X
    Categories: จันทราอัสดงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จันทราอัสดง บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 3

พอหลีซูซูคิดถึงสายตาของคนผู้นี้ตอนหิ้วตัวนางขึ้นมาพิจารณาในวังมารในอนาคต นางก็บดฟันกรามเบาๆ

เด็กหนุ่มตรงหน้าดูขลาดกลัวและต้อยต่ำ แต่หลีซูซูไม่เชื่อหรอกว่าจอมมารในวัยเยาว์จะมีนิสัยเช่นนี้

นี่คงจะเสแสร้งมากกว่า

ป้ายวิญญาณนับไม่ถ้วนวาบผ่านไปในสมองของนาง ยังมี ‘สุสานหมื่นเซียน’ ที่โหดร้ายนั่นอีก ทำให้โทสะคนปั่นป่วน

หลีซูซูหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาจากใต้เตียง ข้างในมีแส้สีแดงดุจโลหิตเส้นหนึ่ง

ถานไถจิ้นมองแส้ นิ้วมือในแขนเสื้อกำเข้าด้วยกันช้าๆ

หลีซูซูเหลือบตามองเขา

พูดไปแล้วก็วิปริตทีเดียว เรื่องน่าโมโหที่สุดในชีวิตนี้ของเจ้าของร่างเดิม มิพ้นการแต่งให้กับถานไถจิ้น ถึงขั้นที่ว่าทุกค่ำคืนจะต้องหวดแส้ใส่เขาเพื่อระบายโทสะ

เรื่องนี้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว คืนใดไม่เฆี่ยนเขา เจ้าของร่างเดิมจะรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว

หลีซูซูไม่เคยใช้แส้เฆี่ยนคนมาก่อน นางไม่ชอบสิ่งชั่วร้ายแต่กำเนิดผู้นี้ นางมิได้คิดว่ามารปีศาจทั้งหมดล้วนชั่วช้า แต่บุคคลตรงหน้าผู้นี้ ในอนาคตต้องมิใช่คนดีแน่นอน

เป็นพันหมื่นปี โลกจึงจะปรากฏคนที่มีกระดูกมารแต่กำเนิดสักคน

เขาถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องเป็นดาวหายนะเดียวดาย* ต่อไปนิสัยจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเหี้ยมโหด แม้แต่ตัวเขาเองก็มิอาจควบคุมได้

หลีซูซูตวัดแส้ทันใด

แส้ฉีกทึ้งอากาศจนเกิดเสียงขณะพุ่งไปยังเด็กหนุ่ม

ถานไถจิ้นมิได้หลบเลี่ยง แส้หวดลงบนแผงอกเขา เขาซวนเซถอยหลังหนึ่งก้าว

นัยน์ตาเขาดำสนิทดุจแต้มด้วยหมึก จ้องมองหลีซูซูเขม็ง

ในดวงตาคู่นั้นของเขา ในที่สุดหลีซูซูก็มองเห็นความชิงชังและความเจ็บปวดที่ซุกซ่อนอยู่ลึกเป็นพิเศษ

สมควรเป็นเช่นนี้ล่ะ

ธรรมะกับอธรรมเดิมทีก็อยู่ร่วมกันไม่ได้อยู่แล้ว

หลีซูซูเลียนแบบคำพูดทุกค่ำคืนของเจ้าของร่างเดิม “ล้วนเป็นเพราะเจ้า องค์ชายหกจึงไม่ยอมแต่งข้า ไยเจ้าจึงไม่ไปตายเสีย!” นางเฆี่ยนแส้ไปที่แขนของเด็กหนุ่มอีกครั้ง

เขาครางเสียงค่อย ร่างกายสั่นระริกตามไปด้วย

ถานไถจิ้นคุกเข่าบนพื้นหิมะนานถึงเพียงนั้น ร่างกายเริ่มบวมและเจ็บระบมแล้ว ยามนี้แส้หวดลงบนแขนที่เดิมทีด้านชาไปนานแล้วสองที ขยายความเจ็บปวดให้เพิ่มขึ้นหลายเท่าจนนับไม่ถ้วน กระดูกเกร็งกระตุกเพราะความเจ็บเป็นพักๆ

