บทที่ 1
แสงจันทร์สาดส่อง
ลมกลางคืนพัดผ่านต้นหญ้าดังแซกซ่า พาให้ละอองสีขาวอ่อนโยนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
ฟ้ามืดนานแล้ว บนถนนเล็กริมแม่น้ำที่กันดารห่างไกลแห่งนี้ไม่มีผู้คนสัญจรไปมา มีเพียงต้นไม้ใบหญ้าส่ายไหวตามแรงลมเงียบๆ
เวลากลางดึกอันเงียบสงัดนี้เอง รถเทียมลาคันหนึ่งแล่นช้าๆ มาจากที่ไกลๆ ล้อรถบดผ่านถนนที่เป็นดิน พาให้โคลนกระเด็นขึ้นเล็กน้อย
ลาลากรถเดินอย่างเชื่องช้า บางคราถูกดอกอ้อที่ปลิวเต็มท้องฟ้ารบกวน สะบัดหัวพ่นลมหายใจออกทางรูจมูก
ดอกอ้อทั้งขาวและเบาถูกสายลมพัดพาประหนึ่งหิมะในฤดูหนาว ปลิวผ่านรถเทียมลาไป
คนบังคับรถนั่งอยู่บนที่นั่งคนขับอย่างผ่อนคลาย แม้จะดึกแล้ว แต่เขาไม่รีบร้อน ไม่หวดแส้เร่งลา เพียงมองทิวทัศน์บนถนนใต้แสงจันทร์อย่างรื่นรมย์ ทั้งยังกินเหอเถา* ในกล่องไม้ที่วางอยู่บนที่นั่งเป็นครั้งคราว
เหอเถายังมีเปลือกอยู่ รมควันด้วยฟืนจากไม้มีผล คั่วด้วยเกลือสมุทรและเนย ทั้งหอมและเค็ม
เปลือกเหอเถาแข็งมาก ปกติต้องใช้เครื่องมือถึงจะเปิดได้ แต่เพื่อให้รสชาติซึมเข้าไป เหอเถากล่องนี้จึงถูกแง้มเปลือกไว้แล้ว ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังคงต้องใช้เครื่องมือในการแกะเปลือกออก
ในกล่องไม้มีแผ่นเหล็กชิ้นเล็กสำหรับแกะเปลือกอยู่ด้วย แต่ชายหนุ่มบนรถเกียจคร้านยิ่ง เขาไม่ได้ใช้แผ่นเหล็กอันนั้น ทุกครั้งเมื่อหยิบเหอเถาขึ้นมา สองนิ้วจะบีบเข้าด้วยกันเบาๆ เพียงเท่านี้เปลือกที่แข็งเหมือนหินก็ปริแตกออก
ชายหนุ่มปล่อยให้ลาเดินช้าๆ แม้แต่เชือกบังเหียนก็ไม่ได้จับไว้
เขาชอบความรื่นรมย์สงบเงียบเช่นนี้ มองลมพัดเมฆเคลื่อน มองดอกอ้อปลิวว่อน ฟังเสียงน้ำไหลคลอเคล้าด้วยเสียงแมลงที่ร้องเป็นบางครา
แม้ฟ้าจะมืดแล้ว แต่คืนนี้แสงจันทร์งดงามยิ่ง
บริเวณนี้ไม่มีบ้านคน ไม่เห็นแสงไฟแม้แต่ดวงเดียว แต่เพราะเช่นนี้แสงจันทร์จึงกระจ่างชัดยิ่งกว่าเดิม เขามองเห็นแม้กระทั่งเค้าโครงของภูเขาที่อยู่ไกลออกไป บางครายังมองเห็นนกอพยพบินผ่านฟ้ายามราตรีมุ่งไปข้างหน้าเป็นรูปอักษรเหริน
วันนี้ช่างผ่อนคลายโดยแท้
ชายหนุ่มกินเหอเถาคั่ว ไม่รีบร้อนเดินทาง นั่งพิงรถและปล่อยให้ลาเดินไปเรื่อยๆ เช่นนี้
ขณะที่เขากำลังยื่นมือไปหยิบเหอเถาอีกลูก ฉับพลันนั้นมีดเล็กที่บางดุจปีกจักจั่นก็พาดลงบนคอเขาจากด้านหลังเงียบๆ หากไม่เพราะตระหนักได้ทันท่วงที เกรงว่าหัวคงหลุดไปแล้วเป็นแน่
มีดเป็นมีดของเขา แต่มือที่ถือมีดอยู่หาใช่มือของเขา
เขาหลุบตามองไป เห็นมือเล็กสีขาวที่เจือสีเขียวข้างนั้น
สองวันก่อนเขาเพิ่งจะล้างนิ้วมือขาวเนียนของมือข้างนี้ทีละนิ้วจนสะอาด แม้แต่คราบเลือดในซอกเล็บยังใช้แปรงขนาดเล็กแตะน้ำทำความสะอาดจนหมดจด
ช่วยไม่ได้ ระหว่างทางเขาไม่มีอะไรทำ อีกทั้งคราบเลือดที่แห้งกรังเหล่านั้นเห็นแล้วขัดตายิ่งนัก
คนข้างหลังไม่ได้เอ่ยปาก เพียงจับด้ามมีดที่เหมือนด้ามพู่กันไว้ไม่ขยับ แววข่มขู่ชัดเจนแม้มิได้เอ่ยออกมา
อย่าขยับ
คำพูดนี้นางไม่ได้เอ่ยออกมา แต่เขาหาใช่คนโง่ เขารู้ดีว่าเวลานี้อย่าขยับตัวส่งเดชเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด
มีดนี้เป็นมีดเล็กที่อาจารย์อาสั่งทำให้เขาเป็นพิเศษ เขารู้ดีกว่าใครว่ามีดเล่มนี้คมเพียงใด
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าแม้มือของนางจะมั่นคงมาก ทว่าลมหายใจกลับไม่มั่นคงถึงเพียงนั้น หญิงผู้นี้บาดเจ็บสาหัส เป็นคนที่เขาเก็บมาจากริมน้ำเมื่อสามวันก่อน ตอนเขาไปล้างหน้าที่ริมแม่น้ำบังเอิญเห็นนางเข้า เดิมทีคิดว่านางเป็นศพที่ลอยมา คิดจะฝังนางเสีย ให้ร่างกลับคืนสู่ผืนดินและไปสู่สุคติ จวบจนช้อนตัวนางขึ้นมาจากน้ำแล้วถึงพบว่าหัวใจนางยังเต้นอยู่
หลังจากพาหญิงสาวขึ้นมาบนรถ นางสลบไสลอยู่ตลอด จนกระทั่งตอนนี้จึงฟื้นขึ้นมา
หรือว่าความจริงแล้วนางเคยตื่นมาก่อนหน้านี้?
ชายหนุ่มมองทิวทัศน์ยามค่ำคืนตรงหน้าแล้วก็เลิกคิ้ว ยกมุมปากขึ้น
“กินหรือไม่” เขาอมยิ้มเอ่ยถามเรียบๆ “เหอเถา”
หญิงสาวข้างหลังไม่ตอบ เขายกมือขึ้นช้าๆ ยื่นเหอเถาที่แกะแล้วไปข้างหลัง ทว่านางไม่รับ
“แสดงว่าไม่เอา”
เขายิ้มและหดมือกลับมา ส่งเนื้อเหอเถาใส่ปากตัวเอง มองทิวทัศน์ราตรีตรงหน้าต่อพลางเคี้ยวช้าๆ
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด คนข้างหลังถึงเอ่ยปากในที่สุด
“เจ้าเป็นใคร”
เสียงเล็กเบาดังขึ้นข้างหู เนื่องจากอ่อนแอ ทั้งยังไม่ได้เอ่ยปากพูดนานเกินไป เสียงนั้นจึงแหบพร่าเล็กน้อย ทว่ายังคงไพเราะ
กระนั้นเขาก็รู้ดีว่าการมีน้ำเสียงไพเราะดุจเสียงสวรรค์ไม่ได้หมายความว่าคนผู้นั้นจะเป็นคนดี ดังนั้นเขายังคงไม่กล้ากะพริบตา แจ้งชื่อเสียงเรียงนามของตนออกไปอย่างว่าง่าย
“ซ่งอิ้งเทียน”
“ทำอาชีพอะไร”
“เป็นแค่หมอธรรมดาๆ คนหนึ่ง” เพื่อลดความยุ่งยากให้นาง เขาจึงชี้แจงเพิ่มเติมในคราวเดียว “ท่านพ่อข้าประกอบอาชีพอยู่ที่ต้งถิง อาจารย์อาหาเลี้ยงชีพอยู่ที่หยางโจว ช่วงนี้ศิษย์น้องหญิงของข้ากำลังจะแต่งงาน อาจารย์อาตั้งใจเรียกข้าไปช่วยงาน หลายวันก่อนข้าล้างหน้าอยู่ริมน้ำ เห็นเจ้าบาดเจ็บสาหัสแต่ยังมีลมหายใจอยู่ ด้วยจิตใจของคนเป็นหมอ ข้าจึงพาแม่นางขึ้นมาบนรถ ดูแลอย่างดี…”
“พอแล้ว!” เสียงที่ตวาดเขาช่างเยียบเย็น
ซ่งอิ้งเทียนหุบปากอย่างว่าง่ายทันที มีดอยู่ในมือผู้อื่น ยังคงเชื่อฟังหน่อยจะดีกว่า
ลาข้างหน้าลากรถไปช้าๆ คนข้างหลังมือเล็กยังคงกำมีดแน่น พาดอยู่บนคอเขา
เขารู้สึกได้ว่าลมหายใจออกของนางแผ่วอ่อนและสับสนกว่าเดิม แต่นางพยายามควบคุมตัวเอง
หนึ่งชั่วยาม ก่อนเขาเพิ่งจับชีพจรนาง สองวันนี้แม้นางจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่ชีพจรยังคงแผ่วอ่อนจนแทบหาไม่เจอ ร่างกายอ่อนแออย่างยิ่ง มีความเป็นไปได้ที่จะสิ้นใจทุกเมื่อ บอกตามตรง เขาสงสัยเหลือเกินว่าตอนนี้นางสามารถลุกขึ้นเดินได้สักกี่ก้าว
ทว่าต่อให้อ่อนแอ นางก็ยังมีแรงเหลือพอที่จะปาดคอเขาได้แล้วกัน
หญิงสาวเงียบไปครู่ใหญ่ พยายามปรับลมหายใจที่ไม่สม่ำเสมอของตัวเอง
ครั้นลาลากรถหักเลี้ยว นางถึงเอ่ยปากอีกครั้ง
“หันกลับ”
“ไปที่ใด”
“ข้าสั่งให้หันกลับก็หันกลับ”
ซ่งอิ้งเทียนยื่นมือไปจับเชือกบังเหียน เห็นด้านหลังของต้นไม้ใบหญ้าข้างหน้ามีแสงไฟรำไร
แสดงว่านางไม่อยากเข้าไปในเมืองหรือหมู่บ้าน?
