บทที่ 6
เพิ่งกลับถึงจวน ชุนเถาก็เห็นที่หน้าจวนแม่ทัพมีสาวใช้อายุราวยี่สิบปียืนอยู่นางหนึ่ง
สาวใช้ผู้นั้นมีใบหน้าทรงเมล็ดแตง คิ้วเล็มแต่งอย่างละเอียดประณีต
พอเห็นนางแล้ว ชุนเถาตกใจจนรีบก้มหน้าลง
สาวใช้คิ้วประณีตแค่นหัวเราะ เบียดชุนเถาออกไปและเดินเข้ามาแทนที่ “คุณหนู ปี้หลิ่วกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ปี้หลิ่วประคองท่านลงจากรถเอง”
หลีซูซูเลิกม่านรถม้า เห็นดวงหน้าที่ไม่รู้จักดวงหนึ่ง
ครั้นได้ยินนางแทนตนเองว่า ‘ปี้หลิ่ว’ หลีซูซูเข้าใจทันทีว่านางเป็นใคร
เจ้าของร่างเดิมมีสาวใช้ประจำตัวสี่คน อิ๋นเชี่ยวถูกท่านย่าส่งไปออกเรือนที่หมู่บ้านเกษตรแล้ว ช่วงนี้สาวใช้ที่ติดตามข้างกายหลีซูซูคือชุนเถากับสี่สี่ แต่เด็กสองคนนี้ล้วนแต่ขวัญอ่อน ในสายตาของเจ้าของร่างเดิม ทึ่มทื่อเกินไปและโง่เขลายิ่งนัก เจ้าของร่างเดิมไม่ค่อยชอบพวกนางมาแต่ไหนแต่ไร
สาวใช้ที่เยี่ยซีอู้ชอบมากที่สุดก็คือสาวใช้ที่ชื่อ ‘ปี้หลิ่ว’ ตรงหน้าผู้นี้
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ปี้หลิ่วเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ ทำงานว่องไว ปากก็หวาน เป็นที่ถูกใจของนางมาก
หลีซูซูเดาไม่ถูกว่าปี้หลิ่วเป็นคนอย่างไร ระหว่างครุ่นคิด ก็ถูกปี้หลิ่วประคองลงจากรถม้าอย่างระมัดระวังแล้ว
ชุนเถาที่ยืนอยู่ด้านข้าง เหมือนลูกนกกระทาเจอเสือก็มิปาน
ชุนเถากลัวปี้หลิ่ว?
พอมองสี่สี่ที่ก้มหน้าต่ำไม่ต่างกัน หลีซูซูก็เข้าใจแล้ว
ปี้หลิ่วผู้นี้เห็นทีฐานะข้างกายเจ้าของร่างเดิมจะไม่ธรรมดาจริงๆ ตอนหลีซูซูทะลุมิติมาใหม่ๆ ชุนเถาทำอะไรก็ตกใจจนโขกศีรษะ ทว่าปี้หลิ่วผู้นี้ยามอยู่ต่อหน้าหลีซูซูกลับไม่สำรวมตนแม้แต่น้อย
นายบ่าวพากันเดินเข้าไปในจวน ปี้หลิ่วพูดว่า “คุณหนูสาม ปี้หลิ่วมีเรื่องจะรายงานท่าน” สีหน้านางฉายแววตื่นเต้นเล็กน้อย
ปี้หลิ่วหันกลับไปสั่งชุนเถากับสี่สี่ “ข้าจะคุยกับคุณหนู พวกเจ้ามีงานอะไรก็ไปทำเถอะ”
หลีซูซูไม่แสดงอาการใดๆ นางอยากเห็นเหมือนกันว่าปี้หลิ่วผู้นี้จะทำอะไรกันแน่
ปี้หลิ่วพาหลีซูซูเดินเลี้ยวเข้าไปบริเวณภูเขาจำลองลูกหนึ่ง ล้วงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “คุณหนูสาม ท่านดูสิว่าปี้หลิ่วพบเจอสิ่งใด”
หลีซูซูคลี่กระดาษออก บนนั้นเป็นภาพคนงามที่วาดออกมาได้เหมือนมีชีวิตจริง คนงามนั่งอยู่ริมสระปทุมมา ก้มหน้ายิ้มจางๆ ดูเขินอายยิ่งนัก
ปี้หลิ่วสีหน้าตื่นเต้น ใบหน้าบ่งบอกว่ากำลังรอคำชม
หลีซูซูมองภาพวาดนี้อย่างงุนงงเล็กน้อย ตกลงนี่คือสิ่งใดกันแน่
“คุณหนู ท่านดูตรงจุดลงนาม”
จุดลงนามเขียนไว้ว่า ‘ผังอี๋จือ’
เขาเป็นบัณฑิตจ้วงหยวน รองเสนาบดีกรมพิธีการคนปัจจุบันผังอี๋จือ คนที่ครั้งก่อนกระโดดลงน้ำไปช่วยเยี่ยปิงฉางอย่างร้อนอกร้อนใจนั่นเอง
บัดนี้ดูแล้ว คนในภาพวาดเป็นใคร มิต้องเอ่ยก็กระจ่างแจ้ง
พูดตามตรง สมแล้วที่เขาเป็นจ้วงหยวนในการสอบขุนนางปีนี้ ทักษะการวาดภาพไม่เลวจริงๆ ตวัดพู่กันเพียงไม่กี่เส้น เสน่ห์ของเยี่ยปิงฉางก็สะท้อนออกมาไม่สิ้นสุด
ปี้หลิ่วกล่าว “คุณหนู ท่านให้บ่าวไปสืบดูที่หมู่บ้านเกษตรที่คุณหนูใหญ่พักรักษาตัวเมื่อสองปีก่อน พวกเขาคบชู้กันจริงๆ นางคนชั้นต่ำนั่น ก่อนแต่งงานกับองค์ชายหกก็ลอบคบหากับใต้เท้าผางอยู่ก่อนแล้ว
ใต้เท้าผางยังวาดภาพนี้เก็บไว้ ใช้ปลอบประโลมจิตใจยามคิดถึง
ก่อนเดินทางมาเมืองหลวง ใต้เท้าผางสั่งให้บ่าวชายเผาภาพวาดนี้เสีย แต่บ่าวชายรู้สึกเสียดายจึงแอบเก็บไว้ ปี้หลิ่วมิได้ทำให้คุณหนูผิดหวัง ซื้อภาพนี้กลับมาได้เจ้าค่ะ”
ปี้หลิ่วเอ่ยอย่างลิงโลด “คุณหนู องค์ชายหกเห็นภาพวาดนี้แล้ว จะต้องโมโหจนยากระงับและหย่านางคนชั้นต่ำนั่นแน่นอน ถึงเวลาเมื่อไม่มีนางคนชั้นต่ำนั่นแล้ว คนในสายตาขององค์ชายหกย่อมต้องเป็นคุณหนู!”
หลีซูซูอึ้งงัน “…” เจ้าจริงจังหรือนี่
หลีซูซูเข้าใจต้นสายปลายเหตุในที่สุด ก่อนหน้านี้เจ้าของร่างเดิมกับเยี่ยปิงฉางตกน้ำ องค์ชายหกในฐานะสามีของเยี่ยปิงฉางกระโดดน้ำลงไปช่วยเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่ใต้เท้าผางกระโดดลงไป กลับเป็นเรื่องที่น่าคิด
เจ้าของร่างเดิมสงสัยจุดนี้ จึงส่งปี้หลิ่วสาวใช้ที่ตน ‘ไว้ใจ’ มากที่สุดไปสืบเรื่องนี้ หวังว่าจะสืบพบหลักฐานการคบชู้ระหว่างใต้เท้าผางกับพี่สาวสายรอง จะได้ทำให้องค์ชายหกหย่ากับพี่สาวสายรองของตน
“จะให้ปี้หลิ่วหาคนส่งภาพวาดนี้ไปให้ถึงมือองค์ชายหกหรือไม่เจ้าคะ”
หลีซูซูเก็บภาพวาด “ตอนนี้ยังไม่ต้อง”
เจ้าของร่างเดิมแต่งงานแล้ว หลีซูซูไม่มีความคิดที่จะก่อกวนความสัมพันธ์ของเซียวหลิ่นแม้แต่น้อย อีกทั้งแค่ภาพวาดแผ่นเดียวเท่านั้น อย่างมากก็เป็นการบ่งบอกว่าผังอี๋จือชมชอบเยี่ยปิงฉาง เยี่ยปิงฉางถูกคนวาดภาพเก็บไว้ มิใช่ความผิดของนางสักหน่อย
ใบหน้าของปี้หลิ่วเต็มไปด้วยความเสียดาย แต่นางไม่กล้าขัดคำสั่งหลีซูซู คิดเพียงว่าคุณหนูอาจมีอุบายเหนือล้ำอะไรอีก
หลีซูซูเก็บภาพไว้อย่างดี เตรียมตัวหาเวลาเผาเจ้าสิ่งที่จะก่อปัญหานี้ทิ้งเสีย
หลีซูซูเพิ่งจะเดินออกไป ชุนเถาก็เข้ามารายงานด้วยสีหน้าว้าวุ่น “คุณหนูสาม แย่แล้วเจ้าค่ะ เกิดเรื่องแล้ว”
ปี้หลิ่วตำหนิทันที “พูดจาดีๆ ลุกลี้ลุกลนเช่นนี้ใช้ได้ที่ใด!”
หลีซูซูขมวดคิ้ว ชำเลืองมองปี้หลิ่วแวบหนึ่ง จากนั้นพูดกับชุนเถาเสียงอ่อนโยน “เจ้าค่อยๆ เล่า”
ชุนเถากลืนน้ำลายอึกหนึ่ง “เมื่อเช้าเหลียนอี๋เหนียงพบว่าในคลังสมบัติมีข้าวของสูญหายไปหลายชิ้น กวนอินหยกของฮูหยินผู้เฒ่าก็หายไป เมื่อตรวจสอบดู ในห้องของตู้อี๋เหนียงก็มีของหาย สินเจ้าสาวที่นางเตรียมไว้ให้คุณหนูรองหายไปกว่าครึ่ง รวมทั้งหยกประดับของคุณชายใหญ่ เงินเบี้ยหวัดของคุณชายสี่ ล้วนหายไปทั้งหมด ตอนนี้เหลียนอี๋เหนียง ตู้อี๋เหนียง ยังมีพวกคุณหนูรอง กำลังสอบสวนคนอยู่ในห้องโถง…”
หลีซูซูบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี “พวกนางสงสัยใคร”
“องค์ชายจื้อจื่อเจ้าค่ะ”
หลีซูซูนิ่วหน้าถาม “เหตุใดจึงสงสัยเขา”
ชุนเถามองหลีซูซูแวบหนึ่งอย่างระมัดระวัง “มีคนค้นเจอต่างหูข้างหนึ่งที่องค์ชายจื้อจื่อแอบเก็บไว้ในยันต์คุ้มครอง…”
ปี้หลิ่วฟังแล้วเอ่ยอย่างขุ่นขึ้ง “จื้อจื่อก่อเรื่องอับอายขายหน้าเช่นนี้ สร้างความอัปยศให้ท่านจริงๆ นะเจ้าคะ”
ชุนเถาอยากพูดอะไร แต่เห็นว่ามีปี้หลิ่วอยู่ สุดท้ายยังคงก้มหน้าลง
หลีซูซูหันไปมองปี้หลิ่ว “บทสรุปของเรื่องราวยังไม่ออกมา อย่าพูดจาส่งเดช”
รีบหุบปากเสียเถอะ หาไม่แล้วนางอาจทนไม่ไหวลงมือกับสาวใช้ผู้นี้ได้
แต่เล็กท่านพ่อสอนให้หลีซูซูมีมารยาท กระจ่างแจ้งในผิดชอบชั่วดี ปี้หลิ่วผู้นี้อ้าปากหุบปากมีแต่คำว่า ‘คนชั้นต่ำ’ กับ ‘คบชู้’ การพูดจาดีๆ เป็นเรื่องยากนักหรือไร
หลีซูซูฟังแล้วครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด ที่น่าโมโหที่สุดคือปี้หลิ่วยังกดขี่ข่มเหงสี่สี่กับชุนเถาทั้งต่อหน้าและลับหลัง
หลีซูซูสงสัยว่าสาวใช้ผู้นี้คอยยุแยงให้เจ้าของร่างเดิมทำเรื่องต่างๆ ไม่น้อยทีเดียว ไปทำลายความสัมพันธ์ของผู้อื่น นี่ใช่เรื่องที่สตรีดีๆ พึงกระทำอย่างนั้นหรือ
แต่ตอนนี้หลีซูซูไม่มีเวลาจัดการปี้หลิ่ว นางพูดกับชุนเถา “พวกเราไปดูที่ห้องโถงกัน”
ชุนเถารีบย่อกายคารวะและนำทาง
ปี้หลิ่วถูกหลีซูซูตักเตือนว่าอย่าพูดจาส่งเดช ได้แต่ยืนอึ้งอยู่กับที่ นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าคุณหนูสามจะตำหนิตน
ตามหลักแล้ว คุณหนูได้ยินว่า ‘จื้อจื่อทำให้นางขายหน้า’ แม้แต่ความคิดอยากฆ่าจื้อจื่อก็ยังมีด้วยซ้ำ ทว่าครั้งนี้คุณหนูสามกลับบอกให้ตนหุบปาก
สีหน้าของปี้หลิ่วบิดเบี้ยวเล็กน้อย พอมองเงาหลังของชุนเถาข้างหน้าก็คิดว่าต้องเป็นเพราะช่วงที่ตนไม่อยู่ นางเด็กชุนเถากับสี่สี่ว่าร้ายอะไรตนให้คุณหนูฟังแน่ๆ
พรุ่งนี้ก็คือวันที่สิบห้า ครั้นคิดอะไรได้ ปี้หลิ่วจึงเข้าใจ มิน่าคุณหนูถึงไม่ได้ก่นด่าจื้อจื่ออย่างรุนแรง เวลานี้จื้อจื่อจะเกิดเรื่องไม่ได้เด็ดขาด
ปี้หลิ่วรีบรุดตามไป
หลีซูซูยังไม่ทันเดินเข้าไปในห้องโถง ก็มีคนรายงานเหลียนอี๋เหนียงทันที “คุณหนูสามกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
พอคำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมา ทุกคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ต่างมองไปยังถานไถจิ้นพร้อมกัน
แขนของเด็กหนุ่มถูกจับยึดไว้ เขาเม้มปาก นัยน์ตาดำสนิทมองพื้น แววตาทั้งเยียบเย็นและหนักอึ้ง
หลีซูซูเดินเข้ามา ภาพที่เห็นก็คือภาพนี้
อี๋เหนียงทั้งสาม เหลียนอี๋เหนียงนั่งตรงตำแหน่งประธาน อี๋เหนียงอีกสองคนนั่งอยู่ด้านข้างสองฝั่ง คุณหนูรองเยี่ยหลันอินนั่งติดกับตู้อี๋เหนียงด้วยสีหน้าย่ำแย่ นอกจากพวกเขา คุณชายสี่ที่เด็กที่สุดในจวนก็อยู่ด้วย
คุณชายสี่ปีนี้อายุหกขวบ เนื่องจากอายุยังน้อย เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของแม่ทัพ เขาจึงถูกขุนจนอ้วนกลมเป็นลูกหนัง ซุกตัวอยู่ในอกของอวิ๋นอี๋เหนียงพลางกินขนม
นอกจากเหล่าสาวใช้ ทุกคนล้วนนั่ง มีเพียงถานไถจิ้นที่ยืนอยู่
กลับเป็นเหลียนอี๋เหนียงชิงพูดก่อนว่า “คุณหนูสามกลับมาแล้ว ได้จังหวะพอดี ในจวนเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น คิดว่าท่านคงทราบแล้ว จื้อจื่อเป็นคนของท่าน ข้าอนุภรรยาเองก็ลำบากใจ คิดว่าเรื่องนี้ให้ท่านเป็นคนสอบสวนดีหรือไม่”
นางกล่าวพลางสละที่นั่งประธานให้กับหลีซูซู
เหลียนอี๋เหนียงแม้จะช่วยเหลือฮูหยินผู้เฒ่าจัดการงานกิจภายในจวนเป็นครั้งคราว ทว่านางเป็นเพียงอนุภรรยาผู้หนึ่ง หลีซูซูเป็นบุตรีสายตรงเพียงคนเดียว เมื่อหลีซูซูเข้ามา เหลียนอี๋เหนียงย่อมไม่กล้านั่งบนเก้าอี้ประธานอีก
อี๋เหนียงอีกสองคนรีบลุกขึ้นคารวะหลีซูซู
เยี่ยหลันอินถูกตู้อี๋เหนียงสะกิดหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยทักด้วยสีหน้าย่ำแย่ “น้องหญิงสาม”
หลีซูซูนั่งลงอย่างผ่าเผย บ่าวชายรีบรินน้ำชาให้หลีซูซู
หลีซูซูจิบน้ำชาคำหนึ่งพลางมองไปยังถานไถจิ้นที่ถูกจับตัวไว้
เสื้อผ้าเขาถูกคนดึงกระชากจนยับยุ่ง บนพื้นมียันต์คุ้มครองเก่าๆ อันหนึ่ง บนยันต์คุ้มครองมีรอยเท้า เห็นได้ชัดว่าถูกคนเหยียบ
สายตาของถานไถจิ้นจับอยู่ที่ยันต์คุ้มครองอันนั้น ยามที่หลีซูซูก้าวเข้ามา เขาไม่มีท่าทีตอบสนองแม้แต่น้อย แม้กระทั่งเหลือบตามองหลีซูซูยังมิได้ทำ
“เหลียนอี๋เหนียง ในเมื่อก่อนหน้านี้พวกท่านเป็นคนสอบสวน ตอนนี้ก็สอบสวนต่อเถอะ ข้าแค่ฟังก็พอ” หลีซูซูไม่อยากสอดมือเข้ายุ่ง นางรู้ว่าตนเองอคติกับถานไถจิ้น หากเข้าไปก้าวก่าย ย่อมขาดความเที่ยงธรรม
พอนางเอ่ยเช่นนี้ ถานไถจิ้นกลับมีท่าทีตอบสนองขึ้นมา เขาเงยหน้ามองหลีซูซูอย่างเย็นชา
“ในเมื่อเป็นคำสั่งของคุณหนูสาม ข้าอนุภรรยาจะสอบสวนต่อแล้วกัน จื้อจื่อ ประการที่หนึ่ง หลายปีมานี้ทรัพย์สินในจวนไม่เคยสูญหายมาก่อน” เหลียนอี๋เหนียงมองเด็กหนุ่มในชุดขาว ความหมายในถ้อยคำชัดเจนมาก อีกทั้งถานไถจิ้นเข้ามาในจวนเพียงสามเดือน ก็มีข้าวของหายไปมากถึงเพียงนี้
“ประการที่สอง คลังสมบัติมีเพียงเจ้านายเท่านั้นที่สามารถเข้าไปใกล้ ทุกคนในจวนล้วนมีเบี้ยหวัดรายเดือน ทว่าจื้อจื่อ…” เหลียนอี๋เหนียงชะงักไป มิได้พูดให้ชัดเจน
ทุกคนกลับเข้าใจดี ถานไถจิ้นแม้จะนับเป็นเจ้านายครึ่งหนึ่งของจวนหลังนี้ แต่จวนแม่ทัพหาได้จ่ายเบี้ยหวัดรายเดือนให้เขาไม่ เชลยแคว้นศัตรูที่พ่ายศึก ให้ข้าวกินก็นับว่าดีแล้ว ซึ่งนั่นยังคงเป็นเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณหนูสามด้วย
ถานไถจิ้นเหลือบตาขึ้น “ไม่ใช่ข้า ข้าไม่ได้เป็นคนทำ”
