บทที่ 3
ออกจากเมืองมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือสิบหลี่* มีที่ตั้งจวนบัญชาการทหารของโยวโจวอยู่ สุดถนนรอบด้านโล่งกว้างไม่มีสิ่งอื่นใดยกเว้นเพียงสิ่งนี้ที่ยึดครองพื้นที่อยู่ หันหลังประจันกับเมืองอันโดดเดี่ยว ท่าทางข่มขวัญผู้คน
เนื่องจากประตูเมืองเปิดช้าปิดเร็ว จ่างซุนเสินหรงจึงนั่งรถม้าไปตามทางโดยไม่หยุดแวะพักที่ใด ภายในเวลาอันรวดเร็วก็ไปถึงที่หมาย
พระอาทิตย์กำลังจะตก นางเลิกม่านรถขึ้น มองประตูใหญ่ที่ทั้งสูงและกว้างของจวนบัญชาการทหารแห่งนั้น “คือที่นี่หรือ”
จื่อรุ่ยที่อยู่ด้านนอกรถขานรับ “ใช่เจ้าค่ะ”
ด้านหลังรถม้าเป็นองครักษ์ที่ขี่ม้าคุ้มกันอยู่สิบกว่าคน ตามที่พวกเขารายงานพวกของตงไหลหลายคนล้วนถูกนำตัวมาที่นี่
จ่างซุนเสินหรงออกไปนอกรถอย่างไม่ลังเลสักนิด “เช่นนั้นรออันใดเล่า ยังไม่เข้าไปอีก”
ประตูจวนบัญชาการทหารเข้มงวดในการเข้าออก องครักษ์สองคนจึงเข้าไปเจรจาก่อน ทหารที่เฝ้าประตูถึงได้ยอมให้เข้าไป พร้อมกันนั้นก็มีทหารเข้าไปรายงานแล้ว
จ่างซุนเสินหรงไม่รอแม้เพียงชั่วขณะ ก้าวเท้าเข้าไปข้างในไม่หยุด
ในหมู่เรือนขนาดใหญ่ที่มีลานกว้างสร้างกำแพงสูงล้อมรอบ มีทหารหน่วยหนึ่งกำลังเฝ้าอยู่ที่นั่น ทันทีที่รู้สึกว่ามีคนเข้ามาก็พากันหันไปมอง ก่อนเห็นองครักษ์กลุ่มหนึ่งที่เดินนำหน้าแยกออกเป็นซ้ายขวาเปิดเป็นทางสายหนึ่ง หลังจากยืนอย่างมั่นคงแล้วก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งก้าวออกมาจากทางด้านหลัง
จ่างซุนเสินหรงมาอย่างเร่งรีบไม่ทันได้สวมเสื้อคลุมกันลม ทั้งไม่ได้สวมหมวกคลุมปิดบัง เพียงสวมกระโปรงเอวสูงผูกไว้หลวมๆ ดูสง่างามอย่างเป็นธรรมชาติ คิ้วและดวงตาประหนึ่งวาดขึ้น ไม่ว่ายืนอยู่ตรงที่ใดก็ทำให้คนทั้งกลุ่มมองเป็นตาเดียวแล้ว
ที่มุมของอีกฟากหนึ่งมีหลายคนยืนขึ้นมาในทันที ต่างมองมาทางนางแล้วก็คุกเข่าลง ซึ่งก็คือพวกตงไหลนั่นเอง “ประมุขน้อย!”
จ่างซุนเสินหรงเห็นหลายคนนั้นปลอดภัยดี ถึงได้มองไปที่ทหารหน่วยนั้น “พวกเขาอาศัยอำนาจใดมาจับคน”
ตงไหลตอบว่า “พวกเขาบอกว่าพวกเราฝ่าเข้าภูเขาข้ามแม่น้ำมาเช่นนี้ ท่าทางดูน่าสงสัย แล้วยังเป็นคนแปลกหน้าอีก จำเป็นต้องพาตัวกลับมาสอบสวนขอรับ”
จวนบัญชาการทหารมีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ ฟังดูแล้วไม่อาจตำหนิได้ว่ากระทำหนักเกินไป จ่างซุนเสินหรงแค่นเสียงเฮอะเบาๆ คราหนึ่ง แต่ที่สุดแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร
ในช่วงเวลานี้เองทหารเฝ้าประตูที่ไปรายงานก็ออกมาจากโถงว่าการแล้ว ที่ออกมาพร้อมกันยังมีชายฉกรรจ์บึกบึนแข็งแรงผิวดำคล้ำซึ่งที่ด้านหลังมีทหารสองนายถืออาวุธตามมาติดๆ
ครั้นมาถึงตรงเบื้องหน้า สายตาของชายฉกรรจ์ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทั่วร่างของจ่างซุนเสินหรงรอบหนึ่ง แล้วถึงกำหมัดประสานมือ “โปรดแจ้งสถานะให้ชัดเจนด้วย”
เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ไม่ต้องลำบากให้จ่างซุนเสินหรงเอ่ยปาก จื่อรุ่ยก็ขึ้นไปข้างหน้า ยื่นเอกสารที่เตรียมไว้เรียบร้อยก่อนแล้วให้ “จวนจ้าวกั๋วกงแห่งฉางอัน สกุลจ่างซุน”
คงเป็นเพราะคิดไม่ถึง ชายฉกรรจ์จึงเหลือบมองจื่อรุ่ย แล้วรู้สึกว่าดูไม่เหมือนพูดโอ้อวดจึงรับเอกสารไปพลิกอ่านทันที เป็นหนังสือสัญญาขายตัวเป็นทาสในเรือน เขาหันไปทางด้านหลังแล้วผงกศีรษะคราหนึ่ง ทหารกลุ่มนั้นได้รับสัญญาณก็กลับเข้าโถงว่าการในเรือนใหญ่ไป
เขาส่งเอกสารคืนให้จื่อรุ่ย กล่าวอย่างชัดเจนว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้พวกท่านก็สามารถพาคนไปได้แล้ว” พูดจบทหารสองนายที่ด้านหลังของเขาก็เดินไปตรงหน้าตงไหล คืนอาวุธให้พวกเขา
จ่างซุนเสินหรงไม่กล่าววาจา เพียงเบือนหน้าไปเล็กน้อย เหลือบมองไปทางนายทหารผู้นั้น และเม้มริมฝีปากขึ้นมา
จื่อรุ่ยเห็นสีหน้าท่าทางนี้ก็รู้แล้วว่าผู้เป็นนายมีความไม่พอใจ จึงพูดทันทีว่า “จับคนของพวกเรามาแล้ว แค่พูดประโยคเดียวนี้ก็คิดจะส่งคนไปแล้วหรือ”
ชายฉกรรจ์มองดูจ่างซุนเสินหรง แล้วก็มองเลยไปยังอาวุธหลายชิ้นที่เพิ่งถูกส่งคืนกลับไป ทางจวนบัญชาการทหารได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว อาวุธหลายชิ้นนั้นไม่ใช่อาวุธทางทหาร องครักษ์ของจวนใช้ดาบก็เพียงพอแล้ว ดูจากลักษณะของดาบก็รู้แล้วว่าผลิตขึ้นที่ฉางอัน เวลานี้ได้รับทราบแล้วว่าหลายคนนี้เป็นบ่าวรับใช้ในเรือนที่มาจากจวนจ้าวกั๋วกงแห่งฉางอัน พอเอามาเทียบกันแล้ว ก็เพียงพอจะพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ใช่พวกศัตรูที่น่าสงสัยอะไรเช่นนั้น
ถึงแม้จะไม่รู้ความเป็นมาของหญิงสาวอายุน้อยที่อยู่ตรงหน้านี้ แต่ดูจากลักษณะนางแล้วฐานะในจวนจ้าวกั๋วกงคงไม่ต่ำต้อยแน่ ชายฉกรรจ์ครุ่นคิดอยู่ในใจว่าไม่จำเป็นต้องใช้แข็งกระแทกแข็ง จึงรีบเปลี่ยนท่าที ปั้นรอยยิ้มไปทางจ่างซุนเสินหรงพลางประสานมือคารวะอย่างจริงจัง “ได้ เป็นพวกเราที่ทำผิดไปแล้ว ขอให้ทุกท่านเดินทางโดยปลอดภัย”
นี่ค่อยดูเหมือนภาษาคนพูดหน่อย จ่างซุนเสินหรงหันไปมองตงไหล เขาพาคนเดินเข้ามาและยืนก้มหน้าอยู่ตรงเบื้องหน้านางแล้ว
“กลับไปแล้วค่อยว่ากัน” นางคิดว่าตงไหลตำหนิตนเองที่ทำให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนขึ้นมา จึงไม่พูดอะไรให้มาก เพิ่งหันหน้ากำลังจะไปก็เหลือบไปเห็นที่มุมหน้าผากของเขา ฝีเท้าของนางหยุดชะงักทันที “เงยหน้าขึ้น”
ตงไหลได้ยินคำสั่งก็เงยหน้าขึ้น
จ่างซุนเสินหรงเห็นที่มุมหน้าผากของเขามีรอยแผลสายหนึ่งลากไปจนถึงหางตา เลือดเพิ่งจะหยุดไหล ทั้งยังบวมเป่งอยู่ อีกนิดก็จะทำร้ายถึงดวงตาของเขาแล้ว นางจึงดูตามร่างกายของเขาอีกครั้ง เขาใช้มือซ้ายถืออาวุธเอาไว้ ที่หลังมือขวาก็มีรอยแผลในลักษณะเดียวกัน ตรงข้อมือก็มีรอยแผลแตกอีกสองรอยด้วย
ต่อให้เป็นคนโง่ก็ดูออกว่าแผลพวกนี้มาได้อย่างไร สายตาของนางกวาดไปทางชายฉกรรจ์ผู้นั้น “พวกเจ้ากล้าลงมือหรือ!”
ชายฉกรรจ์นิ่งอึ้งไป แล้วค่อยตอบกลับ “แค่รอยแส้ไม่กี่รอยเท่านั้น เขาไม่ยอมเชื่อฟัง แล้วก็ไม่ยอมพูดถึงที่มา นี่เป็นกฎของกองทัพ”
ดวงตาของจ่างซุนเสินหรงดุดันขึ้นทันที “กฎของกองทัพอันใด เขาเป็นทหารของที่นี่หรือ!”
ชายฉกรรจ์ชะงักงันไปทันที ปากอ้าๆ หุบๆ ถึงกับสรรหาคำพูดมาโต้แย้งไม่ออกไปชั่วขณะ
จ่างซุนเสินหรงไม่อาจทนเฉยได้ ตงไหลไม่เพียงเป็นองครักษ์ส่วนตัวของนางเท่านั้น เขายังต้องไปสำรวจภูมิลักษณ์ให้กับนางด้วย ตอนนี้มือได้รับบาดเจ็บยังไม่ต้องพูดถึงดวงตาที่เกือบถูกทำลาย ย่อมต้องทำให้งานของนางล่าช้า เรื่องอื่นยังพอพูดกันได้แต่เรื่องนี้นางไม่ยอมจบแน่
“ผู้ใดทำ” นางถามตงไหล
ตงไหลเอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “ประมุขน้อย พวกเขาเป็นหน่วยรักษาการณ์นะขอรับ”
จ่างซุนเสินหรงเลิกคิ้ว “แล้วอย่างไรเล่า หน่วยรักษาการณ์ก็สามารถลงไม้ลงมืออย่างไร้เหตุผลได้หรือ”
ช่างน่าขัน! ข้าจ่างซุนเสินหรงไม่มีทางถูกข่มขู่ได้สำเร็จหรอก!
นางพลันชำเลืองมองชายฉกรรจ์ผู้นั้นอีก “ผู้ใดทำ!”
ชายฉกรรจ์กลับไม่ได้โง่ ตอบอย่างเลี่ยงปัญหา “พวกเราก็แค่ทำตามกฎหมาย หากท่านผู้สูงศักดิ์รู้สึกขุ่นเคือง จวนบัญชาการทหารสามารถชดเชยให้ตามกฎหมายเป็นเงินหนึ่งร้อยเหวิน* ได้” ฟังจากน้ำเสียงของเขา ยังนับได้ว่ายอมอ่อนข้อให้แล้ว
“เงินรึ” จ่างซุนเสินหรงยื่นมือไปทางด้านข้าง
จื่อรุ่ยรีบหยิบถุงเงินจากในอกเสื้อวางลงไปบนมือจ่างซุนเสินหรง
นางรับมาแล้วก็โยนไปที่ข้างเท้าเขา ถึงกับเป็นเงินเต็มถุง
สกุลจ่างซุนของนางแม้แต่เหมืองก็ยังมี จะมาสนใจกับเงินเพียงเท่านี้หรือ
“ในนี้มีมากกว่าร้อยเท่า พอที่จะให้เจ้ามอบตัวคนที่ลงมือออกมาได้หรือไม่”
ชายฉกรรจ์ยกเท้าขึ้นเล็กน้อยเพราะความตกใจ แล้วมองนางอย่างประหลาดใจ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจเก็บเงินนั้นขึ้นมาได้ ทำได้เพียงพูดว่า “ลงมือในช่วงเวลาที่ชุลมุนวุ่นวาย เลยแยกไม่ออกว่าผู้ใดเป็นผู้ใดแล้ว!”
จ่างซุนเสินหรงกลอกตารอบหนึ่ง “ก็ได้ เช่นนั้นคนที่ออกคำสั่งพวกเจ้าคือใคร คงจะแยกได้ชัดกระมัง”
ชายฉกรรจ์มีสีหน้าแข็งทื่อไปทันทีอย่างช่วยไม่ได้ แวบแรกที่ได้เห็นสตรีผู้นี้เขาก็รู้สึกเพียงนางงดงามจนผู้คนต้องตะลึง ราวกับเดินออกมาจากภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น แต่เวลานี้กลับถูกท่าทางของนางขู่ขวัญจนนิ่งงันไปแล้ว เขาเพียงอยากจะจบเรื่องให้รวดเร็ว จึงตัดสินใจพูดว่า “ข้า…ที่ออกคำสั่งที่นี่ก็คือข้า!”
สายตาจ่างซุนเสินหรงกวาดผ่านเขาไป “ดูจากชุดของเจ้า อย่างมากสุดก็เป็นแค่นายกอง จวนบัญชาการที่ใหญ่โตปานนี้ เจ้ายังมีคุณสมบัติไม่พอหรอก”
ชายฉกรรจ์ถูกตอกหน้าหงายไปแล้ว เขาไม่คิดเลยว่าสายตาของนางจะน่ากลัวถึงเพียงนี้
นัยน์ตาดำเป็นประกายของจ่างซุนเสินหรงกวาดมองไปโดยรอบ “เรียกคนที่เป็นหัวหน้าของพวกเจ้ามา”
ไม่มีผู้ใดตอบ ทหารทั้งกองในที่นั้นต่างเอาแต่จ้องมองนาง
จ่างซุนเสินหรงกวาดตามองรอบหนึ่ง แล้วสายตาก็พลันจับอยู่ที่โถงว่าการในเรือนใหญ่แห่งนั้น พลันนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ชายฉกรรจ์ผู้นี้ก็ออกมาจากข้างในนั้น เมื่อครู่ยังส่งทหารเข้าไปข้างใน คงจะต้องไปรายงานสถานการณ์แน่นอน นางจึงยกเท้าแล้วเดินตรงไปที่นั่น
ตอนที่ชายฉกรรจ์ไล่ตามไปก็สายเสียแล้ว เงาร่างอรชรของนางประหนึ่งสายลมตรงดิ่งไปที่ประตูใหญ่ เท้าข้างหนึ่งยกขึ้นและก้าวเข้าไปแล้ว
ในห้องโถงปิดหน้าต่างอยู่ แสงค่อนข้างจะสลัวมัว ที่นี่มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งด้วยเช่นกัน ทุกคนที่เดิมทีกำลังพักผ่อนเพราะผลัดเปลี่ยนเวร บ้างยืนบ้างนั่งบ้างกัดแทะแผ่นแป้งและดื่มน้ำอยู่ ชั่วขณะนี้ก็พลันส่งสายตาจับจ้องมา บรรยากาศตึงเครียดขึ้นทันที
“เอ่อ…” ชายฉกรรจ์ผู้นั้นไล่ตามมา เพิ่งจะร้องได้ครึ่งคำก็กลืนกลับลงไปทันควัน แล้วหยุดอยู่ที่หน้าประตู
สายตาของจ่างซุนเสินหรงกวาดมองไปรอบหนึ่ง สีหน้าไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่นิด “หัวหน้าของพวกเจ้าเล่า ให้เขาออกมา”
เครื่องแต่งกายของคนกลุ่มนี้เหมือนกับชายฉกรรจ์ผู้นั้น ล้วนถูกต้องตามระเบียบแบบแผน โดยสวมเสื้อเกราะทับเสื้อตัวสั้นแบบชาวหู* ที่สะดวกต่อการขี่ม้ายิงธนู ดูท่าล้วนเป็นพวกระดับนายกองทั้งสิ้น นางตัดสินได้ว่าที่นี่ไม่เลวเลยทีเดียว นับเป็นจวนบัญชาการทหารที่ใหญ่โตจริงๆ
แต่เมื่อทุกคนได้ยินคำถามต่างก็หันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แล้วก็เอาแต่มองสำรวจนางอย่างเปี่ยมด้วยความสนใจ ไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่น้อย
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นที่ขวางนางไม่อยู่จึงเข้ามาถามอย่างจนปัญญา “ผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ ที่แท้ท่านจะทำอะไรกันแน่”
“ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ เจ้าว่าควรทำเช่นไรเล่า” จ่างซุนเสินหรงกล่าวย้อนกลับไป “ในเมื่อไม่อาจให้คนของข้าฟาดกลับคืนไปได้ ถ้าอย่างนั้นก็เรียกหัวหน้าของพวกเจ้าออกมาขอโทษด้วยตนเองสิ”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเบิกตาโพลงแล้ว มีที่ใดกันที่ตีบ่าวรับใช้ของบ้านหนึ่งแล้วต้องให้ผู้ปกครองของทั้งจวนบัญชาการออกมาขอโทษด้วย? สตรีผู้นี้อายุยังไม่มาก เหตุใดถึงได้รับมือยากเย็นเพียงนี้!
จ่างซุนเสินหรงเองก็ไม่พูดไร้สาระให้มากความ พูดจบก็เดินเข้าไปข้างใน
อาจเป็นเพราะท่าทีในการกล่าววาจาคราวนี้ของนางหนักหนาเกินไป คนที่นั่งอยู่ในที่นั้นทั้งหมดจึงยืนขึ้น เหมือนกับต้นหอมที่ถูกถอนจากดินแห้งๆ พากันขวางทางไปของนางเอาไว้อย่างมิดชิด
จ่างซุนเสินหรงชายตามอง “มีอันใด นี่คือกล้าทำไม่กล้ารับ?”
องครักษ์ของนางก็ตามเข้ามาแล้ว เมื่อเห็นเช่นนั้นก็กรูเข้ามาคุ้มครอง พวกที่อยู่ในที่นั้นน่าจะเป็นทหารทั้งหมด แล้วก็ยังมียศตำแหน่งด้วย เป็นพวกใจดีมีเมตตาที่ใดกัน จึงเปลี่ยนท่าทีจากผ่อนคลายเป็นหยิบอาวุธมาถืออยู่ในมือทันที ทางนี้ก็มาจากตระกูลขุนนางสูงศักดิ์ของฉางอันด้วยเหมือนกัน มือต่างกดอยู่บนดาบที่พกติดตัวมา
หากต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะแย่แล้ว ชายฉกรรจ์ผู้นั้นจึงรีบวิ่งเข้ามาขวางอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย “เอาล่ะๆ พวกเรามีอะไรก็พูดจากันดีๆ ได้หรือไม่”
จ่างซุนเสินหรงยกมือขึ้นลูบจอนผม ถามกลับว่า “ข้าก็แค่อยากให้หัวหน้าของพวกเจ้าออกมาพูดกับข้าเท่านั้น ใครกันที่ไม่พูดจากันดีๆ”
ชายฉกรรจ์ไม่เคยพบเจอสตรีตัวคนเดียวที่อยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แล้วยังสงบนิ่งได้มาก่อน แต่ด้วยสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงเยี่ยงนี้เมื่อปรากฏบนร่างนางแล้วกลับดูเป็นธรรมชาติอย่างที่สุด เขาพูดไม่ออก แล้วก็ไม่อาจเสียมารยาทเข้าไปประชิดตัวนางได้ จึงได้แต่บังคับตนเองให้ถอยไปสองก้าวแล้วค่อยขวางเอาไว้ต่อ
จ่างซุนเสินหรงมองตรงตำแหน่งที่นั่งของหัวหน้า ไม่สนใจพวกทหารที่สกัดกั้นกีดขวางสายตาพวกนั้น ยังคงก้าวไปข้างหน้า
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นขวางไปพลางถอยไปพลาง ถอยกรูดจนไปถึงกลุ่มคนพวกเดียวกันที่ปิดทางอยู่ จวบจนไม่มีทางให้ถอยได้อีกแล้ว สีหน้าเขาก็ย่ำแย่มาก
“พอแล้ว”
จู่ๆ ก็มีเสียงบุรุษทุ้มต่ำดังมา
ทันใดนั้นกลุ่มคนที่ขวางทางอยู่ก็กระจายตัวออกไปจนหมด
จ่างซุนเสินหรงหันหน้าไปตามเสียง ทางด้านขวามือห่างออกไปประมาณสิบกว่าก้าวมีคนนั่งอยู่ ตรงนั้นมีชั้นวางอาวุธสูงใหญ่ตั้งอยู่แถวหนึ่ง ทำให้รอบด้านดูมืดสลัวยิ่งขึ้น นางเห็นเพียงเค้าร่างคนผู้นั้นที่เก็บเท้า นั่งอย่างตามสบายอยู่หน้าชั้นวางหันหน้ามาทางนาง และก็ไม่รู้ว่ามองอยู่เช่นนี้มานานเท่าใดแล้วเหมือนกัน
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นก้าวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว พูดเสียงเบา “ท่านหัวหน้า ท่านก็เห็นหมดแล้ว ข้าเองก็หมดปัญญาจริงๆ”
จ่างซุนเสินหรงได้สติกลับมา หันไปมองตำแหน่งที่นั่งหัวหน้า ไม่มีคนอยู่จริงเสียด้วย นางนึกว่าผู้ที่เป็นหัวหน้าต้องนั่งที่ตำแหน่งหัวหน้าเสียอีก ใครเลยจะรู้ว่าเขากลับมานั่งอยู่ในตำแหน่งซึ่งไม่สะดุดตาอะไรเลยเช่นนี้ ตั้งแต่ข้าเข้ามาจนถึงตอนนี้ก็ดูอยู่อย่างนี้?
นางหันกลับมาอีกหน จ้องเงาร่างที่ถูกชายฉกรรจ์บังไปกว่าครึ่ง ที่เห็นอย่างชัดเจนที่สุดคือชายเสื้อสีดำถูกปล่อยลงให้หุ้มน่องที่อยู่ในรองเท้าหนังเอาไว้ มือข้างหนึ่งของเขาวางอยู่บนหัวเข่า เห็นข้อนิ้วอย่างชัดเจน
“ท่านหรือ” นางคิดในใจ นับว่ายอมโผล่หน้าออกมาแล้วสินะ
มือข้างนั้นยกขึ้นมา ชั่วครู่เดียวชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็เดินออกไปด้านข้างอย่างเชื่อฟังแล้ว
“ข้าเอง” เขากล่าว “ขออภัยด้วย เท่านี้ได้แล้วหรือไม่”
รอบด้านล้วนมองไปที่เขา โดยเฉพาะชายฉกรรจ์ผู้นั้นที่ราวกับเห็นภูตผีวิญญาณก็ไม่ปาน เหลือบมองเขาอยู่ตลอดเวลา
จ่างซุนเสินหรงจ้องเขา ลักษณะการพูดของคนผู้นี้ออกจะตรงๆ ทื่อๆ ทำให้นางแปลกพิกลอยู่เล็กน้อย เหมือนว่าเขาคิดจะพยายามไกล่เกลี่ยแล้วก็รีบๆ ไล่นางกลับไปอย่างไรอย่างนั้น
คนผู้นั้นก็มองนางอยู่เช่นกัน
จ่างซุนเสินหรงพลันค้นพบว่าประกายตาของเขาดำมืดยิ่งนัก ยามที่มองมาถึงกับดูมีเจตนาร้ายอยู่หลายส่วน เมื่อนางหรี่ตามองอย่างละเอียดกลับมองเห็นความคุ้นตาขึ้นมาเล็กน้อย ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่เสียงก็ค่อนข้างคุ้นหูอยู่บ้าง
ทันทีที่เกิดความคิดนี้ขึ้นมาเท้าก็ก้าวเข้าไปโดยไม่ต้องคิด มุ่งเดินไปตรงหน้าเขา
คนผู้นั้นยังคงอยู่ในท่านั่งตามสบายเช่นเดิม เมื่ออยู่ใกล้ๆ นางถึงเห็นชัดเจนว่าข้างต้นขาของเขามีดาบที่สอดอยู่ในฝักเล่มหนึ่งวางพิงอยู่ มือข้างหนึ่งวางอยู่บนเข่า แขนอีกข้างวางอยู่บนโต๊ะข้างตัว บนนั้นยังมีแผ่นหนังที่ใช้ป้องกันแขนและขาที่เพิ่งถอดออกมาวางเอาไว้
เมื่อเขาเห็นจ่างซุนเสินหรงเข้ามาใกล้ก็เอนร่างไปทางด้านหลังเล็กน้อย และเงยหน้าขึ้น
สายตาของจ่างซุนเสินหรงกวาดไปทั่วใบหน้าของเขาทีละเล็กทีละน้อย มองแล้วก็มองอีก ฉับพลันนั้นก็เบิกตาจนกลมโต
ทั้งสองต่างไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาใด เพราะต่างก็คาดไม่ถึงว่าจะได้พบหน้ากันอีกเช่นนี้
จ่างซุนเสินหรงถึงกับผงะถอยหลังไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว สายตายังคงจับจ้องอยู่บนร่างของเขาอย่างแน่วนิ่ง นางกำลังคิดว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเขาถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่!
“ประมุขน้อย คุณชายมาแล้วเจ้าค่ะ” จื่อรุ่ยที่อยู่ปากประตูร้องเรียกเบาๆ
เสียงของจ่างซุนซิ่นดังตามมาอย่างรวดเร็ว “อาหรง! อาหรง!”
รอบด้านเงียบกริบ เสียงเรียกอย่างร้อนใจของเขาจึงยิ่งดังชัดเจนเป็นพิเศษ
จ่างซุนเสินหรงได้สติ ดึงสายตากลับจากร่างของบุรุษที่อยู่ตรงหน้า แล้วหันกายเดินออกจากประตูไปอย่างรวดเร็วทันที
จ่างซุนซิ่นเพิ่งมาถึงหน้าประตู ก็เห็นชายแขนเสื้อของน้องสาวพลิ้วตามสายลมออกมาแล้ว
“ไป” นางเดินผ่านตัวเขาไปโดยไม่หันหน้ามองเสียด้วยซ้ำ
จ่างซุนซิ่นมองไปทางด้านหลังของนางแวบหนึ่ง เห็นเงาร่างของคนนั่งอยู่ตรงนั้น ยังไม่ทันมองให้ชัดเจนก็รีบไล่ตามน้องสาวไป
เขารีบเร่งมาจากจวนว่าการโยวโจว เดิมทีก็อยู่กันอย่างสงบดี จนกระทั่งได้ยินเจ้าหน้าที่ที่คอยต้อนรับเขาพูดคุยเกี่ยวการรักษาความสงบของโยวโจวและพูดถึงทหารรักษาเมือง จู่ๆ ก็ได้ยินนามที่คุ้นเคยอย่างกะทันหัน จึงไม่พูดพร่ำทำเพลงเร่งกลับมาที่จุดพักม้าเพื่อตามหาน้องสาว ผลลัพธ์คือไปได้ครึ่งทางก็ได้ยินเรื่องของตงไหลแล้ว และที่ยิ่งกว่านั้นคือจ่างซุนเสินหรงก็ไปที่จวนบัญชาการทหารด้วยตนเองแล้วด้วย เขาก็เลยไล่ตามมา
จ่างซุนเสินหรงเดินตรงดิ่งไปจนถึงนอกจวนบัญชาการถึงได้หยุด
ตงไหลกับจื่อรุ่ยตามติดอยู่ด้านหลังนาง ไม่กล้าถามและไม่กล้าพูดอันใดทั้งนั้น
จ่างซุนซิ่นไล่ตามมาจนทัน “อาหรง เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่ เจ้าคนแซ่ซานนั่นกลับอยู่ที่โยวโจวด้วยเช่นกัน ตอนนี้เขารั้งตำแหน่งผู้บัญชาการทหารรักษาเมืองของท้องถิ่นโยวโจว จวนบัญชาการแห่งนี้ก็คือที่ทำงานของเขา!”
จ่างซุนเสินหรงเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตากลอกไปมา ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
“อาหรง?” จ่างซุนซิ่นเรียกนางคำหนึ่งอย่างอดไม่อยู่
จ่างซุนเสินหรงพลันเหมือนได้สติแล้ว หันหน้ากลับมาพูดว่า “ไม่ถูกสิ เหตุใดข้าต้องเป็นฝ่ายไปด้วย อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่พวกที่ไม่ยึดเหตุผลแบบนั้น!” นางพูดพลางสะบัดแขนเสื้อ ตั้งท่าจะหมุนตัวกลับไป
จ่างซุนซิ่นมือไวตาไวรีบฉุดนางเอาไว้ “อาหรง อย่าๆ”
จ่างซุนเสินหรงมุ่นคิ้วหันหน้ากลับมา
จ่างซุนซิ่นกลัวนางจะไม่สบายใจถึงได้ไม่ยอมให้นางกลับไปอีก พร้อมเอ่ยปลอบโยนเบาๆ “ฟังพี่เถอะ กลับไปก่อน ช้ากว่านี้ประตูเมืองจะปิดแล้ว นอกจากนี้เจ้าก็ยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำอยู่นะ”
นี่เองจ่างซุนเสินหรงถึงได้หยุดลง แล้วหันกลับไปมองประตูใหญ่ของจวนบัญชาการทหารอีกแวบหนึ่ง พูดในใจว่า เสียเปรียบบุรุษผู้นั้นแล้ว!
บทที่ 4
จ่างซุนซิ่นเริ่มปวดหัวเสียแล้ว
สาเหตุที่การเดินทางครั้งนี้เลือกโยวโจว นอกจากที่นี่จะเหมาะสมแก่การสำรวจแล้ว ยังเป็นเพราะสกุลจ่างซุนตั้งใจจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์อันสุ่มเสี่ยงในราชสำนักที่ฉางอันเป็นการชั่วคราวด้วย เพียงแต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเพิ่งจะมาถึงที่นี่ก็ทำให้น้องสาวต้องพบกับศัตรูเก่าเข้าเสียแล้ว
ซานจงผู้นี้ เวลานั้นในหมู่ลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลายก็มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งสองเมืองหลวงว่าเป็นบุคคลที่ร้ายกาจ โดดเด่นเป็นที่สนใจของผู้คนแล้ว ทางสกุลซานเองก็เป็นตระกูลเลื่องชื่อที่มีอำนาจไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ในฐานะที่เป็นการแต่งงานผูกสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเก่าแก่ จ่างซุนเสินหรงได้แต่งกับเขาก็นับว่าได้คู่ครองที่สมกันดุจกิ่งทองใบหยก เพียงแต่เพิ่งผ่านไปครึ่งปีสองคนนี้ก็แยกกันไปคนละทิศละทางเสียแล้ว เรื่องนี้ช่างสร้างความตกตะลึงให้ผู้คนจริงๆ
ตอนแรกที่จ่างซุนเสินหรงกลับมาบ้าน พออ้าปากก็บอกว่าสามีตายไปแล้วนั้น จ่างซุนซิ่นไม่เชื่อสักนิดเดียว เพราะที่ไล่ตามจ่างซุนเสินหรงกลับมาบ้านในวันนั้นด้วยยังมีทหารม้าซึ่งน่าจะคุ้มครองส่งนางกลับมา รวมถึงคนสนิทข้างกายของซานจง จ่างซุนซิ่นพบกับคนสนิทผู้นั้นเป็นการเฉพาะ ถึงได้รู้ความเป็นมาเป็นไปโดยละเอียด ที่แท้ซานจงก็ไม่ได้ตาย แต่จากไปแล้วต่างหาก โดยมอบหนังสือขอแยกทางไว้แล้วก็ไปจากบ้านสกุลซาน คนสนิทผู้นั้นจึงมอบกระดาษให้เขาแผ่นหนึ่ง บอกว่าเนื่องจากฮูหยินจากมาอย่างรีบร้อนเกินไปจึงทำตกไว้ พวกเขาไล่ตามมาตลอดทางก็เพื่อเจ้าสิ่งนี้
บนกระดาษบันทึกสิ่งที่ซานจงชดเชยให้แก่จ่างซุนเสินหรงเอาไว้ตามที่ราชสำนักมีกฎหมายระบุ สามีภรรยาทุกคู่ที่แยกทางกัน บ้านสามีจะต้องมอบอาภรณ์และอาหารให้แก่ฝ่ายภรรยาเป็นเวลาสามปี บันทึกแผ่นนี้ของซานจงก็ระบุไว้ตรงๆ ว่าสิ่งที่มอบให้จ่างซุนเสินหรงก็คือ ‘ทุกสิ่งอย่างที่เป็นของเขาในสกุลซาน’ ต่อให้นางนั่งกินนอนกินอยู่เฉยๆ ก็เพียงพอให้จ่างซุนเสินหรงร่ำรวยไปชั่วชีวิตแล้ว
ตอนนี้จ่างซุนซิ่นถึงได้เชื่อว่าซานจงไปจากบ้านสกุลซานแล้วจริงๆ หาใช่การจากไปอย่างธรรมดา แต่เป็นการสลัดทิ้งตระกูลใหญ่มากอำนาจนี้ไปเลย…จากไปอย่างหมดจดเกลี้ยงเกลา
หากจะด่าว่าซานจงแล้งน้ำใจไร้คุณธรรม ก็ยังไม่เคยพบเห็นบุรุษคนใดในใต้หล้านี้ที่จะใจกว้างกับภรรยาที่เลิกร้างกันไปแล้วได้ถึงเพียงนี้ ถึงอย่างนั้นซานจงก็พลิกโฉมหน้าเป็นคนไร้น้ำใจได้จริงๆ หลังแต่งงานไม่เคยมีความรู้สึกหรือคำพูดดีๆ ระหว่างสามีภรรยาให้สักประโยคเดียวก็เอ่ยปากขอแยกทางได้ง่ายๆ แล้ว
จ่างซุนซิ่นกลับอยากจะด่าซานจงว่าเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก! เขาสลัดทิ้งสกุลซานไปเช่นนี้ ถ้าจะถามหาผู้รับผิดชอบก็ควรจะเป็นตัวซานจงสิ หากเกิดการพัวพันยืดเยื้อระหว่างตระกูลขึ้นมา ก็จะดูเหมือนสกุลจ่างซุนไร้เหตุผลไปสักหน่อย จ่างซุนซิ่นถึงขั้นค่อนข้างนับถือความใจกล้าบ้าบิ่นของซานจงที่บอกว่าไปก็ไปเลยด้วยซ้ำ
ทางด้านสกุลซานนั้นเป็นอย่างไร เนื่องจากคำนึงถึงความรู้สึกของจ่างซุนเสินหรง สกุลจ่างซุนจึงตั้งใจจะไม่สืบสาวเอาความ ต่อมาเพียงได้ยินว่าผู้อาวุโสของสกุลซานไม่อยากให้จ่างซุนเสินหรงจากไปอย่างที่สุด เหมือนกับยังตั้งใจจะมาเยี่ยมเยียนที่จวนจ้าวกั๋วกงด้วยซ้ำ แต่จ่างซุนซิ่นก็เพียงได้ยินมาเท่านั้น เนื่องจากในปีนั้นบ้านเมืองเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ก่อนหน้านั้นคือความพลิกผันในการแต่งตั้งรัชทายาทของฮ่องเต้องค์ก่อน จนเกือบจะยกกำลังทหารไปรวมตัวคัดค้านกันอยู่รอมร่อแล้ว หลังจากนั้นชายแดนทางเหนือก็มีศัตรูจากภายนอกรุกรานเข้ามา
ท่ามกลางสถานการณ์ที่โกลาหลในราชสำนัก สกุลจ่างซุนและสกุลซานต่างยุ่งอยู่กับการรับมือ ชั่วขณะนั้นไม่ว่าใครก็ไม่อาจไปจัดการกับใครได้ และการที่ตระกูลใหญ่มากอำนาจแยกทางกัน ซึ่งเดิมน่าจะเป็นคลื่นใต้น้ำขนาดใหญ่ยักษ์นี้ก็ไม่ค่อยมีผู้ใดไปสนใจมากนัก เรื่องราวจึงผ่านพ้นไปเช่นนี้เอง
พริบตาเดียวก็สามปี เบื้องบนเบื้องล่างทั้งตระกูลล้วนยอมรับกันเป็นนัยๆ อย่างไม่ต้องพูดกันว่าคนผู้นั้นก็คือ ‘ตาย’ ไปแล้ว จะได้หลีกเลี่ยงการยั่วโทสะบรรพชนน้อยของบ้านให้เสียอารมณ์ ผู้ใดจะไปคาดคิดได้ว่าคนผู้นั้นในตอนนี้ถึงกับเป็น ‘ศพคืนชีพ’
ภายในห้องพักแขกที่จุดพักม้า พอจ่างซุนซิ่นคิดถึงตรงนี้คิ้วที่ขมวดมุ่นของเขาก็ยังไม่คลาย
ไม่รู้ว่าคนแซ่ซานนั่นทำได้อย่างไร ถึงได้เป็นผู้บัญชาการทหารรักษาเมืองอยู่ที่นี่ได้นานปานนี้โดยไม่มีข่าวคราวแม้แต่นิดเดียว
เขามองไปทางด้านข้าง จ่างซุนเสินหรงนั่งอยู่ข้างโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวเล็กๆ กำลังก้มหน้าดูหนังสือม้วนนั้นที่อัญเชิญออกมาจากกล่องไม้ซึ่งตกทอดมาจากบรรพชน นับแต่กลับมาจากจวนบัญชาการทหารก็ไม่เห็นนางมีรอยยิ้มบนใบหน้ามาสองวันติดกันแล้ว
ตั้งแต่เล็กจ่างซุนซิ่นก็ทะนุถนอมน้องสาวผู้นี้มาโดยตลอด แต่ยามนี้เพราะเขากลัวว่านางจะอ่านตัวอักษรในม้วนหนังสือไม่เข้าหัว ซึ่งนั่นจะเป็นการทำลายเรื่องสำคัญไป จึงเข้าไปใกล้แล้วพูดว่า “อาหรง ถ้าหากเจ้ารู้สึกว่าอึดอัดไม่สบาย ข้าก็จะให้จวนว่าการของโยวโจวออกคำสั่งให้คนของจวนบัญชาการนั่นห้ามเข้าใกล้พวกเรา อยู่ห่างจากเจ้าคนแซ่ซานนั่นไกลเท่าไรก็ยิ่งดี”
จ่างซุนเสินหรงเงยหน้าขึ้นมาจากม้วนหนังสือ “เหตุใดข้าต้องอึดอัด ข้าไม่ได้ทำผิดอะไรเสียหน่อย ที่ควรจะอึดอัดคือเขาต่างหาก จะให้หลีกเลี่ยงก็คือเขาหลีกเลี่ยงถึงจะถูก หากทำตามที่ท่านว่ามาจริง กลับจะดูเหมือนข้าใส่ใจเขามากอย่างไรอย่างนั้น”
สายตาของจ่างซุนซิ่นวนเวียนอยู่ที่ใบหน้าของนาง “เจ้าไม่ใส่ใจ?”
“ไม่ใส่ใจ” จ่างซุนเสินหรงก้มหน้าลงอ่านม้วนหนังสือต่อไป
พอดีที่นอกประตูมีผู้ติดตามคนหนึ่งเข้ามา แจ้งว่า “ผู้ว่าการโยวโจวส่งคนมาเชิญคุณชายขอรับ”
จ่างซุนซิ่นลุกขึ้น เขามองจ่างซุนเสินหรงอีกครั้ง เห็นนางดูคล้ายปกติดีก็วางใจลงได้บ้าง “ในเมื่อเจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ข้ายังต้องไปพบผู้ว่าการโยวโจวสักหน่อย ตอนนี้ตำแหน่งข้าหลวงใหญ่มณฑลโยวโจวว่างอยู่ ที่เป็นผู้ดูแลอยู่ในตอนนี้ก็คือผู้ว่าการ ต่อจากนี้งานของพวกเรายังจำเป็นต้องขอยืมความช่วยเหลือจากเขา”
จ่างซุนเสินหรงส่งเสียงตอบรับไปตามเรื่อง และคอยฟังเสียงเขาออกจากประตูไป
รอจนในห้องเงียบสงบแล้วนางก็ปิดม้วนหนังสือในมือลง อันที่จริงนางก็นึกถึงเหตุการณ์ในจวนบัญชาการทหารอยู่ก่อนแล้ว ตอนนั้นเขานั่งอยู่ที่นั่นมองนางอยู่ตั้งนานมันหมายความว่าอย่างไรกัน
นางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่ถูกต้อง จึงคว้าเบาะนุ่มที่พิงอยู่มาขว้างออกไป
“ประมุขน้อย?” จื่อรุ่ยได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็เดินจากนอกประตูเข้ามาดู
จ่างซุนเสินหรงนั่งคุกเข่าตัวตรง แสร้งทำเป็นว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้ทำอันใดทั้งนั้น แล้วถามอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “บาดแผลของตงไหลดีแล้วหรือ”
“กำลังพักรักษาตัวอยู่เจ้าค่ะ”
“ไยเจ้ายังไม่ไปดูแลอีก”
จื่อรุ่ยรีบขานรับ แล้วผละไปจากหน้าประตู
จ่างซุนเสินหรงเอาเบาะนุ่มใบนั้นมาขว้างออกไปอีกรอบหนึ่ง
ทันใดนั้นที่ด้านนอกก็มีเสียงตะโกนซึ่งดังราวฟ้าผ่าของบุรุษดังขึ้นมา “เร็วเข้าหน่อย! คนกำลังจะมาถึงแล้ว…ไปๆๆ ไม่ต้องไปสนใจผู้สูงศักดิ์บ้าพวกนี้ รบกวนพวกเขาจะนับเป็นอันใดได้ ทำเรื่องพลาดสิถึงจะร้ายแรงถึงตาย!”
เสียงนี้แหบห้าวมาก ทันทีที่ได้ยินจ่างซุนเสินหรงก็นึกขึ้นมาได้ ก็คือเสียงของคนที่รบกวนนางจนตื่นในวันนั้น นางเก็บม้วนหนังสือขึ้นแล้วเดินไปที่ข้างหน้าต่าง
ที่มุมของลานเรือนมีบุรุษหนวดเคราครึ้มตัวใหญ่โผล่พรวดออกมา กำลังตะโกนโหวกเหวกอย่างฮึกเหิมไปทางด้านหลัง “เร็วสิ! ให้ตายเถอะ! แข้งขาอ่อนปวกเปียกหมดแล้วรึ!”
ขณะจ่างซุนเสินหรงพิงหน้าต่างดูอยู่องครักษ์ผู้หนึ่งก็เข้ามาอย่างเงียบเชียบ ขอคำชี้แนะว่าจะขับไล่พวกเขาไปดีหรือไม่ นางส่ายหน้าแล้วสั่งให้พวกเขาล่าถอยไปให้หมด การสำรวจภูมิลักษณ์ที่ดีงามถูกถ่วงเวลาให้ล่าช้าไปแล้ว นางกำลังไม่มีที่ให้ระบายความโกรธเกรี้ยวพอดี ตอนนี้ในเมื่อมาเจอหนทางระบายความขุ่นเคืองแล้ว ขอเพียงยังได้ยินถ้อยคำที่ไม่เคารพอีกสักคำเดียว นางจะต้องจับเจ้าคนปากไม่มีหูรูดนี่มาสังหารเพื่อประกาศศักดาเสียบ้าง
ชายหนวดเคราครึ้มตัวใหญ่ยังไม่ทันได้อ้าปากพูดอีกรอบ นอกลานเรือนก็มีเสียงคนตะโกนดังมาแต่ไกล “มาแล้วๆ!”
ตามมาติดๆ ด้วยเสียงม้าร้อง มีคนจากข้างนอกเข้ามาในจุดพักม้า ไม่ใช่แค่คนเดียว เสียงฝีเท้านั้นดังสะท้อนก้อง เมื่อฟังอย่างละเอียดก็เหมือนเป็นเสียงของม้าย่ำไปบนพื้น ผสมปนเปด้วยเสียงอาวุธกับเกราะกระทบกัน
จ่างซุนเสินหรงมองไปตามเสียง มีทหารกองหนึ่งเดินผ่านระเบียงทางเดินเข้ามาในลานเรือนแล้วจริงๆ ผู้ที่นำหน้ามายังคุ้นตามากเสียด้วย ไม่ใช่ชายฉกรรจ์ในจวนบัญชาการทหารที่คอยขวางทางนางอยู่นานผู้นั้นหรือไร!
พอคนตัวใหญ่หนวดเคราครึ้มเห็นเขาก็ตะโกนว่า “หูสืออี เป็นเจ้าหรือที่มารับคน?!”
ชายฉกรรจ์ตอบกลับ “ผายลมสิ! ผู้ที่มาไม่ใช่แค่ข้า!”
จ่างซุนเสินหรงมองค้อนสองคนนั้นแวบหนึ่ง เบือนหน้าไป
เมื่อมองจากหางตานางก็เห็นคนหนวดเคราครึ้มตัวใหญ่ผู้นั้นวิ่งไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม
“ท่านผู้บัญชาการซาน ท่านมาด้วยตนเองเชียวหรือ!” น้ำเสียงเขาเปี่ยมไปด้วยความเคารพยกย่องสุดจะเปรียบขึ้นทันที
“อืม”
นางหันหน้าไปมองทันที ที่เดินเลี้ยวผ่านประตูระเบียงเข้ามาคือบุรุษที่หนีบดาบไว้ใต้แขน เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
เขาเดินเข้ามาในมือถือกระดาษทำจากใยปออยู่แผ่นหนึ่ง กำลังก้มหน้าดูอยู่ ยามนี้เขาสวมชุดชาวหูรัดเอวสีดำทั้งชุด เกล้ามวยเรียบร้อย สูงสง่าประหนึ่งต้นสน อาจเนื่องจากนิสัยระแวดระวัง หลังจากหยุดยืนนิ่งเขาก็เงยหน้าขึ้นกวาดตามองในลานเรือน เพียงประเดี๋ยวเดียวสายตาก็กวาดมาที่หน้าต่าง
สายตาของจ่างซุนเสินหรงสบประสานกับสายตาของเขาพอดี นางพลันยันกรอบหน้าต่างยืดตัวตรงอย่างไม่รู้ตัว
ซานจงก็เหมือนกับเมื่อก่อนนี้ ใบหน้าคมสัน เครื่องหน้าคมคายชัดเจน สายตาคมกริบ ร่างกายเหมือนกับแฝงไว้ด้วยความพยศอยู่ตลอดเวลา
จู่ๆ นางก็นึกถึงเรื่องของบ่ายวันหนึ่งเมื่อนานมากแล้วขึ้นมา มารดาของนางนำภาพเหมือนภาพหนึ่งมาที่ห้องนาง เอามาให้นางดูด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ นางชายตาดูแวบหนึ่ง แล้ววิจารณ์อย่างไม่เห็นสำคัญว่า ‘ไม่เลว’
มารดานางยิ้มพลางพูดว่า ‘ข้ายังไม่รู้จักเจ้าหรือไร สามารถพูดว่า ‘ไม่เลว’ ออกมาเช่นนี้ นั่นก็เท่ากับพอใจมากแล้ว’
นางไม่ได้ยอมรับ เพียงแต่ก่อนที่มารดาจะเก็บภาพเหมือนไปนางก็ยังลอบดูเงียบๆ อีกหลายครั้ง
เป็นภาพใบหน้าด้านข้างของบุรุษผู้หนึ่ง ลายเส้นคมกริบประหนึ่งดาบ ดูโดดเด่นห้าวหาญไม่ธรรมดาเลย ว่ากันว่าเป็นอาจารย์สอนวาดภาพที่ทุ่มเทความพยายามถึงได้ลอกภาพจากลั่วหยางมาให้นางดูได้
ต่อมาตอนที่นางแต่งงานได้ยืนอยู่ข้างๆ เขา ยามลอบมองที่เห็นก็คือใบหน้าด้านข้างนี้เอง
กับใบหน้านี้นางจดจำได้อย่างชัดเจนมาก ดังนั้นต่อให้เขากลับจวนเป็นระยะเวลาสั้นๆ จำนวนน้อยครั้งมาก ต่างฝ่ายต่างพบหน้ากันอย่างกะทันหันเพียงไม่กี่หน นางก็ยังจดจำเขาได้ในทันทีที่เห็นในจวนบัญชาการ
ช่วงเวลาสบตานี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ซานจงก็หันหน้าไปแล้ว “ของเล่า”
ชายหนวดเคราครึ้มตะโกนทันที “เร็ว! ส่งของได้แล้ว!”
คนพวกเดียวกันอีกหลายคนที่เขาตะโกนเร่งรัดเมื่อก่อนหน้านี้ค่อยๆ โผล่ออกมาจากมุมของลานเรือนทีละคน ผลักๆ ดันๆ คนที่ปล่อยผมยาวรุงรังแต่งกายแปลกแยกหลายคนที่ถูกคุมขังเอาไว้ หลายคนนั้นถูกมัดด้วยเชือกเส้นเดียวกันโยงไว้ด้วยกัน ราวกับเป็นปลาตายที่ถูกลากเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น
กระดาษที่อยู่ในมือของซานจงถูกโยนไปให้หูสืออี “ไปบอกให้หัวหน้าจุดพักม้าปิดประกาศได้แล้ว”
หูสืออีจากไปแล้ว ชายตัวใหญ่หนวดเคราครึ้มเดินมาตรงหน้าซานจงอีกสองก้าว ท่าทางยโสโอหังก่อนหน้านี้ได้หายไปจนหมดสิ้น มิหนำซ้ำยังยิ้มแย้มแทนอีกด้วย “ท่านผู้บัญชาการซาน มีทั้งหมดห้าคนขอรับ สองคนเป็นชาวซี[1] อีกสามคนเป็นชาวชี่ตาน[2] พวกเราจับได้จากที่ชายแดนนั่น”
เขาผงกศีรษะ “ทำได้ไม่เลว”
คนตัวใหญ่หนวดเคราครึ้มมีสีหน้าดีอกดีใจขึ้นมาทันที ราวกับได้รับการยกย่องชมเชยจากสวรรค์ครั้งใหญ่
ซานจงยกดาบขึ้นมา “ส่งของเสร็จแล้วก็ไปรับรางวัลที่จวนบัญชาการของข้า ข้าอยากตรวจดูที่พักของพวกเขาสักรอบหนึ่ง”
คนตัวใหญ่หนวดเคราครึ้มรีบชี้ทางให้ซานจงพลางเอ่ยพล่ามว่า “ก็ไม่รู้ว่าไฉนถึงได้มีผู้สูงศักดิ์บ้ากลุ่มหนึ่งโผล่มา ยึดครองสถานที่ไปจนหมด ทำเอาพวกข้าได้แต่ต้องย้ายไปที่ซอกลับตาคนตรงมุมนั้น”
“เช่นนั้นหรือ” ซานจงหัวเราะ แล้วก็เดินไปทางด้านที่อีกฝ่ายชี้บอก
จ่างซุนเสินหรงที่ดูอย่างเงียบๆ จนถึงตอนนี้จึงจ้องไปทางทิศที่เขาเดินไป หวนคิดถึงเสียงหัวเราะนั้นของเขาแล้ว จู่ๆ นางก็หัวเราะออกมาเช่นกัน ชายเสื้อพลิ้วสะบัดลอยขึ้น ก่อนหันกายออกไปจากห้อง
คนตัวใหญ่หนวดเคราครึ้มกำลังส่งตัวคนหลายคนนั้นให้กับทหารที่ซานจงพามา ทันใดนั้นก็เห็นหญิงสาวเดินออกมาจากห้องพักแขกห้องใหญ่ที่อยู่ไกลๆ ห้องนั้น กระโปรงยาวลากพื้น แขนพาดผ้าคลุมไหล่เนื้อบางเอาไว้ เดินผ่านข้างตัวเขาไปโดยสายตาไม่เหลือบแลด้านข้างแม้แต่น้อย เขางุนงงไปชั่วขณะ ก่อนโพล่งถามว่า “ผู้ใดกัน”
“ผู้สูงศักดิ์ที่เจ้าเคยด่าว่า”
คนตัวใหญ่หนวดเคราครึ้มตะลึงงันไปแล้ว และก็มองดูนางผ่านไปเช่นนี้เอง
เวลานี้จ่างซุนเสินหรงไม่มีอารมณ์ไปสนใจคนผู้นั้น นางเพิ่งจะผ่านลานเรือนออกไปก็มีองครักษ์สองคนตามมาอย่างเงียบๆ แล้ว ก่อนพวกเขาจะถูกนางขับไล่ออกไปอีกครั้ง
จ่างซุนเสินหรงเดินผ่านระเบียงยาวไปเพียงผู้เดียว จนกระทั่งถึงมุมที่ห่างไกลลับตาผู้คนมากที่สุด เห็นห้องชั้นล่างที่อยู่ติดๆ กันหลายห้อง ประตูเปิดอยู่ทุกบานคล้ายว่าถูกเตะเปิดออก แม่กุญแจห้อยเอียงกระเท่เร่ดูใกล้จะร่วงลงมาเต็มที
นางเพิ่งจะเดินเข้าไปใกล้ บุรุษในชุดดำผู้หนึ่งก็ก้มหน้าเดินออกมาจากห้องที่อยู่ตรงกลาง
จ่างซุนเสินหรงชนเข้ากับเขาพอดี ห่างมาหลายก้าวถึงค่อยยืนได้มั่นคง นางค่อยๆ กวาดตามองอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็พูดว่า “ผู้บัญชาการทหารรักษาเมืองเป็นตำแหน่งทางทหารระดับใด”
ซานจงพบกับนางโดยบังเอิญก็ไม่ประหลาดใจเลยสักนิด ถึงกับยังตอบคำถามอย่างค่อนข้างเหมาะสมด้วย “บัญชาการหน่วยทหารรักษาการณ์ทั้งพื้นที่ รับผิดชอบในการฝึกฝนทหารเพื่อป้องกันและรักษาความสงบ”
จ่างซุนเสินหรงจะไม่รู้ได้อย่างไร นางเพียงจงใจแสร้งถามไปเท่านั้นเอง นางเลิกคิ้วพลางเอ่ยทอดถอนใจ “ท่านจากสกุลซานมา อาศัยกำลังของตนเองเพียงลำพังก็นั่งตำแหน่งหัวหน้าทหารในพื้นที่นี้ได้อย่างมั่นคง ช่างทำให้ข้านับถือเสียจริง”
หากฟังการเสียดสีในวาจานี้ไม่ออกนั่นก็คือคนโง่เขลาแล้ว แต่ซานจงกลับยกมุมปากขึ้น ใช้มือตบๆ ฝุ่นละอองที่อยู่ในมือ ซ้ำยังพูดต่อจากนางอีกประโยคว่า “นั่นก็จริง”
จ่างซุนเสินหรงขมวดคิ้ว เดาอยู่ว่าเขากำลังพูดอย่างขอไปทีกับตนอีกแล้วใช่หรือไม่ ครั้นนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้นัยน์ตานางก็วูบไหวเล็กน้อย “ใช่แล้ว ท่านต้องคิดแสร้งทำเป็นไม่รู้จักข้าแน่”
ดวงตาของซานจงมองมา จ่างซุนเสินหรง…เหตุใดเขาจะไม่รู้จักนางเล่า ทันทีที่เห็นครั้งแรกในจวนบัญชาการเขาก็จำได้แล้ว แต่เขากลับเอ่ยปากพูดไปว่า “หรือเจ้ากับข้าน่าจะรู้จักกัน?”
สีหน้าจ่างซุนเสินหรงค่อยๆ ตึงขึ้นมาแล้ว “ข้ากลับจำท่านได้ ซาน…จง…”
นามของเขาพูดออกจากปากนางอย่างมีนัยแฝงลึกล้ำ
ทั้งสองต่างมองกันและกัน
และในเวลานี้หูสืออีก็กลับมาหาพอดี เท้าข้างหนึ่งของเขาหยุดชะงักไปอีกหนเนื่องจากเห็นจ่างซุนเสินหรง “ท่านเองหรือ!” เขาคิดในใจ ท่านหัวหน้าขอโทษไปแล้วแท้ๆ หรือว่าสตรีนางนี้ยังไม่เลิกไม่ราอีก? จึงพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างว่า “ผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ วันนี้พวกเรามาเพื่อรับโจรร้ายฝ่ายศัตรูที่ถูกคุมตัวไว้ เรื่องอื่นๆ ท่านไม่อาจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยได้!”
จ่างซุนเสินหรงเอาแต่มองซานจงเท่านั้น ไม่สนใจหูสืออีสักนิด
หูสืออีใจฝ่อไปทันที ได้แต่รายงานเรื่องที่ไปกระทำมาต่อซานจง “ท่านหัวหน้า คำสั่งห้ามได้บอกให้หัวหน้าจุดพักม้าปิดประกาศขึ้นไปแล้ว ทันทีที่เส้นทางภูเขาปิดจะไม่ให้คนภายนอกเข้าไปได้อีกเด็ดขาด”
จ่างซุนเสินหรงมองไปที่เขาทันที “พวกเจ้าจะปิดอะไรนะ!”
“ปิดภูเขา” ซานจงเบนสายตาออกจากร่างของนาง เปลี่ยนมือที่ถือดาบ แล้วเดินออกไปข้างนอก
จ่างซุนเสินหรงมองเขาเดินผ่านด้านข้างกายตนเองไป เกราะแขนบนแขนเสื้อของเขาเฉียดผ่านผ้าไหมคลุมไหล่ที่พาดอยู่บนข้อพับแขนของนาง เกราะหนังแข็งกระด้างกับผ้าไหมอ่อนนุ่มคลับคล้ายว่าจะเกี่ยวพันกันชั่วขณะหนึ่ง
ที่ด้านนอกโจรร้ายฝ่ายศัตรูถูกคุมตัวเอาไว้ ทหารตั้งแถวเตรียมตัวเดินทางกลับจวนบัญชาการ
หูสืออีไล่ตามจนทันฝีเท้าซานจง “ท่านหัวหน้า ก่อนหน้านี้ดูเหมือนข้าจะเคยได้ยินสตรีนางนั้นเรียกชื่อของท่านตรงๆ ท่านก็จะปล่อยให้นางเรียกไปตามแต่ใจหรือ”
เขาไม่รู้ถึงสาเหตุ เพียงคิดว่าจ่างซุนเสินหรงโมโหเท่านั้น
ซานจงเหยียบโกลนแล้วยกร่างขึ้นไปนั่งบนหลังม้า “เจ้าหูดีมาก”
หูสืออีเบิ่งตากลมโต “ถ้าหากนางรู้ถึงฐานะของท่านในโยวโจวนี้ จะต้องไม่กล้าดูถูกท่านเช่นนี้แน่นอน! เมื่อครู่ท่านน่าจะฉวยโอกาสกดดันสตรีที่เคยโอ้อวดบารมีผู้นั้นกลับไปถึงจะถูก!”
ซานจงยิ้ม “เจ้าเห็นว่าข้าว่างนักใช่หรือไม่”
เห็นรอยยิ้มของผู้เป็นนายหูสืออีก็พูดไม่ออก ได้แต่ตามหลังไปโดยไม่กล้าออกความเห็นแล้ว
ซานจงกระตุกบังเหียน กระตุ้นม้าวิ่งไปบนเส้นทาง พลันนึกถึงเสียงที่เรียกนามเขาเมื่อครู่นี้อย่างไม่มีเหตุผล สตรีสูงศักดิ์ที่ได้รับการพะเน้าพะนอตามใจอย่างที่สุด น่าจะไร้ความเกี่ยวข้องกับเขามาตั้งนานแล้ว เวลานี้เหตุใดถึงได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้งที่ชายแดนแห่งนี้ได้เล่า
เชิงอรรถ
* หลี่ (ลี้) เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เท่ากับความยาว 15 อิ่น เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร
* เหวิน หน่วยต่ำสุดของเงินตราจีนสมัยโบราณ เป็นเงินเหรียญหลอมจากทองแดง มีรูตรงกลาง คนใช้จึงนิยมร้อยเชือกติดกันเป็นพวง เงินเหรียญ 1,000 เหวิน เมื่อร้อยเป็นพวง จึงเรียกว่าก้วน ซึ่งแปลว่าพวง เงินหนึ่งก้วนคือเท่ากับ 1,000 เหวิน และหนึ่งก้วนมีค่าอย่างเป็นทางการเท่ากับ 1 เหลี่ยง (ตำลึงเงิน)
* ชาวจีนเรียกตนเองว่า ‘ชาวฮั่น’ ส่วนชนชาติต่างๆ ที่อยู่นอกเขตกำแพงใหญ่ออกไปเรียกรวมๆ ว่า ‘ชาวหู’ ซึ่งมีความหมายว่า ‘ป่าเถื่อน’ ชนชาติต่างๆ เหล่านี้จะสวมเสื้อตัวสั้น แขนเสื้อกระชับรัดรูป ซึ่งเหมาะกับการใช้ชีวิตบนหลังม้าที่ต้องขี่ม้ายิงธนูบ่อยๆ ผิดกับเสื้อผ้าชาวฮั่นที่บุรุษจะสวมเสื้อตัวยาวแขนกว้างใหญ่ ต่อมาทหารจีนนำแบบเสื้อผ้าของพวกชาวหูมาใช้ เพื่อเวลาออกรบจะได้ไม่รุ่มร่ามเหมาะกับการออกรบ เสื้อผ้าแบบนี้จึงเรียกว่า ‘เสื้อแบบชาวหู’ หรือ ‘ชุดชาวหู’
[1] ชาวซี คือชนต่างเผ่าที่แยกสายออกมาจากชาวเซียนเปย มีบรรพบุรุษร่วมกับชาวเซียนเปยเผ่าอวี่เหวินและชาวชี่ตาน เคยสวามิภักดิ์ชาวเซียนเปยเผ่ามู่หรงและชาวเซียนเปยเผ่าทั่วป๋า ชาวซีส่วนใหญ่ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์และทำปศุสัตว์
[2] ชาวชี่ตาน คือชนเผ่าเร่ร่อนสมัยโบราณ เป็นชนเผ่าที่ทำการเกษตรควบคู่กับการทำปศุสัตว์ มีบรรพบุรุษร่วมกับชาวซีและชาวเซียนเปยเผ่าอวี่เหวิน ในช่วงปลายราชวงศ์ถัง เยียลวี่อาเป่าจี ข่านของชาวชี่ตานได้ก่อตั้งแคว้นชี่ตาน ซึ่งต่อมาเยียลวี่เต๋อกวง ฮ่องเต้องค์ที่สี่ของแคว้นชี่ตานได้เปลี่ยนชื่อเป็นราชวงศ์เหลียว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 ส.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.