ก็ได้ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้อยากไปหยางโจวจริงๆ อยู่แล้ว
อาจารย์อาเรียกเขาไปตอนนี้ คิดดูก็รู้ว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ แปดส่วนคงต้องการบงการเด็กๆ อย่างพวกเขา วางแผนกลั่นแกล้งอาจิ้งน่ะสิ ดีไม่ดีคนที่ปรากฏตัวจะต้องแต่งกับศิษย์น้องหญิงผู้นั้นจริงๆ
ในเมื่อตอนนี้เขาถูกข่มขู่ เขาไม่ไปย่อมไม่ใช่ความผิดของเขา
ดังนั้นเขาจึงจับเชือกบังเหียนบังคับให้ลาน้อยหันหลังกลับไปบนเส้นทางเล็กๆ ด้วยความเต็มใจ
ลาน้อยแม้จะไม่พอใจ แต่ไม่แสดงออก เพียงลากรถเดินกลับทางเดิมอย่างยอมรับชะตากรรม ออกห่างจากหมู่บ้านที่เดิมทีเข้าใกล้แล้วไปเรื่อยๆ
ผิวน้ำสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายระยิบระยับ ดอกอ้อยังคงปลิวไปตามสายลม
“แม่นาง ถ้าเจ้ากระหายน้ำ กระบอกไม้ไผ่ด้านข้างมีน้ำสะอาดอยู่”
นางไม่ขยับ มีดเล็กคมกริบยังคงพาดอยู่บนคอเขา
ซ่งอิ้งเทียนอมยิ้ม เอ่ยซ้ำอีกครั้ง “ถ้าเจ้าไม่กระหายน้ำ ช่วยยื่นกระบอกไม้ไผ่ที่บรรจุน้ำให้ข้าหน่อยได้หรือไม่”
นางยังคงไม่ขยับ ทว่าลมหายใจแผ่วลงกว่าเดิม
ฟังเสียงลมหายใจอ่อนระโหยของนางแล้ว เขารู้ว่าหญิงสาวข้างหลังแทบจะพิงผนังรถอยู่ทั้งตัว แต่นางยังคงถือมีดเล็กเล่มนั้นไว้อย่างดึงดัน
เดิมทีเขาคิดว่านางพร้อมจะหมดสติไปได้ทุกเมื่อ
ใครจะคิดว่าเหตุการณ์หาได้เป็นเช่นนั้น
หนึ่งลี้ สองลี้ผ่านไป สามลี้สี่ลี้ผ่านไป สิบลี้ผ่านไปแล้ว ดวงจันทร์บนท้องฟ้าเคลื่อนจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ทว่านางยังคงไม่เอ่ยอะไร ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ใบมีดเย็นเฉียบที่แนบลำคอเขาถูกอังจนอุ่น เขายังคิดว่านางหมดสติไปแล้ว จังหวะที่ลองหันกลับไปดู มีดเล็กเล่มนั้นกลับกดลงบนผิว ทำให้เลือดซึมออกมาทันที เกิดรอยแผลหนึ่งขีด
ชั่วเวลานั้นเขาก็คว้ามือนางที่กำมีดอยู่
นางหมดแรงไปนานแล้ว เขาแทบไม่ต้องออกแรง แค่กุมมือนางไว้ก็สามารถหยุดนางได้แล้ว
เขาหันกลับไปท่ามกลางแสงจันทร์ เห็นหญิงสาวที่อ่อนแอผู้นั้นใช้นัยน์ตาแดงก่ำดุจโลหิตจ้องเขาเขม็ง ดวงหน้าเล็กของนางถูกกัดแทะจนเละเทะ
เรือนผมดำขลับของนางยาวสยาย บดบังใบหน้างดงามน่าเศร้าทั้งยังน่าสยดสยองไปครึ่งหนึ่ง แม้รูม่านตาของนางจะเป็นสีดำ แต่ตาขาวกลับแดงเพราะโลหิต แดงราวกับอาจมีโลหิตซึมออกมาได้ทุกเมื่อ
สภาพของนางดูเหมือนผีหญิงที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมอย่างไรอย่างนั้น หากคนอื่นเห็นเข้าจะต้องตกใจจนสามวิญญาณออกจากร่าง เจ็ดจิตลอยขึ้นไปบนสวรรค์เป็นแน่แท้ แต่ตลอดหลายวันคืนที่อยู่ร่วมกัน เขาตระหนักดีว่านางไม่ใช่ผี
ภายใต้แสงจันทร์ นางพิงผนังรถทั้งตัว ฝืนประคองตัวเองไว้ด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย มือเล็กในมือเขาเย็นเยียบดุจหิมะ
ซ่งอิ้งเทียนดึงมือนางออกจากลำคอของตัวเอง นางไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อต้าน ทว่าดวงตาแดงฉานดุจโลหิตกลับสะท้อนไอสังหารเยียบเย็นกว่าเดิม
เขาไม่ตกใจและไม่หวาดกลัว เพียงยิ้มน้อยๆ ดึงมีดคมเล่มนั้นออกจากมือนางอย่างไม่เกรงใจ
“แม่นาง ขออภัยด้วย มีดเล่มนี้เป็นของที่อาจารย์อามอบให้ข้า บนนี้มีชื่อของข้าอยู่ มิอาจมอบให้เจ้าได้” เขาเก็บมีดเล็กลงในลิ้นชักไม้ที่นางดึงออกมาและยังไม่ได้ปิด จากนั้นก็ปิดลิ้นชักพลางพูด “แต่ถ้าเจ้าชอบ ครั้งหน้าถ้าไปหยางโจวสามารถไปสั่งทำที่ร้านมีดและเครื่องเหล็กหนึ่งหทัยได้ ถ้าเจ้าไม่ชอบหยางโจว เยวี่ยโจวก็มีร้านสาขาอยู่ร้านหนึ่ง”
นางมองเขาวางมีด ปิดลิ้นชัก ดวงตาที่เต็มไปด้วยโลหิตหรี่ลงเล็กน้อย
เขาไม่ได้มองนางอีก เพียงหยิบกระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำด้านข้างขึ้นมา หยิบถ้วยกระเบื้องออกมาจากลิ้นชักอีกช่องแล้วรินน้ำใส่ถ้วย ก่อนจะวางลงบนมือเล็กที่เขาจับอยู่
“ดื่มน้ำหน่อยเถอะ” เขายิ้มพูด “น้ำนี้หวานมาก อร่อยทีเดียว”
นางไม่ขยับ ไม่มีแรงจะขยับ หากไม่เพราะมือเขาจับมือนางไว้ เกรงว่านางคงถือถ้วยไว้ไม่อยู่ เขารู้ ดังนั้นจึงช่วยนางยกมือขึ้น ทำให้ถ้วยน้ำขยับไปชิดริมฝีปากแห้งผากและมีแผลของนาง ทว่านางยังคงไม่อ้าปาก เอาแต่จ้องมองเขาอย่างเย็นชา
“แม่นาง” เขาเห็นแล้วก็ยิ้ม ก่อนจะพูดต่อ “ถ้าเจ้าไม่หิวน้ำ งั้นน้ำนี้ข้าไม่เกรงใจนะ”
นางยังคงไม่อ้าปาก เขาก็ไม่นึกโกรธ หยิบถ้วยออกจากมือนางแล้วกระดกใส่ปากตัวเอง
สายตานางเย็นเยียบกว่าเดิม หางตากระตุกทีหนึ่ง
ซ่งอิ้งเทียนรินน้ำให้ตัวเองอีกถ้วย
เขารู้ว่านางกระหายน้ำมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่อยากดื่มน้ำ สตรีผู้นี้หมดสติไปตั้งหลายวัน ล้วนอาศัยเขาป้อนข้าวป้อนน้ำ แต่ถึงอย่างไรนั่นก็มิใช่การกินอาหารด้วยตัวเอง ตอนนี้เกรงว่านางคงทั้งหิวทั้งกระหาย ที่ไม่ยอมดื่มน้ำ แปดส่วนคงกลัวว่าเขาจะวางยาพิษกระมัง
เขาดื่มน้ำอีกถ้วยและอีกถ้วย จากนั้นก็วางถ้วยลง ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าว่าดึกมากแล้ว ขืนเดินทางต่อไปลาตัวนี้ของข้าอาจจะทนไม่ไหว ให้มันพักสักครู่เถอะ พวกเราจอดรถริมทางข้างหน้าแล้วพักผ่อนกัน”
ชายหนุ่มลงจากรถไปเก็บฟืน
หญิงสาวพิงผนังรถ หายใจออกมาก หายใจเข้าน้อย รู้สึกเพียงเวียนหัวตาลาย
นางรู้ว่าชายผู้นี้เป็นมนุษย์ ไม่ใช่ปีศาจ ทว่าสำหรับนางแล้วมนุษย์ใช่ว่าจะดีกว่าปีศาจ พวกเขาบ้างละโมบในความงามของนาง บ้างละโมบในทรัพย์สิน หรือคิดว่าจะเอานางไปแลกเงินได้เท่าไร ใจมนุษย์โลภมาก ชั่วร้ายมาก พริบตาเดียวก็สามารถขายนางได้
นางหลุบตามองแขนขวาที่ขาดไป ยิ้มหยันในใจ
แม้นางจะพิการ ทว่าสำหรับคนพวกนั้นแล้วก็ไม่แตกต่าง คนวิปริตบางจำพวกยังคงสนใจหญิงพิการจริงๆ
หลายวันมานี้นางกึ่งหลับกึ่งตื่น สติพร่าเลือน รับรู้เพียงรางๆ ว่าตัวเองถูกชายผู้หนึ่งพาขึ้นมาบนรถ เขาพันแผลให้ ป้อนยา ป้อนข้าว ป้อนน้ำให้นาง ทั้งยังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนดี
ขุนหมูให้อ้วนแล้วค่อยขายเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทุกวัน
เพียงแต่…นางช้อนตาขึ้น มองการตกแต่งภายในรถ ยืนยันให้แน่ใจอีกครั้งว่าเมื่อครู่ไม่ได้ตาลายมองผิดไป
ข้าวของในรถคันนี้แม้จะดูธรรมดา ทว่าแต่ละอย่างล้วนเป็นของชั้นสูง
ตู้ไม้จันทน์ หีบไม้การบูร กล่องไม้หนานมู่ลายทอง ถ้วยกระเบื้องผสมเถ้ากระดูกที่ขาวจนแสงส่องผ่านได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมีดจากร้านมีดและเครื่องเหล็กหนึ่งหทัย นั่นเป็นของดีที่ต่อให้สั่งจองก็ต้องรอสามถึงห้าปี ในลิ้นชักอันนั้นไม่ได้มีแค่มีดลักษณะคล้ายพู่กันเพียงเล่มเดียว แต่มีมีดวางเรียงอยู่ถึงสิบสองเล่ม
แม้แต่กล่องไม้ที่เขาใช้บรรจุเหอเถาใบนั้นฝีมือยังประณีตมาก แม้จะไม่ได้แกะสลักและเคลือบสี แต่พอปิดฝากลับมองไม่เห็นรอยต่อแม้แต่น้อย ดูแล้วเหมือนไม้ทรงสี่เหลี่ยมก้อนหนึ่ง
เสื้อผ้าที่เขาสวม รองเท้าที่เขาใส่ ดูเรียบง่ายแต่กลับไม่ใช่ของธรรมดา
ชายผู้นี้บอกว่าตัวเองเป็นหมอคนหนึ่ง แต่นางไม่เคยเห็นหมอคนใดมีข้าวของเครื่องใช้ดีถึงเพียงนี้มาก่อน โอสถทั้งหลายที่เขาวางอยู่บนรถก็ล้วนเป็นของชั้นยอด บางทีคนทั่วไปอาจแยกไม่ออก แต่ของพวกนี้กลับตบตานางไม่ได้ กลิ่นหอมของยาที่อบอวลไปทั่วรถ นางแค่ดมก็รู้แล้วว่าของพวกนั้นไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป
มีดทรงพู่กันแถวนั้นเป็นมีดหมอ อย่าว่าแต่หมอที่พเนจรไปทั่วเลย เกรงว่าแม้แต่หมอในเมืองยังมีไม่กี่คนที่สามารถมีไว้ครอบครองสักเล่ม
ดอกอ้อกระจุกแล้วกระจุกเล่าปลิวพัดตามสายลม คล้ายปุยฝ้าย คล้ายเกล็ดหิมะ
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น เห็นคนผู้นั้นไม่รู้คิดอะไร ก่อนลงจากรถยังจงใจเลิกม่านขึ้น ให้นางมองเห็นสภาพแวดล้อมภายนอก
นางมองลาตรงหน้าและเชือกบังเหียนที่วางอยู่บนที่นั่งคนขับ ก่อนจะยื่นมือไปคว้าเชือกโดยไม่คิด หมายจะบังคับรถเทียมลาจากไป ทว่ามือกลับกำลังสั่น นางไม่สนใจ เพียงโน้มตัวไปข้างหน้า แต่แล้วร่างกายกลับเสียสมดุล ล้มคะมำลงไปบนพื้นรถอย่างอเนจอนาถ
ก่อนที่ใบหน้าจะกระแทกพื้น นางก็พลันยื่นมืออีกข้างไปยันไว้ แต่ใบหน้ายังคงกระแทกพื้นอย่างแรง
ให้ตาย!
นางลืมไปว่าแขนขวาของตนขาด อีกทั้งเห็นได้ชัดว่านางอ่อนแอกว่าที่ตัวเองคิดไว้
ความเจ็บทำให้เหงื่อเย็นผุดออกมาจากรูขุมขน นางหมอบอยู่บนพื้นรถ แค่หายใจยังต้องออกแรง มือและหน้าอกที่บาดเจ็บและถูกทับทำเอานางเจ็บจนริมฝีปากชาหัวใจสะท้าน ได้แต่ออกแรงพลิกตัวนอนตะแคง ขดตัวอยู่บนพื้นรถ นานครู่ใหญ่ที่มิอาจขยับเขยื้อน
ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอจนความเจ็บผ่านพ้นไป นางหลุบตาตรวจดูแขนข้างที่ขาด ถึงได้พบว่าเขาไม่เพียงพันแผลให้อย่างเรียบร้อย ยังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ เสื้อผ้าชุดนี้ไม่ใช่ของนาง แต่เป็นเสื้อผ้าบุรุษ แปดส่วนคงเป็นของเขา
สิ่งสุดท้ายที่นางจำได้คือสารเลวพวกนั้นไล่ตามนางมาถึงริมแม่น้ำ นางจงใจกระโดดลงไปในน้ำ พอตกลงไป เลือดของนางย้อมน้ำในแม่น้ำจนเป็นสีแดงทำให้พวกมันมองเห็นไม่ชัด แยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นใคร นางฉวยโอกาสตอนที่เจ้าคนเคราะห์ร้ายคนหนึ่งถูกเข้าใจผิดว่าเป็นนางดำลึกลงไปใต้น้ำ หนีเอาชีวิตรอดมาได้
ครานี้บาดเจ็บสาหัสเกินไป นางหายดีไม่เร็วพอ
นางเห็นบริเวณที่เขาใช้ผ้าโปร่งพันแผล เนื่องจากการกระแทกเมื่อครู่นี้จึงทำให้มีเลือดซึมออกมา นอกจากนี้นางยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บแปลบเป็นระลอกที่แผ่มาจากช่วงอกและท้อง ตลอดจนความอุ่นร้อนขุมหนึ่ง แม้จะมองไม่เห็น แต่นางรู้สึกได้ว่าความอุ่นร้อนนั้นกำลังขยายวงออกไป
นางรู้ว่าบาดแผลตรงนั้นแปดส่วนคงฉีกและปริออกอีกแล้ว
ด้วยกลัวว่ากลิ่นเลือดจะกระจายออกไป นางกัดฟัน มือสั่นขณะดึงผ้าห่มด้านข้างมาคลุมตัวเอง
ครู่ใหญ่ที่นางไม่กล้าขยับเขยื้อนอีก เอาแต่กลั้นหายใจเฝ้ารอพวกสารเลวที่จมูกดีเป็นเลิศพุ่งเข้ามา
เวลาหนึ่งเค่อ ผ่านไป และผ่านไปอีกเค่อ
ลมพัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ข้างนอกเงียบสนิท มีเพียงเสียงเดินและเคลื่อนไหวของชายผู้นั้น
หญิงสาวเงยหน้ามองทิวทัศน์ยามค่ำคืนนอกตัวรถ ตลอดจนชายหนุ่มที่เคลื่อนไหวไปมาระหว่างต้นหญ้า ก่อนจะตระหนักว่านางมิอาจไปจากที่นี่ได้ด้วยตัวเอง ต่อให้มีลาตัวนั้นกับรถคันนี้ก็ตาม
นางไม่เพียงแขนขาด กระดูกซี่โครงยังหักไปหลายท่อน นางรู้ว่าเท้าก็มีปัญหา เกรงว่าแม้แต่ยืนยังยืนไม่ขึ้นด้วยซ้ำ
นางต้องการคนผู้นี้ อย่างน้อยสองสามวันนี้ก็ยังต้องการอยู่
เขากำลังดูแลนาง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร นางรู้ว่าเขาจะให้อาหาร ให้ยา และให้น้ำนาง
เวลานี้แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ถึงอย่างไรนางก็ต้องการเวลาแค่ไม่กี่วันในการฟื้นฟูร่างกาย
ถ้าเจอเจ้าพวกนั้น นางยังสามารถเอาคนผู้นี้มาเป็นโล่บังธนู ยื้อเวลาได้อีกชั่วครู่ก็ยังดี บางครั้งเวลาแค่ชั่วพริบตาก็เพียงพอให้นางหนีเอาตัวรอดได้แล้ว
เมื่อตัดสินใจแน่วแน่ หญิงสาวก็ไม่คิดจะเปลืองแรงอีก เพียงหลับตาลง พยายามประคองลมหายใจของตัวเองไว้
ชายผู้นั้นเดินมาและเดินจากไป ไม่นานเขาก็กลับมาข้างรถ เปิดช่องใต้ที่นั่งคนขับ หยิบเตาดินเผาสีแดงใบหนึ่งออกมา เริ่มก่อไฟและย่างปลา
กลิ่นหอมของปลาย่างทำเอานางอึ้งไปเล็กน้อย ลืมตาขึ้นโดยไม่รู้ตัว
นางเห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาไม่ได้ถือเครื่องมือตกปลาไป แต่กลับไม่รู้ว่าเขาจับปลาได้อย่างไร ทั้งยังเสียบพวกมันไว้กับซีกไม้ไผ่แล้วนำไปย่าง
มองให้ละเอียดอีกทีนางถึงพบว่าไม่รู้เขาไปหาไผ่เขียวต้นหนึ่งมาจากที่ใด ผ่ามันออกทำเบ็ดตกปลาแบบง่ายๆ ทั้งยังตัดกระบอกไม้ไผ่มาข้อหนึ่งเพื่อใช้ต้มน้ำแกงปลาอีกด้วย
กลิ่นหอมของอาหารทำให้ท้องของนางร้อง นอกจากความเจ็บปวดแล้ว ยังมีความหิวโหยเพิ่มเข้ามาอีก
เขาขุดขิงที่ขึ้นเองในป่าออกมาฝานเป็นแผ่นบางแล้วโยนลงไปในน้ำแกง ทำให้กลิ่นหอมเข้มข้นกว่าเดิม
เขาไม่ได้มาถามนางอีกว่าจะกินหรือไม่ เอาแต่ย่างปลา ต้มน้ำแกง จากนั้นก็นั่งยองอยู่ข้างกองไฟอันอบอุ่นและลงมือกิน
ครั้นเห็นเขากินอยู่คนเดียว โทสะในใจนางก็ผุดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ นางเม้มปากแน่น หลับตาลงอีกครา
ทว่าพอหลับตาลง กลิ่นอาหารกลับหอมหวนยิ่งกว่าเดิม ก่อกวนจิตใจมากกว่าเดิม
กระเพาะที่หิวโหยส่งเสียงดังอีกครั้ง กลิ่นหอมนั้นยังหอมมากขึ้นทุกที เข้มข้นมากขึ้นทุกที ใกล้เข้ามาทุกที ราวกับอยู่ใกล้แค่ตรงนี้ นางรู้สึกได้ถึงไอร้อนเสียด้วยซ้ำ…
ด้วยตระหนักถึงความผิดปกติ นางจึงลืมตาและเห็นคนผู้นั้นมาอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ เขายืนอยู่หน้าที่นั่งคนขับ มือหนึ่งถือกระบอกไม้ไผ่ที่ใส่น้ำแกงปลาพลางใช้ตะเกียบไม้ไผ่ที่ทำขึ้นชั่วคราวกินเนื้อปลาในน้ำแกงด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย กินไปมองนางไปด้วย
หญิงสาวตระหนกจนเกือบจะกระถดตัวไปข้างหลัง โพล่งถามออกมา
“เจ้าทำอะไร?!”
“เจ้าล้มลงบนพื้น” เขาพูดตาไม่กะพริบ “ข้าเลยมาดูว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
นางตะลึงงัน จ้องเขาอย่างขุ่นขึ้ง อยากยันตัวเองขึ้นทว่าไม่มีแรง
“ในเมื่อยังมีลมหายใจ ยังพูดได้ ก็น่าจะยังดีอยู่”
เขาพูดไปกินไป กินจนปากมันแผล็บ ที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือท้องของนางดันส่งเสียงร้องโครกครากออกมาอย่างไม่เอาไหนในเวลานี้
เขาได้ยิน นางรู้ว่าเขาได้ยิน แต่นางยังไม่ทันได้รู้สึกเขินอาย เจ้าคนน่าโมโหผู้นี้กลับมองนางแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองน้ำแกงในกระบอกไม้ไผ่ของตน ก่อนจะแหงนหน้าสูงดื่มน้ำแกงปลาที่เหลือจนเกลี้ยงต่อหน้านาง
เขาดื่มหมดแล้ว นางรู้ น้ำแกงในกระบอกไม้ไผ่อันนั้นถูกดื่มจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
ทันใดนั้นโทสะก็พลันพุ่งขึ้นมาอีกระลอก
นางรู้ว่าเขาจงใจ ตอนวางกระบอกไม้ไผ่เขายังเลียริมฝีปากด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยไม่หาย จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปอีกครั้ง…
นางโมโหกว่าเดิมอย่างไร้สาเหตุ ชายผู้นั้นกลับชะงักเท้าในจังหวะนี้แล้วหันกลับมายิ้มถาม
“ใช่แล้ว แม่นาง ถ้าเจ้าหิว ข้ายังมีน้ำแกงปลาอีกหนึ่งกระบอกไม้ไผ่ จะให้ข้านำมาให้เจ้าหรือไม่”
“ไม่ต้อง!”
ชั่วขณะที่โพล่งออกไป นางก็นึกเสียใจภายหลัง จะเอาชนะไยต้องเป็นเวลานี้ด้วย นางควรคว้าโอกาสกินอาหาร รีบฟื้นฟูร่างกายจะได้ปกป้องตัวเองได้ แต่คนผู้นี้กวนประสาทและน่าโมโหเกินไปจริงๆ ทำให้นางไม่ทันคิดให้รอบคอบ
ซ่งอิ้งเทียนจ้องนางแล้วยิ้ม เหมือนเดาได้แต่แรกแล้วว่านางต้องพูดเช่นนี้ เขาไหวไหล่ หมุนตัวกลับไปอีกครั้ง เดินกลับไปข้างกองไฟอย่างสบายอารมณ์
ความอับอายของนางแปรเปลี่ยนเป็นโทสะที่รุนแรงกว่าเดิม จึงตัดสินใจหลับตาเสีย
พยัคฆ์ตกที่ราบถูกสุนัขรังแก จริงๆ หากไม่เพราะบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ นางจะตกต่ำถึงขั้นถูกมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งปั่นหัวเล่นเช่นนี้หรือ
รอให้ข้าหายดีก่อน สารเลวผู้นี้อย่าได้ตกมาอยู่ในมือข้าเลย!
คนเป็นหมอจิตใจเมตตาดุจบิดามารดาบ้าบออะไร! มนุษย์บัดซบ! บ้าจริง! ไปตายเสียเถอะ…
น่าโมโห…น่าโมโห…น่า…
…ความมืดจู่โจมเข้ามา เนื่องจากเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียเกินไป ประกอบกับเสียเลือดมาก นางไม่มีแรงจะคิดมากอีก ได้แต่จมดิ่งลงสู่ความมืดอีกครั้ง
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ นางยังคงพยายามประคองสติเสี้ยวสุดท้ายไว้ ไม่กล้าปล่อยให้ตัวเองหมดสติไปโดยสมบูรณ์
กลิ่นหอมของอาหารพวกนั้นยังคงอยู่ ยังคงรบกวนนาง แต่นางก็ได้ยินเสียงลมพัดเช่นกัน ยังได้ยินเสียงลาพ่นลมหายใจ ได้ยินเสียงน้ำไหล ได้ยินเสียงถ่านปริแตกเพราะถูกเผาไหม้
หญิงสาวผ่อนคลายลงช้าๆ
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด บางทีสุดท้ายนางยังคงหมดสติไปอยู่ดี แต่พอเขากลับขึ้นมาบนรถอีกครั้งนางก็รู้ตัวแทบจะในทันที
นางพยายามที่จะตื่นแล้ว แต่กลับทำไม่ได้
นางไม่ไว้ใจคนผู้นี้ แต่นางเหนื่อยจนมิอาจควบคุมร่างกายตัวเองได้ เปลือกตาเหมือนหนักเป็นพันชั่ง ถึงขั้นขยับนิ้วมือไม่ได้ด้วยซ้ำ
เขาขึ้นมาบนรถ นั่งลงข้างกายนาง ไม่รู้กำลังทำอะไร
ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือมาดึงเสื้อผ้านางออก ลูบไล้ร่างกายนางแล้วถอดเสื้อผ้าออกไป
หัวใจนางเต้นเร็วขึ้นอย่างมิอาจควบคุม มิใช่เพราะเขินอาย แต่เป็นเพราะหวาดกลัว
นางไม่รู้เลยว่าตัวเองกลัวมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งด้วย แต่บัดนี้มือของนางไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะมัดไก่ ได้แต่ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ อีกทั้งนางมิอาจควบคุมอารมณ์ของตัวเอง มิอาจควบคุมความรู้สึกอดสูที่จู่โจมจิตใจได้เลย
แค่ชายคนหนึ่ง นางจะกลัวอะไร เรื่องอะไรบ้างที่นางไม่เคยพบไม่เคยเจอ?!
รอให้นางได้สติ รอให้ร่างกายนางฟื้นฟู นางต้องให้เขาชดใช้แน่…
บทที่ 2
ระหว่างคิด นางก็พบว่ามือเขาวางอยู่ข้างแผลที่เอว มือของเขาใหญ่และร้อนยิ่ง
ความรู้สึกสงบแผ่มาจากมือใหญ่ของเขา
ชั่วเวลาถัดมานางถึงตระหนักว่าเขากำลังแกะผ้าโปร่งพันแผลออก
นางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองบาดเจ็บสาหัส ร่างกายถูกกัดแทะจนแหว่งวิ่น ถ้าเป็นคนเห็นก็เกรงว่าคงอาเจียนออกมา แล้วคนวิปริตคนใดจะกระทำมิดีมิร้ายกับคนเจ็บหนักเพียงนี้ แต่ใครจะไปรู้เล่า โลกนี้มีคนวิปริตมากมายถึงเพียงนั้น…
เพียงชั่วเวลาสั้นๆ เขาก็ฝังเข็มลงบนจุดชีพจรรอบๆ แผลนาง เขามือเบาจนแทบไม่รู้สึก ทว่านางยังคงรู้สึกได้
หญิงสาวหอบหายใจ รู้สึกว่าความเจ็บเริ่มบรรเทาลง เขาใช้มือกดลงบนบาดแผลที่ยังมีเลือดไหล ทำให้เลือดค่อยๆ หยุด
น่าโมโหนัก วิชาแพทย์ของชายผู้นี้ดีมากจริงๆ
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มใส่ยาให้นาง ยาพวกนั้นเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง ทำเอาร่างกายนางสั่นสะท้าน
“ไม่เป็นไร” เขาบอก “ไม่ต้องกลัว แค่ยาเท่านั้น”
พูดอะไรของเขา?!
ข้าไม่ได้กลัว! ไม่กลัวสักหน่อย…
ทว่าอึดใจต่อมาเขาก็อุ้มนางขึ้น ยกนางขึ้นจากพื้นรถ ให้นางพิงตัวเขา
หัวใจหดเกร็งอีกครั้ง แต่เขาเพียงพันแผลที่มีเลือดออกให้นางใหม่ จากนั้นก็เริ่มตรวจดูแขนที่ขาดไปของนาง
แขนนางไม่มีเลือดออกแล้ว ถ้านางกินอะไรบ้างแผลจะหายเร็วกว่านี้ แต่นางกลัวว่าเขาจะสังเกตได้
เขาใช้น้ำทำความสะอาดมัน ใส่ยาและพันแผล ขณะที่นางคิดว่าเขาทำทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว เขากลับไม่ปล่อยให้นางนอนราบ ชายหนุ่มด้านหลังเพียงแต่ปิดผ้าให้นาง หลังจากนั้นก็ใช้ช้อนง้างปากนาง ปล่อยให้กระแสความร้อนที่อบอุ่นสายหนึ่งไหลเข้ามาในปากช้าๆ
ของเหลวนั้นเค็มเล็กน้อย อุ่นนิดหน่อย เจือกลิ่นหอมหวานของปลาสด เคล้ากลิ่นหอมสดชื่นจากขิง
หัวใจนางเต้นรัวอีกครั้ง
เขาป้อนช้าๆ มีความอดทนอย่างยิ่ง ราวกับรู้ว่าหากป้อนเร็วเกินไปนางจะสำลักได้
จวบจนเวลานี้นางจึงตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาป้อนอาหารนางเช่นนี้ เขาชำนาญเกินไป บุรุษสตรีไม่พึงใกล้ชิดกัน หมอคนหนึ่งไม่มีทางใกล้ชิดกับคนไข้ที่เป็นสตรีเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการป้อนอาหารที่ร่างกายแทบจะแนบติดกัน
เขาป้อนคำเล็กทีละคำ ทั้งยังบี้เนื้อปลาชิ้นใหญ่ให้กลายเป็นเนื้อบดนุ่มๆ ทำให้นางไม่ต้องเคี้ยวก็กลืนลงไปได้อย่างง่ายดาย
ลมกลางคืนโชยมาเบาๆ หัวใจนางยังคงเต้น เต้นอย่างแผ่วเบาแต่เร็วรี่
เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อและอีกเค่อ หัวใจที่เต้นถี่รัวค่อยๆ เต้นช้าลงโดยไม่รู้ตัว
ซ่งอิ้งเทียนป้อนจนน้ำแกงปลาในกระบอกไม้ไผ่ถูกนางกินหมดจึงได้หยุด จากนั้นก็เลิกผ้านางขึ้นอีกครั้ง ถอนเข็มเงินบนหน้าอกและช่องท้องออกอย่างระมัดระวัง จัดเสื้อผ้าให้นาง ทั้งยังผูกสายรัดเอวให้นางด้วย แต่เขายังคงไม่ปล่อยให้นางนอนราบ เพียงให้นางพิงร่างเขาต่อ ทว่ากลับไม่ได้ทำสิ่งใดที่ไม่สมควร
ชายผู้นี้ไม่มีเจตนาร้าย นางรู้สึกได้ แต่กลับยากที่จะทำใจเชื่อ
ลมกลางคืนพัดมาแผ่วเบาระลอกแล้วระลอกเล่า
หญิงสาวรู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจของเขาที่แนบติดแผ่นหลังนาง มันเต้นอย่างช้าๆ อุณหภูมิร่างกายของเขาค่อยๆ สร้างความอบอุ่นให้เรือนร่างเย็นเฉียบของนาง ทำให้ร่างกายนางอุ่นขึ้นทีละน้อย
นางรู้สึกผ่อนคลายกว่าเดิม ระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่น ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับมีเรี่ยวแรงที่จะลืมตาขึ้น
แสงจันทร์สาดส่องลงมาจากท้องฟ้า น้ำในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวสะท้อนขุนเขาและดวงจันทร์ คลื่นน้ำทอประกายวิบวับแผ่วจาง
นางรู้ว่าเหตุใดเขาจึงไม่ปล่อยให้นางนอนราบ
เมื่อกินอาหารเหลวไม่ควรนอนราบ ป้องกันไม่ให้อาหารไหลย้อนขึ้นมาตามลำคอ ต้องรอครู่หนึ่งจึงจะให้คนป่วยพักผ่อนได้
เนิ่นนานมาแล้ว คำสอนที่แม่มดใหญ่พร่ำสอนนางพลันผุดขึ้นมา
คนเป็นหมอ จิตใจเมตตาประดุจบิดามารดา
ความเคียดแค้นและความเจ็บปวดพุ่งขึ้นในใจพร้อมกัน ฉายชัดในดวงตา
นางหลับตาลง ปัดและลบความทรงจำเหล่านั้นออกไป
กึงกังกึงกัง…
กึงกังกึงกัง…กึงกังกึงกัง…
หญิงสาวได้สติท่ามกลางการโยกคลอนไปมาอย่างมีจังหวะ
ภาพตรงหน้าเริ่มแรกมีเพียงความพร่าเลือน หลังจากนั้นจึงเริ่มชัดขึ้น
นางยังคงอยู่บนรถ นอนอยู่ในผ้าห่มบนพื้นรถ รถเทียมลาแล่นออกมาจากสถานที่ที่เคยจอดก่อนหน้านี้ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้
ตู้ไม้อย่างดีที่ตั้งเรียงรายอยู่ด้านข้างและเป็นที่เก็บมีดหมอยังคงไม่ถูกลงกลอนสักใบ
ด้านหน้ามีแสงแดดส่องผ่านม่านเข้ามาเป็นระยะ ทำให้นางเห็นเงาร่างของชายผู้นั้น ทั้งที่นางเพิ่งจะใช้มีดข่มขู่เขา แต่เจ้านี่ยังกล้าหันหลังให้นางอีก?!
ไม่ต้องดึงลิ้นชักพวกนั้นออกมา นางก็รู้ว่ามีดพวกนั้นจะต้องยังอยู่ที่เดิมไม่หายไปแม้แต่เล่มเดียว
ชายผู้นี้ถ้าไม่ได้โง่ ก็ต้องคิดว่านางอ่อนแอเกินไป มิอาจสร้างอันตรายต่อเขาได้
บางทีการวิเคราะห์ของเขาอาจจะไม่ผิด
นางอ่อนแอมากจริงๆ หน้าอกและช่องท้องยังคงเจ็บ แขนที่ขาดไปก็ยังเจ็บปวดเหลือเกิน แต่หลังจากที่เขาป้อนน้ำแกงปลาให้นาง บาดแผลก็สมานตัวเร็วกว่าเดิม นางรู้ว่าเลือดหยุดไหลแล้ว ไม่ต้องก้มหน้าดูก็รู้ว่าสถานการณ์กำลังดีขึ้น ถ้านางกินอาหารต่อจะหายดีเร็วกว่านี้
ฉับพลันนั้นนางได้ยินเสียงพูดคุยไกลออกไปลอยเข้ามา เสียงนั้นไม่ใช่แค่คนเดียว หัวใจนางหดเกร็ง ประหม่าเล็กน้อย
ตอนที่เขาลดความเร็วลง หญิงสาวกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว โดยไม่ต้องคิด นางฝืนข่มความเจ็บปวดดึงลิ้นชักที่เก็บมีดออกมาและคว้ามีดเล่มหนึ่งมากำไว้ในมือ
ตอนนี้นางมิอาจรับมือกับคนได้มากนัก แต่นางไม่โง่ถึงขั้นปล่อยให้ผู้อื่นเชือดตามใจชอบ
เสียงผู้คนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฟังดูแล้วเป็นตลาดเล็กๆ แห่งหนึ่ง
นางได้กลิ่นเนื้อกลิ่นผัก ได้ยินเสียงไก่ขันแพะร้อง ยังมีเสียงตะโกนขายของ
ชายหนุ่มหยุดรถแล้วลงจากรถไป
นางได้ยินเสียงเขาเดินจากไปไกล เหงื่อเย็นไหลท่วมตัว นางกำมีดแน่น มองผ่านรอยแยกของม่านที่มีแสงส่องเข้ามาออกไปก็เห็นแผ่นหลังของชายผู้นั้น เขากำลังเจรจากับพ่อค้าแผงลอยริมทาง
พ่อค้าผู้นั้นดูปกติมาก เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง แต่นางยังคงจ้องเขม็ง ชายผู้นั้นซื้อผักสองกำ จากนั้นก็เดินไปที่แผงขายไก่ซื้อไข่ไก่มาหนึ่งชั่ง
นางมองเขาพูดคุยซื้อขายกับคนเหล่านั้น อีกทางหนึ่งกวาดตามองไปรอบบริเวณอย่างรวดเร็ว พบว่าสาเหตุที่บริเวณนี้มีตลาดเล็กๆ เพราะที่นี่มีท่าเรือขนาดเล็กอยู่
บริเวณนี้เป็นท่าเรือ เรือลำเล็กหลายลำมาจอดรับคนข้ามแม่น้ำ คิดว่าละแวกนี้คงมีเพียงที่นี่ที่สามารถข้ามแม่น้ำได้ แถวท่าเรือมีคนตั้งแผงขายของไม่มาก ดูเหมือนแผงลอยชั่วคราวเพียงสิบกว่าแผงเท่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนวางตะกร้าไม้ไผ่ที่ใส่ผัก ตลอดจนเล้าไก่ไว้บนพื้น ผู้คนมารวมตัวและทำการค้ากันที่นี่เพราะคนที่สัญจรผ่านไปมาจะถือโอกาสซื้อของติดไม้ติดมือไปด้วย
มองเรือเล็กข้ามฟากลำนั้นแล้ว ชั่วแวบหนึ่งที่นางบังเกิดความรู้สึกอยากลงจากรถและขึ้นเรือจากไป แต่นางรู้ว่าต่อให้นางสามารถเดินทางระยะใกล้ๆ เช่นนี้ได้ ต่อจากนี้ไปเกรงว่าก็คงหาสถานที่ที่สามารถพักฟื้นร่างกายอย่างปลอดภัยไม่ได้อยู่ดี
บัดนี้ย้อนคิดดูแล้ว การถูกโจมตีที่หยางโจวดูอย่างไรก็ไม่เหมือนความบังเอิญ กลับเหมือนมีคนจงใจล่อนางไปที่นั่นมากกว่า
มนุษย์โลภมาก ปีศาจก็เช่นกัน
ขบคิดดูแล้ว ก่อนที่บาดแผลจะหายดี การอยู่บนรถของคนผู้นี้ต่อไปกลับเป็นหนทางที่เหมาะสมที่สุด
นางดึงสายตากลับไปยังชายผู้นั้น มือเขาหิ้วเนื้อที่ห่อด้วยใบบัวห่อหนึ่ง ยังมีต้นหอมสีเขียวเพิ่มมาอีกหลายกำ ผลไม้หนึ่งตะกร้า เขากำลังหันหลังและเดินกลับมา
แม้จะสวมเสื้อสีเทาผ้าเรียบ แต่เนื้อผ้านั้นดีเกินไป เทียบกับหญิงชาวนาและชายชาวประมงด้านข้างแล้วดูไม่เข้ากันอย่างยิ่ง ผู้คนรอบด้านก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่นี่ ยิ่งไม่เหมือนคนประเภทที่จะซื้อกับข้าวริมทาง แต่ละคนอดไม่ได้ที่จะแอบมองเขา ทว่าชายผู้นั้นกลับไม่ใส่ใจสายตาของคนอื่นแม้แต่น้อย
เขาหิ้วบรรดาผัก เนื้อ และผลไม้เดินทอดน่องช้าๆ เหมือนกำลังเดินเล่นอยู่บนถนน
ครั้นเห็นเขาเข้ามาใกล้ นางก็กัดฟันอดทนกับความเจ็บและเอนกายลงใต้ผ้าห่มอีกครั้ง
ไม่นานเขาก็เดินมาถึงข้างตัวรถ ก้าวขึ้นรถแล้วเลิกม่าน วางตะกร้าที่บรรจุผักผลไม้ไว้ในห้องโดยสาร ส่วนเนื้อสดที่ห่อด้วยใบบัววางไว้ในถังไม้ใบเล็กที่มีฝาปิด
นางอยู่ใต้ผ้าห่ม มือกำมีดแน่น ลืมตาเป็นขีดเล็กๆ แทบไม่สังเกตเห็น
ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้เหลือบมองนางแม้แต่แวบเดียว พอเก็บข้าวของเสร็จเขาก็ปล่อยม่านลงและหันหลังกลับไปนั่งบนที่นั่งคนขับ บังคับรถเทียมลาให้ออกจากท่าเรือข้ามฟากแห่งนั้น
เสียงผู้คนค่อยๆ ห่างออกไป
นางลอบพรูลมหายใจ ลืมตาอย่างสมบูรณ์อีกครั้ง จึงพบว่าเมื่อครู่ตอนเปิดลิ้นชักนางไม่ได้ปิดกลับเข้าไป มันยังคงเปิดอยู่อย่างนั้น
นางหันไปมองด้านหน้ารถ ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เขาไม่เห็นจริงๆ หรือจงใจทำเป็นมองไม่เห็นกันแน่
นางหรี่ตาลงเล็กน้อย เม้มริมฝีปาก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเก็บมีดเล่มนั้นกลับเข้าที่เดิมและหยิบมีดอีกเล่มที่วางอยู่ในตำแหน่งที่ลึกกว่าออกมา จากนั้นค่อยดันลิ้นชักกลับเข้าที่ช้าๆ
รถเทียมลามุ่งหน้าต่อไป นางกำมีดเล่มนั้นแน่น เอนกายลงอีกครั้ง
มีเสียงประหลาดดังมาจากข้างหน้า ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงตระหนักว่านั่นเป็นเสียงเขากำลังแกะเปลือก ไม่รู้เขาไปหาผลไม้มาจากที่ใด ครานี้ไม่ใช่เหอเถา กลิ่นไม่ใช่
…เป็นเกาลัดคั่วน้ำตาล
เขาเคี้ยวกินช้าๆ ปล่อยให้ลาเดินไปข้างหน้าเอง
นางรักษาลมหายใจสม่ำเสมอของตัวเองไว้ จดจ่อกับการฟื้นฟูบาดแผลบนร่างกาย แต่กลิ่นหอมของเกาลัดคั่วน้ำตาลลอยมาไม่หยุด ชวนให้คนน้ำลายสอเหลือเกิน
ชั่วขณะหนึ่งที่นางคิดว่าคนผู้นี้จงใจ
หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น เม้มปากแน่น ลอบสบถด่าในใจ ก่อนจะหลับไปอย่างมึนงงอีกครั้งท่ามกลางกลิ่นหอมของเกาลัดคั่วน้ำตาลและเสียงล้อรถที่ดังเป็นจังหวะ
รถเทียมลาหยุดลง
ไม่รู้ว่าหยุดนานเพียงใดแล้ว
มีดในมือถูกหยิบออกไปตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ นางมุ่นคิ้ว หลุบตามองมือที่คลายออก รู้สึกขัดใจเล็กน้อย
ตื่นมาอีกครั้งก็ยังคงได้กลิ่นหอมของเกาลัด แต่กลิ่นนั้นไม่เหมือนก่อนหน้านี้นัก
ม่านประตูหลังรถถูกคนเลิกขึ้นและแขวนไว้กับตะขอด้านข้าง
สายลมโชยพัดมาเอื่อยๆ ระลอกแล้วระลอกเล่า นำพากลิ่นหอมเข้ามาในรถ
หญิงสาวเบี่ยงตัวอย่างระมัดระวัง มองออกไปข้างนอก เห็นเขาจอดรถไว้กลางแจ้ง จุดไฟให้กับเตาดินเผาสีแดงใบเล็กอีกครั้ง บนนั้นมีหม้อใบเล็กวางอยู่ ใช้ไฟอ่อน ไม่รู้กำลังต้มอะไร นางยังไม่ทันแยกแยะจากกลิ่นว่าในนั้นประกอบด้วยอะไรบ้างก็เห็นเขาหยิบชามขึ้นมาแล้วตักของเหลวสีขาวน้ำนมลงไป
ตอนเขาวางทัพพีและมองมาทางนี้ นางก็เอนกายลงอย่างรวดเร็ว
ไม่ผิดไปจากที่คิด เสียงฝีเท้ามุ่งหน้ามาทางนี้ ตามด้วยรถจมลงไปเล็กน้อย นางรู้ว่าเขาขึ้นมาบนรถ ทว่าไม่รู้กำลังทำอะไรอยู่ข้างกายนาง
ได้ยินเขาทำเสียงดังสวบสาบ นางจึงแอบลืมตา เห็นเขาหยิบพัดใบลานเล่มหนึ่งออกมาจากสักที่ นั่งพิงประตูอย่างสบายอารมณ์ ทางหนึ่งโบกลมใส่ชามร้อนกรุ่นใบนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทางหนึ่งอาศัยแสงธรรมชาติจับพู่กันขีดเขียนบนสมุดเล่มหนึ่งอย่างรวดเร็ว
นอกรถมีเสียงแมลงร้อง นกบินผ่านไปบนท้องฟ้าเป็นครั้งคราว
เขาโบกพัดใส่ชามจนเย็น ก่อนจะหันกลับมาประคองนางลุกขึ้น นางหลับตาโดยเร็ว แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น
เขาให้นางพิงอกเขาเหมือนก่อนหน้านี้ จากนั้นก็ป้อนนางทีละคำๆ
นั่นเป็นโจ๊กที่ตุ๋นจากเกาลัดกับข้าว เขาตุ๋นข้าวจนเปื่อย นำมาผสมกับเกาลัดที่ถูกบดจนเละ ทั้งยังเติมสมุนไพรลงไปอีกนิด ได้โจ๊กอ่อนนุ่มและรสหวานหอม
เกาลัดมีฤทธิ์อุ่นรสหวาน เข้าสู่เส้นลมปราณ ม้าม กระเพาะ ไต บำรุงม้ามกระตุ้นการทำงานของไต ยังช่วยการไหลเวียนของเลือด ห้ามเลือด บรรเทาอาการบวม มีประโยชน์ต่อนางอย่างยิ่ง
นางต้องรีบฟื้นฟูร่างกาย การกินอาหารเป็นวิธีที่เร็วที่สุด ดังนั้นนางจึงไม่ได้ต่อต้าน ปล่อยให้เขาป้อนอาหารให้เช่นนั้น
ป้อนจนหมดชาม เขาก็ให้นางพิงเขาอยู่พักใหญ่ ระหว่างนี้ก็อ่านหนังสือเล่มนั้นต่อ
นั่นเป็นตำราแพทย์เล่มหนึ่ง บนนั้นมีตัวอักษรแน่นขนัดมากมาย
ได้ฟังเสียงหัวใจเขาเต้น ฟังเสียงเขาพลิกหน้าหนังสือ ทำให้สติของนางเริ่มล่องลอยออกไป ในระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่นมองเห็นต้นหลิวระย้าพลิ้วโบกตามสายลม ไกลออกไปเหมือนจะมีคนต้มยา หั่นยา อธิบายสรรพคุณของยาชนิดต่างๆ
กลิ่นหอมของน้ำชาอบอวลไปทั่ว กลิ่นหอมของยาแผ่วจาง
โดยไม่รู้ตัว นางเหมือนกำลังนอนอยู่ในโรงยา มือขาวเนียนอบอุ่นคู่หนึ่งยื่นเข้ามาอุ้มนางขึ้นจากเปล ลูบหน้านางและครวญเพลงเบาๆ
ไม่ใช่ให้นางฟัง นางรู้
นี่ไม่ใช่ความทรงจำของนาง แต่เป็นของชายผู้นี้
นางควรจะต่อต้านมัน ใจคนอัปลักษณ์ยิ่ง มักจะเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์เกินบรรยายในชั่วอึดใจต่อไป แต่มือคู่นี้อ่อนโยนถึงเพียงนั้น อ้อมอกอบอุ่นถึงเพียงนั้น นางอดไม่ได้ที่จะจมดิ่งอยู่ในความทรงจำนี้
ในความทรงจำอันห่างไกล เขายังคงเป็นเด็กคนหนึ่ง ยังไม่รู้จักดีชั่ว
ยังไม่รู้จัก…
นางถือมีดไว้อีกแล้ว
เขาคร้านจะนับแล้วว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไร หญิงผู้นี้ช่างดื้อรั้นเสียจริง
ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดว่าในเมื่อนางกลัวถึงเพียงนี้ก็ให้นางพกมีดไว้แล้วกัน แต่หลังจากที่เขาดูแลนางอย่างเอาใจใส่มาตั้งหลายวัน นางยังระแวงเขาเช่นนี้ ไม่รู้เหตุใดกลับทำให้เขาอดรู้สึกอยากแกล้งนางไม่ได้
จะว่าไปคนป่วยเขาก็พบเห็นมามาก แต่คนป่วยที่ดื้อรั้นอย่างนาง โลกนี้หาได้ยากจริงๆ
โชคดีที่ต่อให้ดื้อรั้นแต่ยังนับว่าฉลาด รู้จักให้เขาเปลี่ยนยาพันแผล รู้ว่าเวลากินข้าวต้องกิน แม้นางมักจะแกล้งหลับ เขาก็ไม่เปิดโปงนาง หญิงผู้นี้บาดเจ็บหนักเกินไป ร่างกายอ่อนแอเกินไป ถึงอย่างไรแกล้งไปแกล้งมา นางก็มักจะหลับไปจริงๆ อยู่ดี
มองมีดหมอที่นางกำไว้แน่นเล่มนั้น เขายังคงดึงมีดออกมาจากมือนางแล้วเก็บเข้าที่เดิม
เขาไม่ห่วงว่านางจะตื่นขึ้นมากะทันหัน ถึงขั้นไม่ห่วงว่านางจะกำไว้ไม่ยอมปล่อย นางเป็นคนฉลาด ชีพจรของนางยังคงอ่อนแอ หากจะลงมือจริงๆ เขาย่อมมีวิธีจัดการนางได้ แต่ถึงจะอ่อนแอเพียงไร หลายวันมานี้อาการของนางดีขึ้นจริงๆ
อันที่จริงนั่นไม่ใช่แค่ดีขึ้นเท่านั้น
ซ่งอิ้งเทียนหลุบตามองดวงหน้าเล็กขาวซีดของหญิงสาว เขาจำได้ชัดเจนว่าวันที่เก็บนางได้ ใบหน้านางถูกกัดเป็นแผลหลายจุดจนเสียโฉม แต่หลายวันก่อนตอนนางฟื้นขึ้นมา แผลเหล่านั้นกลับเริ่มมีเนื้อมาเติมเต็ม แม้จะยังขรุขระไม่เรียบ ทว่าก็แตกต่างราวกับเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้
แรกเริ่มเขาไม่ได้ใส่ใจ เขาใส่ยาให้นางและปิดแผลเหล่านั้นไว้ จวบจนวันนั้นเมื่อเปลี่ยนยาให้นาง ล้างยาบนใบหน้าออกอย่างระวังถึงได้สังเกตเห็น
แม้ยานั้นจะเป็นยาปลูกเนื้อที่ปรุงจากตำรับยาที่ท่านตาทิ้งไว้ให้ แต่แผลนี้ก็หายดีเร็วเกินไปหน่อย โดยทั่วไปจะให้แผลหายดีถึงเพียงนี้อย่างน้อยต้องใช้เวลาสี่ห้าเดือน แต่นี่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วันเท่านั้นเอง
ชั่วขณะหนึ่งเขายังคิดจริงๆ ว่าตนจำผิดไป ทว่าบาดแผลอื่นๆ บนร่างกายนางก็เป็นเช่นนี้
เพราะอย่างนี้สองวันก่อนเขาจึงเริ่มสังเกตหญิงผู้นี้มากขึ้นเล็กน้อย
ร่างกายนางมีบาดแผลมากมาย ล้วนไม่ได้เกิดจากดาบกระบี่ กลับเหมือนถูกสัตว์ป่าจู่โจม ตอนเขาเก็บนางได้ นางเหมือนตุ๊กตาผ้าเก่าขาดที่ถูกหมาป่ากัดแทะ ทั้งที่บาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้นกลับรอดชีวิตมาได้ แม้แต่เขาเองยังประหลาดใจ
มองแขนที่ขาดของนางแล้วย้อนคิดถึงสภาพของนางในตอนแรก เกรงว่าสิ่งที่ไล่ล่านางคงมิใช่หมาป่า แต่เป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าหมาป่า
ถ้าสิ่งที่ไล่ล่านางเป็นอย่างที่ใจเขาคิด ย่อมเป็นเรื่องปกติที่นางจะชอบถือมีดไว้ป้องกันตัว
ในใจเขาพลันเข้าใจ ดังนั้นจึงอดสังเกตและจดบันทึกไม่ได้
ร่างกายของหญิงผู้นี้ตอบสนองดีมาก ให้อะไรก็ดูดซับได้ทั้งหมด กินมากเท่าไรยิ่งฟื้นฟูเร็วมากขึ้นเท่านั้น ไม่เพียงดูออกจากภายนอก ตอนเขาจับชีพจรให้นาง ยังตรวจพบว่าอวัยวะภายในที่ได้รับบาดเจ็บของนางกำลังฟื้นฟูด้วยความเร็วอันน่าตกใจ
ความเร็วในการฟื้นฟูของนาง เทียบกับศิษย์น้องหญิงแล้วเร็วกว่า เทียบกับตัวอย่างคนไข้ในตำราแพทย์ที่อาจารย์ซุน ท่านตา และท่านพ่อท่านแม่บันทึกไว้แล้วเร็วกว่า เทียบกับลักษณะที่อาจารย์ปู่เคยบรรยายไว้ก็ยังเร็วกว่าด้วยซ้ำ
ดูเหมือนร่างกายนางจะรู้ว่าต้องซ่อมแซมอวัยวะภายในที่สำคัญก่อน จากนั้นเป็นผิวหนัง สุดท้ายจึงจะเป็นแขนข้างนั้น ดังนั้นแผลตรงหน้าอกและช่องท้องของนางจึงสมานเข้าด้วยกันก่อน ตามด้วยศีรษะ ใบหน้า และมือเท้า
เนื่องจากการตอบสนองของนางดีเกินไป เขาจึงขนยาทั้งหมดที่มีออกมาป้อนนาง จากนั้นจับชีพจรให้นางตามลักษณะของยาที่ป้อนให้ ตรวจดูการตอบสนองแล้วจดบันทึกไว้อย่างละเอียดทั้งหมด
นอกจากป้อนยาแล้ว เมื่อนางไม่ต่อต้านอาหารที่เขาป้อนอีก เขาไม่เพียงตุ๋นน้ำแกงปลา ยังซื้อแม่ไก่แก่มาจากชาวนา ตุ๋นน้ำแกงไก่ให้นางกิน
เห็นหญิงผู้นี้ค่อยๆ ดีขึ้นทุกวันด้วยการดูแลอย่างพิถีพิถันของเขา ช่างทำให้คนอารมณ์ดีโดยแท้
แต่พวกน้ำแกงของเหลว โจ๊กเปล่าเนื้อบด เมื่อกินได้สักพักเขาเดาว่านางน่าจะอยากกินอย่างอื่นบ้าง ทว่านางมักจะแกล้งหลับ เขามิอาจฝืนยัดน่องไก่เข้าไปในปากนางได้จริงๆ…
ช้าก่อน ข้าทำได้หรือไม่นะ
ซ่งอิ้งเทียนมองหญิงสาวที่แกล้งหลับต่อ กระดกมุมปากขึ้นช้าๆ
เขาจงใจ
กลิ่นหอมของไก่ย่างลอยมาอย่างต่อเนื่อง
แม้ไม่ได้ลืมตา นางก็รู้ว่าชายผู้นั้นต้องจงใจแน่
เขาไม่ได้ใช้เตาดินเผาสีแดงใบเล็ก แต่จงใจเลือกทำเลที่อยู่ต้นลม ก่อหินบนพื้น ตั้งโครงสำหรับย่าง และเริ่มก่อไฟย่างไก่
ไก่ตัวนั้นอ้วนมาก ย่างแล้วทั้งมันและเนื้อฉ่ำแวววาว น้ำมันที่ส่งกลิ่นหอมหยดลงมาไม่หยุด ทุกครั้งเวลาน้ำมันจากตัวไก่หยดลงบนถ่านจะเกิดเสียงดังฉี่ฉ่า ทำให้กลิ่นหอมเข้มข้นกว่าเดิม
นางหิวแล้ว หิวมากเหลือเกิน
นางอดทนแล้ว ทนแล้วทนอีก จนกระทั่งเขาฉีกน่องไก่ข้างหนึ่งออกมา กินอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมเสียงดังแจ๊บๆ
ชั่วเวลานั้นนางพลันรู้สึกว่าการทำเช่นนี้โง่ยิ่งนัก
เขารู้ว่านางตื่นอยู่ รู้ว่านางแกล้ง รู้มาโดยตลอด ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางยังจะนอนอยู่ตรงนี้ทำไม
ชายผู้นั้นจับชีพจรให้นางวันละสามเวลา ถ้าเขาเป็นหมอที่ไม่ได้เรื่องก็แล้วไปเถอะ แต่เขากลับไม่ใช่
น่าโมโห! น่าตายนัก!
เขารู้ว่านางไม่ปกติ ต่อให้ไม่ใช่หมอ คนทั่วไปเห็นการฟื้นฟูร่างกายของนางเช่นนี้แล้วย่อมรู้ว่านางไม่ปกติ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนผู้นี้ที่มีวิชาแพทย์ล้ำเลิศ ทว่าเขาไม่ได้ตกใจจนวิ่งหนีหรือพานางไปที่ว่าการเพราะเหตุนี้ เพียงแต่รักษานางต่อไป
นางไม่รู้ว่าคนผู้นี้คิดอะไรอยู่กันแน่ แต่นางรู้ว่านางต้องกินอาหาร อีกทั้งเขาก็รู้ดีแก่ใจ
ช้าเร็วนางก็ต้องตื่น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยต้องเสแสร้งต่อไปด้วยเล่า
ดังนั้นพอเขากัดกินน่องไก่ นางจึงลุกขึ้นแล้วก้าวลงจากรถ สองขายังอ่อนแรงเล็กน้อย ยืนยังไม่ค่อยมั่นคงนัก นางพยายามประคองตัวเอง เดินกะโผลกกะเผลกเข้าไป
ซ่งอิ้งเทียนนั่งอยู่ข้างกองไฟ มองนางเดินเข้ามาอย่างโงนเงนเหมือนทารกหัดเดิน
หญิงผู้นั้นเดินช้ามาก มีหลายก้าวที่เขาคิดว่านางอาจจะล้มลงไปจริงๆ แต่สุดท้ายนางยังคงประคองร่างกายเอาไว้ได้ กว่าจะเดินมาถึงหน้ากองไฟ ศีรษะนางก็เต็มไปด้วยเหงื่อแล้ว
บางทีเขาควรจะเข้าไปพยุงนาง แต่ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เขามีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าถ้าตนยื่นมือออกไป หญิงผู้นี้จะอ้าปากกัดมือเขา ดังนั้นเขาจึงทำเพียงนั่งอยู่ตรงนี้ต่อ มองนางเดินมาตรงหน้าอย่างยากลำบากและทรุดนั่งลงกับพื้น
นางเหงื่อไหลโชก สั่นเทาไปทั้งตัว แต่ยังคงจ้องเขาอย่างดุดัน ท่าทางเหมือนจะบอกว่าถ้าเจ้ากล้าก็ลองพูดอะไรออกมาสิ
ซ่งอิ้งเทียนเลิกคิ้ว ยิ้มน้อยๆ และเอ่ยปาก “ถ้าแม่นางหิว อย่าได้เกรงใจเป็นอันขาด…”
ยังพูดไม่ทันจบ นางก็ยื่นมืออันสั่นเทาไปคว้าไก่ที่ย่างอยู่บนไฟ ฉีกน่องไก่อีกข้างออกมาแล้วอ้าปากกัดกิน ไม่ได้เกรงใจเขาแม้แต่น้อย
เขามองนางแทะน่องไก่ หลังจากนางกินไก่ทั้งน่องจนหมดจึงค่อยรินน้ำชาถ้วยหนึ่งส่งให้นาง
“ชาซานจาอูเหมย”
นางมองเขาแวบหนึ่ง ครานี้ไม่ลังเล ยื่นมือไปรับชาถ้วยนั้นมา ดื่มหมดทั้งถ้วยแล้วก็ยื่นมือไปคว้าไก่ตัวนั้นอีกครั้ง
นางเหลือมือเพียงข้างเดียว ตามหลักแล้วไม่น่าจะเคลื่อนไหวสะดวกนัก แต่เขาสังเกตเห็นว่าเล็บนางเปลี่ยนเป็นคมกริบในชั่วพริบตา ทำให้นางคว้าอกไก่ชิ้นหนึ่งมากินได้อย่างง่ายดาย ทว่าหลังจากนั้นเล็บแหลมคมของนางก็กลับเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป
เหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น แต่สายตาของเขาดีมากมาแต่ไหนแต่ไร
เห็นชัดว่านางก็เช่นกัน นางสังเกตเห็นสายตาเขาจึงปรายตามองอย่างเยียบเย็น รอให้เขาพูดอะไรออกมา
ครั้งนี้เขาปิดปากอย่างรู้กาลเทศะ เพียงยิ้มตอบเท่านั้น
หญิงสาวกินไก่ย่างตัวนั้นต่อคำใหญ่ ใครจะไปคิดว่าขณะที่นางกินอย่างเอร็ดอร่อย ทันใดนั้นไม่ไกลออกไปมีเงาดำสี่เท้าก้าวออกมาจากพุ่มหญ้า
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ม.ค. 64
Comments
comments
No tags for this post.