X
    Categories: คู่นิรันดร์พันภพทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน คู่นิรันดร์พันภพ บทที่ 5 – บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 13

บทที่ 5

ทว่านั่นไม่ใช่ปีศาจ เป็นเขา

นางได้กลิ่นคุ้นเคยจากร่างกายเขา

ซ่งอิ้งเทียนเดินมาข้างเตียง สบตากับนาง

เขาคิดว่านางหลับ แต่หาได้เป็นเช่นนั้น เขามองเห็นนางหมอบอยู่บนเตียงและโก่งตัวขึ้น เหงื่อไหลท่วม เห็นเล็บยาวแหลมคมที่ยื่นออกมาขยุ้มลึกลงไปในฟูก เห็นเข็มเงินถูกนางบีบออกจากผิวหนัง สั่นระริกอยู่บนจุดชีพจรคล้ายจะตกลงมา ทั้งยังมองเห็นนัยน์ตาที่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำอีกครั้งคู่นั้น

ในนัยน์ตาสีแดงฉานที่เห็นแล้วน่าเศร้ามีความตระหนก ความเคียดแค้น และความหวาดหวั่นที่ปิดไม่มิด

เขามองนางอย่างตะลึงงัน อ้าปากแต่ไร้ซึ่งคำพูด

ชั่วอึดใจต่อมาเข็มเงินพลันหลุดจากจุดชีพจรพุ่งเข้าใส่เขา

มือใหญ่ยื่นออกไปรวบเก็บพวกมันไว้ในมือ นางลุกขึ้นออกแรงตวัดกรงเล็บใส่ ซ่งอิ้งเทียนไม่หลบ แต่กลับโน้มตัวมาข้างหน้า เล็บนางข่วนหน้าเขา เกี่ยวผมยาวข้างหูเขาออกไป แต่เขายื่นมือไปโอบกอดนาง หยุดนางไว้ได้อีกครั้ง

ทว่าครั้งนี้เขาไม่ได้ปักเข็มเงินลงบนจุดชีพจรที่หลังนางอีก เพียงยื่นมือไปโอบกอดนางไว้

ไม่ต้องกลัว เจ้าไม่ต้องกลัว…เขาเอ่ยในใจ

อะไรของเจ้า?! นางหอบหายใจ คิดจะฝังกรงเล็บลงในศีรษะเขา หักกระดูกคอของเขา แต่เสียงของเขาและอารมณ์ความรู้สึกอันรุนแรงพลันโถมทะลักเข้ามาในห้วงความคิด

ข้าไม่มีเจตนาจะทำร้ายเจ้า…ไม่มีทางทำร้ายเจ้า…

เขากำลังพูดอะไร?!

เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัว

นี่มันบ้าอะไรกัน…นางน้ำตาคลอขณะคิดด้วยความโมโห แต่เล็บแหลมคมที่ยื่นออกมากลับแค่จิ้มลงไปในผิวของเขาเท่านั้น ไม่ได้แทงลงไปอีก

“ข้าขออภัย…” เขาโอบกอดนาง เอ่ยเสียงแหบพร่า

นางอึ้งไป กลั้นหายใจ ขณะที่มือสั่นระริก

คำพูดนี้ไม่ควรเกิดขึ้น นางเองก็ไม่เคยคาดหวังคำขออภัย เหมือนมีสายน้ำโถมทะลักเข้ามาในหัวใจ ทำให้น้ำตาเอ่อท้นออกมาจากขอบตา

“ข้าขออภัยจริงๆ”

เขาพูดซ้ำ จากนั้นนางก็หมดสติไป

ลำแสงอ่อนจางส่องเข้ามาทางหน้าต่าง

ซ่งอิ้งเทียนโอบร่างที่อ่อนปวกเปียกในอ้อมกอด หัวใจยังคงเต้นรัว

เข็มเงินในมือยังคีบอยู่ระหว่างนิ้วมือ ปักลงบนจุดชีพจรใหญ่หลังคอนางอีกครั้ง

ลมหายใจและจังหวะหัวใจของหญิงสาวถูกบีบให้ช้าลง แต่หัวไหล่เขายังคงรู้สึกได้ถึงน้ำตาเปียกร้อน เขายังคงมองเห็นน้ำตาเลือดของนางที่อาบย้อมไปทั่วเตียงและหมอน ยิ่งมิอาจลืมเลือนดวงตาคู่นั้นที่เปื้อนน้ำตาสีเลือดและเจือแววโกรธแค้นตื่นกลัวเมื่อครู่นี้

ชั่วขณะหนึ่งที่เขาไม่ขยับ เพียงยืนอยู่หน้าเตียงเช่นนั้น โอบกอดหญิงสาวที่ก่อนหน้านี้ยังโจมตีเขาเหมือนสัตว์ร้ายตัวหนึ่ง

เขาไม่มีเจตนาจะทำร้ายนาง ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ

ยังคิดว่าหลังจากอยู่ร่วมกันมาหลายวัน นางควรจะรู้ว่าเขาไม่มีทางทำร้ายนาง

เขารู้ว่านางไม่ชอบถูกใครควบคุม ไม่มีใครชอบ แต่คิดไม่ถึงว่านางจะตื่นตระหนกและหวาดกลัวถึงเพียงนี้ แค่จำกัดการเคลื่อนไหวของนางเท่านั้นก็ทำให้นางตกใจถึงเพียงนี้ ยินดีทำร้ายตัวเอง แม้ว่าจะต้องใช้เรี่ยวแรงที่เหลือทั้งหมดก็จะดิ้นรนหนีไปให้ได้

หลายปีมานี้น้อยครั้งที่เขาจะผิดพลาด

ทว่าจังหวะที่เขาเลิกม่านขึ้น จังหวะที่เขาเห็นดวงตาคู่นั้นของนาง เขาก็รู้ว่าตัวเองพลาดไปเสียแล้ว

เขาไม่ควรทิ้งนางไว้ที่นี่คนเดียว

ปีศาจกำลังไล่ล่านาง นางไม่ไว้ใจปีศาจเป็นเรื่องปกติมาก แต่แม้กระทั่งเขาที่ช่วยเหลือนางไว้หลายครั้ง หญิงผู้นี้ก็ยังไม่กล้าไว้ใจหรือ

เพราะเหตุใด

ตกลงแล้ว…เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงได้ทำให้นางหมดความเชื่อมั่นในตัวมนุษย์ไปอย่างสิ้นเชิง?

เขาถอนเข็มเงินบนจุดชีพจรใหญ่ของนางออกช้าๆ ปล่อยให้นางนอนราบบนเตียง

นางไม่ตื่นเพราะเหตุนี้ เขารู้ว่านางคงยังไม่ตื่นเร็วๆ นี้ นางใช้พลังในร่างกายมากเกินไป หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ต่อให้เป็นมนุษย์กึ่งสัตว์ที่เปี่ยมด้วยกำลังวังชา หากบาดเจ็บอย่างนาง เกรงว่าคงไปรายงานตัวกับพญายมนานแล้ว

แต่นางไม่ นางยังมีชีวิตอยู่

ซ่งอิ้งเทียนนั่งลงตรงขอบเตียง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยเช็ดน้ำตาเลือดออกไปจากใบหน้านาง

หลังจากนั้นถึงได้พิจารณาใบหน้านางอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก

ลักษณะของคนแต่ละท้องถิ่นล้วนไม่เหมือนกัน คนทางใต้กระดูกหน้าค่อนข้างกลม คนทางเหนือกระดูกหน้าเหลี่ยมกว้าง คนต่างเผ่ายิ่งแตกต่างออกไป แม้แต่สีผมสีผิวและสีตายังต่างออกไปด้วย หญิงผู้นี้แม้ดวงตาและเส้นผมจะเป็นสีดำ แต่โครงหน้ากลับเหมือนชาวต่างเผ่ามากกว่า ไม่เพียงเบ้าตาลึก จมูกยังโด่งยิ่ง ขนตาดกหนาเป็นแพเหมือนพัด

หากตัดรอยแผลเป็นที่ยังไม่จางไปพวกนั้นออก ใบหน้านางงดงามมากจริงๆ

โลกใบนี้มีมารปีศาจมากมาย มีบุคคลน่าสงสัยบางจำพวกที่แยกแยะด้วยรูปลักษณ์ภายนอกไม่ออก แต่ชีพจรของนางกลับเหมือนคนธรรมดาทั่วไป

นางเป็นคน

ความรู้ที่เขาร่ำเรียนมาทั้งหมดตอนนี้บอกเขาว่านางเป็นคน แต่ถ้านางเป็นคน นางน่าจะตายไปนานแล้ว

นางเป็นปีศาจหรือ

เขามองหญิงสาวตรงหน้า คิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน คิดถึงท่าทางของนางยามถือเคียวเล่มนั้นกลางสายลมใต้แสงจันทร์ คิดถึงสีหน้านางยามมองเด็กคนนั้น

นางยั้งมือไว้ นางสามารถฟันลงไปได้แต่ไม่ทำ

ซ่งอิ้งเทียนนั่งอยู่ตรงขอบเตียง จับจ้องหญิงสาวตรงหน้าที่ไม่รู้ว่าเป็นคนหรือปีศาจ มองดวงตาคู่นั้นของนางที่ยามนี้ปิดสนิท

ช่างเถอะ ในเมื่อได้พบเจอ นั่นย่อมเป็นวาสนา

ในเมื่อตัดสินใจแล้วเขาก็ไม่คิดมากอีก ถอดรองเท้าและขึ้นเตียง เข้าสู่ห้วงนิทรา

 

ดวงอาทิตย์เจิดจ้าแขวนตัวสูง

ลายังคงเป็นลาตัวเดิม รถยังคงเป็นรถคันเดิม

ตอนชายผู้นั้นอุ้มนางลงมาจากชั้นสอง เดินออกมาทางประตูหลังของโรงเตี๊ยม นางมองลากับรถเทียมลาที่จอดอยู่ตรงประตูหลังอย่างไม่อยากเชื่อ มั่นใจมากว่านี่เป็นลาตัวเดียวกันและรถคันเดียวกันกับที่นางขายให้คนอื่นไปเมื่อหลายวันก่อน

เข็มเงินยังคงปักอยู่บนตัวนางอย่างแนบเนียน เปลี่ยนตำแหน่งเป็นจุดชีพจรตรงไหล่และขา แม้จะไม่ได้ทำให้นางเปล่งเสียงไม่ได้อีก แต่ยังคงจำกัดการเคลื่อนไหวของนางไว้ได้เหมือนเดิม

เขาอุ้มนางขึ้นรถ ให้นางนั่งให้ดี ชายคนหนึ่งเดินตามเขามา เอ่ยเสียงค่อยข้างหลังเขา

“คุณชาย เรื่องที่ท่านสั่งจัดการเรียบร้อยหมดแล้วขอรับ”

“รบกวนหลงจู๊ฟางแล้ว”

“นี่เป็นสารที่เจ้าของหอใช้พิราบสื่อสารส่งไปทั่วเมื่อคืน กำชับว่าหากพบตัวท่าน ต้องมอบให้ท่านให้ได้”

“หลงจู๊ฟาง”

“ขอรับ”

“สองวันนี้เจ้าไม่เจอข้ากระมัง”

“เอ๋?”

“ข้าไม่เคยมาที่นี่ เจ้าเองก็ไม่เคยเจอข้า ใช่หรือไม่”

“อา…ใช่ขอรับๆ” หลงจู๊ฟางเป็นคนฉลาด เก็บกระบอกไม้ไผ่อันเล็กที่ยังไม่เปิดผนึกกลับเข้าไปโดยเร็ว เปลี่ยนเป็นเอ่ยว่า “สองวันนี้ข้าน้อยไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่พบเจอใครทั้งนั้น”

“ขอบคุณหลงจู๊ฟางที่สงเคราะห์ หายากที่หลานชายจะได้มีเวลาว่าง ดังนั้นจึงอยากท่องเที่ยวไปทั่ว ถือโอกาสส่งแม่นางที่ป่วยคนนี้กลับบ้านเกิดด้วย เอาไว้วันหน้าหลานชายจะต้องขอให้ไป๋ลู่ส่งยาสมุนไพรชั้นดีมาให้ท่านบำรุงร่างกายแน่นอน”

“คุณชายอย่าได้พูดเช่นนี้เป็นอันขาด ในอดีตหากท่านไม่ยื่นมือเข้าช่วย ป่านนี้ข้าน้อยคงตายไปนานแล้ว ไหนเลยจะมีวันนี้ได้”

“หลงจู๊ฟางเกรงใจแล้ว ท่านอยู่ตรงนี้แหละ ไม่ต้องส่งแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”

“ขอรับๆ”

แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่หลงจู๊ฟางยังคงยืนอยู่ที่เดิม ยิ้มมองส่งเขาขึ้นรถ ทั้งยังโบกมือไม่หยุด

หญิงสาวนั่งพิงเบาะนุ่มอยู่ในรถ มองตู้ยาและกล่องไม้ที่มีขนาดและจำนวนเท่าเดิม ไม่น้อยลงแม้แต่ชิ้นเดียว ยังคงตะลึงงันเล็กน้อย

รถเป็นรถคันเดิมจริงๆ ลาก็เป็นลาตัวเดิม

นางจำลาตัวนั้นได้ ยิ่งไม่มีทางจำรถคันนี้ผิด

หลายวันก่อนนางเพิ่งจะกินยาบนรถที่กินได้จนหมด ทั้งยังรื้อแผ่นทองใบ ที่เขาเก็บอยู่ในช่องลับใต้ตู้ยาออกมา แล้วนำกล่องไม้ ตู้ยา มีดหมอ ตลอดจนเสื้อผ้าที่มีราคาทั้งหมดไปแลกเป็นเงินในหมู่บ้านและเมืองต่างๆ รวมถึงลาตัวนั้นกับรถคันนี้ด้วย

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าล้วนเหมือนกับก่อนหน้านี้

นางรู้ว่าถ้ามือนางขยับได้และดึงลิ้นชักไม้พวกนั้นออกมา จะต้องเห็นมีดหมออย่างดีที่สั่งทำพิเศษจากร้านมีดและเครื่องเหล็กหนึ่งหทัยเรียงกันอยู่สิบสองเล่มแน่นอน

ไม่อยากจะเชื่อว่าชายผู้นั้นยังคงถือกล่องไม้เรียบง่ายทว่าประณีตใบเดิม กินองุ่นแห้งที่ถูกเติมเข้าไปใหม่

ก่อนหน้านี้นางไม่ได้ตั้งใจสังเกต แต่บัดนี้เมื่อนั่งอยู่บนรถ ฟังบทสนทนาระหว่างเขากับหลงจู๊เมื่อครู่นี้ มองข้าวของตรงหน้าที่ไม่ขาดหายไปแม้แต่ชิ้นเดียว นางจึงเชื่อมโยงเรื่องทุกอย่างเข้าด้วยกัน

ใต้หล้านี้เป็นของฮ่องเต้ แต่หากกล่าวถึงทางใต้ของแม่น้ำฉางเจียง ผู้กุมอำนาจที่แท้จริงกลับเป็นคหบดีใหญ่ที่กระจายอยู่ตามเมืองและมณฑลต่างๆ บริเวณลุ่มแม่น้ำแถบเจียงหนาน คนที่สามารถหาของที่หายไปกลับคืนมาได้จนครบ สามารถทำให้คนอาศัยป้ายสำริดอันเดียวเดินทางท่องไปได้ทั่ว มีเพียงคนเดียวเท่านั้น

ลาลากรถเดินช้าๆ อยู่ใต้ท้องฟ้าสีน้ำเงินและเมฆสีขาว เดินหน้าไปทีละก้าวๆ

“เจ้าของหอหงส์เป็นอะไรกับเจ้า”

ได้ยินคำพูดนี้แล้วเขาก็อึ้งไป หันกลับมามองนาง ไม่ตอบแต่กลับยิ้มถาม

“แม่นางยอมเปิดปากพูดแล้วหรือ ขืนเจ้ายังไม่ส่งเสียง ข้ายังคิดว่าลำคอเจ้าได้รับบาดเจ็บเสียอีก”

สองวันนี้เขาไม่ได้ผนึกเสียงของนางแล้ว แต่พอตื่นมาพบว่าตัวเองถูกควบคุมด้วยเข็มเงิน นางก็ทั้งโกรธและโมโห ไม่ยอมพูดกับเขา แม้แต่กินข้าวยังต้องให้เขาง้างปากนางออกและป้อนอาหารให้

“ข้าควรฆ่าเจ้าตั้งแต่แรกเมื่อมีโอกาส” นางพูดด้วยสีหน้าถมึงทึง

“โชคดีจริงๆ ที่เจ้าไม่ได้ทำเช่นนั้น” เขาฟังแล้วเลิกคิ้ว กินองุ่นแห้งพลางยิ้มตอบว่า “หาไม่แล้วเจ้ายังจะมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้หรือ”

นางหรี่ตาลง แค่นเสียงทางจมูก “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ เจ้าช่วยชีวิตข้า มิใช่แค่อยากสังเกตสภาพร่างกายอันแปลกประหลาดของข้าหรือ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังคิดจะใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อ หลอกปีศาจพวกนั้นเข้ามา จะได้จับมาศึกษาใช่หรือไม่”

นางไม่เคยเจอคนอย่างเขามาก่อน ไม่มีคนใด ถึงขั้นไม่มีปีศาจตนใดที่ท่าทีภายนอกและความคิดในใจขัดแย้งกันเช่นนี้ ไร้ยางอายถึงขั้นสุด

ตอนแรกนางยังคิดว่าเขาเป็นแค่คนธรรมดา แต่วันนั้นตอนเขาป้อนยาให้พลางจดบันทึกอาการของนางไปด้วย นางก็สังเกตเห็นความคิดของชายผู้นี้ รู้ว่าเขาแค่เห็นนางเป็นสัตว์ประหลาดหายากตัวหนึ่ง

ดังนั้นนางจึงปล้นรถเทียมลาและทรัพย์สินของเขาโดยไม่ต้องคิด

ภายหลังพบกันอีกครั้ง เขาช่วยชีวิตนางไว้อีก นางยังคิดว่าเขาโง่งม ใครจะไปคิดว่านางจะหลงกล ตื่นขึ้นมาถึงพบว่าชายผู้นี้เมื่อรู้ว่าเลือดของนางล่อปีศาจได้ก็คิดจะใช้นางเป็นเหยื่อล่อ ถึงขั้นพูดโกหกในหัวสมองของตัวเองเพื่อหลอกลวงนาง

นางไม่เคยเห็นใครมีความสามารถเหมือนอย่างเขา สามารถควบคุมความคิดจิตใจในหัวสมองของตัวเองได้อย่างอิสระ

ตื่นมาอีกครั้งนางพยายามจ้องตาอีกฝ่าย หมายจะสะกดจิตควบคุม สั่งให้อีกฝ่ายคลายจุดชีพจรบนตัวนาง จากนั้นจึงพบว่าเขาถึงขั้นต้านทานนางได้

พันปีที่ผ่านมาบางครั้งนางจะเจอคนที่หัวสมองแตกต่างจากคนทั่วไปเช่นเขาบ้าง แต่คนประเภทนี้มีน้อยยิ่งนัก ทว่าเขากลับเป็นหนึ่งในนั้น

พอคิดถึงวันนั้นที่โดนเขาหลอก นางก็เดือดดาลกว่าเดิม

หลายวันมานี้นางรู้แล้วว่าในใจของคนผู้นี้ไม่ได้รู้สึกละอายต่อสิ่งที่ตัวเองกระทำลงไปแม้แต่น้อย

“ใช่ ข้าคิดเช่นนั้นจริงๆ”

ได้ยินนางตำหนิเขาเช่นนี้ เขากลับยิ้มอย่างไม่ยี่หระ แทะเจินจื่อ อีกผลและพูดอย่างเปิดเผย “แต่เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าถ้าเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าต่อเจ้าหรือข้าล้วนมีประโยชน์? เจ้าบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ อยู่ลำพังคนเดียว เกรงว่าคงเดินทางไปได้ไม่พ้นร้อยลี้ มิสู้ไปเป็นแขกบ้านข้าให้ข้ารักษาเจ้า ถ้ามีคนมารบกวน ยังมีข้าคอยช่วยจัดการให้ด้วย เช่นนี้ไม่ดีหรือ”

หญิงสาวถลึงตาใส่เขาอย่างขุ่นขึ้ง ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรก็ได้ยินเขาหัวเราะพูดต่อว่า

“ใช่แล้ว ลืมตอบคำถามเมื่อครู่นี้ของเจ้า เจ้าของหอหงส์เป็นอาจารย์อาของข้า ข่าวลือในยุทธภพทั้งหมดที่เจ้าได้ยินมาล้วนเป็นความจริง เขาปราบปีศาจได้ ทั้งยังรู้ศาสตร์ฉีเหมินตุ้นจย่า เจนจัดคัมภีร์อี้จิง และปากว้า ข้าก็ได้ศึกษามาเล็กน้อยเช่นกัน ดังนั้นเจ้าตามข้าไปเป็นแขกได้อย่างสบายใจ แม้วิชาข้ายังไม่ลึกล้ำ แต่ให้รับมือกับพวกกระจอกทั้งหลายยังพอได้อยู่”

สิ่งที่ไล่ล่าตามนางหาใช่พวกกระจอก แต่นางไม่โง่ถึงขั้นบอกความจริงกับเขา ตอนนี้คนผู้นี้แค่รู้ว่าเลือดนางดึงดูดมารปีศาจได้ก็คิดจะใช้ประโยชน์จากนางอย่างไร หากเขารู้ความจริงคงไม่หยุดเพียงเท่านี้แน่ เกรงว่าคงใช้ประโยชน์จากนางให้ถึงที่สุด

ดังนั้นนางจึงหยุดคำพูดเสียดสีเอาไว้ ริมฝีปากปิดสนิท ใครจะไปคิดว่าเขายังจะพูดต่อ

“อีกอย่าง เจ้าต่อสู้กับเหล่ามารปีศาจมาตลอดทางเช่นนี้ ทำให้เกิดการเข่นฆ่านองเลือด ระหว่างทางจะต้องมีผู้บริสุทธิ์ตายไปอีกเท่าไร ดังนั้นจะว่าไป เจ้ากลับบ้านกับข้าและไปเป็นแขกที่บ้านข้าย่อมเป็นเรื่องที่ดีต่อเจ้า ดีต่อข้า และดีต่อทุกคนมิใช่หรือ”

คำพูดนี้ทำให้เส้นเลือดเขียวตรงขมับนางนูนขึ้นมา ยังคงอดพ่นวาจาออกมาอีกคำไม่ได้

“ผายลมน่ะสิ!”

นางเพิ่งพูดจบก็ได้ยินเสียงปู้ด เขาผายลมออกมาหน้าตาเฉย

เสียงนี้ดังเกินไป ไม่มีการปิดบังแม้แต่น้อย ชั่วขณะหนึ่งนางยังคิดว่าตัวเองเข้าใจผิด แต่อึดใจต่อมากลิ่นนั้นปะทะใบหน้า ทำให้นางถลึงตาใส่ชายหน้าไม่อายคนนั้นอย่างเหลือเชื่อ ใครจะไปคิดว่าเขายังจะฉีกยิ้มให้นาง

“ก็ผายลมน่ะสิ!” พูดจบเขาก็หัวเราะเบิกบานกว่าเดิม กินองุ่นแห้งต่อพลางยิ้มพูด “ขออภัย ตอนเช้ากินถั่วเยอะไปหน่อย”

นางตื่นตะลึง รีบมุ่นคิ้วกลั้นหายใจ แต่ยังคงอดตำหนิไม่ได้ “เสียดายหน้าตาเจ้าก็ดีอยู่หรอก ไฉนจึงไร้ยางอายเช่นนี้…”

คำตอบของเขาคือเสียงผายลมดังสนั่นอีกครั้ง

“มีวาจาต้องพูด มีลมต้องผาย เป็นคนต้องเช่นนี้ถึงจะมีความสุข”

เขาผายลมเสร็จแล้วยิ้มพูด ทั้งยังนั่งไขว่ห้างร้องเพลงอีกด้วย

ท่าทางไม่อินังขังขอบของเขาตอนนี้กับท่าทางเกรงใจและมีมารยาทที่แสดงต่อหน้าหลงจู๊เมื่อครู่ ช่างแตกต่างกันเหมือนเป็นคนละคน

นางทั้งโกรธทั้งโมโห ด้วยไม่อยากสูดกลิ่นเหม็นจากการผายลมของเขาอีกจึงได้แต่หุบปากกลั้นหายใจ ปล่อยให้ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเอากลิ่นเหม็นที่คลุ้งไปทั่วรถออกไป

 

หลายวันต่อจากนั้นคนแซ่ซ่งพานางมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ไม่เพียงใช้เส้นทางสายหลักเดินทางบนถนนใหญ่อย่างเปิดเผย เวลาผ่านเมืองใหญ่น้อยยังตรงเข้าไปพักในโรงเตี๊ยม

นางใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวนทุกวัน เขากลับไม่ตระหนกและไม่หวาดกลัว

ไม่นานนางก็พบว่าที่เขาไม่กังวลแม้แต่น้อย เป็นเพราะโรงเตี๊ยมและร้านค้าเหล่านั้นล้วนเป็นกิจการของหอหงส์ในเจียงหนาน

แม้นางจะไม่เคยพบเจอเจ้าของหอหงส์มาก่อน แต่ถึงอย่างไรนางก็มีกิจการอยู่ในเจียงหนาน แม้ส่วนใหญ่ล้วนมอบหมายให้ผู้ดูแลเป็นคนจัดการ แต่นางเคยได้ยินมาจริงๆ ว่าเจ้าของหอผู้นั้นหาใช่คนธรรมดา เขาปราบปีศาจได้ พอมีวิชาอยู่บ้าง แต่บางครั้งข่าวลือก็เป็นเพียงข่าวลือ ทว่าบัดนี้ดูแล้วเจ้าของหอหงส์ผู้นั้นมีความสามารถอยู่จริงๆ

ตลอดทางที่ผ่านมาโรงเตี๊ยมที่สองคนเข้าพักไม่เพียงมีการคำนวณฮวงจุ้ยและตำแหน่งทิศทางมาแล้ว ทั้งในและนอกห้องยังมีวัตถุปราบมารป้องกันสิ่งชั่วร้ายนานาชนิด ดังนั้นจึงไม่มีมารปีศาจที่ใดมารบกวนนางอีกเลยจริงๆ

นางรู้ว่าการที่เขาเอาเสื้อผ้าเปื้อนเลือดของนางไปเผาไกลถึงร้อยลี้ก็ได้ผลเช่นกัน

เจ้าของหอหงส์ที่กว้างขวางผู้นั้นเป็นอาจารย์อาของเขา อำนวยความสะดวกให้เขาได้มากจริงๆ

บางครั้งเขายังมาไม่ถึงด้วยซ้ำ ก็มีคนรอต้อนรับอยู่นอกเมืองแล้ว ไม่ว่าเรื่องใหญ่น้อยอะไรล้วนมีคนจัดการเตรียมพร้อมให้เขาทั้งหมด ทุกครั้งเมื่อขึ้นไปบนรถอีกครั้ง น้ำดื่ม ขนมเปี๊ยะ ขนมหวาน ของกินเล่นไม่ขาดไปสักอย่าง แม้แต่เสื้อผ้าและถุงเท้ารองเท้าที่สกปรกยังมีคนนำไปซักและเปลี่ยนเอาของใหม่มาให้

คนพวกนั้นแต่ละคนเคารพนบนอบเขา มักจะทำหน้าเลื่อมใสศรัทธาเขาราวกับเขาเป็นเทพมาจากที่ใด ที่ทำให้นางรับไม่ได้มากที่สุดคือทุกคนล้วนชอบเขาอย่างจริงจังและจริงใจ อีกทั้งยังเคารพนับถือคุณชายสกุลซ่งผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง

พวกเขาเรียกเขาว่าคุณชายซ่ง จอมยุทธ์ซ่ง บ้างก็เรียกเขาว่าท่านหมอซ่ง

ยามอยู่ต่อหน้าคนอื่นเขามักจะทำท่าเกรงใจมีมารยาท สุภาพอ่อนโยน แต่ทุกครั้งเวลาเขาอุ้มนางเข้าออก นางมักได้ยินความคิดในใจของเขาอย่างชัดเจน

เวลาผู้คนพูดกับเขา แม้ปากเขาจะรับคำ แต่ในใจกลับไม่ได้ฟังเลยสักนิด เรื่องที่คิดไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุยอยู่แม้แต่น้อย โดยทั่วไปมักจะคิดว่าประเดี๋ยวจะได้กินของขึ้นชื่ออะไรของที่นี่ แต่เนื่องจากเขามีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย เบื้องหลังยังมีคนคอยสนับสนุน ไม่ว่าเรื่องใดแค่ยิ้มน้อยๆ ก็สามารถจัดการได้ทั้งหมด คนพวกนั้นไม่ถือสาจริงๆ ที่เขาไร้มารยาทเช่นนี้

พักผ่อนอยู่หลายวันอาการของนางก็ดีขึ้น เดิมทีคิดว่าตอนเข้าพักโรงเตี๊ยมจะฉวยโอกาสหลอกล่อคนให้ช่วยพานางหนีได้ มนุษย์โลภมากและโง่มาก นางรู้ว่าจะโน้มน้าวให้ผู้คนทำในสิ่งที่ตนต้องการอย่างไร

ใครจะไปรู้ว่านับแต่วันนั้นเป็นต้นมา คนแซ่ซ่งจะไม่ปล่อยให้นางคลาดสายตาอีกเลย

เวลามีคนอยู่ เขาจะใช้เข็มเงินควบคุมนางไว้ ใช้หมวกพรางหน้าปิดคลุมศีรษะและใบหน้านาง ทำให้ผู้คนคิดว่านางป่วยหนักและสลบไสลไม่ได้สติ

ที่ทำให้นางหงุดหงิดและโมโหคือตลอดการเดินทางไม่เคยมีใครสงสัยสักนิด

สองคนเป็นบุรุษสตรีแต่กลับอยู่ในรถคันเดียวกัน นอนเตียงเดียวกัน กลับไม่เคยมีใครถามเขาว่านางเป็นใคร มาจากที่ใด

คนของหอหงส์เหล่านี้ล้วนคิดว่าเขาเป็นคนดีที่หาไม่ได้อีกแล้วในโลก เป็นพระโพธิสัตว์บนโลกมนุษย์ที่ร้อยปีจะพบเจอสักครั้ง ปักใจเชื่อว่าที่นางอยู่บนรถเขาแสดงว่าต้องการความช่วยเหลือจากเขาแน่นอน ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะลักพาตัวหญิงสาวคนหนึ่ง

เกรงว่าต่อให้เขาผายลมต่อหน้าคนพวกนี้ พวกเขาก็ยังชมว่ามีกลิ่นหอม

 

สิบวันผ่านไป คนผู้นี้เดินทางอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ลักพาตัวนางเดินทางผ่านพื้นที่กว่าครึ่งของเจียงหนาน จวบจนยามสนธยาของวันหนึ่งนางได้ยินเสียงคลื่นจึงมองออกไปข้างนอก เห็นผืนน้ำกว้างใหญ่ไพศาลแล้วจึงตระหนักว่าตนถูกเขาพามาถึงทะเลสาบต้งถิง

สองวันก่อนตอนผ่านถนนสายหลักที่มุ่งสู่เมืองเยวี่ยโจว นางคิดว่าเขาจะเข้าเมือง นางเคยคิดอย่างจริงจังว่าจะตะโกนขอความช่วยเหลือบนทางสายหลักที่มีผู้คนสัญจรไปมา แต่ครั้งก่อนตอนนางทำเช่นนั้นก็ถูกเขาผนึกเสียงนางไว้สามวันอย่างไม่เกรงใจ

แต่นั่นคือเมืองเยวี่ยโจวที่มีผู้ว่าการประจำการอยู่เชียวนะ หาใช่เมืองเล็กๆ ท่ามกลางฝูงชนมากมายเช่นนี้จะต้องมียอดฝีมือในยุทธภพหรือทหารของทางการที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอยู่บ้างสิ ถึงอย่างไรนางก็ต้องลองดู แต่เขาไม่ได้เข้าเมือง กลับหักเลี้ยวมุ่งหน้าลงใต้ไปตามเส้นทางริมทะเลสาบต้งถิง

น่าโมโหนัก!

นางลอบสบถในใจ ทว่าไม่ได้ละความพยายามเพราะเหตุนี้ แต่เส้นทางนี้ไม่ใช่ทางหลัก แน่นอนว่าคนย่อมน้อยลงเรื่อยๆ

ลาลากรถไปอย่างยอมรับชะตากรรม ก้าวเท้าเดินต่อไป

ดวงอาทิตย์ยามสายัณห์จมลงไปในทะเลสาบ จันทร์กระจ่างลอยพ้นภูเขา จากนั้นตกลงบนผิวทะเลสาบช้าๆ

ขณะที่นางคิดว่าบุรุษข้างหน้าตายไปแล้วถึงไม่ยอมหยุดรถเสียที เขาก็รั้งเชือกบังเหียนในที่สุด สั่งให้ลาหยุดเดิน

ชายหนุ่มหันกลับมาเลิกม่านประตู นางหลับตาแกล้งนอนอย่างรวดเร็ว อยากฉวยโอกาสตอนเขาไม่ระวังหลบหนี ทว่าชั่วอึดใจต่อมาความเย็นพลันจู่โจมเข้ามา เขาใช้ผ้าห่มสักหลาดห่อตัวนางและอุ้มนางออกจากรถ

ข้างนอกมืดสนิท นางขยับตัวไม่ได้ ตอนแอบลืมตาสำรวจดูเห็นเพียงจันทร์กระจ่างที่มองเห็นจากหน้าต่างรถก่อนหน้านี้ถูกหมอกสีขาวบดบังไปแล้ว รอบด้านเต็มไปด้วยหมอก มองไม่เห็นแสงไฟ ทว่ายังคงได้ยินเสียงน้ำไหล

เขาอุ้มนางมุ่งหน้าไปยังเสียงคลื่น นางมองเห็นไม่ชัด แม้จะอุ้มนางอยู่ แต่เวลาเขาเดินยังคงเงียบกริบไร้เสียง จากนั้นอึดใจต่อมาเขาก็ทรุดลงไปทั้งตัว โคลงเล็กน้อย ทำเอานางสะดุ้ง รู้สึกลนลาน

หลังจากนั้นเมื่อเขาวางนางลง นางจึงพบว่าตัวเองอยู่ในเรือเล็กลำหนึ่ง

เรือโคลงไปมาในน้ำ ทำให้นางว้าวุ่นใจกว่าเดิม

เขาหยิบไม้ถ่อที่อยู่ท้ายเรือขึ้นมา ดันไม้พาให้เรือลำน้อยออกจากฝั่ง

นางแหงนหน้ามองเขา แต่ท่ามกลางสายหมอกตอนกลางคืน แม้แต่ใบหน้าเขานางยังเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำ

เสียงน้ำไหลผ่านข้างกายไปอย่างแผ่วเบา

คนแซ่ซ่งถ่อเรืออย่างสบายอารมณ์ ปล่อยให้เรือลำน้อยล่องไปบนทะเลสาบ หมอกสีขาวรอบด้านทำให้นางแยกแยะทิศทางไม่ได้ แต่เห็นได้ชัดว่านั่นไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาเลย

เวลาและมิติเหมือนหยุดชะงักอยู่ตรงนี้ ทำให้นางอดกลั้นหายใจไม่ได้

บทที่ 6

น่าโมโหนัก! ให้ตาย!

หญิงสาวตระหนักได้ถึงความผิดปกติ ไม่ต้องดูนางก็รู้สึกได้ว่าตัวเองเข้ามาในค่ายกล ค่ายกลลวงวิญญาณเช่นนี้นางก็เคยเรียนรู้มาก่อน แต่ค่ายกลในโลกนี้มีมากมายเพียงใด สามารถเปลี่ยนแปลงได้เป็นพันเป็นหมื่นรูปแบบ หากไม่ได้คนสร้างค่ายกลเป็นคนนำทาง คนนอกย่อมยากที่จะออกมาได้

หลังผ่านช่วงเวลาครู่หนึ่งที่ชวนให้คนประหม่าและไม่สบายตัว เรือพลันกระทบฝั่ง

ซ่งอิ้งเทียนวางไม้ถ่อ ผูกเรือให้เรียบร้อย ก่อนจะก้มตัวลงอุ้มนางขึ้นมา ก้าวขึ้นไปบนท่าเรือเรียบง่ายที่สร้างจากไม้

ใกล้เกินไป นางรู้ว่าที่นี่ต้องไม่ใช่ฝั่งตรงข้ามของทะเลสาบต้งถิงแน่ ตอนเขาอุ้มนางหันหลัง นางพบว่าหมอกพวกนั้นไม่จางไป ยังคงอยู่ตลอด โอบล้อมสถานที่แห่งนี้ไว้ ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะสบถด่าในใจ

ชายผู้นี้อุ้มนางเดินผ่านท่าเรือ ตัดป่าทึบไป

พอขึ้นฝั่งแล้วหมอกจึงค่อยๆ สลายไป หลังจากนั้นเขาก็อุ้มนางเดินฝ่าหมอกขาวไปกะทันหัน

ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับอยู่เหนือศีรษะ นางได้กลิ่นหอมของไผ่เขียว ได้กลิ่นของป่าไม้ พอย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ปลิดปลิว ทุกครั้งที่เขาก้าวเดินนางล้วนได้ยินเสียงใบไม้ร่วงถูกเหยียบดังกรอบแกรบ

ทันใดนั้นทางข้างหน้าพลันเปิดโล่ง เรือนที่สร้างจากไม้ตั้งอยู่ใจกลางผืนหญ้าอันกว้างขวาง

เรือนหลังนั้นไม่มีกำแพงแบ่งระหว่างชั้นนอกกับชั้นใน มีเพียงตัวเรือนตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น

ประตูแม้จะทำจากแผ่นไม้ แต่หน้าต่างกลับปิดกระดาษไว้เท่านั้น นอกประตูยังมีชานไม้ไว้สำหรับให้คนนั่งพักผ่อนด้วย

คนทั่วไปไม่สร้างบ้านเช่นนี้ รูปแบบของเรือนหลังนี้เหมือนการเชื้อเชิญโจรผู้ร้ายให้เข้ามากวาดทรัพย์สินไปให้หมด

ทั้งหมดนี้รังแต่จะทำให้นางมั่นใจยิ่งกว่าเดิมว่าตัวเองถูกพาเข้ามาในค่ายกลแห่งหนึ่ง

เรือนหลังนี้ไม่มีกำแพง นั่นเป็นเพราะมันไม่จำเป็น

นางไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของคน แต่ใต้ชายคานอกประตูมีคนแขวนตะเกียงน้ำมันไว้ดวงหนึ่ง ตะเกียงดวงนั้นไม่รู้ใครจุดไว้ กระจายแสงสว่างอบอุ่นออกมา

เรือนที่ยกสูงช่วยกันความชื้นจากพื้นดิน จะขึ้นไปบนชานเรือนหรือเปิดประตูยังต้องก้าวขึ้นบันไดไม้อีกหลายก้าว

เขาก้าวขึ้นบันไดและเปิดประตูเข้าไปข้างใน

ภายในห้องไม่ได้จุดไฟไว้ เขาวางนางลงบนเสื่อกก จากนั้นหยิบกลักจุดไฟออกมาจุดตะเกียงให้สว่าง

นางแกล้งหลับต่อไป นอนนิ่งบนฟูกนุ่มที่ปูอยู่บนเสื่อกกโดยไม่ขยับ

ห้องนี้กว้างขวางมาก ทว่าการตกแต่งกลับเรียบง่ายยิ่ง

กลางห้องมีโต๊ะเตี้ยทรงสี่เหลี่ยมหนึ่งตัว บนโต๊ะมีกาเหล็กกับถ้วยดินเผาวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ ฝั่งนี้ของโต๊ะเป็นเสื่อกกที่นางนอนอยู่ อีกฝั่งหนึ่งมีประตูไม้บานเลื่อนที่เปิดอยู่ หลังประตูเป็นห้องครัวที่มีเตาไฟ บริเวณนั้นค่อนข้างเตี้ย ไม่ได้ยกสูง ในนั้นนอกจากเตาขนาดใหญ่ ตู้กับข้าว และตุ่มน้ำแล้ว ยังมีตู้ยาใบหนึ่งที่เห็นได้เฉพาะในโรงยาเท่านั้น

ที่นี่แม้จะไม่มีคน แต่กลับได้รับการดูแลอย่างเป็นระเบียบและสะอาดสะอ้าน ไม่มีฝุ่นจับแม้แต่นิดเดียว

คนแซ่ซ่งหยิบแท่นวางโคมไฟและเดินกลับมาข้างกายนาง ทำเหมือนหลายคืนก่อนหน้านี้ อาศัยแสงไฟถอนเข็มเงินหลายเล่มออกมาจากจุดชีพจรของนาง

นางไม่ได้กระโดดผลุงขึ้นมาจู่โจมเขาทันที เพียงบังคับให้ตัวเองนอนต่อ หลับตาปล่อยให้เขาถอดเสื้อผ้า

นางรู้ว่าคนผู้นี้กำลังทำอะไรและจะทำอะไร หลายคืนมานี้เขาล้วนเปลื้องเสื้อผ้านางออกเช่นนี้ ตรวจดูร่างกายของนาง ตรวจดูบาดแผลของนาง เพื่อไม่ให้นางมีแรงหนีไปอีก เขาไม่ได้มอบยาและการรักษาที่ไม่จำเป็นให้นาง

เวลาผ่านไปสิบกว่าวัน จนยี่สิบวัน บาดแผลบนร่างกายนางค่อยๆ หายดี มือขวาที่ถูกกัดขาดมีฝ่ามือกับนิ้วมืองอกออกมาใหม่ เหลือเพียงนิ้วก้อยที่ยังไม่สมบูรณ์ เจ้าสารเลวผู้นี้สำรวจนางอย่างละเอียดเช่นนี้ทุกวัน ทำให้นางอยากปิดบังก็มิอาจทำได้

เขาตระหนักตั้งนานแล้ว รู้ว่านางจะหายดี หายได้ด้วยตัวเอง

เพื่อไม่ให้นางมีแรงหนี หลายวันมานี้เขาจึงไม่ให้นางกินยาอีก ให้แต่อาหารที่จำเป็นเท่านั้น จากนั้นสังเกตและบันทึกการฟื้นฟูของบาดแผล จดลงไปอย่างละเอียด

นี่เป็นอีกเรื่องที่ทำให้นางโกรธแค้นและเดือดดาลกว่าเดิม

หญิงสาวฝืนข่มความรู้สึกอยากจะควักลูกตาเขาออกและนอนต่อ รอให้เขาตรวจดูบาดแผลของนางเสร็จ หยิบพู่กันมาจดบันทึก หาช่วงจังหวะที่เขาคลายความระแวดระวัง

หลังผ่านบทเรียนก่อนหน้านี้มา นางรู้ว่าชายผู้นี้หาได้ไร้พิษภัยเหมือนที่แสดงออกภายนอก คืนนั้นที่เขาใช้กระบี่โจมตีปีศาจงูที่โผล่ออกมาจากน้ำจนถอยไปก็ไม่ใช่ความบังเอิญ วรยุทธ์ของเขาดีมาก เป็นยอดฝีมือที่ไม่เปิดเผยความสามารถ หากนางคิดจะเป็นฝ่ายควบคุมเขา ต้องฉวยโอกาสตอนเขาเผลอ ดังนั้นสองวันนี้นางจึงสงบเสงี่ยมมาก มักแสร้งทำเป็นอ่อนเพลียและหลับสนิท

เป็นเช่นที่นางคาดเดา เขาเปลื้องเสื้อผ้านางแล้วสำรวจบาดแผลใหญ่น้อยของนางใต้แสงไฟ ตรวจวินิจฉัยและจับชีพจรให้นาง แต่ที่นางคิดไม่ถึงคือวันนี้หลังจากตรวจดูบาดแผลของนางแล้ว เขาไม่ได้หันไปหยิบพู่กัน แต่กลับหยิบยาสมุนไพรหลายอย่างออกมาจากตู้ยา เริ่มหั่นยาบนโต๊ะเตี้ย หยิบเตาดินเผาสีแดงใบเล็กออกมาจุดไฟ ใส่ยาที่หั่นแล้วลงไปในกาเหล็ก วางลงบนเตาดินเผาสีแดงและต้มยา

หลังจากนั้นเขาก็ยื่นมือมาทาบหน้าอกนาง

ขณะสงสัยว่าเขาทำอะไร ทันใดนั้นนางพลันรู้สึกถึงไอร้อนขุมหนึ่งที่แผ่มาจากฝ่ามือเขา

ชั่วขณะหนึ่งนางยังคิดว่าเขาจะทำร้ายนาง กำลังจะลุกขึ้นโจมตี แต่ต่อมานางกลับพบว่าไอร้อนขุมนั้นแผ่มาจากหัวใจ กระจายไปทั่วแขนขาทั้งสี่ของตนอย่างรวดเร็ว

เขากำลังถ่ายพลังให้นาง

ไอร้อนขุมนั้นถูกส่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายที่เดิมทีเย็นเฉียบอบอุ่นขึ้น

ทำอะไรของเขา

นางอึ้งไป ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะถ่ายพลังของตัวเองให้นาง ที่ทำให้นางตกตะลึงยิ่งกว่าคือพลังในร่างกายเขาเปี่ยมล้นถึงเพียงนี้ เหมือนกระแสน้ำในแม่น้ำและท้องทะเล

ไอเย็นในร่างกายถูกเขาขับออกไปในชั่วพริบตา แม้แต่นิ้วมือที่เย็นเป็นน้ำแข็งยังอุ่นร้อน

นางตกใจระคนสงสัย ไม่รู้ว่าคนผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่

เวลานี้เองเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก ซ่งอิ้งเทียนได้ยินจึงเก็บพลังช้าๆ

ผู้มาเดินมาถึงหน้าประตูและเคาะประตู ซ่งอิ้งเทียนเอาผ้าห่มผ้าไหมคลุมร่างนางไว้ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู

พอเขาจากไป นางก็ผุดลุกขึ้นจากฟูกนุ่มทันที

ร่างกายที่เดิมทียังอ่อนแอ เนื่องจากเขาถ่ายพลังมาให้จึงไม่อ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงอีก แต่ช่วงแรกยังคงรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย นางไม่มีเวลาคิดมาก รู้ว่าโอกาสผ่านไปแล้วย่อมไม่ย้อนกลับมาอีก คนที่อยู่นอกประตูเป็นสตรีผู้หนึ่ง นางได้ยินเขาพูดคุยกับอีกฝ่าย จึงคว้ามีดทำครัวที่เขาใช้หั่นยาและทิ้งไว้บนโต๊ะเตี้ยก่อนจะพุ่งออกไป

เขาหันหลังให้ นางเงื้อมีดขึ้นและฟันไปที่หลังเขาอย่างแรง แต่ชายผู้นี้เหมือนมีตาหลัง แทบจะในเวลาเดียวกับที่นางฟันลงมาเขาก็เบี่ยงตัวหลบ

นางไม่พยายามจะโจมตีเขาอีก ฉวยโอกาสนี้พุ่งผ่านข้างกายเขาไป จับตัวหญิงที่อยู่นอกประตูไว้แล้วลากตัวไปยังพื้นหญ้าหน้าบันได สร้างระยะห่างที่ปลอดภัยกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตู

จังหวะที่สัมผัสร่างกายของหญิงผู้นี้ นางก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่รู้วรยุทธ์ นางพาดมีดทำครัวลงบนลำคอเพรียวบางงดงาม จับอีกฝ่ายให้หมุนตัว ก่อนจะถลึงตาใส่คนสารเลวที่ยังคงยืนอยู่บนชานเรือนพลางขู่เสียงเย็น

“อย่าขยับ ถ้าเจ้ากล้าขยับ ข้าจะฆ่านางเสีย”

คำพูดนี้ทำให้เขาชะงักเท้าและจ้องมองนาง

“เจ้าคิดจะทำอะไร”

“ข้าจะออกไป” นางจ้องเขาอย่างขุ่นขึ้ง พยายามตวาดเสียงเย็นแต่ยังคงหอบเล็กน้อย “ปล่อยข้าออกไป”

สารเลวแซ่ซ่งผู้นั้นมองนางจากที่สูง นางยังคิดว่าเขากำลังพิจารณา คิดไม่ถึงว่าอึดใจต่อมากลับได้ยินเขาตอบว่า

“ไม่ได้”

ชั่วขณะนั้นนางเดือดดาลกว่าเดิม หางตากระตุกเล็กน้อย กดใบมีดสีเงินวาววับลงบนคอของหญิงสาวข้างหน้า

“เจ้าไม่กลัวข้าจะฆ่านางหรือ”

เขาชำเลืองมองหญิงสาวที่ถูกจับเป็นตัวประกัน จากนั้นมองนางแล้วกระดกมุมปาก รอยยิ้มเต็มหน้า ตอบอย่างจริงจัง

“ไม่ เทียบกับไป๋ลู่แล้ว เจ้าน่าสนใจกว่ามากนัก”

คนผู้นี้ช่างน่าโมโหจริงๆ!

ที่ทำให้นางโมโหยิ่งกว่าคือตนสามารถรับรู้ถึงความคิดและความรู้สึกในใจของหญิงสาวที่นางจับเป็นตัวประกันได้อย่างชัดเจน

หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าไป๋ลู่ผู้นี้ได้ยินเขาพูดเช่นนั้นแล้วกลับไม่โกรธ ไม่เกลียด ถึงขั้นไม่โมโหเจ้าคนที่ไร้คุณธรรมผู้นี้เลยแม้แต่น้อย นางเชื่อมั่นในตัวบุรุษตรงหน้าโดยสมบูรณ์ ต่อให้ตายก็ยินดี

ตายก็ยินดี?!

นี่มันความคิดอะไร นี่มันบ้าอะไรกัน?!

ไฟกองหนึ่งลุกโหมในใจชั่วพริบตา

ในเมื่ออยากตาย ข้าจะสงเคราะห์เจ้า!

นางทำใจให้เด็ดเดี่ยว เงื้อมีดขึ้นทำท่าจะแทงลงไปบนหน้าอกของหญิงโง่ผู้นี้อย่างแรง…

คิดไม่ถึงว่าพอเงื้อมือและแทงลงไปจะมีคนกระโจนเข้ามาจากข้างหลังกะทันหัน คว้ามือที่กำมีดของนางและแย่งมีดไป นางถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งอับอายและโมโห หันไปคำรามพลางกระโจนเข้าใส่เจ้าคนที่ลอบโจมตี ทว่าชายผู้นั้นหลบการโจมตีของนางได้ สะบัดนางจนลอยไปกลางอากาศ แทบจะในเวลาเดียวกันนางเห็นซ่งอิ้งเทียนใช้เท้าสะกิดพื้น พุ่งตรงเข้ามาทางนี้

นางตื่นตระหนก แต่สารเลวที่ลอบโจมตียังคงจับมือนางไว้ นางบิดตัวกลางอากาศ ยกเท้าขึ้นถีบไปที่หน้าอกของคนผู้นั้น

ชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบแต่ยังคงไม่ยอมปล่อยมือ คนแซ่ซ่งปราดมาถึงตรงหน้าแล้ว ขณะที่นางคิดว่าสองคนนี้จะร่วมมือกันจัดการนาง ซ่งอิ้งเทียนกลับส่งพลังขุมหนึ่งออกไปโจมตีข้อมือข้างที่ถือมีดของชายผู้นั้น บีบให้อีกฝ่ายปล่อยมีด เจ้าคนผู้นั้นคลายมือ ประมือกับเขาหลายกระบวนท่าอย่างรวดเร็ว ชายผู้นั้นไม่ยอมปล่อยนาง รับมือกับซ่งอิ้งเทียนด้วยมือข้างเดียว นั่นทำให้ซ่งอิ้งเทียนที่สองมือว่างเปล่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ ซัดฝ่ามือออกไป

ชายหนุ่มถอยไปก้าวหนึ่งอย่างเร็วรี่ ดึงระยะห่าง โคจรพลังและปะทะฝ่ามือกับคนแซ่ซ่ง

เกิดเสียงดังสนั่น ทันใดนั้นฝุ่นพลันฟุ้งกระจายไปทั่ว

นางไม่เหลือบแลสองคนนั้นอีก เห็นเพียงมีดทำครัวเล่มนั้นหลุดจากมือเขาหล่นกระแทกพื้น จึงยื่นมือไปเก็บแล้วหันกลับมาฟันไปที่คอของสารเลวที่จับนางไม่ปล่อย

“อย่า…”

ไป๋ลู่กรีดร้องออกมา พุ่งเข้ามารับมีดแทนชายหนุ่ม

อารมณ์หวาดหวั่นตื่นกลัวขุมหนึ่งพุ่งมาจากมือ จู่โจมเข้าสู่หัวใจ นั่นไม่ใช่ความตื่นกลัวของนาง แต่เป็นของชายผู้นั้น เขารู้สึกหวาดกลัวเพราะหญิงสาวพยายามจะรับมีดแทนเขา ชั่วขณะนั้นนางรู้ว่าชายผู้นี้มีใจให้หญิงโง่ผู้นี้ จึงฟันมีดลงไปอย่างแรงและเร็วยิ่งขึ้น ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ทำเหมือนที่นางคาดเดา ปล่อยมือนางและโอบกอดหญิงสาวไว้ ขณะเดียวกันก็ยกเท้าขึ้นถีบอกนางอย่างแรง

นางมองเห็นความคิดที่เปลี่ยนแปลงของเขา รู้ว่าเขาจะถีบตนแต่ยังคงหลบไม่ทัน ถูกเขาถีบอย่างจังจนลอยหวือลงไปกระแทกพื้นหญ้าอย่างแรง

ความเจ็บปวดระเบิดออกมาจากทรวงอก เลือดทะลักออกมาจากปากทันที

ไม่ต้องตรวจดูก็รู้ว่ากระดูกซี่โครงของตนหักอีกแล้ว ทว่านางยังคงฝืนข่มความเจ็บคลานขึ้นมา พยายามฉวยโอกาสนี้หลบหนี แต่เจ้าคนที่ไม่รู้โผล่มาจากที่ใดปราดมาถึงในชั่วพริบตา นางเงื้อมีดฟันไปที่เขาอีกครั้ง จังหวะนี้กลับถูกเขาแย่งมีดไปจากมือ ครานี้เขาไม่เกรงใจอีก บิดตัวนางอย่างแรงและกดลงบนพื้น ใช้หัวเข่ากดหลังนางไว้ ทำให้นางคิดจะลุกขึ้นหรือตอบโต้ล้วนเป็นไปได้ยาก

เจ้าคนผู้นี้เป็นสารเลวจากที่ใดกันแน่?!

หญิงสาวโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก อึดใจต่อมาก็ได้ยินเขาประกาศเสียงดังทั้งที่ยังกดหลังนางอยู่

“มือปราบแห่งกรมอาญากำลังสืบสวนคดี ทุกคนหยุดอยู่กับที่อย่าขยับ หาไม่อย่าโทษว่าข้าสังหารไม่เว้น!”

 

หญิงสาวค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาท่ามกลางแสงไฟอบอุ่น

ไอร้อนไหลเวียนอยู่ในร่างกายช่วยบรรเทาความเจ็บปวด นางเห็นขื่อไม้บนหลังคาก่อน จากนั้นจึงเห็นชายผู้นั้น

“ตื่นแล้วหรือ”

แสงไฟอบอุ่นส่องใบหน้าหล่อเหลาของเขา ฝ่ามือร้อนระอุวางอยู่บนหน้าอกนางถ่ายพลังมาให้

ความทรงจำเอ่อเข้ามาอย่างเชื่องช้า นางจำได้ว่าตัวเองหมดสติไป เพราะชายผู้นี้ปักเข็มลงบนจุดชีพจรหลังคอนางอีกครั้งหลังจากชายหนุ่มที่เรียกตัวเองว่ามือปราบปล่อยตัวนาง

โทสะพุ่งขึ้นมาทันใด นางยกมือขึ้นปัดมือขวาของเขาออก ใช้เล็บข่วนหน้าเขาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า

มือขวาของเขาวาดวงกลมทำลายการโจมตีของนางได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังเป็นฝ่ายคว้าข้อมือซ้ายของนางไว้ แต่กลับไม่ลืมมือขวาของนาง มือซ้ายของเขาคว้าจับนิ้วมือขวาของนางที่จิ้มมาที่สองตา จากนั้นออกแรงดึงมือสองข้างของนางให้ห่างออกไป

หญิงสาวไม่ประลองกำลังกับเขา ไม่ถอยแต่กลับรุก อ้าปากกัดไปที่ชีพจรหลักบนคอเขาอย่างแรง

ซ่งอิ้งเทียนปล่อยมือ ก้าวไปด้านข้างหนึ่งก้าว เบี่ยงหลบการโจมตีของนาง แต่มือใหญ่กลับไม่ลืมโอบเอวนางไว้ พริบตาเดียวก็มาอยู่ข้างหลังนาง

ชายผู้นี้เคลื่อนไหวรวดเร็วปานนี้ทำให้นางตระหนก นางคว้ามือใหญ่ของเขาที่วางอยู่บนเอว จังหวะที่เขาหดมือนางก็หันกลับไปและใช้เท้าเปล่าถีบไปที่อกเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะเบี่ยงตัวหลบได้อีกครั้ง ทั้งยังยื่นมือมาคว้าข้อเท้านาง จากนั้นหมุนตัวรอบหนึ่งสลายแรงถีบของนาง

นางยื่นมือออกไปอีกครั้งด้วยความเดือดดาล ครานี้กรงเล็บยื่นออกมา ซ่งอิ้งเทียนกระถดถอยหลัง แต่เล็บของนางยืดได้ จังหวะที่เล็บอยู่ห่างอีกเพียงชุ่น* เดียวก็จะจิ้มลูกตาเขาได้ ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงพลันแผ่มาจากลำคอ ลามไปยังหน้าอก พุ่งขึ้นไปถึงสมอง

ความเจ็บปวดจู่โจมเข้ามาอย่างฉับพลันถึงเพียงนั้น รุนแรงถึงเพียงนั้น นางร้องออกมา เก็บมือที่โจมตีเขา ก่อนจะคลำไปที่ลำคอของตัวเอง พยายามขจัดต้นตอของความเจ็บปวด

อะไรกัน! เกิดอะไรขึ้น

“นี่คือ…อะไร เจ้าสวมอะไร…ไว้ที่คอข้า”

หญิงสาวคลำเจอของที่ทำร้ายตนอยู่บนลำคอ แต่ของสิ่งนั้นกลับร้อนลวกมือนาง นางพยายามกัดฟันอดทนกับความเจ็บถอดมันออกมาทว่ามิอาจทำได้ มันทำร้ายนาง แผดเผาผิวกายนาง คำสาปโลหิตในร่างกายตอบสนองกับบาดแผล พยายามฟื้นฟูร่างกายนาง แต่เจ้าสิ่งที่ทำร้ายนางกลับแข็งแกร่งกว่าเดิม แผ่อุณหภูมิที่สูงกว่าเดิมมาแผดเผานาง พลังสองขุมต่อสู้กันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำเอานางเจ็บจนน้ำตาไหลพราก ขดตัวอยู่บนพื้น ได้แต่กัดฟันตัวสั่นระริก แต่นางไม่ยอมแพ้ ยังคงกำมันไว้แน่น พยายามถอดมันออก

หลังจากนั้นคนแซ่ซ่งก็โน้มตัวลงมา ใช้นัยน์ตาดำสนิทไร้ความปรานีคู่นั้นมองนางและเอ่ยปาก

“เจ้าไม่มีทางชนะหรอก หยุดใช้ศาสตร์มืดต่อต้านมันเถอะ แล้วสร้อยประคำเส้นนี้จะไม่ทำร้ายเจ้า”

“คนสารเลว…” หญิงสาวคำรามใส่เขา พยายามยื่นมือไปหาเขาอีกครั้ง แต่เพิ่งคิดจะยืดเล็บออกไปประคำบนคอก็ส่งความเจ็บปวดที่น่ากลัวยิ่งกว่าออกมา แผดเผาและทิ่มแทงนาง ทำให้นางหดมือกลับมาอย่างสั่นเทาอีกครั้ง

“ประคำปราบมารเป็นประคำที่อาจารย์ปู่ของข้าทำขึ้นเพื่อล่าปีศาจปราบมาร” เขาหลุบตามองนาง “เดิมทีข้าไม่อยากใช้มัน แต่เจ้าจับตัวไป๋ลู่ไว้ ทั้งยังทำร้ายนาง คนที่พาเจ้ากลับมาคือข้า หากข้าปล่อยให้เจ้าเที่ยวทำร้ายคนอื่น นั่นย่อมเป็นความผิดของข้า ประคำปราบมารจะตอบสนองต่อศาสตร์มืดเท่านั้น เจ้าจะดิ้นรนต่อสู้ด้วยศาสตร์มืดต่อไปก็ได้ หรือจะหยุดต่อต้านมันก็ได้เช่นกัน”

นางใช้เล็บที่ยื่นยาวกำประคำที่แผดเผานางไม่หยุดไว้แน่น ใช้นัยน์ตาแดงก่ำที่เต็มไปด้วยน้ำตาสีเลือดจ้องมองเขาอย่างโกรธเกรี้ยว

น้ำตาร้อนผ่าวกลิ้งลงมาจากดวงตาอย่างมิอาจควบคุมอีกครั้ง

ซ่งอิ้งเทียนไม่หลบสายตาที่จ้องมาอย่างเจ็บปวดเคียดแค้น เอาแต่มองนางตาไม่กะพริบ

“บนเกาะแห่งนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ศาสตร์มืดใดๆ ทั้งนั้น วิชามารเหล่านั้นล้วนมีค่าตอบแทน มันให้เจ้ามากเท่าไร ก็ต้องให้เจ้าคืนกลับไปมากเท่านั้น เจ้าน่าจะรู้ดียิ่งกว่าข้า ทุกครั้งที่ใช้มัน มันจะกลืนกินเจ้าจากส่วนลึกในร่างกาย”

“ใครใช้ให้เจ้ามายุ่ง…” นางถลึงตาใส่เขาอย่างขุ่นขึ้ง กัดฟันตัวสั่นไม่หยุดขณะเอ่ยว่า “ข้ายินดี…”

เขาได้ยินดังนั้นก็ยกมุมปากขึ้น

“นั่นสิ แต่ในเมื่อเจ้าตกอยู่ในกำมือข้าแล้ว หากข้าเป็นเจ้า ย่อมเลือกที่จะควบคุมตัวเองก่อน” เขามองหญิงสาวตรงหน้าที่ทุกข์ทรมานไม่หยุด ยิ้มน้อยๆ “หากจะตาย สหายตายข้าต้องไม่ตาย หากจะเจ็บ ศัตรูเจ็บแต่ข้าต้องไม่เจ็บ ปล่อยให้ตัวต้นเหตุอย่างข้าเฝ้าดูความสนุกอยู่ข้างๆ เช่นนี้คุ้มแล้วหรือ”

นางเดือดดาลกว่าเดิม ยืดกรงเล็บออกไป คุกเข่าลงกับพื้น ทำให้เส้นผมสีดำบนศีรษะชี้ขึ้นเหมือนเขี้ยวงูและกระโจนใส่เขา

นี่เป็นวิชามารในตำรามนตร์ดำของมารปีศาจ

นางจงใจที่จะใช้สิ่งนี้ ยิ่งเขาไม่ให้นางใช้ นางยิ่งจะใช้ให้เขาเห็น

ความเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้นในชั่วพริบตา นางฝืนข่มความเจ็บปวด แผดร้องคำรามจนเลือดออกเจ็ดทวาร

ที่สร้างความเดือดดาลให้นางยิ่งกว่าคือยามเผชิญหน้ากับการโจมตีของนาง ชายผู้นั้นเพียงยื่นมือทั้งสองข้างออกมา เกี่ยวนิ้วเป็นท่ามุทรา ก็สามารถดีดนางจนลอยกระเด็นออกไปได้

ร่างนางกระแทกผนังห้องก่อนจะร่วงลงบนพื้น

เส้นผมสีดำกลับมาประดุจเส้นไหมอีกครั้ง แผ่สยายอยู่ข้างกายนางอย่างอ่อนแรง

ท่ามกลางความเจ็บปวดพร่าเลือน นางเห็นเขาลุกขึ้นเดินเข้ามา ทว่านางทนไม่ไหวอีกต่อไป ถูกความเจ็บปวดยากจะทานทนคว้าจับไว้ก่อนจะสูญสิ้นสติสัมปชัญญะ

ซ่งอิ้งเทียนเดินมาตรงหน้าหญิงสาว เห็นคาถาในประคำปราบมารบนคอนางไม่เปล่งแสงอีกแล้ว

นางหมดสติไปแล้ว เขารู้

เขาหลุบตามองหญิงสาว หัวใจหดเกร็ง เห็นทีเขาจะนำพาความยุ่งยากมาสู่ตัวเองแล้วจริงๆ ไม่รู้เสียใจภายหลังตอนนี้ยังทันอยู่หรือไม่

ซ่งอิ้งเทียนยิ้มขื่น ม้วนแขนเสื้อและย่อตัวลง อุ้มหญิงสาวที่หัวแข็งยิ่งกว่าก้อนหินขึ้นมาแล้ววางลงบนฟูกนุ่มอีกครั้งอย่างระมัดระวัง ใช้ผ้าเปียกช่วยเช็ดเลือดที่ซึมออกมาจากหางตา ปาก และจมูกของนาง

ภาษิตว่าฝนทั่งให้เป็นเข็ม ไม่รู้ทำเช่นนั้นต้องใช้เวลานานเท่าใด

นอกห้อง ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมาอีกครั้ง

ถูกนางอาละวาดเช่นนี้ กว่าเขาจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว

เขาห่มผ้าให้นาง แน่ใจว่านางจะยังไม่ตื่นมาในชั่วเวลาสั้นๆ จึงลุกขึ้นดับไฟและกลับห้องไปนอน

 

ลมหนาวพัดหวีดหวิว พัดก้อนเมฆให้ลอยออกไป

ไผ่เขียวนอกหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งโบกพลิ้วไปมาตามสายลม ส่งเสียงดังแซกซ่า

หญิงสาวนอนหมดสติอยู่บนฟูกหนึ่งวันหนึ่งคืน

ตอนซ่งอิ้งเทียนเข้ามาในห้องอีกครั้ง ฟ้าก็มืดแล้ว

เขาช่วยนางปิดประตูหน้าต่าง จุดเตาฝังพื้นในห้อง จากนั้นนำกาเหล็กที่บรรจุยาสมุนไพรแขวนกับขอเหล็กที่ห้อยลงมาจากขื่อ ปล่อยให้ถ่านไฟต้มมันจนเดือด

แม้จะจุดไฟแล้ว แต่ในห้องยังคงมืดสลัว

เขายกฝาครอบโคมออก จุดตะเกียงน้ำมันแล้วค่อยวางฝาครอบกลับลงไป

สองโคมไฟกับหนึ่งเตาฝังพื้นทำให้อากาศอบอุ่น ขับไล่ไอเย็นในห้องออกไป

ไม่นานกลิ่นหอมของยาก็อบอวลไปทั่วห้อง

เขาเดินมาข้างกายนางและนั่งลง ยื่นมือไปกุมมือนางเบาๆ สองนิ้ววางทาบบนชีพจรของนาง

ทันใดนั้นมือเล็กที่เดิมทีอ่อนเปลี้ยเหมือนไร้กระดูกพลันคว้ามือเขาไว้

ซ่งอิ้งเทียนอึ้งไป เห็นหญิงสาวลืมตาดำสนิท ความเย็นเฉียบแปลกประหลาดขุมหนึ่งแผ่มาจากบริเวณที่นางจับเขาแล้วจู่โจมห้วงสมอง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 .. 64

หน้าที่แล้ว1 of 13

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: