน่อยก็หมดเรี่ยวหมดแรงถึงกับต้องนอนให้น้ำเกลือ เป็นอะไรก็เป็นหนักกว่าคนอื่นเขาทุกที ให้หมอตรวจดูให้แน่ก่อนดีกว่า แม่เป็นห่วง”
และนั่น จึงทำให้หล่อนต้องติดแหง็กอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสองวันสองคืนเต็มๆ
สิ่งแรกที่อรกานต์ทำหลังจากก้าวเท้าเข้าสู่คฤหาสน์สีขาวหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่แถวชานเมืองคือ การดิ่งสู่ห้องส่วนตัวของธีร์วรา ภคภัทรา ล็อกประตูให้เรียบร้อย มุ่งตรงไปคว้าโทรศัพท์อย่างไม่ลังเล จะได้คุยเรื่องสำคัญจริงๆ จังๆ โดยไม่ต้องมีสายตาของแดงจับจ้องอยู่ตลอดเวลาเสียที
สายแรก หล่อนโทรตรงเข้าบ้าน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีคนรับสาย บ่ายโมงตรง…เอ…พ่อกับแม่น่ะคงไปทำงาน แต่ไทร่าน่าจะอยู่ ทำไมไม่อยู่ หลังจากเสียเวลาอีกครู่ใหญ่ จนแน่ใจว่าปลายทางคงไม่มีคนรับสายแน่นอนแล้ว หล่อนจึงกดเบอร์บ้านของนิลยาต่อทันที บ่ายโมงกว่าอย่างนี้คงไม่มีใครอยู่บ้าน คุณลุงคุณป้าคงไปทำงานทั้งคู่ นิลก็คงอยู่ในมหาวิทยาลัยหรือไม่ก็ไปตั้งขาตั้งนั่งวาดรูปอยู่ที่ไหนสักแห่ง เผลอๆ ไทร่าอาจจะอยู่กับนิลก็ได้
เมื่อแน่ใจว่าภารกิจคงไม่สำเร็จแน่นอนแล้ว อรกานต์ถอนใจเบาๆ ด้วยความผิดหวัง ไปอาบน้ำสระผมให้สบายเนื้อสบายตัว นอนพังพาบอ่านหนังสือหรือดูทีวีสักพักให้สบายใจ เดี๋ยวค่อยลองดูใหม่ตอนเย็นก็ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้น หล่อนจึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าที่มุมห้อง ตู้หลังใหญ่สองใบตั้งอยู่ชิดกัน อรกานต์จึงตัดสินใจเปิดทั้งสองตู้พร้อมกัน
แม่เจ้าโว้ย! คนอะไรมันจะมีเสื้อผ้าได้เยอะขนาดนี้ หล่อนจ้องมองเสื้อสารพัดชนิดอัดแน่นกันอยู่เต็มตู้ใบหนึ่ง จากนั้นจึงละสายตาไปมองกางเกง กระโปรงชุด และชุดราตรีซึ่งแขวนเรียงไว้เต็มตู้อีกใบหนึ่ง มองสำรวจอยู่อึดใจ ก่อนจะค่อยๆ เปิดดูตามลิ้นชัก ตู้ใบที่เก็บเสื้อยังเป็นที่เก็บชุดชั้นใน ถุงเท้า ผ้าเช็ดหน้า ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ ฯลฯ ส่วนอีกใบนั้นเป็นที่เก็บกระเป๋าสารพัดชนิดทั้งใบเล็ก ใบใหญ่ แบบถือ แบบสะพาย แบบหนีบ มีตั้งแต่สีขาว สีครีม สีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลเข้ม เทาอ่อน เทาเข้ม และอื่นๆ อีกมากมายรวมทั้งสีดำ
โอ้โฮ! เกิดมาเพิ่งเคยเห็นอะไรแบบนี้ ทั้งเสื้อ กระโปรง กางเกง รวมถึงชุดชั้นใน ถุงเท้า ผ้าเช็ดหน้า และกระเป๋าของหล่อน หากเอามาใส่ไว้ในตู้เดียวนี่ยังหลวมเลยมั้ง ดูแค่กระเป๋าก็พอ นี่มันเป็นกองทัพกระเป๋าเลยนะ ของหล่อนน่ะมีแค่กระเป๋าสะพายคู่ชีพกับเป้คู่ใจสองใบเท่านั้นเอง
เอาเถอะ สำรวจพอแล้ว ไปอาบน้ำสักที นอนให้พยาบาลเช็ดตัวมาสามวันแล้ว
“โว้ย!” อรกานต์อุทานเบาๆ อย่างขัดใจ คนอะไร ทำไมมีแต่เสื้อผ้าแบบนี้
เสื้อสารพัดชนิดในตู้เป็นเสื้อสายเดี่ยวและเกาะอกไปแล้วค่อนตู้ เสื้อซีทรูเนื้อบางจ๋อยอีกส่วน เสื้อเชิ้ตก็เป็นชนิดเข้ารูปพอดีตัว เสื้อยืดก็เป็นเสื้อยืดแขนสั้น สั้นจริงๆ สั้นกุดจนถึงไม่มีแขน แถมยังเป็นเสื้อตัวเล็กกระจิริดอีกต่างหาก ถ้าใส่ก็คงรัดรึงอวดทรวดทรงองค์เอวชัดเจน เสื้อยืดแขนยาวถ้าไม่ได้มีลำตัวสั้นจนเปิดสะดือล่ะก็ ต้องเป็นเสื้อที่มีผ้าบางหรือเนื้อผ้าแนบติดลำตัวสนิท
นี่หล่อนจะใส่อะไรดี
หันไปทางชุดนอนซึ่งอยู่ถัดจากชุดราตรีไป ก็พบแต่ชุดนอนกระโปรงผ้าลื่นพลิ้วบางจ๋อยไปเสียทุกตัว
เสื้อยืดกางเกงขาสั้นอย่างชาวบ้านทั่วไปเขาใส่กันไม่มีหรือไงนะ
เหลือบแลไปทางกางเกงแล้วก็ให้ตกใจ พวกกางเกงขาสั้นมันก็…สั้นสมชื่อจริงๆ กระโปรงสั้นก็สั้นถึงใจอีกเหมือนกัน ยังดีที่กางเกงขายาวกับกระโปรงยาวดูแล้วพอทำใจได้หน่อย
สุดท้ายอรกานต์ก็เลือกเสื้อยืดตัวหนึ่งซึ่งดูแล้วคงไม่รัดรูปมากเท่าไหร่กับกางเกงขายาวยางยืดตัวหลวมตัวหนึ่ง
ถอนหายใจอย่างโล่งอกไปได้ยังไม่ทันไร ก็แทบจะกุมขมับอีกครั้งกับชุดชั้นใน
มีแต่บิกินีกับจีสตริง ทำไงดี
อรกานต์เลือกบิกินีกับบราเข้าชุดกัน ก่อนจะเดินไปทางห้องน้ำ
แค่ถือเสื้อผ้าพวกนี้ไว้ยังไม่ทันจะสวมใส่เลย หล่อนรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ยิ้งผู้หญิงมากกว่าที่เคยเป็นมาทั้งชีวิตเสียอีก หญิงสาวสไตล์ทอมบอย ผมซอยสั้น สวมเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงยีนลุยๆ รองเท้าผ้าใบคู่เก๋าอยู่ที่เท้า และเป้สีดำสารพัดประโยชน์อยู่ที่หลัง ดูจะกลายเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกล
คิดแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง ปิดประตูห้องน้ำลง ถอดเสื้อผ้าใส่ตะกร้าผ้าไว้ หันกลับไปสบกับกระจกเงาบานใหญ่ยาวจรดเพดานแล้วก็ตกตะลึงพรึงเพริดกับภาพเงาสะท้อนที่เห็น
อุแม่เจ้า…
…รอยรูปอินทร์หยาดฟ้ามาอ่าองค์ในหล้า
แหล่งให้คนชมแลฤา…
คนอะไรสวยได้ทั้งเนื้อทั้งตัวแบบนี้ นี่ขนาดคิ้วขวายังมีรอยแผล ใบหน้ายังขาวซีด แต่เครื่องหน้าได้รูปนั้นยังโดดเด่น รูปร่างเล่า…ทั้งทรวดทรงองค์เอว ทั้งผิวเนื้อขาวผ่องนวลสล้าง ล้วนหาที่ติมิได้
จ้องมองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะรู้สึกตัว อรกานต์หัวเราะเบาๆ แล้วก็หน้าแดง อายตัวเอง รู้สึกเหมือนดูหนังโป๊ชนิดเพียวๆ ไม่ถูกเซ็นเซอร์ออกเลยสักวินาที
นึกไปอีกทีก็เขิน ไทร่าจะยืนมองของเราแบบนี้รึเปล่าหว่า
อาบน้ำจนสดชื่นสบายตัวแล้ว อรกานต์ก็ออกมาเดินชมห้องนอน สำรวจโต๊ะเครื่องแป้ง โต๊ะหนังสือ ชั้นเก็บของ เปิดลิ้นชักโน้นลิ้นชักนี้ ดูโน่นดูนี่จนพอใจแล้วก็ทิ้งตัวลงบนเตียง เปิดโทรทัศน์ดูฆ่าเวลาไปพลางๆ
ห้องนอนห้องนี้บอกตัวตนของไทร่าได้ดี โต๊ะเครื่องแป้งมีสารพันเครื่องสำอางและน้ำหอมวางอยู่เต็ม ข้างๆ กันมีตั่งเก็บบรรดาสารพันเครื่องประดับทั้งหลาย ทั้งแหวน ตุ้มหู สร้อยคอ สร้อยข้อมือ ล้วนมีมากจนละลานตา โต๊ะหนังสือมีแต่หนังสือเรียนและข้างๆ ก็มีอุปกรณ์วาดภาพวางอยู่ครบชุด เรียกได้ว่ามีครบตามภาคบังคับสำหรับแบบเรียนและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็น อุปกรณ์เสริมหรือหนังสือคู่มือสำหรับหาข้อมูลเพิ่มเติมไม่มีเด็ดขาด ชั้นหนังสือเล็กๆ ก็มีแต่นิตยสารแฟชั่นกับแค็ตตาล็อกต่างๆ จากห้างสรรพสินค้าชั้นนำ บอกได้ชัดเจนว่านี่คือเจ้าแม่แฟชั่น ไม่ใช่อาร์ติสต์ จิตรกรเอกอย่างหล่อน
อรกานต์เหลียวมองรอบห้อง เออ…แฮะ ห้องนี้ก็สวย…น่าวาดดีเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันคิดอะไรไกลกว่านั้นก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาบอกเวลาหกโมงเย็น
ถ้าแม่ไม่มีสอนตอนบ่าย ป่านนี้คงกลับถึงบ้านแล้ว
“ฮัลโหล” เสียงผู้ชาย…เสียงพ่อ…อรกานต์คิดอย่างแปลกใจนิดหน่อย วันนี้พ่อกลับบ้านเร็วจัง
“ฮัลโหล” หล่อนรีบกรอกเสียงตอบ “ขอสายอ้อค่ะ”
แอบภาวนาในใจขอให้ไทร่าอยู่แถวนั้นจะได้นัดพบพูดคุยช่วยกันหาทางแก้ไขปัญหา ฉันจะได้กลับเข้าร่างฉัน เธอจะได้กลับเข้าร่างเธอตามเดิมเสียที
ทว่า…ปลายสายกลับนิ่งงันไป เหมือนมีเสียงขลุกขลักในลำคอ
“อ้อไม่อยู่ลูก”
อรกานต์ไม่ได้เฉลียวใจอะไรกับน้ำเสียงเนิบๆ เนือยๆ นั้น หล่อนพูดต่อทันที “ไม่อยู่เหรอคะ อีกนานมั้ยคะกว่าจะกลับ”
“ไม่กลับแล้วลูก” อีกฝ่ายตอบเสียงเบา กลั้นสะอื้น
“ไม่กลับเหรอคะ” ไม่รู้เป็นไง หล่อนรู้สึกทั้งแปลกใจ ทั้งตกใจ เสียววาบๆ ที่ท้ายทอยอย่างไรพิกล
“เพิ่งเผาเมื่อบ่ายนี้ พ่อคิดว่าโทรบอกทุกบ้านแล้วเสียอีก”
“คะ? คือ…” อรกานต์รู้สึกเหมือนมีก้อนลมก้อนใหญ่แล่นมาจุกอยู่ที่ลำคอ สมองหมุนติ้วเคว้งคว้าง คิดอะไรไม่ออก พูดอะไรไม่ถูก
หล่อนพยายามรวบรวมพลังกายพลังใจทั้งหมด ตั้งสติให้มั่น ก่อนจะกล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมมิให้สั่น “หมาย…ความ…ว่า อ้อ…อ้อไปไม่กลับแล้วหรือคะ สะ…เสียแล้วหรือคะ”
“จ้ะ”
“เมื่อไหร่ ยังไงคะ”
“ถูกรถชนเมื่อสี่วันก่อน หนูไม่ทราบจริงๆ หรือลูก”
อรกานต์พยายามอย่างยิ่งที่จะดำรงสติให้มั่น ทั้งๆ ที่มือเท้าเย็นชืด “หนูเป็นเพื่อนเก่าสมัยประถมค่ะ ไม่ได้ติดต่อกันหลายปี วันนี้คิดถึงอ้อขึ้นมาเลยจะโทรมาคุยด้วย ไม่คิดเลยว่า…เสียใจด้วยนะคะคุณลุง”
“ขอบใจ สงสัยอ้อคงคิดถึงหนูเหมือนกันถึงได้ส่งจิตไป ถ้าหนูอยากพบอ้อ กระดูกยังอยู่ที่วัดประชาธรรม พ่อฝากไว้กับพระครูแจ้ง หนูไปไหว้อัฐิได้ คงอีกสักพักใหญ่กว่าจะลอยอังคาร พ่อกับแม่ขอเวลาทำใจอีกหน่อย”
“ค่ะ แล้วหนูจะไป สวัสดีค่ะคุณพ่อ”
“สวัสดีจ้ะ”
วางหูโทรศัพท์ได้หล่อนก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แข้งขาอ่อน มือไม้สั่นไปหมด ทิ้งตัวลงบนเตียงได้น้ำตาก็ไหลลงมาไม่ขาดสาย ใจหายขวัญหาย รู้สึกเย็นวาบทั่วสรรพางค์
ธีร์วราขับรถชนหล่อนตาย
หล่อนตายแล้ว ตายจริงๆ เผาแล้วด้วย
แต่ถ้าหล่อนตายแล้ว ที่กำลังนั่งอยู่นี่ใครกัน
ไทร่าไงล่ะ
อรกานต์สะท้านเฮือก ร่างหล่อนตาย ร่างไทร่าอยู่…ในทางกลับกัน…ดวงจิตของหล่อนอยู่ ไทร่าต่างหากที่ตาย!
หญิงสาวร่างสูงโปร่ง ดวงหน้างดงามหมดจดลงจากรถยนต์คันหรู เดินเข้าวัดด้วยสีหน้านิ่งสงบ กวาดตามองไปรอบๆ
หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน ผิวสีน้ำผึ้ง ผมดำ ตาดำขลับ ใบหน้าคม ยืนรออยู่ก่อนแล้วใต้ต้นโพธิ์ต้นใหญ่
อรกานต์ตรงดิ่งไปทางนั้นทันที
นิลยาหันมา ดวงตาสีดำสนิทส่อชัดถึงความไม่พอใจ สีหน้าบึ้งตึง “เธอขับรถชนเพื่อนฉันตาย จะมาจุดธูปขอขมาสักนิดก็ไม่มี ยังจะโทรมาหาฉันพูดจาเพ้อเจ้ออะไรก็ไม่รู้ ฉันขอบอกเป็นครั้งที่ร้อยเลยนะว่าฉันไม่เชื่อ ที่ยอมมาตามคำขอเนี่ย ก็แค่จะพาเธอไปขอขมากระดูก บอกกล่าวให้เขาอโหสิให้ซะ เพื่อนฉันจะได้ไปดี”
“พาไปสิ” คนผิวขาวนวลตอบเรียบๆ หลังจากได้พูดคุยถกเถียงใช้ความพยายามไปมากกว่าสองชั่วโมงเมื่อคืนนี้แล้วประสบความล้มเหลว อรกานต์ไม่หวังจะมายืนยัน นั่งยัน นอนยันในวาจาของหล่อนกับเพื่อนสนิทกลางลานวัดอย่างนี้อีก
สาวผิวคล้ำสะบัดหน้าเดินนำไป ท่าทางส่อชัดว่าไม่อยากเสวนาด้วย
“ถึงแล้ว กุฏิพระครูแจ้ง”
อรกานต์ถอดรองเท้า เดินตามเพื่อนเข้าไปในกุฏิหลังเล็ก แอบดีใจน้อยๆ ที่มีความสามารถหาเสื้อผ้าที่เรียบร้อยมิดชิดพอจะใส่เข้าวัดได้จากกองภูเขาเสื้อผ้าเซ็กซี่พวกนั้น เพราะเพียงก้าวเท้าเข้าไป หล่อนก็แทบจะชนกับหิ้งพระ ซึ่งถัดไปอีกนิดก็เป็นองค์พระประธานของห้องที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับเด็กหกขวบ ห่างออกไปไม่กี่ก้าว พระครูแจ้งนั่งขัดสมาธิรออยู่ก่อนแล้ว
สองสาวลงนั่งพับเพียบเรียบร้อย พนมมือไหว้อย่างสำรวม
“พาเพื่อนมาไหว้อัฐิค่ะ หลวงพ่อ” นิลยากล่าวเรียบๆ
อรกานต์นั่งนิ่งๆ ไม่พูดอะไร รู้สึกร้อนอ้าวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ร้อน…เหมือนอยู่ในเตาอบ ผิวหน้าเริ่มแดงเรื่อ เหงื่อเริ่มซึม หญิงสาวพับแขนเสื้อเชิ้ตสีดำขึ้นสองทบ หากความร้อนกลับดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี เหลียวมองไปรอบๆ แม้จะเป็นกุฏิหลังเล็กๆ แต่ก็โล่งโปร่ง ดูน่าสบาย พัดลมตั้งโต๊ะที่หันซ้ายหันขวาพัดอยู่ไม่ไกลก็น่าจะช่วยคลายร้อนได้ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเลย หล่อนยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผาก ยังพูดอะไรไม่ออก
“โยมร้อนที่ใจหรือเปล่า” พระสงฆ์ผู้ชราถามขึ้นช้าๆ
“คะ?” อรกานต์จับต้นชนปลายไม่ถูก สีหน้างุนงง
“อาตมาว่าโยมร้อนที่ใจ กายและใจไม่กลมกลืนกัน เสียสมดุล พระพุทธองค์ท่านเลยเตือน”
“ร้อนที่ใจ? กายและใจไม่กลมกลืนกันเหรอคะ”
“ใช่แล้ว…อาลัยร่างเก่าใช่ไหมโยม”
อรกานต์เบิกตากว้าง นิลยาสะดุ้ง พระสงฆ์ท่านจึงอธิบายเรียบๆ “อาตมาเห็นเงาของโยมรางๆ อยู่แวบหนึ่ง แน่ใจว่าตาไม่ฝาด ดูละม้ายแม่หนูที่เพิ่งเผาไป เลยลองถามดู เรื่องมันเป็นยังไงมายังไงล่ะ พอจะเล่าให้ฟังได้มั้ย”
“จำได้ว่ากำลังข้ามถนนค่ะ มีรถคันหนึ่งพุ่งเข้ามา ลืมตาอีกทีก็อยู่ในร่างนี้แล้วค่ะ”
“อืม…”
ท่านนั่งสมาธิ หลับตานิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวเรียบๆ “กรรมนะโยม กรรมเก่าของโยมกับเขาเกี่ยวข้องกัน”
“แล้วเขาไปอยู่ที่ไหนล่ะคะตอนนี้ เรียกเขากลับมาเข้าร่างได้ไหมคะ หนูยินดีคืนร่างให้”
“คืนเขาแล้วโยมจะไปอยู่ไหนล่ะ ร่างของโยมก็เผาไปแล้ว แต่ชะตาของโยมยังไม่ถึงฆาต”
“คะ?!” อรกานต์อุทานเสียงสูง
“ใช่…ชะตาของโยมยังไม่ถึง อาตมาตรวจชะตาของโยมเมื่อวันก่อน แปลกใจว่ายังไม่หมดบุญทำไมถึงได้สิ้นลมหายใจจึงได้ขอพ่อโยมเก็บอัฐิไว้ก่อน คิดว่าสักวันโยมคงเข้ามาพบอาตมาแล้วโยมก็มาจริงๆ เสียด้วยสิ ผิดก็แต่ อาตมาคาดไว้ว่าโยมคงจะมาในรูปกายละเอียดอย่างเดียว ที่ไหนได้ โยมพากายหยาบมาด้วย แต่เป็นกายหยาบของคนอื่น”
นิลยาขนลุก มองคนข้างๆ ตาค้าง ถ้าไม่ได้มาเห็นหรือมาได้ยินอย่างนี้ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด เมื่อคืนเพื่อนได้พยายามยืนยัน อธิบาย หาหลักฐานต่างๆ มาเพิ่มเติมความน่าเชื่อถือ แต่หล่อนก็ยังยืนยันไม่เชื่อท่าเดียว ตอนนี้เห็นทีคงต้องเชื่อสนิทเสียแล้ว ดูเถอะ ใบหน้าของธีร์วราเริ่มเป็นสีแดงจัด เหงื่อเม็ดเป้งผุดแถวขมับเต็มไปหมด ทั้งๆ ที่ในห้องนี้ก็ไม่ได้ร้อนขนาดนั้น
“ตกลงใครเป็นผู้ตายล่ะคะหลวงพ่อ ร่างหนูถูกเผาไปแล้ว ตายไปแล้วนะคะ”
“ชะตาโยมยังไม่ถึง บุญยังไม่หมด”
“แล้วเจ้าของร่าง…”
“อาตมาไม่รู้ แต่ถ้าให้เดา อาตมาว่าเขานั่นแหละที่หมดบุญ”
“หมะ…หมาย…ความว่า…” อรกานต์พูดไม่ออก เหงื่อแตกพลั่กหนักกว่าเดิม
“โยมต้องใช้ร่างนี้ต่อไป จนกว่าจะหมดบุญ” ท่านยิ้มน้อยๆ ก่อนกล่าวต่อ “อีกนานเสียด้วยสิ ในชะตาของโยมนั้น ท่านว่าเจ้าชะตาจะอายุยืน มีฐานะการงานมั่นคง มีชีวิตคู่ที่ดี บั้นปลายสุขสบาย สรุปง่ายๆ ว่าดวงดี มีวาสนา”
“ต้องใช้ร่างนี้จนตาย” อรกานต์ครางเสียงแผ่ว
พระครูแจ้งหัวเราะหึๆ พลางปลอบอย่างใจเย็น “กรรมนะโยม ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามกรรม”
จากนั้นท่านก็เริ่มสอน “โยมควรฝึกจิต ฝึกสมาธิ ละวางทุกสิ่ง ไม่มีตัวเรา ไม่มีตัวเขา ไม่ยึดติดว่านั่นคือของเรา นั่นของเขา เมื่อละวางได้ ความชอบ ความโกรธ ความเกลียดก็จะไม่มีในจิต จิตจะสะอาด ปลอดโปร่ง แจ่มใส แล้วโยมจะไม่ร้อนใจยามเข้าใกล้พระพุทธองค์”
“ฝึกอย่างไรคะหลวงพ่อ ลองฝึกเลยได้มั้ยคะ ร้อนจะตายอยู่แล้ว”
พระสงฆ์ท่านยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเริ่มต้นสอนการทำสมาธิ
นิลยายิ้มอ่อนๆ ใจร้อนวู่วามอย่างนี้ ลุยเข้าหาปัญหาอย่างนี้ ท่าทางและน้ำเสียงแบบนี้ เพื่อนเราแท้ๆ แล้วหนอ ไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว
“แกจะเอายังไงวะ ไอ้อ้อ”
สองสาวเดินเคียงกันมา ทรุดกายลงนั่งใต้ต้นโพธิ์ใหญ่พร้อมกัน
อรกานต์ถอนหายใจก่อนตอบ “ยังไม่รู้เลยว่ะ มืดสนิท”
“ค่อยๆ คิดไป” คนเป็นเพื่อนปลอบ “ยังไงฉันก็คอยเป็นกองหนุนให้แกอยู่แล้ว”
“ขอบใจ”
อรกานต์หันหน้ามาทางเพื่อนสนิท สีหน้ากระอักกระอ่วนใจ “นิล ฉันถามอะไรแกหน่อย”
“อะไร”
“ตอบจริงๆ นะ”
“เออ”
“หน้าฉันกลายเป็นไทร่าไปแล้ว แกคุยกับฉันสนิทใจรึเปล่า เกลียดฉันรึเปล่า”
“ไอ้บ้า! คนข้างในมันเป็นแกนี่ ฉันกับแกคบกันมาคิดกันมาแบบไหน มันก็เป็นไปแบบเดิมนั่นแหละ ไอ้ประสาท คิดมากไม่เข้าเรื่อง”
“ขอบใจ” คนหน้าสวยตอบเสียงอ่อยๆ ยิ้มแห้งๆ แต่รู้สึกดีขึ้น
ตอนที่ 1
หญิงสาวชาวเอเชียขยับตัวน้อยๆ สะบัดผมยาวสลวยสีน้ำตาลไหม้ไปด้านหลัง ถอดหูฟังออกจากศีรษะ กดสวิตช์ปิดหน้าจอโทรทัศน์ส่วนตัว ก่อนจะพลิกกายอีกครั้งเพื่อหาท่านอนที่ถนัด
ขนาดเดินทางด้วยที่นั่งโดยสารชั้นธุรกิจซึ่งมีขนาดกว้างขวาง สะดวกสบาย อรกานต์ก็ยังคิดว่าหล่อนคงนอนไม่หลับ อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้แล้วที่หล่อนจะเริ่มชีวิตใหม่ในบทบาทของธีร์วรา ภคภัทราอย่างเต็มภาคภูมิ เวลาที่ผ่านมาสามปี นานพอที่จะหลอมอรกานต์คนใหม่และธีร์วราคนใหม่ให้ผสมกลมกลืนกันได้อย่างแนบเนียน หล่อนจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเริ่มชีวิตใหม่ในร่างนี้อย่างปกติสุข
หญิงสาวหลับตาลง ปล่อยความคิดให้ลอยไปหาเรื่องราวในอดีต เริ่มตั้งแต่เมื่อหล่อนตื่นขึ้นมาพบตัวเองอยู่ในร่างของสาวสวยที่ชื่อ ธีร์วรา ภคภัทรา ช็อกครั้งใหญ่ตามมาเมื่อพบว่าร่างของหล่อนหาชีวิตไม่แล้ว อรกานต์แทบไม่มีเวลามานั่งโศกาอาดูรสังขารตนเลยด้วยซ้ำ ภายหลังที่ทราบแน่ชัดแล้วว่าหล่อนจะต้องติดอยู่ในร่างนี้ไปตลอดชีวิต ก็ดูเหมือนจะมีภารกิจล้านแปดรอให้หล่อนจัดการให้ลุล่วง
เช้าแรกหลังจากกลับจากวัดวันนั้น อรกานต์เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการใส่บาตรแต่เช้า เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ไทร่าตัวจริง ตามด้วยการนั่งสมาธิในห้องพระอีกครึ่งชั่วโมง ตามคำกำชับของท่านพระครูแจ้งที่ว่า ‘หมั่นทำบุญให้เจ้าของร่างเขา อโหสิกรรมให้กัน และพยายามทำให้กายและใจรวมเป็นหนึ่ง แล้วโยมจะอยู่ต่อไปได้อย่างไม่ลำบาก’
เวลาที่เหลือของวัน หล่อนใช้ในการสำรวจคฤหาสน์หลังใหญ่นั้นทั้งหลัง ออกห้องนั้นทะลุห้องนี้จนพอจำทางได้ รื้อโน่นค้นนี่จนพอรู้ว่ามีสมบัติชิ้นใดเก็บไว้ตรงไหนบ้าง หนำซ้ำยังไปค้นเอาอัลบั้มรูปเก่าๆ ออกมาเปิดดู เรียกแดงมาคอยถามว่าคนนั้นใครคนนี้ใคร ทำท่านึกออกบ้างไม่ออกบ้างให้ดูสมจริงเป็นธรรมชาติ เก็บเกี่ยวข้อมูลให้ได้มากที่สุด และจบวันด้วยความเหนื่อยชนิดอ่อนเปลี้ยเพลียแรงทั้งกำลังกายและกำลังสมอง
วันต่อมาเป็นการสังคายนาห้องนอนขนานใหญ่ในช่วงเช้า เริ่มจากตู้เสื้อผ้าใบยักษ์สองใบ อรกานต์เลือกเสื้อผ้าที่หล่อนคิดว่ามันเปิดเผยเสียจนหล่อนรับไม่ได้ออกไปจนหมดสิ้น พร้อมทั้งเลือกดูข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่หล่อนคิดว่าคงไม่ใช้แน่นอน เก็บลงลังให้เรียบร้อย งานนี้หล่อนได้แดงเป็นมือขวาคนสำคัญ คอยช่วยเหลืออย่างดี แถมยังไม่ซักถามอะไรให้จุกจิกกวนใจเสียอีก หล่อนจึงเริ่มถูกชะตากับเด็กอีสานผิวขาวคนนี้อย่างง่ายดาย ส่วนในช่วงบ่ายเป็นช่วงที่อรกานต์เก็บตัวอยู่คนเดียวในห้องนอน ค้นนิตยสารแฟชั่นทั้งหลายแหล่ที่อยู่ในห้องมาเปิดดูอย่างละเอียดทุกเล่ม พยายามศึกษาหาแนวทางที่ลงตัวว่า half อรกานต์ half ธีร์วรานั้นจะออกมาเป็นผู้หญิงแนวไหนกันแน่ คิดไว้คร่าวๆ ก่อนเพื่อเตรียมตัวสำหรับการช็อปปิ้งขนานใหญ่ระดับงานช้างที่จะตามมา
เครื่องสำอางดูจะเป็นของใช้อย่างเดียวในห้องที่อรกานต์ไม่แตะต้องเลย ก็ถ้าไทร่าเขาสวยเช้งวับเพราะเครื่องประทินผิวเหล่านี้ มันก็ไม่ใช่กงการอะไรของหล่อนที่จะต้องมาทำให้เขาน่าเกลียดลงนี่นา เดี๋ยวใครจะว่าได้ว่าเขาสวยของเขามาแต่ไหนแต่ไร พอหล่อนมาอยู่ไม่กี่วัน สง่าราศีเขาหมองจนกลายเป็นคนละคน อรกานต์จึงตัดสินใจเก็บเครื่องสำอางทุกชนิดเอาไว้ ตั้งใจว่าจะศึกษาวิธีการใช้อย่างละเอียดอีกที ยังไงก็ต้องถนอมความงามของเขาไว้เหมือนกับที่เจ้าตัวเขาถนอมของเขาเอง มาใช้ร่างของเขาแล้วก็ต้องดูแลให้ดี
แล้ววันที่สาม สี่ ห้า ก็เป็นการตะลุยช็อปปิ้งชนิดอลังการงานสร้าง ซื้อเสื้อผ้าทั้งหลายกับของใช้ที่จำเป็นต่างๆ ชนิดยกเครื่องโดยมีนิลยาเป็นทั้งกุนซือและลูกมือผู้ทรงประสิทธิภาพ เรื่องเงินไม่ต้องพูดถึง เพราะเพียงหล่อนเปรยๆ ว่าอยากจะออกไปเลือกซื้อเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ พร้อมทั้งอ้างหลักฐาน ลังสินค้าเตรียมบริจาคหลายใบ คุณหญิงวราภรณ์ก็เอื้อเฟื้อเงินสดๆ มาร่วมแสนโดยไม่ปริปากบ่นอะไรสักคำ นอกจากท้วงอ่อนๆ ว่า ‘บัตรเครดิตหนูก็มีนี่คะลูก วงเงินไม่พอหรือ’
อรกานต์ยิ้มแหย ไม่กล้าบอกว่าลายเซ็นไม่เหมือนกัน จึงได้เลี่ยงไปตอบตามความจริงเพียงครึ่งเดียวว่า ‘บางร้านไม่รับบัตรเครดิตค่ะ’ เพียงเท่านี้จากวงเงินร่วมแสนก็เด้งไปเป็นแสนกว่า ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมไทร่าตัวจริงเสียงจริงจึงใช้เงินอย่างกับเบี้ย
เมื่อจัดการเรื่องเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว อรกานต์ก็ไม่ลืมที่จะดูแลเรื่องเอกสารต่างๆ หล่อนแจ้งไปยังธนาคารทุกแห่งที่ธีร์วราใช้บริการ ขอดำเนินการเรื่องการเปลี่ยนลายเซ็นให้เรียบร้อย ระหว่างนี้ก็พึ่งพิงนิลยาให้จ้างนักสืบเอกชนสืบเรื่องราวและประวัติของธีร์วรา ภคภัทราโดยละเอียดอย่างด่วนที่สุด ไม่ลืมที่จะหาข้อมูลจากบุคคลสำคัญยิ่งอีกสองคนด้วย นั่นคือ พลเอกธาริต และคุณหญิงวราภรณ์ ภคภัทรา
นับว่ามุกความจำเสื่อมชั่วคราวของหล่อนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทั้งท่านนายพลและคุณหญิงสลับกันมาใช้เวลาอยู่กับหล่อนมากขึ้น เล่าโน่นเล่านี่ให้ฟัง ทั้งยังถึงกับพาไปยังสถานที่แห่งความหลังบางแห่งอีกต่างหาก และจากเท่าที่ฟังมา ดูเหมือนว่าแค่ช่วงสองสัปดาห์นี้ หล่อนได้ใกล้ชิดกับท่านทั้งสองมากกว่าลูกสาวแท้ๆ ของท่านที่เคยได้ใช้เวลาอยู่กับท่านในช่วงสองเดือนเสียอีก ธีร์วราโตขึ้นมากับเงินทอง ของมีค่าต่างๆ กับการรับรู้ว่าพ่อแม่รักหล่อนเต็มหัวใจ แต่ไม่ได้โตมาอย่างผู้ที่ได้รับไออุ่นความรักจากพ่อแม่โดยสมบูรณ์
ทุกนาทีที่ได้ใกล้ชิดกับบุพการีทั้งสอง อรกานต์สามารถรับรู้ได้ถึงความรักท่วมท้นที่ท่านมีให้ ขาดเพียงแต่เวลาเท่านั้นที่ท่านให้มากไม่ได้ ซึ่งนั่นก็คงส่งผลให้ไทร่ากลายเป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่นและมีพฤติกรรมดังที่แสดงออกมา
หล่อนต้องเก็บตัวอีกระยะสำหรับการรวบรวมข้อมูลชีวิตส่วนตัวของไทร่า ภคภัทรา ท่องจำให้ได้ขึ้นใจ และวางแผนการต่อไปว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร
เช่นเคย ขั้นตอนสำคัญเช่นนี้ ย่อมต้องมีคนสำคัญอย่างนิลยาร่วมเป็นหัวเรือใหญ่
‘หา! จะลาออก’ เพื่อนสาวของหล่อนโวยเสียงดัง พลางทำตาโตเท่าไข่ห่าน
‘เออ!’ อรกานต์ตอบห้วนๆ
‘คิดยังไงของแกวะ เทอมนี้เทอมสุดท้ายแล้ว เรียนอีกไม่กี่เดือนก็จบ’
‘แกจบ ฉันจบ แต่ไทร่ามันไม่จบ ฉันไปดูคะแนนมาแล้ว ต่อให้เทวดาก็ยังต้องเรียนอีกปีนึงเต็มๆ สองเทอมเชียวนะโว้ย อายชาวบ้านเค้ายังไม่พอ ไอ้ที่ต้องไปเรียนนั่นก็เรียนมาแล้วทั้งนั้น เสียเวลาว่ะ อีกอย่าง ฉันทนอึดอัดไม่ไหวหรอก พวกแกทุกคนไม่ชอบไทร่า และฉันก็เกลียดเพื่อนๆ ของไทร่าทุกคน เดินเข้าไปในมหา’ลัย ฉันจะไปคุยกับแมวที่ไหนได้วะ’
นิลยาอึ้งไป และจำต้องยอมรับในเหตุผล ‘แล้วแกจะทำไงต่อ’
‘ทำงาน’
‘งานอะไร คงมีคนเค้ารับแกหรอก ปริญญาก็ไม่มี แถมไทร่านิสัยก็ดี๊ดี สุดขยัน โคตรเอาการเอางาน ใครจะกล้ารับเข้าทำงานเฮอะ ถามหน่อย’
‘ก็บริษัทที่นายพลธาริตมีหุ้นอยู่ไง’
‘แล้วแกจะทำงานบริษัทได้เร้อ แกจบจิตรกรรมนะเฟ้ย ไหนว่าอยากเป็นครูสอนศิลปะ อยากเรียนต่อทางอาร์ต แล้วเป็นอาจารย์มหา’ลัยอย่างแม่แก’
‘ก็ตอนนี้ มันมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ความฝันก็เลยต้องเปลี่ยนแผนนิดหน่อย’
‘เหอะ คิดให้ดีๆ ก่อน อย่าเพิ่งรีบลาออกเลย ยังไงแกลองไปปรึกษาท่านนายพลกับคุณหญิงก่อนดีมั้ย ยังไงตอนนี้ท่านก็เป็นพ่อแม่แก ทำอะไรก็เห็นแก่ท่านบ้าง’
นั่นแล หล่อนจึงได้นำเรื่องราวขึ้นปรึกษาท่าน ดูจากท่าทางแปลกใจแล้ว คิดว่านี่คงเป็นครั้งแรกแน่ๆ ที่ผู้เป็นลูกเลือกพ่อแม่เป็นที่ปรึกษาในเรื่องสำคัญของชีวิต กระนั้นท่านก็ยังสละเวลามาให้คำแนะนำปรึกษาด้วยความเต็มใจ (แม้จะต้องนัดเวลาเข้าพบท่านก็ตาม) สุดท้ายทั้งอรกานต์และบุพการีของธีร์วราก็ได้ข้อสรุปที่เป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่าย
ท่านอยากให้ลูกสาวลาออกอยู่แล้ว ด้วยเกรงว่าคดีขับรถชนคนตายจะส่งผลกระทบกดดันต่อสภาพสังคมในมหาวิทยาลัย
หล่อนเองก็อยากจะตั้งต้นใหม่ เริ่มต้นความเป็นธีร์วราใหม่ที่ไหนสักแห่ง แต่คิดไม่ออกว่าจะเริ่มตรงไหน และอย่างไรดี
สุดท้ายท่านนายพลจึงเสนอการศึกษาวิชาการโรงแรมที่ประเทศในทวีปยุโรป ใช้เวลาเรียนเพียงสองปี จบแล้วสามารถทำงานได้ทันทีด้วยเครดิตที่เป็นที่ยอมรับ ที่สำคัญหล่อนสามารถเข้าทำงานที่โรงแรมในเครือพรหมภัทรา ซึ่งคุณสาริศ ภคภัทรา น้องชายของท่านถือหุ้นใหญ่ได้ทันที
อรกานต์ตกลงอย่างง่ายดาย ก็ดีกว่านี้มีอีกมั้ยล่ะ ไปตั้งต้นที่ต่างประเทศ ได้เรียน ได้ประกาศนียบัตรภายในเวลาไม่นาน และได้งานทันทีหลังเรียนจบ วิเศษสุดๆ แล้ว
ที่ทวีปยุโรป นักศึกษาสาวได้เริ่มต้นใหม่อย่างแท้จริง ในช่วงปีแรก หล่อนทุ่มเต็มที่กับการเรียนภาษาให้สามารถสื่อสารได้ทัดเทียมกับเจ้าของภาษา อีกทั้งยังฝึกกลยุทธ์ทั้งหลายแหล่เพื่อสร้าง ‘มาดไฮโซอย่างเป็นธรรมชาติ’ (ตามคำเรียกของนิลยา) ด้วยตนเอง โดยการสังเกตบุคคลอื่นๆ จากภาพทางโทรทัศน์ รวมถึงจากคู่มือหลากหลายที่นิลยาตะเกียกตะกายหามาให้ ส่วนปีที่สองและสามนั้น อรกานต์ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนวิชาการโรงแรมของหล่อน ทุ่มเทให้กับหลักสูตรการศึกษาอย่างเต็มที่ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ แม้จะไม่ได้มีผลการเรียนที่ดีเป็นเลิศ หากหล่อนก็คิดว่า หล่อนทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว เคราะห์ดีที่มีวิชาเลือกอยู่ตัวหนึ่งซึ่งแปลเป็นไทยแล้วได้ใจความใกล้เคียงกับวิชาการฝึกฝน ‘มาดไฮโซอย่างเป็นธรรมชาติ’ ตามที่นิลยาต้องการด้วย การชุบตัวที่ต่างประเทศครั้งนี้จึงได้จบลงอย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ
อรกานต์คนใหม่ไม่ใช่ศิลปินสาวห้าว มาดเซอร์อีกต่อไป หล่อนยอมเสียเวลากว่าชั่วโมงทุกเช้าจัดการกับเครื่องประทินผิวนานาชนิดรวมทั้งแต่งหน้าและจัดทรงผม แรกๆ ก็รำคาญใจนิดหน่อย เพราะรู้สึกเสียดายเวลานอน หากนานวันเข้าก็เริ่มชิน เช่นเดียวกัน ธีร์วราคนใหม่ก็ไม่ใช่สาวสวยที่มีดีเพียงแค่รูปร่างหน้าตา แต่ชีวิตเหลวไหลไร้แก่นสารอีกต่อไป ธีร์วราคนนี้มีทั้งความขยันหมั่นเพียร ความอดทน ความรับผิดชอบ ความกระตือรือร้นและทุ่มเทให้กับการงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่
บัดนี้ ธีร์วรา ภัคภัทรา งามพร้อมทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ
อรกานต์ไม่ทันคิดเลยว่ากิจวัตรประจำวันของหล่อนที่จะต้องสวดมนต์และนั่งสมาธิอยู่ทุกวัน ใส่บาตรหรือทำสังฆทานทุกครั้งที่มีโอกาสนั้นจะยิ่งช่วยเสริมให้ร่างนี้ดูสดใส งามผ่องแผ้วทั้งภายนอกและภายใน หล่อนคิดเพียงแค่ต้องการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านพระครูอย่างเคร่งครัด ท่านว่าให้สวดมนต์และทำสมาธิทุกวัน หล่อนก็ตั้งใจทำทุกวัน เพราะการสวดมนต์และการทำสมาธินั้นช่วยให้กายและใจรวมเป็นหนึ่ง เกิดภาวะจิตสะอาด ก่อเกิดกุศลจิต และจากกุศลจิตนี้ หล่อนขออุทิศไปยังเจ้าของร่าง บิดามารดาของหล่อน และบิดามารดาของธีร์วรา
ไทร่าเสียไปโดยไม่มีใครรู้ คงจะไม่มีใครทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ วิญญาณเร่ร่อนระหกระเหินหรือลำบากเพียงใดมิอาจทราบได้ เมื่อหล่อนได้เข้ามาอาศัยร่างของเขาอยู่อย่างสุขสบาย หล่อนจึงมิอาจนิ่งดูดายอยู่เสวยสุขแต่เพียงผู้เดียว หล่อนจึงหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้มิได้ขาด
บิดามารดาของหล่อนนั้นเล่า ท่านให้กำเนิด เลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ ยังมิได้ทดแทนคุณอันใด ร่างกายก็มาหมดลมหายใจลงเสียแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะได้เลี้ยงดูตอบแทนยามท่านแก่ชรา ทางเดียวที่พอจะแสดงความกตัญญูกตเวทิตาได้บ้าง ก็คงจะมีเพียงการหมั่นสร้างกรรมดี สร้างบุญ สร้างกุศล อธิษฐานจิต ภาวนาขอให้ท่านได้อยู่ดีมีสุขทั้งกายและใจ
สุดท้าย บุพการีของธีร์วรา ซึ่งขณะนี้อรกานต์ทั้งรักและเคารพประดุจบุพการีของหล่อนเอง หล่อนจึงตั้งใจแน่วแน่ที่จะทดแทนพระคุณท่านให้เต็มที่เท่าที่ลูกสาวคนหนึ่งจะพึงตอบแทนให้ท่านได้ ไม่ว่าจะเป็นการประพฤติตนอยู่ในกรอบที่ดีงาม สร้างความภาคภูมิใจ หรือกระทั่งหมั่นสร้างบุญและอธิษฐานกุศลจิตถึงท่าน
ด้วยเหตุที่จำเป็นต้องอุทิศส่วนกุศลให้คนโน้นคนนี้หลายคนเหลือเกิน การปฏิบัติศาสนกิจจึงถือเป็นกิจวัตรจำเป็นที่หล่อนจะขาดเสียไม่ได้ ตอนยังอยู่ที่ประเทศไทย หล่อนก็ใส่บาตรทุกเช้า สวดมนต์และนั่งสมาธิทุกเย็น ทำสังฆทานเดือนละครั้ง ครั้นอยู่ไกลถึงทวีปยุโรป หาวัดไทยได้ยาก หล่อนจึงตั้งจิตภาวนา สวดมนต์และนั่งสมาธิให้นานขึ้น บางคราวก็ตามเพื่อนไปโบสถ์ ปฏิบัติตามกิจของคริสตศาสนิกชนดูบ้าง บริจาคเงินให้โบสถ์บ้าง คิดเสียว่าได้ทำบุญเหมือนกัน ผลบุญคงแผ่ไปถึงบุคคลเหล่านั้นได้เหมือนกัน คิดมันง่ายๆ อย่างนี้แหละ
หญิงชาวเอเชีย ผมสีน้ำตาลไหม้พลิกกายปรับเปลี่ยนอิริยาบถอีกครั้ง เปิดดวงตาหวานซึ้งขึ้น เหลือบมองนาฬิกาข้อมือแวบหนึ่งพลางถอนใจ
มัวแต่คิดนั่นคิดนี่สะเปะสะปะไปหมด จนผ่านมาเกือบสองชั่วโมงแล้วยังไม่ได้หลับสักนาทีเลย เฮ้อ! เดี๋ยวก็เปิดหน้าจอโทรทัศน์นั่งเล่นเกมเสียนี่ เล่นมันให้ครบทุกเกม ให้มันตื่น ให้มันส์หฤหรรษ์ในอารมณ์ไปเลยดีมั้ย
กระนั้นก็ทำได้เพียงคิด อรกานต์รู้ตัวดีว่าหล่อนจำเป็นต้องนอนให้หลับ ถ้ายังอยากอยู่ห่างจากหมอจากยา ร่างกายอันงดงามนี้ไม่ได้แข็งแรง แข็งแกร่งอย่างร่างเดิมของหล่อน แต่แรกมาแล้ว เมื่อคราวช็อปปิ้งครั้งมโหฬารถึงสามวันติดต่อกัน หล่อนถึงกับไม่สบาย อ่อนเพลียจนต้องชงน้ำเกลือแร่ดื่ม ซึ่งอรกานต์ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่านั่นเป็นแค่อาการขั้นเด็กๆ เท่านั้น ต่อมา เมื่อหล่อนต้องเข้าไปให้น้ำเกลือในโรงพยาบาลถึงสามครั้ง เป็นไข้อีกนับครั้งไม่ถ้วนที่อาจหาญใช้ร่างกายนี้อย่างสมบุกสมบันเหมือนกับที่เคยใช้ร่างเดิม ไม่ว่าจะเป็นการอดนอน การตากแดด ตากลม หรือตากฝน
อรกานต์จึงเรียนรู้ที่จะประนีประนอมกับร่างกายอันมีขีดจำกัดนี้ ดังนั้นแม้หล่อนจะเรียนหนักหรือมีธุระปะปังมากมายขนาดไหนก็ตาม หล่อนจะพยายามเจียดเวลานอนให้ได้อย่างน้อยหกชั่วโมงเสมอ พยายามหลีกเลี่ยงการตากแดดนานๆ และจะไม่พาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางสายฝนหรือละอองหิมะเด็ดขาด โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศกำลังเปลี่ยนแปลง ยิ่งต้องคอยดูแลรักษาสุขภาพมากเป็นพิเศษ เป็นไข้จนต้องฉีดยาและให้น้ำเกลือนั้นเป็นเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์เสียเลย
อดีตสาวมาดเซอร์ยิ้มขำ ไม่ใช่แค่ต้องระวังเรื่องปวดหัวตัวร้อนเท่านั้นหรอกนะ คุณไทร่าเธออ่อนแอ บอบบางไปทั้งเนื้อทั้งตัว นึกถึงเมื่อคราวที่หล่อนฝึกการเดินด้วยรองเท้าส้นสูง ขนาดแค่เดินไปเดินมาอยู่ภายในห้อง ไม่ได้ไปตากแดดตากลมที่ไหนเลย หล่อนยังต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการกล้ามเนื้ออักเสบ! หรืออีกคราวที่หล่อนรับประทานอาหารเสียอิ่มเต็มอัตราในปาร์ตี้วันเกิดของเพื่อนคนหนึ่ง รุ่งขึ้นหล่อนก็ต้องเข้าพบแพทย์ และกลับออกมาด้วยคำวินิจฉัยว่า ทานอาหารมากเกินไป กระเพาะและลำไส้จึงไม่ทำงาน!
จะว่าไป หล่อนก็ต้องปรับตัวมากมายหลายอย่างเหมือนกัน ไม่รู้ว่าถ้าไทร่าไปอยู่ในร่างของหล่อนบ้าง เธอผู้นั้นจะปรับได้มากเท่าหล่อนในเวลานี้หรือเปล่า คิดๆ แล้วหล่อนก็ได้เรียนรู้ และเข้าใจอะไรเกี่ยวกับธีร์วราคนเดิมมากมายหลายอย่างทีเดียว จากเดิมที่มีแต่ความโกรธ ความเกลียดมอบให้ บัดนี้นอกจากความเข้าใจแล้ว บางคราวเธอยังนึกสงสารและเห็นใจอีกด้วย ไม่แปลกหรอกที่ธีร์วราคนเดิมจะเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่มีความจริงใจให้ใครทั้งสิ้น และมีสายตาราวกับจะเย้ยหยันคนทั้งโลก ก็เพราะในโลกรอบกายของเธอผู้นี้ ไม่เคยมีใครหยิบยื่นความจริงใจให้เธอเลย
ตั้งแต่เล็กมาแล้ว พี่เลี้ยงแต่ละคนก็เพียงแค่เลี้ยงดูตามหน้าที่ ทำงานให้สมกับเงินเดือนที่ได้รับเท่านั้น ไม่มีคนไหนที่จะรักใคร่ผูกพันกับเธออย่างแท้จริง กับเพื่อนหรือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ขนาดหล่อนพยายามหลบหลีกเพื่อนๆ ของไทร่าทุกกลุ่มแล้วนะ หากก็มีบ้างที่เลี่ยงไม่ได้ อรกานต์ยังรู้สึกว่าเพียงแค่เวลาไม่นานที่ได้สนทนากัน หล่อนสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความเสแสร้งและมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ของแต่ละคน ไทร่ามีแต่เพื่อนแบบนี้มาทั้งชีวิต…ไม่เหงาแย่หรือ
อรกานต์เคยโทษว่าไทร่าเองนั่นแหละที่ไม่เลือกคบคนที่จริงใจ ดูอย่างหล่อนสิ หล่อนเคยได้พยายามผูกมิตรกับไทร่ามาแล้วแต่ไม่เป็นผล อาจเป็นไปได้ว่าไทร่านั้นมีบทเรียนสาหัสสากรรจ์มาแล้วจากเพื่อนเก่าที่ไว้ใจ เธอจึงไม่กล้าที่จะวางใจใครอีก เลือกคบแต่คนที่รู้แน่ว่าเสแสร้งและรักษาความสัมพันธ์ไว้แค่ผิวเผินตั้งแต่ต้น ดูจะปลอดภัยกว่า…นี่หล่อนก็กำลังจะกลับประเทศไทย คงต้องเตรียมตัวเตรียมใจคอยหลบ คอยระวังมิตรสหาย ‘เพื่อนกิน’ ทั้งหลายของไทร่าให้ดีเหมือนกัน…
อรกานต์รู้สึกตัวตื่น เมื่อแอร์โฮสเตสสาวสะกิดปลุกเพื่อเสิร์ฟอาหารเช้า เหลือบมองนาฬิกาข้อมือแล้วก็นึกดีใจที่ได้หลับบ้าง แม้ว่าจะแค่สองสามชั่วโมงก็ตาม หล่อนเริ่มทานอาหารช้าๆ พลางนึกถึงอนาคตอันใกล้ ลงจากเครื่องไป ก็คงพบนิลยาเป็นคนแรก เนื่องจากหล่อนไม่ได้บอกใครที่บ้านไว้ เมื่อคุณหญิงท่านถาม หล่อนยังตอบไปว่า ‘สัปดาห์หน้าน่ะค่ะ ไปถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ไทร่านั่งแท็กซี่กลับเองได้ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง’
และอีกไม่กี่วันก็คงจะเริ่มงานในโรงแรมพรหมภัทรา สาขากรุงเทพฯ อย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าหากทำงานไปสักระยะ หล่อนอาจจะขอย้ายไปประจำที่พรหมภัทรา วิลเลจ จังหวัดเชียงใหม่ หรือพรหมภัทรา ซีไซด์ จังหวัดภูเก็ตก็ได้ อนาคตสดใสกำลังรออยู่
อรกานต์อิ่มเมื่อทานไปได้เพียงครึ่งเดียว จะด้วยความอ่อนเพลียหรือตื่นเต้นก็มิอาจทราบได้ ดังนั้นหล่อนจึงใช้เวลาที่เหลืออีกไม่นานบนเครื่องบิน นั่งเล่นเกมกับจอโทรทัศน์ส่วนตัวจนถึงจุดหมายปลายทาง
ที่ประตูทางออกของผู้โดยสารขาเข้า มีนิลยายืนรออยู่จริงๆ สาวผิวคล้ำหน้าคมยืนกอดอกคอยอยู่ด้วยท่วงท่าสบายๆ หากเป็นชายคงทั้งหล่อและเท่เอาการทีเดียว เพราะขนาดเป็นหญิงก็ยังมีสาวหลายคนที่อดชำเลืองมองไม่ได้ อรกานต์มองท่าทีไม่อนาทรใดๆ ของเพื่อนแล้วยิ้มขำในใจ เออแฮะ…สามปีผ่านไป นอกจากหน้าตาทรงผมมันจะไม่เปลี่ยนสักกระเบียดแล้ว ท่ามันยังเหมือนเมื่อสิบปีที่แล้วไม่มีผิด
สองสาวต่างบุคลิกยิ้มให้กัน ยืนจ้องสำรวจกันอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะยกมือซ้ายของตนขึ้นตีกับมือซ้ายของเพื่อนเพื่อแสดงการทักทาย
“ไง! ดูโรยมาเชียว”
“ได้นอนแค่สองสามชั่วโมงเอง จะให้ดูสดใสขนาดไหนล่ะวะ”
“งั้นมา เดี๋ยวเข็นรถให้ กระเป๋ามีแค่ไอ้จัมโบ้สองใบนี่ใช่มั้ย ”
อรกานต์พยักหน้า ก่อนถาม “แล้วจะไปไหนก่อนดี บ้านแก? บ้านฉัน?”
“บ้านแกก็ได้ กว้างดี ฉันโทรไปบอกแดงแล้วว่าแกจะกลับวันนี้ ให้เตรียมทำความสะอาดห้องไว้ ดีไม่ดี ป่านนี้ทั้งท่านนายพลทั้งคุณหญิงก็รอต้อนรับแกอยู่ที่บ้านนั่นแหละ เผลอๆ ป้าสายใจคงเตรียมอาหารชุดใหญ่ไว้คอย” นิลยาว่าพลางหัวเราะ
“ไอ้นิล ไอ้ตัวแสบ ฉันอุตส่าห์ไม่บอกใครว่าจะกลับวันนี้ แล้วนี่คุณพ่อคุณแม่ท่านจะเห็นฉันเป็นลูกแบบไหนวะ บอกเพื่อนแต่ไม่บอกท่าน”
“ท่านไม่ว่าอะไรร้อก เราซี้กันแล้ว สามปีเต็มเชียวนะที่ฉันเป็นม้าเดินสาร คอยเอาจดหมายกับของฝากจุ๊กจิ๊กของแกไปให้ท่านกับคนในบ้าน เดี๋ยวนี้คนทั้งคฤหาสน์ต้อนรับขับสู้ฉันอย่างดี”
อรกานต์ทำเสียงชึในลำคอ เดินตามเพื่อนไปยังที่จอดรถแต่โดยดี นิลยาตรงไปยังรถยนต์กลางเก่ากลางใหม่สีเข้มคันหนึ่ง ไขกุญแจที่กระโปรงหลังรถ
“รถแกเหรอวะ นิล” อรกานต์ถามพลางช่วยเพื่อนยกกระเป๋าใบใหญ่เข้าหลังรถ
“แล้วแกนึกว่ารถใคร” เสียงนั้นติดจะห้วน คนถามเลยรีบอธิบาย
“ก็ถามดู เข้าใจว่าของแก แต่เห็นแกบอกว่าเพิ่งซื้อ แต่คันนี้มัน…ดูไม่เหมือนเพิ่งซื้อเท่าไหร่”
“มือสอง” คนตอบอธิบายง่ายๆ จัดกระเป๋าเข้าในกระโปรงท้ายได้ ก็ปิดฝาดังปัง
“เก่งจังนิล ทำงานสองปีกว่า เก็บเงินซื้อรถเองได้แล้ว”
เพื่อนกับเพื่อนเดินเคียงกันเข้าที่นั่งตอนหน้าคนละฝั่ง คนผิวคล้ำสตาร์ตรถ
“ต้องขอบใจแกด้วย งานสบาย เงินดี สนุก มีความสุข”
“ขนาดนั้นเลย?”
“เออ ที่ประจวบฯ อากาศดี งานประจำในแผนกกิจกรรมก็สนุก สอนเด็กวาดรูประบายสี เพ้นต์ผ้าบาติก ทำตุ๊กตาปูนปลาสเตอร์ บางทีก็สอนผู้ใหญ่วาดภาพสีน้ำ เพ้นต์เสื้อ เพ้นต์กางเกง บางครั้งรูปที่วาดไว้หรืองานที่เพ้นต์ไว้ก็มีคนมาขอซื้อ ฟลุคๆ ยังมีคนมานั่งให้เป็นแบบวาดรูปเลย ได้ทั้งเงินเดือน ได้ทิป ได้ขายของ สบายด้วย สนุกด้วย”
“ดีจังว่ะ ไว้ฉันทำที่โรงแรมในกรุงเทพฯ สักพัก แล้วขอย้ายไปอยู่หัวหินกับแกดีกว่า”
นิลยายิ้ม “มาสิ จะได้อยู่ด้วยกัน”
“แล้วมีคนมาจีบมั่งรึเปล่า ผิวสีน้ำผึ้งอย่างนี้ ฝรั่งชอบกันนัก”
“โอ๊ย…” คนผิวสีน้ำผึ้งหัวเราะ “ทั้งฝรั่ง ไทย จีน ญี่ปุ่น นิโกร ไม่มีทั้งนั้นแหละ”
“ไม่จริงมั้ง ฉันว่าทั้งฝรั่ง ไทย จีน ญี่ปุ่น นิโกร มีมาทั้งน้าน แถมยังมีทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายอีกต่างหาก”
จากสีหน้าที่เรื่อขึ้นของเพื่อนสาว อรกานต์จึงรู้ได้ในทันทีว่าหล่อนเดาถูก นิลยาเป็นสาวหล่อต้องตาทั้งหญิงและชายจึงมีคนมาทักทายอยู่เสมอ
“ว่าแต่แกเถอะไอ้อ้อ ขาวจั๊วะน่าเจี๊ยะอย่างนี้ มีใครมาเจ๊าะแจ๊ะบ้างรึเปล่า”
“ก็บอกไปแล้วไง” คนขาวจั๊วะแกล้งทำเสียงหน่าย “บอกแล้วว่าหัวกระไดไม่แห้ง ใครเข้ามาแจ๊ะบ้าง ฉันก็เล่าให้แกฟังไปหมดแล้ว”
“แกก็เล่าแต่ที่แกโนเค มีใครที่แกโอเคบ้างรึเปล่าล่ะ”
“ไม่มี บอกตรงๆ เลยว่า ฉันไม่กล้าไว้ใจใคร ดูไม่ออกเลยว่าใครคิดจริงจัง ใครคิดอยากได้แต่ตัว ไทร่าเค้าสวยจนน่ากลัว ต้องตาใครต่อใครทั่วไปหมด อันตราย”
“เฮ้อ!” คนขับรถแกล้งถอนใจเสียงดัง “เกิดมาสวยก็ลำบากเงี้ย”
“เออ” คนหน้าหวานหันมาทำตาดุใส่คนหน้าคม น้ำเสียงจริงจังเมื่อกล่าวต่อ “ลำบากกว่าที่คิดจริงๆ ทั้งสวย ทั้งรวย พ่อแม่เป็นคนใหญ่คนโต จะกระดิกไปทางไหนก็มีแต่คนคอยจับตามอง อึดอัด วางตัวลำบาก ดีนะที่ฉันไปปรับตัวที่เมืองนอก ไม่มีใครสนใจใครเท่าไหร่ ถ้าฉันอยู่แต่ในเมืองไทยตอนนี้อาจอึดอัดตายไปแล้วก็ได้”
นิลยาถอนใจ เหลือบตามองคนข้างๆ แวบหนึ่ง ธีร์วราปล่อยผมสีน้ำตาลไหม้สยายเต็มแผ่นหลังตามธรรมชาติ ใบหน้าเนียนเกลี้ยงปราศจากเครื่องสำอางใดๆ แต่งแต้ม สวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวเรียบๆ ปักยี่ห้อหรูตรงหน้าอกกับกางเกงยีนสีอ่อน รองเท้าผ้าใบคู่เก๋สีเทา ดูสบายๆ แต่ไฮคลาส เพื่อนรักปรับตัวได้ดีทีเดียว ความเป็นอรกานต์ฉายชัด หากความเป็นธีร์วราก็ปรากฏ หล่อนเชื่อว่าเพื่อนจะไปรอด รอดอย่างดีด้วย ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล
คิดได้ดังนั้นจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเจือรอยยิ้ม “แหม ขนาดลำบากยังมีผลงานเนี้ยบขนาดนี้ ต่อไปฉลุยแน่ ฉันว่าแกไม่ต้องกลัวอะไรแล้วแหละ เชอะ เป็นคนสวยแค่ไม่กี่ปีทำมาบ่น”
อีกฝ่ายจึงได้แต่หัวเราะเบาๆ
อรกานต์รู้สึกเต็มตื้นขึ้นมาในหัวอกทันทีที่ก้าวเท้าเข้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ขนาดอยู่อาศัยเพียงแค่หกเดือนก่อนจะเดินทางไปต่างประเทศ กลับมาคราวนี้กลับรู้สึกผูกพันเหมือนได้กลับบ้าน…ดีใจ อบอุ่นใจ…
จริงอย่างที่นิลยาว่าไว้ ต้นห้องของหล่อนมารอเตรียมช่วยยกกระเป๋า แม่ครัวเตรียมอาหารไว้พร้อม ท่านนายพลกับคุณหญิงออกไปทำงานแต่ก็ได้สั่งไว้ว่าเย็นนี้ท่านจะมารับไปทานอาหารนอกบ้าน อรกานต์ยิ้มให้ทุกคนที่มายืนรอหน้าบ้าน รู้สึกเหมือนได้กลับมาอยู่ในหมู่ญาติสนิทมิตรสหายจริงๆ หล่อนจึงตัดสินใจเปิดกระเป๋าใบใหญ่กลางห้องรับแขก ดึงของฝากออกมาแจกจ่ายคนในบ้านทุกคนรวมทั้งนิลยา ก่อนจะวานแดงให้ยกกระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้อง และตัวหล่อนก็ไปทานอาหารที่ป้าสายใจจัดเตรียมไว้
ภายในเวลาไม่นาน หล่อนก็ได้อยู่ในห้องนอนกับนิลยาตามลำพัง
“ทำไมแกกินน้อยจังวะไอ้อ้อ เพิ่งมาเหนื่อยๆ โทรมๆ น่าจะกินเอาแรงไว้หน่อย ป้าแกอุตส่าห์ทำไว้ให้”
“สงสัยมันจะเพลียน่ะ ตื้อๆ ไม่ค่อยหิว”
“ของน่ากินทั้งนั้น เสียดาย” คนเป็นเพื่อนท้วงด้วยเหตุผลสำคัญ
อรกานต์หัวเราะ “ก็เพราะคิดอย่างนี้ ฉันถึงอ้วนขึ้นขนาดนี้ไง ก่อนไปก็น้ำหนักขึ้นกิโลฯ นึงแล้ว ก่อนกลับมานี่ ชั่งอีกรอบ รวมๆ แล้วก็ขึ้นเกือบห้ากิโลฯ”
“ห้ากิโลฯ เชียวหรือ?!”
“อือ…อยู่ดีกินดีไง อยู่นี่ก็มีอาหารป้าสายใจ เข้าภัตตาคาร เข้าโรงแรม อร่อยเหาะทั้งนั้น ไปโน่นก็มีเงินเข้าภัตตาคารซื้อของดีๆ กินบ้างเป็นครั้งคราว ถ้าไปแบบกระเป๋าแห้งๆ อย่างเรา มีเงินพอแค่ซื้อแซนด์วิชในซูเปอร์มาร์เก็ตคงกลับมาแบบผอมโซ”
“ไม่เชื่อหรอก” คนเป็นเพื่อนรีบค้าน “แกคงกลายเป็นตุ่มกลับมามากกว่า ช็อกโกแลตแถวนั้นถูกไม่ใช่เหรอ กินมันแทนข้าวไปเลย ทั้งถูกทั้งอร่อย”
อรกานต์หัวเราะอีกครั้ง ในขณะที่นิลยาส่ายหน้า “เค้าอยู่ของเค้ามายี่สิบกว่าปี หุ่นเช้งวับอย่างกับนางแบบ แกมาแป๊บเดียว แค่สามปีเอง น้ำหนักขึ้นไปห้ากิโลฯ แล้ว เชื่อเลย”
ผู้ถูกกล่าวหาหน้าบึ้ง รีบแก้ตัว “ของเดิมผอมไปโว้ย สูงร้อยเจ็ดสิบเซ็นต์ หนักสี่สิบเจ็ด ฉันมาช่วยทำให้แข็งแรงทนทานขึ้นย่ะ สูงร้อยเจ็ดสิบเซ็นต์ หนักห้าสิบสอง ดูแล้วก็ยังเช้งอยู่ แถมลมพัดก็ไม่ปลิวด้วย”
“อ๋อเหรอ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงหรอกเหรอ ฉันคิดว่าเพราะความตะกละของแกเสียอีก”
อีกฝ่ายทำเสียงชิในลำคอ เบ้ปากเล็กน้อย “ถ้าเพราะความตะกละของฉันน่ะ ป่านนี้หนักร้อยกิโลฯ ไปแล้ว แกไม่มาเป็นฉันไม่รู้หรอก คุณเธอกระเพาะเท่ามด กินเข้าไปกระติ๊ดก็อิ่ม วันไหนวันพิเศษจะฉลองสักหน่อยก็ดันปวดท้อง อาหารไม่ย่อย กระเพาะกับลำไส้ไม่ทำงาน โคตรอายหมอเลย”
นิลยาฮาลั่น
“ไม่ต้องมาหัวเราะเยาะหรอก แกน่ะต้องอิจฉาที่ฉันมีระบบป้องกันความฉุแบบอัตโนมัติอยู่ในร่างกาย ไม่ต้องคอยตามผลาญแคลอรีทีหลัง”
“ไม่เป็นไรว่ะ ฉันยินดีตามผลาญแคลอรีแบบเดิม เป็นสุขดี”
คราวนี้สาวตาคมหันมามองหน้าเพื่อนตรงๆ กวาดสายตาสำรวจไปทั่วเรือนร่าง “ดูๆ ไป ฉันก็ชักจะเห็นด้วยกับแกนะ ของเดิมน่ะผอมไป ดูอ่อนแอ ขี้โรค ตอนนี้ดูรู้ว่าอ้วนขึ้นนิดหน่อยแต่ยังสวยอยู่ ดูแข็งแรง ขนาดโทรมๆ อดนอนอย่างนี้ ยังดูผิวผ่อง หน้าใส สุขภาพดี”
“กว่าจะได้ขนาดนี้ อย่าให้เซดเลยว้า ต้องกินข้าวทุกมื้อ ต้องนอนให้พอ ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่อย่างนั้นเดี้ยงเอาง่ายๆ ไปนอนให้น้ำเกลือมาสามรอบแล้ว จะไม่ยอมมีรอบที่สี่เด็ดขาด แค่คิดก็สยองแล้ว ไม่ยอมเด็ดๆ”
นิลยาหัวเราะในลำคอ ตัดบทสนทนาอย่างง่ายๆ “งั้นแกไปอาบน้ำก่อนไป เดี๋ยวออกมานอนซะ ตาจะปิดอยู่แล้ว แล้วเดี๋ยวตอนบ่ายโมงตรง ฉันจะไปปลุก ขืนปล่อยแกนอนยาว คืนนี้คงได้เป็นนกฮูกแน่”
“เป็นความคิดที่ดีแฮะ อาบน้ำ…นอน…”
อรกานต์ยิ้มหวานให้เพื่อนก่อนจะหายวับไปทางห้องอาบน้ำ ทิ้งให้นิลยามองตามด้วยประกายตาบางอย่าง
…มั่นใจ! สาวเซอร์หน้าคมมั่นใจจริงๆ ว่าธีร์วราคนใหม่นี้ไปได้สวยแน่ อนาคตข้างหน้าจะต้องสวยงามแน่นอน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 ก.พ. 64
Comments
comments
No tags for this post.