มือของหลีซูซูที่ถือแส้ชะงัก ดูเหมือนเขาใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว? ถึงอย่างไรก็เป็นร่างของมนุษย์ธรรมดา อ่อนแอยิ่งนัก

หลีซูซูสูดหายใจเฮือกหนึ่ง พึมพำคาถาสงบจิตในใจหลายครั้ง นางมองนิ้วมือนุ่มเนียนของตนเอง ภารกิจของนางมิใช่การฆ่าจอมมารในวัยเยาว์ อีกทั้งต่อให้นางจะฆ่าเขา ก็ควรกระทำอย่างรวดเร็วฉับไว ไม่ควรย่ำยีให้ทรมาน

ตั้งแต่เล็กท่านพ่อสอนนางว่ามิอาจใช้อำนาจรังแกผู้อ่อนแอ ฟ้าดินไร้เมตตา เห็นสรรพสิ่งดังหนึ่งสุนัขฟาง* ดังนั้นผู้บำเพ็ญเซียนจะเป็นฝ่ายก่อกรรมทำเข็ญมิได้เด็ดขาด

หลีซูซูข่มความคิดอยากแก้แค้นแทนคนในสำนัก นางเก็บแส้พลางเอ่ยว่า “วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว เห็นหน้าเจ้าก็หงุดหงิด ครั้งหน้าหากให้ข้ารู้ว่าเจ้ากับเยี่ยปิงฉางมีความเกี่ยวข้องอะไรกันอีก ข้าจะไม่ละเว้นเจ้าง่ายๆ แน่”

นางเขวี้ยงแส้ใส่ตัวถานไถจิ้น จากนั้นนอนตะแคงหันหลังให้เขา

หลีซูซูหลับตาลง ท่องคาถาสงบจิตสิบรอบได้ ประคองจิตบำเพ็ญจนมั่นคงแล้วจึงพบว่านางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

นี่เป็นลักษณะของจิตบำเพ็ญที่ปั่นป่วน

นางไม่มีทางหนีความผิดของตนเอง คืนนี้ปฏิบัติตามธรรมเนียมของเจ้าของร่างเดิมดูหมิ่นทรมานเขา เป็นนางที่ทำไม่ถูก ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว

ถานไถจิ้นรับแส้ไว้ สีหน้าเขาเดิมอ่อนเพลียอยู่แล้ว เมื่อรับแส้ไปอีกสองที ใบหน้ายิ่งซีดเผือดกว่าเดิม

เขาเงยหน้ามองเงาหลังของเด็กสาว

อันที่จริงเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องถูกเยี่ยซีอู้เฆี่ยนปางตายแน่ แต่วันนี้กลับถูกเฆี่ยนน้อยลงไปหลายสิบที

หน้าผากของถานไถจิ้นมีเหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมชั้นหนึ่ง ฝืนสังขารหยิบฟูกผ้าห่มออกมาปูที่ใต้เตียง บนคอมีของสิ่งหนึ่งบาดปากแผลจนรู้สึกเจ็บ เขาหยิบออกมา

เป็นยันต์คุ้มครองที่สีซีดจางไปนานแล้ว ยันต์คุ้มครองนี้ร้อยด้วยด้ายดำ ซ่อนอยู่ใต้อาภรณ์เขามานานปี

แสงเทียนสะท้อนลงบนดวงตาเขา ไอเย็นสลายไปบางส่วน

ถานไถจิ้นเก็บยันต์คุ้มครองให้ดีและพลิกตัว ค่ำคืนในฤดูหนาว ลมแรงข้างนอกพัดเสียงดัง เงาไม้ทาบทอลงบนหน้าต่าง ดูเหมือนภูตผีปีศาจที่กางเล็บแยกเขี้ยว

ถานไถจิ้นพลันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อน ร่างของสาวใช้อิ๋นเชี่ยวถูกแทงจนเป็นแผลนับไม่ถ้วน ตอนนั้นศพนางแข็งทื่อ สีหน้าเจ็บปวดทรมาน ไม่รู้ว่านึกเสียใจภายหลังหรือไม่ที่เลือกให้เยี่ยซีอู้หลบหนีไป

ดวงตาของถานไถจิ้นนิ่งลึก มีแต่ความมืดมิด

เวลานั้นศพของสาวใช้ยังไม่เย็นทั้งหมด เลือดของนางย้อมพื้นหิมะจนเป็นสีแดง ไหลคดเคี้ยวมาถึงใต้ฝ่าเท้าเขา

นางตายตาไม่หลับ

เขายกเท้าขึ้นอย่างเฉยชาและก้าวข้ามไป

กลางดึกหลีซูซูนอนไม่หลับ

สิ่งชั่วร้ายนอนอยู่ใต้เตียง ต่อให้นางเป็นคนคิดน้อยเพียงใด ก็มิอาจข่มตาหลับไปเช่นนี้ได้

โลกมนุษย์เข้าสู่ฤดูกาลอันหนาวเหน็บแล้ว ลมหนาวพัดกระแทกหน้าต่างจนหน้าต่างเปิดออกกะทันหัน ไอเย็นโถมเข้ามาในห้องไม่หยุด ถ่านไฟภายในห้องมอดดับไปแล้ว

หลังจากเจ้าของร่างเดิมแต่งงาน พวกสาวใช้ก็ไม่ได้อยู่ปรนนิบัติในห้องอีก แน่นอนว่าหลีซูซูก็คงไม่ปลุกสาวใช้ขึ้นมากลางดึกให้ปิดหน้าต่าง

นางอดทนครู่หนึ่ง พบว่ากายเนื้อของมนุษย์มิอาจต้านทานความหนาวเย็นได้จริงๆ จึงเลิกผ้าห่ม ลุกไปปิดหน้าต่าง

ปิดเสร็จกลับมา ตอนเดินผ่านเด็กหนุ่มบนพื้น นางรู้สึกว่าเขาไม่ปกติ ลมหายใจของเขาหนักหน่วง คนกำลังตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้สติ

หลีซูซูหยิบโคมแก้วหลิวหลี* มาดวงหนึ่ง ก่อนจะย่อตัวลงข้างกายเขา

ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เดิมขาวซีด ยามนี้เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เขาไม่ได้ตื่นขึ้นมา แต่ฟันกลับขบกันแน่นโดยไม่รู้ตัว

ดูเหมือนจะเกิดเรื่องเสียแล้ว หลีซูซูตระหนก จะตายไม่ได้นะ

ตอนนี้นางยังไม่ได้ถอนกระดูกมารออกมา หากเขาตายไป ภารกิจของนางย่อมล้มเหลวตามไปด้วย ถ้าถูกดีดออกจากมิตินี้ โลกบำเพ็ญเพียรย่อมได้แต่กอดคอรอตายหมู่เป็นแน่

หลีซูซูลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือออกไปแตะหน้าผากเขา

ใต้ฝ่ามือนางร้อนลวก นางหดมือกลับมา มนุษย์ทั่วไปหากเป็นเช่นนี้ น่ากลัวว่าจะเป็นไข้จนตายได้กระมัง

หลีซูซูไม่คาดคิดเลยว่าสิ่งชั่วร้ายเมื่อห้าร้อยปีก่อนจะอ่อนแอถึงเพียงนี้

เขาบาดเจ็บได้ พิการได้ แต่ห้ามตายเด็ดขาด มิฉะนั้นแล้วกระดูกมารจะฟื้นขึ้นมา

หลีซูซูรีบคว้าถ้วยน้ำชาบนโต๊ะ เดินออกไปนอกประตู นางเก็บหิมะสีขาวที่ทับถมอยู่ข้างนอกได้หลายถ้วย ก่อนจะกลับมา

หลีซูซูเป่าลมหายใจ หนาวเหลือเกิน

นางมิกล้ารั้งรอ รีบหาชุดกระโปรงมาตัวหนึ่ง ฉีกออกเป็นแถบผ้า ใช้แถบผ้าหุ้มหิมะสีขาวและประคบลงบนหน้าผากของเด็กหนุ่ม

บนร่างเขาคลุมด้วยผ้าห่มผืนบางสำหรับใช้ในสารทฤดู หนาวจนตัวสั่นงันงก

หลีซูซูหอบผ้าห่มบนเตียงของตนลงมาคลุมให้เขา นางนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกายเขา ดวงหน้าเล็กฉายความเหนื่อยหน่าย

อยากฆ่ามิอาจฆ่า มิหนำซ้ำยังต้องมาช่วยชีวิตอีก

กึกๆ…

วิ่งออกไปข้างนอกกลางดึก ฟันยังกระทบกันไม่หยุด หนาวเสียจริง…

หลีซูซูคลุมกายด้วยเสื้อคลุมตัวใหญ่ ในที่สุดก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

นางยังต้องคอยเฝ้าถานไถจิ้นไว้ เปลี่ยนหิมะบนหน้าผากเขาเพื่อลดไข้

หลีซูซูพิงกายที่หน้าเตียง รู้สึกหมดอาลัยในชีวิตทีเดียว

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน รู้แต่แรกไม่เฆี่ยนเขาดีกว่า

 

ถานไถจิ้นรู้สึกว่าตนเองใกล้ตายเต็มที ร่างกายสะบัดร้อนสะบัดหนาว เจ็บไปทั่วทุกจุด

เขาหลับตา รอบกายคล้ายมีแต่ความมืดมนและความหนาวเหน็บไม่สิ้นสุด

มนุษย์ล้วนไม่อยากตาย หาไม่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างตลอดหลายปีมานี้นับเป็นอะไร

เขารู้ว่าตนเองจะหลับไปไม่ได้ ต้องช่วยเหลือตนเอง เขาพยายามลืมตาขึ้น แต่เปลือกตาหนักอึ้ง ราวกับถูกถ่วงด้วยน้ำหนักเป็นพันชั่ง

เขาต่อต้านกับความเจ็บปวดเช่นนี้นานเหลือเกิน ตอนที่ใกล้จะล้มเลิกความพยายามนั้นเอง กลับมีนิ้วมืออ่อนนุ่มแตะลงบนหน้าผากเขาเบาๆ

สัมผัสเย็นเฉียบทำให้ขนตาของเขาไหวระริก

ทว่าความรู้สึกนี้หายไปอย่างรวดเร็ว

โชคดีที่ไม่นานคนผู้นั้นก็กลับมา หน้าผากรู้สึกเย็นอีกครั้ง ผ่านไปไม่นานร่างกายก็อบอุ่นขึ้น

ค่ำคืนกลางเหมันต์ภายในห้อง เขาได้กลิ่นหอมอบอุ่นของหญิงสาวจางๆ

เขาคิดอย่างเย็นชา ไฉนจึงบังเกิดความรู้สึกอันเหลวไหลเช่นนี้ได้

ตอนฟ้าใกล้สว่าง ถานไถจิ้นไข้ลดในที่สุด

เด็กหนุ่มยังคงหลับตา แต่ตัวไม่สั่นแล้ว

หลีซูซูโยนแถบผ้ากับหิมะที่ละลายแล้วทิ้งไป หอบผ้าห่มของตนเอง หัวทิ่มลงบนเตียง

ง่วงเหลือเกิน

ยามท้องนภาปรากฏสีขาวท้องปลา ชุนเถาเลิกม่านโปร่ง ปรนนิบัติหลีซูซูตื่นนอน

บรรดาสาวใช้ขยาดงานนี้เป็นที่สุด คุณหนูสามอารมณ์ฉุนเฉียว มีครั้งหนึ่งสาวใช้ที่ปลุกนางจากเตียงถึงขั้นถูกโบยสามสิบไม้

ชุนเถาอายุน้อย ทั้งยังเป็นเด็กซื่อ จึงมักถูกผลักให้มารับหน้าที่นี้เสมอ

นางกล้าๆ กลัวๆ ร้องเรียกคุณหนูสามหนหนึ่ง หัวใจก็แขวนเติ่ง…

เด็กสาวลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างสะลึมสะลือ ชุนเถารีบสวมเสื้อผ้าให้นาง

หลีซูซูขยี้ตาพลางหาว ศีรษะถึงขั้นมีผมปอยเล็กปอยหนึ่งชี้เด่ขึ้นมา

ชุนเถาเหลือบตามองแวบหนึ่งอย่างเร็วรี่ นางเพิ่งตระหนักเป็นครั้งแรกว่าที่แท้รูปโฉมของคุณหนูสามอ่อนโยนน่ารักถึงเพียงนี้

ในใจชุนเถารู้สึกขบขันอยู่บ้างอย่างไร้สาเหตุ พลอยทำให้ความหวาดกลัวในใจสลายไปไม่น้อย

ตลอดขั้นตอนปรนนิบัติทั้งหมด คุณหนูสามไม่ได้ด่านางแม้แต่คำเดียว

หลีซูซูอดนอนครึ่งคืน ยามนี้ถูกปลุกให้ตื่นแต่เช้า นางมองลงไปด้านล่างเตียง ไม่เห็นเงาของถานไถจิ้นแล้ว ไม่รู้เขาจากไปตั้งแต่เมื่อใด

สาวใช้สี่สี่รออยู่ข้างนอก ย่อกายเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพกับฮูหยินผู้เฒ่ากำลังรอคุณหนูสามไปกินอาหารด้วยกันเจ้าค่ะ”

หลีซูซูพยักหน้า

บนโต๊ะอาหารเช้าสกุลเยี่ย หลีซูซูมองซ้ายมองขวา ถานไถจิ้นไม่อยู่ที่นี่ นางคิดว่าต้องคอยจับตาดูสิ่งชั่วร้ายไว้ จึงถามชุนเถาเสียงค่อย

ชุนเถาตอบ “คุณหนูลืมไปแล้วหรือ ท่านไม่อนุญาตให้จื้อจื่อร่วมโต๊ะกับท่าน สั่งให้เขากินอาหารร่วมกับพวกบ่าวในห้องบ่าวไพร่”

หลีซูซูกะพริบตาปริบๆ เอาเถอะ เยี่ยม ร้ายกาจยิ่งนัก

หลีซูซูลอบพิจารณาสมาชิกแต่ละคนของสกุลเยี่ยซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่

ฮูหยินผู้เฒ่านั่งตำแหน่งประธาน บุรุษท่าทางเคร่งขรึมองอาจข้างกายคือแม่ทัพใหญ่เยี่ย เยี่ยเซี่ยว

ปีนี้เยี่ยเซี่ยวอายุสามสิบแปดปี ไว้หนวดเครา มองดูแล้วจึงยิ่งขึงขังเข้มงวด หลังจากภรรยาเอกตายไป ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาล้วนมิได้แต่งภรรยาใหม่

กล่าวด้วยคำพูดของเยี่ยเซี่ยว คนที่ทำศึกในสมรภูมิ ศีรษะล้วนแขวนอยู่ที่เอวกางเกง ไม่แน่ว่าวันใดจะต้องใช้หนังอาชาห่อศพ* ไม่มีความจำเป็นต้องแต่งภรรยาเอกอีก เช่นนั้นจะทำให้นางหวาดวิตกเปล่าๆ

เยี่ยเซี่ยวกล่าววาจาได้น่าฟังทีเดียว ทว่าเขากลับมีอนุภรรยาถึงสามคน

สายตาของหลีซูซูกวาดมองใบหน้าของอี๋เหนียง* ทั้งสามคน เป็นสามแบบที่ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง แต่ละคนต่างมีเอกลักษณ์ของตนเอง

ในจวนมีคุณชายทั้งหมดสี่คนกับคุณหนูสามคน

นอกจากหลีซูซูที่เป็นทายาทสายตรงเพียงคนเดียว พี่น้องคนอื่นๆ ล้วนเกิดจากอนุทั้งสิ้น

คุณชายรองมารดาประสบเหตุไม่คาดฝัน ฐานะจึงกระอักกระอ่วนที่สุด

คุณชายใหญ่กับคุณชายสามเกิดจากเหลียนอี๋เหนียง เหลียนอี๋เหนียงเป็นสาวใช้ห้องข้าง* ของเยี่ยเซี่ยวในวัยเยาว์ อายุยังมากกว่าเยี่ยเซี่ยวสองปี รูปโฉมธรรมดา แต่เนื่องจากให้กำเนิดบุตรชายคนโต ฐานะของนางในจวนจึงสูงมาก ปกติฮูหยินผู้เฒ่าจะให้นางช่วยดูแลจัดการงานกิจภายในจวน

ตู้อี๋เหนียงหางตาเฉียงขึ้น เนตรขนงเจือแววไม่ถือตัวของผู้ที่มาจากตระกูลเล็ก นางเป็นมารดาของคุณหนูรองเยี่ยหลันอิน ในจวนนับว่านางแต่งตัวฉูดฉาดมากที่สุด ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบนางมากที่สุด

ส่วนคนสุดท้าย หลีซูซูมองไป เป็นอวิ๋นอี๋เหนียง เทียบกับอี๋เหนียงสองคนก่อนหน้า นางดูเรียบร้อยนุ่มนวล บนศีรษะประดับปิ่นเรียบง่ายอันหนึ่ง คนประหนึ่งปทุมมาที่โผล่พ้นน้ำ ท่วงทีแฝงลักษณะที่ยากจะบรรยายเป็นคำพูดได้

อาศัยเพียงบุคลิกเช่นนี้ ก็เหนือล้ำกว่าอี๋เหนียงอีกสองคนหลายขั้นแล้ว

นางคือมารดาของเยี่ยปิงฉางและคุณชายสี่ เป็นที่รักใคร่ของแม่ทัพใหญ่เยี่ยมากที่สุด

แม้ว่าหลีซูซูจะยังไม่เคยพบเยี่ยปิงฉาง แต่เห็นอวิ๋นอี๋เหนียงก็พอจะเดาได้ว่าเยี่ยปิงฉางเป็นคนงามผู้หนึ่ง

สมาชิกในครอบครัวใหญ่นั่งลงจนเต็มโต๊ะ

หลีซูซูอดรู้สึกดูแคลนแม่ทัพใหญ่เยี่ยอยู่บ้างมิได้ ในโลกบำเพ็ญเพียรของพวกนาง ไม่มีการรับอนุเช่นนี้ มีแต่คู่บำเพ็ญเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

มารดาบังเกิดเกล้าของหลีซูซูตายไปร้อยปีแล้ว บิดายังคงเช็ดกู่ตี๋* ของมารดาทุกวัน บางครั้งยังเช็ดไปปาดน้ำตาไปด้วย

แน่นอนว่ามีธรรมเนียมปฏิบัติที่ไม่ดีนักอยู่บ้างเช่นกัน เป็นต้นว่าเพาะเลี้ยงกระถางยา* แต่เรื่องพรรค์นี้ผู้คนกล้าทำเพียงลับหลังเท่านั้น พูดออกมาย่อมเป็นเรื่องต่ำช้าน่าละอาย

มนุษย์ยังแข็งแกร่งมิเท่าผู้บำเพ็ญเพียรด้วยซ้ำ กลับมีสามภรรยาสี่อนุ

“คุณหนูสามเป็นอะไรไป อาการป่วยยังไม่หายดีหรือ ใบหน้าจึงขาวซีดปานนี้” พออวิ๋นอี๋เหนียงเอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงอ่อนโยน ทุกคนต่างหันมามองหลีซูซู

หลีซูซูวางตะเกียบ เมื่อคืนนางไม่ได้นอนตั้งครึ่งคืน สีหน้าจะดีได้ถึงขั้นใดเล่า แต่เรื่องนี้ย่อมมิอาจเอ่ยออกมาได้

อวิ๋นอี๋เหนียงไม่ขานชื่อหลีซูซูยังพอทำเนา พอเอ่ยถึงหลีซูซู เยี่ยเซี่ยวก็วางตะเกียบ ปรายตามองหลีซูซูอย่างไม่พอใจ “งานเลี้ยงในวังครั้งก่อน เรื่องระหว่างเจ้ากับพี่หญิงใหญ่ของเจ้าแพร่ไปถึงพระกรรณของไทเฮาแล้ว ไทเฮามีรับสั่งให้เจ้าเข้าวังวันนี้”

หลีซูซูกลืนบัวลอยในปากลงไปพลางลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

เรื่องนี้มิใช่ฝีมือนาง ทว่าบัดนี้กลับต้องให้นางรับผิดชอบทั้งหมด

คนนั่งอยู่ในบ้าน หม้อร่วงตกลงมาจากท้องฟ้า*

ฮูหยินผู้เฒ่าทนเห็นแก้วตาดวงใจของตนลำบากมิได้ จึงพูดขึ้นทันที “เซี่ยวเอ๋อร์ ซีอู้ยังเล็ก ครั้งก่อนพี่น้องเกิดความขัดแย้งกัน คงเป็นความเข้าใจผิดเสียมากกว่า อีกอย่างยายหนูใหญ่คงไม่ถึงขั้นถือสาซีอู้หรอก เจ้าว่าจริงหรือไม่อวิ๋นอี๋เหนียง”

อวิ๋นอี๋เหนียงยิ้มตอบ “เจ้าค่ะ”

หลีซูซูมองเห็นแววฝืนใจหลายส่วนในรอยยิ้มนั้น ก็ไม่แปลก บุตรสาวของตนได้รับความไม่เป็นธรรม ยังต้องยิ้มอภัยให้ตัวการ ในใจของอวิ๋นอี๋เหนียงต้องไม่รู้สึกดีแน่นอน

“ถึงเวลาเมื่อยายหนูสามเข้าวัง เจ้าคอยปกป้องนางมากหน่อยแล้วกัน”

เยี่ยเซี่ยวถอนหายใจ ไม่กล้าขัดมารดาผู้เฒ่า เพียงผงกศีรษะเอ่ย “ไทเฮาพระทัยกว้างขวาง ไม่ถือสาหาความกับเด็กๆ ซีอู้ทำตัวดีหน่อย เรื่องนี้ย่อมผ่านพ้นไปได้”

ฮูหยินผู้เฒ่าตบมือหลีซูซู เป็นการบอกนางว่าไม่ต้องกลัว

หลีซูซูฉีกยิ้มให้ฮูหยินผู้เฒ่าพลางพยักหน้า มีแม่ทัพใหญ่เยี่ยอยู่ อย่างน้อยไทเฮาก็ไม่ตำหนินางมากเกินไป

เจ้าของร่างเดิมมีย่าเช่นนี้ ช่างดีจริงๆ

หลังกินอาหารเสร็จ หลีซูซูขึ้นรถม้าเตรียมมุ่งหน้าเข้าวังหลวง สภาพจิตใจของนางจัดว่าไม่เลว มาใช้ร่างของเยี่ยซีอู้ ย่อมสมควรแก้ไขปัญหาให้เยี่ยซีอู้

ในเมื่อมาแล้วก็พึงอยู่ต่อไปอย่างสบายใจ รับมือไปตามสถานการณ์

หลีซูซูเตรียมใจให้พร้อมเป็นแพะรับผิด ไปรับบททดสอบครั้งนี้อย่างยอมรับชะตา

สาวใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามา ย่อกายเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพบอกว่าขอให้คุณหนูสามรอสักครู่เจ้าค่ะ”

รออะไร

ไม่นานหลีซูซูก็รู้คำตอบ

ผ่านไปครู่หนึ่ง ถานไถจิ้นเดินออกมาจากอีกด้านของจวน เด็กหนุ่มริมฝีปากขาวซีด ให้ความรู้สึกเหมือนคนป่วยที่อ่อนแอ

ทิศทางที่เขาเดินมา ตรงข้ามกับห้องโถงใหญ่ของจวนสกุลเยี่ย

หลีซูซูนึกถึงคำพูดของชุนเถา…ถานไถจิ้นกินอาหารในห้องบ่าวไพร่

หลีซูซูพยายามมองหาแววโกรธแค้นในดวงตาเขา ถึงอย่างไรเมื่อคืนตนก็เฆี่ยนเขาไปเช่นนั้น

ทว่าจวบจนเดินเข้ามาใกล้หลีซูซู สีหน้าของเขายังคงนิ่งสงบ

เขาเหลือบตาขึ้น สายตาหยุดอยู่บนดวงหน้าที่ขาวซีดไม่ต่างกันของนางนานขึ้นสองอึดใจ จากนั้นเบนสายตาออกไปอย่างเย็นชา

เอ๋? ไม่ใช่กระมัง ไม่ใช่แน่ๆ ไฉนบัดนี้คนผู้นี้จึงไม่แสร้งทำท่าต่ำต้อยขลาดกลัวแล้วเล่า!

 

* ดาวหายนะเดียวดาย เป็นความเชื่อพื้นบ้านของจีน ผู้ที่มีชะตาดาวหายนะเดียวดายจะถูกลิขิตให้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไปชั่วชีวิต ชะตานี้มิได้ส่งผลกระทบต่อเจ้าตัวมากนัก แต่กลับไม่เป็นผลดีต่อคนรอบข้าง

* ฟ้าดินไร้เมตตา เห็นสรรพสิ่งดังหนึ่งสุนัขฟาง มาจาก ‘คัมภีร์เต้าเต๋อจิง’ ของเหล่าจื่อ (เล่าจื๊อ) หมายถึงฟ้าดินปฏิบัติต่อสรรพสิ่งในโลกอย่างเฉยชาเหมือนเช่นปฏิบัติต่อสุนัขฟางที่ใช้เซ่นไหว้ คือไม่ดีต่อสิ่งใดเป็นพิเศษ และไม่แย่ต่อสิ่งใดเป็นพิเศษ

* หลิวหลี เป็นเครื่องแก้วโบราณชนิดหนึ่งของจีนที่ทำขึ้นจากฝีมือมนุษย์ด้วยกรรมวิธีอันซับซ้อน มีหลายสีและมีลักษณะใสแวววาว

* หนังอาชาห่อศพ หมายถึงตายในสนามรบ ทั้งยังอุปมาถึงการทำศึกอย่างห้าวหาญ

* อี๋เหนียง เป็นคำเรียกอนุภรรยา

* สาวใช้ห้องข้าง เป็นคำเรียกภรรยาบ่าวซึ่งไม่ได้รับการยกย่อง โดยมากรับไว้ก่อนรับอนุภรรยาหรือแต่งภรรยาเอก พักอยู่ในห้องด้านข้างที่ทะลุกับห้องนอนหลักของเจ้านาย เพื่อสะดวกในการปรนนิบัติตอนกลางคืน จึงเป็นที่มาของชื่อดังกล่าว

* กู่ตี๋ แปลตรงตัวว่าตี๋กระดูก ตี๋เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าของจีน เป่าในแนวนอน กู่ตี๋เป็นตี๋ประเภทหนึ่งที่นิยมทางแถบทิเบต ทำจากกระดูกปีกของเหยี่ยว

* กระถางยา ใช้เปรียบเปรยถึงหญิงสาวที่ถูกนำมาบำรุงเลี้ยงดูด้วยยาล้ำค่าตั้งแต่เล็กให้มีพลังหยินที่แข็งแกร่ง เพื่อให้บุรุษที่ฝึกซวงซิว (การฝึกวิชาด้วยการสอดประสานหยินหยางระหว่างชายหญิง) ดูดพลังหยินนั้นไปใช้

* หม้อในที่นี้ มาจากหม้อดำ ในภาษาจีนหมายถึงการแบกรับความผิดในสิ่งที่ตนเองไม่ได้ก่อ วลีนี้หมายถึงเคราะห์ร้ายที่มาเยือนอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: