บทที่ 3
นางเห็นแล้วใบหน้าซีดเผือด ถอยไปข้างหลังโดยสัญชาตญาณ ชักมีดที่ซ่อนไว้ที่เอวออกมาในชั่วพริบตา ชายหนุ่มด้านข้างกลับคว้ามือนางไว้และหยุดยั้งนาง
“ไม่เป็นไร ข้าวาดข่ายอาคมไว้ มันมองไม่เห็นหรอก”
คำพูดนี้ทำเอานางอึ้งไป ถึงได้สังเกตเห็นว่าเจ้าสิ่งนั้นไม่ได้พุ่งเข้าใส่นาง แต่เดินเข้ามาและหมอบคลานอยู่บนพื้น ดมทางนี้ทีดมทางนั้นที จากนั้นเงยหน้าขึ้น ขยับจมูกพลางใช้ดวงตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นสอดส่องไปทั่ว
นางมองเห็นรูม่านตาสีเขียวกวาดผ่านนางไป ชั่วขณะนั้นนางแทบจะอยากหันหลังวิ่งหนี แต่ตอนกวาดมองนางดวงตาสีเขียวคู่นั้นไม่ได้หยุดเลย เหมือนมองไม่เห็นนางอย่างไรอย่างนั้นและมองเลยไปด้านข้างแทน
หลังตรวจดูจนทั่วแล้ว เจ้าตัวอัปลักษณ์นั่นก็ขมวดคิ้วมุ่น เผยท่าทางฉงนสงสัย มันเดินวนซ้ายวนขวาอย่างไม่ละความพยายาม ไม่ได้จากไปทันที แต่นางเห็นว่าไม่ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นจะเดินอย่างไรล้วนอยู่ห่างออกไปในรัศมีสิบเชียะ
หลังจากนั้นนางก็เห็นเส้นสีดำบนพื้น ชายผู้นั้นใช้ถ่านที่เผาแล้ววาดวงกลมขนาดใหญ่ล้อมพวกเขาสองคนและกองไฟไว้ รวมถึงรถเทียมลาและลาตัวนั้นด้วย
เขาวาดสัญลักษณ์อย่างหนึ่งไว้ตรงตำแหน่งเหนือใต้ออกตกของวงกลม นางรู้ว่านั่นเป็นข่ายอาคมอย่างหนึ่ง เรียบง่ายมาก แต่ใช้ได้ผลยิ่ง
สัตว์ประหลาดที่อัปลักษณ์ตัวนั้นมิอาจเดินเข้ามาได้ ดูเหมือนจะมองไม่เห็นคนและของที่อยู่ในวงกลมด้วย มันเดินวนอยู่นอกวงกลมพักหนึ่งก่อนจะหันหลังจากไป
แม้จะเป็นเช่นนี้ นางยังคงห้ามอาการสั่นเทาไม่ได้ จนกระทั่งชายหนุ่มด้านข้างเอ่ยปาก
“เพราะฉะนั้นเจ้าจะบอกข้าได้หรือไม่ว่านั่นคือตัวอะไร”
หญิงสาวได้สติทันที หันกลับมาจ้องเขา เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้
เขาเลิกคิ้วใส่นาง
“ข้าไม่รู้” นางตอบตาไม่กะพริบ
นางกำลังโกหก เขารู้ นางปกปิดความหวาดหวั่นในดวงตา แต่นิ้วมือของนางยังคงสั่นระริก
เหมือนต้องการปกปิดอาการสั่นที่ห้ามไม่อยู่ นางหันไปคว้าไก่ทั้งตัวมากิน
“เช่นนั้นผู้น้อยขอถามได้หรือไม่ว่าแม่นางชื่ออะไร” เขาถามอีก
“ข้าจำไม่ได้แล้ว” นางแทะไก่ตัวนั้นต่อโดยไม่หันมามองเขา ย้อนว่า “ข้าคิดว่าเจ้าบอกว่าตัวเองเป็นหมอเสียอีก หาใช่นักพรต”
“สิ่งนี้อาจารย์ปู่เป็นคนสอนข้า เดินทางอยู่ข้างนอกย่อมพบเจอของสกปรกอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง” เขาบอก “ดังนั้นเขาจึงมอบยันต์ให้ข้าหลายแผ่น สอนข่ายอาคมป้องกันตัวจากสิ่งชั่วร้ายแบบง่ายๆ ให้ข้า”
ได้ยินดังนั้นแล้วนางก็ไม่เอ่ยอะไรอีก แต่กินอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กินไก่ตัวนั้นจนเกลี้ยง
เขาสงสัยว่านางกินลงจริงๆ หรือ นางดูเหมือนใกล้จะอาเจียนเต็มที แต่ยังคงบังคับให้ตัวเองกินไก่ลงไปทั้งตัว
นางหวาดกลัวมาก กลัวเจ้าสิ่งนั้นจะกลับมาอีก
มันต้องกลับมาแน่ เขาเดาว่านางรู้ดีกว่าใคร ดังนั้นถึงกินอย่างเร่งรีบถึงเพียงนี้
เขาไม่ได้ห้ามนาง นางอยากฟื้นฟูร่างกายให้เร็วกว่านี้ การกินสามารถช่วยนางได้
พอนางกินหมด รอยแผลเป็นขรุขระบนหน้านางยังคงอยู่ แต่เขาสังเกตเห็นว่าตอนนางหันหลังจากไป ขานางไม่กะเผลกอีกแล้ว ร่างกายที่เดิมทีขดงอเพราะความเจ็บปวดก็เหยียดตรง
พอขึ้นรถแล้ว นางก็เอนกายลงนอนทันที
ซ่งอิ้งเทียนเลิกคิ้ว กินน่องไก่ที่เหลือในมือ หยิบผ้าออกมาเช็ดมือและเริ่มเก็บข้าวของ
ซ่งอิ้งเทียนให้ลาลากรถมุ่งหน้าไปอีกสิบกว่าลี้จึงหยุดรถพักผ่อน
นางไม่ชอบเข้าเมืองหรือหมู่บ้าน แน่นอนยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าพักในโรงเตี๊ยม หลายวันมานี้เขาจึงนอนกลางแจ้งตลอด คืนนี้ก็เช่นกัน เขาผูกเชือกบังเหียนให้ดี หยิบก้อนถ่านที่เผาแล้วเขียนคาถารอบด้าน จากนั้นค่อยหยิบเสื่อกกใต้ท้องรถออกมาปูลงบนพื้น แค่เอนกายลงไปและหลับตาก็นอนได้แล้ว
ทว่าพอถึงกลางดึกพลันเกิดเสียงดังขึ้น เขาลุกขึ้นหันไปมอง ทันเห็นเพียงม่านประตูหลังของรถเทียมลาโบกสะบัดท่ามกลางสายลม
เจ้าลาที่มักจะชักช้าอืดอาด ไม่รู้เหตุใดจึงเหยียดขาทั้งสี่ออกวิ่งอย่างเร็วรี่ หากไม่เพราะเขารู้ว่านั่นเป็นลา คงต้องเข้าใจผิดคิดว่านั่นเป็นม้าตัวหนึ่งจริงๆ
ซ่งอิ้งเทียนตะลึงงันไปครู่หนึ่ง นั่งอยู่บนเสื่อกก มองลาตัวนั้นลากรถวิ่งหายไปในชั่วพริบตา ทิ้งไว้เพียงรอยล้อรถสองทางยืดยาวออกไปไกล
ดวงจันทร์กระจ่าง มีดวงดาวเพียงประปราย สายลมพัดมาฟู่ๆ
เมื่อใบไม้ใบหนึ่งถูกลมพัดปลิวลงมา เขากวาดตามองรอบด้าน เห็นความเปลี่ยวร้างรอบกายแล้วจึงตระหนักได้ว่า…
เขาถูกปล้น
พูดก็พูดเถอะ เขารู้วรยุทธ์ หากจะไล่ตามรถเทียมลาคันนั้นไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากนัก แต่เขาเกียจคร้านเป็นนิสัย แม้จะสนใจสภาพร่างกายอันแปลกประหลาดของหญิงผู้นั้นมาก แต่ไม่ได้สนใจถึงขั้นที่ยินดีเอาใบหน้าร้อนๆ ของตนไปแนบก้นเย็นๆ* ของผู้อื่น
นางอยากหนี งั้นก็หนีไปเถอะ
ถึงอย่างไรใต้หล้านี้ก็มีเรื่องแปลกพิสดารมากมาย วิ่งหนีไปคน ย่อมมีอีกคนโผล่มาแน่
เขาเป็นคนตามใจตัวเองอย่างยิ่ง อีกทั้งกลางดึกเช่นนี้ แทนที่จะให้ลุกขึ้นไล่ตามรถไป เขาขอนอนให้สบายดีกว่า ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ไล่ตามรถเทียมลาคันนั้นไป เพียงแต่เอนกายกลับลงไปบนเสื่อกก
อากาศเย็นสบาย ฤดูใบไม้ร่วงช่างดีเหลือเกิน
ในเมื่อปัญหาวิ่งหนีไปเองแล้ว เขายังคงนอนหลับให้สบายดีกว่า
เช้าวันต่อมา ซ่งอิ้งเทียนม้วนเก็บเสื่อกก มัดด้วยเชือก แบกขึ้นหลังและลุกขึ้นออกเดินทาง
เขาเดินเท้าเป็นระยะทางยี่สิบลี้ภายใต้ดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วงกว่าจะเจอหมู่บ้านต่อไป
ท่านป้าที่ตากผ้าอยู่หน้าหมู่บ้านมอบน้ำชาถ้วยหนึ่งให้เขา เห็นเขาหน้าตาคมคาย ท่าทางสุภาพเรียบร้อยจึงถามว่าเขามาจากที่ใด ชื่อแซ่อะไร ประกอบอาชีพใด
เขายิ้มตอบทุกคำถาม ครั้นได้ยินว่าเขาเป็นหมอ ท่านป้าก็รีบลากตัวเขาไปบ้านพ่อแม่ ให้เขาช่วยตรวจดูท่านพ่อที่หกล้มขาหัก กว่าเขาจะยึดขาที่หักของชายชราผู้นั้นให้คงที่ นอกประตูก็มีคนกลุ่มใหญ่มายืนรอเบียดเสียด
ในหมู่บ้านน้อยครั้งที่จะมีหมอเดินทางผ่านมา พอได้ยินว่ามีหมอมา แต่ละคนก็ต่างอุ้มเด็กประคองคนแก่มาหา
มือเขาไม่มีล่วมยา ทั้งยังไม่มีเข็มเงิน แต่ในป่าและท้องนามีสมุนไพรที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ เพียงแต่ผู้คนไม่รู้ว่าใช้อย่างไรเท่านั้น เขาตรวจดูคนป่วยทีละคนและเขียนใบสั่งยา ทั้งยังสอนท่านป้าทั้งหลายว่าจะแยกแยะสมุนไพรที่ต้องใช้เป็นประจำอย่างไร
คนในหมู่บ้านมีไม่มาก ดังนั้นจึงไม่ต้องเปลืองเวลามากนัก กลับเป็นท่านลุงท่านป้าทั้งหลายที่มีน้ำใจ ชวนให้เขาพักอยู่หลายวัน กินข้าวอีกหลายมื้อ ทั้งยังให้เขาติดรถไปลงหมู่บ้านถัดไป
ซ่งอิ้งเทียนอาศัยการตรวจโรคให้คน เดินทางไปยังหมู่บ้านและเมืองเล็กๆ หาเงินได้จำนวนหนึ่ง ซื้อล่วมยาใบใหม่และยาสมุนไพร นับว่าไม่เดือดร้อนเรื่องความเป็นอยู่ สามารถใช้ชีวิตอันรื่นรมย์ของตัวเองต่อไปได้
แม้จะถูกปล้น แต่เขากลับรู้สึกผ่อนคลาย คนเดียวกินอิ่มเท่ากับอิ่มทั้งบ้าน ไม่ต้องเลี้ยงลาตัวนั้นด้วย เดิมทีคิดว่าเรื่องราวคงยุติลงเพียงเท่านี้ พริบตาเดียวเขาก็ลืมหญิงสาวที่ทิ้งเขาไว้กลางป่าไปแล้ว
วันนี้หลังจากอิ่มหนำสำราญ กำลังจะนอนกลางวันในบ้านของคนใจดีที่ให้เขาพักอาศัย ท่านป้าบ้านข้างๆ ก็วิ่งเข้ามาอย่างร้อนใจ
“หมอซ่ง! หมอซ่ง! ขออภัยด้วย ข้ารู้ว่าท่านตรวจโรคให้คน แต่ไม่ทราบว่าท่านตรวจโรคให้สัตว์ได้หรือไม่ เมื่อเช้าต้าหวงบ้านข้าหกล้ม ตอนนี้ยังลุกไม่ขึ้นเลย ท่านช่วยไปดูหน่อยได้หรือไม่”
“ได้สิ เหตุใดจะไม่ได้เล่า ต้าหวงอยู่ที่ใด ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
ซ่งอิ้งเทียนยิ้มพลางลุกขึ้นสวมรองเท้า หิ้วล่วมยา เดินตัดทุ่งนาไปกับท่านป้าผู้นั้น ข้ามเนินเขาเล็กไปลูกหนึ่ง จนกระทั่งมาถึงบ้านชาวนา
ที่แท้ต้าหวงคือวัวตัวหนึ่ง บริเวณที่มันอยู่จัดว่าสะอาดสะอ้าน ทั้งยังมีฟางปูไว้ เขาย่อตัวลงตรวจดูอาการของวัวตัวใหญ่
ต้าหวงนั่งอยู่บนฟาง เบิกตาโตฉ่ำวาวมองเขาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ต้าหวงเป็นเด็กดียิ่งนัก” เขาลูบคอและหลังของมัน ปลอบประโลมมันพลางตรวจดูขาหน้าให้
“เป็นอย่างไรบ้าง” ท่านป้าถามอย่างร้อนใจ “ขามันหักหรือไม่”
“ยังดี แค่ผิดที่ไปเท่านั้น” เขาบอกท่านป้า ยิ้มเอ่ยว่า “แค่ดันกลับมาก็ใช้ได้แล้ว”
พูดพลางหยิบเข็มเงินเล่มหนึ่งออกมาจากล่วมยาที่ทำจากหนัง ปักลงไปเหนือกระดูกข้อเท้าหน้าของต้าหวง จากนั้นจับขาที่ผิดตำแหน่งดันและผลัก แค่นี้ข้อกระดูกที่อยู่ผิดตำแหน่งก็กลับเข้าที่แล้ว
“เรียบร้อย”
“เสร็จแล้วหรือ” ท่านป้าถามอย่างตกใจ
เขาถอนเข็มเงินออกมา ลุกขึ้นตบหลังต้าหวง
วัวตัวใหญ่กะพริบตาคู่โต ลองลุกขึ้นยืน เริ่มแรกมันยังลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อแน่ใจว่าขาหน้าสามารถพยุงร่างกายได้ก็ยืนอย่างมั่นคง ทั้งยังกระดิกหูให้เขา
“หมอซ่ง ขอบคุณท่านเหลือเกิน” ท่านป้าโล่งอก เข้าไปตบวัวของตนอย่างดีอกดีใจ “ต้าหวง คราวหน้าเจ้าต้องระวังหน่อยนะ”
ซ่งอิ้งเทียนยิ้ม เดินไปยังตุ่มรองน้ำฝนด้านข้างเพื่อล้างมือ ล้างไปได้ครึ่งหนึ่งพลันรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่ง ครั้นเงยหน้ามองไป เห็นในคอกหมูท่ามกลางดินโคลน นอกจากลูกหมูหลายตัวที่ชอบกลิ้งตัวไปมากับโคลนแล้ว ยังมีแม่นางคนหนึ่งหมอบอยู่ในโคลน เนื้อตัวเปรอะเปื้อน
แม้แม่นางคนนั้นแทบจะหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับดินโคลน แต่นัยน์ตาดำลึกคู่นั้นช่างคุ้นเคยยิ่งนัก เขาจำนางได้ตั้งแต่แวบแรก นั่นหาใช่ใครอื่น แต่เป็นแม่นางที่หลายวันก่อนปล้นของของเขาและทิ้งเขาไว้กลางป่าผู้นั้นนั่นเอง
เห็นเขาแล้วนางพลันแข็งทื่ออยู่กับที่
เขาควรแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น บางทีควรจะเบนสายตาออกไป หญิงผู้นี้เป็นความยุ่งยาก คนอย่างเขาเกียจคร้านที่จะจัดการกับความยุ่งยากเป็นที่สุด ก่อนหน้านี้เก็บนางได้เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น อีกอย่างนางคงไม่อยากเจอเขานัก ดังนั้นเขาจึงล้างมือต่อ แต่ไม่รู้เหตุใดดวงตายังคงอดไม่ได้ที่จะจ้องมองนาง
ว่าก็ว่าเถอะ แม่นางผู้นี้ปล้นของเขาไปมิใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงทำให้ตัวเองตกอยู่ในสารรูปเช่นนี้
หญิงสาวถลึงตาใส่เขาอย่างขุ่นขึ้ง ตัดสินใจคลานขึ้นมาจากดินโคลน น้ำโคลนหยดติ๋งทั่วร่าง นางเดินกะเผลกไปข้างรั้วและออกแรงปีนข้ามไป ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลัง
เขาล้างมือต่อ รับผ้าที่ท่านป้ายื่นให้มาเช็ดมือจนแห้ง
ท่านป้าไม่ได้สังเกตเห็นมนุษย์โคลนที่เดินอยู่ริมท้องนา เอาแต่ขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขายิ้มบอกนางว่าไม่ต้องเกรงใจ จากนั้นก็เอ่ยขอตัว
ระหว่างทางกลับ เขาเห็นแม่นางที่เหมือนปั้นขึ้นมาจากโคลนอยู่ไกลๆ นางลากขาซ้ายเดินอย่างเชื่องช้า ยิ่งเดินยิ่งช้า ยิ่งเดินยิ่งโงนเงน จากนั้นก็ประคองตัวไม่ไหวในที่สุด ล้มกลิ้งลงไปในท้องนา
ผู้คนแถวนี้ทำนาเป็นอาชีพ แต่ละครอบครัวล้วนอาศัยอยู่ริมท้องนาของบ้านตัวเอง จากครอบครัวหนึ่งเดินไปยังครอบครัวหนึ่งต้องข้ามเนินเขาลูกสองลูก เดินผ่านนาหลายผืนจึงจะมองเห็นบ้านคน
นางตกลงไปในท้องนาเช่นนี้ อีกทั้งร่างกายยังเต็มไปด้วยดินโคลน ต่อให้นอนอยู่สามวันสามคืน เกรงว่าก็คงไม่มีใครมาพบเห็น
ซ่งอิ้งเทียนเดินผ่านข้างกายนางไป
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว…หกก้าว เจ็ดก้าว แปดก้าว…
เวลานี้เองฝนพลันโปรยปรายลงมา
ชายหนุ่มเดินหน้าต่อไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขาเลยจริงๆ เขามั่นใจว่าตัวเองเมตตาแม่นางผู้นี้ถึงขีดสุดแล้ว
ทว่าแม้จะอยู่ห่างตั้งไกลแล้ว เขายังคงได้กลิ่นอันน่ากลัวบนตัวนาง เขาหาใช่คนโง่ หากจะให้คิดจริงๆ เขาก็รู้ว่าเหตุใดนางจึงซ่อนตัวอยู่ในคอกหมู ทั้งยังเอาตัวไปคลุกโคลนเช่นนั้น
เพราะกลิ่นอย่างไรเล่า
นางซ่อนตัวอยู่ในคอกหมูเพื่ออาศัยกลิ่นเหม็นและดินโคลนหลบหนีจากเจ้าพวกนั้นกระมัง
หลายวันก่อนขานางดีขึ้นมากแล้ว อีกทั้งคราวก่อนเขาจำได้ว่าขาที่บาดเจ็บค่อนข้างหนักคือขาขวา ครานี้กลับเปลี่ยนเป็นเดินลากขาซ้าย แปดส่วนคงได้รับบาดเจ็บอีกแล้ว
บาดแผลบนร่างกายนางพวกนั้นไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้น? หรือว่าแย่ลง?
ฝนตกหนักขึ้นทุกที
ซ่งอิ้งเทียนเดินหน้าต่อไป พยายามเดินไปข้างหน้า มองตรงไปข้างหน้าโดยไม่ว่อกแว่ก
อาจารย์ปู่กล่าวถูกต้อง หากจะตาย สหายตายข้าต้องไม่ตาย หากจะเหนื่อย ศิษย์เหนื่อยแต่ข้าต้องไม่เหนื่อย โลกนี้มีเพียงสตรีและคนพาลยากจะบ่มเพาะ อยู่ดีๆ อย่าหาเรื่องใส่ตัว ใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีย่อมปลอดภัยและสุขใจจนแก่ตาย
ช่างเป็นคำสอนที่ทรงคุณค่า ทรงคุณค่ายิ่งนัก…
ยังคงทำเป็นมองไม่เห็นอะไรเสียเถอะ ข้างหน้าเป็นหนทางอันกว้างใหญ่นัก!
หญิงสาวเจ็บจนหายใจไม่ออก กระดูกซี่โครงที่เดิมทีสมานเข้าด้วยกันแล้ว เพราะนางพลัดตกลงมาในท้องนาจึงหักอีกครั้งและทิ่มแทงโพรงอก น้ำตาไหลออกจากขอบตาอย่างห้ามไม่อยู่เพราะความเจ็บปวด
นางมิอาจขยับตัวได้ เมื่อครู่การปีนออกจากคอกหมูและเดินมาถึงตรงนี้เป็นการสูบเอาเรี่ยวแรงของนางไปหมดสิ้น
ทว่าฝนดันตกลงมาในเวลานี้
ชั่วขณะหนึ่งความอับอายและความโมโหทำให้นางนึกโกรธแค้นคนผู้นั้น เหตุใดเขาต้องมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ด้วย
นางได้ยินฝีเท้าเขาจากไกลค่อยๆ ใกล้เข้ามา ผ่านข้างกายนางไปและเดินห่างออกไปอีกครั้ง ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้ชะลอฝีเท้าลงเลย
คนเป็นหมอจิตใจเมตตาดุจบิดามารดา? ถุย
หญิงสาวคิดอย่างเคียดแค้น นับว่าเขารู้กาลเทศะ หาไม่ต่อให้เริ่มใหม่ได้อีกครั้ง นางก็ยังจะปล้นเขาอีกครั้งอยู่ดี
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ทำให้น้ำในท้องนาค่อยๆ เอ่อขึ้นมา ใกล้จะกลบปากและจมูกนางเต็มที แต่นางยังคงลุกไม่ขึ้น นางไม่มีแรง
นางรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงจะหยุดยั้ง ท้องนาแม้จะมีคูระบายน้ำ แต่เวลาฝนตกหนักเกินไปก็ยังคงไร้ประโยชน์ น้ำยังคงเอ่อขึ้นมาอยู่ดี
นางตายไม่ได้ ทว่ากลับทำได้แต่นอนอยู่ตรงนี้ รองรับความทรมานจากการจมน้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
รอให้น้ำลด รอให้ร่างกายฟื้นฟู นางจะต้องทำให้สารเลวพวกนั้นทรมานเหมือนตายทั้งเป็นยิ่งกว่านาง…
น้ำโคลนในท้องนาเอ่อขึ้นมาถึงปากและจมูก นางกลั้นหายใจ กลั้นไว้สุดกำลัง จวบจนกลั้นไม่ไหวจึงอ้าปาก
น้ำโคลนพุ่งเข้ามาในปาก ทะลักเข้าไปในปอดจนทำให้นางสำลัก สร้างความเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม…
บทที่ 4
ขณะที่นางเจ็บปวดจนแทบจะหมดสติไป มือใหญ่คู่หนึ่งพลันยื่นลงมาในน้ำ ช้อนอุ้มนางขึ้นทั้งตัว หญิงสาวออกแรงไอสำลัก เขาโอบเอวนางไว้ ระวังไม่ให้ถูกแผล ช่วยให้นางก้มตัวสำลักน้ำออกมา
น้ำโคลนไหลลงจากร่างกายนาง นางช้อนตาขึ้น มองเห็นชายผู้นั้นท่ามกลางสายฝน
เขาเลิกคิ้วให้นาง นางถลึงตาใส่เขา
ชั่วอึดใจต่อมานางกลั้นไม่อยู่จึงสำลักอย่างรุนแรง ครั้งนี้มีเลือดออกมาด้วย นางรีบยกมือขึ้นอุดปากไว้ ไม่กล้าปล่อยให้เลือดหยดลงบนพื้น กลัวว่ากลิ่นจะกระจายออกไป
แม้ฝนจะกำลังตกหนัก นางยังคงกลัวว่าเจ้าพวกนั้นจะตามกลิ่นมา
เขามองเห็นจึงหยิบผ้าจากอกเสื้อยื่นให้ นางคว้าไว้โดยไม่คิดและอุดปากของตัวเอง
เขาให้นางนั่งพิงคันนา หยิบต้นไผ่ที่ตัดมาจากข้างทางเมื่อครู่นี้ออกมาจากข้างหลัง ใช้มีดสั้นผ่าออกเป็นซีก จากนั้นลอกเปลือกไผ่ออกมาทำเป็นเชือก ดันกระดูกซี่โครงของนางที่หักและเคลื่อนกลับไปที่เดิม นางร้องครางเบาๆ แต่ไม่ได้หมดสติไป เพียงมองเขาใช้เชือกไผ่ผูกซีกไม้ไผ่อย่างรวดเร็ว ยึดไว้ตรงหน้าอกนาง ช่วยนางพยุงตัวไว้
เขาลงมืออย่างคล่องแคล่วว่องไว ตั้งแต่ต้นจนจบใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น
ฝนกระหน่ำเทลงมาไม่หยุด ซ่งอิ้งเทียนช้อนอุ้มแม่นางที่เดิมทีเหมือนมนุษย์โคลน แต่บัดนี้เปียกปอนไปทั้งตัวขึ้นมาอย่างระมัดระวังโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ
นางไม่ได้ขัดขืน แม้แต่จะอ้าปากประท้วงยังไม่มีเรี่ยวแรงด้วยซ้ำ คนพิงซบอยู่บนตัวเขาอย่างว่าง่าย มีเพียงน้ำตาร้อนระอุที่หยดลงบนไหล่เขาไม่หยุดอย่างควบคุมไม่อยู่
นางเกลียดที่ตัวเองต้องการความช่วยเหลือจากเขา
เขารู้ เขาสามารถรู้สึกได้
ซ่งอิ้งเทียนอุ้มหญิงสาวเดินไปบนคันนาท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ เดินกลับไปยังบ้านชาวนาที่เขาขอพักอาศัยชั่วคราว
ฟ้ามืดแล้ว
ซ่งอิ้งเทียนอาศัยแสงจากเทียนทำความสะอาดบาดแผลให้นาง จากนั้นใส่ยาและพันแผล เช็ดตัวนางให้แห้ง
ร่างกายนางมีแผลใหม่ที่น่ากลัวหลายจุด แต่ก็มีแผลเก่าบางส่วนที่สมานแล้ว รอยแผลเป็นบนหน้านางดีขึ้นมาก ไม่ขรุขระเหมือนก่อนหน้านี้อีก เหลือเพียงรอยแผลเป็นจางๆ เท่านั้น
ส่วนแขนของนางที่ขาดไปก็งอกขึ้นมาใหม่อย่างน่าอัศจรรย์
ก่อนหน้านี้แขนขวาของนางถูกฉีกกระชากจนขาดไปแทบทั้งท่อน แต่ตอนนี้บริเวณนั้นไม่เพียงเรียบลื่น เนื้อยังเติมเต็มมาถึงข้อมือแล้ว แทบจะเหมือนงอกขึ้นมาใหม่อย่างไรอย่างนั้น…
นางพยายามหดมือกลับ เขาเงยหน้าขึ้น มองเห็นดวงตาที่เปี่ยมด้วยโทสะของนาง
หญิงผู้นี้ยังคงอ่อนแอมาก ถ้าเขาไม่ปล่อย นางไม่มีทางดึงกลับไปได้ แต่เขาไม่ได้จับแขนข้างที่ขาดของนางต่อ เพียงอุ่นน้ำแกงลำไยพุทราแดงที่ใช้เตาดินเผาที่ยืมมาก่อนหน้านี้ต้มให้ร้อนอีกครั้ง จากนั้นให้นางนั่งพิงอกเขา ป้อนนางดื่มน้ำแกงหวาน
ครานี้นางไม่ได้แกล้งหลับ ทั้งยังไม่ปฏิเสธ แต่ดื่มด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เขาหลุบตามองใบหน้าเย็นชาของนาง ป้อนนางพลางบ่นในใจ
อาจารย์ปู่บอกแล้วว่ามีเพียงสตรีกับคนพาลยากจะบ่มเพาะ ข้าจะสนใจนางไปไย ใช่ว่าข้าไม่เคยเจอ…คน…ที่เป็นอย่างนางสักหน่อย
นางนับว่าเป็นคนกระมัง เขาคิด
แต่คนที่เขาสามารถสังเกตอาการและรักษาอย่างใกล้ชิดเหมือนนางได้ มีอยู่ไม่กี่คนจริงๆ
จะว่าไปหญิงผู้นี้ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกไม่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเลย เขาตรวจดูแล้ว นอกจากแขนที่ขาดไปข้างนั้น รวมถึงบาดแผลน่าสยดสยองทั่วตัว แม้แต่จำนวนฟันของนางก็เท่าคนปกติ เขี้ยวไม่ได้แหลมคมเป็นพิเศษ หูก็ปกติมาก
ก่อนหน้านี้ตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าใส่ยาให้นาง เขาลอบตรวจดูเช่นกัน บริเวณหลังกับก้นของนางไม่มีสิ่งแปลกปลอม ทั้งยังไม่มีหาง…
ไม่รู้เหตุใดหญิงสาวในอ้อมอกจึงตัวแข็งเล็กน้อย
ซ่งอิ้งเทียนหลุบตามองนาง ลดความเร็วในการป้อนน้ำแกงลง กลัวนางจะสำลักแล้วไม่ยอมพูด
นางสูดหายใจลึก ปรับท่าเล็กน้อย ก่อนจะผ่อนคลายลงอีกครั้ง
เขาป้อนนางต่อ ความคิดหมุนวนอยู่ในหัว
เมื่อครู่คิดไปถึงที่ใดแล้วนะ ใช่ ข้าแน่ใจทีเดียวว่าก้นนางไม่มีหาง เว้นแต่จะถูกกินไป?
หญิงสาวแข็งทื่อไปอีกครั้ง แต่ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว
จะว่าอย่างนั้นก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ เดิมทีแผ่นหลังนางยับเยินจนทนดูไม่ได้ เพียงแต่หลายวันมานี้บาดแผลสมานเข้าด้วยกันช้าๆ ไม่แน่หลังจากนี้หางอาจจะงอกออกมากระมัง
เขากับอาจิ้งเคยเข้าไปในโรงอาบน้ำด้วยกันหลายครั้ง ก็ไม่เห็นก้นของอีกฝ่ายจะมีสิ่งแปลกปลอมอะไร
เลือดของหญิงผู้นี้เป็นสีแดง เลือดของอาจิ้งก็เป็นสีแดง ล้วนเหมือนคนปกติทั่วไป
หากมิใช่เพราะบาดแผลหายเร็วเกินไป อาศัยแค่รูปลักษณ์ภายนอกย่อมยากจะแยกแยะจริงๆ
เขารู้ว่านางหาใช่มนุษย์ทั่วไป แต่ตกลงแล้วเป็นประเภทใดกันแน่ ในชั่วเวลาสั้นๆ เขายังมิอาจแยกแยะได้
เขาเคยอ่านตำราที่อาจารย์ปู่ทิ้งไว้เล่มนั้น แต่ไม่ได้อ่านอย่างละเอียด ตอนนี้ตำราเล่มนั้นน่าจะอยู่ที่อาจารย์อา แต่หญิงผู้นี้แค่ได้ยินคำว่าหยางโจวก็หน้าเปลี่ยนสี ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่ตื่นมานางจะสำรวจท้องฟ้าแยกแยะทิศทางเสมอ เขาสงสัยว่าหากเขาพยายามมุ่งหน้าไปหยางโจว นางอาจจะทำเรื่องโง่ๆ ได้
ช้าก่อน ตอนนี้ข้ากำลังคิดอะไรอยู่ ข้าคิดจะพานางไปหยางโจวด้วยหรือ
แต่นางเคยปล้นข้านะ ถ้าข้าหลับไป แปดส่วนนางคงปล้นข้าจนเกลี้ยงอีกครั้งทันทีแน่
“ฮึ”
ได้ยินเสียงเบาๆ นี้แล้ว ซ่งอิ้งเทียนเลิกคิ้วมองนางอีกครั้ง แต่หญิงสาวในอ้อมอกก้มหน้าหลุบตา ดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ไม่สบายตรงที่ใดหรือ”
นางเม้มปากไม่ตอบคำ
เขาลองป้อนนางอีกคำ นางยังคงอ้าปากกิน
รู้ว่าต้องกินก็ดี
แล้วข้าควรทำอย่างไรกับนางดี
ช่างเถอะ เรื่องของพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ค่อยคิด
ซ่งอิ้งเทียนรู้สึกว่าหัวใจนางเต้นช้าลง ลมหายใจสม่ำเสมอ เขาป้อนน้ำแกงหวานชามนั้นหมดแล้วก็วางช้อนกับชาม หยิบยาขวดหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เทลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมาแล้วยัดใส่ปากนาง
ลูกกลอนเม็ดนั้นขมมาก เขารู้สึกได้ว่าชั่วขณะหนึ่งนางคิดจะคายมันออกมา เขาจึงปิดปากนางไว้
หญิงสาวเงยหน้าขึงตาใส่เขาอย่างอ่อนแรง
“ยาดีย่อมขมคอ เจ้ากลืนลงไปก็ไม่ขมแล้ว” เขาพูดอย่างขบขัน
นางโมโหเล็กน้อย แต่ยังคงกลืนลงไปอย่างไม่เต็มใจ
เขาจึงปล่อยให้นางพิงตัวเองต่อ ดึงผ้าห่มมาคลุมให้นาง
ผ้าห่มของชาวนาแม้จะเก่า แต่ยังคงให้ความอบอุ่นได้
ค่ำคืนกลางฤดูใบไม้ร่วงอากาศเย็นยิ่ง
จะว่าไป ใช่ว่าเขาไม่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่นางผู้นี้กันแน่ แต่ต่อให้เขาถาม นางก็คงไม่บอก
นอกหน้าต่างฝนยังคงตกลงมา เสียงฝนโปรยปรายดังซู่ซ่า
ฝนฤดูใบไม้ร่วงทำให้อากาศเย็นไปทั้งคืน กลิ่นของลำไยกับพุทราแดงยังคงอบอวลไปทั่วห้อง
ซ่งอิ้งเทียนหลับตาลงฟังเสียงฝน โอบกอดหญิงสาวที่ดื้อรั้นผู้นั้นเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างผ่อนคลาย
ติ๋ง…ติ๋ง…
ติ๋ง…ติ๋ง…ติ๋ง…
ฝนหยุดแล้ว เหลือเพียงน้ำที่หยดลงมาจากชายคาเป็นครั้งคราว
ดึกมากแล้ว สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดก้อนเมฆให้เคลื่อนคล้อย จันทร์เสี้ยวเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ท่ามกลางหมู่เมฆ
นางสะดุ้งกลางค่ำคืนอันมืดมิดและตกใจตื่น
ชั่วขณะหนึ่งนางไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใด จากนั้นเมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้าจึงนึกขึ้นได้
นางถอยห่างจากเขาโดยสัญชาตญาณ แต่กลับร่วงตกจากเตียง ไม่ง่ายเลยกว่าจะประคองตัวเอาไว้ได้
เขายังคงนั่งอยู่ตรงนั้น พิงหัวเตียงหลับสนิท จังหวะหัวใจและลมหายใจสม่ำเสมออย่างยิ่ง
นางไม่อยากเชื่อว่าเมื่อครู่ตนหลับไปเช่นนี้อีกแล้ว
เดิมทีคิดจะฉวยโอกาสหนีไปตอนเขาหลับสนิท ใครจะไปคิดว่าตัวเองกลับผล็อยหลับไปด้วย
ชายผู้นี้ประหลาดโดยแท้ ครั้งก่อนพบกันนางก็รู้สึกรางๆ แล้วว่าเขาแปลกเล็กน้อย ครั้งนี้พบกันอีก มีแต่ทำให้นางมั่นใจในเรื่องนี้
นางจ้องเขา สงสัยว่าสมองของเขามีปัญหา
ยาที่เขามอบให้นางก่อนนอนเม็ดนั้นเป็นยาบำรุงอย่างดีที่ช่วยชีวิตคนได้ เขาไม่ได้พูด แต่ตอนที่นางจะคายยาออกมา ภาพหนึ่งพลันวาบเข้ามาในหัว นั่นเป็นใบหน้าเคร่งขรึมของบุรุษคนหนึ่งกำลังก้มหน้าหลุบตามองเขา
‘นี่อะไรหรือ’
นางได้ยินเสียงไร้เดียงสาของเด็กชายเอ่ยถาม
‘ลูกกลอนช่วยชีวิต’ บุรุษผู้นั้นตอบเสียงเย็น ‘วันใดเจ้าล้มป่วย เมื่อเจ็บปวดมากๆ ค่อยกินเม็ดหนึ่ง’
นั่นเป็นลูกกลอนช่วยชีวิตจริงๆ นางสัมผัสได้ถึงรสชาติของสมุนไพรชั้นสูงมากมายที่อยู่ในนั้น สมุนไพรบางตัวหายากอย่างยิ่ง มีถิ่นกำเนิดไกลออกไปเป็นหมื่นลี้ ดังนั้นนางจึงกลืนยาลงไป นางรู้ว่าสิ่งนี้สามารถช่วยนางได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าลูกกลอนนั่นจะทำให้นางฟื้นขึ้นมาได้ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ชั่วยาม กระดูกซี่โครงที่หักแม้จะยังเจ็บอยู่ แต่เริ่มสมานเข้าด้วยกันแล้ว
นางยกมือขึ้น เห็นแผลใหม่บนแขนหายไปไม่เหลือร่องรอย
ลูกกลอนนี้ต่อให้ใช้กับคนป่วยที่ใกล้จะไปเกิดใหม่เต็มที ยังสามารถยื้อชีวิตกลับมาได้ นับประสาอะไรกับนาง
‘ยาดีย่อมขมคอ’
เขาพูดเช่นนี้ ชายผู้นี้ไม่ใช่ไม่รู้ว่ายานี้ล้ำค่าและดีเพียงใด เขาร่ำเรียนวิชาแพทย์ บุรุษที่เย็นชาผู้นั้นคือตาของเขา
ลูกกลอนนี้เป็นสิ่งที่บุรุษผู้นั้นใช้เวลาตั้งไม่รู้กี่ปี เดินทางไปทั่วทุกดินแดนเพื่อเก็บรวบรวมสมุนไพรและหลอมออกมา
ทั้งที่บุคคลตรงหน้ารู้ว่านางหาใช่คนธรรมดา ทั้งยังเคยปล้นเขา แต่เขายังคงมอบยาให้นาง
นี่มันคนโง่งมจากที่ใดกันแน่นะ
ไอน้ำเปียกชื้นซึมผ่านหน้าต่างแผ่กระจายเข้ามา ในนั้นเจือกลิ่นสาบรางๆ อยู่ขุมหนึ่งด้วย
กลิ่นนั้นทำให้นางได้สติ สะดุ้งตื่นขึ้นมา
กลิ่นสาบนี้แหละที่ทำให้นางตื่น
ฝนหยุดตกแล้ว เจ้าพวกนั้นได้กลิ่นของนาง
นางรู้ พวกมันกำลังเข้ามาใกล้ หัวใจเต้นถี่รัวขณะก้าวลงจากเตียง ตอนแรกนางยังกังวลว่าตัวเองจะยืนได้ไม่มั่นคง แต่สองขากลับใช้งานได้ดีกว่าที่คิดไว้
นางถึงขั้นไม่รู้สึกเจ็บด้วยซ้ำ
หญิงสาวหลุบตามองขาตัวเองแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังโน้มตัวลง ยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อของชายหนุ่ม
ชั่วขณะสั้นๆ เมื่อเห็นใบหน้าที่หลับสนิทของเขาใต้แสงจันทร์ มือเล็กของนางกลับค้างอยู่กลางอากาศ ลังเลเล็กน้อย
ลมกลางคืนโชยพัด นำพากลิ่นสาบที่เข้มข้นยิ่งขึ้นมาด้วย
นางยังคงยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อเขาแล้วหยิบยาขวดนั้นออกมา
เขาไม่ตื่น ยังคงหลับสนิท
คนผู้นี้ช่างเป็นคนโง่งมที่โชคดีมาตั้งแต่เกิด
นางแค่นเสียงหยันทีหนึ่ง ไม่มองเขาอีก หันหลังหมายจะจากไป ตอนถึงหน้าประตูนางชะงักไปครู่หนึ่ง หันกลับมาแล้วยื่นมือไปหยิบตะกร้าไม้ไผ่ ก่อนจะผลักประตูออกไปอย่างเร่งร้อน
ราตรีเงียบสงัดยิ่ง
ประตูปิดลงแล้ว
ชายหนุ่มที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงลืมตาขึ้น รออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้น ลงจากเตียง
ซ่งอิ้งเทียนไม่ได้ออกไปทางประตูใหญ่ แต่ปีนหน้าต่างออกไปเงียบๆ เหมือนแมว กระโดดขึ้นไปบนหลังคาบ้านชาวนาอย่างไร้เสียง
ท่ามกลางความมืดแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย แต่สายตาของเขาดีมาก หูยิ่งดีกว่า เพียงครู่เดียวก็พบร่องรอยของหญิงผู้นั้น
นางหิ้วตะกร้าไม้ไผ่เดินผ่านบ้านหลังแล้วหลังเล่า
เขารู้ว่าในตะกร้าไม้ไผ่เป็นเศษผ้าที่เปื้อนเลือดตอนเขาช่วยนางทำความสะอาดแผล ตลอดจนเสื้อผ้าสกปรก แต่เขาไม่รู้ว่านางจะเอาไปทำไม
ซ่งอิ้งเทียนตามหลังนางอยู่ไม่ไกลอย่างเงียบเชียบ นางไม่ได้หันกลับมา ไม่ตระหนักถึงตัวตนของเขาด้วยซ้ำ เอาแต่เดินอย่างเร่งรีบจนแทบจะวิ่งอยู่แล้ว
นางยังคงอ่อนแอเล็กน้อย บางครั้งร่างกายก็โงนเงน แต่นางฝืนประคองตัวไว้
นางเดินมาถึงริมแม่น้ำ โยนตะกร้าไม้ไผ่ลงไปในแม่น้ำสายเล็กๆ
ตะกร้าไม้ไผ่ผลุบๆ โผล่ๆ ขณะไหลไปตามกระแสน้ำ นางไม่ได้หยุดดู รีบหันหลังจะจากไป ทันใดนั้นเงาดำหลายสายปรากฏตัวที่ฝั่งตรงข้าม นางรู้สึกตัวในทันทีจึงหมอบลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว ซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าริมแม่น้ำ
เงาดำเหล่านั้นพุ่งเข้าใส่ตะกร้าไม้ไผ่ที่ลอยน้ำไป พวกมันกระโจนลงไปในน้ำ อ้าปากแย่งกันกัดอย่างบ้าคลั่งเหมือนสัตว์ ถึงขั้นกัดกันเองด้วยซ้ำ
ไม่นานกลิ่นสาบก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว กลิ่นนั้นชวนให้คนอยากอาเจียน
นางฉวยโอกาสนี้คิดจะขยับตัวไปยังต้นลม คิดไม่ถึงว่านางเพิ่งจะขยับตัว ลมกลับเปลี่ยนทิศทาง
เขามองเห็นดวงหน้าเล็กของนางซีดเผือดท่ามกลางความมืด เงาดำที่ยื้อแย่งตะกร้าไม้ไผ่อยู่ในแม่น้ำหันกลับมาและพุ่งมายังตำแหน่งที่นางอยู่
พวกมันมองไม่เห็นนาง แต่ได้กลิ่นของนาง
เดิมทีเขาคิดว่านางจะหันหลังวิ่งหนี แต่หญิงผู้นั้นไม่ได้ทำเช่นนั้น นางชักเคียวออกมาจากด้านหลัง ตัดหัวของตัวประหลาดสองตัวที่กระโจนเข้าใส่นางอย่างฉับไว
เดิมทีนางสามารถจัดการพวกมันได้ทั้งหมด แต่นางบาดเจ็บสาหัสอยู่ การเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงทำให้กระดูกซี่โครงที่ยังไม่ประสานกันดีฉีกออกอีกครั้ง นางชะงักไป ตัวประหลาดตัวสุดท้ายกระโจนเข้ามา อ้าปากงับมือซ้ายของนางที่ถือเคียวอยู่
เวลานี้เองนางชูแขนขวาที่ขาดขึ้นมาแล้วจู่โจมดวงตาของสัตว์ประหลาด ใบมีดคมกริบแทงทะลุหัวของมัน เขาถึงได้เห็นว่านางมัดมีดตัดฟืนเข้ากับแขนข้างที่ขาดตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้
สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดดังแซกซ่า
ภายใต้จันทร์เสี้ยว สองมือของนางถืออาวุธพลางหอบหายใจ ทั่วร่างอาบย้อมไปด้วยเลือดที่ทั้งดำและเหม็นสาบ ดูเหมือนสัตว์ป่าคลุ้มคลั่งตัวหนึ่ง
ทันใดนั้นบริเวณพุ่มหญ้าไกลออกไปมีการเคลื่อนไหว หญิงสาวถืออาวุธพุ่งเข้าไป เคียวในมือสะบัดออกไปในชั่วพริบตา ทว่านั่นไม่ใช่สัตว์ประหลาด ไม่ใช่เจ้าพวกที่ไล่ล่าสังหารนาง ซ่งอิ้งเทียนเงื้อมือขึ้นหมายจะหยุดยั้ง แต่จังหวะที่นางมองเห็นชัดเจนก็กลับยั้งมือไว้ได้ทัน
ครั้นเห็นนางหยุด ชายหนุ่มก็รีบคว้าด้ามกระบี่สีดำเล่มหนึ่งที่โผล่ออกมาจากต้นแขน ไม่ปล่อยให้มันพุ่งออกไป
ต้นหญ้าที่ถูกฟันจนขาดฟุ้งกระจายไปตามลม ใต้ต้นหญ้าเป็นเด็กอายุราวเจ็ดแปดขวบคนหนึ่ง เดิมทีเขาถอดกางเกงนั่งยองอยู่ในพุ่มหญ้าเพื่อปลดทุกข์ แต่ยามนี้กลับตกใจหน้าซีดจนน้ำตาไหลเต็มหน้า ทรุดนั่งลงบนพื้น สั่นเทิ้มไปทั้งตัวอย่างหยุดไม่ได้
หญิงสาวผู้นั้นจ้องมองเด็กชาย เลือดสีดำหยดหนึ่งถูกลมพัดจนหยดลงจากเคียว
ลมพัดต้นหญ้าจนดูเหมือนคลื่นน้ำที่ปั่นป่วน
พริบตาถัดมานางก็ลดมือลง อ้าปากเอ่ยอะไรบางอย่างกับเด็กคนนั้น
เด็กน้อยที่เดิมทีตกใจกลัวจนปัสสาวะอุจจาระราด ทว่าตอนนี้ร่างกายกลับหยุดสั่นอย่างน่าแปลก ผงกศีรษะด้วยท่าทางเหม่อลอย
ซ่งอิ้งเทียนเห็นแล้วอึ้งไป เห็นเพียงนางอ้าปากอีกครั้งและเอ่ยคำพูดออกมา
ครานี้ลมกลางคืนพัดเอาเสียงของนางมาด้วย
“นี่ไม่ใช่เรื่องจริง เจ้ากำลังฝันไป”
เด็กชายมองนางอย่างนิ่งงัน อ้าปากทวนคำ
“นี่ไม่ใช่เรื่องจริง ข้ากำลังฝันไป”
นางเอ่ยปากอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ตอนนี้เช็ดก้นให้เรียบร้อย สวมกางเกงให้ดี แล้วกลับไปนอนบนเตียง”
เด็กชายลุกขึ้นจากพื้นหญ้า ใช้ใบไม้เช็ดก้น ดึงกางเกงขึ้นมาและผูกสายให้ดี ใบหน้าของเขาไม่มีความหวาดหวั่น ไม่มีความตื่นกลัว รูม่านตาแข็งทื่อเล็กน้อย จากนั้นหันหลังเดินไปตามทางเล็กๆ กลับบ้านของตัวเอง
หญิงสาวผู้นั้นมองเด็กชาย ร่างกายที่อาบย้อมไปด้วยโลหิตยังคงดูน่าสยดสยอง แต่กลับไม่เหมือนสัตว์ป่าอีก
นางหันหลัง ทันใดนั้นงูยักษ์ที่ตัวใหญ่กว่ารถม้าก็พลันพุ่งออกมาจากในแม่น้ำ อ้าปากกว้างโจมตีนาง
นางหลบไม่ทันเพราะถูกเด็กชายคนนั้นเบี่ยงเบนความสนใจ ทว่าเขาไม่
ในช่วงเวลาคับขัน ซ่งอิ้งเทียนปราดออกไปอย่างรวดเร็วปานลูกธนู ดึงนางออกจากปากกว้างนั้นได้ทัน กระบี่ยาวในมือแทงไปยังก้อนเนื้อสีแดงที่นูนออกมาตรงกลางหว่างคิ้วของมัน ก้อนเนื้อระเบิดออกทันที สัตว์ประหลาดล้มลงกับพื้น ร่างกายเปียกลื่นขดงอด้วยความเจ็บปวด มันกลิ้งกลับลงไปในน้ำ ดิ้นรนกระเสือกกระสนก่อนจะไหลไปตามกระแสน้ำ
นางหอบหายใจอยู่ในอ้อมกอดเขา ร่างกายยังคงสั่นเทา
“แสดงว่าเลือดของเจ้าดึงดูดปีศาจ?” เขาเอ่ยปากถาม
หญิงสาวเงยหน้ามองเขา ริมฝีปากที่ไร้สีเลือดเม้มเข้าด้วยกันไม่ตอบคำ ทว่าหางตากระตุกทีหนึ่ง
“ในเมื่อมีตัวประหลาดไล่ตามเจ้ามากมายถึงเพียงนั้น ข้าเดาว่าพวกเราน่าจะไปจากที่นี่กระมัง”
นางยังคงเงียบ เขายิ้ม สะบัดเลือดที่ติดอยู่บนกระบี่และเก็บกระบี่ อุ้มนางหันหลัง เท้าเพียงสะกิดพื้นก็เหินตัวข้ามทุ่งนาไปจากหมู่บ้านแห่งนี้
ทั่วร่างนางเต็มไปด้วยเลือดสีดำสกปรกของปีศาจ เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตัวเองห่อตัวนางไว้ พาไปยังเมืองเล็กๆ อีกเมือง มาที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
นางเหนื่อยจนไม่มีเรี่ยวแรงจะขัดขืน อีกทั้งตอนนี้ท้องฟ้ายังไม่สว่าง เสี่ยวเอ้อร์คงจะสนใจพวกเขาหรอก
ไหนเลยจะคิดว่าเขาไม่ได้ไปเคาะประตูเรียกคนด้วยซ้ำ แต่ปีนกำแพงเข้าไปในลานด้านหลัง ใช้เท้าข้างหนึ่งสะกิดพื้นและเหินตัวขึ้นไปบนหอ ก่อนจะทิ้งตัวลงหน้าห้องพักแขกห้องหนึ่งบนชั้นสอง ผลักประตูและเดินเข้าไป วางนางลงบนเก้าอี้แล้วค่อยจุดตะเกียง
เมืองแห่งนี้ไม่เล็ก ห้องพักแขกกว้างใหญ่มาก ทั้งยังมีฉากกั้นแบ่งพื้นที่ในห้อง ได้รับการดูแลอย่างสะอาดสะอ้าน ไม่มีฝุ่นผงแม้แต่นิดเดียว
ไม่นานเสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งเห็นไฟสว่างขึ้นจึงรีบร้อนมาดู
เดิมทีนางคิดว่าจะเกิดการโต้เถียงด่าทอ คิดไม่ถึงว่าเขาจะหยิบป้ายสำริดอันหนึ่งให้เสี่ยวเอ้อร์ดู เสี่ยวเอ้อร์เห็นดังนั้นก็มีท่าทางเคารพนบนอบทันที รับคำสั่งจากเขาและรีบเรียกผู้ช่วยอีกหลายคนที่ท่าทางงัวเงียเข้ามา ยกน้ำร้อน ถังอาบน้ำ และเม็ดสบู่สำหรับชำระล้างร่างกายเข้ามาในห้อง ทั้งยังนำผ้าแห้งและเสื้อผ้าอาภรณ์มาให้
รอจนพวกเสี่ยวเอ้อร์ถอยออกจากประตูไป เขาจึงอุ้มนางขึ้นมาอีกครั้ง นางรู้สึกมึนงงไปหมด ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย ได้แต่ปล่อยให้เขาทำความสะอาดร่างกายและสระผมให้ นางรู้ว่าเพราะกลิ่นจากร่างกายตน ไม่ว่าจะเป็นเลือดของปีศาจหรือเลือดของตัวนางเองล้วนดึงดูดสิ่งสกปรกพวกนั้นมาได้ทั้งนั้น
การกระทำของเขาอ่อนโยนยิ่ง ไม่มีเจตนาไม่ดีแม้แต่นิดเดียว
คนเป็นหมอจิตใจเมตตาดุจบิดามารดา
คำพูดนี้ผุดขึ้นในใจอีกครั้ง ครานี้กลับไม่รู้สึกโมโหถึงเพียงนั้นอีกแล้ว
หลังจากนั้นเขาก็หยิบขวดยาที่นางขโมยไปออกมา ป้อนลูกกลอนให้นางอีกเม็ด
ตอนเขาอุ้มนางออกจากถังอาบน้ำแล้วสวมเสื้อให้ นั่งลงบนเตียงและช่วยเช็ดผมยาวของนางให้แห้ง นางสามารถอ่านความทรงจำและอารมณ์ความรู้สึกในหัวสมองของเขาได้
ทุกครั้งที่เขาสัมผัสนาง นางล้วนมองเห็นบางส่วนของความทรงจำ ทว่านางอ่อนแอเกินไป ไม่มีแรงจะเพ่งพิศให้ชัดเจน ภาพและความทรงจำเหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนผ่อนคลายยิ่ง มีคนยิ้ม มีคนพูดกับเขา ตู้ใส่ยาหลายชั้นที่แบ่งเป็นช่องๆ ยาสมุนไพรชนิดต่างๆ ป่าไผ่ ดอกบัว และสายลมเอื่อยสลับกันไปมาอย่างต่อเนื่อง บางครั้งยังมีทิวทัศน์ของขุนเขาและทะเลสาบอันกว้างใหญ่ไพศาล ตลอดจนเรือลำน้อยที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ
ในห้วงความคิดของเขาไม่มีมารปีศาจ ไม่มีคาวเลือดและการเข่นฆ่า เขาถึงขั้นไม่รู้สึกตำหนิหรือหวาดกลัวนางด้วยซ้ำ
ท่ามกลางความคิดอันล่องลอย มีเพียงความรู้สึกสบายและความสงบที่นางไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว
นั่นทำให้นางค่อยๆ ผ่อนคลาย เมื่อเขานั่งลงบนเตียงและให้นางพิงอกเขา ท่ามกลางสติอันพร่าเลือนและเลื่อนลอย นางได้ยินคำถามนั้น
เอ๋? เสื้อผ้าเปื้อนเลือดพวกนี้ควรจัดการอย่างไรดี
“เผาเสีย…”
คำพูดออกจากปากไปแล้ว นางถึงตระหนักได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป รีบลืมตาที่เดิมทีปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง อยากเก็บคำพูดกลับคืนมาก็สายไปเสียแล้ว
ซ่งอิ้งเทียนมองแววโมโหเล็กน้อยที่สะท้อนออกมาจากนัยน์ตาสีดำของนาง ทำให้เขารู้ว่าเมื่อครู่นางแค่เผลอหลุดปากออกมาเท่านั้น ยิ่งเป็นการยืนยันการคาดเดาในใจเขา
เจ้าอ่านใจได้
แววโมโหในดวงตานางรุนแรงกว่าเดิม แต่กลับเจือความลนลานที่แทบจับสังเกตไม่ได้อยู่ด้วย ริมฝีปากบางเม้มแน่นกว่าเดิม
ท่าทางเช่นนั้นทำให้เขากระดกมุมปาก
“ข้ารู้อยู่แล้ว” เขาพูดและคิดในใจด้วย
หญิงสาวขึงตาใส่เขา เห็นเพียงเขายิ้ม ทันใดนั้นนางก็พลันตระหนักว่าสิ่งที่เขาคิดมาทั้งหมดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความจงใจ ความตกใจ ความโมโห และความหวาดหวั่นจู่โจมเข้ามาในชั่วพริบตา นางยืดเล็บยาวออกไปคว้าจับคอเขา แต่อึดใจต่อมากลับพบว่าตัวเองไร้เรี่ยวแรง สองมือตกลงจากคอเขาทันใด ร่างกายอ่อนปวกเปียกขณะฟุบลงบนตัวเขา
เกิดอะไรขึ้น?!
นางตระหนก ดวงหน้าเล็กซีดเผือด หลังจากนั้นจังหวะที่ตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น กลับได้ยินชายหนุ่มยิ้มพูดพลางอวดเข็มเงินที่คีบไว้ระหว่างนิ้ว
“ไม่ต้องกลัว ข้าแค่ใช้เข็มเงินไม่กี่เล่มสกัดจุดชีพจรเจ้าไว้เท่านั้น แต่ข้าคิดว่าเจ้าคงรู้แล้วล่ะ” เขาพูดและลุกขึ้นลงจากเตียง ปล่อยให้นางนอนคว่ำ จากนั้นโน้มตัวอยู่ข้างเตียง มองนางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มกวนประสาท “ขออภัย ผู้น้อยก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่แม่นางร่างกายไม่แข็งแรง ยังชอบเพ่นพ่านไปทั่ว แผลเก่ายังไม่หายดีก็มีแผลใหม่เพิ่มเข้ามา ถึงเจ้าไม่เหนื่อย แต่ข้าเหนื่อยแล้ว”
นางโกรธเหลือเกิน อยากอ้าปากแต่กลับพูดไม่ออก
เขาเห็นแล้วยิ้มเบิกบานกว่าเดิม
“อย่าโกรธเลย โกรธแล้วไฟโทสะย่อมจู่โจมจิตใจ ไม่ดีต่อตับ หัวใจกับตับของเจ้าไม่ดีเอามากๆ อยู่แล้ว เจ้าต้องปล่อยให้พวกมันได้พักถึงจะถูก” เขาพูดพลางทางหนึ่งเก็บเสื้อผ้าสกปรกพวกนั้น ทางหนึ่งหันกลับไปมองนาง “อ้อ เจ้าวางใจเถอะ ของพวกนี้ข้าจะให้คนใส่ลงในไห ใช้ดินเหนียวผนึกให้แน่นหนา ส่งออกไปไกลนับร้อยลี้และเผาทิ้ง ย่อมไม่มีใครรู้ว่าเจ้าอยู่ที่ใด”
คำพูดของเขามิอาจทำให้นางสบายใจได้
ซ่งอิ้งเทียนเดินกลับมาข้างเตียงเวลานี้ นางสะดุ้งในใจ พยายามจ้องตาเขาหมายจะสะกดจิต ล่อหลอกให้เขาปล่อยนางไป แต่ชายผู้นั้นกลับไม่มองนาง เพียงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างนางและปล่อยม่านโปร่งลง
“ฟ้าใกล้สว่างแล้ว ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้วดีกว่า แม่นาง เจ้าพักผ่อนเถอะ”
ม่านโปร่งทิ้งตัวลงมา นางมองเห็นหน้าเขาไม่ชัด แต่นางได้ยิน น้ำเสียงนั้นเจือแววหัวเราะ
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็หมุนตัว เปิดประตูจากไป
ประตูปิดลงแล้ว หัวใจของนางยังคงเต้น เต้นอย่างบ้าคลั่ง เพราะความตระหนกและเพราะความหวาดกลัว
นางไม่ชอบสภาพเช่นนี้ของตัวเองเลยสักนิด เกลียดตัวเองที่นอนอ่อนปวกเปียกอยู่ตรงนี้ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เหมือนปลาบนเขียงที่คนสามารถเชือดได้ทุกเมื่อ…
สายลมฤดูใบไม้ร่วงยังคงพัดเข้ามาจากรอยแยกของหน้าต่างเล็กน้อย นางเห็นท้องฟ้าค่อยๆ สว่าง
นางไม่กล้าหลับตา ไม่กล้าผ่อนคลาย เอาแต่พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการควบคุมของเข็มเงินบนร่างกายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พยายามอยู่นานกลับทำได้เพียงขยับนิ้วมือเท่านั้น
ชายสมควรตายนั่นไม่รู้ไปที่ใดแล้ว ในโรงเตี๊ยมเริ่มมีเสียงฝีเท้า เสียงตักน้ำ เสียงทักทาย เสียงพูดคุย
ความตระหนกและความลนลานถั่งโถมเข้ามาอย่างมิอาจควบคุม
ปีศาจล้วนชอบแฝงตัวอยู่ในกลุ่มมนุษย์ ผู้ใดจะไปรู้ว่าพ่อค้าในโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นปีศาจหรือไม่ จะได้กลิ่นนางในชั่วอึดใจต่อมาหรือไม่ จะรู้ว่านางอยู่ที่นี่หรือไม่
นางต้องเคลื่อนไหว ต้องไปจากที่นี่…
เดิมทีนางสามารถเคลื่อนย้ายวัตถุกลางอากาศได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้นางบาดเจ็บสาหัสเกินไป อยากชูนิ้วมือขึ้นมายังยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเพ่งสมาธิเคลื่อนย้ายสิ่งของ นางใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีทำให้เข็มเงินที่ปักอยู่บนหลังสั่นและขยับ นางลองดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดพวกมันก็ขยับขึ้นไปข้างบนทีละนิด
เหงื่อซึมออกมาจากผิวกาย ทำให้ผ้าห่มเปียกชุ่ม
ในที่สุดนางก็ขยับนิ้วได้ แต่ประตูกลับเปิดออกเวลานี้ เงาร่างสายหนึ่งเดินเข้ามา มองผ่านม่านโปร่งนางเห็นไม่ชัด ความตระหนกกลัวจึงพลันเกาะกุมจิตใจ กลัวว่าผู้มาจะไม่ใช่คน แต่เป็นปีศาจ…
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 ม.ค. 64
Comments
comments
No tags for this post.