บทที่ 111
จั้งไห่ได้ยินหลีซูซูพูดเช่นนี้ ในใจรู้สึกละอายเล็กน้อย
วันนั้นตอนถานไถจิ้นต่อสู้กับกงเหยี่ยจี้อู๋เขาก็อยู่ด้วย ไม่ว่าอย่างไรศิษย์น้องเล็กไม่เพียงไม่ได้ทำร้ายพวกเขา ยังช่วยพวกเขาไว้ เขามิอาจฟังคำคนนอกและสงสัยศิษย์น้องเล็กในทันที
อาจารย์รักศิษย์น้องเล็กเป็นที่สุด หากรู้ว่าตอนนี้ศิษย์น้องเล็กอยู่ในสถานการณ์ที่มีสำนักแต่มิอาจกลับไปได้ จะต้องตำหนิตนแน่
จั้งไห่พูด “ขอบคุณหลีเซียนจื่อมาก ไว้วันหน้าหาตัวศิษย์น้องเล็กพบและสอบถามจนได้ความกระจ่าง จะมาแจ้งให้สำนักเซียนใหญ่ทั้งหลายทราบแน่นอน”
เงียบไปครู่หนึ่ง เขาเอ่ยคำไหว้วานขึ้นว่า “หากเซียนจื่อพบเจออาจารย์ข้าท่านเซียนจ้าวโยวหรือพบเจอศิษย์น้องเล็กของข้าวานท่านแจ้งสำนักเซียวเหยาด้วย”
หลีซูซูรับคำ
หลังแยกกับถานไถจิ้นแล้ว นางก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด
จั้งไห่เอ่ย “พูดไปก็น่าละอาย หลายปีมานี้สำนักเซียวเหยาไร้ซึ่งผลงานใดๆ สิ่งเดียวที่พอจะนำออกมาได้ก็คือลูกกลอนเซียวเหยาของสำนักเรา ตอนอยู่ในอาณาจักรมารพวกเราเห็นว่าหัวหน้ามารซื่ออิงเปลี่ยนผู้บำเพ็ญเซียนให้กลายเป็นผู้บำเพ็ญมาร หลีเซียนจื่อ ลูกกลอนเซียวเหยาพวกนี้โปรดรับไว้เถิด เจอลูกศิษย์ที่ถูกมารครอบงำจิตใจ สามารถป้อนให้เขากินหนึ่งเม็ด จะช่วยประคับประคองลูกกลอนทองคำ จากนั้นค่อยส่งเขากลับสำนักเซียน ถอนลูกกลอนมารออกมา บางทีอาจยังพอช่วยได้”
คำพูดเขาสร้างความยินดีให้ทุกคน หลายวันนี้คนของสำนักเซียนจำนวนไม่น้อยถูกจับไปยังอาณาจักรมาร กลายเป็นผู้บำเพ็ญมาร กว่าพวกหลีซูซูจะตามไปพบและส่งกลับสำนักเซียนก็ไม่ทันการณ์แล้ว
เมื่อมีลูกกลอนเซียวเหยา สำหรับลูกศิษย์สำนักเซียนย่อมเป็นการรับรองอย่างหนึ่ง
หลีซูซูรับขวดยามา เอ่ยอย่างจริงใจว่า “ขอบคุณท่านมาก ศิษย์พี่จั้งไห่”
จั้งไห่จากไปแล้ว เหยากวงถาม “ตอนนี้พวกเราจะไปที่ใด”
“บริเวณที่ปีศาจฮั่นป๋าผ่านไป รอบด้านจะแห้งแล้ง พวกเราช่วยคนไม่เร็วเท่าพวกเขาฆ่าคน” ฝูหยาขมวดคิ้ว “พวกท่านรู้สึกหรือไม่ว่าปราณวิเศษเบาบางลง”
พอเขาเอ่ยคำพูดนี้ออกมา สีหน้าของหลีซูซูเปลี่ยนไป
ปราณวิเศษเบาบางลงทุกที เมื่อถึงตอนสุดท้าย จะเป็นเหมือนเมื่อห้าร้อยปีก่อนหรือไม่ หกพิภพปกคลุมด้วยไอมาร ไม่มีพื้นที่สำหรับมนุษย์และผู้บำเพ็ญเพียรอีก
“เหตุใดปราณวิเศษจึงลดน้อยลงเรื่อยๆ” เหยากวงสงสัย “หมื่นปีก่อนก็ไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น”
“ยังจำดวงตราชำระไขกระดูกและข่ายอาคมหวนคืนเก้าโคจรได้หรือไม่” หลีซูซูพลันคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง “มันสามารถเปลี่ยนผู้บำเพ็ญเพียรให้เป็นผู้บำเพ็ญมาร ก็สามารถเปลี่ยนปราณวิเศษให้เป็นไอมารได้เช่นกัน”
สิ่งที่พญามารทิ้งไว้เมื่อหมื่นปีก่อนกำลังเติบโตอย่างช้าๆ
เหยากวงหน้าซีดเผือด รีบเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้ต้องแจ้งให้คนในสำนักทราบทันที หากปล่อยให้ข่ายอาคมนั้นคงอยู่ต่อไป อีกไม่นานใต้หล้าต้องมีแต่มารปีศาจแน่นอน”
หลีซูซูยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าไม่ปกติ จึงตัดสินใจอย่างเฉียบขาดทันที “ซื่ออิงปล่อยมารปีศาจออกมาสร้างหายนะในโลกมนุษย์ก็เพื่อยื้อเวลา ทำให้สำนักเซียนมัวไปช่วยเหลือมนุษย์จนมิอาจปลีกตัว นางกำลังรอให้ข่ายอาคมหวนคืนเก้าโคจรเปลี่ยนปราณวิเศษเป็นไอมารจนเพียงพอ กลายเป็นข่ายอาคมที่แข็งแกร่งและน่ากลัว ทว่าพวกเรากลับมิอาจรอได้ ต้องบุกเข้าไปในอาณาจักรมารและทำลายข่ายอาคมนั้น ฝูหยา เจ้ากลับสำนักไปแจ้งเจ้าสำนักและผู้อาวุโสทั้งหลาย ข้ากับนางจะไปตำบลหนิงเฮ่ออีกครั้งเพื่อเอาตราคำสั่งเข้าอาณาจักรมาร”
ตอนนี้คนที่สามารถทำให้สำนักเซียนเข้าใกล้ข่ายอาคมนั้นได้ มีเพียงคุณชายน้อยสกุลจางที่กลืนไข่มุกแปลงโฉมลงไปเท่านั้น
ไม่ว่าจะสู้ได้หรือไม่ ก็ต้องลองดูสักตั้ง!
เยวี่ยฝูหยาเองก็รู้ว่าเรื่องนี้มิอาจรั้งรอจึงตอบว่า “ได้ ศิษย์พี่หญิงทั้งสอง พวกท่านระวังตัวให้มาก”
เมื่อหลีซูซูกับเหยากวงบังคับกระบี่เหาะไปตำบลหนิงเฮ่อ พบว่าทั่วทั้งตำบลเหลือเพียงความรกร้างว่างเปล่า
“จวนของคหบดีจางมีไอมารเข้มข้นยิ่งนัก”
สองคนผลักประตูเข้าไป บ่าวรับใช้เฝ้าประตูเมื่อหลายเดือนก่อนไม่อยู่แล้ว จางหยวนไป๋ก็หายตัวไปด้วย
เหยากวงพูด “น่าโมโหนัก จะต้องถูกพวกมารปีศาจชิงตัดหน้าพวกเราไปก้าวหนึ่งแน่ๆ พวกเขาก็กลัวว่าเราจะพบตัวจางหยวนไป๋!”
หลีซูซูแตะนิ้วบนริมฝีปาก เอ่ยเสียงค่อยว่า “ชู่ว์…ลองฟังดู เหมือนจะมีเสียง”
สองคนเสาะหาไปตามเสียง พบสตรีเนื้อตัวสกปรกมอมแมมผู้หนึ่งในห้องเก็บฟืน
“อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้านะ!” นางลนลานหวาดหวั่น ใบหน้าเหลืองซีดซูบตอบ ดูเหมือนจะหิวโหยมานานแล้ว
“ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่ใช่คนเลว” เหยากวงปลอบโยน “เจ้าบอกพวกเราได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจวนสกุลจาง”
หลีซูซูยื่นของกินให้นางเล็กน้อย นางกัดกินอย่างมูมมามพลางเล่าสิ่งที่นางเห็น
“ข้าเป็นแม่ครัวของจวนสกุลจาง หลายวันก่อนมารปีศาจฝูงหนึ่งมาที่นี่ เข้ามาในจวนและฆ่าคน พวกเขาพาตัวคุณชายน้อยไป ข้าหลบมาซ่อนตัว จึงไม่ถูกพวกเขาจับได้”
หลีซูซูคิดทบทวนในใจเงียบๆ คนของเผ่ามารต้องการตัวคุณชายน้อยสกุลจาง เหตุผลไม่พ้นสองข้อ หนึ่งคือไม่ต้องการให้พวกเขาได้ตราคำสั่งเข้าอาณาจักรมาร สองคือเพื่อใช้ประโยชน์จากพลังของไข่มุกแปลงโฉม
คนที่จางหยวนไป๋ปลอมแปลงขึ้นโดยใช้พลังของไข่มุกแปลงโฉม สามารถตบตาผู้อื่นได้โดยสมบูรณ์
หลีซูซูเคยถูกมารปีศาจที่จำแลงกายด้วยพลังของไข่มุกแปลงโฉมหลอกมาแล้ว มีคนบอกว่าเห็นถานไถจิ้นฆ่าคนในโลกมนุษย์ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าคนผู้นั้นมิใช่ถานไถจิ้น
ตกกลางคืน อุณหภูมิร้อนระอุยังคงแผดเผาผืนแผ่นดิน
ปีศาจฮั่นป๋าปรากฏกาย ทำให้อุณหภูมิในฤดูหนาวสูงผิดปกติ
ชายหนุ่มในชุดขาวหิ้วตัวเด็กหญิงผู้หนึ่งมาวางตรงปากทางเข้าตำบล ยัดกระดาษยันต์แผ่นหนึ่งใส่อกเสื้อนางและบอกว่า “กลับไปหาบิดามารดาของเจ้าเถอะ”
เด็กหญิงตัวน้อยน้ำตาคลอ “ข้ากลัว”
เขาชะงักไป หิ้วตัวนางเดินไปข้างหน้า “จำได้หรือไม่ว่าบ้านอยู่ที่ใด”
นางยังเล็กเกินไป ราวสามสี่ขวบเท่านั้น ตอนถานไถจิ้นชิงตัวนางมาจากปากของมารปีศาจ นางตกใจจนน้ำมูกน้ำตาเปรอะเปื้อนเต็มหน้า
เขาเยาะหยันตนเองในใจ บัดนี้ตนเองยังเอาไม่รอด เขายังมีแก่ใจมาห่วงเรื่องไร้สาระในโลกมนุษย์พวกนี้
ทว่าถานไถจิ้นก็ไม่รู้เช่นกัน ฟ้าดินกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ที่ใดเล่าคือบ้าน นอกจากเตร็ดเตร่ไปในแดนมนุษย์ ที่ใดยังมีพื้นที่สำหรับเขาอีก
หน้าไม้พิฆาตเทวะอยู่ในตัวเขา ผู้บำเพ็ญที่เข้าใกล้เขาต่างรู้สึกได้ถึงไอมารมหาศาลในตัวเขา
หลังแยกกับหลีซูซู เขาพบซื่ออิง
ปีศาจฮั่นป๋าตนนั้นพามารปีศาจกลุ่มใหญ่มาคุกเข่าเบื้องหน้าเขา น้อมต้อนรับเขากลับอาณาจักรมาร
หากเป็นเมื่อห้าร้อยปีก่อนตอนถานไถจิ้นยังไม่มีใยรัก บางทีเขาอาจจะสนใจ อยู่ฝ่ายธรรมะแล้วอย่างไร อยู่ฝ่ายอธรรมแล้วอย่างไร มีเพียงอำนาจสูงสุดเท่านั้นที่ทำให้คนยอมจำนนได้
ทว่าบัดนี้เขามีใยรักแล้ว จึงได้เข้าใจความแตกต่าง
หากเดินไปบนวิถีมาร สุดท้ายเขาจะต้องอยู่อย่างเดียวดายชั่วชีวิต เหมือนมังกรเซียนหมิงเยี่ยในอดีต หลับใหลอยู่ที่ก้นแม่น้ำโม่เหอ เขาจะต้องทรยศอาจารย์และสำนัก เป็นศัตรูกับนาง เทพเซียนไม่ยอมรับเขา มรรคาสวรรค์ก็ไม่ยอมรับเขา
ซื่ออิงมิได้โกรธ เอ่ยเนิบช้าว่า “สักวันหนึ่งราชันมารจะเข้าใจว่าพวกฝ่ายธรรมะภายนอกดูดี จิตใจกลับชั่วร้าย เอ่ยวาจาน่าขบขันที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมมากที่สุด แต่กลับกระทำสิ่งที่ไร้ความปรานีมากที่สุด ท่านกับพวกเขามิได้มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ต่อให้ท่านบำเพ็ญมรรคาเทพ พวกเขาจะยอมรับท่านหรือ มีเพียงพวกข้าเท่านั้นที่จงรักภักดีมากที่สุด”
ถานไถจิ้นเหลือบมองกงเหยี่ยจี้อู๋ข้างกายซื่ออิงที่ดูเหมือนหุ่นกระบอก เขายิ้มหยัน มิได้สนใจพวกเขาก็หันหลังจากไป
ถานไถจิ้นยังหาบ้านของเด็กหญิงไม่พบ บนถนนพลันมีคบไฟสว่างวาบนับไม่ถ้วน
“มารตนนั้นกลับมาอีกแล้ว ยายหนูอยู่ในมือเขา!”
เพิ่งจะขาดคำ เลือดสุนัขดำสาดมาที่ถานไถจิ้น ชาวบ้านถืออาวุธ แผดเสียงคำรามพลางฟาดฟันอาวุธมาที่เขา
ถานไถจิ้นมิใช่มะพลับนิ่มอยู่แล้ว จึงถีบคนที่พุ่งเข้ามาจนกระเด็น บีบคอผู้นำที่ตะโกนแผดเสียง “รนหาที่ตาย!”
เขากางเขตอาคมรอบด้าน พอใช้พลังวิเศษนัยน์ตาสีดำก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงดุจโลหิต ดวงเนตรสีแดงของเขาทำให้คนอื่นๆ ตกใจกลัว พวกมนุษย์พากันถอยกรูด เด็กหญิงข้างกายร้องไห้ดังกว่าเดิม
ครอบครัวหนึ่งกระโจนออกมาจากกลุ่มคน ถือจอบในมือ ฟาดเขตอาคมของเขาอย่างไม่คิดชีวิต
“มารร้าย ปล่อยลูกของข้านะ!”
ถานไถจิ้นหันกลับไป มองหน้าเคียดแค้นและหวาดหวั่นของพวกเขา คบไฟส่องถนนจนสว่างจ้า แววตาของพวกเขาชัดเจนมาก เหมือนตอนอยู่ในวังหลวงแคว้นโจว สายตาของเหล่านางกำนัลขันทีตอนหลบเลี่ยงเขา พูดกันลับหลังว่าเขาเป็นตัวประหลาด
เพียงแต่ในอดีตไม่มีใยรัก จิตใจของเขาเยียบเย็นเป็นน้ำแข็ง ปราศจากความรู้สึกใดๆ
“สู้ตายกับเขา เขาฆ่าญาติมิตรของพวกเราไปตั้งมากมาย ต่อให้ต้องตาย ก็ต้องเอาเขาลงนรกให้จงได้!” ไม่รู้ใครตะโกนออกมาเป็นคนแรก พวกชาวบ้านพากันชูจอบและคราดในมือ ท่าทางคลุ้มคลั่งจะเอาชีวิตเขาให้ได้
ดวงเนตรสีแดงของถานไถจิ้นสะท้อนค่ำคืนในฤดูหนาว เยียบเย็นและหม่นหมอง
เป็นเช่นนี้อีกแล้ว มักเป็นเช่นนี้อยู่เรื่อย เขาเดินทางผ่านมาหลายหมู่บ้าน ผ่านถนนที่รุ่งเรืองหลายสาย นักพรตและอาจารย์ปราบปีศาจจะฆ่าเขา ผู้บำเพ็ญเพียรกำลังประกาศจับเขา มนุษย์ก็จะเอาชีวิตเขาเช่นกัน
ข้าทำผิดอะไร
ถานไถจิ้นคลายมือ จู่ๆ ก็เงียบงัน
“เขาหนีไปแล้ว มารร้ายถูกพวกเราขับไล่ไปแล้ว!” ฝูงชนโห่ร้องยินดี ครอบครัวของเด็กหญิงรีบเข้ามากอดเด็กน้อย
เขานั่งอยู่บนหลังคา มองคบไฟค่อยๆ แยกย้ายไป ภายใต้เวิ้งฟ้ากว้างใหญ่ โลกมนุษย์คืนสู่ความเงียบอีกครั้ง
ชายหนุ่มกอดตนเอง ดวงเนตรสีแดงเจือแววเกลียดแค้นจางๆ เขากัดข้อนิ้วชี้ของตนเองแรงๆ จนเลือดออก
“อยากฆ่าพวกเขาเหลือเกิน” เขาพูดเสียงค่อย “ก็แค่ปลวกมดที่ต่ำต้อยฝูงหนึ่ง ฆ่าทิ้งให้หมดก็สิ้นเรื่อง”
หน้าไม้พิฆาตเทวะยุให้เขาลงมือ ปีศาจเสือที่ตอนนี้กลายเป็นสี่ไม่เหมือน* รีบคาบหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากถุงฟ้าดิน วางลงบนฝ่ามือเขา
“ในอดีตเคยมีคนให้สัญญาว่าโตขึ้นจะปกป้องคุ้มครองท่าน อย่างน้อยท่านต้องเชื่อนาง รอนางมาหา” ปีศาจเสือพูด “ซีอู้น้อยร้ายกาจมาก ห้าร้อยปีก่อนนางเป็นมนุษย์ ข้ายังเอาชนะนางไม่ได้ ให้นางสั่งสอนคนพวกนี้ให้หนัก นางไม่มีทางคิดว่าท่านเป็นมารแน่ ไม่แน่ถ้านางหายโกรธแล้ว อาจช่วยท่านคิดหาหนทางขจัดไอมาร สลัดหน้าไม้พิฆาตเทวะออกไปก็เป็นได้”
หยกเรียบลื่นสัมผัสฝ่ามือเขา ชั่วขณะหนึ่งที่เขารู้สึกว่าถูกความร้อนของมันลวกมือ
“นางไม่มีวันมา” เลือดหยดติ๋งๆ จากนิ้วมือถานไถจิ้นลงบนหลังคา หลอมละลายกระเบื้องหลังคาจนทะลุ เขามองแดนมนุษย์ใต้ฝ่าเท้าอย่างเย็นชาไร้ความรู้สึก “นางก็เหมือนพวกเขา ล้วนอยากให้ข้าไปตาย”
ปีศาจเสือส่ายหน้า แม้จะพูดเช่นนี้ แต่จนบัดนี้ท่านก็ยังไม่ยอมไปอาณาจักรมาร ท่านรอใครอยู่เล่า
ในใจท่านยังคงหวังว่านางจะดีต่อท่านและมาช่วยท่าน
“หลีซูซู เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ” เหยากวงเอ่ยถาม
ตั้งแต่หนีออกมาจากอาณาจักรมารคราวก่อน ศิษย์น้องหญิงมักจะเหม่อลอย สงครามใหญ่ระหว่างเซียนกับมารกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เยวี่ยฝูหยาถ่ายทอดเสียงมาบอกว่าสำนักรวบรวมลูกศิษย์แล้ว จะต้องสังหารหัวหน้ามารซื่ออิงให้จงได้ ทำลายดวงตราชำระไขกระดูกและข่ายอาคมหวนคืนเก้าโคจร
“ข้ากำลังคิดว่าบางทีวันนั้นข้าไม่ควรจากมา” หลีซูซูพูดเสียงค่อย
คนอื่นไม่รู้ แต่ในใจหลีซูซูกลับรู้ดีว่าภัยคุกคามที่น่ากลัวที่สุดของหกพิภพมิใช่ปีศาจฮั่นป๋าซื่ออิง แต่เป็นถานไถจิ้นที่เป็นพญามารต่างหาก กระดูกมารถูกทำลายไปแล้วก็จริง แต่หากถานไถจิ้นเข้าสู่วิถีมาร เขายังคงน่ากลัวกว่าซื่ออิงมาก
ตอนที่เขามีร่างเซียนก็สามารถบงการหน้าไม้พิฆาตเทวะได้ หากเข้าสู่วิถีมาร ผลลัพธ์ที่ตามมามิอาจคาดคิด
เหยากวงรู้ว่านางพูดถึงถานไถจิ้น
“บางครั้งเป็นเทพหรือเป็นมาร ขึ้นอยู่กับความคิดเพียงชั่ววูบ” เหยากวงกล่าว “อาจารย์อาทั้งหลายต่างบอกว่าเขาใช้หน้าไม้พิฆาตเทวะแล้ว จะเข่นฆ่าไม่หยุด แต่ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น”
“เพราะเหตุใด” หลีซูซูถาม
เหยากวงมองนาง “เพราะเขามีสิ่งที่ตัดใจไม่ลง เหมือนเช่นวันใดวันหนึ่งต่อให้ข้าถูกฝังลูกกลอนมารในร่างกายและกลายเป็นมาร ข้าก็…ไม่มีทางลงมือกับศิษย์พี่กงเหยี่ย”
เรื่องบางอย่างเป็นเรื่องของสัญชาตญาณ ตอนอยู่ในอาณาจักรมารกงเหยี่ยจี้อู๋ก็มิได้สังหารพวกเขาไม่ใช่หรือ หากมิใช่เพราะกงเหยี่ยจี้อู๋กลายเป็นมาร เหยากวงคิดว่าตนเองคงเป็นเหมือนอาจารย์อาชิงอู๋ อยากจะกวาดล้างมารปีศาจในโลกนี้ให้สิ้น แต่เมื่อในใจมีคนรัก ย่อมยินดีที่จะขบคิดจากจุดยืนของเขา
ไม่มีใครอยากเดินไปถึงจุดนั้น ศิษย์พี่กงเหยี่ยกลายเป็นมาร ทุกครั้งที่เขาฆ่าคนเพราะควบคุมตนเองไม่ได้ เขาจะต้องเจ็บปวดกว่าใครแน่นอน
“สิ่งที่ตัดใจไม่ลง” หลีซูซูทวนคำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
คำพูดของถานไถจิ้นดังขึ้นข้างหูนางอีกครั้ง
ตอนนั้นดวงตาของชายหนุ่มเจือประกายน้ำ ‘ข้าจดจำคำพูดเมื่อห้าร้อยปีก่อนของเจ้าได้ ข้าจะไม่เป็นมาร หากเจ้าไม่ชอบหน้าไม้พิฆาตเทวะ ข้าจะผนึกมันไว้ตลอดกาล แค่ผนึกมันไว้ตลอดกาลก็ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าบอกมิใช่หรือว่ารอข้ากลับมา ต่อจากนี้ไปจะดีต่อข้า’
หลีซูซูพลันพูดขึ้น “ศิษย์พี่หญิงเหยากวง ข้าอยากไปหาเขา”
เหยากวงตกใจ “พวกเราไม่ไปตามหาจางหยวนไป๋แล้วหรือ”
รอยแต้มสีแดงชาดตรงหว่างคิ้วของหลีซูซูดูร้อนแรงขึ้น ฉงอวี่แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่เล่มหนึ่งในมือนาง “หาตัวจางหยวนไป๋ไม่พบ ท่านพ่อย่อมต้องมีหนทางอื่นเข้าไปในอาณาจักรมารได้ แต่เรื่องบางอย่าง…พวกเรามิอาจเพิ่มศัตรูที่แข็งแกร่งขึ้นมาอีกคน หากข้าไม่ฆ่าเขาก็ต้องพาเขากลับมา จะปล่อยให้เรื่องบางอย่างซ้ำรอยเดิมอีกไม่ได้”
โลกในตอนนี้ ทุกคนต่างเฝ้ารอให้ถานไถจิ้นกลายเป็นมาร
ก่อนหน้านี้หลีซูซูก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน อคติที่นางมีต่อเขาถูกกำหนดแน่ชัดไปแล้ว คิดว่าคนที่เลวมาแต่กำเนิด ช้าเร็วก็ต้องเข้าสู่วิถีมาร
ทว่าตลอดทางที่ผ่านมาเห็นใครๆ ต่างต่อว่าประณามเขา บอกว่าเขาเป็นมารร้ายกระหายเลือด หลีซูซูกลับรู้ว่าเบื้องหลังมีมือข้างหนึ่งกำลังผลักเขาเข้าสู่วิถีมาร
นางรู้ว่ามิใช่เช่นนี้ นางลืมไปได้อย่างไรว่าสิ่งที่อยู่ในร่างกายของถานไถจิ้นมิใช่กระดูกมารที่ควบคุมการเข่นฆ่าและคาวโลหิตอีกต่อไป หากแต่เป็นไขกระดูกเทพที่แลกกับความตายที่นางเป็นคนเปลี่ยนเข้าไปให้เขาเอง
คนอื่นล้วนไม่เข้าใจ แต่นางควรจะเข้าใจดี
เดิมทีเขาเป็นเทพ หาใช่มารร้าย
มารเกลียดชังผู้คน เทพกลับรักสรรพชีวิต
บทที่ 112
“เดินต่อไปข้างหน้าก็คือเมืองเจาเหอ ฝ่าบาท แต่ก่อนข้าเคยมาที่นี่ สถานที่แห่งนี้มีคนอาศัยอยู่หลายจำพวก มีเซียนอิสระ มีมนุษย์ธรรมดา ตอนนี้ต้องมีปีศาจด้วยแน่ๆ พวกเราซ่อนตัวอยู่ที่นี่น่าจะปลอดภัย” ปีศาจเสือพูด
มันเดินไปพลางคุยกับถานไถจิ้นไปพลาง แทนที่จะบอกว่ามันเป็นปีศาจเสือ มิสู้บอกว่ามันกลายเป็นสี่ไม่เหมือนไปแล้ว
ถานไถจิ้นตอบเสียงเย็น “หุบปาก”
สำหรับเขา การอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ เป็นความอัปยศยิ่งนัก เขายินดีพุ่งออกไปฆ่าคนพวกนั้นให้หมดเสียดีกว่า ทว่าปีศาจเสือตนนี้กลับพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด เอาแต่เตือนให้เขาหลบเลี่ยงจากผู้คนไม่เลิก
ปราณวิเศษกับไอมารทั่วฟ้าดินขาดสมดุล หน้าไม้มารแข็งแกร่งขึ้นทุกที ร่างเซียนของถานไถจิ้นมิอาจกดข่มหน้าไม้พิฆาตเทวะได้อีกต่อไป ไอมารทั่วร่างดูน่ากลัว ก่อนหน้านี้เขายังฝืนปกปิดดวงเนตรสีแดงของตนได้ บัดนี้กลับมิอาจปิดบังโดยสิ้นเชิง
คนของสำนักเซียนและมนุษย์ทั่วไปเห็นเขาแล้วเป็นต้องลงมือ หลายครั้งที่เขาเกือบฆ่าคนภายใต้การยุแยงของหน้าไม้พิฆาตเทวะ แต่มักจะได้สติในตอนสุดท้ายเสมอ
ใต้หล้าไม่มีที่สำหรับเขาอีกแล้ว
ปีศาจเสือก้มหน้าคอตก หนวดเสือไหวระริก
ต่อให้ถานไถจิ้นจะเดียวดายเพียงใด ก็ไม่ต้องการให้มันมาสงสารเขา
“ข้างหน้าไม่ปกติ” ถานไถจิ้นชะงักเท้า
“ตรงที่ใด ตรงที่ใดไม่ปกติ”
ชายหนุ่มในชุดขาวหรี่ตาเล็กน้อย มองหลักเขตแดนเมืองเจาเหอข้างหน้าและเอ่ยว่า “กลิ่นของเลือด”
เดิมทีคิดว่าเมืองเจาเหอค่อนข้างปลอดภัยชั่วคราว แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ กลิ่นคาวโลหิตเข้มข้นถึงเพียงนี้ ผู้คนในเมืองเจาเหออาจจะตายไปหมดแล้ว
“เช่นนั้นพวกเรารีบหนีเถอะ… เอ๋? ฝ่าบาท ท่านจะไปไหน รอข้าด้วย!”
จวนว่าการประจำเมือง
กระบี่ผ่าเวหาตวัดลงไป ขณะที่บุรุษในชุดสีน้ำเงินกำลังจะถูกสังหาร จิ้งจอกตัวหนึ่งกระโจนออกมากลางอากาศ แผดเสียงร้องแหลม ชนกระแทกมือที่ถือกระบี่ กระบี่ผ่าเวหาเบนออกไป สร้างรอยแยกลึกหลายจั้งบนพื้น
“เดรัจฉานขนเหลืองที่ไม่รู้ความ กล้าขวางทางข้ารึ!” กงเหยี่ยจี้อู๋พลิกฝ่ามือ จิ้งจอกกระเด็นออกไป ตกลงบนพื้น ร่างกายเกร็งกระตุก กระอักเลือดคำใหญ่ออกมาหลายครั้ง
ชายหนุ่มบนพื้นเหลือบตาขึ้น ใบหน้าละม้ายเยี่ยฉู่เฟิงในอดีต เขาคลานเข้าไปอย่างยากลำบาก “เพียนหราน เพียนหราน…”
นิ้วมือของเขากำลังจะแตะตัวจิ้งจอกน้อย กระบี่ผ่าเวหากลับตวัดลงมาอีกครั้ง ดวงตาจิ้งจอกที่ฉายแววตระหนกสะท้อนภาพนี้
“จี๊ดๆๆ!”
ระฆังใบหนึ่งครอบลงมากะทันหัน ขังกงเหยี่ยจี้อู๋ไว้
ผู้ชราผมขาวเคราขาวประคองเยี่ยฉู่เฟิงขึ้นมา “รีบหนีไป!”
เยี่ยฉู่เฟิงตาไวมือเร็ว อุ้มจิ้งจอกที่บาดเจ็บสาหัสบนพื้นขึ้นมา สลายกลายเป็นแสงสีขาวพร้อมกับผู้ชรา ก่อนจะหายวับไปในรัตติกาลของเมืองเจาเหอ
พวกเขาเพิ่งจากไป ระฆังวชิระพลันระเบิดออก กงเหยี่ยจี้อู๋เหินกายตามไป
ผู้ชรารู้ว่าหนีเขาไม่พ้น จึงผลักเยี่ยฉู่เฟิงออก “พาจิ้งจอกของเจ้าหนีไป เจ้ารู้ว่าเขามาเพื่อสิ่งใด ปกป้องไข่มุกรวมชีวิตให้ดี อย่าให้ตกไปอยู่ในมือของเผ่ามารเด็ดขาด”
เยี่ยฉู่เฟิงก้มมองจิ้งจอกในอ้อมแขนที่อ่อนแอ กัดฟันตอบว่า “ได้”
ผู้ชราหันกลับไปเผชิญหน้ากับกงเหยี่ยจี้อู๋ เขารู้ว่าตนเองมิใช่คู่ต่อสู้ของกงเหยี่ยจี้อู๋และมิอาจรับมือกระบี่ผ่าเวหาได้ แค่สกัดไว้ให้นานที่สุดก็พอ
กระบี่ผ่าเวหาฟันแส้ปัดในมือเขาจนขาดเป็นสองท่อน ผู้ชราถูกจู่โจมจนล้มลงกับพื้น
“เป็นเจ้า” กงเหยี่ยจี้อู๋พูด “ไข่มุกเบิกตะวันอยู่ที่ใด”
ผู้ชราหัวเราะหึๆ “แน่นอนว่าย่อมอยู่ในที่ที่มารปีศาจอย่างพวกเจ้าหาไม่เจอ”
รอยมารบนใบหน้าของกงเหยี่ยจี้อู๋ลามมาถึงหน้าผาก มองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
กระบี่ผ่าเวหาที่ลากไปบนพื้นส่งเสียงบาดหู ท้องฟ้ามีเสียงอสนีครืนครั่น
ผู้ชรารู้ว่าสิ่งที่รอตนอยู่คืออะไร เขาคลี่ยิ้มอย่างผ่อนคลาย “วันนี้มาถึงเร็วเกินไป แต่ยังดีที่กระบี่ผ่าเวหาอยู่ในมือเจ้า” หากเป็นพญามารเมื่อหมื่นปีก่อน ป่านนี้คงเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าแล้ว
กงเหยี่ยจี้อู๋ยกมือขึ้น รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าจึงเปลี่ยนไป
ลูกศรมารสีนิลแหวกฝ่าชั้นเมฆ พุ่งมากลางอากาศพร้อมเสียงแหลม เล็งมายังกงเหยี่ยจี้อู๋ เขารีบใช้กระบี่ผ่าเวหาสกัดไว้ ลูกศรของหน้าไม้พิฆาตเทวะปะทะกับกระบี่ผ่าเวหา ส่งผลให้เสียงภูตผีครวญคร่ำลอยออกมาจากตัวกระบี่อย่างเลือนราง
กงเหยี่ยจี้อู๋ถอยหลังก้าวหนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้น เห็นชายหนุ่มในชุดขาวพาเสือตัวหนึ่งเดินเข้ามาภายใต้จันทร์เสี้ยว นัยน์ตาเยียบเย็นของกงเหยี่ยจี้อู๋ฉายแววไม่ยินยอม สั่งผู้บำเพ็ญมารที่เข่นฆ่าผู้คนอยู่รอบด้านว่า “ไป!”
ถานไถจิ้นหยุดยืนห่างออกไป มิได้เข้าไปประคองจ้าวโยวบนพื้น
ชายหนุ่มถือหน้าไม้พิฆาตเทวะ ตลอดทางที่เดินมาร่างกายเปื้อนเลือดของมารปีศาจนับไม่ถ้วน เทียบกับกงเหยี่ยจี้อู๋ เขาผมดำตาแดง ดูเหมือนมารปีศาจมากยิ่งกว่า
พอเห็นแววตื่นตระหนกในดวงตาของจ้าวโยวแล้ว หัวใจของถานไถจิ้นเย็นเยียบไปหมด
คนผู้นี้เคยเก็บเขาขึ้นมาจากคงคาผีครวญ คว้านเนื้อเน่าออกไปให้เขาทีละนิด ดึงผีร้ายที่เกาะติดจิตวิญญาณของเขาออก
จ้าวโยวถือตำราสอนเด็ก บอกเขาเหมือนกำลังสอนเด็กน้อยแรกเกิดว่า “มนุษย์แต่ดั้งเดิม พื้นจิตใจนั้นดีงาม”
เขาสอนให้ตนดึงปราณเข้าสู่ร่างกาย สอนตนบังคับกระบี่ สอนให้ตนรักใคร่ปรองดองกับศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักเซียวเหยา
ถานไถจิ้นกำหมัดแน่น ดวงตาที่หลุบลงหนักอึ้งหม่นหมอง
เขาหันหลังเตรียมตัวจะจากไป เสียงของจ้าวโยวดังขึ้นข้างหลัง “จิ่วหมิน ไฉนเจ้าจึงกลายเป็นเช่นนี้” เสียงของผู้ชราไม่มีความรังเกียจเดียดฉันท์ มีเพียงความเจ็บปวดสงสารอย่างล้นเหลือ
“บอกให้จั้งไห่ดูแลเจ้าให้ดี เจ้าคนผู้นี้กลับไม่เอาไหน ไม่รู้หายหัวไปอยู่ที่ใด” จ้าวโยวถอนหายใจ “เจออาจารย์แล้ว ยังจะหนีไปไหนอีก”
ถานไถจิ้นไม่ขยับ ปีศาจเสือใช้หัวดันเขาไปข้างหน้า
ถานไถจิ้นประคองจ้าวโยวที่อยู่บนพื้นขึ้นมาเงียบๆ “อาจารย์”
จ้าวโยวมองหน้าไม้สีนิลในมือถานไถจิ้น นิ่วหน้าถามว่า “สามารถเอาชนะกระบี่ผ่าเวหาได้ นี่คือ?”
“หน้าไม้พิฆาตเทวะ”
“เอามาจากที่ใด”
“ก่อนที่ท่านจะพาข้ากลับสำนักเซียวเหยา มันก็หลอมรวมอยู่ในร่างกายของข้าแล้ว” ถานไถจิ้นตอบ
ตอนนั้นถานไถจิ้นถูกผีร้ายกัดแทะจนเหลือแต่โครงกระดูก หากไม่เพราะหน้าไม้พิฆาตเทวะในคงคาผีครวญหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเขา เขาอยู่ในคงคาผีครวญหลายร้อยปีเช่นนั้น จิตวิญญาณคงแตกซ่านไปนานแล้ว ไม่มีโอกาสได้พบจ้าวโยว
จ้าวโยวถอนหายใจหนักๆ หลอมรวมเข้ากับกระดูกและโลหิต แสดงให้เห็นว่าเขาควบคุมหน้าไม้พิฆาตเทวะได้โดยสมบูรณ์ หน้าไม้พิฆาตเทวะมิอาจถอนออกมาจากตัวเขาได้ นี่เป็นสถานการณ์ที่ต่างจากกงเหยี่ยจี้อู๋ที่ยังไม่อาจบงการกระบี่ผ่าเวหาอย่างสิ้นเชิง
“อาจารย์รู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าไม่ธรรมดา” ผู้มีพรสวรรค์ที่เพิ่งหัดดึงปราณเข้าสู่ร่างได้ก็สามารถสร้างฐานได้ทันทีเช่นนี้ ย่อมมีที่มาไม่ธรรมดา
ถานไถจิ้นพลันเหลือบตาขึ้น ขมวดคิ้วถามว่า “ท่านเป็นอะไรไป”
จ้าวโยวกระแอมกระไอพลางพูด “พยุงข้าไปพักใต้ต้นไม้”
จ้าวโยวเอียงศีรษะ เผยให้เห็นลำคอ
เห็นเพียงร่างกายเขามีรอยมารกระจายเป็นวงกว้าง เหมือนกิ่งก้านของต้นไม้แห้งเหี่ยวที่ตัดกันไปมา จ้าวโยวใกล้จะกลายเป็นมารแล้ว!
“วันนั้นข้าไปสำนักไท่ซวี ไม่คิดว่าจะได้พบปีศาจฮั่นป๋าบรรพกาล ข้ารู้ตัวว่ามิใช่คู่ต่อสู้ของนาง จึงซ่อนตัวและหาวิธีตามนางกลับไปยังอาณาจักรมาร จากนั้นได้พบความลับอย่างหนึ่งโดยบังเอิญ”
ระหว่างที่จ้าวโยวพูด รอยมารลามมาถึงหลังมือเขา สีหน้าเขาสงบนิ่ง เหมือนพระพุทธรูปที่เมตตาอารีองค์หนึ่ง
“ในอาณาจักรมารมีข่ายอาคมอยู่”
“ข่ายอาคมหวนคืนเก้าโคจร?”
“ถูกต้อง แต่มิใช่เช่นนั้นเสียทีเดียว” จ้าวโยวเอ่ย “เป็นมรรคาร่วมโศกของหมื่นปีก่อนที่ยังไม่ทันได้เปิดใช้งานเพราะสงครามใหญ่ระหว่างเทพกับมาร”
“มรรคาร่วมโศก…” ถานไถจิ้นกำหน้าไม้พิฆาตเทวะในมือแน่น
สมัยที่เรียนรู้เรื่องจิตบำเพ็ญ จ้าวโยวเคยสอนเขาว่ามหามรรคาร่วมทุกข์และร่วมโศกไปกับสรรพสิ่ง ก่อเกิดและเกื้อหนุนกัน
ไม่น่าเชื่อว่าภายใต้อาณาจักรมารจะมีมหามรรคาอีกประเภทหนึ่ง เผ่ามารคิดจะทำสิ่งใดกันแน่
จ้าวโยวค่อยๆ เล่าให้เขาฟัง “หมื่นปีก่อนพญามารแข็งแกร่งไร้ผู้เทียบเทียม เขาเปี่ยมด้วยความทะเยอทะยาน อยากเปลี่ยนหกพิภพให้มีแต่มารปีศาจโดยมีเขาเป็นผู้นำ ดังนั้นเขาจึงสร้างมรรคาร่วมโศกขึ้นในอาณาจักรมาร หมายจะเปิดมรรคาร่วมโศก ทำให้ตนเองเป็นผู้บงการมรรคาสวรรค์
เขาเข่นฆ่าเทพอย่างคลุ้มคลั่ง เมื่อเทพแตกดับ จะหลงเหลือบางสิ่งไว้ในโลกนี้ วิญญาณเทพบรรพกาลสมัยบุกเบิกฟ้าดิน เมื่อดวงจิตแตกสลายไปจะทิ้งหยาดน้ำตาดับวิญญาณไว้ ถูกพญามารนำมาหลอมเป็นไข่มุกสี่เม็ด ได้แก่ไข่มุกแปลงโฉม ไข่มุกเบิกตะวัน ไข่มุกโลภะ และไข่มุกรวมชีวิต
พญามารถ่ายพลังวิเศษกว่าครึ่งของตนเข้าไปในมรรคาร่วมโศก สุดท้ายตอนหลอมไข่มุกเทวะทั้งสี่กลับเกิดข้อผิดพลาด เขาถูกเจ้าแห่งปีศาจบรรพกาลข้างกายขโมยไข่มุกแปลงโฉมและไข่มุกรวมชีวิตไป พญามารล้มเหลว กระดูกมารสูญสลาย”
แววตาของจ้าวโยวค่อยๆ แตกซ่าน เขากุมมือถานไถจิ้น “ทว่ามรรคาร่วมโศกยังอยู่ ปีศาจฮั่นป๋าฟื้นขึ้นมาแล้ว วัตถุมารก็ยังอยู่ ซื่ออิงคิดจะอาศัยไอมารเปิดมรรคาร่วมโศก เปลี่ยนปราณวิเศษทั่วหล้าให้กลายเป็นไอมาร ทำให้หกพิภพกลายเป็นมารปีศาจทั้งหมด!”
เจ้าแห่งปีศาจบรรพกาล?
ถานไถจิ้นคิดถึงแดนปีศาจหว่างรกร้างว่างเปล่าผืนนั้น บุรุษที่เฝ้ารอหลีซูซู…บิดาบังเกิดเกล้าของเฟิ่งหวงน้อย
ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง
เมื่อใดที่มรรคาร่วมโศกทำงาน บางทีอาจมีคนเพียงหนึ่งส่วนที่รอดชีวิตและกลายเป็นมารปีศาจ คนที่เหลือล้วนต้องตายภายใต้การปะทะกันระหว่างไอเซียนและไอมาร เหมือนเช่นตอนนี้ที่ซื่ออิงฝังลูกกลอนมารลงในร่างกายของคนจากพิภพเซียน
เจ้าแห่งปีศาจบรรพกาลบังเกิดความรัก จึงหยุดยั้งการเปิดมรรคาร่วมโศกในตอนสุดท้าย หกพิภพจึงได้อยู่อย่างสงบสุขมาตลอดหมื่นปี
น่าเสียดายที่เรื่องในอดีตเหล่านี้ล้วนถูกกลบฝังอยู่ท่ามกลางเถ้าธุลีแห่งประวัติศาสตร์
“ไข่มุกแปลงโฉมและไข่มุกโลภะ ตอนนี้ล้วนอยู่ในมือของซื่ออิงแล้ว” จ้าวโยวพูด “ข้าเอาไข่มุกเบิกตะวันมา ยังไม่ทันหนีไปไหนไกล ซื่ออิงก็รู้ตัวเสียก่อน”
ดังนั้นเขาจึงถูกทำร้าย หว่างคิ้วยังมีเลือดของปีศาจฮั่นป๋าหยดหนึ่ง ปีศาจฮั่นป๋าเป็นบรรพชนของผีดิบ เมื่อจ้าวโยวตายย่อมต้องรับใช้ซื่ออิง
ไม่ง่ายเลยกว่าจ้าวโยวจะอดทนจนกลับถึงแดนมนุษย์ ประจวบเหมาะเห็นผู้คนในเมืองเจาเหอกำลังถูกกวาดล้างสังหาร กงเหยี่ยจี้อู๋มาแย่งชิงไข่มุกรวมชีวิตซึ่งเป็นไข่มุกเม็ดสุดท้าย
จ้าวโยวหยิบไข่มุกที่มีประกายสีเหลืองไหลวนออกมาจากอกเสื้อ วางลงบนฝ่ามือถานไถจิ้น
“ได้พบเจ้าก่อนตาย อาจารย์ดีใจมาก” จ้าวโยวยิ้มพูด “โลกมนุษย์มีคำกล่าวว่าเลี้ยงเด็กไว้เพื่อเป็นที่พึ่งพิงยามชรา ข้ามีลูกศิษย์สองคน ก่อนตายได้พบเจ้าก็ไม่มีอะไรน่าเสียดายแล้ว เอาไข่มุกเบิกตะวันไปแล้ว เจ้าย่อมรู้ว่าควรทำเช่นไร”
ถานไถจิ้นพูด “ท่านจะต้องไม่ตาย ข้าจะพาท่านกลับสำนักเซียวเหยาเดี๋ยวนี้ จ้าวโยว…อาจารย์ร่างกายข้าเต็มไปด้วยไอมาร เป็นเซียนที่ก้าวออกจากวิถีเซียนแล้ว แต่ท่านกลับมอบไข่มุกเบิกตะวันให้ข้า หากท่านมีใจห่วงใยสรรพชีวิตจริง ก็จงอดทนจนกว่าจะพบจั้งไห่และมอบไข่มุกให้เขาด้วยตัวท่านเอง!”
“จิ่วหมิน ยังจำได้หรือไม่ว่าเหตุใดอาจารย์จึงตั้งชื่อนี้ให้กับเจ้า” จ้าวโยวคลี่ยิ้มอ่อนโยน “จิ่วหมิน หมายถึงใต้หล้าอันกว้างใหญ่ เก้าชั้นฟ้าอันสูงสุด”
เจ้าเกิดมาไม่เป็นมงคล ชะตาว้าเหว่เดียวดาย แต่ไม่มีใครเป็นโครงกระดูกที่ผุเปื่อยอยู่ในความมืดมิดตลอดไป เจ้าอยู่ในคงคาผีครวญห้าร้อยปี หากไม่เพราะความรักในใจยังคงอยู่ จะยืนหยัดมาจนถึงบัดนี้ได้อย่างไร
ความรักของเจ้ายังอยู่ เจ้าไม่มีวันตกต่ำกลายเป็นมาร
“จิ่วหมิน โลกมนุษย์เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว อาจารย์อยากขอสิ่งหนึ่งจากเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายได้หรือไม่”
วันนั้นหลีซูซูไล่ตามมาจนถึงเมืองเจาเหอ เห็นน้ำในคูเมืองถูกโลหิตย้อมจนเป็นสีแดง
ผู้บำเพ็ญเพียรนับไม่ถ้วนรุดเข้าไปในเมืองเจาเหอด้วยความคั่งแค้น หลีซูซูรีบบังคับกระบี่เหาะเข้าไป ได้ยินเสียงคนอุทานด้วยความตระหนก
นางเดินฝ่ากลุ่มคน และมองเห็นชายหนุ่มในชุดขาวที่ยืนอยู่ลำพัง
เขายังคงผ่ายผอม มือถือกระบี่เล่มหนึ่ง นั่งบนขั้นบันได เบื้องหลังเป็นเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วง ท่ามกลางกองเพลิงยังมองเห็นร่างเซียนของจ้าวโยวรางๆ เผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านกลางเปลวไฟ
กระบี่ของผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลายชี้ไปที่เขา เขานั่งเงียบ ถือกระบี่ฮุ่นหยวนที่จ้าวโยวทิ้งไว้ให้สมัยยังมีชีวิต มีเพียงหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ ทว่าทุกคนกลับมิกล้าเข้าใกล้
“ผู้บำเพ็ญมารชังจิ่วหมิน เจ้าทรยศสำนัก สังหารจ้าวโยวผู้เป็นอาจารย์ อกตัญญูไร้คุณธรรมเช่นนี้ ยังไม่รีบยอมรับความตายเสีย!”
“ศิษย์เนรคุณที่สังหารอาจารย์ เศษสวะในสำนักเซียน ทุกคนล้วนประหารเจ้าได้!”
“เจ้าทำร้ายมนุษย์ เข่นฆ่าชาวบ้านในสี่สิบสองเมือง วันนี้ยังฆ่าล้างเมืองเจาเหอทั้งหมด สำนักเซียนมิอาจทนเจ้า มรรคาสวรรค์ก็มิอาจยอมรับเจ้า!”
หลีซูซูมองเห็นจั้งไห่ด้วย
จั้งไห่โซซัดโซเซตกลงมาจากกระบี่เซียน พุ่งขึ้นไปบนขั้นบันได คว้าคอเสื้อถานไถจิ้นพลางถามด้วยขอบตาแดงก่ำ “เพราะอะไร! เหตุใดเจ้าต้องฆ่าอาจารย์ด้วย! สิ่งที่พวกเขาพูดข้าล้วนไม่เชื่อ แต่ข้าเห็นเองกับตา เจ้าใช้กระบี่ฮุ่นหยวนแทงเข้าไปในอกของอาจารย์ เจ้าใช้อัคคีแท้เผาร่างเซียนของอาจารย์ เขารักเจ้าเสมือนบุตรแท้ๆ ถ่ายทอดวิชาความรู้ทั้งหมดให้กับเจ้า! เพราะอะไร เจ้าบอกข้ามาว่าเพราะอะไร!”
ถานไถจิ้นเงยหน้า ศิษย์สำนักเซียวเหยาที่เคยรักใคร่เอ็นดูเขาในอดีต บัดนี้แต่ละคนดวงตาแดงก่ำ แทบอยากจะพุ่งเข้ามาดื่มเลือดกินเนื้อเขา
ไม่เคยมีครั้งใดที่เขารู้สึกเหมือนมีก้างติดอยู่ในลำคอเช่นนี้มาก่อน ถานไถจิ้นไม่เคยอธิบาย แต่ครั้งนี้กลับอดเอ่ยปากมิได้ “เพราะถ้าหากเขาตาย…”
“นายท่านทำได้ดีมาก น้อมต้อนรับนายท่านกลับอาณาจักรมาร”
ไอมารแผ่กระจายอยู่รอบด้าน ผู้บำเพ็ญมารในชุดม่วงหัวเราะ นำศิษย์จากพิภพมารกลุ่มหนึ่งมาคุกเข่าลงเบื้องหน้าถานไถจิ้น
จิงเมี่ยพูด “นายท่านอดทนกับความอัปยศอดสู นักพรตเหล่านี้บังอาจไม่มีสัมมาคารวะกับนายท่าน วันนี้ข้าจะให้พวกเขาได้มาไม่ได้กลับ”
ถานไถจิ้นชะงักไป รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ ผิวหนังบนหลังมือเขาเริ่มขยับ คล้ายจะแตกออกและหลุดล่อนออกมา
ปีศาจเสือเห็นดังนั้นก็รู้ว่าไม่ได้การ ร่างกายของถานไถจิ้นกำลังจะปริแยกอีกครั้งในเวลาเช่นนี้
จิงเมี่ยลงมือกับจั้งไห่แล้ว ด้วยพลังตบะของเขา จั้งไห่ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ ครั้นเห็นโลหิตของจั้งไห่กำลังจะสาดกระเซ็น พิณที่มีประกายสีฟ้าไหลเวียนคันหนึ่งเข้ามาขวางหน้าจั้งไห่
หลีซูซูตบฝ่ามือลงบนพิณคงโหวฉงอวี่ ฉงอวี่โบยบินออกไป กระแทกศีรษะของจิงเมี่ย
จิงเมี่ยถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ดวงตาฉายแววเหี้ยมเกรียม “เป็นนางหนูผู้นี้อีกแล้ว!”
หลีซูซูเห็นแล้วโมโห นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ผู้บำเพ็ญมารกลุ่มนี้จงใจไม่ให้ถานไถจิ้นได้เอ่ยปากชัดๆ
นางมาช้าเกินไป มิได้เห็นเหตุการณ์ตอนที่ถานไถจิ้นสังหารจ้าวโยว ถานไถจิ้นไม่น่าจะฆ่าจ้าวโยว จะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแน่นอน!
ฉงอวี่ลอยกลับเข้ามาในมือนาง นิ้วมือนางสะกิดสายพิณ
จิงเมี่ยรีบยื่นมือออกไปสกัดไว้
สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนไปมายากจะคาดเดาอารมณ์ เมื่อคิดถึงภารกิจที่มาครั้งนี้ เขาร้อนใจอยากเข้าไปดึงตัวถานไถจิ้น “นายท่าน โปรดไปกับข้าน้อยเถอะ!”
เนตรมารของชายหนุ่มในชุดขาวกลับเอาแต่จ้องหญิงสาวผู้นั้น
“นายท่าน รีบไปกันเถอะ!”
ปีศาจเสือเร่งรัดเช่นกัน “ฝ่าบาท รีบหาสถานที่หลบก่อนดีกว่า อย่าให้พวกเขาเห็นท่านตอนที่…” มิฉะนั้นแล้ว ถึงเวลาต่อให้กระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็มิอาจล้างมลทินได้
ถานไถจิ้นกลับเอาแต่จ้องมองหลีซูซู เวลานั้นทุกถ้อยคำที่เขาเอ่ยออกมาเหมือนถูกเค้นออกมาจากลำคอ สุ้มเสียงแตกพร่า “เจ้าก็มาฆ่าข้าเหมือนกันหรือ”
ข้าสวมชุดสีขาว ทำความดี เอาอย่างกงเหยี่ยจี้อู๋ เอาอย่างเยวี่ยฝูหยา แต่ไฉนเจ้ายังคงไม่รักข้า
เงาร่างของเขาจางลงทุกที เขากำลังจะไปจากที่นี่
หลีซูซูเดินหน้าไปหนึ่งก้าว หมายจะจับมือเขาไว้
ฉงอวี่ถ่ายทอดเสียงมาถึงนาง “เหตุการณ์ไม่ปกติ หลีซูซู ไม่ว่าอย่างไรต้องรั้งตัวเขาไว้ให้ได้!”
“มิใช่! ถานไถจิ้น” หลีซูซูกัดฟัน สองตาทอประกายระยับ ตัดสินใจพูดออกไป “ข้ามาทำตามสัญญา!”
ดังนั้น เจ้าอย่าเป็นมารอีกเลย
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนธันวาคม 65)
Comments
comments
No tags for this post.