X
    Categories: จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้าทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า บทที่ 9-บทที่ 10

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 9

ฤดูใบไม้ร่วงของโยวโจวค่อนข้างพิเศษอยู่บ้าง แม้จะปลอดโปร่งแจ่มใสเป็นส่วนใหญ่ แต่บางครั้งก็มีลมกระโชกรุนแรงมาด้วย

ในจวนพักขุนนาง ก่วงหยวนดันต้นไม้ที่ดอกถูกลมพัดจนเอียงต้นหนึ่งขึ้นไปพลางมองสำรวจไปทางเรือนชั้นในด้วย บรรดาบ่าวรับใช้สกุลจ่างซุนกำลังเดินขวักไขว่ยุ่งกับการทำหน้าที่อย่างมีระเบียบแบบแผน ปรนนิบัติรับใช้เจ้านายของพวกเขา ถึงตอนนี้เขาก็รู้สึกเหนือความคาดหมายมากที่คนเข้ามาพักที่นี่เป็นฮูหยินเมื่อครั้งอดีตไปได้

หลายวันก่อนเขาเห็นกับตาว่าคนจากจวนจ่างซุนที่นี่เกือบจะขนคนทั้งหมดเข้าไปในภูเขาพร้อมกันกับจางเวยจากจวนบัญชาการ จวบจนตอนที่ประตูเมืองใกล้จะปิดถึงกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ แล้วถึงกับยังมีหูสืออีที่นำกำลังพลอีกหน่วยหนึ่งเพิ่มมาด้วย ทว่าหลายวันมานี้กลับไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย และก็ไม่รู้ว่ากำลังวุ่นวายอยู่กับอะไรด้วย

ขณะที่ก่วงหยวนกำลังแอบคิดอยู่ใต้ระเบียงทางเดินก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นเบาๆ เงาร่างของสตรีนางหนึ่งเดินเอื่อยๆ มา แขนเสื้อสะบัดพลิ้วไปตามสายลม ก่วงหยวนรีบก้มศีรษะหลบด้วยรู้ว่าผู้ที่มาคือใคร

เสียงฝีเท้านั้นหายไปอย่างรวดเร็ว เขาคิดว่าน่าจะผ่านไปแล้ว แต่พอเงยหน้าขึ้นก็ต้องรีบก้มศีรษะลงไปอีก

จ่างซุนเสินหรงยืนมองเขาอยู่ที่ข้างราวระเบียงนี้เอง “ก่วงหยวน”

ก่วงหยวนได้แต่เงยหน้าขึ้น “ขอรับ…”

อีกนิดเดียวก็จะหลุดปากเรียกว่า ‘ฮูหยิน’ ออกไปแล้ว

จ่างซุนเสินหรงชี้ๆ ไปที่เรือน “เขากลับมาที่นี่บ่อยเพียงไร”

ก่วงหยวนตระหนักได้ทันทีถึงผู้ที่นางถามว่าคือผู้ใด จึงพูดอย่างโมโหว่า “คุณชายกลับมาไม่ค่อยบ่อยขอรับ”

ไม่ใช่แค่ไม่บ่อย เกือบจะไม่กลับมาเสียด้วยซ้ำ ที่จริงห้องหลักห้องนั้นก่วงหยวนก็จัดตกแต่งเป็นพิเศษตามแบบของที่บ้านสกุลซานนั่นเอง เขาติดตามซานจงมานานหลายปี ย่อมต้องรู้สึกว่าการที่คุณชายละทิ้งวงศ์ตระกูลมาเช่นนี้จะไม่น่าเสียดายเลยหรือไร เดิมหวังว่าจะสามารถชักนำให้คุณชายระลึกถึงอดีตขึ้นมา และจะดีที่สุดถ้าทำให้เขากลับใจเปลี่ยนความคิด หวนคืนสู่บ้านสกุลซานอีกครั้ง แต่คุณชายไม่ได้กลับไปเลย กลับยึดจวนบัญชาการเป็นบ้าน พักอยู่คราเดียวก็สามปีแล้ว

กับคำตอบนี้จ่างซุนเสินหรงไม่รู้สึกผิดคาดเลยสักนิด หรือว่าบุรุษผู้นั้นจะเป็นอย่างที่เห็นที่จวนบัญชาการในวันนั้นจริงๆ “เช่นนั้นก็หมายความว่า…” นางลากเสียงยาว “ที่นี่ยังไม่เคยมีนายหญิงคนใหม่เลย?”

ก่วงหยวนอึ้งงันไป ยังไม่ทันได้ตอบคำเสียงหัวเราะของสตรีผู้หนึ่งก็ดังเข้ามา “คุณหนูกำลังพูดถึงไม่มีนายหญิงอะไรกัน ในเมื่อมาอยู่ที่นี่แล้วท่านก็ทำเหมือนว่าตนเองเป็นเจ้านายของที่นี่ก็ได้”

จ่างซุนเสินหรงหันหน้าไป ที่แท้ก็เป็นเหอซื่อฮูหยินของจ้าวจิ้นเหลียนมาแล้ว

นางเม้มปากไม่พูดอะไร เดิมทีคิดจะสืบถามเบื้องลึกเบื้องหลังของบุรุษผู้นั้นสักหน่อย ก็ไม่รู้ว่าเหอซื่อได้ยินไปสักเท่าไร คำพูดที่แต่เดิมคือวาจาต้อนรับอันสุภาพประโยคหนึ่งนี้พลันเปลี่ยนความหมายไปแล้ว

เหอซื่อยิ้มพลางเดินเข้ามาหา “ทำให้คุณหนูต้องลำบากแล้ว”

จ่างซุนเสินหรงอดแปลกใจไม่ได้ “ข้ามีความลำบากอย่างไรหรือ”

เหอซื่อเอ่ยว่า “ได้ยินข่าวว่าเมื่อสองวันก่อนที่ท่านรองเสนาบดีจ่างซุนเข้าไปในภูเขา ท่านก็ติดตามไปด้วยตลอด นั่นไม่ใช่ลำบากมากหรอกหรือ”

จ่างซุนเสินหรงเข้าใจแล้วก็รู้สึกว่าน่าหัวเราะ คนข้างนอกไหนเลยจะรู้ว่าการที่นางเข้าไปในภูเขาเพราะมีความจำเป็น ไม่แน่ยังจะนึกว่านางตามไปเที่ยวชมทิวทัศน์บนภูเขาเสียอีก

ไม่รอให้นางกล่าวอะไรเหอซื่อก็พูดอีกว่า “เป็นเพราะข้าละเลยเอง ไม่อาจแสดงไมตรีจิตของเจ้าบ้านได้เต็มที่ ถึงทำให้คุณหนูต้องไปผ่อนคลายอารมณ์บนภูเขานั่น วันนี้จึงจงใจมาเชื้อเชิญคุณหนูไปร่วมสังสรรค์กัน ยังหวังว่าท่านอย่าได้ปฏิเสธก็คงจะดี”

เหอซื่อพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว หากจ่างซุนเสินหรงปฏิเสธออกไปตรงๆ กลับจะเป็นการไม่ดี จ่างซุนเสินหรงจึงพยักหน้าตกลงแล้ว

ก่วงหยวนที่หงุดหงิดมาตลอดพูดขึ้นทันที “ท่านผู้สูงศักดิ์จะออกไปข้างนอก เช่นนี้ข้าจะไปเตรียมรถม้า”

เหอซื่อมองเงาด้านหลังของเขาที่จากไป แล้วพูดอย่างประหลาดใจว่า “แต่ไหนแต่ไรมามีเพียงผู้บัญชาการซานเท่านั้นที่สามารถสั่งก่วงหยวนให้ทำงานได้ ยากนักที่เขาถึงกับยอมเชื่อฟังคุณหนูอย่างเกรงใจเช่นนี้”

“อย่างนั้นหรือ” จ่างซุนเสินหรงคิดในใจว่านี่จะแปลกอันใด จะดีจะชั่วครั้งหนึ่งก็เคยปรนนิบัติรับใช้นางมาครึ่งปี ยิ่งไปกว่านั้นก็น่าจะเป็นเพราะหนังสือขอแยกทางฉบับนั้นที่เขาเป็นคนส่งมาตรงหน้านางเองกับมือ ตอนนี้ในใจคงมีความวิตกกังวลเท่านั้นเอง

ตอนที่จื่อรุ่ยกับตงไหลหนึ่งซ้ายหนึ่งขวาติดตามจ่างซุนเสินหรงออกจากประตูมา ก่วงหยวนก็เตรียมรถม้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว

เหอซื่อเห็นเขาไม่เพียงจัดการได้อย่างถี่ถ้วนเรียบร้อย คนยังยืนรออยู่ที่ข้างรถอีกด้วย ก็ยิ่งเกิดความประหลาดใจ จึงพูดตรงๆ ว่า “ข้าว่าก่วงหยวนทุ่มเทเอาใจใส่คุณหนูเป็นอย่างดี มิสู้พาเขาไปคอยรับใช้ด้วยจะดีกว่านะ”

ก่วงหยวนตกตะลึงไป กระนั้นยังคงรีบวางที่วางเท้าให้จ่างซุนเสินหรงทันที

จ่างซุนเสินหรงมองเขาอยู่ชั่วขณะ ไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธก็ขึ้นรถไปแล้ว

กลับเป็นจื่อรุ่ยกับตงไหลที่มองหน้ากันเงียบๆ แวบหนึ่ง รู้สึกว่าประหลาดพิกล สถานการณ์นี้เหมือนกับตอนที่ยังอยู่ที่บ้านสกุลซานในเมื่อก่อนไม่มีผิด

วันนี้เหอซื่อเตรียมการมาพร้อม จ้าวจิ้นเหลียนพร่ำเตือนนางมาก่อนแล้วว่าถ้าหากนางมีเวลาว่างให้คอยอยู่เป็นเพื่อนแขกจากฉางอันที่เอาแต่ใจตนเองท่านนี้ให้มากๆ นางจึงเลือกจุดหมายเอาไว้หลายแห่ง เพียงให้สตรีผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ได้ฆ่าเวลาสักหน่อยก็ยังดี ดีกว่าจะวิ่งเข้าไปในภูเขาลึกๆ อีก

นางนั่งเป็นเพื่อนจ่างซุนเสินหรงในรถม้าคันเดียวกัน แล้วก็แนะนำสถานที่ที่น่าสนใจในเมืองนี้ไปด้วย เพียงแต่น่าเสียดายที่ตลอดทางนางได้พูดถึงไปเพียงไม่กี่แห่ง หลังจากนั้นยิ่งพูดก็ยิ่งเฉไฉไปพูดถึงความเป็นมาของโยวโจวแทน…

“ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็ตั้งอยู่ที่ชายแดน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องพบกับไฟสงคราม พื้นที่ในตัวเมืองตั้งมากเป็นการสร้างขึ้นมาใหม่ สู้ในอดีตไม่ได้ที่มีสถานที่ให้เที่ยวเล่นมากมาย ข้ายังไม่เคยเห็นกับตา เพียงแต่เคยได้ยินสามีเอ่ยถึงว่าปีนั้นที่ประสบภัยสงคราม ต้องขอบคุณผู้บัญชาการซานที่นำทัพอะไรนั่นของเขามาถึงและจัดการให้สงบลงได้ หลังจากนั้นเขาก็เลยกลายเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาเมืองอยู่ที่นี่”

จ่างซุนเสินหรงได้ยินเหอซื่อพูดถึงบุรุษผู้นั้นขึ้นมากะทันหันก็ตั้งใจฟังขึ้นมาบ้าง นึกทบทวนอยู่ชั่วขณะจึงพูดว่า “ทัพหลูหลง?”

“ถูกต้อง เรียกว่าเช่นนี้ละ!” เหอซื่อจำได้ในทันที แล้วก็ประหลาดใจ “เหตุใดคุณหนูถึงรู้จักได้”

จ่างซุนเสินหรงย่อมต้องรู้จักแน่ สกุลซานเป็นตระกูลฝ่ายทหารที่โดดเด่นมาตลอด การฝึกทหารใช้ทหารล้วนขึ้นชื่อลือชาว่าร้ายกาจยิ่ง ว่ากันว่าตอนที่ซานจงอายุสิบห้าเพิ่งเข้าค่ายทหารก็เริ่มต้นฝึกฝนทหารด้วยตนเองแล้ว พออายุสิบแปดตอนที่ได้กลายเป็นผู้นำทัพ ที่ควบคุมอยู่ในมือก็คือทัพทหารใหม่ที่เรียกกันว่า ‘ทัพหลูหลง’ กำลังพลหน่วยนี้รับคำสั่งและติดตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง แม้แต่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ตอนนี้น่าจะอยู่ในจวนบัญชาการทหารโยวโจวนี้เอง

“เคยได้ยินมาบ้างเท่านั้นเอง” นางตอบไปเรื่อยเปื่อย

เหอซื่อผงกศีรษะ “ก็ใช่ ตัวคุณหนูเองก็มีประสบการณ์ความรู้กว้างขวาง” แต่เดิมนางพูดถึงเรื่องสงครามไปโดยไม่นึกอะไร พอเห็นจ่างซุนเสินหรงที่อยู่ตรงหน้าไม่มีสีหน้าหวั่นกลัวแม้แต่นิดเดียว ราวพูดคุยถึงเรื่องชีวิตประจำวันก็มิปาน จึงอดมองอีกฝ่ายอย่างนับถือไม่ได้ นึกในใจว่าไม่เสียทีที่เป็นคนสกุลจ่างซุน อายุน้อยเพียงนี้ก็มีบุคลิกท่าทางเฉกเช่นคนที่เคยผ่านคลื่นลมมรสุมมาแล้ว ดูไม่เหมือนกุลสตรีในหอห้องอันสูงส่งพวกนั้นที่เท้าไม่เคยก้าวย่างออกจากบ้าน ไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย

ด้านนอกมีเสียงม้าร้องดังมาพอดี เหอซื่อยื่นศีรษะออกไปมองแวบหนึ่ง “บังเอิญเสียจริง วันนี้จวนบัญชาการลาดตระเวนตรวจตราท้องถนนตามปกติพอดี เดินทางไปพร้อมกับคุณหนูด้วยกันก็ยิ่งวางใจได้มากขึ้นแล้ว”

จ่างซุนเสินหรงเองก็มองไปด้านนอกด้วยเหมือนกัน ทีแรกมองเห็นก่วงหยวนเดินอย่างรวดเร็วไปทางข้างหลังก่อน นางจึงมองตามทิศทางที่เขาเดินไป เห็นม้าหลายตัวหยุดอยู่ที่นอกตรอกบริเวณปลายถนน ในตรอกคลับคล้ายคลับคลาว่ามีเงาร่างในชุดสีดำสายหนึ่ง นางมองไปที่ข้างๆ อีกที เป็นร้านค้าที่ดูดีมากร้านหนึ่ง จึงถามว่า “ที่นั่นขายอะไรหรือ”

เหอซื่อมองดู ที่แท้เป็นร้านขายกำยาน ยากนักที่จ่างซุนเสินหรงจะรู้สึกชื่นชอบนางจึงเสนอว่า “เข้าไปในร้านดูของสักหน่อยก็ดี ไม่เป็นไรหรอก”

จ่างซุนเสินหรงพูดว่า “ก็ได้”

ดังนั้นจึงหยุดรถ ก่อนทั้งสองคนจะลงจากรถเข้าไปในร้าน

เจ้าของร้านเห็นบ่าวรับใช้กลุ่มใหญ่ติดตามแขกผู้มาเยือนที่ดูมีศักดิ์ฐานะไม่ธรรมดา จึงเชื้อเชิญแขกผู้สูงศักดิ์เข้าไปในห้องส่วนตัวเป็นพิเศษเพื่อไปลองผงกำยาน

เหอซื่อแนะนำจ่างซุนเสินหรงให้ลองดูอย่างกระตือรือร้น คิดอยู่ว่าอีกสักครู่จะซื้อให้นางเพื่อเป็นการแสดงถึงความตั้งใจอันดี แล้วก็จะได้กระชับความสัมพันธ์ให้แนบแน่นขึ้นอีกชั้นด้วย

สายตาของจ่างซุนเสินหรงกวาดผ่านป้ายไม้รูปร่างเหมือนปลาที่แขวนอยู่บนผนังร้าน แล้วมองเข้าไปในห้องส่วนตัวอีกครั้งหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นลองดูก็ได้”

จื่อรุ่ยเข้าไปข้างในเป็นเพื่อนผู้เป็นนาย

จ่างซุนเสินหรงเดินไปพลางดูไปพลาง ระหว่างที่จ้องมองก็เข้าประตูไปแล้ว และใช้สายตาส่งสัญญาณให้จื่อรุ่ยเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู

บนโต๊ะในห้องส่วนตัวจัดวางกล่องกำยานอยู่แถวหนึ่งแล้วเรียบร้อย เหอซื่อยังรังเกียจว่าไม่พอ พูดด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะอยู่นอกห้องว่าอยากจะให้นางเลือกของใหม่ๆ อีก

จ่างซุนเสินหรงกลับไม่ได้ลอง แต่เดินไปข้างหน้าต่างแทน

หน้าต่างของห้องนี้เปิดเป็นช่องแคบๆ ข้างนอกก็คือตรอกสายหนึ่ง ในตรอกมีคนยืนอยู่หลายคน ด้านข้างมีอยู่ด้วยกันสามคน คนที่เป็นหัวหน้าไว้เคราที่สองข้างแก้มจนเต็มหน้า ซึ่งก็คือคนร่างใหญ่ไว้หนวดเคราเสียงแหบห้าวที่อยู่ในจุดพักม้าเมื่อหลายวันก่อนนั้นเอง ข้างๆ กันนั้นคือพรรคพวกอีกสองคนของเขา

คนที่ประจันหน้าอยู่กับพวกเขาคือซานจง เสื้อสีดำพลิ้วสะบัดยืนถือดาบอยู่ตรงนั้น กำลังพูดอะไรบางอย่างอยู่กับพวกเขาเบาๆ

จ่างซุนเสินหรงอยากจะดูว่าเมื่อครู่นี้เงาร่างนั้นใช่เขาหรือไม่ นางถึงได้ตั้งใจเข้ามาในห้องส่วนตัวนี้ คิดไม่ถึงว่าจะพบเขาเข้าจริงๆ

นางไม่ได้ตั้งใจจะแอบสืบเสาะอะไร แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยชอบพวกที่มีพฤติกรรมหดหัวซ่อนหาง กำลังจะหันกายกลับไปพลันรู้สึกว่าเสียงพูดคุยเบาๆ ของพวกเขาหายไปแล้ว พอเบือนหน้ามาดูอีกครั้ง ใบหน้าซานจงก็หันมาทางนี้แล้ว สองตาประหนึ่งสายฟ้า เหมือนว่าสามารถมองทะลุผ่านร่องหน้าต่างนี้มาค้นพบนางได้

จ่างซุนเสินหรงนิ่งคิดอยู่สักครู่ก็ผลักหน้าต่างเปิดออกไปอย่างสง่าผ่าเผยเสียเลย และมองไปทางเขา “เอ๊ะ ช่างบังเอิญจริงเชียว”

เมื่อพบว่าเป็นนางสายตาของซานจงดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาโอบดาบเดินเข้ามาสองก้าว “บังเอิญจริงหรือ ไม่ใช่แอบฟัง?”

จ่างซุนเสินหรงนั่งลงที่ด้านหลังโต๊ะให้ดู นิ้วมือชี้ๆ ไปบนโต๊ะ เอากล่องผงกำยานบนโต๊ะขึ้นมาชี้ให้เขาดู “ใครจะแอบฟังท่านเล่า ข้ายุ่งอยู่นะ”

เขาปรายตามองแวบหนึ่ง ฝากล่องล้วนยังไม่ได้เปิด แม้แต่จะโกหกก็ยังพูดไม่เป็น “ยุ่งอันใด ยุ่งกับการแอบฟัง?”

