X
    Categories: จันทราอัสดงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จันทราอัสดง เล่ม 3 บทที่ 70-71

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 70

ดังคาด การตายของใต้เท้าไช่ถูกปกปิดไว้ ประกาศกับภายนอกว่าเขาเจอโจรภูเขาระหว่างเดินทางกลับบ้านเกิดไปใช้ชีวิตในบั้นปลาย ทว่าขุนนางทั้งหลายล้วนฉลาดเป็นกรด ใครๆ ก็เดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

หากฮ่องเต้เปลี่ยนเป็นคนอื่น อาจก่อให้เกิดความขุ่นขึ้งในหมู่ขุนนาง แต่ฮ่องเต้คือถานไถจิ้น เขาบอกจะฆ่าคนก็ฆ่าคน ไม่ปิดบังแม้แต่น้อย ไม่ต้องการชื่อเสียง ทั้งไม่ต้องการหน้าตา ไม่ว่าใครก็มิอาจรับมือกับคนประเภทนี้ได้

เอาเป็นว่า ไม่รู้ว่าใครยอมถอยเป็นคนแรก หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเป็นฝ่ายไปหาเรื่องถานไถจิ้นอีก

ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริก เพียงพริบตาพลันถึงเดือนหก

ก่อนถึงงานพิธีเถลิงราชย์หนึ่งวัน หลีซูซูลองสวมชุดหงส์ ชุดหงส์สีแดงวิจิตรมีรายละเอียดซ้อนกันหลายชั้น ด้ายทองทอประกายระยับใต้แสงแดด ช่างปักสามสิบหกคนยุ่งง่วนอยู่สองเดือนเต็ม จึงจะปักชุดนี้ออกมาสำเร็จ

แม้แต่เนี่ยนมู่หนิงยังจำต้องยอมรับว่าอาภรณ์ชุดนี้งดงามเป็นพิเศษ

หลีซูซูเพิ่งจะถอดชุดออก ก็มีคนมารายงานว่าเยี่ยปิงฉางมา

“อากาศไม่เลว น้องหญิงสามจะออกไปเดินเล่นด้วยกันหรือไม่” เยี่ยปิงฉางชักชวน

นางขอบตาแดงเรื่อ ทุกคนต่างมองออกว่านางต้องร้องไห้มาแน่ๆ เหล่านางกำนัลมองหลีซูซู ครั้นหันไปมองเยี่ยปิงฉาง ดวงตาต่างฉายแววเห็นใจ

หลังจากแต่งตั้งฟูเหรินท่านนี้แล้ว ฝ่าบาทก็ไม่เคยค้างคืนกับนาง ฟูเหรินท่านนี้น่าสงสารทีเดียว

หลีซูซูหัวเราะในใจพลางกล่าว “เอาสิ”

สองคนจึงเดินวนรอบอุทยานหลวง เนี่ยนไป๋อวี่ตามติดพวกนางไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว

เยี่ยปิงฉางยิ้มขื่นเอ่ยว่า “น้องหญิงสามอาจจะคิดว่าข้ามาวันนี้เพื่อเอ่ยวาจายุแยง แต่อันที่จริงหลังจากเซวียนอ๋องจากไป ข้าก็เข้าใจแล้วว่าสุดท้ายวาสนาของข้าก็เบาบางยิ่งนัก มิอาจเทียบกับน้องหญิงสามได้”

หลีซูซูพูดตอบ “วาสนามากวาสนาน้อยล้วนขึ้นอยู่กับตนเองสั่งสมมา การฝากความหวังไว้กับผู้อื่นจะนับเป็นอะไร”

เยี่ยปิงฉางอึ้งงันไป ก่อนจะพยักหน้าตอบ “กล่าวเช่นนี้ก็มิผิด ล้วนไม่สำคัญอีกแล้ว พรุ่งนี้น้องหญิงสามก็จะได้เป็นฮองเฮาของต้าโจว ข้าอยากขอร้องน้องหญิงสามเรื่องหนึ่ง ช่วยขอพระเมตตาจากฝ่าบาทแทนข้าทีได้หรือไม่ ให้ข้าออกจากวัง ไม่ว่าจะหาเรือนข้างนอกให้ข้าอยู่ หรือส่งข้ากลับแคว้นซย่า สำหรับข้าแล้ว ล้วนเป็นพระมหากรุณาธิคุณ”

นางมองหลีซูซูอย่างวิงวอนพลางกุมมือหลีซูซูไว้

หลีซูซูดึงมือตนเองกลับมา “เจาหวาฟูเหรินอยากขอความเมตตา สามารถไปขอเองได้ เกรงว่าข้าคงมิอาจช่วยเหลืออะไร”

คนงามหลั่งน้ำตา สำหรับหลีซูซูแล้วไม่ส่งผลใดๆ แม้แต่น้อย นางดึงมือเยี่ยปิงฉางออก “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวกลับวังก่อน”

เยี่ยปิงฉางมองเงาหลังของนาง หดมือกลับมา สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์

โกวอวี้พูดด้วยความฉงน “นางคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ เป็นไปไม่ได้กระมังว่าจะอยากออกจากวังหลวงแคว้นโจวจริงๆ”

หลีซูซูแบมือออก

โกวอวี้อุทานอย่างแปลกใจ “เอ๋? นี่คือสิ่งใด เยี่ยปิงฉางยัดใส่มือท่านเมื่อครู่นี้หรือ”

เห็นเพียงในมือของหลีซูซูมีอัญมณีสีเขียวอ่อนเม็ดหนึ่ง

หลีซูซูพูด “นี่เป็นอัญมณีของท่านย่า”

ครั้งนั้นตอนสกุลเยี่ยถูกเนรเทศ สมบัติในบ้านถูกริบไปหมด ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเยี่ยซ่อนอัญมณีเม็ดนี้ไว้เพียงอย่างเดียว

นี่เป็นของชิ้นแรกที่ท่านปู่มอบให้ท่านย่าสมัยสาวๆ ก่อนหน้านี้ตอนหลีซูซูแบกฮูหยินผู้เฒ่าเดินเท้าไปหลิ่วโจว ทุกๆ ค่ำคืนอันหนาวเหน็บฮูหยินผู้เฒ่าจะเล่าเรื่องในอดีตให้นางฟัง

อัญมณีที่ท่านย่าหวงแหนถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมาอยู่ในมือเยี่ยปิงฉางได้

หลีซูซูเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ

โกวอวี้พูด “ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ ฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยอยู่กับถานไถจิ้นตลอด ย่อมไม่เกิดเรื่องอะไรอยู่แล้ว เยี่ยปิงฉางก็เหมือนกับท่าน อยู่ในวังหลวงตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้ที่นางจะทำอะไรฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อสองวันก่อนท่านยังได้รับจดหมายแจ้งว่าปลอดภัยจากฮูหยินผู้เฒ่าอยู่เลยมิใช่หรือ”

พูดถึงจดหมาย ชั่วขณะที่เห็นอัญมณี หลีซูซูก็เกิดความสงสัยในใจ นางรีบหยิบจดหมายที่ท่านย่าเขียนถึงตนเป็นระยะออกมาเทียบกันโดยละเอียด บนจดหมายหลายฉบับเหล่านั้น ลายมือเหมือนกันทุกประการ

หลีซูซูหัวใจจมดิ่ง ต่อให้เป็นคนผู้เดียวกันเขียน ก็มิอาจเขียนตัวอักษรแต่ละตัวในจดหมายทุกฉบับให้เหมือนกันทุกประการได้

นางกำจดหมายและอัญมณีแน่น พลันแน่ใจในเรื่องหนึ่งว่า…เกิดเรื่องกับท่านย่าแล้ว

หลีซูซูเดินกลับไปโดยเร็ว ดังคาด เยี่ยปิงฉางยังรอนางอยู่ที่เดิม

เยี่ยปิงฉางยืนอยู่ท่ามกลางมวลบุปผา ไม่แปลกใจแม้แต่น้อยที่หลีซูซูย้อนกลับมา นางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ตอนนี้น้องหญิงสามอยากพูดคุยกับข้าดีๆ แล้วใช่หรือไม่”

หลีซูซูหันกลับไปพูดกับเนี่ยนมู่หนิง “หยกปี้สี่* ที่ต้องใช้ในวันพรุ่งนี้ยังอยู่ที่ตำหนักเฉิงเฉียน เจ้าช่วยไปเอาที่ตำหนักเฉิงเฉียนแทนข้าได้หรือไม่”

เนี่ยนมู่หนิงขมวดคิ้ว

หลีซูซูพูดต่อ “ให้คนอื่นไปเอาก็ได้”

หยกปี้สี่เป็นของสำคัญถึงเพียงนั้น ไม่ว่าอย่างไรเนี่ยนมู่หนิงก็มิอาจให้คนอื่นไปเอา นางกำชับองครักษ์เยี่ยอิ่งเบาๆ ให้เฝ้าหลีซูซูไว้ให้ดี ก่อนจะมุ่งหน้าไปวังรุ่ยหมิงทันที

สองพี่น้องเดินไปบริเวณภูเขาจำลอง หลีซูซูล้วงหยิบอัญมณีออกมาพลางถามว่า “นี่มันอะไรกัน”

ท่าทีอ่อนแอบอบบางของเยี่ยปิงฉางหายไป นางมองหลีซูซูด้วยสีหน้าซับซ้อน

“เจ้าอย่าตำหนิข้าเลยที่เพิ่งมาหาเจ้าในตอนนี้ เกิดเรื่องกับท่านย่าแล้วจริงๆ สมัยยังมีชีวิตอยู่ เซวียนอ๋องมีนักรบพลีชีพกองหนึ่ง มีชื่อว่าองครักษ์เฉียนหลง ก่อนหน้านี้ใต้เท้าผังซ่อนตัวอยู่ในเรือนของท่านย่า ภายหลังพอเขาตาย ก็ไม่พบร่องรอยขององครักษ์เฉียนหลง นักรบพลีชีพกองนี้ ฝ่าบาทต้องการ องค์ชายแปดที่แฝงตัวอยู่ในหมู่ชาวบ้านก็ต้องการเช่นกัน”

หลีซูซูพูดขึ้นต่อคำนาง “ดังนั้นเจ้าจะบอกข้าว่าองค์ชายแปดไม่กล้าล่วงเกินถานไถจิ้น จึงจับตัวท่านย่าไป หมายจะคาดคั้นถามหาเบาะแสขององครักษ์เฉียนหลงหรือ”

“มิผิด” เยี่ยปิงฉางเอ่ย “ปกติเจ้ามิอาจไปเยี่ยมท่านย่า แต่มารดาของข้าไปได้ ก่อนหน้านี้นางไปเยี่ยมท่านย่า คนไม่อยู่แล้ว พบแต่อัญมณีเม็ดนี้”

หลีซูซูมองประเมินอีกฝ่ายอย่างเย็นชา

โกวอวี้พูดเสียงค่อย “สิ่งที่เยี่ยปิงฉางพูดน่าจะเป็นความจริง”

เยี่ยปิงฉางพูดต่อ “หลายวันก่อนองค์ชายแปดปล่อยข่าวออกมาว่าให้นำองครักษ์เฉียนหลงไปแลกกับชีวิตของท่านย่า มิฉะนั้นแล้ว…”

เยี่ยปิงฉางพูดด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “คืนนี้ยามจื่อก็คือเวลาที่ท่านย่าจะเดินทางไปปรโลก ข่าวนี้คนในเมืองหลวงต่างรู้กันทั่ว เจ้ายังจำช่วงหนึ่งที่ฝ่าบาทออกจากวังได้หรือไม่ ก็คือช่วงที่เขาออกไปตามหากองทัพกบฏขององค์ชายแปด ฝ่าบาทปิดบังเจ้า คนในวังก็ไม่กล้าบอกเจ้า เดิมทีข้าก็ไม่อยากเสี่ยงชีวิต แต่นั่นก็เป็นท่านย่าของข้าเหมือนกัน”

เยี่ยปิงฉางพิจารณาหลีซูซู “องครักษ์เฉียนหลง…อยู่ในมือเจ้าจริงหรือไม่”

หลีซูซูหัวเราะเสียงเย็น “ไม่จริง”

หลีซูซูพูดต่อ “เจ้ามีแผนการอะไรข้าไม่สน หากให้ข้ารู้ว่าเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ท่านย่าเกิดเรื่อง ต่อให้ข้าต้องผิดคำสัญญา ก็จะทำให้เจ้าเจ็บปวดไปชั่วชีวิต”

ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเยี่ยเป็นคนเดียวที่มอบความรักความผูกพันเยี่ยงคนในครอบครัวให้กับหลีซูซูหลังจากนางมาเยือนโลกมนุษย์ ไม่ว่าอย่างไรหลีซูซูก็ไม่อยากเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเกิดเรื่อง

เวลาที่องค์ชายแปดกำหนดคือยามจื่อ หลีซูซูต้องหาองครักษ์เฉียนหลงให้เจอก่อนยามจื่อ ทั้งยังต้องเอาองครักษ์เฉียนหลงไปแลกคน เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้เลย

เยี่ยปิงฉางหลุบตาเอ่ยเสียงนุ่มนวล “เจ้าคิดว่าข้ามีความคิดไม่ดี บางทีอาจจะมีจริงๆ ก็ได้ แต่ข้าหวังจากใจจริงว่าเจ้าจะช่วยท่านย่ากลับมาได้”

หลีซูซูพูดต่อคำนาง “เอาเกล็ดป้องหัวใจมา”

“อะไรนะ” เยี่ยปิงฉางมองนางอย่างตกใจ

หลีซูซูเอ่ย “ในเมื่อเจ้าหวังจากใจจริงให้ข้าไปช่วยคน ก็จงเอาเดิมพันของเจ้ามาให้ข้า ข้าจะไปช่วยท่านย่ากลับมา”

เยี่ยปิงฉางถอยหลังก้าวหนึ่ง

หลีซูซูยิ้มพูด “ดูสิ ฉะนั้นอย่ามาเอ่ยคำพูดหวังดีอะไรกับท่านย่าอีกเลย เยี่ยปิงฉาง เจ้ารักแต่ตนเองเท่านั้นล่ะ”

เยี่ยปิงฉางโต้แย้งแทบจะในทันที “ไม่ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเอาของไปแล้ว จะช่วยคนหรือไม่…”

หลีซูซูปรายตามองนางแวบหนึ่ง ไม่พูดพล่ามกับนางอีกก็หันหลังจากไป

โกวอวี้เอ่ยขึ้น “ตอนนี้เอาอย่างไรดี”

“ช่วยคนก่อน”

“ท่านไม่เป็นฮองเฮาแล้วหรือ”

หลีซูซูตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ชีวิตคนสำคัญกว่า ยังจะเป็นฮองเฮาอะไรอีก”

จุดประสงค์ของนางเดิมทีก็มิใช่การเป็นฮองเฮาของถานไถจิ้นอยู่แล้ว หากลงมือฉับไว ก่อนยามจื่อนางน่าจะไปทัน

ถานไถจิ้นปิดบังเรื่องนี้กับหลีซูซู ย่อมไม่อยากให้นางไปช่วยคน

หากคิดไปในทางที่โหดร้ายกว่านี้หน่อย…ถานไถจิ้นก็อยากล่อองครักษ์เฉียนหลงที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับออกมาเช่นกัน ดังนั้นจึงปล่อยให้องค์ชายแปดจับตัวท่านย่าไป

หรือยิ่งไปกว่านั้น ถานไถจิ้นคิดว่าองครักษ์เฉียนหลงอยู่ในมือหลีซูซู เขากลัวหลีซูซูจะมอบองครักษ์เฉียนหลงให้องค์ชายแปดจริงๆ ถึงเวลาองค์ชายแปดชื่อเสียงดีกว่าเขา ในมือมีอำนาจแล้ว ย่อมสามารถสั่นคลอนทุกสิ่งทุกอย่างของเขาได้ แต่หากองค์ชายแปดสังหารฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยจริง ไม่ว่าอย่างไรหลีซูซูก็ไม่มีทางมอบองครักษ์เฉียนหลงให้องค์ชายแปด

ทว่าองครักษ์เฉียนหลงมิได้อยู่ในมือนาง

หลีซูซูยอมรับว่าเยี่ยปิงฉางฉลาดมาก ต่อให้นี่เป็นหลุมพรางของอีกฝ่าย นางก็ยังต้องเดินเข้าไป

หลีซูซูเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง บอกถานไถจิ้นว่าก่อนวันพรุ่งนี้ตนจะกลับมาแน่นอน

โกวอวี้เตือนนาง “เจ้านายน้อย อย่าวางไว้ตรงนี้ ท่านยังจำบทเรียนของหมิงเยี่ยกับซังจิ่วเมื่อครั้งอยู่ในปัวเหร่อฝูเซิงได้หรือไม่”

หลีซูซูนึกขึ้นได้ทันทีว่าหมิงเยี่ยทิ้งข้อความไว้ให้ซังจิ่ว สุดท้ายกลับถูกเทียนฮวนจำกัดทิ้ง นางเก็บจดหมายกลับมา แล้วใช้กระดาษยันต์เผามัน

หากก่อนวันพรุ่งมีคนพบว่านางหายตัวไป คนที่เข้ามาในห้องจะเห็นจดหมายที่ก่อตัวขึ้นจากไอน้ำ หลังจากนั้นย่อมไปรายงานถานไถจิ้นเอง

นางปิดประตู บอกนางกำนัลนอกประตูว่าตนจะพักผ่อนแล้ว อย่าให้ใครมารบกวน

หลีซูซูกระตุ้นบุปผาเหนือพิภพในร่างกาย และวาดยันต์เคลื่อนย้าย

โลหิตไหลออกมาจากปลายนิ้วนาง หลีซูซูเหลือบมองผ้าคลุมศีรษะที่ปักด้วยด้ายทองด้านข้างแวบหนึ่ง เม้มปากนิดๆ และหลับตาลง

ชั่วเวลาต่อมานางก็หายวับไป

 

เยี่ยปิงฉางถือห่วงเงิน ปรากฏตัวในห้องของหลีซูซู

นางมองดูไอน้ำกลางอากาศที่ไม่สลายหายไป ทั้งยังทำท่าจะจับตัวเป็นน้ำแข็ง นางพูดเบาๆ “เฉลียวฉลาดทีเดียว”

เกล็ดป้องหัวใจในอกเสื้อเปล่งแสงสีเงิน นางหยิบออกมาวาดไปหนึ่งที ไอน้ำก็สลายไป ไม่เหลือร่องรอยแม้แต่นิดเดียว

“น่าเสียดาย ยังคงเป็นเกล็ดป้องหัวใจที่ใช้งานได้ดี ขออภัยด้วย น้องหญิงสาม เป็นเจ้าที่ไม่เหลือทางให้ข้าเดิน”

 

เวลาเดียวกัน ธงกลืนวิญญาณมีหมอกดำปั่นป่วน นักพรตเฒ่ารีบมารายงาน

“ฝ่าบาท ข่ายอาคมในวังสั่นสะเทือน”

ถานไถจิ้นลืมตา เขาหดมือกลับมา ริมฝีปากบางย้อมสีแดงจัดงดงามชั้นหนึ่ง

ปีศาจมุสิกตรงหน้าเกร็งกระตุก ไอดำบนฝ่ามือถานไถจิ้นหายไปในพริบตา แววตาเขาเข้มขึ้น

ถานไถจิ้นเหม่อลอยชั่วขณะ จากนั้นหัวเราะอย่างเสียดสี มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาคิดอยู่คนเดียวว่ามันกำลังเปลี่ยนแปลง แต่อันที่จริงมันกลับไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เป็นต้นว่าเขายังคงเป็นสัตว์ประหลาดที่ต้องการลูกกลอนในตัวปีศาจมาต่อชีวิตของตนเอง

เมื่อครู่ก่อนหน้านี้เขายังคิดว่าวันหน้าหากถูกนางจับได้ นางจะมองเขาด้วยสายตาขยะแขยงเป็นพิเศษหรือไม่ อึดใจต่อมากลับมีคนมาแจ้งว่านางไปจากเขาอีกแล้ว

อีกครั้งแล้ว

ถานไถจิ้นลุกขึ้น เนี่ยนไป๋อวี่เฝ้าอยู่นอกประตู

ดังคาด ไม่นานเนี่ยนมู่หนิงก็ปรากฏตัวด้วยใบหน้าซีดเผือด “แม่นางหายตัวไป”

ถานไถจิ้นสุขุมกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก เขาถึงขั้นมีอารมณ์ยิ้มถามว่า “ผีเสื้อเงินเล่า”

เนี่ยนมู่หนิงรีบหยิบกล่องใบหนึ่งออกมา ปีกของผีเสื้อเงินเปล่งแสงสีขาวในราตรี โบยบินไปยังทิศทางหนึ่ง

ถานไถจิ้นเอ่ยเสียงแผ่ว “ทิศทางของเฉียนหนาน สถานที่ซ่อนตัวขององค์ชายแปด”

แสดงว่าองครักษ์เฉียนหลงอยู่ในมือนางจริงๆ บางทีครั้งนี้นางอาจจะมอบองครักษ์เฉียนหลงให้องค์ชายแปด และไม่กลับมาอีกตลอดกาล

ทั้งที่เขาคลี่ยิ้มอยู่ชัดๆ เนี่ยนไป๋อวี่กลับรู้สึกเหมือนอารมณ์ของฝ่าบาทในตอนนี้ย่ำแย่ยิ่งนัก

เนี่ยนมู่หนิงก้มศีรษะลง

อาคมตามรอยใช้ไม่ได้ผลในโลกมนุษย์แม้แต่น้อย

โกวอวี้เห็นตาซ้ายของหลีซูซูมีริ้วโลหิต จึงรีบเอ่ยว่า “เจ้านายน้อย อย่าสิ้นเปลืองพลังของบุปผาเหนือพิภพอีกเลย ท่านอยู่ในร่างมนุษย์ มิอาจใช้พลังเช่นนี้ได้”

หลีซูซูเงียบงันไม่พูดจา

อันที่จริงการที่นางค้นหามาถึงที่นี่ได้อวัยวะภายในก็เริ่มเจ็บนิดๆ แล้ว เป็นเช่นที่โกวอวี้ว่า ทุกครั้งที่ใช้พลังจากบุปผาเหนือพิภพ ล้วนเป็นการทำร้ายร่างกายนี้ของนางอย่างยิ่งยวด

นางมองสีท้องฟ้า หวังเพียงก่อนฟ้าสางจะตามหาท่านย่าพบและพาท่านย่ากลับไปได้

ใกล้ยามจื่อเข้าไปทุกที ในพุ่มไม้มีดวงตาสีเขียวอ่อนของหมาป่าปรากฏเป็นครั้งคราว พวกมันจ้องมองมาที่นางนิ่งๆ แต่มิกล้าเข้าใกล้

หลีซูซูรู้สึกไม่ปกตินัก อากาศเหมือนมีกลิ่นแปลกประหลาดเจือปนอยู่ ไม่รอให้นางขบคิดให้ลึกซึ้ง ในอกก็ร้อนลวก หยาดน้ำตาดับวิญญาณมีตะปูสามดอกปรากฏขึ้นอีกครั้ง

รวมเป็นหกดอกแล้ว…

ในยามนี้เสียงวัตถุแหวกอากาศลอยมา หลีซูซูอาศัยสัญชาตญาณหลบลูกธนูแทบจะในทันที

เสียงปรบมือดังขึ้น ชายหนุ่มในชุดสีม่วงอมแดงก้าวออกมาจากในป่า เขาดูแล้วอายุยังไม่มาก คิ้วตากลับเจือไอดุดัน พอเห็นหลีซูซูแล้ว เขาก็มีท่าทางตื่นเต้นยินดีเหมือนนายพรานที่เห็นเหยื่อ

“เจ้าก็คือคุณหนูสามสกุลเยี่ยกระมัง รอเจ้าอยู่ตั้งนาน ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที”

“องค์ชายแปด?” หลีซูซูถาม “ท่านย่าของข้าล่ะ”

“ยายเฒ่าผู้นั้นน่ะหรือ วางใจ นางยังไม่เป็นอะไรชั่วคราว ตราประทับขององค์รักษ์เฉียนหลงอยู่ที่ใด เจ้านำมาด้วยหรือไม่”

อันที่จริงตั้งแต่เห็นองค์ชายแปด หัวใจของหลีซูซูก็จมดิ่ง นางสิ้นเปลืองพลังของบุปผาเหนือพิภพมาถึงที่นี่ เดิมไม่อยากให้องค์ชายแปดจับได้ ตั้งใจว่าหาท่านย่าพบแล้วจะพาอีกฝ่ายจากไปอย่างเงียบๆ ไม่คิดว่าองค์ชายแปดจะรอนางอยู่ที่นี่

องค์ชายแปดอายุน้อยกว่าถานไถจิ้นสองปี คิ้วของเขาหนาเข้ม มิได้งามเฉิดฉันเหมือนถานไถจิ้น แต่ค่อนไปทางคมคาย

โกวอวี้พูดเสียงขรึม “จะเป็นเยี่ยปิงฉางหรือไม่ที่คาบข่าวมาบอก”

การคาดเดาเช่นนี้น่ากลัวยิ่งนัก หากเป็นเยี่ยปิงฉางจริง แสดงว่านางหมายเอาชีวิตของท่านย่าชัดๆ

หลีซูซูตั้งสติ ล้วงหยิบหยกปี้สี่ในแขนเสื้อที่ถูกบังอยู่ครึ่งหนึ่งออกมา แล้วเก็บกลับไปอย่างรวดเร็ว “ข้าเอามาแล้ว ให้ข้าพบท่านย่า”

องค์ชายแปดมองประเมินนางด้วยสีหน้ายากจะคาดเดา

“นั่นคือตราประทับหรือ”

หลีซูซูตอบ “ใช่”

ความจริงเป็นหยกปี้สี่ของฮองเฮาต่างหาก หัวใจนางเต้นตึกตัก หวังเพียงองค์ชายแปดจะมองเห็นไม่ชัด

องค์ชายแปดส่ายหน้าด้วยท่าทางเสียดาย “ไม่อยู่ในมือเจ้าหรอกหรือ เจ้าไม่รู้แม้กระทั่งว่าตราประทับองครักษ์เฉียนหลงคือสิ่งใดด้วยซ้ำ”

เขายิ้มด้วยสีหน้าแปลกพิกล “ของในมือเจ้า กลับดูคล้ายคลึงกับหยกปี้สี่ของฮองเฮาที่พระมารดาข้าปรารถนาทว่ามิอาจได้มาครอบครอง หรือว่าเสด็จพี่ที่โหดเหี้ยมอำมหิตของข้าเป็นคนมอบให้เจ้า”

หลีซูซูสบถเบาๆ ไม่พูดพล่ามกับเขาอีก นางยกมือขึ้นจู่โจมไปที่เขาทันที

องค์ชายแปดหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นอันตราย “เด็กน้อยที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม มาเยือนถิ่นข้าแล้ว ยังกล้าโอหังถึงเพียงนี้ ในเมื่อเชื้อผสมชั้นต่ำผู้นั้นให้ความสำคัญกับเจ้า เจ้ายิ่งต้องอยู่ที่นี่”

ผึ้งอัคคีแดงนับไม่ถ้วนปรากฏตัวกลางอากาศตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้

โกวอวี้พูด “ไม่ได้การ คนในราชวงศ์ถานไถเลี้ยงปีศาจกันทุกคน!”

แรกเริ่มเดิมทีผึ้งอัคคีแดงก็เล็ดลอดมาจากเชื้อพระวงศ์ของแคว้นโจว ในมือขององค์ชายแปดไม่รู้มีของอย่างอื่นอีกมากมายเพียงใด

หลีซูซูหนีตอนนี้ยังทันอยู่ แต่นางจากไปแล้ว ท่านย่าจะทำอย่างไร นางชักกระบี่ออกมาสังหารผึ้งอัคคีแดงสองตัวที่จู่โจมนาง

ทว่าผึ้งอัคคีแดงมีจำนวนมากเกินไป ประหนึ่งรังผึ้งถูกแทงทะลุอย่างไรอย่างนั้น ผึ้งอัคคีแดงทั้งหมดบินตรงมาหาหลีซูซู

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลีซูซูยากที่จะหลบหนี นางหมุนตัวและทิ้งตัวลงบนพื้น ลำตัวของผึ้งอัคคีแดงมีขนาดใหญ่มหึมา นางพยายามซ่อนตัวในที่เล็กแคบ และประชิดเข้าไปใกล้องค์ชายแปด

องค์ชายแปดพูด “ไม่เจียมตัว!”

เขาซ่อนตัวอยู่ที่นี่นานถึงเพียงนี้ ในมือย่อมมีเดิมพันอยู่ไม่น้อย เบื้องบนมีพี่ชายสองคน ถานไถหมิงหล่างกับถานไถจิ้นล้วนเป็นทรราชที่จิตใจไร้คุณธรรม ดังนั้นคนที่สนับสนุนเขาจึงมากขึ้นทุกที

ผึ้งอัคคีแดงไม่เคลื่อนไหวอีก เบื้องหลังของหลีซูซูกลับมีตาข่ายสีแดงดุจโลหิตผืนหนึ่งกางออกกะทันหัน

โกวอวี้ตกใจ “เป็นตาข่ายละลายศพ! เจ้านายน้อยหลบไป”

ข้างหน้าเป็นผึ้งอัคคีแดง ข้างหลังเป็นตาข่ายละลายศพ หลีซูซูพลันเข้าใจว่าการประมือกับถานไถจิ้นก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเขาที่ยอมลงให้นาง เพราะเขาไม่เคยใช้กระบวนท่าพิฆาตใดมาก่อน

องค์ชายแปดเอาชนะถานไถจิ้นไม่ได้ ทว่าตนเมื่อมาถึงที่นี่ กลับตกอยู่ในอันตรายทันที

ช่วยไม่ได้ เพื่อหลบตาข่ายละลายศพที่อยู่ข้างหลัง นางได้แต่เลือกกระโจนเข้าใส่ผึ้งอัคคีแดง

จังหวะที่ปากของผึ้งอัคคีแดงกำลังจะแทงเข้ามาที่ไหล่นาง ผีเสื้อสีเงินบินฝ่าฝูงผึ้งอัคคีแดง สาดแสงไปทั่วราตรีมืดมิดในป่า ผึ้งอัคคีแดงคล้ายตระหนักถึงบางสิ่ง พวกมันสลายตัวไปอย่างรวดเร็วเหมือนกำลังหนีอะไร

หลีซูซูล้มลงบนพื้นอย่างอเนจอนาถ รองเท้าหุ้มแข้งสีนิลลายเมฆาข้างหนึ่งปรากฏตรงหน้า

นางเงยหน้าและเห็นถานไถจิ้น เขามองนางด้วยแววตาเสียดสี “ความสามารถมีแค่นี้ ยังจะกล้ามารนหาที่ตาย”

เขาหันหน้าไปมององค์ชายแปด คลี่ยิ้มเย็นชาพลางเอ่ยว่า “เดรัจฉานน้อย เราให้เจ้าเลือกว่าอยากตายเยี่ยงใด”

หลีซูซูคิดในใจ สมแล้วที่เป็นพี่น้องกัน แม้แต่คำด่ายังเหมือนกัน ถานไถจิ้นหนักข้อกว่าด้วยซ้ำ

องค์ชายแปดเดือดดาล “วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้มาไม่ได้กลับ!”

ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นถิ่นขององค์ชายแปด หมอกสีชมพูประหลาดแผ่กระจายในอากาศ ธงกลืนวิญญาณเบื้องหลังถานไถจิ้นหมุนติ้ว เพียงพริบตาก็สลายกลุ่มหมอกสีชมพูไปได้

องค์ชายแปดพูด “เป็นไปไม่ได้!”

ถานไถจิ้นสั่ง “ฆ่าทิ้งเสีย”

หลีซูซูลุกขึ้นมาแล้วไปยืนข้างกายถานไถจิ้น

ตอนนี้สถานการณ์ขององค์ชายแปดไม่สู้ดี จึงตั้งใจจะล่าถอยไปก่อน

หลีซูซูคิดถึงท่านย่า นางทำท่าจะตามไป

ทว่าหลีซูซูเพิ่งเดินไปข้างหน้าได้ก้าวเดียว ถานไถจิ้นก็คว้าข้อมือนางไว้พร้อมเอ่ยเสียงขุ่น “เจ้าอยากตายหรือไร”

“ท่านย่า…” นางพูดได้เพียงสองคำ ประกายสีฟ้าเงินจากลูกธนูก็วาบเข้ามา

ถานไถจิ้นกอดนางไว้ทันใด พานางหลบลูกธนู

ลูกธนูดอกนั้นปักลงบนลำต้นของต้นไม้ จากนั้นดอกแล้วดอกเล่า มีธนูยิงเข้าใส่พวกเขาไม่หยุด

เนี่ยนไป๋อวี่หัวใจจมดิ่ง นี่มิใช่คนขององค์ชายแปด แต่เหมือนองครักษ์เฉียนหลงมากกว่า

 

จังหวะที่ถูกถานไถจิ้นกอด หัวสมองของหลีซูซูว่างเปล่า มิใช่เพราะเหตุผลอื่นใด แต่เป็นเพราะหยาดน้ำตาดับวิญญาณในอกร้อนลวกกะทันหัน แปรเปลี่ยนเป็นตะปูเก้าดอกอย่างไม่น่าเชื่อ

เขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ความรักของพญามารหนุ่มเป็นเหมือนอากาศที่มิอาจจับต้องได้ ชีวิตของเขาดุจน้ำนิ่ง แม้กระทั่งหัวใจหวั่นไหวก็ยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเงียบๆ เหมือนน้ำที่นิ่งสนิทบ่อหนึ่ง

ง่ายดายถึงเพียงนั้น แต่กลับกำลังเดือดพล่าน

ตอนที่พวกเขาล้มลงไป เขาถึงขั้นใช้ฝ่ามือรองรับศีรษะนางไว้โดยไม่รู้ตัว

อากาศราวกับจับตัวแข็งในดวงตานางอย่างเฉียบพลัน

ถานไถจิ้นอยู่ใกล้นางถึงเพียงนั้น ความตึงเครียดในดวงตาเขา นางมองเห็นได้ชัดเจน ร่างกายของชายหนุ่มปกป้องนางไว้ ข้างหลังเป็นลูกธนูที่พุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว

บางสิ่งร่วงหล่นจากตัวของหลีซูซู นางมองไปพบว่าหนอนกู่ที่เสี่ยวซานมอบให้นางถูกฝนธนูแทงจนลำตัวขาดเป็นสองท่อน ทว่านางกลับไม่มีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้ เพราะถ้าจะสังหารเขา ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีที่สุด

แม้แต่โกวอวี้ยังพูดอย่างตื่นเต้น “เจ้านายน้อย เร็วเข้า!”

นี่ต่างหากคือเป้าหมายสุดท้ายของพวกเขา!

หลีซูซูกัดฟัน ส่งหยาดน้ำตาดับวิญญาณออกไป ถานไถจิ้นใช้แขนโอบกอดนางแน่น อึดใจต่อมาตะปูสีทองสามดอกปรากฏข้างหลังเขา และตอกเข้าไปในหัวใจของเขา

ถานไถจิ้นก้มหน้าลงอย่างงงงัน เขามองดวงตาไร้ความรู้สึกคู่นั้นของนาง

ใบหน้าเขาขาวซีด เลือดไหลออกจากมุมปาก ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงปล่อยมือจากนาง “เพราะอะไร”

ดวงเนตรกระจ่างใสของหลีซูซูจ้องมองเขา “เดิมทีข้าก็มาเพื่อฆ่าเจ้าอยู่แล้ว”

“ฆ่าข้า?” เขาทวนคำเสียงแผ่วรอบหนึ่ง “ไม่มีทาง เจ้ามิใช่จะ…จะเป็นฮองเฮาของข้าหรือ…”

ตะปูดับวิญญาณอีกสามดอกตอกเข้าสู่หัวใจเขาอีกครั้ง ขัดจังหวะคำพูดของเขา

ใบหน้าเขาซีดขาวราวกระดาษ เงยหน้าทันใด ใช้สายตาเย็นเยียบปานน้ำแข็งจ้องมองนาง สีดำแผ่ลามในดวงตาเขา

“เจ้าหลอกข้ามาโดยตลอด เจ้าไม่เคยชอบข้าเลย เจ้าก็เหมือนกับพวกเขา คิดเพียงอยากให้ข้าตาย!”

หลีซูซูรู้สึกถึงความผิดปกติ อยากจะรีบตอกตะปูดับวิญญาณสามดอกสุดท้ายเข้าไปในหัวใจเขา

ทันใดนั้นเขาก็โค้งริมฝีปากอย่างแปลกประหลาด

ลมราตรีในเดือนหกแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกทันตา พัดผ่านเส้นผมของหลีซูซู

ตรงตำแหน่งหัวใจของเขา แผ่นเกล็ดสีฟ้าเปล่งแสงจางๆ

โกวอวี้สูดหายใจด้วยความตระหนก “เยี่ยปิงฉางมอบเกล็ดป้องหัวใจให้เขา!”

ตะปูสามดอกสุดท้ายชนเข้ากับเกล็ดป้องหัวใจ และแตกสลายเป็นผุยผง

ใบหน้าของชายหนุ่มซีดขาวน่ากลัวราวกับศพ เขายกมือขึ้น หลีซูซูลอยกระเด็นไป

นางใช้พลังจากบุปผาเหนือพิภพมากเกินไป เดิมก็เปรียบเหมือนลูกธนูแผ่วปลายอยู่แล้ว เมื่อถูกแรงสะท้อนจากเกล็ดป้องหัวใจ จึงกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง

กระบี่เล่มหนึ่งพาดอยู่บนคอนาง

หัวใจของหลีซูซูจมดิ่งลงไม่สิ้นสุด หัวสมองกับร่างกายเย็นเฉียบไปหมด ตะปูดับวิญญาณสามดอก…แตกสลายแล้ว

ภารกิจของนางล้มเหลว

กระนั้นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือชายหนุ่มย่อตัวลงมองนาง โลหิตไหลออกมาจากมุมปากเขาไม่หยุด “เจ้าคิดว่าข้าโง่มาก น่าขันมากใช่หรือไม่”

หลีซูซูไออย่างรุนแรง

เขาบีบคอนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดคล้ายหัวเราะคล้ายร้องไห้ “ความชอบของข้าเจ้าไม่ไยดี เช่นนั้นก็ลองรับความชังจากข้าดูบ้างแล้วกัน”

หลีซูซูเอ่ยวาจาไม่ออกแม้แต่คำเดียว เกล็ดป้องหัวใจสาดแสงวูบ นางพลันหมดสติไป

“วันนี้เป็นวันที่สิบห้า”

มีคนพูดข้างหูนางเช่นนี้

สิบห้า?

ตอนนั้นนางยังตอบสนองไม่ทัน ไม่รู้ว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร ความคิดในหัวยุ่งเหยิงไปหมด แม้จะเป็นค่ำคืนของฤดูคิมหันต์ แต่ไอเย็นในอากาศยังคงทำให้นางตัวสั่น

สิบห้า!

หลีซูซูลืมตาขึ้นทันใด

ในคุกใต้ดินเย็นเยือก นางนอนอยู่บนเตียงศิลาเรียบง่ายหลังหนึ่ง รอบด้านมืดมิด ยื่นมือออกไปก็มองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า อีกด้านของเตียงศิลามีเงาคนดำทะมึนสายหนึ่งนั่งนิ่งอยู่

หลีซูซูพบว่าทั้งข้อมือและข้อเท้าล้วนถูกบ่วงเชือกวารีอ่อนผนึกพลังเอาไว้

ดวงตาเยียบเย็นในความมืดคู่นั้นมองดูนางดิ้นรนอย่างเยาะหยัน

หลีซูซูหัวใจจมดิ่งลงไม่หยุด

“หวาดกลัวมากใช่หรือไม่” เขาหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยเหมือนคนเสียสติ “เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าก็รู้สึกเหมือนเจ้าในตอนนี้ วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า คนผู้หนึ่งที่อาศัยอยู่ในความมืด มักหวังว่าพรุ่งนี้จะมีแสงสว่าง ทว่าเจ้าดูสิ โลกนี้ไม่มีใครช่วยข้า ก็เหมือนตอนนี้…ที่ไม่มีใครมาช่วยเจ้าเช่นกัน”

หลีซูซูหาหนอนกู่บนตัวโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะพึมพำเสียงแหบพร่า “ไม่มีหนอนกู่แล้ว…”

ท่าทีของนางทำให้ถานไถจิ้นหัวเราะอย่างเย็นชาอีกครั้ง

หนอนกู่ถูกทำลายไปท่ามกลางฝนธนูขององครักษ์เฉียนหลงแล้ว แต่บังเอิญวันนี้กลับเป็นวันที่สิบห้า พิษหนอนไหมใยวสันต์ในตัวนางจะกำเริบ

“บางทีเจ้าอาจหัวเราะเยาะข้าลับหลังหลายครั้ง ดูสิ คนหน้าโง่ที่ชื่อถานไถจิ้น เจ้าเคยเฆี่ยนตีเขา ด่าทอเขา ดูหมิ่นเขา แต่เขายังคงตัดใจฆ่าเจ้าไม่ได้ เขาถึงขั้นเคยคิดอยากให้เจ้าเป็นฮองเฮา ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาผู้หนึ่ง แก่เฒ่าและตายไปด้วยกัน

เขาโง่เง่ายิ่งนัก ทั้งที่รู้ดีว่าเจ้าหนีเขาไปอีกครั้ง ยังคงเลือกออกมาตามหาเจ้า เพราะกลัวว่าเจ้าจะถูกเดรัจฉานองค์ชายแปดผู้นั้นสังหาร

ทว่าลูกธนูขององครักษ์เฉียนหลงและตะปูหกดอกที่ตอกเข้ามาในหัวใจทำให้เขาตาสว่างในที่สุด เขามันช่างต่ำตมยิ่งนัก ตอนที่เจ้าฆ่าข้า เคยเกิดความลังเลสักนิดบ้างหรือไม่”

น้ำเสียงเจือแววสิ้นหวังทว่าคลุ้มคลั่งของเขา ประหนึ่งเสียงครวญคร่ำต่ำทุ้มที่ดังอยู่ในห้องลับมืดสลัว น้ำเสียงนี้ถึงขั้นกล่าวได้ว่าสงบเยือกเย็น

ในใจหลีซูซูรู้สึกหวาดหวั่นอย่างยากจะอธิบาย ตัวนางร้อนผ่าว ลมหายใจถี่กระชั้น

คำนวณเวลาดู หนอนไหมใยวสันต์อยู่ในร่างกายนางมาปีครึ่งแล้ว ฤทธิ์มิได้บางเบาเหมือนเช่นครั้งสองครั้งแรกที่พิษกำเริบ เมื่อไม่มีหนอนกู่ ร่างกายนี้ของนางหากไม่ได้รับการถอนพิษก็อาจถึงขั้นตายได้

นางกำเสื้อด้านหน้าแน่น ในใจต่อต้านดิ้นรน อยากอยู่ห่างจากเขาหน่อย ทว่าฤทธิ์ยาในร่างกายกำลังค่อยๆ เผาผลาญสติสัมปชัญญะนาง

ถานไถจิ้นพูดขึ้น “วางใจ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้อยากเป็นฮองเฮาของข้าแล้ว ข้าก็คงไม่โง่เขลาถึงเพียงนั้นอีก ข้าหาได้ต้องการอนุไม่ แม้แต่อนุเจ้าก็ไม่ได้เป็นด้วยซ้ำ เพราะเจ้าจะต้องตายอยู่ที่นี่”

เขาเอ่ยพึมพำ เหมือนมารร้ายที่รำพึงเบาๆ “น่าเสียดายที่ข้ามิได้ตายไปอย่างที่เจ้าหวัง เช่นนั้นนรกของเจ้าก็กำลังจะมาเยือนแล้ว”

เตียงศิลาใต้ร่างแข็งกระด้างดุจน้ำแข็ง หลีซูซูมิได้รู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย

โกวอวี้ไม่มีการตอบสนอง ราตรีมืดมิดจนยื่นมือออกไปมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า นางทรมานยิ่งนัก นิ้วมือคว้าจับเตียงศิลาใต้ร่างแน่น เหมือนปลาที่ใกล้ตาย แต่จนแล้วจนรอดกลับมิได้ยื่นมือออกไปหาเขา

ประกายหม่นจางในดวงตาถานไถจิ้นค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาทิ่มแทงผู้คน เขาลุกขึ้นและเดินจากไป

หลีซูซูล้มลงบนเตียงศิลา นางหอบหายใจอย่างทุรนทุราย เบื้องหน้ามีแต่ไอโลหิต แม้กระทั่งห้องลับยังมองเห็นไม่ชัด โลหิตไหลเวียนอย่างรวดเร็ว ปากและจมูกของนางมีโลหิตไหลออกมา

นางกระอักเลือดคำหนึ่ง รู้สึกว่าสัญญาณชีวิตของตนเองกำลังจะหายไป

หนาวเหลือเกิน

ขณะที่ลมหายใจของนางแผ่วอ่อนลงทุกที เสียงฝีเท้าที่หายลับไปเดินกลับมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว มีคนกุมมือนาง ระหว่างความชิงชังกับความโกรธแค้น ไม่รู้อารมณ์ใดที่มีมากกว่า เขาเปี่ยมด้วยไอสังหารเหี้ยมเกรียม บีบกระดูกนิ้วมือนางจนแตก

ถานไถจิ้นช้อนร่างกายครึ่งท่อนบนของนางขึ้นมาอย่างฉับพลัน ดันนางเข้ากับผนังห้องลับเย็นเฉียบ

“แทนที่จะปล่อยให้เจ้าตายเช่นนี้ มิสู้ให้ข้าปลิดชีวิตเจ้าด้วยตนเอง!”

ความเจ็บปวดเช่นนี้กลับทำให้หลีซูซูคืนสติ

ไม่ จะตายไม่ได้ นางคิดในใจ จะตายไปอย่างนี้ไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป

นางสั่นสะท้าน กุมมือผู้มา ประสานนิ้วทั้งสิบกับเขาอย่างแนบแน่น เล็บเกือบจะฝังลงบนหลังมือของเขาเสียด้วยซ้ำ

“ช่วยข้า…”

หญิงสาวตัวสั่นเทาในอ้อมอกเขา นิ้วมือนางถูกเล็บข่วนจนได้เลือด ทั้งยังข่วนไปบนผิวเขาจนได้แผลอีกหลายแผล

เขาเงียบงันเนิ่นนาน ก่อนจะหลับตาลงและหัวเราะออกมา “เจ้าก็…”

หญิงสาวกอดคอเขาตัวสั่นระริก

ราตรีแตกสลายไปเบื้องหน้า หลีซูซูหอบหายใจคำโต

นิ้วมือเจ็บ ร่างกายเจ็บระบมไปหมด ความหวาดกลัวที่ภารกิจล้มเหลวและความเจ็บปวดจากพิษหนอนไหมใยวสันต์กำเริบ ทำให้นางสั่นสะท้านเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง

นิ้วมือของถานไถจิ้นสอดเข้าไปในเส้นผมนาง หญิงสาวเหมือนเถาวัลย์ที่เลื้อยป่ายผาชัน ดูดสารอาหาร พยายามที่จะมีชีวิตรอดต่อไปบนร่างกายเขา

 

ฟ้าใกล้สว่างแล้ว

ตอนหลีซูซูตื่นขึ้นมา คนข้างกายกำลังหัวเราะเบาๆ ไม่รู้กำลังเยาะหยันนางหรือหัวเราะตนเอง

ภายหลังเขาไม่หัวเราะอีก แต่ร้องเพลงที่เคยได้ยินในแคว้นซย่าสมัยเยาว์วัยแผ่วเบา

นั่นเป็นบทเพลงที่คนในวังนับไม่ถ้วนนำมาร้องฆ่าเวลาในราตรีอันเงียบเหงา ค่ำคืนที่น่ากลัวและอ้างว้างเหล่านั้น เขาไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย นอกจากของสกปรกเหล่านี้

บัดนี้เขากำลังร้องให้นางฟัง

เขาจับมือนางและยกขึ้นมาจุมพิต กดริมฝีปากลงน้ำหนักบนกระดูกนิ้วของนางที่เจ็บระบมนั่น

“เจ็บหรือไม่” เขาอยากฆ่านางเหลือเกิน แต่กลับเลือกให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไป “เทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดในใจข้า

ในความมืดมิด มุมปากของถานไถจิ้นมีเลือดซึมออกมา เขาหัวเราะเสียงดังพลางร้องเพลงต่อไป

นิ้วมือถูกคนกุมประสานตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ถานไถจิ้นกุมมือนางแน่นด้วยท่าทีแข็งกร้าว

ในความมืดมิดไร้ขอบเขต ถานไถจิ้นทั้งเยียบเย็นและเอาแต่ใจ

“รู้สึกได้หรือไม่” เขาสัมผัสถูกน้ำตาบนเส้นผมนางที่เย็นเฉียบไปแล้ว ก่อนจะเช็ดมันออกไปอย่างไม่ใส่ใจนัก

ความแค้นของเขาอย่างไรเล่า

 

* หยกปี้สี่ คือทัวร์มาลีน

บทที่ 71

ค่ำคืนนี้สำหรับหลีซูซูแล้วยาวนานมาก

หลังจากที่นางหลับลึกไป ก็ฝันถึงบรรพตฉางเจ๋อ ตอนนั้นนางเพิ่งเกิดได้ไม่นาน ขนยังเปียกอยู่ ยังมิได้กลายร่าง ท่านเซียนในชุดสีฟ้าครามใช้แพรต่วนห่อตัวนางอย่างระมัดระวัง และพานางบังคับกระบี่ลงจากเขา

“นับแต่นี้ไป สำนักเหิงหยางก็คือบ้านของเจ้า บิดาจะดูแลเจ้าให้ดี”

วิหคศักดิ์สิทธิ์ตัวน้อยโผล่หัวออกมาจากแพรต่วน กวาดตาสำรวจรอบด้านด้วยความอยากรู้อยากเห็น ท้องฟ้าสีเทาหม่นกดทับลงมา ภูตผีปีศาจกระจายอยู่ทั่ว

ท่านเซียนลูบหัวนางพลางโบกแขนเสื้อ รอบกายพลันมีเสียงวิหคขับขาน บุปผาส่งกลิ่นหอม

บรรดาศิษย์พี่และอาจารย์อาต่างล้อมวงเข้ามามองนางอย่างตื่นเต้นยินดี “ในที่สุดศิษย์น้องหญิงก็ออกจากเปลือกแล้ว!”

“ศิษย์น้องหญิง ข้าคือศิษย์พี่หญิงเหยาเวยของเจ้า นี่เป็นของขวัญพบหน้าที่ศิษย์พี่หญิงมอบให้เจ้า สามารถคุ้มครองเจ้าให้แข็งแรงปลอดภัย ร่างกายสมบูรณ์”

“ข้าคือศิษย์พี่ฉีเยวี่ยของเจ้า นี่เป็นของขวัญจากศิษย์พี่”

“ยังมีข้า ยังมีข้าด้วย ข้าก็เป็นศิษย์พี่ของเจ้าเหมือนกัน ศิษย์น้องหญิง นี่คือน้ำค้างทิพย์ที่ศิษย์พี่ไปหามาจากแดนเผิงไหล* ไม่รู้ว่าศิษย์น้องหญิงใช้ดื่มแทนน้ำนมได้หรือไม่…”

สำนักเซียนตกต่ำ ชีวิตที่เพิ่งเกิดใหม่และเปี่ยมด้วยชีวิตชีวานี้ ประหนึ่งน้ำพุใสที่ถูกถ่ายเข้าไปในโคลนตมที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ทำให้สำนักเหิงหยางครึกครื้นขึ้นมาทันตา

ศิษย์พี่สตรีทั้งหลายจะไปแอบเก็บน้ำหวานทิพย์มาให้นาง ศิษย์พี่บุรุษจะแอบพานางเข้าไปเล่นสนุกในแดนลับ มีคนสอนนางบังคับกระบี่ มีคนสอนวิชาอาคมให้นาง ทุกครั้งเวลานางทำผิด ศิษย์พี่ใหญ่จะถอนหายใจอย่างจนใจ ปกป้องนางไว้ข้างหลัง แบกรับคำตำหนิและโทษทัณฑ์ทุกอย่างแทนนาง

ในยุคสมัยแห่งความวุ่นวายที่เต็มไปด้วยคาวโลหิต ข้างกายนางกลับเป็นท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งอยู่เสมอ ยังมีหิมะกับพุน้ำศักดิ์สิทธิ์บนเขาปู้เหลียงที่ไม่มีวันละลาย

โลกนี้ย่ำแย่ แต่พวกเขากลับเก็บทุกสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้หลีซูซู

ในฝันของนางมีท้องฟ้าสีน้ำเงิน มีชีวิตอิสรเสรีที่สามารถบังคับกระบี่เหาะเหิน ยังมีเสียงน้ำหยดติ๋งๆ จากพุน้ำศักดิ์สิทธิ์ และเกล็ดหิมะแวววาวที่โปรยปราย…

นางอดยกริมฝีปากขึ้นไม่ได้ เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา

ทว่าพอตื่นขึ้นมา…

หลีซูซูได้ยินเสียงน้ำหยดติ๋งๆ นางลืมตา ร่างกายเจ็บระบมเหมือนถูกบดทับกระนั้น ร่างนางถูกคลุมด้วยอาภรณ์ที่ฉีกขาด ใต้อาภรณ์คือเรือนร่างเปลือยเปล่า

หลีซูซูขยับนิ้วมือ ความเจ็บแปลบอย่างรุนแรงส่งมาจากนิ้ว กระดูกนิ้วที่แตกหักทำให้เหงื่อเย็นของนางไหลรินไม่หยุด

ลำแสงอ่อนจางส่องผ่านรอยแยกเข้ามา ข้างนอกท้องฟ้าสว่างแล้ว มือข้างที่ยังสมบูรณ์ของหลีซูซูกำเสื้อผ้าแน่น จ้องมองแสงสว่างนั้น ไม่รู้คิดอะไรอยู่

เสียงน้ำมาจากตรงนั้นเช่นกัน ข้างนอกฝนกำลังตก

บาดแผลของนาง ร่องรอยการร่วมรักบนร่างกายนาง ไม่มีใครทำความสะอาดให้

ลมหายใจร้อนผ่าวบอกนางว่านางกำลังเป็นไข้

หลีซูซูออกแรงลุกขึ้นนั่งบนเตียงศิลา ใช้เสื้อผ้าห่อคลุมร่างกาย

บ่วงเชือกวารีอ่อนเปล่งแสงสีเงินสว่างท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมืดมิด หลีซูซูเดินไปใต้รอยแยก นั่งพิงเชิงกำแพงอย่างไร้เรี่ยวแรง แล้วอ้าปากรองรับน้ำฝน

กลีบปากแห้งผากของนางชุ่มชื้นขึ้นนิดหน่อย หลีซูซูรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย

นางกอดเข่า ฝังแก้มในวงแขน

ในชีวิตนี้ น้อยครั้งที่นางจะรู้สึกสิ้นหวังและเปราะบางอย่างตอนนี้ มิใช่แค่เพราะเหตุการณ์เมื่อคืน แต่ยังเป็นเพราะตะปูดับวิญญาณสามดอกแตกสลายไป

นางได้แต่เฝ้ามองพวกมันปะทะกับเกล็ดป้องหัวใจ ก่อนสลายกลายเป็นผุยผง ส่วนเกล็ดป้องหัวใจก็มีรอยร้าวสีทองเช่นกัน

นางล้มเหลวแล้ว สิ่งที่เสียไปคือตนเอง ยังมีสรรพชีวิตในใต้หล้า

ไม่มีตะปูดับวิญญาณแล้ว ความรักของพญามารหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นความแค้นถั่งโถม สถานการณ์ชะงักงัน นางจะ…ถูกกักขังเช่นนี้ไปชั่วชีวิตหรือไม่

 

หลีซูซูไม่เคยเกิดความรู้สึกด้านลบเช่นนี้มาก่อน

นางคิด บางทีคนในสำนักไม่ควรมอบภารกิจนี้ให้นาง นางเป็นเพียงเซียนผู้น้อยที่อายุเพิ่งครบร้อยปีเท่านั้น จะแบกรับภารกิจเช่นนี้ได้อย่างไร แม้แต่หยุดยั้งมิให้ตะปูดับวิญญาณแตกสลาย นางยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ!

นางเพิ่งก้าวออกจากแดนเซียนที่เต็มไปด้วยการปกป้องคุ้มครองจากทุกคน ก็ล้มลงตรงหน้าพญามารจนบาดแผลเต็มตัวไปหมด

ทว่านางพยายามอย่างเต็มที่แล้วจริงๆ

ทั้งๆ ที่อยู่ในโลกมนุษย์ไม่ถึงสองปี กลับรู้สึกยาวนานกว่าร้อยปีที่ผ่านมาของนางเสียอีก

หลีซูซูกลั้นน้ำตา การแบกโลกในอีกห้าร้อยปีให้หลังเอาไว้ตลอดเวลา ทำให้นางต้องระมัดระวัง เหมือนก้าวย่างไปบนแผ่นน้ำแข็งบางเฉียบ แม้กระทั่งตอนถูกบงการให้ฆ่าเซียวหลิ่น ยังทำได้เพียงร้องไห้แค่ชั่วเวลาสั้นๆ จากนั้นเช็ดน้ำตาให้แห้งและรักษาเมืองแทนเขาต่อไป นางถึงขั้นไม่กล้าบังเกิดความรู้สึกอ่อนโยนกับใครมากเกินไป ด้วยเกรงว่าจะกระทบต่อจุดมุ่งหมายในการเดินทางมาโลกมนุษย์ครั้งนี้

แต่นางก็เป็นชีวิตหนึ่งในสามพิภพแห่งนี้ ร่างกายมีเลือดมีเนื้อ นางก็เจ็บเป็น หวาดกลัวเป็น หลงทางเป็นเหมือนกัน

หยดน้ำฝนตกกระทบใบหน้านาง

จิตบำเพ็ญที่แน่วแน่มั่นคงมาโดยตลอดเริ่มสั่นคลอนทีละนิด

เสียงหนึ่งเหมือนกำลังบอกว่า…

“อย่ายืนหยัดอีกเลย พอแค่นี้เถอะ เจ้าทำไม่สำเร็จหรอก เขาเป็นถึงพญามาร เขารู้แล้วว่าเจ้าหลอกเขา ขืนยังยืนกรานต่อไป มีแต่จะต้องตายอยู่ในห้าร้อยปีก่อนนี้”

“กลับบ้านเถอะ เดิมทีทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนมิใช่สิ่งที่เจ้าควรแบกรับไว้อยู่แล้ว ปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา กลับไปยังยุคสมัยของเจ้า ต่อให้ต้องตายจริงๆ ก็ง่ายดายและไม่ทรมาน”

“เจ้าปกป้องสามพิภพ แล้วใครจะมาปกป้องเจ้า”

หลีซูซูกอดตนเองแน่น กัดฟันอย่างแรง นางสัมผัสถูกผนังหินเย็น หินนี้เย็นเฉียบปานน้ำแข็ง แม้ตอนนี้จะเป็นฤดูคิมหันต์ แต่นางยังคงหนาวจนตัวสั่นสะท้าน

สี่ด้านล้วนไม่มีทางออก โกวอวี้เงียบไปแล้ว นางกัดปลายนิ้วจนเลือดออกและวาดยันต์ ทว่าไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย

นางถูกขังอยู่ในมิติฮุ่นตุ้น* แห่งหนึ่ง

สถานที่แห่งนี้เหมือนกรงขังที่เพียนหรานเคยใช้ ทำให้คนได้แต่ถูกขังอยู่ที่นี่เท่านั้น นางมิอาจไปที่ใดได้ แม้แต่โกวอวี้ยังถูกบังคับให้หลับใหล

หลีซูซูปิดตาตนเอง บุปผาเหนือพิภพเริ่มเจ็บอีกแล้ว

เนื่องจากความหวาดหวั่นและความป่วยไข้ ครั้งนี้จึงเจ็บปวดรุนแรงยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา นางอดทนอยู่นาน พอลืมตาอีกครั้ง พบว่าแม้แต่ลำแสงอ่อนจางนั้น นางก็มองเห็นไม่ค่อยชัดแล้ว

หลีซูซูขยี้ดวงตา ความเงียบงันน่ากลัวจู่โจมนาง มีชั่วขณะหนึ่งที่แม้แต่เสียงน้ำหยดติ๋งๆ ยังเหมือนห่างออกไปไกล นางขดตัวอยู่บนเตียงศิลา คิดถึงเมื่อนานแสนนานมาแล้ว โกวอวี้เคยบอกผลลัพธ์ของการใช้บุปผาเหนือพิภพกับนาง

โชคชะตารันทด ตายแบบศพไม่สมบูรณ์

 

เนี่ยนมู่หนิงเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล “ไป๋อวี่ ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”

เนี่ยนไป๋อวี่ส่ายหน้า สีหน้าหนักอึ้งยิ่ง

“วันนี้ตอนกลับมา กระอักโลหิตไปครั้งหนึ่ง จวบจนบัดนี้ยังไม่ฟื้น หมอหลวงบอกว่าชีพจรหัวใจได้รับความเสียหาย มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินฤดูหนาวนี้”

เนี่ยนมู่หนิงซวนเซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ไฉนจึงกลายเป็นเช่นนี้ได้ ล้วนต้องโทษข้า หากข้าเฝ้าคุณหนูสามสกุลเยี่ยให้ดี ย่อมไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”

เนี่ยนไป๋อวี่ประคองนางเอาไว้ “พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ รอฝ่าบาทฟื้นขึ้นมาก่อน บางทีเขาอาจมีหนทาง”

เมื่อนานมาแล้วเคยมีคนบอกอย่างมั่นใจว่าถานไถจิ้นจะอยู่ได้ไม่เกินสิบหกปี กระนั้นตลอดหลายปีมานี้ไม่รู้ว่าแลกด้วยสิ่งใด เขากลับมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยจวบจนปัจจุบัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ บางทีอาจมีหนทางแก้ไขก็เป็นได้

เนี่ยนไป๋อวี่ไม่ได้เล่าเหตุการณ์ตอนเขาเห็นฝ่าบาทเมื่อเช้านี้ให้ผู้เป็นพี่สาวฟัง จวบจนบัดนี้ย้อนคิดดูแล้ว ความรู้สึกในใจเขายังคงระคนปนเป

มุมปากของฝ่าบาทมีรอยเลือด แววตาว่างเปล่าแข็งทื่อ นัยน์ตาดำเข้มสั่งสมความโกรธแค้นไว้มากมายมหาศาล หน้าอกเขามีร่องรอยสีเข้มกลุ่มหนึ่งซึมออกมา เขากดหัวใจแน่น หนีกลับมายังตำหนักเฉิงเฉียน กระอักโลหิตคำหนึ่งและหมดสติไป

คิมหันต์ของแคว้นโจวมากด้วยฝน

ตอนบ่ายฝนที่โปรยปรายยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เจาหวาฟูเหรินมาเยี่ยมถานไถจิ้น เนี่ยนไป๋อวี่ทำตัวเหมือนเงามืดสายหนึ่ง คอยตามเยี่ยปิงฉางเงียบๆ โดยไม่พูดไม่จา

เยี่ยปิงฉางพูดขึ้นว่า “ใต้เท้าเนี่ยน ข้าแค่อยากพูดคุยกับฝ่าบาทตามลำพังสักหน่อย”

เนี่ยนไป๋อวี่ส่ายหน้านิดๆ สายตาจ้องมองไปที่พื้น

เยี่ยปิงฉางจนใจ ได้แต่ปล่อยให้เหล่าองครักษ์เยี่ยอิ่งจับตาดู นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อให้ถานไถจิ้น

ข้างกายเขา เยี่ยปิงฉางเห็นเกล็ดป้องหัวใจที่มีรอยร้าว

สีหน้านางเปลี่ยนไป รีบหยิบขึ้นมา

ดังคาด บนเกล็ดป้องหัวใจที่เดิมทีเป็นสีเงิน มีริ้วสีทองกระจายอยู่หนาแน่นเต็มไปหมด นางลองสัมผัสมัน พบว่ามันไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย

ฉับพลันนั้นเองเยี่ยปิงฉางก็มีสีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุด นางตระหนักถึงความจริงที่มิอาจเปลี่ยนแปลงข้อหนึ่ง เกล็ดป้องหัวใจแตกแล้ว!

เกิดอะไรขึ้นกับถานไถจิ้น!

องครักษ์เฉียนหลงจะทำลายเกล็ดป้องหัวใจจนแตกจริงๆ ได้อย่างไร

สีหน้านางเปลี่ยนแปรไปมา ปวดใจจนสูดหายใจไม่หยุด กระนั้นภายใต้สายตาของเนี่ยนไป๋อวี่และคนอื่นๆ นางได้แต่บังคับให้ตนเองคืนสู่ความสุขุมเยือกเย็นดังเดิม ท่อนไม้กลายเป็นเรือ* ไปแล้ว ต่อให้นางเสียใจภายหลังเพียงใดก็มิอาจทำอันใดได้

เกล็ดป้องหัวใจถูกทำลาย แลกกับการขจัดภัยคุกคามจากหลีซูซู

ตอนนี้สำหรับถานไถจิ้น หลีซูซูก็คือคนทรยศที่มีองครักษ์เฉียนหลงอยู่ในมือ ตนเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง ถือเกล็ดป้องหัวใจไว้กลับมิอาจใช้งานอย่างเต็มที่ ทั้งยังดึงดูดพวกปีศาจให้เข้ามาหา

สถานการณ์ตอนนี้ไม่นับว่าแย่

หลังโน้มน้าวตนเองแล้ว เยี่ยปิงฉางอยากเหน็บชายผ้าห่มให้ถานไถจิ้น ทว่ากระบี่เล่มหนึ่งกลับสกัดมือนางไว้

เนี่ยนไป๋อวี่พูด “ฟูเหรินเยี่ยมฝ่าบาทเสร็จแล้วก็กลับไปเถอะ”

ความเก้อกระดากวาบขึ้นบนใบหน้าของเยี่ยปิงฉางและหายไปอย่างรวดเร็ว นางยิ้มพยักหน้า

 

ถานไถจิ้นฟื้นขึ้นมาตอนบ่ายของวันที่สอง เขาตระหนักถึงความผิดปกติของร่างกายเช่นกัน จึงเรียกนักพรตเฒ่าในธงกลืนวิญญาณออกมา

“สิ่งที่อยู่ในหัวใจเรา สามารถเอาออกมาได้หรือไม่”

นักพรตเฒ่าลองดูครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าตอบว่า “ฝ่าบาทโปรดอภัยที่กระหม่อมไร้ความสามารถ ที่ผ่านมาไม่เคยพบเจอวัตถุชั่วร้ายเช่นนี้มาก่อน ดูเหมือนมันจะฝังเข้าไปในหัวใจของฝ่าบาท มิอาจนำออกมาได้”

ทราบอย่างนี้แล้ว มือเขาแตะลงบนหน้าอก สีหน้าเยียบเย็นเป็นน้ำแข็ง

ขณะที่นักพรตเฒ่าคิดว่าเขาจะบันดาลโทสะ เขากลับกระดกริมฝีปากเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “เช่นนั้นก็ทิ้งไว้อย่างนี้”

ถึงอย่างไรก็แค่เจ็บเท่านั้น

ก็แค่เจ็บเล็กน้อยเท่านั้นเอง

“จับปีศาจมาให้เราอีกหลายๆ ตัว ถ้าเจอผู้บำเพ็ญเซียนก็จับมาด้วย”

นักพรตเฒ่ารีบรับคำ เข้าใจดีว่าถานไถจิ้นคิดจะพึ่งลูกกลอนในตัวปีศาจต่อชีวิตตนเองต่อไป หากบอกว่าเมื่อก่อนอายุขัยของเขาต้องสังหารปีศาจปีละหนึ่งตัว บัดนี้เกรงว่าคงต้องล้วงลูกกลอนในตัวปีศาจทุกเดือน เพื่อมาเติมพลังชีวิตที่รั่วไหลไปของเขา

เนี่ยนไป๋อวี่กำลังจะถือธงกลืนวิญญาณจากไป ถานไถจิ้นกลับเอ่ยเสียงเย็น “ให้เยี่ยฉู่เฟิงไป”

“ฝ่าบาท?”

ถานไถจิ้นพูด “ในตัวเยี่ยฉู่เฟิงมีลูกกลอนของปีศาจจิ้งจอกอยู่ครึ่งเม็ด เขาจับปีศาจระดับสูงได้ดีกว่าพวกเจ้า”

เนี่ยนไป๋อวี่กับนักพรตเฒ่ามองตากัน ดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

ไม่น่าเชื่อว่าในตัวของเยี่ยฉู่เฟิงจะมีลูกกลอนของปีศาจจิ้งจอกเพียนหรานอยู่ครึ่งเม็ด มิน่าฝ่าบาทถึงได้เก็บคนผู้นี้ไว้ใช้งาน

เนี่ยนไป๋อวี่พยักหน้า ถือธงกลืนวิญญาณไปหาเยี่ยฉู่เฟิงทันที

ถานไถจิ้นเงียบงัน ใบหน้าขาวซีดเย็นชา

เนี่ยนมู่หนิงอยู่ในตำหนัก ก้มหน้ามองพื้น นางรู้สึกทุกข์ใจอยู่บ้าง หลายวันก่อนตอนฝ่าบาทเตรียมงานเถลิงราชย์และงานแต่งตั้งฮองเฮา ดวงตาเจือประกายเจิดจรัส ทว่าบัดนี้ ในดวงตาเขาว่างเปล่าไม่เหลืออะไรเลย

นางคิดว่าฝ่าบาทจะถามถึงหญิงสาวในห้องลับฮุ่นตุ้น ไม่คิดว่าเขาจะเพียงหันหลังอย่างเฉยชา ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ราวกับว่าคนผู้นั้นตายไปแล้ว ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย

เนี่ยนมู่หนิงเฝ้ารอจนถึงยามโพล้เพล้ ก็ไม่เห็นฝ่าบาทจะถามถึงนาง

เนี่ยนมู่หนิงได้แต่เอ่ยปากเสียงค่อยอย่างลังเลว่า “ฝ่าบาท นางไม่สบาย ตั้งแต่เมื่อวานจวบจนตอนนี้ นางดื่มน้ำฝนไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

ชายหนุ่มลืมตา มองลวดลายสีเงินบนเตียงมังกร หัวเราะเบาๆ พลางกล่าว “ส่งคนไปดู อย่าปล่อยให้นางตาย นางไม่สมควรตายอย่างง่ายดายเช่นนี้”

เนี่ยนมู่หนิงเอ่ยรับคำ

หลีซูซูล้มป่วยครั้งนี้กินเวลาเนิ่นนาน

พลังของบุปผาเหนือพิภพมิอาจนำออกมาใช้ได้ นางกลายเป็นคนธรรมดาโดยสมบูรณ์ ขาดการติดต่อจากโกวอวี้ สูญเสียวิชาอาคมที่เปรียบดังปีก สติของนางมึนงงเลอะเลือน มิอาจแยกแยะทิวาราตรี

ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่งจะมีนางกำนัลเข้ามาเช็ดตัวทำความสะอาดร่างกายให้นางและป้อนยา

ช้อนยื่นเข้ามา นางกลืนมันลงไปโดยไม่รู้ตัว

ปณิธานอันแข็งแกร่งทำให้นางพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไป กระนั้นด้วยผลสะท้อนจากบุปผาเหนือพิภพ ทำให้ร่างกายนางเริ่มแย่ลง

นางกินอาหารไม่ลง กระเพาะที่ว่างเปล่าปวดแสบไปหมด

นางกำนัลคิดว่านางเลือกกิน จึงปรายตามองนางอย่างเย็นชา “ยังคิดว่าตนเองเป็นว่าที่ฮองเฮาหรือไรกัน อดอาหารแล้วจะเรียกร้องความสงสารจากฝ่าบาทได้อย่างนั้นหรือ ข้าขอเตือนให้เจ้าสำรวมหน่อยเถอะ ฝ่าบาทบอกแล้วว่าหากไม่อยากกินก็ปล่อยให้หิวตาย”

จากนั้นนางกำนัลก็ถือกล่องอาหารเดินจากไป

ไม่มีใครฟังหลีซูซูอธิบาย และไม่มีใครรักษาโรคให้นาง

วันแล้ววันเล่า หลีซูซูมีสภาพอิดโรยมากขึ้นทุกที บางครั้งยามที่นางมีสติ เมื่อเห็นแสงสว่างส่องเข้ามา จะสลักคำว่า ‘เจิ้ง’* ลงไปทีละขีด จนกระทั่งมีอักษร ‘เจิ้ง’ ครบหกตัว

นางจึงตระหนักอย่างพร่าเลือนว่านางถูกถานไถจิ้นกักขังไว้อย่างน้อยก็หนึ่งเดือนแล้ว

โลกมนุษย์ย่างเข้าเดือนเจ็ด

ด้วยทนความหวาดกลัวของการไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ทุกสิ่งมืดมิดไปหมดเช่นนี้ไม่ไหว บางครั้งหลีซูซูจะเคาะประตูห้องลับพลางแผดเสียง “ปล่อยข้าออกไป ปล่อยข้าออกไป…”

นางถือกำเนิดในสระสวรรค์ที่มีแสงสว่างเจิดจ้า ความมืดแคบที่นางไม่เคยหวาดกลัวและความทรมานที่ได้รับจากบุปผาเหนือพิภพทำให้นางหนาวสะท้าน วัตถุเทพที่ฝังอยู่ในร่างกายนางค่อยๆ กัดกร่อนจิตใจ ทำให้นางฝันร้ายตลอดทั้งวัน

เหมือนเช่นถานไถจิ้นตอนครอบครองบุปผาเหนือพิภพ ตกอยู่ในห้วงของฝันร้าย ยากจะตื่นขึ้นมา

นิสัยดั้งเดิมของนางรักอิสรเสรีมาแต่กำเนิด การถูกกักขังในที่มืดแคบโดยมองไม่เห็นความหวังเช่นนี้กร่อนทำลายปณิธานของนางไปทีละวัน

แต่นางไม่อยากตาย นางยังคงอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป การสั่นคลอนของจิตบำเพ็ญไม่เพียงพอที่จะทำลายคนผู้หนึ่ง ทุกครั้งที่ตื่นจากห้วงฝันร้ายของบุปผาเหนือพิภพ นางจะใช้ปณิธานทั้งหมดที่มี เฝ้ารอแสงสว่างที่จะสาดส่องเข้ามาเพียงครู่หนึ่ง

แสงสว่างที่จะช่วยให้นางรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

ถานไถจิ้นไม่ได้มาหานางแม้แต่ครั้งเดียว ราวกับลืมไปแล้วว่าบนโลกนี้ยังมีหญิงสาวผู้หนึ่งที่เขารู้สึกว่า ‘ยามรักอยากให้อยู่ ยามชังอยากให้ตาย’

หลีซูซูทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัดเจน

วันหนึ่งนางตื่นมา พบว่าดวงตาข้างขวามองเห็นไม่ชัดเสียแล้ว

นางกำนัลยื่นน้ำมาให้ หลีซูซูควานมือไปรับ แต่ชามใบนั้นกลับตกแตก

“เจ้า!” ตอนแรกนางกำนัลบันดาลโทสะ ครั้นเห็นดวงตาไร้ประกายของนาง จึงเอ่ยอย่างลนลานว่า “เจ้า…เจ้ามองไม่เห็นหรือ”

หลีซูซูเม้มปาก ไม่เอ่ยตอบอะไร

นางกำนัลวิ่งตาลีตาเหลือกออกไป แม้แต่เศษกระเบื้องจากชามที่แตกยังไม่ทันได้เก็บกวาดด้วยซ้ำ

หลีซูซูเบิกตาโต เบื้องหน้ามืดมิด นางกลับไม่กล้านอนลง

เมื่อจิตบำเพ็ญมีรอยร้าว นางมีสิ่งที่หวาดกลัวแล้ว บุปผาเหนือพิภพย่อมเริ่มทำงาน ในช่วงเวลาอันยาวนานนี้ ทุกครั้งที่หลับไป นางมักกลัวว่าจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีก

นางกอดตนเองแน่น คิดในใจว่าอันที่จริงนางยังมีโอกาสครั้งสุดท้าย

อยู่ หรือว่าตาย

 

* ชาวจีนเชื่อว่าเผิงไหลเป็นชื่อของภูเขาที่ตั้งอยู่ในแดนเซียน

* ฮุ่นตุ้นเป็นคำเรียกสภาวะปั่นป่วนยุ่งเหยิงที่อากาศ รูป และธาตุต่างๆ ปะปนกัน ตำนานการสร้างโลกของจีนเชื่อว่าจักรวาลอยู่ในภาวะฮุ่นตุ้น ก่อนที่เทพผานกู่จะใช้ขวานแยกฟ้าดินออกจากกัน นอกจากนี้ในทางปรัชญา ฮุ่นตุ้นยังหมายถึงภาวะว่างเปล่าได้ด้วย

* ท่อนไม้กลายเป็นเรือ หมายถึงเรื่องราวได้ดำเนินมาถึงขั้นที่ไม่อาจแก้ไขหรือกอบกู้กลับคืนจึงต้องปล่อยให้เลยตามเลย

*ชาวจีนมีวิธีขีดจดจำนวนโดยเขียนตามลำดับขีดของอักษรเจิ้ง (正) ซึ่งมีห้าขีดเพื่อง่ายต่อการนับ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: