บทที่ 67
แสงเทียนไหวระริก ระเบิดดังเปรี๊ยะปร๊ะเบาๆ ชายหนุ่มในชุดสีนิลลืมตาขึ้น
ดวงเนตรกระจ่างใสของหญิงสาวปิดอยู่ ขนตายาวทอดเงาจางๆ ภายใต้แสงไฟอบอุ่น ทั้งที่ยังไม่ถึงฤดูบุปผา อากาศกลับเหมือนมีกลิ่นหอมของดอกเหอฮวนแผ่กระจายอยู่
ถานไถจิ้นคล้ายสัมผัสถูกพิษกะทันหัน ประหนึ่งเพิ่งตื่นจากฝัน
หลีซูซูถูกเขาผลักออกทันใด นางบีบนวดไหล่และช้อนตามองไป
สีหน้าของถานไถจิ้นเปลี่ยนแปรยากคาดเดา เขาตระหนักว่าตนเองทำอะไรลงไป ยามนี้จึงมิอาจกลบเกลื่อนได้อีกแล้ว อีกทั้งเขายังไม่สามารถโต้แย้งได้
หลีซูซูไม่ได้พูดอะไร นางจ้องมองเขาเงียบๆ
เวลาเช่นนี้นางอยากฟังเหลือเกินว่าถานไถจิ้นจะแก้ตัวอย่างไร เขาไร้อารมณ์ความรู้สึกมาแต่กำเนิด บางทีแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความหวั่นไหวเมื่อครู่นี้หมายความว่าอะไร
ดังคาด หลีซูซูราวกับเห็นไอน้ำแข็งเย็นเยือกแผ่ออกมาจากในดวงตาของถานไถจิ้นอย่างรวดเร็ว
เขาพูดเสียงเย็นว่า “เจ้ายั่วยวนเรา”
“…” หลีซูซูพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ นางยังไม่เคยเห็นคนที่ปัดความผิดให้ผู้อื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้มาก่อน
“ข้าให้โอกาสเจ้าเลือกแล้ว” หลีซูซูพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ถานไถจิ้น เจ้าโรคประสาทกำเริบหรือไร”
ถานไถจิ้นหลุบตาลง ลูบริมฝีปากตนเอง อาจเพราะความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่บนนั้นทำให้เขาไม่สบายใจ เขาจึงลดมือลงกลบเกลื่อนอาการอย่างรวดเร็ว
“เราไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งนั้น ลูกไม้พวกนี้ของเจ้าใช้ไม่ได้ผลแม้แต่น้อย เราไม่มีทางให้เจ้าไปพบท่านย่าของเจ้า และไม่มีทางปล่อยเจ้าออกไป เจ้าถอดใจเสียเถอะ” ไม่รู้ว่าเขาพูดมากมายเช่นนี้ให้นางฟังหรือพูดให้ตนเองฟังกันแน่
หลีซูซูมองเขาด้วยสีหน้านิ่งเฉย ก่อนจะยกขาหมายจะลงจากเตียง
ชอบเล่นละครถึงเพียงนี้ เจ้าเล่นไปผู้เดียวให้พอใจแล้วกัน
“หยุดนะ!” เขาพูดขึ้นทันที “เจ้าจะไปที่ใด”
หลีซูซูตอบ “ในเมื่อลูกไม้พวกนี้ของข้าล้วนไม่ได้ผล ข้าก็จะไม่เสียเวลาอีก ปล่อย ข้าจะไปนอน เจ้าไม่นอนแต่ข้าจะนอน”
หลีซูซูกลับไปนอนบนตั่งเล็กของตนเองพลางหลับตาลง ไม่นานนางก็ได้ยินเสียงสวบสาบจากบนเตียง
โกวอวี้พูดขึ้นว่า “ถานไถจิ้นมา”
ตั่งเล็กของนางอยู่ห่างจากเตียงมังกรไม่ไกล ถานไถจิ้นไม่รู้เป็นบ้าอะไร จวบจนบัดนี้ยังไม่จัดหาที่พักเป็นเรื่องเป็นราวให้นาง คนอื่นไม่กล้ายุ่งเรื่องของถานไถจิ้นอยู่แล้ว จนถึงตอนนี้หลีซูซูจึงได้แต่พักอยู่ในตำหนักของเขา
โกวอวี้รายงานต่อ “เขากำลังมองท่านอยู่”
หลีซูซูย่อมรู้อยู่แล้ว เขาอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ สายตาเหมือนใยแมงมุมที่เหนียวเหนอะ ชวนให้คนอึดอัดไปทั้งตัว นางมิใช่ว่าจะหลับลงจริงๆ สักหน่อย ย่อมต้องรู้สึกได้
เขาเข้ามาใกล้ แต่กลับไม่พูดจา
สถานการณ์พลันเงียบงัน
สำหรับหลีซูซู สายตาที่ทำให้คนหายใจไม่ออกเช่นนี้ ยากจะรับไหวจริงๆ นางแกล้งนอนจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจึงลืมตาขึ้น “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีนิลนั่งลงเฉียงๆ บนขอบตั่งของนาง การลืมตาของนางทำให้เขาวางตัวไม่ถูกอยู่บ้าง ก่อนจะเบนสายตาออกไปทันที
ใบหน้าด้านข้างอันคมคายของชายหนุ่มดูประณีตงดงามเป็นพิเศษภายใต้แสงจากโคมแก้วหลิวหลี ผิวของเขาขาวมาก ริมฝีปากบางแดงเป็นพิเศษ
บุรุษผู้หนึ่งงดงามถึงขั้นนี้ ช่างไม่ง่ายเลยจริงๆ
เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจ “เรายอมรับว่ามิใช่จะไม่ได้ผลเสียทีเดียว เราไม่ได้รังเกียจเจ้าถึงเพียงนั้น”
หลีซูซูนอนหนุนท่อนแขนอ่อนนุ่มของตนเอง หาวพลางมองเขา
ดวงตานางทอประกายน้ำบางๆ ชั้นหนึ่ง เขาเหลือบมองนางด้วยหางตา เอ่ยด้วยน้ำเสียงใจกว้างว่า “เจ้าบอกเรามา เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่”
ถานไถจิ้นเหมือนพ่อค้าตระหนี่ที่ระวังตัวแจผู้หนึ่ง เขามองดูหลีซูซูอย่างหวาดระแวงและคาดหวัง
ราวกับในมือนางมีสิ่งที่เขาปรารถนามากเป็นพิเศษ แต่ของสิ่งนี้สามารถนำพาหายนะมาสู่เขาอย่างง่ายดาย ทางหนึ่งเขาหวาดกลัวกับผลลัพธ์อันเลวร้ายที่หลีซูซูอาจจะนำมาให้ อีกทางหนึ่งกลับอยากเข้าใกล้นางอย่างมิอาจควบคุม
เขาเฝ้ารอคำตอบด้วยสีหน้าตึงเครียด
หลีซูซูคิดในใจ ข้าต้องการชีวิตเจ้าน่ะสิ
ทว่านางมิอาจพูดเช่นนี้ได้ บุรุษตรงหน้าเป็นนกหวาดเกาทัณฑ์ที่ตระหนี่และเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว ยามที่นางไม่เป็นพิษเป็นภัยกับเขา เขายังคิดถึงภาพเจตนาอันชั่วร้ายของนางได้เป็นร้อยอย่าง ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าหากเขารู้ว่านางมาเพื่อเอาชีวิตสุนัขของเขา!
อย่าเห็นว่าตอนนี้บุรุษผู้นี้มองนางด้วยความปรารถนาแล้วจะได้ใจ ด้วยสันดานชั่วร้ายในกระดูกมารของเขา หากเขารู้ความจริงอาจจะบีบคอนางจนตายในอึดใจต่อไปเลยก็เป็นได้
ดังนั้นหลีซูซูจึงกะพริบตาปริบๆ เอ่ยว่า “ข้าอยากเป็นฮองเฮา”
สตรีในโลกมนุษย์ล้วนมีความใฝ่ฝันเช่นนี้มิใช่หรือ รวมถึงเยี่ยปิงฉางด้วย
ดังคาด พอได้ฟังเหตุผลของนางแล้ว สีหน้าของถานไถจิ้นเปลี่ยนเป็นเสียดสีเยาะหยันทันตา “เจ้าอยากเป็นฮองเฮา?”
ท่าทางเหยียดหยันที่มากเกินความจำเป็นของเขา ประหนึ่งมองแมวที่กระโดดเข้าไปจับปลาในกองเพลิง
ไม่ว่าจะเป็นแม่นมที่เลี้ยงดูเขามาหรือว่าจิงหลันอัน ล้วนเคยเตือนเขาว่าตำแหน่งนั้นมีความสำคัญมากเพียงใด
สำหรับองค์เหนือหัวผู้ปกครองบ้านเมือง ฮองเฮาถึงขั้นเป็นตัวตัดสินว่ายุคสมัยนั้นแผ่นดินจะสงบมั่นคงหรือไม่
สั่งสมอำนาจทางการเมือง ผูกใจราษฎร หรือแม้กระทั่งสานสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้น ฮองเฮาล้วนมีบทบาทสำคัญเป็นพิเศษ
ถานไถจิ้นนิสัยเย็นชาอำมหิต ไม่จำเป็นต้องพึ่งฮองเฮาในการกำราบขุนนางในราชสำนัก
ทว่าหากเขาปรารถนาจะครอบครองใต้หล้า ฮองเฮาย่อมมิอาจเป็นชาวแคว้นซย่าได้แน่นอน แคว้นซย่าสิ้นอำนาจแล้ว แต่หากมุ่งไปทางทิศอุดร ย่อมเป็นแคว้นเสินชาที่มีแหล่งน้ำและพืชพรรณอุดมสมบูรณ์ ผู้คนเจนจัดวิชาไสยเวท
ยิ่งไปกว่านั้น หากรออีกไม่กี่ปี สำนักเซียนเปิดกว้าง เขายังสามารถหาฮองเฮาที่มีแก่นวิญญาณ อาศัยนางเดินผ่านเข้าสำนักเซียนได้
ถึงอย่างไรเขาก็เคยเห็นโลกที่กว้างใหญ่กว่า สำหรับคนอื่นๆ ปัวเหร่อฝูเซิงเป็นความรู้สึกที่ยากจะลืมเลือน แต่สำหรับถานไถจิ้น เขาได้เห็นพลังอันแข็งแกร่งของมังกรเซียนหมิงเยี่ย
หนึ่งกระบี่ผ่าขุนเขาได้ หนึ่งหัตถ์เก็บจันทราได้
ตราสงบวารี พระธาตุของพระศากยมุนีพุทธเจ้า…ของล้ำค่าในโลกมากมายนับไม่ถ้วน พลังอันยิ่งใหญ่ เขาล้วนมีโอกาสที่จะไขว่คว้า
หมิงเยี่ยโง่เขลา ทว่าเขาหาได้โง่เขลาไม่ หากมอบพลังยิ่งใหญ่เช่นนั้นให้กับเขา เขาไม่มีทางสนใจซังจิ่วหรือเทียนฮวนอะไรนั่นหรอก ความรักบัดซบอะไรกัน ไหนเลยจะเทียบกับพลังอันแข็งแกร่งได้
ทว่ายามนี้หญิงสาวที่นอนอยู่บนตั่งด้วยท่าทางหงุดหงิดกลับเอ่ยปากขอตำแหน่งฮองเฮาจากเขา?
หากเขาตอบตกลงกับนาง เขาก็บ้าเต็มทีแล้ว
อดทนกับความยากลำบากสิบสี่ปี เขาจึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้มา เขาดูเหมือนคนโง่เง่าถึงเพียงนั้นเลยหรือ จะได้แบ่งยศถาบรรดาศักดิ์ให้กับสตรีที่เคยดูหมิ่นเขาผู้นี้หรือไร
นับแต่นี้ไปมิอาจยึดครองดินแดนทางเหนืออย่างง่ายดาย มิอาจได้มาซึ่งวิชาไสยเวทที่ว่ากันว่าจะทำให้คนมีชีวิตเป็นอมตะ ทั้งยังมิอาจเข้าสู่สำนักเซียน
แต่กลับได้ใช้ชีวิต…เยี่ยงสามีภรรยาทั่วไปคู่หนึ่งกับหญิงสาวตรงหน้า แก่เฒ่า และตายไปอย่างเรียบง่ายธรรมดา?
ยิ่งไปกว่านั้น หญิงสาวที่เขาอ่านไม่ออก จับไม่ได้ไล่ไม่ทันผู้นี้ ยังอาจแทงเขาได้ทุกเมื่อด้วย
หลีซูซูไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ สีหน้าประเดี๋ยวดุดัน ประเดี๋ยวเหม่อลอย ราวกับสิ่งที่นางต้องการมิใช่ตำแหน่งฮองเฮา หากแต่เป็นชีวิตของเขากระนั้น
ผ่านไปพักใหญ่ เขาเม้มปากตอบว่า “ไม่ได้ เจ้าเป็นฮองเฮาไม่ได้ แต่เราสามารถมอบศักดิ์ฐานะอื่นให้กับเจ้า”
หลีซูซูยกขาขึ้น ถีบไปที่ไหล่เขาหนึ่งทีด้วยความโมโห “ไสหัวไปเสีย ผีเท่านั้นล่ะที่อยากเป็นอนุของเจ้า”
ถานไถจิ้นมิได้ระวังตัวจึงถูกนางถีบเข้าที่ไหล่เต็มแรง เขาหันกลับมาอย่างขุ่นเคือง “เยี่ยซีอู้!”
หลีซูซูเอ่ยตอบ “ตะโกนหาอะไร ข้าได้ยินแล้ว ถ้าเจ้าชอบหาอนุนัก พรุ่งนี้ก็ไปปิดราชโองการหาสตรีมาเติมให้เต็มสามวังหกตำหนักก็ไม่มีปัญหา อ้อ ข้าเกือบลืมไป เจ้ามอบตำแหน่งฟูเหรินให้คนผู้หนึ่งไปแล้ว”
หญิงสาวมองเขาเหมือนมองสิ่งสกปรก “เดาว่านี่คงเป็นความชื่นชอบของเจ้าสินะ มอบตำแหน่งฟูเหรินให้กับทุกคน ไสหัวไปเสีย ไม่ตกลงก็อย่ามารบกวนการนอนของข้า”
หน้าเขาเขียวคล้ำ กัดฟันพูดว่า “เจ้าเป็นเพียงแค่บุตรสาวของขุนนางที่สิ้นอำนาจแล้วเท่านั้น”
ในเมื่อยังไม่ยอมไสหัวไป หลีซูซูจึงยกขาขึ้น คราวนี้ไม่ไว้หน้ายิ่งกว่าเดิม ถีบไปบนหน้าเขาพลางพูดเน้นย้ำทีละคำว่า “ถึงอย่างนั้นก็ยังสูงศักดิ์กว่าเจ้า”
ถานไถจิ้นคว้าเท้าเนียนดุจหยกของหญิงสาวไว้ “เยี่ยซีอู้ เจ้าอย่าได้ทำตัวไม่รู้ดีชั่ว”
นางยกมือขึ้นทำมุทรา แผ่นยันต์สีเหลืองที่นางวาดไว้ในช่วงหลายวันนี้เพื่อใช้รับมือกับปีศาจเสือลอยออกมาจากแขนเสื้อ
เปลวไฟลุกขึ้นกลางอากาศ เผาคอเสื้อถานไถจิ้นจนไหม้เกรียมในพริบตา
หญิงสาวพลิกตัวไปแล้ว ไม่คิดจะสนใจเขาอีก
หลังย่างเข้าฤดูวสันต์ บรรยากาศในวังคึกคักขึ้นทีละน้อย
ถานไถจิ้นกลับจากประชุมขุนนาง เห็นข้ารับใช้หญิงนับไม่ถ้วนกำลังเก็บดอกซิ่ง พวกนางสวมชุดสีแดง หิ้วตะกร้าสีแดง มองปราดเดียวก็รู้ว่าต้องมีคนสั่งให้ทำเช่นนี้แน่
เว่ยสี่ก้าวเข้ามาอธิบายทันใด “ฝ่าบาท เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงวันขอพรของแคว้นโจวเรา วันนั้นจะมีการอธิษฐานขอพรจากทวยเทพ ขอให้องค์เทพคุ้มครองบ้านเมืองเราให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล แผ่นดินผาสุก ปวงประชาปลอดภัย หลายวันนี้เจาหวาฟูเหรินเตรียมการอยู่ตลอด เก็บดอกซิ่งที่งามที่สุดและบริสุทธิ์ที่สุด ส่งไปยังแท่นพยากรณ์ดารา”
ดอกซิ่งตกลงบนมือของถานไถจิ้น เขาแค่นเสียงเบาๆ เอ่ยว่า “ขอพรจากทวยเทพ?”
เว่ยสี่จับกระแสเสียดสีในคำพูดเขาไม่ออก ด้านหลังดอกซิ่งสีขาว เงาร่างแบบบางงดงามสายหนึ่งเดินออกมา
เมื่อเห็นถานไถจิ้นแล้ว ดวงตานางฉายรอยยิ้มอ่อนโยน “ฝ่าบาทกลับมาแล้วหรือเพคะ”
เป็นเยี่ยปิงฉางนั่นเอง
ถานไถจิ้นพยักหน้า เขาเก็บแววเสียดสีในดวงตา ถามเสียงละมุนว่า “ร่างกายของปิงฉางเป็นอย่างไรบ้าง”
เยี่ยปิงฉางย่อกายพลางตอบเสียงแผ่ว “ร่างกายหม่อมฉันดีขึ้นมากแล้ว ฝ่าบาทโปรดอภัยที่หม่อมฉันบังอาจเตรียมงานพิธีขอพรโดยพลการ หม่อมฉันรู้ว่าฝ่าบาทไม่สนพระทัยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ แต่ฝ่าบาทเพิ่งจะเป็นฮ่องเต้ของต้าโจว มิอาจขาดการสนับสนุนจากปวงประชาได้”
ความรู้สึกเช่นนี้ สำหรับถานไถจิ้นแล้ว ช่างเป็นสิ่งที่ห่างหายไปนานเหลือเกิน เพราะนอกจากจิงหลันอัน ไม่มีใครที่จะช่วยจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้เขาโดยยึดผลประโยชน์ของเขาเป็นหลัก ถานไถจิ้นพูดตอบ “เราจะตำหนิเจ้าได้อย่างไร”
เยี่ยปิงฉางเผยรอยยิ้มที่แฝงความขลาดเขินอยู่สามส่วน
เดิมนางมีรูปโฉมพริ้มเพราอยู่แล้ว เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางดอกซิ่งที่บานสะพรั่ง รอยยิ้มนี้จึงยิ่งงามกระจ่างและบอบบางน่าทะนุถนอมยิ่งนัก แม้แต่เว่ยสี่กงกงที่เป็นขันที สีหน้ายังฉายแววชื่นชมจางๆ
เยี่ยปิงฉางช้อนตาขึ้น หวังจะได้เห็นความตื่นตะลึงลุ่มหลงจากดวงเนตรของฮ่องเต้หนุ่มในชุดสีนิล ไม่คิดว่าสีหน้าเขายังคงอ่อนโยนเจือยิ้มดุจเดิม ไม่ได้ดูเหินห่างจนเกินไป แต่ก็มิได้มีความเร่าร้อนอยู่เช่นกัน
นางมิได้แสดงออกทางสีหน้า แต่ในใจกลับบังเกิดความฉงนนิดๆ
เพราะเหตุใดกัน
เพราะเหตุใดจึงใช้ไม่ได้ผลกับถานไถจิ้น
ไม่ มิใช่ว่าจะไม่ได้ผลเสียทีเดียว อย่างน้อยทรราชผู้นี้ก็ดีต่อนางมากกว่าคนอื่นๆ เพียงแต่ครั้งนั้นตอนนางพักอยู่ที่เรือนตากอากาศ ผังอี๋จือที่ฝีปากร้ายกาจนิสัยโอหังยังหลงนางจนหัวปักหัวปำ ใบหน้าแดงซ่าน แต่ท่าทีของถานไถจิ้นออกจะเรียบเฉยเกินไป
เยี่ยปิงฉางครุ่นคิดอย่างนิ่งสงบ ที่ฟังจากปากผู้อื่น ทำให้นางรู้ว่าอีกฝ่ายเย็นชากว่าคนทั่วไปมาก บางทีอารมณ์ของเขาอาจถูกเก็บงำเป็นอย่างดีก็เป็นได้
ความรักของเซียวหลิ่น มิใช่อ่อนโยนดุจสายน้ำหรือ
คิดได้เช่นนี้ นางก็ไม่ร้อนใจอีก พานางกำนัลในชุดแดงกลุ่มหนึ่งจากไป
พอนางจากไป รอยยิ้มในดวงตาถานไถจิ้นก็หายไปไม่เหลือ เขาขยี้ดอกซิ่งในมือจนเละและเดินเหยียบมันไป
เว่ยสี่วิ่งเหยาะๆ ตามมา ถามถานไถจิ้นอย่างประจบประแจงว่าคืนนี้จะกินอาหารค่ำที่ใด
คำถามนี้น่าขบคิดทีเดียว ถึงอย่างไรน้ำใจของเจาหวาฟูเหรินก็ล้ำค่ายิ่งนัก ไม่ว่าอย่างไรทรราชน้อยก็ต้องปลอบประโลมจิตใจของฟูเหรินสักหน่อย
ถานไถจิ้นยังมิได้ตอบอะไร คิ้วตาพลันเย็นเยียบกะทันหัน
เว่ยสี่เงยหน้ามองไป เห็นหญิงสาวในชุดสีชมพูนั่งยองกับพื้น ในมือถือชามหยกกับช้อน กำลังป้อนน้ำให้บุรุษในชุดเหลืองผู้หนึ่ง
หลีซูซูป้อน บุรุษผู้นั้นก็อ้าปาก
เขามีใบหน้าองอาจ เถรตรงหน่อยๆ เปี่ยมด้วยความเป็นชาย ทั้งยังดูทึ่มทื่อเล็กน้อย
ถานไถจิ้นมองดูอย่างเย็นชา หลีซูซูตระหนักถึงการมาถึงของเขา จึงเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง
บุรุษในชุดเหลืองมองหลีซูซูตาแป๋ว หลีซูซูตักน้ำอีกช้อนป้อนใส่ปากเขา เขาคลี่ยิ้มเต็มหน้าอย่างดีอกดีใจ
หลีซูซูยังจะป้อนต่อ ทว่าข้อมือกลับถูกคนคว้าไว้กะทันหัน นางเหลือบตาขึ้น เห็นใบหน้าที่เย็นเยียบจนน่ากลัว
ทรราชน้อยเอียงศีรษะเอ่ยถามนางเสียงค่อยว่า “เจ้าทำอะไรอยู่”
หากเขาโมโหยังดีเสียกว่า ท่าทางเช่นนี้ ชัดเจนว่าโรคกำเริบอีกแล้ว
หลีซูซูยิ้มไม่ตอบ
ถานไถจิ้นยิ้มเช่นกัน “เนี่ยนไป๋อวี่”
เนี่ยนไป๋อวี่ปรากฏตัวข้างหลังเขาทันใด
ถานไถจิ้นเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พิธีขอพรต้องใช้โคมสวรรค์หลายดวง เราได้ยินมาว่า โคมสวรรค์ที่ทำจากหนังมนุษย์ทนทานและงดงามเป็นที่สุด เราว่าหนังของเขาไม่เลวเลยทีเดียว”
คนที่เขาชี้คือบุรุษในชุดเหลืองที่หมอบอยู่บนพื้น
เว่ยสี่ฟังออกว่าทรราชน้อยมิได้มีท่าทีล้อเล่น สองขาของเขาพลันสั่นพั่บๆ
เนี่ยนไป๋อวี่รับคำด้วยสีหน้าราบเรียบ “พ่ะย่ะค่ะ”
หลีซูซูเข้ามาขวางหน้าบุรุษในชุดเหลือง “ช้าก่อน! เจ้าคิดจะทำอะไร”
ถานไถจิ้นมองนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ทั้งสองคนเผชิญหน้ากันอย่างเงียบงันครู่หนึ่ง
หลีซูซูมองถานไถจิ้น จากนั้นมองบุรุษในชุดเหลืองบนพื้นที่ทำหน้างุนงงและหวาดกลัว นางพูดว่า “เจ้าจะฆ่าเขาจริงๆ หรือ”
ถานไถจิ้นไม่ตอบ ทว่าดวงตาดำเข้มกลับเต็มไปด้วยไอสังหาร ไม่รู้พุ่งเป้าไปที่ใครกันแน่
หลีซูซูพูดด้วยน้ำเสียงประหลาด “เขาก็คือปีศาจเสือของเจ้า”
พอคำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมา โทสะเยียบเย็นในดวงตาถานไถจิ้นแข็งชะงักทันใด เขาก้มมองบุรุษในชุดเหลืองบนพื้น
บุรุษในชุดเหลืองยิ้มประจบเขาอย่างขลาดกลัว หากว่ามีหาง เดาว่าคงตกใจจนหางหดลีบแล้วเป็นแน่ นี่เขาก็แค่ขอน้ำยันต์ขจัดปราณขุ่นจากนางมาดื่มเท่านั้นเอง ไฉนถานไถจิ้นจึงได้น่ากลัวถึงเพียงนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลายร่างในเตาอัคคีแดงได้ เขาก็อยากตั้งใจฝึกบำเพ็ญบ้างเหมือนกันนะ ไฉนทรราชน้อยจะฆ่าเขาอีกแล้ว ทั้งยังจะถลกหนังเขาด้วย
บทที่ 68
ปีศาจเสือกลายร่างเป็นคน แต่ยังคงมีนิสัยเยี่ยงสัตว์ พอเห็นทรราชน้อยตีหน้าเย็นชา ก็อดประสานมือร้องขอชีวิตมิได้
เนี่ยนไป๋อวี่มองคนผู้นี้อย่างไร้วาจา รู้ว่าเป็น ‘คนกันเอง’ ย่อมไม่ลากเขาออกไปถลกหนังฆ่าทิ้งอีก
ปีศาจเสือเห็นว่าไม่มีใครเอาชีวิตเขาแล้ว จึงรีบใช้ทั้งมือและเท้าเผ่นหนีไป
เขาอาภัพยิ่งนัก สมัยที่ติดตามถานไถหมิงหล่างยังเป็นขุนพลพยัคฆ์ที่น่าเกรงขาม แต่เมื่อมาติดตามถานไถจิ้น กลับไม่หลงเหลือศักดิ์ศรี ได้แต่เลียแข้งเลียขาประจบเจ้านาย
หลีซูซูโยนชามกับช้อนทิ้ง เดินจากไปโดยไม่มองถานไถจิ้น
ตั้งแต่นางบอกว่าต้องการตำแหน่งฮองเฮา อารมณ์ในดวงตาถานไถจิ้นก็เปลี่ยนแปรไปมาตลอด ประเดี๋ยวเหยียดหยันดูแคลน ประเดี๋ยวขัดแย้งเย็นชา
โกวอวี้พูดขึ้นว่า “เขาเป็นพญามาร พญามารชื่นชอบอำนาจและตำแหน่งมาแต่กำเนิด ท่านยังจำพญามารอีกตนที่ถูกบันทึกอยู่ในตำราบรรพกาลได้หรือไม่ คนผู้นั้นไม่มีแม้กระทั่งภรรยาด้วยซ้ำ แม้แต่คนงามอันดับหนึ่งของพิภพเทพในตอนนั้นยังถูกเขาทรมานแทบตายทั้งเป็น ดังนั้นถานไถจิ้นไม่มีทางมอบตำแหน่งฮองเฮาให้ท่านหรอก”
การแสวงหาอำนาจเป็นสัญชาตญาณของพญามาร
ถานไถจิ้นเองก็เข้าใจดีว่าหากเขายอมรับว่าตนเองชอบหลีซูซูจริง ย่อมต้องหยุดชะงักอยู่กับที่อย่างมิต้องสงสัย
…หากเขาสมรสเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นเสินชา เช่นนั้นการช่วงชิงแดนเหนือ ศึกษาวิชาไสยเวทโบราณ ย่อมเป็นเรื่องช้าเร็วเท่านั้น
…หากสองสามปีนี้เขาให้นักพรตเฒ่าหาต้นกล้าที่มีแก่นวิญญาณ แต่งนางเป็นภรรยาเสีย วันหน้าเมื่อสำนักเซียนเปิดประตู บางทีเขาอาจได้เรียนรู้วิถีเซียน
เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร จวบจนบัดนี้ถานไถจิ้นยังคงคิดว่าตนเองเป็นตัวประกันอ่อนแออายุสั้นที่มิอาจฝึกยุทธ์ได้
แล้วหลีซูซูเล่า สามารถมอบสิ่งใดให้เขาได้บ้าง
เวลานี้โกวอวี้เข้าใจความคิดของถานไถจิ้นเป็นอย่างดี หากเลือกหลีซูซูจริง สำหรับเขาแล้วก็คือการเด็ดปีกตนเอง
หลีซูซูเอ่ย “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ให้”
“เจ้านายน้อย ท่านรู้?”
“ใช่ ข้าเองก็ไม่ได้อยากได้ตำแหน่งฮองเฮาอะไรนั่น” หลีซูซูว่า “ข้าจงใจพูดเช่นนี้มีข้อดีสองอย่าง ถานไถจิ้นเอาแต่คิดว่าทุกคนในโลกอยากจะทำร้ายเขา ข้าบอกว่าต้องการตำแหน่งฮองเฮา กลับเป็นการทำให้เขาสบายใจ ขอเพียงจิตใจเขาหวั่นไหวสักเล็กน้อย พวกเราก็บรรลุเป้าหมายแล้ว อีกอย่างคือ ข้าอยากดูว่าเยี่ยปิงฉางคิดจะทำสิ่งใดกันแน่”
พี่สาวคนโตของเจ้าของร่างเดิมผู้นี้ลึกลับเกินไป แม้แต่พญามารหนุ่มยังทะนุถนอมนางยิ่งนัก นางต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ
หลายวันต่อมาถานไถจิ้นยังคงอารมณ์แปรปรวนไม่แน่นอน หลีซูซูจึงมิได้สนใจเขาอีก
กลับเป็นปีศาจเสือที่หลังจากกลายร่างเป็นมนุษย์แล้วหายตัวไป
อยู่มาวันหนึ่ง เนี่ยนมู่หนิงมองหลีซูซูด้วยสายตาประหลาดและเอ่ยว่า “ปีศาจเสือถูกฝ่าบาทโยนเข้าไปในธงกลืนวิญญาณแล้ว”
ฝ่าบาทบอกว่าให้ปีศาจเสือฝึกวิชากับนักพรตเฒ่า ตอนนี้เจ้าเสือร้องไห้ฟูมฟายอยู่ในธงกลืนวิญญาณทุกวัน
หลีซูซูรู้สึกเห็นใจมันมากทีเดียว
ต้นเดือนสี่ ราษฎรในแคว้นโจวฉลองเทศกาลบุปผา*
ในวังก็มีงานเลี้ยงเช่นกัน มีการแขวนโคมผูกสายรุ้งทั่วทุกแห่งหน ต้าโจวที่ชื่นชอบความฟุ้งเฟ้อและเสียงสังคีต เมื่อถึงเทศกาลบุปผา บรรยากาศก็คึกคักชื่นมื่นยิ่งนัก
ประเพณีของแคว้นโจวเดิมทีเปิดกว้างอยู่แล้ว วันนี้จึงเป็นวันที่หนุ่มสาวให้สัญญารักกันด้วย ย้อนกลับไปพันปีก่อน บุรุษจะร้องเพลงให้สตรีฟัง สองคนเพียงสบตากัน ก็สามารถกลิ้งไปในทุ่งหญ้าด้วยกันแล้ว
โกวอวี้วิจารณ์เหมือนผู้คงแก่เรียน “แคว้นโจวช่างไม่มีจารีตธรรมเนียม ทำตัวเสื่อมเสียจริงๆ”
ยามโพล้เพล้ หลีซูซูได้ยินนางกำนัลหลายคนพูดคุยหัวเราะกันดังเจี๊ยวจ๊าว…
“ได้ยินว่าฟูเหรินทำหยกวารีด้วยตนเอง พอหยกวารีแยกออก สองชิ้นแทบจะเหมือนกันทุกประการ”
“ฝ่าบาทได้รับแล้วจะต้องดีพระทัยมากแน่ๆ”
หยกวารีเป็นหินหยกพิเศษชนิดหนึ่งของแคว้นโจว ต้องผ่านการหลอมเหมือนเครื่องเคลือบดินเผา เลี้ยงหยกอย่างพิถีพิถันแล้ววางลงในน้ำ หยกจะแยกออกจากกันเป็นสองชิ้น
ยิ่งประณีต หยกสองชิ้นก็จะยิ่งมีความสมมาตร หยกวารีที่เลี้ยงออกมาสีสันยิ่งงดงาม ยิ่งแสดงถึงความตั้งอกตั้งใจ
โกวอวี้ออกอุบายให้หลีซูซู “ท่านลองทำหยกวารีให้ถานไถจิ้นสักชิ้นดีหรือไม่”
เห็นเยี่ยปิงฉางอ่อนโยนดุจสายน้ำ มีความเป็นศรีภรรยาและมารดาผู้อารีเต็มสิบส่วน แต่เจ้านายน้อยของมันจิตใจกลับนิ่งดุจน้ำตาย สงบประหนึ่งกำลังบำเพ็ญเพียรก็มิปาน โกวอวี้จึงลอบร้อนใจอยู่บ้าง
หลังจากจี้เจ๋อแตกดับไป ผนึกของเหวร้างก็เหลือเวลาอีกปีกว่าเท่านั้นก่อนจะพังทลาย
เวลาหนึ่งปีสำหรับชีวิตของเซียน แค่ชั่วกะพริบตาเท่านั้น ทว่าหยาดน้ำตาดับวิญญาณกลับยังคงเห็นเพียงรูปร่างของตะปู
หัวใจของพญามารหนุ่มนั้นเย็นเยือก รอยยิ้ม ความโกรธและความโมโหของเขา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการเลียนแบบอารมณ์ของผู้อื่น
โกวอวี้กังวลว่าภารกิจจะล้มเหลว
หลีซูซูส่ายหน้า “การทำดีกับเขาอย่างเดียวไม่มีประโยชน์ เจ้าดูจิงหลันอันสิ”
“เช่นนั้นต้องทำอย่างไร”
หลีซูซูยิ้มตอบ “พวกเราลองหนีกันดีกว่า โกวอวี้ พวกเราไม่ได้เหาะเหินนานเพียงใดแล้ว”
ตอนแรกโกวอวี้ยังไม่เข้าใจความหมายของหลีซูซู จนกระทั่งเห็นนางหยิบว่าวกระดาษตัวใหญ่ออกมา มันจึงรู้ว่าหลีซูซูคิดจะทำสิ่งใด
ดวงจันทร์ในฤดูวสันต์ประหนึ่งดาบที่ทอประกายเจิดจ้า หลีซูซูแบกว่าวกระดาษปีนขึ้นไปบนหอพยากรณ์ดารา เกาะอยู่บนนั้นและเหินบินออกไป
ใต้ฝ่าเท้านางเป็นโลกมนุษย์ โคมไฟนับไม่ถ้วนส่องแสง แคว้นโจวเจริญรุ่งเรือง บรรยากาศรื่นเริงแผ่อยู่ทั่วทุกแห่งหน สายลมพัดชายกระโปรงนาง นางอาศัยยันต์วายุ โบยบินออกจากประตูวัง
บินออกไปไกล นางจึงเห็นเนี่ยนมู่หนิงทำหน้าตื่นตระหนก ยืนอยู่กับที่อย่างทำอะไรไม่ถูก อีกฝ่ายไม่กล้าทำร้ายหลีซูซูจริงๆ จึงวิ่งไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงในวัง
หลีซูซูเท้าคางมองความงดงามในโลกมนุษย์ โลกอันกว้างใหญ่นี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นกว่าบรรพตเซียนมากนัก
หลีซูซูเลือกร่อนลงบนถนนเส้นที่คึกคักจอแจที่สุด นางซื้อหน้ากากมาหนึ่งอัน สวมลงบนหน้าตนเอง “เจ้าว่าเมื่อใดเขาจึงจะไล่ตามออกมาอย่างฉุนเฉียว”
หญิงสาวเอามือไพล่หลัง เร้นกายเข้าไปในฝูงชน
งานเลี้ยงในวังยังไม่จบ เวลานั้นเยี่ยปิงฉางเพิ่งจะผูกหยกวารีอีกชิ้นให้ถานไถจิ้น
“ขอให้ฝ่าบาทสุขสมหวังไร้เทียบเทียม ปลอดภัยราบรื่นเพคะ” นางยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย ดูงดงามยิ่งกว่าบุปผา
ถานไถจิ้นเงียบไป มุมปากยกขึ้น เผยรอยยิ้มอ่อนโยน
เยี่ยปิงฉางมองเขา เห็นเงาของเซียวหลิ่นจากสีหน้าเขาหลายส่วน นางนึกอยากขมวดคิ้วเล็กน้อย
เสียงเครื่องสายและเครื่องเป่าดังต่อเนื่อง เหล่านางรำร่ายรำอย่างพลิ้วไหว แขนเสื้อน้ำโบกไปมา ประหนึ่งอยู่ในห้วงฝันอันงดงาม
ชั่วเวลาต่อมา เนี่ยนมู่หนิงในชุดเข้ารูปวิ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน กระซิบบางอย่างข้างหูถานไถจิ้น
เยี่ยปิงฉางเห็นกับตาว่าหน้ากากของความอ่อนโยนบนหน้าถานไถจิ้นหายวับไป เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นน่ากลัวในพริบตา แววตาเขาค่อยๆ มืดทะมึน จังหวะหายใจทำให้แผงอกสะท้อนขึ้นลงอย่างไม่สม่ำเสมอ เขาใช้แววตาที่เปี่ยมด้วยความชั่วร้ายชิงชังมองทุกคนที่อยู่ภายในงาน
เหล่าขุนนางเบื้องล่างดื่มสุราสังสรรค์ ไม่ตระหนักแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้ในชุดสีนิลลุกพรวด ทุกคนต่างมองมา สีหน้าอึมครึมของเขาเจือรอยยิ้มเย็นเยียบดุจสายน้ำ “เรามีธุระ ต้องขอตัวก่อน ทุกท่านไม่มีอะไรแล้วก็แยกย้ายเถอะ”
ทุกคนหวาดเกรงเขามากกว่าเคารพ โดยเฉพาะขุนนางที่กลืนเนื้อถานไถหมิงหล่างเข้าไปก่อนหน้านี้ ต่างรีบคารวะและขอตัวทันที
คันธนูสีนิลถูกยื่นใส่มือฮ่องเต้ เขาคล้ายกำลังจะออกไปล่าเหยื่อที่ไม่เชื่อฟัง เดินออกไปข้างนอกด้วยฝีเท้าเร่งร้อน
เยี่ยปิงฉางอยู่ใกล้เขามาก นางย่อมได้ยินสิ่งที่เนี่ยนมู่หนิงพูด
เยี่ยปิงฉางมองแผ่นหลังของเขา รู้ดีว่าธนูคันนั้นไม่มีทางยิงลูกออกไปจริงๆ เขาแค่อยากขู่หญิงสาวที่ไม่เชื่อฟังผู้นั้นเท่านั้นเอง
ถานไถจิ้นเดินออกไปหลายก้าว ก่อนจะหันกลับมากะทันหัน
น้ำตาของเยี่ยปิงฉางไหลอาบแก้ม หลั่งน้ำตาพลางมองเขา
ถานไถจิ้นเงียบงันเนิ่นนาน เผยรอยยิ้มที่แข็งทื่อเล็กน้อยออกมา “เราลืมมอบของขวัญคืนให้เจ้า เนี่ยนไป๋อวี่ พาฟูเหรินไปที่คลังสมบัติ ถูกใจสิ่งใดก็นำไปมอบให้ฟูเหริน”
เยี่ยปิงฉางมองเขาด้วยแววตาอ้อนวอน
เขาหันกายก้าวยาวๆ จากไป
เสี่ยวฮุ่ยพูดอย่างเป็นกังวล “ฟูเหริน…”
เยี่ยปิงฉางเช็ดน้ำตาบนใบหน้าจนแห้ง พึมพำเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสุขุม “ยังคงไม่สำเร็จ”
เนี่ยนมู่หนิงกับองครักษ์เยี่ยอิ่งติดตามฮ่องเต้ในอาภรณ์สีนิลออกจากวัง หญิงสาวบนท้องถนนส่วนใหญ่ล้วนสวมหน้ากาก
ผู้คนสัญจรไปมา เสียงหัวเราะเบิกบานดังไปทั่ว การตามหาหญิงสาวผู้หนึ่ง ใช่เรื่องง่ายดายเสียที่ใด
เนี่ยนมู่หนิงพูด “ฝ่าบาท คุณหนูสามไม่มีทางจากไป ท่านย่าของนางยังอยู่ในมือของพวกเรา”
ถานไถจิ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันตราย ไม่รับฟังอะไรทั้งนั้น “เราว่าอยู่แล้วเชียว นางจะต้องหนีไปแน่ๆ เราควรจะตีขานางให้หัก”
มนุษย์ล้วนเห็นแก่ตัว เหมือนเช่นมารดาเขา การดำรงอยู่ของนางเป็นอุปสรรคต่อการถือกำเนิดของเขา เขาจึงเลือกที่จะสังหารนางโดยไม่ลังเล เช่นนี้มีความเป็นไปได้มากทีเดียวที่หลีซูซูจะทอดทิ้งท่านย่าชราไร้ประโยชน์ของนางผู้นั้น!
เนี่ยนมู่หนิงมองถานไถจิ้นกระชากแขนของสตรีในชุดม่วงผู้หนึ่ง ก่อนจะดึงหน้ากากของนางออก เมื่อพบว่ามิใช่คนที่ต้องการตามหา เขาก็สะบัดคนออกทันที
เขาเหมือนคนที่ถูกทรยศ เสียใจและโกรธแค้นถึงขีดสุด โมโหจนตาแดงก่ำ
“นางผิดคำสัญญา รอไว้เจอตัวนางแล้ว เราจะจับนางกับยายเฒ่าผู้นั้นโยนลงบ่องูด้วยกัน!”
เนี่ยนมู่หนิงไม่กล้าเอ่ยอะไร อาจเพราะคิดไปเอง นางจับกระแสความน้อยใจและทำอะไรไม่ถูกได้จากความกรุ่นโกรธครั้งนี้ของฝ่าบาท
คุณหนูสามสกุลเยี่ยฝีมือร้ายกาจ หากนางหนีไปจริง ใต้หล้านี้น้อยคนที่จะตามหานางพบ
พวกเขาเดินหาอยู่นาน ท่าทางดุดันขององครักษ์เยี่ยอิ่งทำให้ผู้คนพากันถอยหลบ
ถานไถจิ้นพลันชะงักเท้า
เวลานั้นเขายืนอยู่บนสะพานไร้โทมนัส ใต้สะพานมีคู่รักหลายคู่ ดวงตาที่เต็มไปด้วยแววอึมครึมจ้องมองหนุ่มสาวคู่แล้วคู่เล่า มุมปากพลันเผยรอยยิ้มเย็นชา
เนี่ยนมู่หนิงเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ
ฝ่าบาทพาดลูกธนูไปบนสายแล้ว เขาเล็งไปยังกลุ่มคน ลูกธนูยิงถูกหัวเข่าของชายผู้หนึ่ง หญิงสาวที่มากับชายหนุ่มหวีดร้องเสียงแหลม
บรรยากาศรื่นเริงเปลี่ยนเป็นโกลาหลทันตา เนี่ยนมู่หนิงเอ่ยอย่างลนลาน “ฝ่าบาท พวกเขาเป็นราษฎรของท่านนะ”
ต้นฤดูวสันต์อากาศหนาวเย็น ท่ามกลางสายลมราตรี ชายหนุ่มหัวเราะเสียงทุ้ม “อ้อ ใครสนใจเล่า”
เขาพาดลูกธนูอีกครั้ง เริ่มเข่นฆ่าคน
เนี่ยนมู่หนิงใบหน้าซีดเผือด นางไม่เหมือนน้องชายเนี่ยนไป๋อวี่ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นความโหดเหี้ยมอำมหิตของถานไถจิ้น ราษฎรที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าไม่ต่างจากสุกรและแพะในสายตาเขา ดวงตาเขาเจือไอโลหิต ถึงขั้นมีรอยยิ้มประปรายด้วยซ้ำ
หัวสมองของนางว่างเปล่าขาวโพลน สุดท้ายหยิบหน้ากากผีสีขาวดำที่มีเขี้ยวออกมาสวมให้ถานไถจิ้น
มิอาจทำให้ราษฎร…หมดใจ
มือเท้าของนางเย็นเฉียบ
ขณะที่สถานการณ์อยู่เหนือการควบคุมโดยสิ้นเชิง คนผู้หนึ่งที่สวมชุดกระโปรงสีฟ้าน้ำทะเลเตะคันธนูในมือถานไถจิ้นออก
ผู้มามีเรือนผมสีดำดุจน้ำตก รับคันธนูที่ร่วงหล่น และเล็งไปที่ถานไถจิ้นอย่างเย็นชา
เนี่ยนมู่หนิงรีบปัดมือของผู้มาออกและคุ้มกันฝ่าบาท
ถานไถจิ้นโยนหน้ากากของตนเองทิ้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้ากลับมาแล้วหรือ”
เขายื่นมือออกไป ถอดหน้ากากเงินลายผีเสื้อของหญิงสาวตรงหน้า
บุปผาในโลกมนุษย์ผลิบานไปทั่ว ภายใต้หน้ากาก ดวงเนตรของหญิงสาวที่เย็นชาเล็กน้อยดูคล้ายใบมีดในราตรี จ้องมองเขาด้วยความขุ่นเคืองหลายส่วน
ถานไถจิ้นมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ
ในใจของเนี่ยนมู่หนิงอดคิดถึงการลงทัณฑ์ในบ่องูที่ฝ่าบาทพูดก่อนหน้านี้มิได้
ความโกลาหลในฝูงชนยังไม่ยุติ เสียงหวีดร้องแหลมดังขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน
ชายหนุ่มในชุดสีนิลกอดหญิงสาวตรงหน้ากะทันหัน เขากอดแน่นมาก เหมือนจะบดกระดูกนางให้แหลกลาญแล้วนำเถ้าธุลีไปโปรยทิ้ง
ทว่าหากต้องการให้นางตายจริง ย่อมไม่มีทางมอบอ้อมกอดให้แน่นอน
นัยน์ตาดำเข้มของเขาจ้องโคมบุปผาดวงแล้วดวงเล่าที่ลอยอยู่ในคูเมืองพลางเอ่ยคำพูดข้างหูหลีซูซูคำหนึ่ง
หลีซูซูตะลึงงัน “อะไรนะ”
เสียงหวีดร้องกลบเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่ม นางรู้สึกเพียงเรี่ยวแรงที่เอวคล้ายจะขยี้นางให้แหลกเหลว
เขาเม้มปาก ไม่พูดซ้ำอีกครั้ง มองดูสายน้ำที่ไหลอยู่เบื้องล่างด้วยสีหน้าบึ้งตึงเย็นชา
โกวอวี้กระซิบเสียงค่อย “เขาบอกว่าให้เจ้าเป็นฮองเฮา ถ้ายังหนีอีก เราจะฆ่าเจ้าจริงๆ”
หลีซูซูนิ่งงันครู่หนึ่ง ก่อนจะผลิยิ้มออกมา
ตะปูสีทองสามดอกหมุนวนอยู่ในหยาดน้ำตา โกวอวี้ดีอกดีใจ “ตะปูดับวิญญาณปรากฏออกมาสามดอกแล้ว”
ยังเหลืออีกหกดอก
ถานไถจิ้นไม่สบอารมณ์อยู่ตลอดเวลา เขาหลุบตาเล่นหน้ากากเงินลายผีเสื้อของหลีซูซู สีหน้าน่ากลัวราวกับนางไปฆ่าคนในบ้านเขาทั้งตระกูลกระนั้น
หายากที่หลีซูซูจะไม่รู้สึกต่อต้านเขาถึงเพียงนั้น
นางจงใจพูดขึ้นว่า “ชุดหงส์ข้าจะเอาสีน้ำเงิน ปักลายเฟิ่งหวง* สีแดง”
เขาตีหน้าเย็นชา ไม่เอ่ยอะไร
หลีซูซูไม่ได้อยากเป็นฮองเฮา แต่เห็นเขาทำหน้าซังกะตาย เหมือนผีที่มาทวงหนี้ ราวกับท้องฟ้าจะถล่มลงมาเช่นนี้แล้ว นางรู้สึกเบิกบานใจยิ่ง นางพยายามควบคุมสีหน้าตนเองให้ดี เลียนแบบความเย็นชาอึมครึมบนใบหน้าเขา
“เจ้าอยากหัวเราะก็หัวเราะออกมาเถอะ” เขาเอ่ยเสียงขรึม
คำพูดนี้ก่อนหน้านี้เขาก็เคยพูด ตอนนั้นเขาตาบอดไปข้างหนึ่ง และเป็นหลีซูซูที่ไปพบตัวเขา
ทว่าวันนี้หลีซูซูไม่เกรงใจแล้ว นางซุกหน้ากับวงแขน ปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา
เขาเม้มปาก กำหน้ากากเงินลายผีเสื้อแน่น
ผ่านไปครู่ใหญ่ เห็นนางยังหัวเราะไม่เลิก ถานไถจิ้นก็หมดความอดทน ยกมือขึ้นบีบคางนาง “พอที รู้จักพอประมาณบ้าง เราให้เจ้าเป็นฮองเฮา มิได้หมายความว่าเราจะทนเจ้าได้!”
หญิงสาวกะพริบดวงตาชุ่มชื้นคู่นั้นพลางยิ้มพูด “อ้อ”
เขาจ้องนางอยู่นาน ก่อนจะกัดฟันเอ่ยว่า “หากเจ้าหลอกเราอีก…”
ดวงตาของถานไถจิ้นเจือแววเย็นเยียบ เหมือนเปลวเพลิงสีดำสองกอง หลีซูซูเห็นแล้วก็รู้ว่าครั้งนี้ถานไถจิ้นมิได้ล้อเล่นกับนาง ถลกหนังเลาะกระดูก เขาล้วนสามารถทำได้ทั้งสิ้น
หากนางทรยศเขาจริงๆ หรือหนีไปอีกครั้ง เขาจะต้องเกลียดนางไปจนตายแน่
หลีซูซูมองนัยน์ตาดำสนิทของชายหนุ่ม ความเย็นเยือกขุมหนึ่งผุดขึ้นที่สันหลัง
เพราะนางรับรู้ว่าหยาดน้ำตาดับวิญญาณที่กลายเป็นตะปูศักดิ์สิทธิ์ยามนี้มีสามดอกแล้ว จึงจิตใจสงบลงอย่างมาก
ร้อยปีให้หลัง บุคคลตรงหน้าก็เป็นเพียงทรายเหลืองกองหนึ่งเท่านั้น
* เทศกาลบุปผา อยู่ในช่วงเดือนสองตามปฏิทินจันทรคติจีน เปรียบเหมือนเทศกาลวันเกิดของหมู่มวลบุปผาของจีน ชาวบ้านมักจับกลุ่มกันไปชมทิวทัศน์หรือดอกไม้บริเวณชานเมือง มีการบูชาเทพบุปผาและตัดกระดาษหลากสีไปแขวนห้อยบนต้นไม้
* เฟิ่งหวงเป็นราชาแห่งนกในตำนานเทพนิยายจีน มักถูกบรรยายว่ามีขนห้าสี รูปร่างคล้ายไก่ฟ้าผสมนกยูง เฟิ่งมักเป็นคำเรียกสัตว์เพศผู้ ส่วนหวงเป็นคำเรียกสัตว์เพศเมีย
บทที่ 69
ผ่านพ้นเทศกาลบุปผาไป ข่าวเรื่องที่ฝ่าบาทจะเตรียมงานเถลิงราชย์ก็แพร่ไปทั่วแคว้นโจว
แคว้นโจวมีคนส่วนหนึ่งไม่ยอมรับเขา
ครั้งนั้นตอนถานไถหมิงหล่างขึ้นครองราชย์ เขาได้รับราชโองการสละบัลลังก์อย่างถูกต้อง ทว่าถานไถจิ้นฆ่าพี่ชายชิงบัลลังก์ไม่พอ ยังไม่ได้รับการยกย่องว่าเป็นฮ่องเต้ที่มีคุณธรรมในหมู่ราษฎรด้วยซ้ำ
เขาชอบทำสงคราม รักการเข่นฆ่าสังหาร ก่อนหน้านี้เพื่อตามหาองค์ชายแปด ทหารค้นหาไปทีละบ้าน ทำเอาราษฎรก่นด่าประณามไปทั่ว
แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่สนับสนุนเขา
ถึงอย่างไรก็เป็นเพราะถานไถจิ้น แคว้นซย่าจึงกลายเป็นแคว้นภายใต้อาณัติของแคว้นโจว ต้าโจวได้ลบล้างความอัปยศก่อนหน้านี้ หลุดพ้นจากการถูกกดขี่
ที่ผ่านมาถานไถจิ้นยังไม่จัดพิธีเถลิงราชย์สักที คิดไม่ถึงว่าเขาจะตัดสินใจจัดงานนี้อย่างปุบปับ
หลังจากขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ รัชสมัยต้องเปลี่ยน นโยบายหลายอย่างก็ต้องเปลี่ยน สิ่งนี้หมายความว่าในอีกหลายปีข้างหน้า ถานไถจิ้นคงเลือกที่จะบริหารการเมืองภายในให้มั่นคง ไม่ก่อศึกสงครามไปทั่วอีก
ข้างนอกไม่รู้เรื่อง ในวังกลับมีข่าวลืออย่างหนึ่งแพร่ออกมา…
ในวันงานพิธี ฝ่าบาทจะแต่งตั้งฮองเฮาด้วยเช่นกัน
จนกระทั่งแพรต่วนมากมายเหลือคณาถูกส่งมายังตำหนักเฉิงเฉียน ทุกคนจึงตระหนักว่าข่าวลือมิใช่เพียงข่าวลือ…แต่เป็นเรื่องจริง
ทรราชน้อยจะแต่งตั้งฮองเฮาจริงๆ
ฮองเฮาคนใหม่ของพวกเขา หญิงสาวที่สวมอาภรณ์สีม่วงในตอนนี้ กำลังปักผ้าคลุมศีรษะอยู่ในวังเฝ่ยชุ่ย
หลังจากกลับเข้ามาในวัง หลีซูซูก็ย้ายออกจากตำหนักเฉิงเฉียน ถานไถจิ้นยังคงให้เนี่ยนมู่หนิงจับตาดูนางไว้ แต่กลับไม่ได้บังคับให้นางอยู่ในตำหนักเฉิงเฉียนอีก
เหล่าช่างปักชี้แนะด้วยท่าทีนอบน้อมและอดทน “แม่นาง รูปแบบการปักมิใช่เช่นนี้ ท่านปักเข็มลงไปเช่นนี้ อีกด้านของผ้าคลุมศีรษะย่อมไม่น่ามอง”
หลีซูซูไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เลยจริงๆ นางพูด “ข้าทำไม่เป็น พวกเจ้าช่วยปักให้ข้าไม่ได้หรือ”
เหล่าช่างปักปิดปากหัวร่อ เห็นหลีซูซูทำหน้างุนงง จึงมีคนพูดว่า “แม่นางล้อเล่นแล้ว ธรรมเนียมต้าโจว สตรีที่ออกเรือนต้องปักผ้าคลุมศีรษะด้วยตนเอง ผ้าคลุมศีรษะที่ใส่ความตั้งใจของเจ้าสาวลงไปด้วย จึงจะคุ้มครองให้สองคนครองรักกันตราบชั่วนิรันดร์”
อีกคนเสริมว่า “อีกอย่าง ฝ่าบาททรงกำชับไว้แล้วว่าแม่นางต้องปักให้เสร็จด้วยตนเอง”
ชุดหงส์ไม่ต้องให้หลีซูซูลงมือเอง อีกสองเดือนจึงจะถึงวันงาน ในสถานการณ์ปกติการปักผ้าคลุมศีรษะย่อมทันแน่นอน
หลีซูซูละเหี่ยใจยิ่งนัก นางหยิบเข็มเงินขึ้นมา เรียนรู้วิธีปักผ้ากับช่างปักต่อ
โกวอวี้ปลอบโยน “อดทนหน่อย”
เขาแค่อยากให้ท่านปักผ้าคลุมศีรษะเท่านั้น ท่านกลับต้องการชีวิตเขา
ดังนั้นตอนกลางวันหลีซูซูจึงเรียนการเย็บปักจากเหล่าช่างปัก ครั้นถึงยามโพล้เพล้ก็ออกไปเดินเล่น
คงเพราะถานไถจิ้นอารมณ์ดีทีเดียว ปีศาจเสือจึงถูกปล่อยตัวออกมา แต่มันถูกสั่งห้ามมิให้กลายร่างในวัง
หลีซูซูได้พบเจอมันเป็นบางครั้ง มันนอนรับแสงแดดอยู่ใต้ต้นไม้ในร่างเสือ ทว่านางยังไม่ทันเดินเข้าไป มันก็เผ่นแน่บไปเสียแล้ว
เดิมทีหลีซูซูคิดว่าข่าวเรื่องการแต่งตั้งฮองเฮาแพร่ออกไปแล้ว พี่ใหญ่ผู้ลึกล้ำยากคาดเดาของนางจะมีการเคลื่อนไหว
กระนั้นพวกนางเพียงพบกันโดยบังเอิญในวังหนหนึ่ง เยี่ยปิงฉางยิ้มน้อยๆ ให้หลีซูซู ท่าทางเรียบเฉยและอ่อนโยนมาก หว่างคิ้วของเยี่ยปิงฉางมีแววลำบากใจจางๆ แต่กลับมิได้แสดงออกมามากนัก ดูไปแล้วกลับให้ความรู้สึกเศร้าสลด ชวนให้คนเห็นใจเสียมากกว่า
พอรับรู้ว่าหลีซูซูขมวดคิ้วมองเงาหลังของนาง โกวอวี้รีบพูดว่า “เจ้านายน้อย ท่านจะเห็นใจนางไม่ได้นะ โกวอวี้มักรู้สึกว่าเยี่ยปิงฉางผู้นี้น่ากลัวมากอยู่เสมอ”
“ข้ารู้” หลีซูซูกล่าว “ข้ามิได้เห็นใจนาง”
นางเพียงแต่รู้สึกว่าเยี่ยปิงฉางถึงขั้นควบคุมห่วงเงินให้ทำร้ายตนเอง ย่อมไม่มีทางนิ่งเฉยกับเรื่องนี้แน่นอน จวบจนบัดนี้เยี่ยปิงฉางยังไม่ลงมือทำอะไร ช่างทำให้คนคาดเดาไม่ถูกจริงๆ
หลีซูซูกลับมาที่วังเฝ่ยชุ่ย ก็พบว่าถานไถจิ้นอยู่ที่นี่
หลายวันมานี้เขามิได้อยู่ว่างไปกว่าตน ทั้งปรับแก้อัตราภาษีอากร เตรียมงานเถลิงราชย์ อีกทางหนึ่งยังคงตามหาตัวองค์ชายแปดที่ผลุบๆ โผล่ๆ ด้วย
บางครั้งดึกแล้ว แต่แสงไฟในตำหนักเฉิงเฉียนของเขายังคงสว่าง
ยามนี้เขาถืออะไรบางอย่างในมือ หลีซูซูเดินเข้าไปดู พบว่าเป็นผ้าคลุมศีรษะที่นางเป็นคนปัก
เนื่องจากหลีซูซูเป็นมือใหม่ ลายเฟิ่งหวงที่ปักอยู่บนนั้นจนกระทั่งบัดนี้ยังคงเก็บด้ายไม่เรียบร้อย เส้นไหมสีทองบนผ้าคลุมศีรษะสีแดงสด มองแวบแรกช่างอนาถตาจนทนดูแทบไม่ไหว
ถานไถจิ้นมองหลีซูซูอย่างไม่พอใจ
ต่อให้เขาไม่พูด หลีซูซูก็อ่านความรู้สึกของเขาออก… เจ้ามีปัญญาปักได้แค่นี้น่ะหรือ
หลีซูซูมองเขาอย่างไร้เดียงสาพลางเอ่ยว่า “งานแต่ละอย่างล้วนมีทักษะเฉพาะ ข้าทำไม่เป็นจริงๆ นี่นา แต่พวกช่างปักกลับบอกว่าคนที่แต่งงานต้องเป็นคนปักผ้าคลุมศีรษะ จึงจะได้รับคำอวยพร หากเจ้าทนดูไม่ได้จริงๆ ก็ให้ช่างปักเป็นคนปักแล้วกัน ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้หรอก”
ถานไถจิ้นพูดถากถาง “หน้าอย่างเจ้า ยังคิดจะเป็นฮองเฮา”
เขาหันกลับไป พบว่าหลีซูซูไม่อยู่ที่เดิมแล้ว
หญิงสาวใช้แขนสองข้างหนุนศีรษะ เอนกายลงบนเตียงที่ปักลายดอกตู้เจวียน* สีเงินอย่างสบายอารมณ์ ใกล้เข้าฤดูคิมหันต์ คิมหันต์ของต้าโจวร้อนอบอ้าวอยู่แล้ว นางยกมือขึ้น ยันต์เหลืองที่คีบอยู่ระหว่างนิ้วมือลุกไหม้ เกล็ดหิมะงดงามโปรยปรายลงมาข้างกายนาง
นิ้วมือเรียวยาวของนางรับเกล็ดหิมะไว้ ชายกระโปรงสีม่วงแผ่ออกไปบนเตียง
เกล็ดหิมะตกลงบนเส้นผมนาง นางเอียงศีรษะ เห็นชายหนุ่มกำลังจ้องหน้านางเขม็ง จึงเอ่ยถามว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าว่าอะไรนะ”
หิมะที่ตกลงมากลายเป็นผลึกน้ำแข็งสีฟ้าบนหน้าผากของหญิงสาว นางเสกหิมะออกมาในช่วงต้นฤดูร้อน เนตรขนงเจือแววไม่จริงจัง นางกะพริบตาสองที ความรู้สึกเย็นชาพลันสลายไป เผยความงามบริสุทธิ์ของหญิงสาวออกมา
ถานไถจิ้นตีหน้าเย็นชา สะบัดแขนเสื้อจากไปทันใด
โกวอวี้รีบรายงาน “เขาหูแดงด้วย”
หลีซูซูลุกขึ้นนั่ง พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ “ผ้าคลุมศีรษะที่ข้ายังปักไม่เสร็จเล่า”
โกวอวี้บอก “เขาเอาไปแล้ว”
หลีซูซูขบคิดเล็กน้อย ดวงตาเจือรอยยิ้มหลายส่วน
โคมชาววังในตำหนักเฉิงเฉียนดับช้ากว่าปกติเล็กน้อย เหล่าช่างปักไม่มากวนใจหลีซูซูอีก
ก่อนวันงานครึ่งเดือน หลีซูซูได้รับผ้าคลุมศีรษะที่ปักเสร็จเรียบร้อยแล้วผืนหนึ่ง
ผ้าคลุมศีรษะวางอยู่บนหัวเตียงของนาง ปักด้วยด้ายทองหรูหรา ทุกจุดล้วนงามประณีต หลีซูซูหยิบขึ้นมา นิ้วมือสัมผัสลูบไล้ เหมือนเห็นภาพถานไถจิ้นกำลังปักเฟิ่งหวงด้วยสีหน้าเย็นชา
เทียบกับฝีมือของสตรี เฟิ่งหวงตัวนี้ให้ความรู้สึกแข็งกร้าวและองอาจกว่า หลีซูซูมองเฟิ่งหวงที่งามวิจิตรอย่างประหลาดใจ
แม้แต่โกวอวี้เอง น้ำเสียงยังเจือแววสับสนอยู่บ้าง “เด็กที่เติบโตขึ้นในวังเย็น ทักษะในการดำรงชีวิตล้วนต้องเป็นทุกอย่าง”
มารร้ายตนหนึ่งกลับเชื่อธรรมเนียมเช่นนี้ด้วย หวังอยากให้ทวยเทพอวยพรให้เขา
น่าขันทีเดียว แต่ใคร่ครวญให้ดีก็ชวนให้คนรู้สึกสับสนว้าวุ่นใจ
หลีซูซูเก็บผ้าคลุมศีรษะให้เรียบร้อย มุมปากเม้มเข้าด้วยกันเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางหลอกปล้นหัวใจจากคนอื่น ทั้งยังดูเหมือนว่าจะ…สำเร็จ
วันต่อมาหลังจากหลีซูซูได้รับผ้าคลุมศีรษะ เรื่องที่ถานไถจิ้นจะแต่งตั้งหลีซูซูเป็นฮองเฮา ไม่รู้เหตุใดจึงแพร่เข้าไปในราชสำนัก
หากคนที่ถานไถจิ้นจะแต่งตั้งเป็นฮองเฮาเป็นคนอื่น ขุนนางใหญ่ทั้งหลายไม่กล้ายุ่งเรื่องภายในครอบครัวของเขาแน่ ทว่าคนที่เขาเลือกกลับเป็นหลีซูซู
แม่ทัพใหญ่เยี่ยเซี่ยวของแคว้นศัตรูกดข่มแคว้นโจวมาเกือบยี่สิบปีจนหายใจไม่ออก บัดนี้ฝ่าบาทกลับจะแต่งบุตรีของโจรแซ่เยี่ยเป็นฮองเฮา!
ขุนนางฝ่ายบุ๋นต่างคิดไปไกล หากวันใดวันหนึ่งข้างหน้าหญิงสกุลเยี่ยผู้นั้นเกิดความมักใหญ่ใฝ่สูง ให้กำเนิดพระโอรสสายตรง ต้าโจวย่อมเหมือนตกอยู่ในกำมือของสกุลเยี่ยทางอ้อม
เหล่าขุนนางใหญ่ตัดสินใจกราบทูลทัดทานทันที
ไม่พูดถึงเรื่องอื่น ข้างนอกองค์ชายแปดยังจ้องจะลงมืออยู่! ฝ่าบาทแต่งบุตรีของโจรแซ่เยี่ยเป็นฮองเฮา มิใช่สูญเสียการสนับสนุนจากราษฎรไปทั้งหมดหรือ
มิเพียงพวกเขา แม้กระทั่งหยางจี้ที่เชื่อฟังถานไถจิ้นเสมอมายังรู้สึกว่าไม่ดีนัก
หยางจี้ว่า “หากฝ่าบาทโปรดปรานคุณหนูสามสกุลเยี่ย สามารถแต่งตั้งนางเป็นเหม่ยเหรินได้ หากพอพระทัยจริงๆ แต่งตั้งเป็นฟูเหรินก็ได้เช่นกัน ทว่าตำแหน่งฮองเฮาหากมอบให้บุตรีของเยี่ยเซี่ยว ในสายตาของปวงชน การกระทำของฝ่าบาทย่อมไม่แตกต่างอันใดกับการขายแว่นแคว้น”
ถานไถจิ้นฟังแล้วโต้แย้งโดยสัญชาตญาณทันที “ใครบอกเจ้าว่าเราชอบนาง!”
หยางจี้อึ้งงัน ประเด็นสำคัญใช่เรื่องนี้ที่ใดเล่า ท่านหลงประเด็นแล้วฝ่าบาท
สองคนจ้องตากันครู่หนึ่ง ถานไถจิ้นพูดเสียงเบาว่า “นางต้องการเพียงตำแหน่งฮองเฮา”
อ้อ ต้องการสิ่งใดท่านก็ให้สิ่งนั้น ยังจะบอกว่าไม่ชอบนาง?
หยางจี้ทัดทานอย่างไร้เรี่ยวแรง “ใต้เท้าเจี่ยงกับขุนนางเก่าแก่อีกหลายคนยังคุกเข่าอยู่ข้างนอก ฝ่าบาท ขุนนางเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่สนับสนุนท่านขึ้นครองราชย์ คงมิอาจปล่อยให้พวกเขาถวายฎีกาตาย* จริงๆ กระมัง”
แววตาของถานไถจิ้นมีแต่ความเหยียดหยัน
หยางจี้ถอนหายใจ รู้สึกจนปัญญายิ่ง ในความคิดเขาการแต่งตั้งหลีซูซูเป็นฮองเฮาเป็นเรื่องที่มีแต่โทษไม่มีประโยชน์สักนิด ผู้คนทั่วหล้าไม่เห็นด้วย หากถานไถจิ้นจะทำเช่นนี้ให้ได้ ย่อมมีแต่จะทำให้เหล่าขุนนางผิดหวัง
เรื่องนี้หาข้อสรุปไม่ได้เป็นเวลาหลายวัน แม้กระทั่งเยี่ยปิงฉางที่อยู่ในตำหนักในยังรู้เรื่อง
มีใต้เท้าแซ่ไช่ผู้หนึ่ง เพื่อเรียกร้องให้ถานไถจิ้นเปลี่ยนใจ ถึงขั้นโขกศีรษะกับราชรถของเขา
คนในวังแอบซุบซิบกัน ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มเดาว่าคราวนี้ฝ่าบาทคงจะไม่แต่งตั้งฮองเฮาแล้ว
ตอนนี้เยี่ยปิงฉางเป็นเพียงผู้เดียวในตำหนักในที่มียศศักดิ์ นางอุ่นน้ำแกงด้วยตนเองและยกไปให้ถานไถจิ้น
นางเดินผ่านวังเฉาฮวาที่มวลบุปผาบานสะพรั่ง ยังไปไม่ถึงตำหนักหน้าของถานไถจิ้น ก็พบกับเว่ยสี่ที่เดินมาด้วยฝีเท้าเร่งร้อนเสียก่อน
ขันทีเฒ่าใบหน้าซีดขาว เห็นเยี่ยปิงฉางแล้ว ใช้เวลาครู่ใหญ่จึงปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้ ก่อนจะคารวะเยี่ยปิงฉาง
เยี่ยปิงฉางมองปราดเดียวก็เห็นคราบโลหิตบนตัวของเว่ยสี่ที่ยังไม่แห้งไป
“คารวะฟูเหริน บ่าวเฒ่ามีเรื่องเร่งด่วน ต้องขอตัวก่อน” เว่ยสี่วิ่งไปหลายก้าว ก่อนจะหันกลับมาเตือนด้วยความหวังดี “วันนี้ที่ตำหนักของฝ่าบาท…ไม่เหมาะที่ฟูเหรินจะไปเยือน ฟูเหรินกลับวังไปพักผ่อนก่อนดีกว่า”
เยี่ยปิงฉางตอบ “ขอบคุณเว่ยกงกงที่เตือนข้า”
เว่ยสี่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รีบมุ่งหน้าต่อไป
เยี่ยปิงฉางสังเกตเห็นว่าสถานที่ที่เว่ยสี่ไปก็คือวังเฝ่ยชุ่ย
ฝีเท้านางชะงัก มิได้ฟังคำเตือนของเว่ยสี่ ยังคงก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ
ด้านหน้าตำหนักอันยิ่งใหญ่โอ่โถง เลือดสดๆ ไหลคดเคี้ยวออกมา หัวคนกลิ้งหลุนๆ มาหยุดข้างชายกระโปรงของเยี่ยปิงฉาง
เสี่ยวฮุ่ยที่อยู่ข้างหลังหวีดร้องเสียงหลง
เยี่ยปิงฉางหน้าซีดเซียวเล็กน้อย
องครักษ์เยี่ยอิ่งข้างหลังปิดปากเสี่ยวฮุ่ยเอาไว้พลางเอ่ยเสียงเย็นว่า “ฟูเหริน ล่วงเกินแล้ว ตอนนี้ฝ่าบาทติดธุระอยู่ ไม่สะดวกจะพบฟูเหริน ขอเชิญฟูเหรินกลับไปก่อนเถอะ”
เยี่ยปิงฉางรีบพยักหน้าทันใด
องครักษ์เยี่ยอิ่งจึงยอมปล่อยมือจากเสี่ยวฮุ่ย
เสี่ยวฮุ่ยแข้งขาสั่นไปหมด นางยืนชิดติดกับเยี่ยปิงฉาง
เยี่ยปิงฉางไม่กล้ามองอีก นางรีบพาเสี่ยวฮุ่ยหันหลังจากไปทันที
ตอนที่หลีซูซูถูกเว่ยสี่ตามตัวมา องครักษ์เยี่ยอิ่งกำลังทำความสะอาดคราบเลือดบนพื้น
อาทิตย์อัสดงแดงดุจโลหิต ฮ่องเต้ในอาภรณ์สีนิลประทับอยู่บนยกพื้นสูงที่มีขั้นบันไดทอดลงมา มือถือกระบี่เล่มหนึ่ง มองดวงตะวันสีแดงเพลิงตรงขอบฟ้าอย่างเหม่อลอย รอบกายมีไอเย็นเยียบแผ่อวล นิ้วมือกำด้ามกระบี่แน่น
นางกำนัลและขันทีรอบด้านถูกไล่ออกไป
รอบบริเวณทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว แต่กลิ่นคาวโลหิตเข้มข้นกลับมิอาจสลายไปได้
หลีซูซูเหลือบมองกระบี่ในมือถานไถจิ้น เขาเองก็เงยหน้า มองเห็นนางเช่นกัน
สองคนสบตากันครู่หนึ่ง หลีซูซูย่อตัวลงตรงหน้าเขา พูดเสียงค่อยว่า “เจ้าฆ่าคน”
เขามองนางครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นลูบแก้มนาง
“เราทำไปก็เพื่อเจ้า” เขาคลายมือปล่อยกระบี่ ความเย็นชาหม่นหมองในดวงตาสลายไป ไม่รู้คิดถึงสิ่งใด จึงหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “เจ้าอยากเป็นฮองเฮา ไช่เหล่า* บอกว่าเว้นแต่เขาตาย เราจึงฆ่าเขาเสีย”
หลีซูซูพลันพูดอะไรไม่ออก นางรู้สึกเหมือนมีก้างติดคอ ทางหนึ่งรู้สึกคลื่นเหียน ครั้นมองสบดวงตาเรียบนิ่งของเขาแล้ว นางกลับสั่นสะท้านทั้งที่ไม่หนาว
ถานไถจิ้นเอานิ้วแตะริมฝีปากเป็นการบอกให้นางเงียบพร้อมเอ่ยอย่างสุขุม “วางใจ จะไม่มีใครรู้ว่าเราฆ่าคน ไช่เหล่าถึงวัยเกษียณและกลับบ้านเกิดแล้ว เขาตายภายใต้ดาบของโจรภูเขา”
หลีซูซูมองเขาด้วยสีหน้าย่ำแย่ “เหตุใดเจ้าจึงให้เว่ยสี่กงกงไปตามข้ามา”
ถานไถจิ้นยิ้มน้อยๆ “พวกเขาล้วนไม่ยอมให้เราแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮา เราต้องการให้เจ้าเห็นว่าเราทำเพื่อเจ้าอย่างไรบ้าง”
หางตาของชายหนุ่มเจือคาวโลหิต เมื่อรอยยิ้มสลายไป สองมือของเขาก็โอบไหล่หลีซูซู ดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด
โกวอวี้พูดอย่างขุ่นเคือง “เขาเป็นอะไรของเขา คนทั่วไปชอบใครผู้หนึ่ง มิใช่ต้องพยายามทำดีกับนาง คิดเผื่อนางทุกเรื่องหรือ”
ถานไถจิ้นทำเช่นนี้ เป็นการเพิ่มแรงกดดันในใจให้เจ้านายน้อยของมันชัดๆ เขาฆ่าคนแล้ว ยังต้องการให้นางรู้ว่าเขาฆ่าคนก็เพื่อนาง ช่างวิปริตอะไรเช่นนี้!
ในอ้อมกอดเขามีแต่กลิ่นคาวโลหิตเยียบเย็นคล้ายสนิมเหล็ก หลีซูซูเบือนหน้าหนี รู้สึกอยากจะวางหน้าเขาลงบนพื้นและเหยียบให้จมดิน
เขาพูดขึ้น “เยี่ยซีอู้”
“อะไร” หลีซูซูเอ่ยปากอย่างหงุดหงิด
“แต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮาไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย ยังสร้างปัญหาให้เราตั้งมากมาย”
“ข้าบังคับเจ้าหรือไร”
“ดังนั้น ถ้านับจากนี้ไปเจ้าไม่ดีต่อเรา” เขาพูดเองเออเอง กระซิบเบาๆ ข้างหูนาง น้ำเสียงทั้งทุ้มต่ำและเยียบเย็น ประหนึ่งงูพิษที่พยายามจะรัดตัวนางไว้ “เราไม่มีทางละเว้นเจ้า”
นางเงยหน้าขึ้น เห็นความรู้สึกเคว้งคว้างที่ถูกซุกซ่อนไว้เป็นอย่างดีภายใต้สีหน้าเย็นชาของชายหนุ่ม
บางทีตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการเดินก้าวนี้ถูกต้องหรือไม่
ละทิ้งสงคราม ละทิ้งความตั้งใจในการแสวงหาอำนาจที่มีมาโดยตลอด เขามองเห็นว่าเบื้องหน้าเป็นหลุมลึก รู้ว่าหากเดินเข้าไปอาจจะหกล้มจนหัวร้างข้างแตกได้ สูญสิ้นทุกสิ่งได้ แต่เขายังคงเดินเข้าไป
หลีซูซูปล่อยมือ ก่อนจะตอบรับว่า “อืม” แผ่วเบา
แผงอกที่อยู่ข้างหูส่งเสียงเต้นตุบๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างสงบ หากมิใช่เพราะรู้ว่าพญามารไม่มีใยรักมาตั้งแต่เกิด นางคงรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้ช่างเหลวไหลจนดูเหมือนเรื่องตลก
* ดอกตู้เจวียน หรือดอกนกแขกเต้า เป็นชื่อไม้ดอกในสกุลกุหลาบพันปี (Rhododendron) วงศ์กุหลาบป่า ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสิบดอกไม้งามของจีนและได้ชื่อว่าเป็นซีซือในหมู่ดอกไม้
* ฎีกาตาย หมายถึงการที่ขุนนางล่วงเกินฮ่องเต้เพื่อให้ความคิดเห็นของตนเองเป็นที่ยอมรับ เช่น อาจใช้ความตายของตนเองเข้าแลกเพื่อถวายฎีกาหรือหยุดยั้งนโยบายบางอย่าง
* ‘เหล่า’ ถูกนำมาต่อท้ายแซ่ของคนจีนสมัยโบราณเพื่อใช้เป็นคำเรียกขานผู้สูงวัยอย่างสุภาพ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.