นิ้วมือของหลีซูซูที่ประสานกันบีบแน่น อันที่จริงตามความเห็นนาง ถ้อยคำเหล่านี้ของเหลียนอี๋เหนียงออกจะฝืดฝืนเกินไปหน่อย
ฐานะของถานไถจิ้นในจวนแห่งนี้ต้อยต่ำ เนื่องจากท่าทีที่เจ้าของร่างเดิมมีต่อเขาไม่ดีนัก ฐานะของเขาจึงไม่แตกต่างจากบ่าวรับใช้ ไปคลังเก็บสมบัติเดิมทีก็ยากอยู่แล้ว จะอาศัยการคาดเดา ตัดสินความผิดของคนผู้หนึ่งส่งเดชได้อย่างไร
อีกอย่าง หลีซูซูชำเลืองมองเด็กหนุ่มแวบหนึ่ง…
เส้นผมบนหน้าผากปกปิดดวงตามืดทึมของเขา ทำให้เขาดูเหมือนสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในความมืด หม่นสลัวไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน
หลีซูซูเชื่อว่าในอนาคตถานไถจิ้นจะฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยม แต่เรื่องการลักขโมยสิ่งของเช่นนี้ นางคิดว่าไม่ใช่เขา
ตู้อี๋เหนียงพูดเสียงแหลม “ไม่ใช่เจ้า หรือยังจะเป็นคุณชายคนอื่นๆ ในจวนเล่า จื้อจื่อ จวนแม่ทัพของพวกเราใจดีรับตัวเจ้าไว้ เจ้ากลับตอบแทนเช่นนี้น่ะหรือ หรือเป็นเพราะตั้งแต่เล็กไม่มีคนอบรมสั่งสอน ตอนนี้มือเท้าจึงไม่สะอาด”
วาจานี้เอ่ยได้ไม่น่าฟังยิ่งนัก
คุณชายสี่ในอ้อมอกของอวิ๋นอี๋เหนียงกระโดดออกจากอกมารดา วิ่งไปตรงหน้าถานไถจิ้นและเตะเขาหนึ่งที “กล้าขโมยของในจวนแม่ทัพ ข้าจะให้ท่านพ่อตีเจ้าให้ตาย!”
อวิ๋นอี๋เหนียงรีบอุ้มคุณชายสี่กลับมา “จั๋วเอ๋อร์ ห้ามพูดจาเหลวไหล!”
หางตาของถานไถจิ้นผุดสีแดงฉานนิดๆ เขาพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ข้าบอกแล้วว่าไม่ใช่ข้า”
เนื่องจากความตรงไปตรงมาของตู้อี๋เหนียงและคุณชายสี่ ภาพการสอบสวนอย่างสันติจึงถูกทำลายไม่มีชิ้นดี
หลีซูซูอึดอัดว้าวุ่นใจอย่างไร้สาเหตุ นางอ้าปากอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่หัวสมองกลับผุดใบหน้าเจ็บปวดรวดร้าวของท่านพ่อ
ท่านเซียนในอาภรณ์สีฟ้าครามพูดว่า “หลายปีมานี้ ผู้สูงศักดิ์ในโลกบำเพ็ญเซียนของพวกเราจิตวิญญาณแตกดับไปนับไม่ถ้วน รวมถึงศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าด้วย พวกเขาตายเพื่อสำนักด้วยน้ำมือของสิ่งชั่วร้ายตนนั้น หลีซูซู เจ้าเป็นความหวังสุดท้ายของโลกบำเพ็ญเพียร เดินทางย้อนไปห้าร้อยปีก่อนครานี้ ห้ามใจอ่อนเป็นอันขาด”
หลีซูซูปรับลมหายใจให้สงบ บอกตนเองซ้ำๆ ว่าถานไถจิ้นหาใช่คนดีอะไร จึงระงับความวู่วามของตนเองเอาไว้ได้
เหลียนอี๋เหนียงแบมือ เผยให้เห็นต่างหูหยกขาววิจิตรประณีตข้างหนึ่ง “เช่นนั้นจื้อจื่อจะอธิบายที่มาของต่างหูข้างนี้ที่พกติดตัวอย่างไร”
ถานไถจิ้นมองต่างหูในมือของเหลียนอี๋เหนียง เม้มปากแน่น
หลีซูซูมองต่างหูข้างนั้นเช่นกัน
เหลียนอี๋เหนียงเอ่ย “ปี้หลิ่ว เจ้ามาดูที ต่างหูข้างนี้ใช่ของคุณหนูสามหรือไม่ หากเป็นของคุณหนูสาม ย่อมเป็นพวกข้าที่เสียมารยาทแล้ว”
ย่อมไม่มีทางเป็นของข้าอยู่แล้ว หลีซูซูคิดในใจ เจ้าของร่างเดิมเกลียดชังถานไถจิ้นยังแทบไม่ทัน แล้วจะมอบของใช้ของสตรีให้เขาได้อย่างไร
หลีซูซูรู้ดี คนอื่นๆ ก็รู้ดีเช่นกัน
หลีซูซูนึกอะไรได้ จึงมองไปยังถานไถจิ้น
นางคิดว่านางรู้แล้วว่านี่เป็นของของใคร
ถานไถจิ้นถึงขั้นเก็บซ่อนไว้กับตัว ความคิดเล็กๆ น้อยๆ อันน่าเวทนาและมืดมนนี้ มิอาจบอกกับผู้ใดได้จริงๆ
ปี้หลิ่วเดินเข้ามาดู “เหลียนอี๋เหนียง ต่างหูข้างนี้มิใช่ของคุณหนูบ่าวเจ้าค่ะ”
“จื้อจื่อจะชี้แจงอย่างไร”
ถานไถจิ้นแววตามืดทะมึน ไม่เอ่ยอะไร หากว่าก่อนหน้านี้ในดวงตาเขายังมีความโกรธแค้นอยู่บ้าง ยามนี้ในดวงตาก็มีเพียงน้ำนิ่งบ่อหนึ่งเท่านั้น
เหลียนอี๋เหนียงย่อกายให้หลีซูซู “คุณหนูสามก็เห็นแล้ว จื้อจื่อไม่ยินดีจะอธิบาย”
เยี่ยหลันอินเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นขึ้ง “องค์ชายจื้อจื่อ ปกติหลันอินไม่เคยล่วงเกินท่าน ท่านจะคืนของที่อี๋เหนียงตระเตรียมไว้ให้หลันอินกลับมาได้หรือไม่” นั่นเป็นสินเจ้าสาวของข้านะ!
พวกนางถึงขั้นยัดเยียดความผิดอันน่าอัปยศข้อหนึ่งให้กับถานไถจิ้นอย่างง่ายดายเช่นนี้
หลีซูซูรู้สึกว่าเรื่องนี้เหลวไหลเกินไปแล้ว
ถานไถจิ้นเองก็เข้าใจอะไรบางอย่าง จึงยิ้มหยันเอ่ยว่า “ไม่มีสิ่งใดจะกล่าว แล้วแต่พวกท่านจะจัดการ”
หลีซูซูเห็นเขาเผยรอยยิ้มเหยียดหยันออกมาเป็นครั้งแรก แผ่นหลังของเขายืดตรง ยิ้มเสร็จริมฝีปากก็เม้มเป็นเส้นตรงเย็นชา
เหลียนอี๋เหนียงเอ่ยอย่างลำบากใจ “หากบ่าวรับใช้ในจวนขโมยของสำคัญล้ำค่าไป ต้องตีมือสองข้างให้หักและขับออกจากจวน”
อวิ๋นอี๋เหนียงขมวดคิ้ว อดร้องขอความเมตตาเสียงค่อยมิได้ “เหลียนอี๋เหนียง ฐานะของจื้อจื่อ ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนคนทั่วไป จะเอาบ่าวรับใช้มาเปรียบกับเขาได้อย่างไร”
เหลียนอี๋เหนียงพูด “อวิ๋นอี๋เหนียงเข้าใจผิดแล้ว ข้าอนุภรรยามิได้หมายความเช่นนี้ จื้อจื่อย่อมไม่เหมือนบ่าวรับใช้แน่นอน แต่ในเมื่อกระทำความผิด ไม่ว่าเป็นใครล้วนสมควรลงโทษ คุณหนูสาม ท่านคิดว่าให้จื้อจื่อคืนข้าวของกลับมา จากนั้นค่อยลงโทษเล็กน้อยเป็นอย่างไร”
เป็นอย่างไร ไม่เห็นเป็นอย่างไร! คนพวกนี้บ้าไปแล้วหรือ จะตัดสินง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร!
หลีซูซูทนไม่ไหวแล้วจริงๆ นางยืนอยู่ฝ่ายของโลกบำเพ็ญเซียน ไม่ควรพูดแทนจอมมารในอนาคต
ขอเพียงเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าเขาจะมีสภาพอเนจอนาถเพียงใด นางแค่ยิ้มดูเรื่องสนุกก็พอ
กระนั้น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี แม้จะเติบโตแล้ว แต่นางยังคงเป็นหลีซูซู วิหคศักดิ์สิทธิ์ตัวน้อยที่เปี่ยมด้วยความอยากรู้อยากเห็น หว่างคิ้วแต้มแต่งด้วยขนสีแดง ลืมตาขึ้นมาดูโลกในสระสวรรค์อันบริสุทธิ์ที่สุดและหลุบตามองสรรพชีวิต
นางสามารถถือกระบี่สังหารเขาอย่างเปิดเผย ถึงขั้นที่ว่าในอนาคตอาจบดขยี้วิญญาณเทพของเขาให้แหลกลาญอย่างไม่ปรานี แต่นางไม่อาจทำเหมือนคนอื่นๆ ดูหมิ่นดูแคลนเขาเพื่อความสนุก นางมิอาจแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ทำเหมือนสองตาถูกบดบัง ทั้งที่ยังลืมตาอยู่ชัดๆ
หลีซูซูลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยเสียงใส “ข้าไม่เห็นด้วย ในเมื่อเขาเป็นคนของข้า เช่นนั้นเรื่องนี้ข้าจะตรวจสอบเอง จะต้องให้คำชี้แจงกับอี๋เหนียงทุกท่านและพี่หญิงรองอย่างแน่นอน”
เหลียนอี๋เหนียงตะลึงพรึงเพริด เมื่อครู่นี้สอบสวนเสร็จไปแล้วมิใช่หรือ
หลีซูซูตีหน้าขรึมพร้อมมองคนอื่นๆ “อย่างไร ไม่เห็นด้วย? หรือว่าไม่ไว้ใจข้า”
เหลียนอี๋เหนียงรีบยิ้มตอบ “มิกล้า พวกเราย่อมเชื่อใจคุณหนูสามอยู่แล้ว”
หลีซูซูหยิบยันต์คุ้มครองบนพื้นขึ้นมา เดินไปตรงหน้าถานไถจิ้นและยัดใส่มือเขา “ของเก็บให้ดี ขืนปล่อยให้คนแย่งออกมาเหยียบย่ำอีก แม้แต่ข้ายังรู้สึกอายแทน เจ้าบอกว่ามิใช่เจ้า ทางที่ดีก็ขอให้ไม่ใช่เจ้าแล้วกัน! หาไม่แล้วหากข้าสืบพบ…”
เขาช้อนตาดำสนิทจ้องมองนาง
“ข้าจะตีเจ้าให้พิการด้วยตนเอง!” นางหอบหายใจ ถลึงตาใส่เขา พยายามทำให้ตนเองดูดุดันน่ากลัว
ความสว่างไสวในดวงตานาง ยังเหนือกว่าหิมะน้ำแข็งเดือนสิบสองข้างนอก
ถานไถจิ้นมองหญิงสาวตรงหน้าที่ทั้งดุดันทั้งโมโหพลางกำยันต์คุ้มครองสกปรกในมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 ต.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.