บทนำ
เมืองหนานจิง
“เร่เข้ามาๆ หากมัวชักช้า อาจต้องเสียดายไปชั่วชีวิต!”
บนท้องถนน ใครคนหนึ่งตะโกนเรียกร้องความสนใจขึ้น
“เมืองหนานจิงมีเรื่องราวเกิดขึ้นตลอดเวลา จะมีเรื่องไหนชวนตื่นเต้นเหมือนที่เจ้าว่าด้วยรึ”
“ตื่นเต้นสิ ท่านจำได้หรือไม่ว่าสำนักส่งสารสกุลเนี่ยกำลังจะเปิดกิจการบนถนนเส้นถัดไป”
“จำได้สิ จำได้ว่าสกุลเนี่ยซื้อที่ดินผืนหนึ่งมาสร้างเป็นสำนักส่งสาร พอสร้างเสร็จถึงได้รู้ว่าร้านข้างๆ ก็เปลี่ยนมาทำกิจการส่งสารเหมือนกัน หนำซ้ำยังเป็นกิจการใหม่ของสกุลซีเหมิน คู่อริอันดับหนึ่งของสกุลเนี่ยเสียด้วย”
“ถูกต้อง สำนักส่งสารสองโรงตั้งอยู่ติดกัน ถ้าเลี่ยงไม่เปิดกิจการพร้อมกันก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับถือฤกษ์เปิดร้านวันเดียวกันเสียด้วย คนทั้งสกุลซีเหมินและสกุลเนี่ยมาปรากฏตัวกันแล้ว ลองคิดดูเถิด คนสองตระกูลเปิดกิจการติดกัน หันหน้าหันหลังมาก็ต้องเห็นกัน ดีไม่ดีอาจเกิดเหตุนองเลือดก็เป็นได้ ขนาดอำเภอยังต้องส่งคนมาควบคุมสถานการณ์เลย”
“เช่นนี้ก็พลาดไม่ได้นะสิ ขอข้ามุงด้วยคนเถิด ไปๆ รีบไปมุงกันเถอะ!”
ชาวบ้านสองสามคนคุยกันระหว่างเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปสมทบ ท่ามกลางคนกลุ่มใหญ่ที่แห่แหนเหมือนผึ้งแตกรังไปยังถนนข้างเคียง
กงวั่นชิวซึ่งเดินผ่านมา ได้ยินคำว่า ‘สกุลเนี่ย’ ก็ชะงักเท้าทันควัน ก่อนจะคว้าตัวชาวหนานจิงคนหนึ่งมาถามเสียงโหด
“เมืองหนานจิงมีสกุลเนี่ยกี่ครอบครัว”
ชาวบ้านคนนั้นเห็นกงวั่นชิวท่าทางเหมือนชาวยุทธ์ ก็ตอบตามตรงโดยไม่กล้าบ่ายเบี่ยง
“ข้าก็ไม่รู้หรอกว่ามีกี่ครอบครัว รู้แต่ว่าตระกูลเศรษฐีอันดับต้นๆ ของหนานจิงก็แซ่เนี่ยเช่นกัน ท่าน…ท่านจะมาตามหาคนรึ”
“ข้ามาหาคนสกุลเนี่ยที่มีพี่น้องหลายคน หนึ่งในนั้นพิการ…”
ชาวบ้านได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยตอบ “เช่นนั้นก็ถูกแล้ว สกุลเนี่ยมีพี่น้องสิบสองคน เป็นชายทั้งหมด โดยมากออกจากหนานจิงไปอยู่ที่อื่นแล้ว ที่ยังเหลืออยู่ก็มีแต่เนี่ยซาน คุณชายสามผู้เดินเหินไม่สะดวกนั่น ถ้าหากท่านอยากเจอเนี่ยซานก็ตรงไปที่คฤหาสน์สกุลเนี่ยได้เลย แต่ถ้าอยากพบเนี่ยซื่อ ก็คงต้องไปรอหน้าสำนักส่งสารที่ถนนถัดไปแล้วล่ะ” ว่าพลางถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “แล้วท่านมาตามหาคนสกุลเนี่ย มีธุระอันใดหรือ”
พอได้ยินคำถามของอีกฝ่ายกงวั่นชิวก็ราวกับแผ่รังสีอำมหิตไปรอบตัวได้ จนชาวบ้านผู้นี้คิดในใจว่า เห็นทีคงมีความแค้นต่อกัน หรือไม่ก็เป็นนักฆ่าที่ถูกจ้างมา คราวนี้ได้เกิดเหตุนองเลือดในสกุลเนี่ยเป็นแน่! เรื่องนี้ต้องเกาะติดเสียแล้วกระมัง
กงวั่นชิวไม่ใส่ใจที่จะตอบ ยังคงเดินตรงไปยังถนนสายนั้น บนถนนคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทว่าเขาก็ไม่ได้แยแสแต่อย่างใด
ชาวบ้านบริเวณนั้นสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิต จึงค่อยๆ แหวกทางออก เพื่อหลีกให้เขาเดินอย่างสะดวก
ในที่สุดกงวั่นชิวก็เห็นชายหนุ่มชุดขาว มือถือพัดคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสำนักส่งสารสกุลเนี่ย เขากำลังสนทนากับใครอีกคน
คนผู้นี้คงเป็นเนี่ยซื่อกระมัง
กงวั่นชิวมองไปทาง ‘สำนักส่งสารตงซี’ เห็นชาวยุทธ์ผู้หนึ่งถูกผู้คนรายล้อม ก็กระซิบถามชาวบ้านแถวนั้น
“นั่นใครกัน”
ชาวยุทธ์ผู้นี้หลักยืนหนักแน่น ท่าทางฝีมือไม่เลว ทางที่ดีอยู่ให้ห่างจะดีกว่า
“นั่นคือนายใหญ่แห่งสกุลซีเหมิน นามว่าซีเหมินเซี่ยว คุณชายท่านนี้เป็นคนต่างถิ่นสินะ ถึงไม่รู้จักซีเหมินเซี่ยวผู้โด่งดัง”
กงวั่นชิวหรี่ตาพิจารณาอยู่เป็นครู่ใหญ่ ก่อนจะพบว่าซีเหมินเซี่ยวกับเนี่ยซื่อยืนไม่ไกลกันมากนัก แต่กลับต่างคนต่างสาละวนเรื่องของตนเอง ซ้ำยังหันหลังให้กัน ไม่พูดไม่จา ไม่แม้แต่จะปรายตามองอีกฝ่าย
“สองคนนี้เป็นอริกันรึ” เขาถามเสียงเบา
“อริหรือ…ใช่เลย ข้าว่าคงเป็นความแค้นใหญ่หลวงจนไม่อาจอยู่ร่วมโลก ชาวหนานจิงรู้กันทั่วว่าสองตระกูลนี้ไม่เดินถนนสายเดียวกัน ไม่นั่งโต๊ะเดียวกัน ไม่อยู่ร่วมห้องกัน มีสิ่งเดียวที่เหมือนกัน ก็คือแย่งกันทำการค้าประเภทเดียวกัน! พอสกุลเนี่ยทำการค้าอันใด สกุลซีเหมินจะไม่ยอมน้อยหน้า เมื่อเดือนที่แล้วหอสุราของสกุลเนี่ยเกิดเหตุไฟไหม้ ได้ยินว่าเป็นฝีมือของสกุลซีเหมินด้วยนะ ท่านว่าแค้นนี้ใหญ่หลวงหรือไม่เล่า” ชาวบ้านหนุ่มยืนยันคำพูดของตนด้วยข่าวลือ
ในเมื่อเป็นคู่แค้น หากเนี่ยซื่อประสบเหตุร้าย ซีเหมินเซี่ยวก็คงวางเฉย ไม่ยื่นมือเข้าช่วยกระมัง
กงวั่นชิวหรี่ตา สาวเท้าไปข้างหน้า เมื่อเดินผ่านซีเหมินเซี่ยว เขาก็ได้ยินใครบางคนถามขึ้น
“ท่านเซี่ยวขอรับ ในฐานะเถ้าแก่สำนักส่งสารตงซี ท่านควรส่งจดหมายฉบับแรกเป็นปฐมฤกษ์นะขอรับ ท่านเซี่ยวจะส่งจดหมายหาผู้ใดดีขอรับ”
“เช่นนั้น…ส่งหาน้องหกก็แล้วกัน…”
“อ้อ คุณชายซีเหมินลิ่ว น่ะหรือขอรับ…” ในความทรงจำของเขา คุณชายซีเหมินลำดับที่หกเป็นหนุ่มน้อยผู้สุภาพเรียบร้อยและร่าเริง แต่อาจไม่ดึงดูดความสนใจเท่าคุณชายสามหรือคุณชายรอง
กงวั่นชิวเดินเข้าไปข้างหลังเนี่ยซื่อ ไม่สนใจฟังต่อ
จากนั้น เนี่ยซื่อก็ถูกถามด้วยคำถามแบบเดียวกับซีเหมินเซี่ยวมิมีผิดเพี้ยน เขาตอบว่า “ของชิ้นแรกที่ข้าจะส่งคือผักดองสี่ถุง ส่งให้อาจารย์แปดแห่งเคหาสน์อักษรและน้องสิบของข้า”
“อาจารย์แปดรึ ข้านึกขึ้นมาได้แล้ว เมื่อครึ่งปีก่อนตอนที่คุณชายสิบสองมากินอาหารที่ร้านของข้า เคยพูดว่าศรีภรรยาของเนี่ยชี* คุณชายเจ็ดที่พำนักในคฤหาสน์ เชี่ยวชาญการดองผักเป็นอันมาก คุณชายสิบสองเองก็ชอบกิน หนำซ้ำยังตำหนิว่าผักดองร้านข้าปรุงไม่ถูกตำรับเสียอีกนะ…อ้อ เวลานี้คุณชายสิบสองคงกำลังเรียนหนังสืออยู่ที่เคหาสน์อักษรสินะขอรับ ท่านสี่ขอรับ ท่านคงไม่ได้คิดจะส่งผักดองให้คุณชายสิบสอง…”
“ท่านสี่” กงวั่นชิวกระซิบเบาๆ อยู่ข้างหลัง
เนี่ยซื่อหันหลังตามเสียง เมื่อเห็นเขาก็ถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างแนบเนียน ยิ้มน้อยๆ พลางว่า “พี่ชายท่านนี้ มีธุระอันใดหรือ”
“ข้ารับคำสั่งจากคุณหนู ให้มาทาบทามสู่ขอ…” ยังพูดไม่ทันจบ ชาวบ้านที่หูไวก็เริ่มพูดคุยกันเกรียวกราว ทำเอาซีเหมินเซี่ยวซึ่งยืนอยู่หน้าสำนักส่งสารตงซีตกอกตกใจ
ซีเหมินเซี่ยวหันหลังมองไปทางเนี่ยซื่อ ก่อนจะหันมาพิจารณากงวั่นชิว
“สู่ขอ?” เนี่ยซื่อยิ้มอย่างนึกขัน “ท่านคงมาพบผิดคนแล้วกระมัง สกุลเนี่ยไม่มีคุณหนู แต่ถ้าเป็นคุณชายล่ะก็ มีเป็นโขยงเชียวล่ะ”
“คุณหนูของข้าเป็นสตรี คนที่นางต้องการสู่ขอ ย่อมเป็นคุณชายสกุลเนี่ย”
เนี่ยซื่อแปลกใจนิดๆ นึกในใจว่าไม่เคยพบบุรุษผู้นี้ หนำซ้ำพี่น้องในบ้านที่เคยเอ่ยปากว่า ‘อยากมีภรรยา’ ก็แต่งงานกันไปเกือบครบแล้ว ที่ยังไร้คู่อยู่ก็หนีหายกันไปหมด คฤหาสน์สกุลเนี่ยจึงเหลือตนเพียงคนเดียวที่ยังมิได้สมรส…
“คุณหนูของข้าแซ่กง” กงวั่นชิวสังเกตอากัปกิริยาอีกฝ่ายอย่างละเอียด “นางและท่านเขยพึงใจในกันและกัน จึงให้คำมั่นสัญญาว่าจะครองคู่ ขาดแต่เพียงจัดพิธีวิวาห์ตามประเพณีเท่านั้น…”
เนี่ยซื่อขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดแทรกขึ้น “ท่านเขยคือผู้ใดกัน”
“ก็คุณชายสกุลเนี่ยอย่างไรเล่า! คุณหนูของข้าไม่สนใจพิธีรีตอง เดิมตั้งใจจะแต่งงานกับท่านเขยเสียเลย แต่ท่านเขยเป็นคนหัวโบราณ จึงยื่นคำขาดว่าต้องให้ท่านสี่และท่านสามพยักหน้ายินยอม และติดตามข้ากลับไปร่วมงานวิวาห์ ดื่มสุรามงคลสักจอกหนึ่งก่อน หาไม่แล้วก็จะปฏิเสธการแต่งงาน”
เนี่ยซื่อฟังถึงตรงนี้ สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ท่านเขยที่ท่านพูดถึง กำชับท่านไว้เช่นไร”
“ท่านเขยบอกว่าไม่จำเป็นต้องสนใจพี่เจ็ด ขอแค่พี่สามกับพี่สี่ยอมมา ก็จะยอมแต่งด้วยทันทีขอรับ ท่านสี่ โปรดตามข้าไปเถิด ประเดี๋ยวเราไปเชิญท่านสามที่บ้านสกุลเนี่ยด้วยกันก็ได้!” แม้จะพูดว่า ‘โปรด’ แต่น้ำเสียงกลับแฝงแววข่มขู่
เนี่ยซื่อได้ยินดังนั้นก็โมโห ในบรรดาพี่น้อง คนที่ชอบก่อเรื่องแล้วลากพี่ๆ มาคอยตามล้างตามเช็ดก็มีแต่เจ้าคนไม่เอาถ่านนั่นคนเดียว ทว่าเวลานี้ควรเล่าเรียนอยู่ที่เคหาสน์อักษรมิใช่หรือไร
ความเคืองขุ่นคงฉายชัดอยู่บนใบหน้าและแววตา กงวั่นชิวจึงกล่าวต่อเสียงเรียบ “ท่านสี่ขอรับ บุรุษเมื่อโตก็สมควรแต่งภรรยา สตรีเมื่อเติบใหญ่ก็ควรออกเรือน นี่เป็นเรื่องน่ายินดี ขอท่านโปรดอย่าขัดขวางงานมงคลครั้งนี้เลย”
“งานมงคลรึ” เนี่ยซื่อแย้มยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ไม่เป็นมิตรเหมือนก่อนหน้า ก่อนจะพยักหน้าพลางบ่นพึมพำ “จริงอย่างที่ท่านว่า เป็นงานมงคลจริงๆ…บุรุษเมื่อโตแล้ว สมควรแต่งภรรยาจริงๆ นั่นล่ะ นับเป็นเรื่องมงคลแท้ๆ…”
หากสองฝ่ายพึงใจกันจริง เขาในฐานะพี่ชาย ย่อมต้องอวยพรด้วยความยินดี ทว่า…เนี่ยซื่อหรี่ตามองกงวั่นชิว
คนผู้นี้ไม่ได้มาดีแน่นอน หากสองคนผูกสมัครรักใคร่กันจริง เจ้าคนไม่เอาถ่านจะขอความช่วยเหลือเพื่ออันใด
“ท่านสี่”
เนี่ยซื่อลอบสูดลมหายใจ มือกำด้ามพัดแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว แต่ก็ยังซักต่อไม่เลิก
“ไม่ทราบว่าเป็นพี่น้องคนใดในตระกูลข้าหรือ ที่โชคดีได้รับความสนใจจากคุณหนูของท่าน”
“ก็คุณชายสิบแห่งสกุลเนี่ยอย่างไรเล่า”
เนี่ยซื่อสีหน้าดีขึ้นทันตา อารมณ์ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงกับมีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก “ที่แท้ก็สือเอ๋อร์หรอกหรือ…”
“ท่านสี่โปรดไปกับข้าเถิด!”
เนี่ยซื่อส่ายศีรษะพลางกล่าวอย่างสบายใจ “ท่านรู้หรือไม่ว่า สือเอ๋อร์มีความลับที่หากเปิดเผย เขาจะต้องอับอายจนไม่อาจสู้หน้าใครได้อีก ความลับนี้มีเพียงคนสกุลเนี่ยและว่าที่ภรรยาของเขาเท่านั้นที่จะรู้”
“ความลับ?”
ทุกคนในที่นั้นต่างเงี่ยหูรอฟัง แม้แต่ซีเหมินเซี่ยวยังมองกงวั่นชิวตาไม่กะพริบ
“แน่นอนว่าข้าจะไม่ถามท่านหรอกว่าความลับนั้นคืออะไร” เมื่อเห็นกงวั่นชิวลอบถอนหายใจ เนี่ยซื่อก็แย้มยิ้ม “ข้าเพียงอยากถามซ้ำอีกครั้งว่าคุณหนูบ้านท่านถูกใจเนี่ยไหนกันแน่”
“เนี่ยสือเอ๋อร์ขอรับ”
“เนี่ยอะไรนะ”
กงวั่นชิวชักรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่ประหลาด ทำได้เพียงตอบคำถามอย่างระแวดระวังมากยิ่งขึ้น “เนี่ยสือเอ๋อร์”
เสียงฉับดังขึ้น เนี่ยซื่อหุบพัดพลางแย้มยิ้มแล้วว่า “ขออภัยที่เสียมารยาท ข้าเห็นจะไปดื่มสุรามงคลของสือเอ๋อร์ไม่ได้แล้วกระมัง”
กงวั่นชิวเตรียมตัวมาดี เมื่อเห็นเนี่ยซื่อบ่ายเบี่ยงก็เอื้อมมือหมายจะคว้าตัวอีกฝ่ายไว้ แต่ทันทีที่เขาขยับ ก็มีเสียงดังขึ้นจากข้างหลัง
“ระวัง!”
กงวั่นชิวหันกลับมามองแล้วก็ต้องใจเสีย เมื่อคนที่ออกปากเตือนคือซีเหมินเซี่ยว…ไหนว่าเป็นศัตรูกันอย่างไรเล่า
ฝูงชนแตกฮือถอยกรูดไปไกลลิบ เนี่ยซื่อเองก็ถอยหลังหลายก้าวเพื่อหลบจากวงแห่งการต่อสู้
“นายน้อยสี่เกิดเหตุอันใดขึ้นหรือ”
“เรื่องเล็กน้อยน่ะ สือเอ๋อร์คงไปเกี้ยวสาวจนได้เรื่อง คนของสาวเจ้ามาตามหาถึงถิ่น ช่างน่าสมน้ำหน้ายิ่งนัก” สองตายังจับจ้องไปยังเงาร่างที่พะบู๊กันอยู่ตรงหน้า
“นายน้อยสิบสองน่ะหรือขอรับ” ต้าอู่ประหลาดใจมาก และยิ่งงงหนักเมื่อเห็นนายน้อยของเขาแย้มยิ้มยินดี เขานึกมาตลอดว่าหากนายน้อยสิบสองมีนางในดวงใจ นายน้อยสี่คงไม่…รู้สึกยินดี ทว่านี่ทำหน้าอย่างกับอยากจะร่วมงานวิวาห์เสียเดี๋ยวนี้อย่างไรอย่างนั้น
เนี่ยซื่อมองหน้าบ่าวอย่างมีเลศนัยพลางเอ่ยวาจาชัดถ้อยชัดคำ “สือเอ๋อร์ ไม่ใช่สือเอ้อร์ ข้าพูดไม่ชัดตรงไหนกันรึ”
“ที่แท้ก็นายน้อยสิบนี่เอง…” มิน่านายน้อยสี่ถึงได้ดีใจ
แน่ล่ะว่าประโยคนี้เขาเองก็ไม่กล้าพูด…และไม่อาจพูด
สิบสองพี่น้องสกุลเนี่ย ยกเว้นเนี่ยสือเอ้อร์เพียงคนเดียว ต่างมีผู้อารักขาประจำกาย ต้าอู่เป็นผู้อารักขาพิทักษ์นายน้อยสี่จึงพบเจอเรื่องราวมามาก และเข้าใจสิ่งต่างๆ เป็นอย่างดี เพียงแต่ว่าเขาพูดไม่ได้ และไม่กล้าพูดมันออกมา
“ต้าอู่ เจ้าว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ”
ต้าอู่มองประเมินการต่อสู้ระหว่างคนสองคน พลางกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ
“วรยุทธ์ท่านซีเหมินหาได้อ่อนหัดไม่”
“เช่นนั้นเราก็ไม่ต้องกังวล เฮ้อ…เจ้าบ้าสือเอ๋อร์ ไปก่อเรื่องนอกบ้าน แต่ดันขอให้พี่ๆ ช่วยกู้สถานการณ์เสียอย่างนั้น” เนี่ยซื่อถอนหายใจ
จำได้ว่าสามสี่ปีก่อน สือเอ๋อร์ซึ่งรู้ดีว่านิสัยตรงๆ ของตนอาจนำมาซึ่งเคราะห์ร้าย ได้ฝากฝังเอาไว้ว่า วันใดมีคนรู้ความลับตน ย่อมแสดงว่าคนผู้นั้นเป็นว่าที่ภรรยาที่ตนถูกตาต้องใจ แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่รู้ความลับ นั่นก็หมายความว่าตัวเขาตกอยู่ในอันตราย ‘ขอพี่สี่โปรดช่วยชีวิตด้วย!’
เวลานั้น เนี่ยซื่อยังนึกว่าสือเอ๋อร์คนหลงตัวเองเพียงแค่คุย ไม่นึกเลยว่าเขาจะได้ใช้ประโยชน์จากกลอุบายนี้จริงๆ
ยามนั้นเอง จู่ๆ ต้าอู่ก็ร้องขึ้นกะทันหัน “ซีเหมินเซี่ยว! คนผู้นี้เล่นไม่ซื่อ ระวังด้วย!” ว่าพลางพุ่งตรงเข้าหา เมื่อรับลูกดอกพิษด้วยมือไม่ทันก็ตัดสินใจเอาตัวเข้ารับแทน
ในเมื่อซีเหมินเซี่ยวยินดีออกโรงปกป้องนายน้อยสี่ของเขา ก็สมควรแล้วที่ผู้อารักขาอย่างเขาจะเอาตัวเข้ารับอาวุธลับแทน!
เจ็ดสิบห้าวันนับแต่นั้น ชาวเมืองหนานจิงได้ข่าวลือใหม่ล่าสุดสองข่าวเอาไว้ซุบซิบหลังมื้ออาหาร…
หนึ่งคือนับจากนี้ สกุลซีเหมินคงไม่อาจเชิดใส่สกุลเนี่ยได้แล้ว
และสองคือคุณชายสิบ สือเอ๋อร์แห่งสกุลเนี่ย มีความลับอันน่าอดสูอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งมีแต่ภรรยาของเขาเท่านั้นที่จะล่วงรู้ และโดยทั่วไป ความลับน่าอายที่มิอาจแพร่งพราย รู้เฉพาะภรรยาของตนเองเช่นนี้นั้น…ย่อมมีเพียงเรื่องเดียว…
นั่นคือเนี่ยสือเอ๋อร์ความเป็นชายบกพร่อง หมดน้ำยาสืบวงศ์ตระกูล!
ฝ่ายเนี่ยสือเอ๋อร์ซึ่งอยู่แดนไกล ยังคงไม่รู้ว่าชื่อเสียงของตนได้ป่นปี้แหลกเหลวเพราะขี้ปากชาวบ้านหนานจิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งเรื่องราวของเขายังได้กลายเป็น ‘ข่าวลือ’ อันน่าเชื่อถือที่สุดข่าวหนึ่งแห่งเมืองหนานจิงเสียด้วย
ในเมืองอื่น ณ สำนักส่งสารเหล่าซุ่นฟา
ฟ้าสางแล้ว ภายในเรือนพักคนงาน คนส่งสารคนหนึ่งลืมตาตื่น ก่อนจะบิดขี้เกียจ กระโดดลงจากเตียง และดึงผ้าแถบสีขาวกับเสื้อผ้ามาถือไว้
เพียงไม่นาน เขาก็แต่งตัวเรียบร้อยพลางเกล้าผมแล้วเดินไปล้างหน้าล้างตาที่อ่าง
ใบหน้าที่สะท้อนมาจากคันฉ่องทองเหลืองเป็นสีน้ำผึ้งนิดๆ คิ้วดำแต่โก่งบาง ดวงตากลมโต ริมฝีปากซีดเซียวไม่น่ามองนัก ขณะกำลังเช็ดหน้า เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“อาถิง ตื่นแล้วเหรอ” เจ้าของเสียงตะโกนถาม
“ตื่นแล้วๆ” คนในห้องเปิดประตูออกทันใด “พี่เกา ขอบใจท่านมากที่มาปลุก ขาท่านหายดีแล้วหรือ”
เกาหลางเซ่าพยุงตัวกับไม้ค้ำยันพลางเอ่ยตอบคำด้วยรอยยิ้ม “หมอบอกว่าสภาพข้าตอนนี้ดีร้ายอย่างไร กว่าจะเดินได้ก็คงต้องรออีกเจ็ดแปดวันโน่น โชคดีที่เจ้าช่วยรับทำงานให้ เดี๋ยวพอเจ้ากลับมาแล้ว ข้าจะเลี้ยงอาหารแทนคำขอบคุณนะ”
“ไม่จำเป็นหรอก เป็นสหายย่อมต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว” ซีเหมินถิงยิ้มแย้มสดใส เกาหลางเซ่ายกมือขึ้นบังหน้าเหมือนแสงแดดแยงตา “พี่เกา เป็นอะไรหรือ”
“…อ๋อ มะ…ไม่มีอะไรหรอก ข้าคงนอนไม่พอ เมื่อครู่เลยวูบ” ชายหนุ่มตอบงึมงำ ไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย เขาจะพูดได้อย่างไรล่ะว่าเมื่อครู่รอยยิ้มของอีกฝ่ายสดใสระยิบระยับจนแสบตา ดวงหน้าสีน้ำผึ้งเจิดจ้าจนดวงตาของเขาเจ็บ เกือบจะกลายเป็นปลาในน้ำหรือห่านป่าบนฟ้าที่ต้องสิ้นชีพเพราะความงามอยู่รอมร่อ ถึงแม้ว่า…อาถิงจะเป็นบุรุษก็ตาม
“เช่นนั้นท่านก็รีบกลับไปนอนให้พอเถิด ข้าจะนำห่อของกับจดหมายไปส่งแล้ว จำได้ว่าคราวนี้ต้องไปตำบลสี่เฝิงใช่หรือไม่”
เกาหลางเซ่าเลื่อนสายตาขึ้นมอง เมื่อเห็นซีเหมินถิงยิ้มแย้ม ก็อดเอ่ยเตือนไม่ได้
“อาถิง เจ้าเคยคิดว่าจะยิ้มให้สดใสน้อยลงกว่านี้สักหน่อยหรือไม่ อย่างน้อยก่อนที่เจ้าจะเป็นฝั่งเป็นฝา หาภรรยาไปดูแลที่บ้าน เจ้าไม่ควรยิ้มดึงดูดผู้คนถึงเพียงนี้นะ”
บทที่ 1
‘ถึง…น้องชายที่ข้าไว้ใจและให้ความสำคัญที่สุด ข้าเขียนจดหมายหาเจ้าสองฉบับติดต่อกันเช่นนี้ เจ้าจะรู้สึกแปลกใจหรือไม่หนอ
ข้าอุตส่าห์เจียดเวลาจากภารกิจอันยุ่งเหยิงมาเขียนจดหมายหาเจ้า หาได้มีเจตนาอื่นใด นอกจากเพราะพักนี้คิดถึงเจ้าอย่างสุดจิต แม้ว่า…เราจะไม่เคยพบหน้ากันก็ตามที
ข้ายังจำได้ดีว่าเรารู้จักกันได้อย่างไร ก็ตอนนั้น…เอ่อ ช่างเถิด มีแต่คนแก่เท่านั้นที่จะหวนระลึกถึงอดีต เข้าเรื่องเลยดีกว่า เราสองคนแม้นไม่เคยพบหน้า ไม่เคยพูดจา ยิ่งแน่นอนว่าไม่อาจนับเป็นเพื่อนตาย…เพราะเวลาที่ข้ามีภัย ข้าก็ไม่หวังว่าเจ้าจะปรากฏกายต่อหน้าข้า ส่วนข้านั้นก็ไม่ได้ผูกพันกับเจ้าถึงขนาดจะยินดีรับหอกรับดาบแทนกันได้ แต่กระนั้น ถิ่งจือน้องรัก ข้าก็ยังคงเขียนจดหมายหาเจ้าอยู่ดี โปรดอย่าคิดที่จะเขียนตอบสหายผู้พี่ของเจ้า เฉพาะในยามเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำเท่านั้น เพราะนั่นแสดงว่าเจ้าแล้งน้ำใจยิ่ง หวังว่าเจ้าคงจะเข้าใจ
เพราะฉะนั้น รีบๆ เขียนตอบมาเถิด อย่างเร่งด่วนเลยได้โปรด
หากแม้นเจ้าจะกำลังป่วยหนัก หรือกำลังเข้าห้องส้วม หรือกำลังเที่ยวหอคณิกา เจ้าก็ต้องเขียนตอบข้านะ! ข้ารู้ว่าเจ้ายากจน ไม่มีเงินซื้อกระดาษ ถ้าเช่นนั้นก็กลับด้านเขียนตอบมาในจดหมายข้าได้ ข้าเขียนกี่แผ่น เจ้าก็ต้องเขียนเท่านั้นแผ่น เพื่อความยุติธรรม
จริงด้วยสิ เพลานี้ข้าพำนักอยู่ในคฤหาสน์สกุลกง ถนนตงหนาน ตำบลสี่เฝิง โปรดอย่าคลางแคลงว่าเหตุใดที่อยู่ยังเหมือนจดหมายคราวก่อน นั่นก็เพราะข้ายังไม่ได้ไปที่ไหนเลยน่ะสิ!
เจ้าคงแปลกใจว่าเหตุใดบุรุษผู้ร่อนเร่ พเนจรไปทั่วหล้าอย่างข้า ถึงได้ติดอยู่กับคฤหาสน์สกุลกงเสียนานเน หามิได้ ข้าไม่ได้ติดใจจนไม่อยากย้ายออก ข้าก็แค่…เกรงใจเจ้าของบ้านเฉยๆ
ข้ารู้ดีว่าเจ้าคงจะสิงสถิตอยู่ใน ‘สำนักส่งสารหยางหลิ่ว’ ของเจ้าจนชั่วชีวิต และคงไม่ได้พบเจอเรื่องราวในโลกสักเท่าใด มิต้องพูดถึงความหมายที่แท้จริงของมิตรแท้ ข้าในฐานะพี่ชายผู้กว้างขวาง รู้จักคนไปทั่ว ย่อมมีมิตรแท้แลเพื่อนตายอยู่ทั่วหล้า ใครๆ เมื่อได้เห็นข้า ต่างพากันติดแจ เกาะขาข้าไม่มีทีท่าจะปล่อย เรียกร้องเหลือเกินให้ข้าพำนักอยู่ที่บ้านสักหลายวัน…เฮ้อ ข้าเป็นคนง่ายๆ ปฏิเสธใครไม่เป็นอยู่แล้ว ซ้ำอยู่ที่นี่ วันๆ ได้กินแต่อาหารเลิศรส ทั้งสัตว์บกสัตว์ทะเล อิ่มหมีพีมันไปด้วยเป๋าฮื้อและกุ้งมังกร กินบ่อยเสียจนข้าเบื่อหน่าย
เลิกพล่ามดีกว่า ดูท่าแล้วข้าคงต้องพักที่คฤหาสน์สกุลกงอีกนานโข ต่อให้เจ้าไม่ว่าง ก็ต้องตอบจดหมายข้านะ ทางที่ดีเขียนมาทุกวันเลย มิเช่นนั้นข้าจะไปทลายสำนักส่งสารหยางหลิ่ว ให้เจ้าตกงานเลยคอยดู!
สือเอ๋อร์
ผู้เจียดเวลาเขียนขณะชีวิตกำลังยุ่งวุ่นวายมาก’
“เหมือนจะไม่ดูข่มขู่พอ…แก้เป็น ‘ข้าจะถล่มสำนักส่งสารหยางหลิ่ว สาดน้ำผสมขี้หมาเอาไว้หน้าทางเข้า จะได้ไม่มีใครกล้าเข้าอีก กิจการของพวกเจ้าจะต้องพังพินาศ’…เอ๋? เขียนอย่างนี้คนผู้นั้นจะมองว่าข้าหยาบถ่อยหรือไม่นะ” เนี่ยสือเอ๋อร์ก้มหน้าจรดพู่กันพลางยัดผักดองใส่ปากอย่างเซ็งๆ ก่อนจะบ่นกระปอดกระแปดขึ้น “ข้าเขียนจดหมายหาเจ้าทุกวัน แต่เจ้ากลับสิบวันครึ่งเดือนถึงจะตอบสักที อย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน นี่มันไม่ใช่สหายกันแล้ว”
คงเป็นเพราะผักดองรสชาติเค็มทั้งยังเปรี้ยว ชายหนุ่มจึงอารมณ์เปลี่ยนกะทันหัน จู่ๆ ก็ใจแคบปากเสียไปซะอย่างนั้น
พี่สี่ช่างน่าโมโหนัก คิดอย่างไรส่งผักดองมาช่วยชีวิตข้า เฮอะ นึกว่าข้าติดคุกหัวโตไม่มีข้าวกินหรืออย่างไร
ประตูเปิดออก แต่เนี่ยสือเอ๋อร์ไม่เงยหน้าขึ้นมอง ตกลงปลงใจว่าจะบีบบังคับถิ่งจือให้เขียนจดหมายตอบกลับจนได้ ต่อให้ภาพลักษณ์จะต้องเสียหายก็ตาม
แม้เขาจะไม่เคยพบหน้าถิ่งจือมาก่อน แต่เขาเป็นคนช่างสังเกต จึงสัมผัสได้จากข้อความในจดหมายว่า เจ้าหนุ่มผู้นี้เป็นคนหัวโบราณ หากไม่รู้อยู่แล้วว่าอายุพอๆ กัน เนี่ยสือเอ๋อร์คงนึกว่าอีกฝ่ายเป็นตาแก่หัวหงอก
“เจ้าจะต้องตอบ ข้ามั่นใจ” ชายหนุ่มหัวเราะเย็น แลบลิ้นเลียซองแล้วปิดผนึกอย่างระมัดระวัง พลันได้กลิ่นหอมของก๋วยเตี๋ยวโชยเข้าจมูก…
อืม สงสัยจะเป็นหมี่กรอบใส่ลูกชิ้น ช่างสรรหาสารพัดอาหารเลิศรสได้ทุกวันจริงๆ ให้ตายเถอะ
“เอาจดหมายไปส่งให้ข้าหน่อย ส่งทันทีเลยนะ ถ้าข้าจับได้ว่าชักช้าล่ะก็…แล้วถ้าคุณหนูของเจ้าจะดูจดหมาย เจ้าก็ด่านางเสียสองสามคำแล้วค่อยส่งให้ เข้าใจหรือไม่”
ตอนที่มือเล็กๆ รับจดหมายไป เนี่ยสือเอ๋อร์ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะเขียนหนังสือ หมายใจว่าจะเขียนต่ออีกสักสามสี่ฉบับ แต่เสียงสตรีเยียบเย็นดังขัดขึ้นเสียก่อน
“เจ้าจะด่าอะไรข้า”
ตายล่ะ แม่เสือออกโรง เนี่ยสือเอ๋อร์กลืนผักดองลงท้อง เงยหน้ามองเจ้าของเสียงด้วยรอยยิ้ม
“คุณหนูกง ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเอง” เมื่อเห็นหญิงสาวฉีกจดหมายอ่านต่อหน้า เขากลับไม่ยักโกรธ ถึงอย่างไรจดหมายของเขาก็ถูกฉีกอ่านก่อนส่งทุกวันอยู่แล้วนี่ ตอนนี้เขาเองก็ฝากชีวิตไว้ที่นี่ คงจะทำกระไรไม่ได้
กงลี่ชิงกวาดตามองข้อความ ก่อนจะเม้มปากแค่นหัวเราะ
“เจ้ากับบุรุษชื่อถิ่งจืออะไรนี่ท่าทางจะสนิทกันมากนะ ถึงได้เขียนจดหมายหากันทุกวัน ขยันจนข้าอดคิดไม่ได้ว่าพวกเจ้าพิศวาสกันในเชิงอื่น”
“ฮ่าๆ คุณหนูทายถูกจนได้” เนี่ยสือเอ๋อร์หัวเราะรื่นเริง “เขากับข้า มีความสัมพันธ์กันจริงๆ นั่นล่ะ”
“เจ้าดูไม่น่าจะเป็นพวกตัดแขนเสื้อ* นะ” หญิงสาวพยายามระงับโทสะ
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ” เนี่ยสือเอ๋อร์เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย “เจ้าแอบจับตามองข้าอยู่ตั้งนาน ไม่รู้หรืออย่างไรว่าถิ่งจือเป็นสตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ”
“สตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ?”
“เจ้าคิดว่าข้าจะใส่ใจบุรษเพศขนาดนี้ได้หรือ” เขาเลิกคิ้วพลางตอบยิ้มๆ “ข้ารู้ตั้งนานแล้วว่านางเป็นสตรี จึงผูกสมัครรักใคร่อย่างช้าๆ ข้าออกมาร่อนเร่ในยุทธภพตั้งแต่อายุสิบแปด อยู่มาวันหนึ่งเขาได้รับจดหมายจากข้าโดยบังเอิญ จึงเริ่มเขียนโต้ตอบกันตลอดห้าหกปี ข้าจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่านางเป็นสตรี”
กงลี่ชิงหรี่ตาเฉี่ยวสวย จ้องมองใบหน้ากะล่อนตรงหน้าเนิ่นนาน จึงเอ่ยว่า “คุณชายสำอาง ไม่ชอบความลำบากอย่างเจ้า ไม่เหมาะจะท่องยุทธภพหรอก ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะตาแหลมพอที่จะเข้าใจคนแปลกหน้าจนทะลุปรุโปร่งได้”
นี่นาง…บรรยายสรรพคุณข้าซะเสียหายหมด…ถึงเจ้าจะพูดถูกอยู่มาก ก็ไม่เห็นจะต้องกดข้าจนต่ำขนาดนี้กระมัง
เนี่ยสือเอ๋อร์เอามือลูบจมูก หยิบผักดองเข้าปาก เลิกคิดต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย
กงลี่ชิงเห็นอีกฝ่ายไม่ใส่ใจ ก็กระซิบเบาๆ “เจ้าจะยั่วโมโหข้าไปถึงไหน”
เนี่ยสือเอ๋อร์สะดุ้งเฮือก แต่ก็ยังตอบตาใส “ข้ายั่วโมโหอะไรคุณหนูรึ” เขางงจริงๆ นะนี่
“เจ้า!” กงลี่ชิงกัดฟันข่มโทสะ ท้ายสุดจึงกล้ำกลืนก้อนโมโหที่เอ่อท้นขึ้นมาถึงหัวใจกลับลงไปในท้อง “จะช้าหรือเร็ว เจ้าก็ต้องเป็นสามีข้าอยู่ดี จะเรียกข้าว่าลี่ชิงสักคำไม่ได้เชียวหรือ เหตุใดต้องเรียกข้าว่าคุณหนูกงด้วย ฟังดูห่างเหินเหลือเกิน”
เนี่ยสือเอ๋อร์กล่าวช้าๆ พร้อมรอยยิ้ม “ข้าไม่เคยบอกเลยว่าจะเป็นสามีผู้ใด คุณหนูเองต่างหากที่รังแกบุรุษอ่อนปวกเปียกอย่างข้า สั่งลูกน้องไปลักพาตัวข้า จับข้ามาขังไว้ในบ้านสกุลกง ข้าไม่เรียกคุณหนูว่านางคนร้ายกาจ ก็นับว่าให้เกียรติมากแล้ว”
ได้ฟังดังนั้น ดวงหน้างดงามก็ฉุนเฉียว ออกปากด่าทันที
“อย่าคิดว่าข้าจะไม่กล้าทำร้ายเจ้านะ”
“เอาเลย ตีข้าเลย อย่างไรเสียร่างกายของข้าก็ถูกทรมานมาเกินพอแล้ว จิตใจของข้านั้นเหือดแห้งไม่ต่างอันใดกับตะเกียงไร้น้ำมัน ข้าไม่ถือสาหรอก แล้วแต่คุณหนูเลยว่าจะใช้แส้เฆี่ยนข้าให้ตาย หรือจะกระทืบข้าจนตายดี เชิญเลย” ขออย่างเดียวโปรดอย่าใช้ยาปลุกกำหนัด การทรมานอื่นใด เขาล้วนรับได้ทั้งนั้น
หากถูกเตะต่อยหรือด่าทอ เขายังร้องครวญครางได้ ไม่จำเป็นต้องอดทน แต่ถ้านางไร้ยางอายถึงขนาดใช้ยาปลุกกำหนัดล่ะก็ เขาก็อาจอดกลั้นไม่ไหว จำต้องรับคนอย่างนางเป็นภรรยา หัวเด็ดตีนขาดเขาก็ไม่ยอม! ถ้าจะให้ร่วมหอลงโรงกับสตรีร้ายกาจเช่นนี้ เขาขอบวชไม่สึกตลอดชาติยังจะดีกว่า
“ถ้าเจ้าอยากให้ข้าทุบตี ข้าก็จะยิ่งไม่ทำ! หึ ข้าส่งคนไปคฤหาสน์สกุลเนี่ยที่เมืองหนานจิงแล้ว จะเชิญพี่ชายสองคนของเจ้ามา ถึงเวลานั้น เจ้าจะบ่ายเบี่ยงไม่แต่งงานกับข้าก็ไม่ได้แล้วนะ”
“ก็ต้องดูว่าเขาจะยอมมากันหรือไม่ คุณหนูอย่าฝันหวานไปหน่อยเลย ข้าเกรงว่าหากฝันสลาย เจ้าจะมาบันดาลโทสะเอากับข้า”
“ถ้าไม่ยอมมา คนของข้าก็คงจับมัดมาจนได้ล่ะ” กงลี่ชิงเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ “พี่สามของเจ้าพิการเดินไม่ได้ พี่สี่ก็ไม่เอาไหน ข้าส่งวั่นชิวไป ต่อให้ต้องซัดจนหมอบแล้วหามมา สองคนนั้นก็ต้องมาที่นี่จนได้”
กงวั่นชิวอย่างนั้นหรือ คนผู้นั้นมิใช่หรือที่ลักพาตัวข้ามา อีกทั้งยังฉวยโอกาสต่อยข้าเสียจนหน้าปูดจมูกเขียว กว่าจะฟื้นฟูกลับมาหล่อเหลาหน้านวลดั่งดวงจันทร์ได้ก็หนึ่งเดือนเต็ม เฮ้อ…พี่สามกับพี่สี่ดูท่าจะไม่รอดเสียแล้ว เนี่ยสือเอ๋อร์คิดเศร้าๆ
“เนี่ยสือเอ๋อร์ ข้าไม่ดีตรงไหน เหตุใดเจ้าจึงปฏิเสธความรักของข้าวันละสองสามเวลาเช่นนี้” หญิงสาวถามเสียงเบา
ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์ เม้มปากครุ่นคิดก่อนจะพึมพำตอบไปว่า “บิดาของเจ้าโด่งดังในยุทธภพ ท่านลุงหรือก็เป็นถึงเสนาบดีผู้ใหญ่ น้าชายและญาติพี่น้องก็ล้วนเป็นคนสำคัญในแวดวงวาณิช เรียกได้ว่าสูงส่งทั้งในโลกยุทธจักร ราชสำนักและการค้า หากแม้นวันใดคุณหนูกงคิดจะจัดประลองเลือกคู่ คงมีแต่คนแห่แหนมาแย่งชิงตัวเจ้า คุณหนูกงไม่น่าจะอัตคัดเรื่องคู่นี่นะ” พูดไปพูดมาก็คือสตรีผู้นี้เป็นคนมีดีเฉพาะชาติกำเนิดนั่นเอง
เสียงเพียะดังขึ้น รอยนิ้วมือแดงครบห้านิ้วปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวนวลของเขา
“เนี่ยสือเอ๋อร์ เจ้าจงใจยั่วโทสะข้า!” กงลี่ชิงโกรธจนหน้าแดง คว้าคอเสื้ออีกฝ่ายเอาไว้หมับ เมื่อเห็นว่าเขาเบือนหน้าหนี นางก็ยิ่งเจ็บแค้น จัดการสกัดจุดให้ขยับไม่ได้ “ข้ามันแขนด้วนขาขาดหรืออย่างไร การที่ข้าชอบเจ้า ถือเป็นวาสนาของเจ้าแล้วนะ เนี่ยสือเอ๋อร์ วิทยายุทธ์เจ้ามันก็แค่แมวสามขา ชื่อเสียงในยุทธภพหรือก็ไม่มี อายุก็ปาเข้าไปยี่สิบสามแล้ว ยังไม่เคยทำการใหญ่ใดๆ วันๆ เอาแต่เร่ร่อนเรื่อยเปื่อย เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงปฏิเสธสตรีอย่างข้า”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอคุณหนูกงได้โปรดอย่าสนับสนุนให้ข้าใฝ่สูงจนเกินศักดิ์เลย ข้าก็บอกไปแล้วหลายรอบว่าต่อให้เจ้าสวยหรือขี้เหร่ประการใด ข้าก็พิสมัยเจ้าไม่ลงอยู่ดี ต่อให้เจ้าแปลงโฉมเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนาน ข้าก็ไร้ซึ่งความรู้สึก หากรับเจ้าเป็นภรรยา ข้าคงมีแต่ต้องทนทุกข์ทรมาน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องโดนต่อยสามสี่วันครั้งเช่นนี้ ร่างกายอันบอบบางของข้าคงมิอาจทานทน
“ไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบไม้แข็งสินะ! เนี่ยสือเอ๋อร์ หากเจ้าบีบคั้นข้ามากๆ ข้าจะจับเจ้าออกเรือนเสียวันนี้เลย ทำข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุกเสีย พี่ชายเจ้ามาถึงค่อยดื่มสุรามงคลย้อนหลังเอาก็ได้!”
เนี่ยสือเอ๋อร์กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เอาล่ะ เรื่องเลยเถิดมาป่านนี้ ข้าคงต้องพูดความจริงสักที”
“ความจริงอะไร” ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของเนี่ยสือเอ๋อร์อยู่ในสายตานางตลอด แม้แต่จดหมายที่เขาส่ง นางก็ฉีกอ่านก่อนทุกฉบับ เขายังมีความจริงอะไรเก็บซ่อนไว้ ไม่ได้บอกนางอีกหรือ
“นี่คือความลับสกุลเนี่ย เจ้าบังคับให้ข้าพูดเองนะ” เนี่ยสือเอ๋อร์จ้องหน้าหญิงสาวพลางถอนหายใจ “เจ้าเห็นติ่งหูข้าหรือไม่”
กงลี่ชิงจ้องมองไปยังติ่งหูอวบขาว
“ข้าเจาะหู” เนี่ยสือเอ๋อร์ตอบให้เอาบุญ
“…แล้วอย่างไร”
“อย่าให้ข้าต้องพูดตรงเกินไปสิ” เรียวคิ้วที่เคยชี้เชิดบัดนี้ลู่ตก เนี่ยสือเอ๋อร์พูดต่ออย่างอัดอั้น “แท้จริงแล้ว…ข้าเป็นสตรี”
“เหลวไหล!”
เนี่ยสือเอ๋อร์สีหน้าจริงจัง น้ำเสียงหม่นหมอง “ข้าดูเหมือนกำลังโกหกหรืออย่างไร หน้าตาข้าออกจะสำอาง ผิวพรรณหรือก็ขาวอมชมพู เป็นหญิงก็ได้ เป็นชายก็ดี เมื่อก่อนข้าก็แปลกใจว่าเหตุใดข้าจึงตากแดดเท่าไรก็ไม่ดำ ผิดกับน้องสิบเอ็ด ฝึกวิชาอยู่ด้วยกันแท้ๆ เขาตัวดำเป็นถ่าน แต่ข้ากลับยังขาวผ่องเป็นยองใย สุดท้าย ข้าถึงได้รู้ตัวว่าแท้จริงแล้วข้าเป็นสตรี…เจ้าจะถอดเสื้อผ้าข้ารึ เอาเลย รีบเปิดดู ฝันกลางวันของเจ้าจะได้แหลกสลายไปในพริบตา”
กงลี่ชิงจ้องหน้าเนี่ยสือเอ๋อร์จนตาแทบถลน แต่เขากลับทำหน้าไม่ยี่หระ นางรู้สึกร้อนที่ฝ่ามือ อยากตบเขาอีกสักฉาด
“เนี่ยสือเอ๋อร์ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นชายหรือหญิง พี่ชายเจ้าก็ต้องดื่มสุรามงคลของเราอยู่ดี!” พูดจบนางก็สะบัดแขนเสื้อจากไป ปล่อยให้เนี่ยสือเอ๋อร์ยืนนิ่งเพราะถูกสกัดจุดอยู่ที่เดิม ประตูยังคงเปิดอ้า ลมหนาวพัดเข้ามา ชายหนุ่มได้แต่ยืนตัวสั่น
“ชั่วดีอย่างไรก็ควรปิดประตูก่อนไหม หนาวชะมัดเลย ฮือ…พี่สี่ ท่านช่างใจดำนัก ข้าเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือตั้งหลายฉบับ แต่ท่านกลับปล่อยผ่าน ส่งผักดองมาให้เสียอย่างนั้น ผักดองมันช่วยให้ข้าหนีออกไปจากที่นี่ได้หรือไรเล่า” หยาดน้ำตาเอ่อท้นขึ้นในดวงตาทั้งสองข้าง เขาแทบจะปล่อยโฮออกมาอยู่รอมร่อ
นี่ข้าไปทำอะไรผิดมาหรือไร สวรรค์จึงลงโทษเยี่ยงนี้ แม้ข้าจะหน้าตาหล่อเหลา ชะตาดอกท้อ โดดเด่น ก็ไม่เห็นต้องยัดดอกท้อที่เอะอะทำร้ายร่างกายแบบนี้ใส่อกข้าเลยนี่นา
เขาก็แค่ช่วยงานพี่ห้าแล้วบังเอิญไปเหยียบหางนางอสรพิษ…เอ่อ กงลี่ชิงเข้าให้ แล้วหลังจากนั้นก็ถูกนางไล่บี้ ไล่ต้อนไม่ยอมลดราวาศอก
เดิมเนี่ยสือเอ๋อร์ยังนึกว่าคนอย่างนางย่อมใจแคบเป็นธรรมดา จะทุบจะตีอย่างไรก็เชิญเถิด ไม่นึกเลยว่าแค่ทุบตีนางจะไม่สาแก่ใจ ยังขยันข่มเหงรังแกเขาไม่หยุดหย่อน
นับแต่ต้นปีที่แล้วจวบจนบัดนี้ หลังจากตามจีบมานานปี ในที่สุดกงลี่ชิงก็จัดการรวบหัวรวบหาง ลักพาตัวเขามากักขังหน่วงเหนี่ยวที่นี่
“ข้าก็บอกความจริงกับนางไปตั้งหลายรอบ แต่นางไม่ยอมฟัง เอาแต่เพ้อว่าอยู่กันไปก็รักกันเอง ข้าว่าอยู่กันไปคงเกลียดกันหนักกว่าเดิมเสียมากกว่า ข้าไม่นึกพิสมัยนางเลยแม้แต่น้อย ปีนี้ไม่รัก ปีหน้าก็ไม่รัก ต่อให้อยู่ไปจนอายุเจ็ดแปดสิบ ฟันร่วงหมดปากแล้วข้าก็ยังไม่นึกรักนางอยู่ดี เหตุใดนางถึงไม่เข้าใจสักที”
เคราะห์ดีที่กงลี่ชิงยังหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่งัดเสน่ห์ยาแฝดมาใช้ หาไม่แล้ว เขาคงเหมือนคนตายทั้งเป็น
หางตาเขาเหลือบเห็นจดหมายที่นางอสรพิษฉีกจนแหว่งวิ่น…ก็ได้แต่ถอนใจ
“ถิ่งจือเอ๋ยถิ่งจือ ถ้าตอนนี้เจ้าพอมีเวลา ช่วยเขียนจดหมายมาหาข้าสักฉบับเถิด ข้าเบื่อหน่ายกับการถูกกักขังเหลือเกิน…”
หากพิจารณาจากความเร็วในการตอบจดหมายของเจ้านั่นแล้ว กว่าจดหมายฉบับหน้าจะมาถึงคฤหาสน์สกุลกง เขาก็คงกลายเป็นเขยขวัญประจำตระกูล หรือไม่ก็เผ่นหนีไปแล้ว
จะหนีก็หนีลำบาก…อีกอย่างกล่องสารพัดนึกยังถูกกงลี่ชิงยึดเอาไว้ด้วย เนี่ยสือเอ๋อร์ตัดใจทิ้งกล่องสมบัตินี้ไม่ลง…
“มีหวัง ข้าคงได้กลายเป็นเขยสกุลกงแน่ๆ…ฮือ ข้าไม่เอานะ! ข้ายังหนุ่มยังแน่น ยังไม่ได้ท่องโลกจนหนำใจเลย ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย!”
นอกห้อง บ่าวรับใช้เดินผ่านไปมา แต่ไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือเข้ามาสอด
ชีวิตเขาคงจบเห่แน่แล้ว น้ำตาบุรุษไหลออกมาจากสองตา
อาชาพันธุ์ดีห้อตะบึงไปตามถนน คนบนหลังม้าสวมเสื้อผ้าสีสดใส สะพายห่อผ้าเอาไว้ที่หลัง บนหลังม้ามีกระเป๋าบรรจุห่อของแขวนอยู่
สุดถนนสายนั้น คือคฤหาสน์สกุลกง
“คฤหาสน์สกุลกง ถนนตงหนาน ตำบลสี่เฝิง…ที่อยู่คุ้นๆ” คนบนหลังม้ากระโดดลงมา หยิบของสามห่อและจดหมายลงจากหลังม้าพลางใช้ความคิด หนึ่งในนั้นเป็นจดหมายหน้าตาคุ้นเคยจนเขานึกประหลาดใจ เมื่อดึงออกมาดูก็พบว่าชื่อผู้รับคือ ‘เนี่ยสือเอ๋อร์’
ชายหนุ่มแหงนหน้ามองคฤหาสน์สกุลกงอีกครั้ง รอยยิ้มแปลกใจประดับอยู่ที่มุมปาก
“ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง…” หลายเดือนก่อน จดหมายฉบับนี้คุ้นตาเขาเสียยิ่งกว่าอะไร ไม่นึกเลยว่าผ่านมือสำนักส่งสารมาหลายแห่ง สุดท้ายเขาจะต้องเป็นคนนำส่งจดหมายนี้ด้วยตนเอง
นี่สินะที่เรียกว่าพรหมลิขิต
คนที่มาเปิดประตูดูแล้วน่าจะเป็นสาวใช้ ทันทีที่เห็นว่าคนส่งสารเปลี่ยนหน้าเป็นชายหนุ่มคนใหม่ นางก็เอ่ยปากอย่างแปลกใจ “คนส่งสารไม่ใช่พี่เกาหรอกหรือ”
“บังเอิญพี่เกาตกม้าได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ได้เจ็บหนักหรอกนะ พักฟื้นสักหลายๆ วันก็คงจะหาย ข้าเลยมาทำงานแทนเขาชั่วคราว” ซีเหมินถิงยิ้มแย้ม
สาวใช้ผิดหวังอย่างแรง แต่เมื่อเห็นสายตาประหลาดใจของคนส่งสารคนใหม่ กอปรกับห่อของที่ดูหนาหนักก็เก็บอาการแล้วว่า “รบกวนน้องชายช่วยนำของเข้ามาที คือว่า…ข้ามียาแก้อาการบาดเจ็บสรรพคุณดีอยู่ขวดหนึ่ง ขอฝากเจ้าเอาไปให้พี่เกาหน่อยได้หรือไม่ พอดีข้าบังเอิญมียาน่ะนะ ถึงได้จะฝากไป” นางกล่าวย้ำ
“พี่สาวมีใจเป็นห่วงเช่นนี้ ข้าต้องบอกพี่เกาให้แน่” ซีเหมินถิงยิ้มอย่างนึกสนุก
พริบตานั้น แสงอันเจิดจ้าก็พุ่งเข้ามากระแทกตาสาวใช้ จนนางถึงกับต้องยกมือบังตา
“เอ่อ…พี่สาวท่านเป็นอะไรหรือไม่”
“อ่า…เจ้า เจ้าตามข้ามา” สาวใช้เดินนำเขาไปในคฤหาสน์ แต่ก็ยังไม่วายหันกลับมามอง เมื่อเห็นชายหนุ่มยิ้มให้อ่อนๆ อย่างใสซื่อ พวงแก้มนางก็แดงระเรื่อขึ้นมาทันที ประหลาดแท้…เมื่อครู่ก็ยังปกติดี แต่เหตุใดพอเขายิ้ม นางถึงได้หัวใจเต้นแรงเช่นนี้…
“พี่สาว ห่อของสามห่อนี้จ่าหน้าถึงคนสกุลกง แต่จดหมายฉบับนี้จ่าหน้าถึงเนี่ยสือเอ๋อร์ ที่นี่มีคนแซ่เนี่ยอยู่ด้วยรึ หรือว่าข้าส่งผิดที่”
“ไม่ผิดหรอก ท่านเขยอยู่ที่นี่จริงๆ”
“ท่านเขย?” ที่แท้ก็แต่งงานแล้วหรือนี่เอง
สาวใช้เอามือป้องปาก เหลียวมองรอบตัวไม่เห็นใครก็กระซิบว่า “เป็นว่าที่เขยจ้ะ เมื่อครู่ข้าได้ยินคุณหนูกับท่านเขยทะเลาะกัน ดีไม่ดีคืนนี้อาจจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนก็ได้…”
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็งงงันอย่างหนัก “ทะเลาะกับร่วมเรียงเคียงหมอนมันเกี่ยวกันได้อย่างไรหรือ อ้อ หรือว่าท่านเขยอยากเข้าหอเร็วๆ แต่คุณหนูไม่ยอม ก็เลยมีปากเสียงกันขึ้นมา สุดท้ายคุณหนูเลยต้องยอมตามใจ…” เมื่อเห็นสาวใช้ปิดปากหัวเราะ เขาก็ยิ่งฉงน
ระหว่างแบกของหนักๆ เดินไปตามทาง คนส่งสารหนุ่มเดินผ่านซุ้มประตูในสวน มองลอดซุ้มเข้าไปเห็นประตูบานหนึ่งเปิดอ้า เบื้องหลังประตูคือชายหนุ่มคนหนึ่ง นั่งหลังตรงอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ ท่าทางเกร็งๆ…
“อย่ามองนะ อย่ามอง” สาวใช้รีบดึงตัวเขาเดินไปที่โถงข้างพลางว่า “นั่นคือท่านเขย ห้ามใครเข้าใกล้เด็ดขาด”
ชายหนุ่มยิ่งฟังก็ยิ่งงง จึงเอ่ยถามว่า “เพราะเหตุใดกัน”
“เพราะกลัวว่าจะมีคนพาท่านเขยหนีไปน่ะสิ แต่ข้าว่านะ คุณหนูระแวงเกินไป คนในบ้านสกุลกงจะมีใครกล้าแข็งข้อกับคุณหนูเล่า”
“หนีหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ แหม ข้าพูดมากไปแล้ว เจ้าถือเสียว่าไม่ได้ยินก็แล้วกันนะ”
ทั้งสองเดินเข้าไปในโถงข้าง สาวใช้ให้คนส่งสารวางห่อของและจดหมายไว้ที่นั่น เมื่อตรวจนับเรียบร้อยก็หยิบยาส่งให้ นางไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายตรงๆ เพราะเกรงว่าหากใจสั่นขึ้นมาอีก จะรู้สึกผิดต่อชายในดวงใจ
“พี่สาว ข้ายังแปลกใจอยู่ดี เหตุใดชายผู้นั้นต้องคิดหนีด้วย หรือเพราะถูกบังคับให้อยู่ที่นี่ แล้วเหตุใดท่านพี่ของคุณหนูกงจึงไม่ออกมาไกล่เกลี่ยล่ะ”
“เจ้าไปเข้าใจผิดมาจากไหนว่าคุณหนูของข้ามีพี่ชาย คุณหนูเป็นบุตรสาวคนเดียว ต่อให้แต่งงาน ท่านเขยก็ต้องอยู่บ้านนี้”
สงสัย…เขาจะไม่มีพวกพ้องอยู่แถวนี้...ซีเหมินถิงคิดในใจ
“ที่จริง ข้าวของที่ต้องใช้ในพิธีก็เตรียมครบแล้ว เหลือเพียงรอให้พี่ชายของท่านเขยมาถึง ก็จัดงานแต่งได้เลย คุณหนูไม่เห็นจำเป็นจะต้องรังแกท่านเขยเลย คุณหนูให้ท่านเขยพักเรือนใกล้ประตูมากที่สุด แสดงว่าต้องการให้ท่านเขยเห็นโลกภายนอก แต่กลับไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ เฮ้อ…เอาล่ะ น้องชาย เดี๋ยวข้าจะนำทางเจ้าออกไปนะ”
“อ่า…ข้าขอปลดทุกข์ก่อนได้หรือไม่” คนส่งสารเกาศีรษะอย่างเอียงอาย “ข้าจวนตัวจริงๆ…”
“แต่ข้ายังมีงานต้องทำนะ”
“พี่สาวไม่ต้องนำทางหรอก ขอเพียงชี้ทางให้ข้าสักหน่อยก็พอ ข้าจะไม่เดินสุ่มสี่สุ่มห้าแน่ๆ”
สาวใช้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าชี้นิ้วไปที่มุมทางเดิน เมื่อทราบทางกลับแล้ว ซีเหมินถิงก็แสร้งทำเป็นปวดปัสสาวะแล้วรีบวิ่งจากไป
พักใหญ่หลังจากนั้น ใบหน้าสีน้ำผึ้งก็โผล่ออกมาจากมุมนั้น
ด้วยบริเวณนั้นปลอดคน เขาจึงเดินลอดซุ้มประตูเข้าไป ก่อนจะมองเห็นว่าชายหนุ่มในห้องยังคงนั่งหลังตรงอยู่ที่เก่า
“ใครน่ะ ใครหน้าไหนมาหลบอยู่หน้าห้องข้า ยังไม่รีบคลายจุดให้ข้าอีก”
“ที่แท้ก็ถูกสกัดจุดนี่เอง…”
“พูดจาเหลวไหล! เจ้าคิดว่าข้าว่างมาก เลยลองฝึกตนเป็นท่อนไม้หรือไรเล่า”
“ข้าคลายจุดไม่เป็น จะช่วยท่านอย่างไรได้”
“โธ่เอ๊ย! เช่นนั้นก็ไปเรียกคุณหนูเจ้ามาสิ ข้ามีเรื่องจะคุยกับนาง!”
“ดูเหมือนข้าจะไม่เคยขายตัวมาเป็นทาสในเรือนนี้นะ” ซีเหมินถิงยิ้มๆ พินิจมองเบื้องหลังอีกฝ่าย เนี่ยสือเอ๋อร์แต่งกายพิถีพิถัน รวบผมเป็นหางม้าประดับด้วยปลอกหยก เขาเดินเชื่องช้าเข้ามาหยุดตรงหน้าเนี่ยสือเอ๋อร์ เมื่อเห็นว่าเขาสวมต่างหูก็รู้สึกแปลกใจ เลื่อนสายตามองสบตากัน
ช่างเป็นใบหน้าที่…อ่อนละมุนเหลือเกิน ทั้งขาวทั้งนุ่มทั้งเนียน แน่ล่ะเขาเป็นผู้ชาย แต่ก็เป็นผู้ชายที่ดูบอบบางราวกับคุณหนูตระกูลผู้ดี ที่ควรเก็บไว้ให้อยู่แต่ในคฤหาสน์
“ท่านคือเนี่ยสือเอ๋อร์จริงหรือ”
ชายหนุ่มหรี่ตามอง “ที่แท้ก็บ่าวผู้ชายหรอกหรือ ทีแรกข้านึกว่าสาวใช้ ดูเหมือนข้าจะไม่เคยเห็นเจ้านะ…เฮ้ ช่วยสนใจข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้านั่งนิ่งๆ มาตลอดบ่ายแล้ว เบื่อเหลือเกิน เดี๋ยว เจ้าจะขโมยกินผักดองข้าโดยไม่ขออนุญาตได้อย่างไร นั่นมันของฝากจากพี่สี่ของข้านะ!”
“ผักดองนี่อร่อยใช้ได้ ช่างแตกต่างจากอาหารที่พี่ใหญ่ส่งมาจริงๆ”
“พี่ใหญ่?” เนี่ยสือเอ๋อร์เป็นคนไม่จริงจังก็จริง แต่สิ่งใดเคยผ่านตา เขามักจะจำได้อย่างแม่นยำ “เจ้าไม่ใช่คนสกุลกง เจ้าเป็นใครกันแน่”
“ข้าน่ะหรือ ข้าเป็นคนส่งสาร”
“ส่งจดหมาย?” เนี่ยสือเอ๋อร์ตาเป็นประกาย “แล้วจดหมายล่ะ มีของข้าหรือไม่”
“มี แต่ถูกเก็บไปแล้ว”
“น่าโมโหนัก! ข้านึกอยู่แล้วว่านางอสรพิษนั่นไม่มีทางยอมปล่อยจดหมายให้เล็ดลอดแม้เพียงฉบับเดียวแน่ๆ เวลานี้คงมีแต่ถิ่งจือน้องรักผู้โง่ซื่อของข้าเท่านั้นที่จะส่งจดหมายมา ฮือ…ถิ่งจือ เจ้ารอข้าก่อนนะ เดี๋ยวคืนนี้ข้าก็จะได้อ่านจดหมายหมื่นคำของเจ้าแล้ว”
“…ข้าไม่ได้เขียนยาวขนาดนั้น” ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ
“ว่าอะไรนะ เกิดเป็นชาย เหตุใดพูดจาไม่เต็มเสียง”
“ข้าเพียงนึกแปลกใจ…ถิ่งจือที่ท่านพูดถึงนั้น ทำสิ่งใดให้ท่านเห็นว่าโง่ซื่ออย่างนั้นหรือ”
“แค่เขาตอบจดหมายข้า ก็แสดงให้เห็นว่าโง่ซื่อมากแล้ว ไม่สิ ไม่ใช่โง่ซื่อเรียกว่ามีน้ำใจต่างหาก ข้าเขียนจดหมายมาเนิ่นนาน ส่งออกไปไม่เห็นเคยมีคนตอบ นอกจากเขาคนเดียว เจ้าว่าน้องชายข้าคนนี้มีน้ำใจหรือไม่เล่า หากวันใดข้าหนีจากที่นี่ไปได้ จะต้องไปเยี่ยมอาถิ่งที่สำนักส่งสารหยางหลิ่วเป็นการตอบแทนน้ำใจสักครั้ง…เจ้ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นเพราะเหตุใด ข้าไม่ได้ชอบพวกตัดแขนเสื้อหรอกนะ!”
“ข้าก็ไม่ชอบ เพียงอยากถามคำถามสักหนึ่งข้อ”
เนี่ยสือเอ๋อร์นั่งนิ่งมาทั้งบ่ายก็รู้สึกเบื่อหน่ายเป็นกำลัง จึงตอบว่า “ว่ามาสิ ประเดี๋ยวข้าเป็นสหายคุยแก้เหงาให้เจ้าเอง”
“ข้าควรช่วยท่านหรือไม่”
เนี่ยสือเอ๋อร์อึ้งงันไปเล็กน้อย ก่อนดวงตาจะฉายแววยินดี “เจ้าจะช่วยข้าอย่างนั้นรึ ช่วยอย่างไรเล่า เจ้ารู้วิทยายุทธ์หรือ”
“ถ้าแค่ต่อสู้ทะเลาะวิวาทก็พอได้ แต่คงไม่ถึงขั้นเรียกว่าวิทยายุทธ์”
“ไม่เป็นไรๆ เรามาช่วยกันคิดหาทางก็ได้ เจ้าช่างเป็นเพื่อนแท้จริงๆ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าคือเพื่อนแท้ของข้าแล้วนะ ไม่สิ ขอยกให้เป็นเพื่อนตายเลยดีกว่า”
“แล้วถิ่งจือน้องรักของท่านล่ะ จะทำอย่างไร”
“ก็คงต้องหลีกทางให้เจ้าก่อน”
“ง่ายเพียงนี้เชียวรึ…”
“นี่เพื่อนยาก เจ้ายังไม่ได้แจ้งชื่อแก่ข้าเลย” เนี่ยสือเอ๋อร์มองอีกฝ่ายด้วยสายตาละห้อย ราวกับกำลังมองรูปสลักอันน่าเลื่อมใส และคล้ายกำลังหว่านเสน่ห์
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าสีน้ำผึ้ง “ข้าแซ่สองพยางค์ว่าซีเหมิน ชื่อพยางค์เดียวคือถิง”
“ซีเหมินน้องรัก วันนี้เรามากระทำสัตย์สาบานเป็นพี่น้องกันเถิด จากนี้ไปเราสองจะมีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน! ซีเหมินน้องรัก” เนี่ยสือเอ๋อร์ซาบซึ้งใจยิ่ง ไม่นึกเลยว่าจู่ๆ จะมีคนแปลกหน้ายื่นมือเข้าช่วย ไม่รู้เป็นเพราะเขาโชคดีหรือหน้าตาดีกันแน่ ใครต่อใครถึงได้พากันช่วยเหลือ
ฮือ…ซึ้งใจเหลือเกิน ต่อไปข้าจะไม่ต้องนั่งรอจดหมายไร้สาระของเจ้าเด็กถิ่งจือแล้ว ข้าจะได้หนีออกไปจากคฤหาสน์สกุลกงแล้ว!
“อ้อ จริงสิ ข้าลืมบอกท่านไปว่าเดิมข้าทำงานอยู่ที่สำนักส่งสารหยางหลิ่ว เพิ่งย้ายมาเหล่าซุ่นฟาเพียงเดือนเดียว” ซีเหมินถิงกล่าวยิ้มๆ
เนี่ยสือเอ๋อร์กำลังจะร้องไห้ด้วยความปลื้มปริ่ม ได้ยินดังนั้นก็ชะงัก ค่อยๆ เลื่อนสายตามาสบกัน
“น้องชาย เจ้าบอกว่าชื่อซีเหมินถิงหรือ”
“ใช่แล้ว ข้าชื่อซีเหมินถิง แต่ข้ายังไม่ได้บอกท่านว่าชื่อรองของข้าคือถิ่งจือ” ซีเหมินถิงยิ้มอย่างนึกขัน
เพียงแวบเดียวหลังจากนั้น เนี่ยสือเอ๋อร์ตาพร่าลืมตาไม่ขึ้น เพราะแสงอันเจิดจ้าอย่างน่าประหลาด
แต่เมื่อทุกสิ่งกลับสู่สภาพปกติ เขาก็คิดว่าเหตุที่ตาพร่า อาจเป็นเพราะสะเทือนใจเกินขนาด ประสาทตาจึงเสื่อมไปชั่วคราว
ถิ่งจือ ถิ่งจือ ซีเหมินถิ่งจือ* สหายผู้เขียนจดหมายคุยกับเขาตั้งแต่ยังไม่เริ่มท่องยุทธภพ!
ที่แท้ซีเหมินถิ่งจือก็หน้าตาเช่นนี้เองหรอกหรือ ช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหวกับภาพนึกคิดเดิมของเขา…น่าแปลก พอถูกแสงสว่างเมื่อครู่สาดใส่ตา หัวใจเขาก็เต้นแรงขึ้น…สงสัยจะเป็นผลข้างเคียงกระมัง
“เบาๆ หน่อยสิ ถิ่งจือ จุดข้าเพิ่งจะคลาย แขนขายังชาอยู่ ไม่เห็นต้องลากแรงถึงเพียงนี้ ประเดี๋ยวข้าก็บาดเจ็บพอดี ช้าๆ หน่อย…”
“ข้าเกรงว่าหากมัวชักช้า ภรรยาท่านจะมาพบเข้าเสียก่อน”
“ภรรยาใครไม่ทราบ ข้าไม่มีภรรยาสักหน่อย เอ้า เร็วๆ ลากเลยๆ เจ็บหน่อยก็ไม่เป็นไร”
โชคดีที่คุณหนูสกุลกงไม่อนุญาตให้ใครก็ตามเข้าใกล้เรือนเนี่ยสือเอ๋อร์ แถวนั้นจึงปลอดคน ซีเหมินถิงลากเนี่ยสือเอ๋อร์เข้าห้องส้วม ก่อนจะแทรกตัวตามเข้าไป
ห้องส้วมเล็กเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเข้าพร้อมกันทีเดียวสองคน จึงแทบไม่เหลือพื้นที่ให้ขยับตัว
เนี่ยสือเอ๋อร์พิงร่างมาที่ไหล่ซีเหมินถิงอย่างไร้เรี่ยวแรง จนเขาต้องผลักศีรษะโงนเงนของอีกฝ่ายออกห่าง
“พี่เนี่ย ท่านกะจะหนีออกไปอย่างไร เราคงแอบอยู่ในนี้ไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกนะ”
“ข้ากำลังนึกอยู่…โชคดีที่มีเจ้าคอยอยู่เคียงข้าง ถิ่งจือ เห็นแก่มิตรภาพของเรา เจ้าคงไม่คิดทอดทิ้งข้าอย่างไร้เยื่อใยหรอกใช่หรือไม่” เนี่ยสือเอ๋อร์ออกปากปิดทางหนีอีกฝ่ายทันที
ซีเหมินถิงตอบอย่างนึกขัน
“ขอเพียงท่านไม่สับเปลี่ยนให้ข้าเป็นเจ้าบ่าวแทน ข้าก็จะไม่ทอดทิ้งท่าน”
เนี่ยสือเอ๋อร์ดีใจจนแทบสะอื้น อยากจะคว้าตัวอีกฝ่ายมากอดเสียตรงนั้น
“ถิ่งจือ เจ้าช่างเป็นเพื่อนตายของข้าเสียจริง! นับแต่เราเริ่มเขียนจดหมายหากัน ข้าก็รู้ว่าเพื่อนอย่างเจ้านั้นช่างล้ำค่า แม้แต่พี่ชายข้ายังไม่ดีต่อข้าถึงเพียงนี้ เอาล่ะ ข้านึกวิธีออกแล้ว ถอดเสื้อเลยๆ”
“…ถอดเสื้อ?” ซีเหมินถิงเลิกคิ้ว
“เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าเสื้อผ้าที่เราสวมใส่คล้ายกันมาก เรื่องย้อมแมวนี่ข้าถนัดนัก เดี๋ยวข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าหลบออกไป จากนั้นเจ้าก็ค่อยเดินออกประตูไปอย่างเปิดเผย รับรองปลอดภัยหายห่วง” เนี่ยสือเอ๋อร์ให้สัญญา
“ท่านหมายถึง…แปลงโฉมอย่างนั้นหรือ” ซีเหมินถิงถามอย่างสนใจ เนี่ยสือเอ๋อร์เคยเอ่ยถึง ‘ศาสตร์แปลงโฉม’ ในจดหมาย เขารู้เพียงว่าศาสตร์นี้น่าอัศจรรย์นัก แต่ก็ไม่เคยพิสูจน์ด้วยตาตนเองมาก่อน เนี่ยสือเอ๋อร์มีแค่สองมือเปล่าๆ จะทำกระไรได้
เนี่ยสือเอ๋อร์หัวเราะแหะๆ
“ศาสตร์แห่งการแปลงโฉมลึกล้ำมาก แต่กล่องสารพัดนึกของข้าถูกแม่อสรพิษนั่นยึดไปแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เจ้ามาคฤหาสน์สกุลกงเป็นครั้งแรก คนที่เคยพบเห็นเจ้า ก็คงมีแต่…”
“สาวใช้นางหนึ่ง”
เนี่ยสือเอ๋อร์ทำตาวาว “เยี่ยม! เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องแปลงตัวให้เหมือนเจ้าอย่างแนบเนียนก็ได้ ขอแค่ละม้ายสักห้าส่วนก็คงจะพอ…”
จากนั้นเนี่ยสือเอ๋อร์ก็พิจารณาใบหน้าซีเหมินถิงอย่างใกล้ชิด ผิวหน้านวลนิ่มทำให้เขาเผลอเอามือแตะโดยไม่ตั้งใจ…เมื่อซีเหมินถิงเบือนหน้าหนี เขาจึงหดมือกลับอย่างรู้งานพลางวิจารณ์ว่า “คิ้วบางกว่าข้า ตาโตกว่าข้า ปากเล็กกว่าข้า จมูกแบนกว่าข้านิดหนึ่ง สรุปคือไม่หล่อเท่าข้า…แต่ไม่มีปัญหาหรอก ว่าแต่ผิวเจ้านี่ตากแดดจนดำจริงหรือ เหตุใดสีผิวจึงสม่ำเสมอล่ะ”
“ผิวข้าสีนี้มาตั้งแต่เกิด”
“ช่างบังเอิญเสียจริง ข้าก็ผิวขาวสวยแต่กำเนิดเหมือนกัน บางทีข้าก็นึกแปลกใจว่าเหตุใดสวรรค์จึงลำเอียง ประทานใบหน้าอันงดงามให้ข้า เอาล่ะ ยิ้มให้ดูทีซิ”
ซีเหมินถิงได้ยินดังนั้นก็คลี่ยิ้มมุมปากอย่างว่าง่าย
เนี่ยสือเอ๋อร์พินิจพิจารณาใบหน้านั้น พลางพึมพำว่า “รอยยิ้มของเจ้าธรรมดา ไม่แตกต่างอันใดจากคนอื่น สงสัยข้าคงตาพร่าเพราะแดดแรงเกินไป…เจ้าลองพูดให้ข้าฟังสักหลายๆ คำหน่อยซิ”
“ท่านจะให้ข้าพูดว่ากระไร”
“แล้วแต่เลย” เนี่ยสือเอ๋อร์ตอบ จับสังเกตได้ว่าเสียงของอีกฝ่ายแหบต่ำเหมือนกลั้นหัวเราะตลอดเวลา หากต้องการเลียนแบบ คงไม่สามารถทำได้แนบเนียนในชั่วพริบตา แต่ข้อดีของการปลอมตัวเป็นถิ่งจือก็คือไม่จำเป็นต้องเหมือนมากก็ได้
“ข้าจำได้ท่านเคยบอกในจดหมายว่าท่านอายุยี่สิบสามแล้ว เป็นวัยอันเหมาะสมที่จะมีคู่ครอง เหตุใดจึงไม่กลั้นใจแต่งกับแม่นางกงเสียล่ะ”
“โอ๊ย ถิ่งจือน้องรัก เจ้าเป็นผู้เจรจาที่อีกฝ่ายส่งมาหรืออย่างไร กลั้นใจแต่งกระไรกัน การมีภรรยาถือเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต เอาล่ะ บอกข้าทีซิว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นคืออะไร บอกมาตามตรง อย่าโกหก!”
ซีเหมินถิงหลุบตามองมืออีกฝ่ายที่กำลังใช้มือตบๆ ที่หน้าอกตนเอง
“ไม่เห็นจะต้องตบแรงเลย มันคือหัวใจ ข้ารู้”
“ถูกต้อง ถิ่งจือ ตรงนี้คือหัวใจ หากข้าไม่อนุญาต เจ้าก็ควรจะมีน้ำใจ ไม่พูดถึงเรื่องแต่งงานกับแม่นางกงให้ข้าได้ยินอีก ข้ายังไม่อยากตายตั้งแต่ยังหนุ่ม เผลอๆ อาจต้องตายอย่างไร้สาเหตุด้วยซ้ำ ว่าแต่เจ้าล่ะ มีนางในดวงใจหรือยัง” เขาถามไปอย่างนั้นไม่ได้สนใจในคำตอบแต่อย่างใด
“ไม่มี”
“เจ้าวางใจได้ ข้าไม่แย่งภรรยาเจ้าแน่นอน ข้าเป็นคนมีคุณธรรม ไม่มีทางกระโดดพรวดขึ้นเตียงภรรยาของสหายแน่นอน…แม้เจ้าจะไม่ได้หล่อเหลาเอาการ แต่บุรุษลักษณะอย่างเจ้าก็น่าจะเป็นที่นิยมพอสมควรในสมัยนี้ เอาล่ะ พูดให้ข้าฟังหน่อยซิ”
เนี่ยสือเอ๋อร์ดูร่าเริงจนซีเหมินถิงอยากจะเตือนสติว่าตอนนี้เขากำลังหนีตายอยู่ หาได้กำลังคุยเล่นแก้เหงาไม่
“ไม่ว่าเรื่องใด ข้าจะฟังพี่ใหญ่ของข้าเสมอ หากพี่ใหญ่ไม่จัดหาสตรีมาแต่งด้วย ข้าก็คงไม่คิดมีครอบครัว” ซีเหมินถิงตอบตามตรง
“หัวโบราณจริงๆ”
ซีเหมินถิงยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบคำ
“หรือเป็นเพราะเจ้าไม่ใส่ใจเรื่องนี้” เนี่ยสือเอ๋อร์พึมพำกับตนเอง ไม่ทันสังเกตว่าซีเหมินถิงชำเลืองมองหลายตลบ “ไม่ดีหรอกนะแบบนี้ ยังหนุ่มยังแน่นแต่กลับปล่อยชีวิตตามบุญตามกรรม คนจิตใจบริสุทธิ์ไร้เงามืดอย่างเจ้าคงมีชีวิตที่แสนน่าเบื่อ แต่ขอได้โปรดวางใจ ต่อไปนี้ข้าจะช่วยทำให้จิตใจของเจ้าเต็มไปด้วยเงามืด…ตายแล้ว มีคนมา!”
เสียงฝีเท้าถี่กระชั้นดังแว่วมา เนี่ยสือเอ๋อร์ฉุดซีเหมินถิงไปหลบหลังประตูห้องส้วม ทั้งสองเบียดไหล่กันจนชิด เนี่ยสือเอ๋อร์เหลือบมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายก่อนจะเบนสายตาหนี
พอได้มองใกล้ๆ เจ้านี่ผิวหน้าเนียนละเอียดจนไม่น่าเชื่อ…
ซีเหมินถิงรู้สึกได้ว่าถูกจับจ้องก็หันกลับมามอง ปลายจมูกจึงแตะกันเบาๆ ทั้งสองรีบขยับถอย ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มอยู่เช่นเดิม
จมูกเจ้าคนผู้นี้ช่างเย็นและเนียนนุ่มจริงๆ…เนี่ยสือเอ๋อร์ประหลาดใจ
“ท่านเขย! ท่านเขยอยู่ที่ใด” นอกห้องส้วมมีคนตะโกน “หากคุณหนูทราบว่าท่านเขยหนีไป เราต้องตายแน่ๆ”
“…ในส้วมมีคนนี่ ท่านเขยอยู่ในนั้นหรือไม่”
“ไม่หรอก เมื่อครู่คนส่งสารบอกว่าปวดท้อง เลยขอยืมใช้ห้องส้วมน่ะ” เสียงสาวใช้คนเมื่อครู่ดังขึ้น
เนี่ยสือเอ๋อร์กระตุกแขนเสื้อซีเหมินถิงโดยแรง ชายหนุ่มกระแอมเบาๆ แล้วกล่าวเสียงดัง
“ขอโทษที ข้าเองล่ะ ข้าปวดท้องน่ะ ก็เลย…” พูดยังไม่ทันขาดคำ ก็ได้ยินเสียงผายลมดังป้าด ซีเหมินถิงเงียบกริบ หันขวับกลับมามองเนี่ยสือเอ๋อร์ทันใด
เนี่ยสือเอ๋อร์ชูนิ้วโป้งให้พลางพูดโดยปราศจากเสียงว่า ‘ต้องแบบนี้ถึงจะสมบทบาท เป็นอย่างไร ข้าฉลาดหรือไม่’
“…”
“เหม็นชะมัดเลย เรารีบไปค้นทางอื่นเถอะ” บ่าวในเรือนตัดสินใจแยกย้ายตามหา
“อย่างไรล่ะ เขาเรียกว่าไหวพริบยามคับขัน หากข้าไม่ผายลมแล้วพวกนั้นเปิดประตูเข้ามา ข้าคงจบเห่แน่” เนี่ยสือเอ๋อร์กล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“…”
“ถิ่งจือ เจ้าจะไม่ชมข้าหน่อยหรือ”
“…ข้ากลั้นหายใจอยู่”
เนี่ยสือเอ๋อร์แสยะยิ้มพลางเอื้อมมือตบบ่าอีกฝ่ายและเอ่ยว่า “ถือว่าข้าได้แสดงด้านเลวร้ายที่สุดให้เจ้าเห็นแล้ว เราเป็นเพื่อนกัน ไม่สิ ตอนนี้เราเลื่อนขั้นเป็นเพื่อนตายกันแล้ว ในเมื่อสวรรค์ส่งเจ้ามาช่วยเหลือข้าเช่นนี้ ก็แสดงว่าเรามีวาสนาต่อกัน ข้ากับเจ้า แม้ไม่มีบุญเกิดเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต แต่เราก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานได้นะ น้องรัก เรียกข้าว่าพี่สิบสักคำเถิด” เนี่ยสือเอ๋อร์ยิ้มให้อย่างสนิทสนม
“…ขอคิดดูก่อนนะ” ซีเหมินถิงยิ้มขำๆ
“ได้ เจ้าค่อยๆ ตรองดู อ่ะ แต่เวลานี้รีบถอดเสื้อเร็ว…”
“…ท่านช่วยหันไปทางอื่นก่อน”
“บุรุษด้วยกัน ยังจะเขินอายอันใดอีกเล่า” เนี่ยสือเอ๋อร์ล้อ
“ข้าเป็นคนขี้อาย”
ในเมื่อเจ้าตัวยอมรับออกมาเช่นนี้ เนี่ยสือเอ๋อร์ก็ได้แต่หันไปทางอื่น เขาเอามือแตะจมูก ถอดสายรัดเอว ปากก็ยังพึมพำไม่หยุด
“ประเดี๋ยวเราไปเจอกันห่างจากตัวตำบลห้าลี้ นะ จะได้เข้าเมืองด้วยกัน ถึงตอนนั้นข้าจะเอาม้าของสำนักส่งสารคืนให้เจ้า”
“ตกลง”
เสียงซ่อกแซ่กดังขึ้นเบาๆ จากข้างหลัง เนี่ยสือเอ๋อร์อยากจะแอบฟัง แต่ก็เกรงว่าสหายผู้เขินอายอย่างซีเหมินถิงจะโกรธจนชิ่งหนีไป ทิ้งให้เขาถูกแม่นางกงขย้ำแล้วกลืนกินทั้งเป็น หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรเขาก็ไม่ยอม
ชายหนุ่มยืนหันหลังให้อีกฝ่าย ถอดเสื้อผ้าแล้วยื่นให้ พร้อมกับรับเสื้อของซีเหมินถิงมาสวม แต่ทันทีที่สัมผัสเนื้อผ้า เขาก็ได้แต่แปลกใจ
“เนื้อผ้าไม่เลวนะ น่าจะซื้อหาแถวนี้ยาก”
แม้แต่ในหนานจิง ผ้าเนื้อดีเช่นนี้คงราคาไม่ถูก เจ้าเด็กยากจนคนส่งสารเช่นนี้ ปีปีหนึ่งจะหาเงินได้สักเท่าไรกัน
“พี่ใหญ่ส่งมาให้ข้าน่ะ”
“พี่ใหญ่ของเจ้าดูจะรักเจ้ามากนะ”
“ใช่แล้ว พี่ชายรักข้ามากโข”
เนี่ยสือเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็ให้รู้สึกว่าน้ำเสียงแจ่มใสของซีเหมินถิง เคลือบไว้ด้วยความหมายอันน่าประหลาด ราวกับว่าที่พี่ชายเอาใจใส่เขาเพราะมีเป้าหมายแอบแฝง ขณะสวมเสื้อผ้า เขาได้กลิ่นหอมโชยมาจนสะดุดกึก ก็ดึงเสื้อขึ้นดมให้แน่ใจ…คนผู้นี้คงเอาเสื้อผ้าไปอบร่ำกระมัง รักสวยรักงามกว่าข้าเสียอีกนะ
“ข้าต้องรอท่านในนี้นานเท่าใด”
เนี่ยสือเอ๋อร์ดึงผ้าผูกเอวจนแน่น พลางหันกลับมาตอบว่า “นับแกะให้ครบสองร้อยตัว เจ้าก็…” คำพูดของเขาชะงักกึกเมื่อเห็นซีเหมินถิงสวมเสื้อผ้าของตน เนี่ยสือเอ๋อร์รู้สึกขนลุกซู่เหมือนถูกจับเปลื้องผ้าจนล่อนจ้อน
ซีเหมินถิงยิ้ม
“เป็นกระไรไป”
“ไม่มีอะไร แค่รู้สึกว่าเจ้าสวมเสื้อผ้าข้าแล้วดูดีไม่หยอก” ว่าพลางถอดต่างหูออก รวบผมแล้วมัดให้เหมือนกับสหายผู้น้อง แต่หางตายังไม่วายจ้องมองซีเหมินถิงตลอดเวลา
ประหลาด ประหลาดแท้…แต่ก็ไม่รู้ประหลาดที่ใดกัน…
“จำเอาไว้นะ ไปเจอกันห้าลี้นอกตัวตำบล ไม่พบไม่เลิกรา”
ซีเหมินถิงพยักหน้ารับ
“จำไว้ว่าหากมีคนถาม ให้ตอบว่าไม่เห็นข้า อย่ามีพิรุธเชียวนะ”
“ข้าทราบแล้ว ว่าแต่…นี่คือศาสตร์แห่งการแปลงโฉมหรือ…” ช่างแนบเนียนเหลือเกินนะ
“นี่เหตุใดน้ำเสียงถึงฟังดูผิดหวังเล่า” เนี่ยสือเอ๋อร์แสยะยิ้มพลางกล่าวอย่างมั่นใจ “ถิ่งจือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการแปลงโฉมคืออะไร”
“ไม่รู้”
“การเลียนแบบให้เหมือนอย่างกับแกะนั้นสำคัญ แต่การที่ข้าปลอมตัวเป็นเจ้า ข้าไม่ได้อาศัยฝีมือมากเท่าลวงใจคน ประเดี๋ยวถ้าเจ้ารอข้าอยู่ที่จุดนัดพบแล้วไม่เจอ นั่นก็หมายความว่าการแปลงโฉมของข้าล้มเหลว เอ่อ…เอาอย่างนี้ เปลี่ยนจากไม่พบไม่เลิกราเป็น ‘หากไม่เจอ ก็กลับมาช่วยข้าด้วยนะ’ จะดีกว่า”
ซีเหมินถิงผงกศีรษะ มุมปากประดับยิ้ม นึกในใจว่าชายคนนี้ช่างถอดออกมาจากจดหมายไม่มีผิดเพี้ยน เขามองท้องฟ้าพลางนับในใจ เมื่อครบแล้วก็ผลักประตูเปิดออก แต่กว่าจะเดินไปถึงประตูใหญ่ก็มีคนตะโกนขึ้น
“ท่านเขย!”
ซีเหมินถิงหันกลับมายิ้มให้
“พี่สาว ข้าคือคนส่งสารที่มาแทนพี่เกาต่างหาก”
สาวใช้ทำหน้าอึ้งงัน “แต่เสื้อผ้าของเจ้า…”
“มีอะไรผิดปกติหรือ วันนี้ข้าสวมชุดนี้ตลอดนะ”
สาวใช้งุนงง เมื่อย้อนนึกก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อตอนบ่าย เด็กส่งจดหมายสวมเสื้อผ้าสีสดใสชุดนี้จริงๆ กระมัง แต่ก็นะ เหตุใดเหมือนชุดท่านเขยเลย…ทันใดนั้นนางก็เบิกตาโพลง “หรือว่าคนที่เดินอาดๆ ออกไปเมื่อครู่ คือท่านเขย?”
“อะไรนะ มีคนปลอมตัวเป็นข้าเหรอ”
“ตายแล้วๆ ท่านเขยหนีไปแล้ว ท่านเขยหนีไปแล้ว!” สาวใช้เลิกใส่ใจซีเหมินถิงทันที นางวิ่งแจ้นเข้าไปในคฤหาสน์ เพื่อตามตัวคนสวนที่ยังค้นหาเนี่ยสือเอ๋อร์อยู่ทางอื่น
ซีเหมินถิงยิ้มอ่อนพลางก้าวออกจากประตูคฤหาสน์สกุลกงด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เหตุใดถึงทักผิดได้นะ” นิ้วมือเล็กๆ ทั้งห้าเลื่อนมาจับหน้าตนเอง “ข้ากับเขาหน้าตาต่างกันจะตายไป ตลกดีจริง”
ชายหนุ่มเดินมุ่งหน้าออกนอกตำบล จนถึงจุดนัดพบห้าลี้
แต่ก็ต้องพบเพียงความว่างเปล่า…
เมื่อฟ้าเริ่มมืด ซีเหมินถิงย้อนกลับไปที่คฤหาสน์สกุลสกุลกง ก็พบว่าประตูใหญ่เปิดกว้าง เหล่าบริวารในเรือนวิ่งวุ่นไปมาเพื่อตามหาคน
หรือว่า เนี่ยสือเอ๋อร์จะเผ่นหนี ทิ้งสัญญาที่ให้ไว้เสียแล้ว
“ชั่วดีอย่างไรก็ควรทิ้งม้าไว้ให้ข้า”
ม้าตัวนั้นเป็นสมบัติของเหล่าซุ่นฟา คนอยู่แต่ม้าหาย มีหวังต้องจ่ายเงินชดเชยแน่ ขืนต้องจ่ายเงินค่าม้าคืนสำนักส่งสาร เงินเดือนครึ่งปีคงอันตรธานไปในพริบตา
ซีเหมินถิงยิ้มขื่น เดินกลับเข้าตัวตำบลก่อนเวลาปิดประตูเมือง ขณะที่เดินไปตามตรอกแคบในตัวเมืองนั้น…
“กว่าจะมาได้” น้ำเสียงคุ้นหูดังแว่วมาจากปากตรอก ก่อนที่ซีเหมินถิงจะถูกกระชากเข้าไปข้างใน
เขามองเห็นชายหนุ่มรูปร่างใกล้เคียงกับตนมองมาด้วยสายตารื่นเริง ชายหนุ่มคนนี้มีผิวสีน้ำผึ้ง มุมปากหยักเป็นรอยยิ้มน้อยๆ แลคุ้นตา เวลานี้แสงโคมเริ่มสว่าง เงาดำทาบลงบนใบหน้าอ่อนเยาว์จนดูเลือนราง…
“หากไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน คงไม่มีใครสงสัยว่าข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้า ข้าก็เลยหลบออกมาได้สำเร็จ” เสียงนั้นหวนกลับเป็นปกติ เนี่ยสือเอ๋อร์หัวเราะ เอามือตบบ่าสหายผู้น้อง “เป็นอย่างไรเล่า หากไม่เคยพบเห็นศาสตร์แปลงโฉมมาก่อน ก็มักจะถูกหลอกได้ง่ายดายเช่นนี้ล่ะ”
“เป็นท่านเองหรอกรึ” ซีเหมินถิงประหลาดใจ เผลอยื่นมือไปคลำหน้าเนี่ยสือเอ๋อร์ “เหตุใดหน้าท่านถึงกลายเป็นเช่นนี้…” ช่าง…น่าสนุกจริงๆ
สัมผัสจากนิ้วมือนุ่มนิ่มทั้งสิบทำให้เนี่ยสือเอ๋อร์หัวใจกระตุก รู้สึกตกใจที่เผลอหวั่นไหว ก่อนจะลอบดึงมือออกอย่างเงียบเชียบ “ความลับส่วนตัวน่ะ นอกจากภรรยาแล้ว ข้าคงไม่สามารถสอนใครได้”
“น่าเสียดายยิ่งนัก” ซีเหมินถิงเองก็ไม่เซ้าซี้ต่อ “เรานัดกันนอกตำบลออกไปห้าลี้มิใช่หรือ”
“ใช่ แต่พอข้าออกนอกตำบล ก็บังเอิญเจอกงวั่นชิวเข้า ทีแรกนึกว่าจะไปหลบในเมือง แต่เจ้าคนผู้นั้นมันร้ายกาจ เพียงพริบตาเดียวก็ตั้งด่านดักหน้าประตูเมืองแล้ว กงวั่นชิวเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆ ของสกุลกง ถึงข้าจะมั่นใจว่าตบตาบ่าวไพร่ที่ไม่ประสีประสาพวกนั้นได้ แต่ก็ไม่มั่นใจว่าการปลอมตัวครั้งนี้จะตบตากงวั่นชิวได้ เจ้านั่นมันเหลี่ยมจัด…หึๆ แต่ข้าก็ไม่เลวนะ ระหว่างที่คนสกุลกงควานหาตัวข้าอยู่นั้น ข้ายังอุตส่าห์ย้อนกลับไปเอากล่องสารพัดนึกคืนมาจนได้” เนี่ยสือเอ๋อร์หัวเราะสะใจ รู้สึกทึ่งในความกล้าหาญของตน
ซีเหมินถิงพินิจมองกล่องแบนๆ ที่เขาถือไว้กับตัว นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็เตือนขึ้นว่า “กล่องใบนี้มีเอกลักษณ์มากนะ เห็นทันทีที่ก็คงจำได้”
“ถูกต้อง ดังนั้นนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เจ้าจะต้องเป็นคนถือมัน เมื่อทุกคนเห็นว่าเจ้าเป็นคนถือกล่อง ก็คงไม่สามารถโยงเรื่องมาถึงข้าได้”
“นี่คือการลวงใจคนอีกใช่หรือไม่”
“ถิ่งจือเจ้านี่ฉลาดดีนะ”
“แล้วคืนนี้ล่ะ เราจะพักโรงเตี๊ยมกันหรือ”
“ไม่ๆๆๆ” เนี่ยสือเอ๋อร์เอามือตบอก หัวเราะแหะๆ พลางว่า “ข้าเคยเขียนจดหมายบอกเจ้าแล้วนี่ ว่าข้าเนี่ยสือเอ๋อร์มีสหายร่วมเป็นร่วมตายอยู่ทั่วทั้งแผ่นดิน สหายแต่ละคนของข้าล้วนเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม เมื่อครู่ข้าเจอสหายคนหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ คืนนี้เลยตั้งใจว่าจะไปพักบ้านเขา พรุ่งนี้ค่อยหลบออกจากเมืองตั้งแต่เช้า ต่อจากนี้ไป ดวงชะตาข้าคงจะดีขึ้น ถิ่งจือ ข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณคราวนี้แน่นอน”
ซีเหมินถิงยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ตอบคำ
(ติดตามต่อในเล่ม)
Comments
comments
No tags for this post.