จ่างซุนเสินหรงอยากจะปรายตามองค้อนใส่สักที นางยื่นตัวไปถึงหน้าต่าง เลิกคิ้วพลางพูดว่า “ก็ได้ ข้าได้ยินหมดแล้ว จับข้าไปที่จวนบัญชาการเสียเลยสิ”

ซานจงยังไม่ได้พูดอะไร

ชายหนวดเคราครึ้มก็ทำเสียงจิ๊กจั๊ก “ท่านผู้บัญชาการซาน หรือว่าให้พวกข้าหลายคนไปก่อนดีกว่า”

เขาเอียงๆ ศีรษะไปทางพวกนั้น

ชายร่างใหญ่หนวดเคราครึ้มมองๆ จ่างซุนเสินหรงแล้วก็เดินออกไป จวบจนเดินไปถึงปากตรอกก็หยุดแล้วถามว่า “เรื่องที่ท่านมอบหมายมายังต้องทำต่อไปหรือไม่”

“อืม” ซานจงตอบรับเพียงคำเดียว

จ่างซุนเสินหรงเหลือบมองไปทางสามคนนั้นแวบหนึ่ง ชายหนวดเคราครึ้มสวมเสื้อตัวสั้นเนื้อหยาบหนา ที่หน้าผากคาดผ้าเอาไว้ ที่เอวเหน็บกริชไว้เล่มหนึ่ง เปรียบกับตอนที่อยู่ในจุดพักม้าดูต่างกันมาก นางไตร่ตรองอยู่ในใจสักครู่ก็มีแผนการในใจแล้ว จึงมองดูบุรุษผู้นั้นอย่างพินิจพิจารณา “ท่านทำสิ่งใดถึงกับต้องใช้คนกลุ่มนี้?”

ซานจงเมินคำถามของนางไปเสียอย่างนั้น “คนกลุ่มใด”

จ่างซุนเสินหรงมองไปทางปากตรอกที่ชายหนวดเคราครึ้มจากไป “หลายคนนั้น…เป็นพวกลู่หลิน?”

หากพูดให้น่าฟังสักหน่อยก็คือจอมยุทธ์พเนจรในยุทธภพ พูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือพวกลี้ภัยเดนตายที่กล้าทำทุกอย่างทั้งลักขโมยจี้ปล้น ฆ่าคนวางเพลิง ไม่แปลกที่ตอนอยู่ในจุดพักม้าคนพวกนั้นถึงได้ก้าวร้าวขั้นนั้น อ้าปากก็ผู้สูงศักดิ์บ้าบออยู่ทุกคำ

สายตาที่ซานจงมองนางไหวระริก “ใครเป็นคนบอกเจ้า”

นี่ดูเหมือนไม่ใช่สิ่งที่นางจะรู้ได้

“แค่มองก็ดูออกแล้ว เสื้อผ้าพวกนั้นดูออกได้อย่างชัดเจนมาก” ตั้งแต่เล็กนางก็ศึกษาค้นคว้าเรื่องภูเขาแม่น้ำลำธารหนองบึง พวกคนทุกประเภทก็เคยเห็นมามากแล้ว เหอซื่อพูดไว้ไม่ผิดแม้แต่นิดเดียว บุรุษผู้นี้จัดการควบคุมพวกอันธพาลผู้ร้ายได้อย่างอยู่หมัดจริงๆ แม้แต่พวกลู่หลินก็สามารถเอามาใช้ทำงานให้เขาได้

ซานจงยิ่งพินิจพิจารณานางอย่างละเอียดมากขึ้น บางทีเขาอาจจะประเมินนางต่ำเกินไป

จ่างซุนเสินหรงแทบจะพิงอยู่ที่หน้าต่างไปครึ่งตัวแล้ว มือหนึ่งยันคางพูดว่า “เป็นถึงผู้บัญชาการทหารรักษาเมืองของท้องถิ่น กลับคลุกคลีอยู่กับพวกอันธพาลผู้ร้าย ซ้ำยังอนุญาตให้พวกเขาเข้าพักในจุดพักม้าได้อีก ไม่รู้จริงๆ ว่าโยวโจวอันใหญ่โตแห่งนี้มีกฎหมายอยู่ที่ใด”

ซานจงมองดวงตาคู่ที่เป็นประกายแพรวพราวของนางแล้วก็นึกขบขัน

“ข่มขู่ข้าหรือ” เสียงของเขาเข้มขึ้นกะทันหัน “แล้วอย่างไร ข้าก็คือกฎหมายของโยวโจว”

จ่างซุนเสินหรงตะลึงงันอยู่บ้าง ยิ่งมองดูใบหน้าของซานจงให้ชัดขึ้น เขามีคิ้วเรียวดุจกระบี่นัยน์ตาดุจดวงดาวอยู่แท้ๆ ทว่าแววตากลับเปี่ยมด้วยความชั่วร้าย เหมือนกับกำลังข่มขู่นางอยู่อย่างไรอย่างนั้น ช่างเป็นบุรุษที่อวดดีเสียจริงๆ

“เช่นนั้นก็บังเอิญแล้วล่ะ” นัยน์ตานางกลอกกลิ้งเล็กน้อย นิ้วมือที่ยันคางอยู่เคาะๆ อยู่บนแก้ม “ท่านจงรู้ไว้ ข้าผู้นี้ชอบที่จะท้าทายกฎหมายเสียให้ได้ โดยเฉพาะ…กฎหมายโยวโจวของพวกท่าน”

หัวคิ้วซานจงกระตุก นัยน์ตาดำขลับจ้องนางนิ่ง ฟังออกว่าในวาจาของนางมีนัยแฝงอยู่

 

ที่นอกห้องเหอซื่อไม่ได้รู้เรื่องอะไรแม้แต่น้อย นางเอ่ยถามอย่างยิ้มแย้ม “คุณหนูเลือกจนพอใจแล้วหรือไม่”

จ่างซุนเสินหรงที่อยู่ในห้องยื่นมือข้างหนึ่งมาเปิดฝากล่องกำยาน ปลายนิ้วจิ้มลงไปทีหนึ่ง แล้วยื่นมือส่งออกไป ยกนิ้วไปตรงเบื้องหน้าเขา “หอมหรือไม่”

ผงกำยานปลิวเล็กน้อย กลิ่นหอมลึกล้ำลอยอ้อยอิ่งอยู่ที่ปลายจมูกของซานจง เขามองนิ้วมือที่ขาวเรียวเหมือนกับต้นหอมของนาง แล้วก็มองไปที่ด้านหลังของนางอีกแวบหนึ่ง ค่อยๆ เหยียดตัวตรง “ถามตัวเจ้าเองเถิด”

เหอซื่อเข้ามาแล้ว จ่างซุนเสินหรงก็นั่งตัวตรง ก่อนหันกลับไปในห้องยิ้มพลางตอบกลับเสียงดัง “เลือกเสร็จแล้วล่ะ” ตอนที่เหลือบมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง นางก็ไม่รู้สึกผิดคาดสักนิดที่ไม่เห็นเงาร่างของบุรุษผู้นั้นแล้ว

 

นอกปากตรอกก่วงหยวนจะมาพบผู้เป็นนาย กลับถูกหูสืออีสกัดขวางเอาไว้พอดี

เขาเพิ่งจะเห็นรถม้าที่จอดอยู่หน้าประตูร้านขายกำยาน แล้วยังมีตงไหลองครักษ์ข้างกายคุณหนูเอาแต่ใจตัวผู้นั้นอีก จึงลากก่วงหยวนมาถาม “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าก็มาคอยรับใช้คุณหนูเอาแต่ใจตัวผู้นั้นแล้วล่ะ ประหลาดจริงๆ ข้าเห็นท่านหัวหน้าก็ดูแปลกไปมากเหมือนกัน เพิ่งจะพบสตรีผู้นั้นเป็นครั้งแรกก็ยอมอ่อนข้อให้นางแล้ว จากนั้นบอกว่าจะไม่ไปคุ้มครองนาง แต่สุดท้ายกลับส่งนางเข้าไปในภูเขาอีก เจ้าพูดซิ ก่อนหน้านี้เขาเคยยอมให้ผู้ใดบ้าง!”

ก่วงหยวนอ้าปากแล้วก็หุบไปอีก ผลักหูสืออีออกไปให้พ้นทางแล้วก็จากไป “ข้าไม่รู้!”

หูสืออีเบิ่งตามองดูเงาด้านหลังของก่วงหยวนแล้วด่าว่า “นี่มันวาจาผายลมหรือไร รู้ด้วยหรือว่าข้าจะถามอะไรเจ้า!” พูดจบเขาก็เห็นซานจงเดินออกมาจากปากตรอก เดินไปพลางมือข้างหนึ่งก็ตบๆ ที่สาบเสื้อด้านหน้าไปด้วย

หูสืออีเดินเข้าไปหาผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว สูดจมูกทีหนึ่ง แล้วก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อดูเขา “ท่านหัวหน้า ไฉนบนตัวท่านถึงมีกลิ่นหอมเล่า”

ซานจงดึงสาบเสื้อลง กลิ่นหอมจุดนั้นไม่เพียงทิ้งกลิ่นไว้ชั่วขณะ ถึงกับยังคงหอมอยู่ไม่คลาย เขาเหลือบมองทางหางตาผ่านปากตรอกไป “เจ้าดมผิดแล้ว”

บทที่ 10

ตอนพระอาทิตย์ตกจ่างซุนเสินหรงแยกจากเหอซื่อกลับไปที่พัก ใบหน้ายังแฝงไปด้วยรอยยิ้มอยู่ ทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นหอมลึกล้ำ

เมื่อเข้าไปในห้องนางก็เห็นจ่างซุนซิ่นนั่งอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นรอยยิ้มของนาง จึงถามอย่างอยากรู้ “ดูท่าออกไปข้างนอกกับฮูหยินผู้ว่าการมาเที่ยวหนึ่งจะพอใจมากกระมัง”

รอยยิ้มบนใบหน้าของจ่างซุนเสินหรงพลันหายไปทันที “ไม่ใช่หรอก”

เมื่อครู่นางก็แค่นึกถึงสภาพของบุรุษผู้นั้นตอนที่อยู่นอกหน้าต่างเท่านั้นเอง

จ่างซุนซิ่นก็ไม่ได้สนใจอะไร เพียงถอนหายใจคราหนึ่ง “ข้ากลับกำลังวิตกอยู่”

“มีเรื่องอะไร” จ่างซุนเสินหรงถามเสร็จก็คิดขึ้นมา “หรือว่าผลของการเก็บรวบรวมลักษณ์ไม่ดีหรือ”

จ่างซุนซิ่นพยักหน้า “ยังไม่หมด ทางฉางอันยังส่งจดหมายมาด้วย” เขาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นส่งไปให้นาง

จ่างซุนเสินหรงรับมาอ่านดู จดหมายเขียนถึงจ่างซุนซิ่น เป็นลายมือของจ้าวกั๋วกงบิดาของพวกเขาเอง

หลังจากที่พวกเขาออกมาจากฉางอันไม่นานก็มีขุนนางคนสำคัญก่อการเคลื่อนไหว ราชเลขาธิการก็ทำความผิดพ้นจากตำแหน่งไปแล้วด้วยเช่นกัน เจ้าชีวิตองค์ใหม่ไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อยนิด ลงโทษเนรเทศเขาเพียงคนเดียวถึงหนึ่งพันหลี่

จ้าวกั๋วกงเขียนจดหมายมาเป็นพิเศษก็เพื่อให้จ่างซุนซิ่นรู้ถึงเรื่องนี้ จ่างซุนซิ่นรู้กระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่า บิดาต่อหน้าพูดเช่นนี้ก็เพียงต้องการจะเตือนเขาว่าเรื่องขุดหาแร่ต้องเร่งให้เร็วขึ้นอีก

ในทางกลับกันสำหรับน้องสาวซึ่งเป็นสุดที่รักของทั้งบ้านย่อมไม่อาจเร่งรัดกดดันนางได้แน่นอน จึงเขียนจดหมายระบุชื่อถึงเขา แต่เรื่องนี้เร่งร้อนไม่ได้ เตือนเขาเพียงคนเดียวจะมีประโยชน์อะไร ไม่ใช่ว่าต้องดูจ่างซุนเสินหรงว่าอย่างไรอีกหรือ ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้ยังคงไม่ราบรื่น

จ่างซุนเสินหรงอ่านจบแล้วก็คืนจดหมายให้เขา “ผลจากการเก็บรวบรวมลักษณ์เป็นอย่างไรกันแน่”

จ่างซุนซิ่นส่ายหน้า “ไม่ได้อะไรเลย”

หลังจากเก็บพื้นผิวก็ไม่ได้ออกจากที่พักเป็นเวลาหลายวัน เพราะพวกเขากำลังตรวจสอบ ‘พื้นผิวที่เก็บกลับมา’ เหล่านั้น พวกต้นหญ้าก้อนหินของภูเขาแม่น้ำหนองบึงก็เหมือนกับเป็นเครื่องหมายบางอย่างที่สามารถให้คนใช้เป็นแนวทางได้ แสดงให้เห็นว่าที่ซุกซ่อนอยู่ด้านล่างนั้นคือแร่อะไรกันแน่ แต่จ่างซุนเสินหรงไม่เคยคิดเลยว่าตอนนี้ผู้เป็นพี่ชายถึงกับพูดว่า ‘ไม่ได้อะไรเลย’ นั่นไม่ใช่พูดว่าไม่มีแร่หรือ

นางขมวดคิ้ว “เป็นไปได้อย่างไรกัน”

ม้วนหนังสือที่ตกทอดจากบรรพชนไม่มีทางผิดพลาด นางมั่นใจว่าสถานที่นั้นควรมีอะไรถึงจะถูก

จ่างซุนซิ่นพูดว่า “ข้าก็รู้สึกว่าไม่น่าเป็นเช่นนี้ แต่พวกกิ่งไม้ใบหญ้าที่เอากลับมาไม่มีอะไรพิเศษเลยจริงๆ” เขาทอดถอนใจอีกครั้ง “ภายในภูเขานั่นน่ากลัวว่าแม้แต่ทองแดงสักนิดก็คงไม่มี”

จ่างซุนเสินหรงนั่งลงที่ด้านข้าง ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ

จ่างซุนซิ่นพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว ในท้ายจดหมายของท่านพ่อมีพูดถึงน้องรองสกุลเผยด้วย อีกฝ่ายถามถึงเจ้าเพราะเขายังไม่รู้ว่าเจ้ามาที่โยวโจว อยากจะตอบจดหมายเขาหรือไม่”

สกุลเผยก็เป็นตระกูลใหญ่ในฉางอัน เป็นตระกูลเดิมของมารดา ลูกหลานในตระกูลย่อมเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพวกเขา น้องรองสกุลเผยที่จ่างซุนซิ่นพูดถึงจ่างซุนเสินหรงจะต้องเรียกอีกฝ่ายว่า ‘พี่รอง’ มีชื่อเรียกว่า ‘เผยเซ่ายง’ กับสกุลจ่างซุนถือได้ว่ามาเยี่ยมเยียนกันบ่อยๆ

เรื่องที่จ่างซุนเสินหรงเดินทางไกลไม่ได้เปิดเผยต่อภายนอกเลย นอกจากคนในบ้านแล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องที่นางมายังโยวโจวซึ่งห่างไกลนับพันหลี่ พี่รองสกุลเผยท่านนี้สนิทสนมคุ้นเคยกับพวกเขาดี และปกติจะห่วงใยทุกคนเป็นอย่างมาก อีกฝ่ายถามถึงนางก็ไม่แปลกแต่อย่างใด

จ่างซุนเสินหรงถูกเบี่ยงเบนเรื่องไปก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจอยู่แล้ว จึงส่ายหน้า “ไม่ดีกว่า เวลานี้ยังต้องจัดการงานนี้ให้เรียบร้อย”

จ่างซุนซิ่นขยับเข้าไปชิดนาง “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจะจัดการอย่างไร”

เขาร้อนใจปานนี้ จ่างซุนเสินหรงกลับยิ้มขึ้นมา “ไปอีกรอบก็ได้แล้ว ท้องฟ้ายังไม่ได้ถล่มลงมาสักหน่อย ข้าไม่เชื่อหรอกว่างานนี้พวกเราจะทำไม่สำเร็จ”

จ่างซุนซิ่นเห็นนางหน้าตาดูผ่อนคลายก็อดจะโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ ไม่แปลกที่ทั้งบ้านล้วนรักใคร่ตามใจนาง เมื่อมีนางอยู่ทุกอย่างล้วนปลอดโปร่งแจ่มใสอยู่เสมอ นางไม่ใช่คนหดหู่หม่นหมองประเภทนั้นเด็ดขาด และตลอดมาก็จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยเช่นกัน

จ่างซุนเสินหรงลุกขึ้นไปเตรียมตัวทันทีพลางร้องเรียกจื่อรุ่ยที่ด้านนอกไปด้วย “อย่าลืมส่งข่าวไปที่จวนบัญชาการทหาร”

เช้าวันต่อมาในจวนบัญชาการทหารก็มีการฝึกเหมือนเช่นปกติ

ซานจงได้ยินพลทหารมารายงานว่ามีคนส่งข่าวมาจากทางจวนพักขุนนาง บอกว่าคณะของรองเสนาบดีจ่างซุนอยากจะเข้าไปในภูเขา เขาจึงออกมาจากลานฝึกซ้อมเรียกหาจางเวย

หูสืออีที่เพิ่งไปเฝ้าเวรยามภายในเมืองวิ่งเหยาะๆ เข้ามา “ท่านหัวหน้า จางเวยไปตั้งแต่เช้าแล้ว ข้ากลับได้ยินข่าวที่ส่งมาแจ้งว่ารองเสนาบดีจ่างซุนระบุชื่อว่าต้องการให้ท่านไป บอกว่ามีเรื่องจะถามท่านขอรับ”

“จ่างซุนซิ่น?” ซานจงสวมเกราะแขนพลางคิดในใจว่า หรือว่าวันนี้จ่างซุนเสินหรงไม่ได้ไปแล้ว

หูสืออีเอ่ยกับเขา “ตอนที่ข้าเพิ่งออกจากเมืองก็เจอกับจางเวยแล้ว เห็นพวกเขาเร่งรุดไปที่ภูเขาอย่างเรียบร้อย ดูไม่ค่อยเหมือนกับเมื่อครั้งก่อน ทั้งยังนำเครื่องมือไปด้วย”

ซานจงครุ่นคิดอยู่สักครู่ก็หยิบดาบขึ้นมา แล้วออกไปข้างนอก

หูสืออีก็ไม่รู้ว่าหัวหน้าตนเตรียมจะทำอะไรกันแน่ ได้แต่พาคนในหน่วยของตนเองติดตามไป ตอนที่กำลังจะออกจากจวนบัญชาการถึงได้มีอาการตอบสนองกลับมา…นี่เพิ่งจะกี่ครั้งเอง เหตุใดถึงดูเหมือนว่าเคยชินไปแล้วล่ะ จะไปคอยรับใช้คุณหนูเอาแต่ใจตัวอีกแล้วหรือ

 

ถึงแม้ในส่วนลึกของภูเขาจะมีคนพร้อมม้าจำนวนมากเดินทางมาติดๆ กันอยู่หลายเที่ยว ทว่าเส้นทางในภูเขากลับไม่มีร่องรอยของการถูกเหยียบย่ำแต่อย่างใด

ตอนที่ซานจงขี่ม้าเข้าไปในภูเขาเขากวาดตามองดูเป็นพิเศษแล้วรอบหนึ่งก็รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง หลายครั้งที่สกุลจ่างซุนเข้าไปในภูเขานี้กลับเหมือนดูคุ้นเคยเป็นอย่างมาก แต่พวกเขาก็ไม่น่าจะเคยมาที่โยวโจวนี้มาก่อน

ในภูเขามีเงาคนตะคุ่มๆ อยู่ก่อนแล้ว เขาอยู่บนหลังม้ามองเห็นคนที่จ่างซุนซิ่นพามาเดินตรงเข้าไปในเขาวั่งจี้อย่างเอิกเกริก เหมือนกับที่หูสืออีบอกไว้จริงๆ ทั้งหมดนำเครื่องมือมาด้วยเหมือนกับมาเพื่อจะขุดภูเขา

จนกระทั่งถึงหล่มโคลนที่ผ่านไปเมื่อวันนั้นซานจงจึงหยุดม้าเอาไว้ สายตากวาดไปรอบหนึ่ง แล้วพลันหยุดลงเมื่อมองเห็นเงาร่างของสตรียืนรับลมอยู่

นางมาอีกแล้ว เขายิ้มเล็กน้อย รู้ในทันทีว่าคนที่เจาะจงให้เขามาคือผู้ใด เข้าใจได้โดยไม่ต้องมีใครบอก

 

จ่างซุนเสินหรงยืนอยู่โดยมีจื่อรุ่ยกำลังถอดเสื้อคลุมให้ นางมองออกไปทางด้านนอกของภูเขาก็เห็นบุรุษที่พกดาบขี่ม้าผู้นั้นแล้ว

“เสร็จแล้วหรือไม่” นางเอ่ยเร่งรัด

“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” จื่อรุ่ยเก็บเสื้อคลุมอย่างว่องไวและถอยออกไป

