บทที่ 10
เซียวหลิ่นมีนิสัยไม่ชอบโอ้อวด ดังนั้นงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของเขา จึงมิอาจกล่าวได้ว่าสนุกครื้นเครงมากนัก
หลังจากนางรำขึ้นยกพื้นมาบรรเลงดนตรีและร่ายรำแล้ว ก็เหลือเพียงการทักทายปราศรัยระหว่างขุนนางใหญ่เท่านั้น
เวลานี้เอง มีบุรุษที่หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังผู้หนึ่งเดินเข้ามา ชายผู้นี้สวมชุดขาวครอบเกี้ยวหยก เอวประดับหยกสีใสกระจ่างชิ้นหนึ่ง
“วันเกิดน้องหก ข้ามาช้า หวังว่าน้องหกจะไม่ถือโทษ” แม้เขาจะยิ้มอยู่ แต่ดวงตากลับมิใช่เช่นนั้น
เซียวหลิ่นนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน ใบหน้าที่เดิมทีสุภาพอ่อนโยน เห็นเขาแล้วกลับเย็นชาขึ้นหลายส่วน
เซียวหลิ่นลุกขึ้น “พี่สี่”
ที่แท้เป็นจ้าวอ๋อง
หลีซูซูลอบพิจารณาจ้าวอ๋องผู้นี้ ฝีเท้าเขาล่องลอยเล็กน้อย ก้นบึ้งดวงตาสะท้อนสีเขียวเข้มจางๆ แววตาคมกริบ
มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบุคคลที่ไม่น่าคบหา
ฐานะของจ้าวอ๋องเองก็ไม่ธรรมดา มารดาเขาเป็นกุ้ยเฟย* ที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด อำนาจฝั่งมารดาของกุ้ยเฟยแข็งแกร่ง การแย่งชิงบัลลังก์ในอนาคตนั้น เขาเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของเซียวหลิ่น
จ้าวอ๋องเซียวเซิ่นนั่งลงตรงตำแหน่งประธานอีกที่ เขาหรี่ตาน้อยๆ สายตาหยุดที่ร่างของเยี่ยปิงฉาง “ชายารองฉาง ไม่พบกันหลายวัน ไฉนเจ้าจึงดูเปราะบางน่าสงสารกว่าเดิม ดวงหน้าเล็กซีดขาวเช่นนี้ ชวนให้คนเห็นแล้วยิ่งอยากทะนุถนอม หรือว่าน้องหกดูแลเจ้าไม่ดี”
ถ้อยวจีของเขาเจือแววหัวเราะ สายตากลับวนเวียนอยู่บริเวณลำคอและปกเสื้อของเยี่ยปิงฉางอย่างไม่ประสงค์ดี
เยี่ยปิงฉางเบนสายตาไปทางอื่นอย่างอึดอัด หว่างคิ้วฉายความไม่พอใจจางๆ ทว่านางยังมีมารยาทเต็มเปี่ยม ลุกขึ้นคารวะ “จ้าวอ๋องอย่าได้เอาข้ามาล้อเล่นเลย”
จ้าวอ๋องกระดกริมฝีปาก สายตาประหนึ่งเหยี่ยวยังคงจ้องมองเยี่ยปิงฉาง
เซียวหลิ่นใบหน้าบึ้งตึงแล้ว เขากระแทกจอกสุราอย่างแรง “พี่สี่ เรื่องภายในครอบครัวข้า ไม่รบกวนพี่สี่เป็นกังวล”
จ้าวอ๋องเดาะลิ้น เห็นเซียวหลิ่นที่เปรียบดังเทพเซียนโมโห กลับมิกล้าหยอกเย้าต่อ
น้องหกผู้นี้จิตใจกว้างขวาง ไม่ล่วงเกินเขายังนับว่าดี หากล่วงเกินเข้าแล้ว ย่อมไม่มีจุดจบที่ดีแน่ เขาเลื่อนสายตาออกไป นึกอะไรได้จึงหันมามองสกุลเยี่ยทางนี้ด้วยความสนใจ
“คุณหนูสามสกุลเยี่ยก็อยู่ด้วยหรือ” จ้าวอ๋องเห็นหลีซูซูแล้ว ความสนใจถูกจุดขึ้นในดวงตาหลายส่วน
ความทรงจำของเขาที่มีต่อคุณหนูสามผู้นี้หยุดอยู่แค่ในอดีต แม่นางน้อยผู้หนึ่งที่ร้ายกาจเอาแต่ใจ จิตใจชั่วร้ายดุจอสรพิษ ทว่าคุณหนูสามสกุลเยี่ยในวันนี้ หว่างคิ้วแต้มฮวาเตี้ยนร้อนแรงจุดหนึ่ง กลับดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
หากบอกว่าคุณหนูใหญ่สกุลเยี่ยเป็นปทุมมาที่บานสะพรั่งงดงาม คุณหนูสามผู้นี้ก็เป็นดอกเสาเย่า* แรกผลิบาน ดรุณีน้อยที่เพิ่งจะโตเป็นสาว ทั้งไม่ประสาและเย้ายวน
แม่นางทั้งสองของสกุลเยี่ย รูปโฉมไม่เลวจริงๆ
หลีซูซูที่ยามนี้นั่งกินแตงอยู่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสุดท้ายจ้าวอ๋องผู้นี้กลับเบนความสนใจมาที่ตน
สายตาเขาให้ความรู้สึกที่ชวนให้คนไม่สบายตัว
หลีซูซูสุขุมทีเดียว นางพูดกับจ้าวอ๋องว่า “ข้าน้อยขอคารวะจ้าวอ๋อง” จากนั้นนางหลบไปอยู่ข้างหลังถานไถจิ้นเหมือนจะแกล้งเขา
ไปเลย! มารร้ายนิสัยเสีย เจ้าไปรับหน้าจ้าวอ๋องเถอะ
ถานไถจิ้นมองเด็กสาวข้างหลังอย่างตกตะลึง
นางมองตอบเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
ถานไถจิ้นแววตาวูบไหว มองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะเผชิญกับสายตาของจ้าวอ๋องแทนนาง
จ้าวอ๋องยิ้มเจ้าเล่ห์ “จื้อจื่อ ไม่พบกันนาน ใช้ชีวิตในจวนแม่ทัพสบายกว่าในวังเย็นหรือไม่”
หลีซูซูรู้สึกว่าจ้าวอ๋องผู้นี้เหมือนปูที่เดินวางก้ามไปทั่ว มิเพียงบ้าตัณหาลามก ไอเหี้ยมเกรียมยังรุนแรง จับใครได้เป็นต้องเหน็บแนมสองสามคำ ตั้งแต่เขาปรากฏตัว บรรยากาศในงานเลี้ยงก็เปลี่ยนไปหมด
ถานไถจิ้นเอ่ยตอบ “ขอบคุณจ้าวอ๋องที่เป็นห่วง จวนแม่ทัพดีมาก”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าคิดถึงเพื่อนเล่นวัยเยาว์อย่างจื้อจื่อมากเชียวล่ะ” จ้าวอ๋องเลิกอาภรณ์ แยกขาออกจากกันเล็กน้อย สีหน้าแฝงแววเยาะหยันดูแคลน
ถานไถจิ้นผงกศีรษะหน้าไม่เปลี่ยนสี คารวะสุราจ้าวอ๋องหนึ่งจอก
จ้าวอ๋องเลิกคิ้ว รู้สึกประหลาดใจมาก
จื้อจื่อผู้เป็นเชลยศึกต้อยต่ำผู้นี้ เมื่อก่อนตอนมุดลอดหว่างขาเขาไป มือกำดินแน่นจนเส้นเลือดเขียวบนหลังมือปูดโปนขึ้นมา บัดนี้เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้เป็นนัยหยามหมิ่นจื้อจื่อ ท่าทีของถานไถจิ้นกลับนิ่งสงบมาก น่าสนใจยิ่ง
หลีซูซูฟังคำพูดนี้แล้วหัวใจหดเกร็งอย่างห้ามไม่อยู่ นางคิดถึงคำพูดของหมัวมัวในวังคราวก่อน ดูเหมือนเหล่าองค์ชายจะกลั่นแกล้งถานไถจิ้นบ่อยครั้งเพื่อความสำราญ
จ้าวอ๋องทำอะไรกับถานไถจิ้นกันแน่
นางอดหันไปมองถานไถจิ้นมิได้ พยายามมองให้เห็นเบาะแสบางอย่าง แต่กลับเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างที่ผอมซูบของเด็กหนุ่ม ขนตายาวของเขาบดบังดวงตาสีดำ ท่าทีออกจะราบเรียบเกินไป
ครั้นเห็นงานเลี้ยงที่สนุกสนานปรองดอง บรรยากาศกลับเปลี่ยนเป็นชะงักงันเพราะจ้าวอ๋อง ขุนนางใหญ่ร่างอ้วนท้วนผู้หนึ่งก็ยิ้มเอ่ย “ก่อนหน้านี้ผู้น้อยเพิ่งเดินทางกลับจากชายแดนต้าซย่า ได้ของที่น่าสนใจมากอย่างหนึ่งมา ไม่ทราบว่าท่านอ๋องทั้งสองและใต้เท้าทุกท่านอยากจะชื่นชมร่วมกันหรือไม่”
ร่างกายจ้าวอ๋องโน้มไปข้างหน้า “อ้อ? ใต้เท้าหลี่อย่าได้เอาของธรรมดาสามัญมาหลอกข้าเป็นอันขาด เอาออกมาดูเถอะ”
ใต้เท้าหลี่ยิ้มตอบ “ผู้น้อยมิกล้า”
จากนั้นเขาปรบมือ บ่าวรับใช้ก็แบกวัตถุชิ้นใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมเข้ามา มันถูกคลุมด้วยผ้าไหมสีดำ มองไม่เห็นว่าข้างในเป็นสิ่งใด
ใต้เท้าหลี่เดินเข้าไป เลิกผ้าสีดำออก
ภายในกรง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสิงโตที่น่าเกรงขามตัวหนึ่งหมอบอยู่ ทุกคนต่างมองหน้ากัน
ผังอี๋จือพูดขึ้น “ใต้เท้าหลี่ สิงโตแม้พบเห็นไม่บ่อย แต่ก็มิใช่ของหายากอะไร ใต้เท้าหลี่หมายความว่าอย่างไรหรือ”
ใต้เท้าหลี่ยิ้มจนมองไม่เห็นรอยแยกของดวงตา
“ทุกท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ ละครฉากเด็ดอยู่ข้างหลัง” เขาหยิบกล่องหยกขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากใต้อาภรณ์ เปิดฝากล่องและโยนกล่องหยกเข้าไปในกรงขัง
หลีซูซูบังเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดี นางจ้องกล่องใบนั้นเขม็ง
ผึ้งขนาดเท่าเล็บมือตัวหนึ่งบินออกมาจากในกล่อง
“นี่คือผึ้งอัคคีแดง อย่าเห็นว่ามันตัวเล็ก เพียงแค่ตัวเดียว สิงโตก็มิใช่คู่ต่อสู้ของมันแล้ว”
เพิ่งจะขาดคำ สิงโตลุกขึ้นยืนอย่างระแวดระวัง ผึ้งที่มีสีแดงเพลิงตลอดทั้งตัว ถึงขั้นทะลวงเข้าไปในหูของสิงโต
สิงโตเริ่มกระแทกกรงอย่างคลุ้มคลั่ง
ใต้เท้าหลี่คลี่ยิ้มน้อยๆ อึดใจต่อมาสิงโตก็เกร็งกระตุกล้มลงบนพื้น หัวของมันระเบิดออก มันสมองและโลหิตสาดกระจายเต็มพื้น ส่วนผึ้งอัคคีแดงที่ก่อนหน้านี้ตัวขนาดเท่าเล็บมือ บัดนี้เปลี่ยนเป็นมีขนาดเท่ากำปั้นของบุรุษหนุ่ม
ทุกคนต่างเบิกตาโต สีหน้าของบรรดาแขกสตรีย่ำแย่ ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดตา กระเพาะรู้สึกปั่นป่วน
หลีซูซูวางตะเกียบลงทันใด นี่ใช่ของแปลกประหลาดหายากอะไรที่ใด ผึ้งอัคคีแดงนี้เห็นชัดว่าเป็นปีศาจ
ปีศาจปรากฏบนโลกมนุษย์ได้อย่างไร
ดังคาด อึดใจต่อมาใต้เท้าหลี่ที่เดิมทีท่าทางซื่อตรงเป็นมิตร ใบหน้าพลันบิดเบี้ยว “ทุกท่านชมความครึกครื้นพอแล้ว บัดนี้ไปลงยมโลกอย่างสบายใจเถอะ!”
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกะทันหัน ใต้กรงเหล็กที่ขังสิงโต ผึ้งอัคคีแดงหลายสิบตัวพุ่งออกมาทันใด
ผึ้งอัคคีแดงบินมายังกลุ่มคน เสียงหวีดร้องดังไม่ขาด
แม่ทัพใหญ่เยี่ยสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างห้ามไม่อยู่ เขาชักกระบี่พกออกมา เริ่มขับไล่ผึ้งอัคคีแดงที่บินมาทางนี้
ทุกคนล้วนเห็นอานุภาพของเจ้าสิ่งนี้แล้ว ขืนปล่อยให้มันมุดเข้ามาในร่างกาย ไหนเลยยังจะมีทางรอด
เซียวหลิ่นตอบสนองไวกว่า กระบี่ฟันไปที่ลำตัวของผึ้งอัคคีแดงและหันกลับไปสั่ง “คุ้มกันพระชายารองจากไป!”
บ่าวรับใช้รีบคุ้มครองเยี่ยปิงฉางและจะพาจากไป
เยี่ยปิงฉางกุมมือเซียวหลิ่น เอ่ยเสียงสั่นว่า “ท่านอ๋อง”
เซียวหลิ่นสั่ง “ไป!” เขากระชากเสื้อคลุมตัวใหญ่ของตนเองออก ห่อตัวเยี่ยปิงฉางไว้และผลักตัวนางไปยังสาวใช้
เหล่าองครักษ์รีบคุ้มกันเยี่ยปิงฉางจากไป
หลีซูซูเองก็รู้ว่าเกิดปัญหาใหญ่เสียแล้ว เดิมทีคิดว่าโลกมนุษย์สงบสุข สุดท้ายมาร่วมงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดครั้งหนึ่ง กลับเห็นสิ่งที่ไม่สมควรปรากฏในแดนมนุษย์เข้า
แม่ทัพใหญ่เยี่ยแม้วิชายุทธ์จะไม่เลว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนธรรมดา ไหนเลยจะเคยพบเจอผึ้งอัคคีแดงที่แปลกประหลาดและโหดเหี้ยมเช่นนี้
ผึ้งอัคคีแดงปราดเปรียวยิ่ง เยี่ยเซี่ยวไล่ตามอย่างกินแรง
ในงานเลี้ยงมีเสียงร้องโหยหวนดังไม่หยุด หลังจากผึ้งอัคคีแดงได้ทะลวงผ่านร่างกายคน ลำตัวก็มีขนาดใหญ่ขึ้นทุกที
ครั้นเห็นผึ้งอัคคีแดงตัวหนึ่งกำลังจะมุดเข้าไปในศีรษะของแม่ทัพใหญ่เยี่ย กระบี่วาววับเล่มหนึ่งฟันผึ้งอัคคีแดงจนขาดเป็นสองท่อน
เยี่ยเซี่ยวหันกลับไป เห็นนัยน์ตาเฉียบคมงดงามคู่หนึ่ง “ซีอู้?!”
หลีซูซูไม่มีเวลาสนใจว่าท่านพ่อแม่ทัพจะคิดอย่างไร นางบิดข้อมือ ตวัดกระบี่เป็นลวดลาย ขวางอยู่เบื้องหน้า
“ท่านพ่อ พวกเราต้องรีบไป”
หากรอให้ผึ้งอัคคีแดงตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จะยิ่งรับมือไม่ง่าย
เยี่ยเซี่ยวหัวใจจมดิ่ง แต่กลับสามารถแยกแยะหนักเบาได้อย่างรวดเร็ว จึงถอยไปนอกประตู
เจ้าสิ่งนี้ หาใช่สิ่งที่มนุษย์สามารถรับมือได้จริงๆ
ผึ้งอัคคีแดงเกือบสิบตัวบินสะเปะสะปะไปมา ไม่ง่ายเลยกว่าหลีซูซูจะแทงมันตายได้ตัวหนึ่ง
พอหันกลับไปเห็นแม่ทัพใหญ่เยี่ยถอยไปถึงข้างประตูใหญ่แล้ว นางยังไม่ทันได้โล่งอก หันมาอีกทีกลับพบว่าถานไถจิ้นหายไป
หลีซูซูตกใจ ในใจบังเกิดความลนลาน หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา นางก็ไม่ต้องมีชีวิตอยู่แล้ว สามพิภพก็ใกล้จบสิ้นเต็มที
หันหน้าไปเพียงอึดใจเดียว ผึ้งอัคคีแดงตัวหนึ่งบินตรงเข้ามาหานาง
ยามนี้เองข้อมือก็ถูกคนคว้าจับกะทันหัน
หลีซูซูร้องออกมาอย่างประหลาดใจ “ศิษย์พี่ใหญ่!”
เซียวหลิ่นขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเยี่ยซีอู้ตรงหน้าถึงเรียกตนเช่นนี้
“มัวยืนเหม่ออยู่ไย รีบไปเร็ว!” แม้เขาจะไม่ชอบคุณหนูสาม แต่เห็นคนตายใช่ว่าจะไม่ช่วยเหลือ
ประกายกระบี่ของเซียวหลิ่นแตกต่างจากท่าทีสุภาพถ่อมตนของเขาโดยสิ้นเชิง กระบี่เขาเจือรัศมีเย็นเยียบจางๆ ตัดแสงผ่าเงา เฉียบขาดฉับไว
ผึ้งอัคคีแดงเห็นเขาไม่น่าล่วงเกินก็ถึงขั้นไม่กล้าเข้าใกล้เขา ต่างพากันบินหนีไป
หลีซูซูถูกเซียวหลิ่นช่วยชีวิตไว้โดยไม่ทันตั้งตัว ในใจเกิดความประทับใจ ศิษย์พี่ใหญ่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
องครักษ์ลับในจวนอ๋องออกโรง สถานการณ์ดีขึ้นไม่น้อย แต่ยังคงมีผึ้งอัคคีแดงดูดซับพลังจากร่างกายมนุษย์ ลำตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
หลีซูซูถือกระบี่ ไม่ห่วงตนเอง มุ่งหน้าไปยังบริเวณที่กลุ่มคนโกลาหลวุ่นวาย
นางร้อนรนกระวนกระวายใจ ถานไถจิ้นเล่า เขาหายไปที่ใด! คงมิใช่เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ กระมัง!
ครั้นเห็นข้างหน้ามีบุรุษผู้หนึ่งถูกผึ้งอัคคีแดงตัวเท่าเด็กทารกไล่ต้อนจนจนมุม หลีซูซูก็ไม่เสียเวลาคิด หมุนตัวแทงกระบี่ออกไปทันที
เคล็ดกระบี่ชิงหงถูกนางนำออกมาใช้อย่างเต็มที่ ผึ้งอัคคีแดงตัวนั้นถูกฟันปีกและตัดหัวทันที
หลีซูซูถึงได้เห็นว่าผู้ที่เกือบจะเคราะห์ร้ายเป็นใคร
ชายหนุ่มมองนางด้วยความตื่นตระหนกไม่หาย
ที่แท้เป็นผังอี๋จือ
ผังอี๋จือสำนวนโวหารโดดเด่น แต่กลับไม่เจนจัดวิชายุทธ์
เขามองหลีซูซูอย่างอึกอัก ฝีปากที่คมกริบร้ายกาจเสมอมา ยามนี้ออกจะไม่ฟังคำสั่งอยู่บ้าง “เจ้า…เจ้า…”
ฮวาเตี้ยนงดงามบนหน้าผากของเด็กสาวเลือนหายไปแล้ว ทว่านัยน์ตาที่ดำขาวตัดกันชัดเจนคู่นั้นของนางกลับเฉิดฉันจนน่าตกใจ ประหนึ่งสีสันที่ลุกไหม้ขึ้นมา
หลีซูซูเบ้ปาก “ใต้เท้าผางยังไม่รีบหนีเอาชีวิตรอดอีก!”
เขาจะเอาแต่จ้องนางด้วยเหตุใดกัน! บนหน้านางมีบุปผาผลิบานหรือไร
ผังอี๋จือสีหน้าสับสน หันกายหมายจะวิ่งหนี
หลีซูซูดึงแขนเสื้อเขาไว้กะทันหัน “ช้าก่อน ท่านเห็นถานไถจิ้นบ้างหรือไม่”
“จื้อจื่อหรือ…” เขาหลุบตา มองดวงหน้าเล็กมอมแมมที่ช้อนตามองตนอย่างกระตือรือร้น
เด็กสาวถือกระบี่ สองตาสุกสว่างเด็ดเดี่ยว
หัวใจของผังอี๋จือกระตุกวาบ รีบแกะมือนุ่มนิ่มของนางออก เบนสายตาไปทางอื่น “ไม่เห็น!”
เยี่ยปิงฉางถูกองครักษ์ลับคุ้มกันหนีเข้าไปในจวนอ๋อง
พวกเขาตัดผ่านภูเขาจำลอง บ่าวรับใช้พลันหวีดร้องออกมา เยี่ยปิงฉางหันกลับไปก็เห็นผึ้งอัคคีแดงพุ่งออกมาจากร่างของบ่าวรับใช้ กระโจนเข้าใส่ตนอย่างดุดัน
เหล่าองครักษ์ร้อนใจ “พระชายารองฉาง!”
เขารีบเข้าไปขวาง น่าเสียดายที่ไม่เคยพบเจอสัตว์ประหลาดเช่นนี้มาก่อน ทักษะฝีมือมิอาจใช้การได้โดยสิ้นเชิง
องครักษ์เบิกตาโต ผึ้งอัคคีแดงทะลวงผ่านร่างกายเขา
ผึ้งอัคคีแดงบินเข้ามา เหล่าองครักษ์ล้มลงทีละคน องครักษ์ลับที่คอยคุ้มกันเยี่ยปิงฉางไม่รู้หายไปที่ใด เยี่ยปิงฉางสะดุดก้อนหินและล้มลงบนพื้น
ในใจนางทั้งตระหนกทั้งสิ้นหวัง หรือว่าวันนี้จะต้องตายอยู่ท่ามกลางวงล้อมของสัตว์ประหลาดเหล่านี้จริงๆ
สัตว์ประหลาดตรงหน้าตัวนี้ใหญ่เป็นครึ่งหนึ่งของร่างกายของชายฉกรรจ์! แค่มองดูนางก็ตกใจจนจะเป็นลมแล้ว
เยี่ยปิงฉางขยับถอยหลังด้วยใบหน้าซีดเผือด
อึดใจต่อมา เบื้องหน้านางปรากฏชายเสื้อสีน้ำเงินอมเขียว
เยี่ยปิงฉางเงยหน้าด้วยความประหลาดใจ ยังไม่ทันมองเห็นผู้มาอย่างชัดเจน เบื้องหน้าก็มืดสนิท สูญสิ้นสติไปแล้ว
เด็กหนุ่มยกมือขึ้น คว้าจับผึ้งอัคคีแดงตัวมหึมา
ผึ้งอัคคีแดงที่เมื่อครู่ฆ่าคนอย่างเหิมเกริม ถูกเขากำหนวดไว้ มันกลับเริ่มตัวสั่นอย่างหวาดหวั่น
ถานไถจิ้นเอียงศีรษะ หัวเราะหนึ่งที เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้าว่า “จะฆ่าใครก็ได้ แต่เจ้าไม่ควรแตะต้องนาง”
มือขวาที่แห้งแตกของเขา กำหนวดของมันแน่น
โลหิตสัมผัสถูกผึ้งอัคคีแดง มันแผดเสียงร้องประหลาดแหลมสูง เพียงครู่เดียวก็แปรเปลี่ยนเป็นของเหลวเหม็นโฉ่กองหนึ่ง
รอยยิ้มบนหน้าของถานไถจิ้นหายไป เขามองของเหลวสีแดงเพลิงบนพื้นอย่างเย็นชา
ถานไถจิ้นหมุนตัวกลับไป อุ้มหญิงสาวข้างภูเขาจำลองขึ้นมาอย่างแผ่วเบา
เยี่ยปิงฉางพิงซบแผงอกที่มีกล้ามเนื้อบางๆ ของเด็กหนุ่ม
ถานไถจิ้นพาเยี่ยปิงฉางไปส่งที่ข้างต้นหลิ่วริมทะเลสาบ จับมือขวาแบบบางของนางขึ้นมา ปาดเลือดของตนเองลงบนข้อมือนาง
เขาทำเรื่องทั้งหมดนี้อย่างไม่รีบร้อน เสร็จแล้วจึงเดินกลับไปตามทางเดิมอย่างวางใจ
บางทีเขาควรจะกลับไปดูว่าจ้าวอ๋องยังอยู่หรือไม่
จ้าวอ๋องคิดถึง ‘ความอบอุ่น’ ในวัยเยาว์มิใช่หรือ เขายินดีช่วยเหลือท่านอ๋องผู้นี้หวนระลึกถึงความรู้สึกของตนในอดีต
ส่วนเยี่ยซีอู้ เขาคิดอย่างเฉยชา ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น บางทีนางอาจตายไปแล้วกระมัง
ถานไถจิ้นเดินผ่านกลุ่มคนที่หนีเอาชีวิตรอดอย่างลนลาน ในอดีตเขาต้องก้มหน้าหลุบตาด้วยท่าทางขลาดกลัว บัดนี้ถึงตาบุคคลสูงส่งเหล่านี้สีหน้าตื่นลน วิ่งหนีกันจ้าละหวั่นบ้าง
ยามเห็นขุนนางผู้หนึ่งผลักฮูหยินของตนไปยังผึ้งอัคคีแดง เขาอดแค่นหัวเราะมิได้
จะมีประโยชน์อันใดเล่า
ไม่ผิดจากที่คิด ผึ้งอัคคีแดงสังหารฮูหยินที่ตื่นตระหนกแล้ว ภายในเวลาไม่กี่อึดใจก็ฆ่าขุนนางผู้นั้นด้วย
ถานไถจิ้นยืนพิงเสาสีแดงที่รองรับคาน มองนรกบนแดนมนุษย์แห่งนี้
กลิ่นคาวโลหิตแผ่กระจายไปกลางอากาศ ทำให้เขาหรี่ตาลงอย่างเบิกบานใจ กลิ่นคาวเข้มข้นกำซาบเข้าไปในปอด เขาไอสำลักสองที แนวโค้งตรงมุมปากกลับยกสูง
ถานไถจิ้นมองผ่านเงาไม้ เห็นชายหนุ่มในอาภรณ์สีฟ้าคราม ถือกระบี่คุ้มกันกลุ่มคนออกจากจวนอ๋องอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เซวียนอ๋อง
ในใจของถานไถจิ้นมีความคิดวาบผ่านไปมากมาย
ทว่าครู่ถัดมารอยยิ้มมุมปากของเขาชะงัก ให้อย่างไรถานไถจิ้นก็คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวที่เขาคิดว่าถูกฆ่าตายไปนานแล้ว จะปรากฏตัวไม่ห่างออกไป
เส้นผมของนางแผ่สยาย ฮวาเตี้ยนบนหน้าผากเลือนรางสิ้น ดวงหน้าเล็กๆ ถึงขั้นเปื้อนสีแดงสดหลายริ้ว
แปลกเหลือเกิน ดูแล้วกลับไม่อเนจอนาถแม้แต่น้อย แม้จะอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่ส่งเสียงจอแจ มองปราดเดียวกลับสามารถเห็นตัวตนของนางได้
เด็กสาวถือกระบี่ ประกายกระบี่สะท้อนแสงแดด แสงสว่างนั้นเจิดจ้าอบอุ่นจนลวกใจคน
นางเดินไปพลางช่วยเหลือคนไปพลาง
เขาได้ยินนางถามคนที่ช่วยไว้อย่างร้อนรน “เจ้าเห็นถานไถจิ้นบ้างหรือไม่”
ขุนนางใหญ่ส่ายหน้ายิก
นางช่วยเหลือคนหลายคนอย่างต่อเนื่อง ทุกคนต่างโบกมือปฏิเสธ
ถานไถจิ้นมองนางอย่างเย็นชา
นิ้วมือเขาที่เคยสัมผัสนางเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นอีกครั้ง ทั้งคันทั้งเจ็บ
เด็กหนุ่มหอบหายใจถี่กระชั้น ยกเท้าขึ้นเหยียบผึ้งอัคคีแดงตัวหนึ่งที่กำลังฆ่าคน
“ไป ไปฆ่านางเสีย!” ถานไถจิ้นสั่ง
* กุ้ยเฟย คือตำแหน่งพระอัครชายา มีศักดิ์รองจากหวงโฮ่วหรือฮองเฮา (พระอัครมเหสี) แต่สูงกว่าเฟย (พระราชชายา)
* เสาเย่า หรือ Chinese peony เป็นพืชตระกูลโบตั๋น ดอกขนาดใหญ่และกลม กลีบมนซ้อนกันหลายชั้น มีกลิ่นหอม มีสีแดง ขาว และม่วง
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ตุลาคม 65)
Comments
comments
No tags for this post.