บทที่ 4
ถานไถจิ้นเอ่ยทัก “คุณหนูสาม”
หลีซูซูมองเขาอย่างระแวดระวัง
ว่าไปก็น่าขัน ถานไถจิ้นเป็นสามีที่ถูกต้องตามประเพณีของเยี่ยซีอู้ กลับได้แต่เรียกนางว่า ‘คุณหนูสาม’
การแต่งงานระหว่างสองคน ล้วนเป็นเหตุไม่คาดฝันทั้งสิ้น
เจ้าของร่างเดิมรู้ว่าองค์ชายหกต้องใจพี่สาวสายรองของตนเยี่ยปิงฉาง ไฟริษยาแผดเผาจิตใจนาง จึงคิดแผนการโง่เง่าออกมา โดยวางยาพี่สาวสายรองระหว่างงานเลี้ยงในวังหลวง หมายจะทำลายความบริสุทธิ์ของนาง
คาดไม่ถึงว่ายามิได้ออกฤทธิ์กับคุณชายเสนาบดีอ้วนท้วนอัปลักษณ์และพี่สาวสายรองของตน กลับออกฤทธิ์กับตนเองและถานไถจิ้น
สิ่งที่ทำให้เจ้าของร่างเดิมยิ่งรู้สึกอัปยศก็คือ ทั้งที่ถานไถจิ้นโดนฤทธิ์ยาเหมือนกับตน แต่เด็กหนุ่มที่อ่อนแองดงามผู้นั้น นอกจากใบหน้าแดงก่ำแล้วกลับไม่มีอาการตอบสนองอื่นใด
สุดท้ายยังคงเป็นเยี่ยซีอู้ที่ทนไม่ไหว สั่งให้เขาช่วยเหลือนาง
เด็กหนุ่มมองนางอย่างเยียบเย็น สุดท้ายก็มิได้เคลื่อนไหว
เขานั่งอยู่ตรงมุม ใช้แววตาสุขุมเย็นชามองร่างของสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้บิดเร่าไปมา เปล่งเสียงครางกระเส่าพลางดึงทึ้งอาภรณ์ของตนเอง
ด้วยห่วงเรื่องชื่อเสียงและความบริสุทธิ์ เจ้าของร่างเดิมจึงต้องแต่งงานกับถานไถจิ้นอย่างไม่เต็มใจ
ทุกครั้งที่ย้อนนึกถึงแววตาของเด็กหนุ่ม เจ้าของร่างเดิมเป็นต้องรู้สึกอัปยศอดสู
เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร ใช้สายตาราบเรียบ ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อยมองดูนาง
ดังนั้นการแต่งงานครั้งนี้ จะว่าไป อันที่จริงก็คือเรื่องงามหน้าที่คุณหนูสามก่อขึ้นเอง
ทว่าเรื่องนี้ไม่กระทบต่อการชิงชังถานไถจิ้นของเจ้าของร่างเดิม
หลีซูซูก็นับได้ว่ามีความคิดเดียวกับเจ้าของร่างเดิม แม้ว่าเหตุผลจะแตกต่างออกไป
เจ้าของร่างเดิมรังเกียจชาติกำเนิดอันต้อยต่ำของถานไถจิ้น หลีซูซูกังวลกับกระดูกมารในตัวเขาที่เพียงพอจะทำลายล้างโลกได้
หลีซูซูถามขึ้น “เจ้ามาด้วยเหตุใด”
ถานไถจิ้นมองท่าทีไม่ชอบใจที่นางแสดงออกมา ก่อนตอบเสียงแหบ “ท่านแม่ทัพบอกว่าไทเฮาเรียกตัวข้าเข้าวัง บอกให้ข้าไปพร้อมกับคุณหนูสาม”
“ท่านพ่อข้าบอกว่าไทเฮาเรียกตัวเจ้าเข้าวัง?”
“หากคุณหนูสามไม่เชื่อ สามารถถามท่านแม่ทัพดูได้”
หลีซูซูเห็นสีหน้าเขาไม่เหมือนโกหก ก็พลันกระจ่างแจ้งในเจตนาของแม่ทัพใหญ่เยี่ย…
เพื่อให้ไทเฮาไม่แตะต้องหลีซูซู ทั้งยังสามารถให้หน้าไทเฮาอย่างเต็มที่ จึงผลักคนผู้หนึ่งออกมารองรับอารมณ์
ถานไถจิ้นเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ฐานะของเขาชวนกระอักกระอ่วนและมีความพิเศษ จื้อจื่อผู้หนึ่งที่ไร้ที่พึ่ง ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นสามีของหลีซูซู หากเข้าวัง ไทเฮาอยากกอบกู้หน้าตาให้องค์ชายหก ต่อให้ถานไถจิ้นไม่ตาย เกรงว่าก็คงหนังหลุดออกมาชั้นหนึ่ง
แม่ทัพใหญ่เยี่ยต้องการให้หลีซูซูพกที่ระบายอารมณ์ติดตัวไปด้วยนั่นเอง
หลีซูซูมองถานไถจิ้น เขามีสีหน้าเฉยชา คล้ายคุ้นชินนานแล้ว เห็นทีเขาเองก็รู้ว่าประโยชน์ของเขาคืออะไร
หลีซูซูคิดถึงชะตาอายุสั้นของตน นางเท้าคางเอ่ยถามถานไถจิ้น “เจ้าแค้นสกุลเยี่ยของพวกเรามากเป็นพิเศษใช่หรือไม่”
ไม่พูดถึงสกุลเยี่ย แคว้นซย่าทั้งหมด ล้วนมิได้ปฏิบัติต่อถานไถจิ้นเหมือนเขาเป็นมนุษย์
ทว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว หากหลีซูซูมาถึงโลกใบนี้เร็วขึ้นหน่อย ย่อมสามารถหยุดยั้งไม่ให้ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ แต่บัดนี้นางกลับทำได้เพียงป้องกันมิให้กระดูกมารในตัวของเด็กหนุ่มฟื้นตื่นขึ้นมา
เขาตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่เช่นนี้ หากกระดูกมารฟื้นตื่น มิเพียงสกุลเยี่ย แต่สามพิภพล้วนต้องรับเคราะห์
นางลองหยั่งเชิงดูว่าในใจของถานไถจิ้นมืดมนเพียงใด
ถานไถจิ้นมองนางแวบหนึ่งพลางเอ่ยตอบ “ไม่ใช่”
หลีซูซูเชื่อก็บ้าแล้ว เมื่อสิ่งชั่วร้ายโดยกำเนิดฟื้นตื่น จะต้องใช้โลหิตของคนนับไม่ถ้วนเซ่นสังเวย
“คุณหนูสามใช่รังเกียจข้ามากเป็นพิเศษหรือไม่”
หลีซูซูคิดไม่ถึงว่าถานไถจิ้นกลับมีความกล้าที่จะย้อนถามตนเช่นนี้ นางไม่จำเป็นต้องโกหก “ใช่แล้วอย่างไร”
“เพราะเหตุใด” ถานไถจิ้นถามนางต่อ
เขารู้สึกถึงความแตกต่างได้รางๆ เยี่ยซีอู้ในอดีตรังเกียจฐานะของตน แต่เยี่ยซีอู้ในตอนนี้ เขาเห็นนางยิ้มให้กับพวกชุนเถาและสี่สี่
“รังเกียจก็คือรังเกียจ ไหนเลยต้องมีเหตุผลมากมายถึงเพียงนั้น” ถึงอย่างไรนางคงมิอาจบอกเขาได้ว่าอนาคตเขาจะเป็นอย่างไรกระมัง
ถานไถจิ้นมองนางแวบหนึ่ง ไม่เอ่ยอะไรอีก
หากเป็นเยี่ยซีอู้ในอดีต ไม่มีทางตอบคำถามของเขาแน่นอน แค่คุยกับเขายังรังเกียจว่าเขาต้อยต่ำ
หลีซูซูมองเห็นความงุนงงจางๆ จากสีหน้าเขา เด็กหนุ่มตรงหน้ายังมิใช่จอมมารในอีกหลายปีให้หลังที่ผู้คนแค่ได้ยินชื่อก็ขยาดกลัว เขางดงามและอ่อนแอ ไม่มีพลังในการจู่โจมแม้แต่น้อยนิด
แม้แต่ศิษย์น้องเล็กฝูหยาในสำนักเซียนก็ยังแข็งแกร่งกว่าเขา
ถานไถจิ้นแผ่กลิ่นอายของคนป่วยออกมาหลายส่วน การทรมานเมื่อสองวันก่อนเอาชีวิตเขาไปครึ่งหนึ่งแล้ว
หลีซูซูคิดในใจ หากถานไถจิ้นยังจะตามนางเข้าวัง เดาว่าครึ่งชีวิตที่เหลือต้องจบสิ้นแน่นอน
พอคิดถึงการบรรเทาอาการเจ็บป่วยให้เขาอย่างเร่งด่วนเมื่อคืน นางก็เหนื่อยใจแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หาย
“เจ้ากลับไปเถอะ อย่าตามข้ามา”
ถานไถจิ้นเองก็มิได้มีความคิดอยากจะรับโทษแทนเยี่ยซีอู้อยู่แล้ว
ทว่าเรื่องนี้เยี่ยซีอู้ไม่ควรเป็นฝ่ายเอ่ยออกมา
สตรีผู้นี้โอหังเผด็จการ แต่กลับรักหน้าตาและกลัวตายเป็นที่สุด ตามหลักนางควรรู้สึกโชคดีที่ตนไปเผชิญหน้ากับไทเฮาแทนนางมิใช่หรือ
หลีซูซูเห็นเขาไม่ยอมจากไป คิดว่าเขาไม่อยากขัดคำสั่งเยี่ยเซี่ยว จึงได้แต่พูดจายั่วยุเขา “เจ้าเป็นจื้อจื่อที่ในอดีตแม้แต่นางกำนัลขันทียังรังแกได้ตามใจชอบ เข้าวังมีแต่จะทำให้ข้าขายหน้า ไสหัวกลับจวนไปเสีย อย่ามาขัดขวางการพบองค์ชายหกของข้า”
พอถ้อยคำนี้เอ่ยออกมา หลีซูซูมองเห็นโทสะเยียบเย็นเสี้ยวหนึ่งในดวงตาเขาที่พบเห็นได้น้อยครั้ง
ถานไถจิ้นพูดเน้นย้ำทีละคำ “ฐานะข้าต่ำต้อย สร้างความอัปยศให้คุณหนูสามแล้ว”
ครั้งนี้เขาไม่ลังเลและไม่มองนางอีก หันหลังเดินกลับเข้าไปในจวน สีหน้างุนงงก่อนหน้านี้หายไปโดยสิ้นเชิง
หลีซูซูยังไม่ถึงวังบรรทมของไทเฮา ก็ถูกคนขวางไว้เสียก่อน
เด็กสาวผู้หนึ่งที่สวมชุดเข้ารูป มือถือแส้ กางแขนขวางหน้าหลีซูซูไว้
“เยี่ยซีอู้ หลายวันก่อนเจ้าผลักท่านพี่สะใภ้ของข้าตกน้ำ วันนี้ยังกล้ามาวังหลวงอีกรึ”
คิ้วทรงใบหลิวของเด็กสาวชี้ขึ้นด้วยความโมโห มองหลีซูซูด้วยท่าทางดุดันน่ายำเกรง
หลีซูซูเกิดความฉงนในใจ ท่านนี้เป็นใครกันอีกเล่า ดูแล้วไม่เหมือนพี่สาวสายรองผู้อ่อนโยนในตำนานของร่างนี้
ชุนเถารู้ว่าคุณหนูศีรษะถูกกระแทก จำคนไม่ค่อยจะได้ จึงรีบเตือนสตินางเบาๆ “นี่คือองค์หญิงเก้า น้องสาวขององค์ชายหกเจ้าค่ะ”
พอชุนเถาพูดเช่นนี้ หลีซูซูพลันกระจ่างในพริบตา
คนที่ชิงชังเจ้าของร่างเดิมไม่รู้มีมากมายเพียงใด แต่องค์หญิงเก้าผู้นี้จะต้องอยู่ในลำดับต้นๆ อย่างแน่นอน
องค์หญิงเก้าเป็นที่รักใคร่ นิสัยจึงไม่ดีนัก ไม่ถูกชะตากับเจ้าของร่างเดิมแต่กำเนิด
แต่ก่อนเจ้าของร่างเดิมอยากแต่งให้พี่ชายนาง ยังถึงกับเคยลดศักดิ์ศรีไปประจบนาง
กระนั้นองค์หญิงเก้ากลับไม่เหลียวแลสักนิด ทุกครั้งล้วนแค่นหัวเราะ ราวกับมองแค่ปราดเดียวก็ตระหนักถึงความคิดในใจของเจ้าของร่างเดิม
เจ้าของร่างเดิมถูกปฏิเสธหลายครั้ง รักษาหน้าไว้ไม่อยู่ จึงไม่เสนอหน้าไปข้างกายองค์หญิงเก้าอีก
แต่องค์หญิงเก้ากลับชอบเยี่ยปิงฉางเป็นพิเศษ
ก่อนหน้านี้ตอนเยี่ยปิงฉางแต่งให้องค์ชายหก องค์หญิงเก้ายังตั้งใจแล่นมาดูหมิ่นเจ้าของร่างเดิมรอบหนึ่ง ทำเอาเจ้าของร่างเดิมโมโหจนร้องไห้
ครั้งนี้องค์หญิงเก้าก็มาทวงความเป็นธรรมแทนเยี่ยปิงฉางเช่นกัน
“ท่านพี่สะใภ้หกของข้าร่างกายอ่อนแอ สตรีที่มีจิตใจเยี่ยงอสรพิษอย่างเจ้ายังจะผลักนางตกน้ำ หากมิใช่เพราะเสด็จพี่ช่วยนางไว้ได้ทัน นางย่อมสุคนธ์สิ้นหยกสลาย* ไปนานแล้ว ท่านพี่สะใภ้หกจิตใจงดงามอ่อนโยน ไม่ถือสาหาความเจ้า แต่ข้าไม่ละเว้นเจ้าหรอก” องค์หญิงเก้าตวัดแส้หนึ่งที แส้หวดลงบนพื้น เกิดเสียงดังเฉียบคม “เยี่ยซีอู้ เจ้ากล้ามาประลองกับข้าสักตาหรือไม่”
หลีซูซูแม้ถือคติหม้อเยอะไม่ทับร่าง* แต่นางยังคงอดพูดมิได้ “ในเมื่อเป็นท่านพี่สะใภ้หกของท่านที่ตกน้ำ นางยังไม่ว่ากระไร ท่านจะโมโหไปไยเล่า”
นี่มิใช่สุนัขไล่จับหนู* จุ้นจ้านโดยใช่เหตุหรือ
หลีซูซูบังเกิดความสนเท่ห์จริงแท้ แต่องค์หญิงเก้ากลับรู้สึกว่าตนเองถูกล่วงเกิน สีหน้าจึงย่ำแย่กว่าเก่า
“ไม่ต้องมาพูดเหลวไหล เจ้ากลัวองค์หญิงเช่นข้าใช่หรือไม่” นางเป็นคนอารมณ์ร้อน เอ่ยคำพูดนี้จบ แส้ก็หวดเข้ามาแล้ว
ขันทีน้อยตรงหน้าหลีซูซูปราดเข้ามาขวางหน้าหลีซูซูไว้ “ตายแล้ว! องค์หญิงเก้า ทำเช่นนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ…”
“หลีกไป!”
แส้หวดลงบนตัวของขันทีน้อย หลีซูซูเม้มปากแน่น
นางปรับลมหายใจให้สงบ มององค์หญิงเก้าพลางส่ายหน้า “ข้าไม่ประลองกับท่าน ที่นี่คือวังหลวง หากฝ่าบาทกับไทเฮาเอาผิดจะทำอย่างไร”
พอนางเอ่ยคำนี้ออกมา องค์หญิงเก้าโค้งริมฝีปากอย่างดูแคลน
ใครๆ ต่างรู้ดีว่าแคว้นซย่าส่งเสริมวิชายุทธ์ ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกบ้านเมืองก็เข้าสู่มรรคาด้วยวิชายุทธ์ นับแต่นั้นมาไม่ว่าขุนนาง ชนชั้นสูง หรือสามัญชนทั่วไป ล้วนถือเอาทักษะเชิงยุทธ์อันแกร่งกล้าเป็นความภาคภูมิใจ
ผู้แข็งแกร่งเป็นที่ยกย่อง แคว้นซย่าคือภาพสะท้อนที่แท้จริงที่สุดของคำกล่าวนี้
แม่ทัพใหญ่เยี่ยไม่เคยพ่ายศึกมาก่อน ดังนั้นฐานะของเขาในแคว้นซย่าจึงสูงถึงเพียงนั้น
บุตรชายคนโตของแม่ทัพใหญ่เยี่ย ได้ยินว่าฝีมือก็ไม่ธรรมดา ทว่าคุณหนูสามผู้นี้ความสามารถกลับไม่โดดเด่น มิได้สืบทอดลักษณะของบิดามาโดยสิ้นเชิง
องค์หญิงเก้าฝึกยุทธ์ตั้งแต่เล็ก ทุกครั้งล้วนสามารถเฆี่ยนคุณหนูสามสกุลเยี่ยผู้โอหังจนไม่เหลือศักดิ์ศรีได้
แต่องค์หญิงเก้ากลับมิใช่บุคคลที่สามารถล่วงเกินได้ เยี่ยซีอู้อยากแก้แค้นก็ไม่มีปัญญา
และเพราะเหตุนี้เอง คุณหนูสามสกุลเยี่ยจึงทั้งโมโหทั้งหวั่นเกรงองค์หญิงเก้า
องค์หญิงเก้าได้ยินหลีซูซูพูดเช่นนี้ ก็ปักใจเชื่อว่าอีกฝ่ายกลัวตน นางเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อตัวข้าองค์หญิงเป็นฝ่ายชวนเจ้าประลอง เสด็จพ่อกับเสด็จย่าย่อมไม่ว่ากระไรอยู่แล้ว เกิดเรื่องขึ้นมา ตัวข้าองค์หญิงจะเป็นคนรับผิดชอบเอง เจ้าเถอะ แพ้แล้วอย่าได้เอาไปฟ้องแม่ทัพใหญ่เยี่ยเป็นอันขาด” นางพูดพลางตวัดแส้เข้ามาอีกครั้ง
หลีซูซูผลักขันทีน้อยด้านข้างออก นางกระจ่างแจ้งในที่สุด องค์หญิงเก้ารู้ว่านางจะเข้าวัง จึงตั้งใจมารออยู่ที่นี่ ตั้งใจจะเฆี่ยนนางสักรอบให้ได้เพื่อแก้แค้นแทนเยี่ยปิงฉาง
องค์หญิงเก้าทำร้ายเจ้าของร่างเดิมจนเป็นนิสัย เจ้าของร่างเดิมแม้จะร้ายกาจ แต่นิสัยหยิ่งทะนงเป็นพิเศษ ไม่เคยเอาเรื่องนี้ไปฟ้องผู้ใด
องค์หญิงเก้าเห็นหลีซูซูถอยหลบ ปากแดงโค้งขึ้นทันที “เด็กๆ มอบแส้ให้เยี่ยซีอู้เส้นหนึ่ง”
เดิมทีหลีซูซูไม่อยากมีเรื่อง โลกบำเพ็ญเพียรที่เต็มไปด้วยภัยพิบัติอันตราย ให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ทว่าโลกมนุษย์หาได้นิยมวิถีทางเช่นนี้ไม่ พวกเขาชอบบีบมะพลับนิ่ม*
ในเมื่อหลบไม่พ้น หลีซูซูจึงตัดสินใจหยิบกิ่งไม้กิ่งหนึ่งขึ้นมาจากพื้น
“ไม่จำเป็น ข้าใช้สิ่งนี้” นางปักกิ่งไม้ไว้ข้างกาย เด็กสาวสวมเสื้อบุนวมสีชมพูอ่อน ตั้งท่าป้องกัน
องค์หญิงเก้าโมโหจนหัวเราะออกมา “นี่เจ้ากำลังดูหมิ่นตัวข้าองค์หญิงรึ”
หลีซูซูไม่อยากจะตอบคำ “…” เจ้าว่าใช่ก็ใช่แล้วกัน
“ประเดี๋ยวเจ้าอย่าได้ร้องไห้เชียว” องค์หญิงเก้าสะบัดแส้ ฟาดมาที่หลีซูซูทันที
หลีซูซูใช้กิ่งไม้สกัดไว้ แส้หวดถูกกิ่งไม้ กิ่งไม้หักกระเด็นไปท่อนหนึ่งทันใด
องค์หญิงเก้าคลี่ยิ้มเหยียดหยัน
หลีซูซูไม่เอ่ยอะไร เพียงโน้มตัวไปข้างหน้า
เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร เดิมควรปราศจากความหวาดกลัวอยู่แล้ว เจ้าของร่างเดิมกลัวองค์หญิงเก้า หลีซูซูหาได้กลัวไม่ นางใช้กิ่งไม้แทนกระบี่ รับมือกับแส้ขององค์หญิงเก้าอย่างง่ายดาย
วิชากระบี่ของนางได้เจ้าสำนักอู๋จี๋เป็นผู้ถ่ายทอด กระบี่สำนักอู๋จี๋ประกายเยียบเย็นงดงาม หนึ่งกระบี่ผ่าภูเขาฟันมหาสมุทรได้
ในร่างของเยี่ยซีอู้ไม่มีปราณวิเศษ มิอาจใช้เคล็ดกระบี่ชิงหง กระทั่งอานุภาพกระบี่หนึ่งในร้อยส่วนก็มิอาจสำแดงออกมาได้
แต่สำหรับหลีซูซู แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
กิ่งไม้วกอ้อมแส้ดุดันอย่างปราดเปรียว ประชิดไปตรงหน้าองค์หญิงเก้ากะทันหัน
เดิมทีแส้เป็นอาวุธในการต่อสู้ระยะไกลอยู่แล้ว จู่ๆ ถูกศัตรูประชิดเข้ามาใกล้เช่นนี้ องค์หญิงเก้าพลันลนลาน แขนถูกหวดเข้าให้หนึ่งที เจ็บจนนางปล่อยแส้หลุดจากมือ
อึดใจต่อมากิ่งไม้ก็ชี้ไปที่ลำคอขององค์หญิงเก้าแล้ว
ชั่วขณะนั้นเององค์หญิงเก้าถึงขั้นรู้สึกว่าสิ่งที่ชี้คอตนอยู่เป็นกระบี่คมกริบเล่มหนึ่ง นางถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเท้าสะดุดและล้มลงบนพื้น
นางกำนัลรีบเข้าไปประคองนาง “องค์หญิง!”
องค์หญิงเก้าไม่อยากจะเชื่อว่านางพ่ายแพ้ภายในสามกระบวนท่า!
หลีซูซูเก็บกิ่งไม้กลับมา “หากท่านไม่มีธุระอะไรแล้ว ข้าจะไปเข้าเฝ้าไทเฮา”
องค์หญิงเก้าใบหน้าแดงก่ำ นี่เป็นไปไม่ได้ นางจะถูกกิ่งไม้ของเยี่ยซีอู้จู่โจมจนล้มลงได้อย่างไร ที่ผ่านมามีครั้งใดบ้างที่มิใช่เยี่ยซีอู้มิอาจตอบโต้แม้แต่น้อย นี่ต้องเป็นความบังเอิญแน่นอน
องค์หญิงเก้าไม่ยอมแพ้ เก็บแส้บนพื้นขึ้นมา “หยุดนะ!”
แส้ตวัดเข้ามาอย่างเจ้าเล่ห์ ชัดเจนว่าเล็งมาที่หน้าคน ชุนเถาตกใจ รีบขวางหน้าหลีซูซูไว้
หากแส้นี้หวดโดนหน้าของชุนเถา ชุนเถาจะต้องเสียโฉมทันทีแน่นอน
หลีซูซูเห็นองค์หญิงเก้าร้ายกาจเช่นนี้ โทสะก็บังเกิด นางดึงชุนเถาออกและเขวี้ยงกิ่งไม้ในมือออกไป
กิ่งไม้ถูกแส้ฟาดจนหักเป็นสองท่อน ท่อนล่างตกลงบนพื้น ท่อนบนลอยไปยังใบหน้าขององค์หญิงเก้า
องค์หญิงเก้าเบิกตากว้างทันใด
จังหวะที่กิ่งไม้กำลังจะกระแทกหน้าองค์หญิงเก้า มือเรียวยาวดุจหยกข้างหนึ่งเข้ามาสกัดกิ่งไม้ไว้
“เสด็จพี่!”
หลีซูซูเพ่งสายตามองไป บุรุษสวมเกี้ยวหยกที่นัยน์ตาสุกสกาวราวดวงดาวในฤดูหนาวกำกิ่งไม้ไว้ เขาสวมชุดคลุมยาวสีฟ้าอ่อน ไหล่กว้างเอวสอบ แขนเสื้อปักลายเมฆา ยามนี้กำลังขมวดคิ้วมองหลีซูซู
หลีซูซูตะลึงงัน พึมพำอย่างเหลือเชื่อ “ศิษย์พี่ใหญ่…”
บุคคลตรงหน้า รูปโฉมเหมือนศิษย์พี่ใหญ่ของนางกงเหยี่ยจี้อู๋ทุกประการ เพียงแต่ร่างกายของศิษย์พี่ใหญ่มีกลิ่นอายความเมตตาเยี่ยงผู้บำเพ็ญเพียรเพิ่มมาหลายส่วน ส่วนบุรุษตรงหน้ากลับดูหล่อเหลายิ่งกว่า
“ไม่ทราบว่าน้องเก้าไปล่วงเกินคุณหนูสามสกุลเยี่ยที่ใดหรือ คุณหนูสามถึงต้องลงมือรุนแรงถึงเพียงนี้” เซียวหลิ่นเอ่ยถามเสียงเย็น
หลีซูซูได้ยินเสียงเขาแล้ว ในใจทั้งหวานทั้งขมขื่น ถึงขั้นเกิดความรู้สึกน้อยอกน้อยใจมากมายเหลือเกิน น้ำตาใกล้จะกลั้นไม่อยู่เต็มที
ทว่านี่หาใช่อารมณ์ของหลีซูซู สำหรับนาง ศิษย์พี่ใหญ่จิตใจกว้างขวางอ่อนโยน นางเคารพนับถือเขาเหมือนเคารพนับถือพี่ชายผู้หนึ่ง เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่นางจะเกิดความรู้สึกน่าละอายอยากโผเข้าสู่อ้อมกอดเขาเช่นนี้
เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของเจ้าของร่างเดิมที่หลงเหลืออยู่กำลังแผลงฤทธิ์
นางเข้าใจในทันที บุคคลตรงหน้าก็คือองค์ชายหกเซียวหลิ่นที่เยี่ยซีอู้รักจะเป็นจะตาย
ส่วนศิษย์พี่ใหญ่ของหลีซูซู ได้ต่อสู้เพื่อสรรพชีวิตในใต้หล้าจนตัวตายในศึกครั้งใหญ่ระหว่างเซียนกับมารเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ว่ากันว่าจอมมารเป็นคนลงมือฆ่าเขาด้วยตนเอง
หลังจากนั้น คนรักของเขาเหยากวงเซียนจื่อ* ก็ตายตามไปด้วย
พอเห็นหลีซูซูจ้องเซียวหลิ่นตาค้าง องค์หญิงเก้าก็กระโดดเหยงทันที “เสด็จพี่ ยังดีที่ท่านมาทันเวลา หาไม่แล้วใบหน้าของเจาอวี้ต้องถูกสตรีผู้นี้ทำลายแน่!” องค์หญิงเก้ากุมข้อมือที่ถูกแส้หวดจนบวมอย่างคับแค้นใจยิ่งนัก
เซียวหลิ่นเอ่ยถาม “คุณหนูสามสกุลเยี่ยมีอะไรจะพูดหรือไม่”
แววตาเขาเย็นชาเล็กน้อย หลีซูซูถูกเขาจ้องจนรู้สึกเศร้าใจ
ก้าวข้ามกาลเวลามาหลายปี ได้พบคนรู้จักอีกครั้ง ทว่าศิษย์พี่ใหญ่ที่แต่ก่อนรักใคร่เอ็นดูนาง บัดนี้กลับเป็นพี่ชายของคนอื่น
เขาปกป้องเด็กสาวอีกคนหนึ่ง และเผชิญหน้ากับนางอย่างเย็นชา
* สุคนธ์สิ้นหยกสลาย หมายถึงตาย ใช้กับสตรีโดยเฉพาะหญิงงาม
* แผลงมาจาก ‘ความรู้มากไม่ทับร่าง’ หมายถึงความรู้และทักษะต่างๆ ยิ่งมีมากยิ่งดี ไม่มีทางเป็นภาระแก่ตนเอง หม้อเยอะไม่ทับร่างในที่นี้ หมายถึงไม่ถือสาหากจะต้องแบกรับความผิดหรือเคราะห์ร้ายที่ตนไม่ได้เป็นผู้ก่อเพิ่มขึ้น
* ปกติสุนัขมีหน้าที่เฝ้าบ้าน ส่วนแมวคอยไล่จับหนู สำนวนสุนัขไล่จับหนู หมายถึงการยุ่งเรื่องชาวบ้านหรือเรื่องที่มิใช่กิจธุระของตน
* มะพลับนิ่ม อุปมาถึงคนที่อ่อนแอไร้อำนาจ ต้องตกเป็นเบี้ยล่างถูกคนอื่นข่มเหงรังแก
* เซียนจื่อ เป็นคำที่ใช้เรียกเซียนสตรี
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 ต.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.