จ่างซุนเสินหรงเดินไปทางด้านนั้น

ซานจงลงจากม้าพอดี พอหันกลับมาก็เห็นนางแล้ว

“คราวนี้กลับยอมมาด้วยตนเองได้แล้วหรือ” นางก็สวมชุดของชาวหูโดยรัดตรงข้อมือให้แคบ ตัวเสื้อกระชับเข้ากับเอวคอดบาง นางยืนตัวตรงอยู่เบื้องหน้าเขา

“มาดูๆ สักหน่อยว่าพวกเจ้าตกลงไปในหล่มโคลนแล้วหรือไม่” สายตาซานจงกวาดผ่านร่างของนางไปคราหนึ่ง เขาโยนสายบังเหียนทิ้งไป “อย่าได้พอถึงเวลาแล้วช่วยไม่ทันเล่า”

“ดูถูกข้ารึ” จ่างซุนเสินหรงบ่นพึมพำ คิดในใจว่าขอแค่มีนางอยู่ พื้นที่พวกนั้นก็เลี่ยงได้ตั้งนานแล้ว จู่ๆ นางก็เอ่ยถามว่า “ถ้าพวกเขาตกลงไปจริงๆ ท่านจะช่วยอย่างไร” พูดแล้วนางก็มองดูที่เอวของเขาด้วยสายตามีเลศนัยไปด้วย

ซานจงเห็นสายตาของนางก็ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ควรช่วยอย่างไรก็ช่วยอย่างนั้น”

ล้วนเป็นบุรุษกันทั้งนั้น จะช่วยอย่างไรก็ได้ นางคิดว่าจะเหมือนกับที่เขาทำกับนางในวันนั้นทั้งหมดเชียวหรือ เขาถึงกับรู้สึกขบขันอยู่บ้างว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่

“ได้ยินว่าวันนี้พี่ชายของเจ้ามีเรื่องจะถามข้า” เขาเข้าเรื่อง

จ่างซุนเสินหรงพูด “ข้าต่างหากที่มีเรื่องจะถามท่าน”

ซานจงกอดดาบเอาไว้ในวงแขนเพราะเดาออกตั้งนานแล้ว จึงไม่รู้สึกผิดคาด “ถามสิ”

จ่างซุนเสินหรงชี้ไปทางด้านหนึ่ง “หล่มโคลนทางด้านนั้นไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เดิมทีพื้นที่แถบนั้นชื้นแฉะมากใช่หรือไม่”

“อืม” ก็เพราะเป็นอย่างนี้ถึงสามารถเอามาทำเป็นกับดักได้ ซานจงมองนาง “เจ้าถามเรื่องนี้ไปไย”

“ท่านเดาดูสิ” นางเบิ่งตาโตมองดูเขา แววตาสีหน้ามีสีสันเป็นประกายอยู่ท่ามกลางสายลมภูเขา

ซานจงมองนางอีกครั้งก่อนจะเบนสายตาไป รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก “ต่อไปถ้าจะถามเรื่องพวกนี้ให้ไปถามจางเวย”

“ข้าจะถามแต่ท่านเท่านั้น”

เขากลอกตา ถูกน้ำเสียงที่เอาแต่ใจตัวของนางทำให้ขบขันไปแล้ว รอจนหันกลับมามองอีกที กลับเห็นนางเดินไปเดินมาอย่างช้าๆ อยู่ข้างหน้า เหมือนกับกำลังไตร่ตรองอะไรบางอย่างอยู่ ชายเสื้อชุดชาวหูของนางถูกนิ้วมือของนางจับเอาไว้ ค่อยๆ ม้วนทีละนิดๆ

ไม่นานนักนางก็มองมาที่ใบหน้าของเขาอีก “ท่านรอก่อน”

นางพูดจบก็เดินไปจากข้างหน้าแล้ว

ซานจงมองดูนางจากไป มือก็ดึงบังเหียนขึ้นมา บอกให้ข้ารอก่อน? ให้รอนางกลับมาเพื่ออันใดกัน

“ฉงจวิน” อยู่ๆ ก็มีเสียงคนเรียกเขาขึ้นมา

ในที่ไกลออกไปมีคนขี่ม้าอย่างช้าๆ ลงมาจากภูเขา จ้าวจิ้นเหลียนพาผู้ติดตามขบวนหนึ่งเข้ามาหาแล้ว

เขาลงจากม้าก่อนเดินเข้ามาใกล้ คงจะดูออกว่าซานจงกำลังจะจากไปจึงขวางไว้ทันที “ขุดหาแร่เป็นเรื่องใหญ่ เจ้ากับข้าล้วนต้องอยู่ช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่สามารถไปอธิบายกับเบื้องบนได้”

ซานจงชี้ไปที่จางเวยกับหูสืออีที่เฝ้าอยู่ด้านหน้า “นี่ยังไม่ถือว่าข้าช่วยหรือ”

จ้าวจิ้นเหลียนพูดเบาๆ ตรงหน้าเขาหลายประโยค เมื่อวันก่อนจวนจ้าวกั๋วกงมีจดหมายมาถึงจวนว่าการโยวโจว บอกว่าห่วงใยชาวบ้านโยวโจวอยู่บ้าง ก่อนจะจบจดหมายกลับถามว่าพื้นที่ภูเขาในโยวโจวปลอดภัยดีหรือไม่ เขาก็คาดการณ์ได้แล้วว่านั่นคือการแนะนำให้เขาช่วยเหลือเรื่องขุดหาแร่ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญให้มากๆ

“ข้าคิดจะเขียนจดหมายไปถึงท่านจ้าวกั๋วกง แจ้งว่ามีเจ้าเฝ้ารักษาการณ์อยู่ที่นี่ คาดว่าน่าจะทำให้เขาสบายใจได้” จ้าวจิ้นเหลียนกล่าว

ซานจงหมุนด้ามดาบเล่นอยู่ “ข้าขอแนะนำว่าอย่าได้บอกจะเป็นการดีที่สุด”

จ้าวจิ้นเหลียนอึ้งงันไป กำลังจะถามว่าเพราะเหตุใด ก็พลันนึกถึงเรื่องที่จ่างซุนซิ่นพูดต่อหน้าคนทั้งหลายเมื่อคราวก่อนว่าซานจงสายตาไม่ดี เขาจึงขบคิดทันทีว่าน่ากลัวสองคนนี้คงจะมีปมปัญหากันมาก่อน แผ่นหลังเขาพลันมีเหงื่อซึมออกมา คิดอยู่ในใจว่า โชคดีที่ยังไม่ได้เขียนไป

“นิสัยของท่านนี้ควรจะเปลี่ยนสักหน่อยนะ” จ้าวจิ้นเหลียนทอดถอนใจ รู้สึกสังหรณ์ใจว่าตอนที่ซานจงยังหนุ่มแน่นคงจะก่อเรื่องเอาไว้เป็นแน่ ใครใช้ให้ตัวของซานจงมีนิสัยไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินกันเล่า พูดจบเขาก็โบกๆ มือไปทางด้านหลัง พวกผู้ติดตามที่มาด้วยกันก็นำน้ำชาร้อนๆ ไปให้คนของจ่างซุนซิ่นแล้ว

“ระหว่างพวกท่านต้องคลี่คลายกันสักหน่อย เงยหน้าไม่เจอก้มหน้าก็ต้องเจอ* กันอยู่ดี ท่านยังเป็นหัวหน้าของทหารรักษาการณ์ทั้งพื้นที่นี้ด้วย จากนี้ไปยังอยากจะไต่เต้าต่อไปอีกหรือไม่เล่า” จ้าวจิ้นเหลียนทอดถอนใจอีกครา เอาแต่ส่ายหน้า

ซานจงกลับหัวเราะร่วนออกมาแล้ว เขายังไม่เคยคิดถึงเรื่องไต่เต้าในหน้าที่การงานมาก่อนเลย

“ท่านหัวเราะอะไร” จ้าวจิ้นเหลียนสงสัย

“ไม่มีอะไร”

“ช่างเถอะ พรุ่งนี้ท่านมาที่จวนว่าการหน่อยเถิด” จ้าวจิ้นเหลียนพูดจบก็ยกชายชุดขุนนางขึ้น เดินโขยกเขยกไปหาจ่างซุนซิ่นด้วยตนเอง

ซานจงเดิมคิดจะจากไปอยู่แล้ว แต่พลันนึกถึงเหตุการณ์คราวก่อนขึ้นมา คิดๆ แล้วก็หยุดเท้ามองไปที่จ่างซุนเสินหรง จากนั้นสองตาก็หรี่ลงทันที สองมือเขากอดอก นางยังคงนำอยู่ข้างหน้าเช่นนั้นอยู่เหมือนเดิม

 

จ่างซุนเสินหรงมองไปยังหล่มโคลนที่อยู่ไกลๆ ข้างหน้าแวบหนึ่ง แล้วก็มองดูยอดเขาที่เบื้องหน้าอีกที

โยวโจวตั้งอยู่ทางภาคเหนือ ยอดเขาไม่สม่ำเสมอกัน แม้แต่สภาพผิวดินข้างในก็เปลี่ยนแปลงจนนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีบริเวณที่ชื้นแฉะทั้งแถบเช่นนี้อยู่ด้วย

จ่างซุนซิ่นเดินเข้ามาถาม “เป็นอย่างไร”

“สำรวจภูมิลักษณ์อย่างเดียวคงจะไม่พอแน่นอน” นางกล่าว “ต้องเจาะภูมิลักษณ์ถึงจะได้”

จ่างซุนซิ่นพยักหน้า หันกลับไปเรียกคนมา

ตงไหลนำหน้ามาก่อน บรรดาองครักษ์แต่ละคนแต่งกายเรียบร้อย ในมือถือเครื่องมือที่พวกเขาเอามาด้วยในตอนที่มา เป็นพลั่วเหล็กขุดเจาะภูเขาสร้างขึ้นจากเหล็กชั้นเยี่ยม ทั้งยังเป็นแร่เหล็กที่พวกเขาขุดหาพบในสมัยก่อนด้วย

การเจาะภูมิลักษณ์ก็คือการสั่งให้คนขุดพื้นดินลึกลงไปสามฉื่อ* เพื่อสำรวจ แต่จะต้องขุดให้ถูกที่ถึงจะเห็นผล จ่างซุนเสินหรงหยิบม้วนหนังสือออกมาดูอีกรอบ พอเก็บแล้วก็พูดว่า “ตามข้ามา”

นางก้าวเดินช้าๆ ไปตามแนวของหล่มโคลน ค่อยๆ คำนวณระยะทางไปด้วย หลังจากยืนนิ่งแล้วก็พูดขึ้น “ขุดที่ตรงนี้สามฉื่อ และตลอดทางไปจนถึงตาภูเขาวั่งจี้ รอจนถึงทางมุมตะวันออกของภูเขาข้างแม่น้ำนั่น ที่ริมตลิ่งค่อยขุดลงไปอีกสามฉื่อ มีอะไรโผล่ออกมาต้องมารายงานให้หมด”

ตงไหลรับคำสั่ง ทุกคนรีบลงมือขุดทันที

จ่างซุนซิ่นเดินขึ้นมาข้างหน้าคอยบังฝุ่นละอองให้นาง “ภูมิลักษณ์ไม่ใช่จะขุดเจาะออกมาได้ในเวลาสั้นๆ เจ้ากำหนดตำแหน่งแน่นอนก็พอแล้ว อย่าได้ทนรับความลำบากอยู่ที่นี่เลย”

พอมองเห็นจ้าวจิ้นเหลียนเดินตรงมาหาแต่ไกลเข้า จ่างซุนเสินหรงจึงหันกลับไปตามเส้นทางเดิม นึกถึงที่เมื่อครู่นางบอกบุรุษผู้นั้นให้รอนางก่อน ตอนที่กำลังจะไปจ่างซุนซิ่นก็เดินมาเรียกนางไว้ก่อน นางได้ยินจ้าวจิ้นเหลียนพูดเสียงดังว่า “พรุ่งนี้ข้าจัดงานเลี้ยงที่จวน ขอเชิญท่านทั้งสองให้เกียรติไปร่วมงานด้วย…”

ซานจงที่อยู่ทางด้านนี้มองอยู่จนถึงตอนนี้ ก่อนรู้สึกว่าตนเองดูอยู่นานเกินไปแล้วจริงๆ

กระทั่งจ่างซุนเสินหรงได้เดินอย่างงามสง่ามาถึงตรงเบื้องหน้าเขาแล้ว “ข้ายังนึกว่าท่านจะไม่รอแล้วเสียอีก”

เขาถาม “รอใคร”

นางจงใจมองไปรอบๆ “ที่นี่ยังมีผู้อื่นอีกหรือ”

 

เชิงอรรถ

บนใบหน้าของซานจงเผยรอยยิ้มที่ดูเสเพลอันตรายขึ้นมาทันที จากนั้นก็ไม่พูดอะไร เขารู้ดีว่ายามใดควรพูดไม่ควรพูด อย่างเช่นในขณะนี้

จ่างซุนเสินหรงไม่ต้องรอให้เขาพูด เพียงเห็นแค่รอยยิ้มของเขานางก็คิดในใจว่า ยิ้มอะไรนักหนา ใบหน้านางบึ้งตึงขึ้นทันที

* เงยหน้าไม่เจอก้มหน้าก็ต้องเจอ เป็นสำนวน หมายถึงอยู่ในสถานที่เดียวกัน อย่างไรก็ต้องเจอกันจนได้

* ฉื่อ (เชียะ) เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน สมัยโบราณเทียบระยะประมาณ 10 นิ้ว หรือหนึ่งส่วนสามเมตร ปัจจุบันยังใช้คำนี้ในความหมายว่า ‘ฟุต’

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: