X
    Categories: จันทราอัสดงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จันทราอัสดง เล่ม 3 บทที่ 72-73

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 72

“มองไม่เห็น?” เมื่อฟังข่าวนี้แล้ว ถานไถจิ้นนิ่งสงบยิ่งนัก

นางกำนัลกลัวเหลือเกินว่าถานไถจิ้นจะตำหนิตนเรื่องที่หลีซูซูมองไม่เห็น นางเอ่ยเสียงสั่น “ฝ่าบาท จะให้เชิญหมอหลวงไปตรวจรักษาแม่นางหรือไม่เพคะ”

ชายหนุ่มในชุดสีนิลฟังแล้วโค้งริมฝีปากอย่างเสียดสี

“เราขอแค่ให้นางยังมีลมหายใจ แค่ดวงตาคู่เดียวเท่านั้น เกี่ยวอันใดกับเราเล่า”

นางกำนัลเข้าใจความหมายของเขาแล้ว นางพรูลมหายใจยาวด้วยความโล่งอก

เดือนเจ็ดฤดูฝนยังไม่ผ่านพ้นไป ตอนหยางจี้เดินเข้ามาก็เห็นฝ่าบาทกำลังเลี้ยงดูบุปผาดอกหนึ่ง บุปผาดอกนั้นยังไม่ผลิบาน มีเพียงดอกตูมเล็กๆ เท่านั้น เป็นบุปผาสีฟ้า เหมือนผลึกน้ำแข็งที่งดงาม

หยางจี้รู้สึกแปลกใหม่ จึงมองนานกว่าปกติ

ถานไถจิ้นเอ่ยเสียงเรียบขึ้น “บุปผาอมตะที่แคว้นเสินชาส่งมาให้ ว่ากันว่ารักษาได้สารพัดโรค ช่วยระงับความเจ็บปวด”

นิ้วมือเย็นเฉียบของชายหนุ่มไล้ผ่านบุปผาอมตะ บุปผาที่งดงามดอกนั้นแผ่กลิ่นหอมรวยรื่น

“เสินชามอบของล้ำค่าเช่นนี้ให้ฝ่าบาท ต้องการสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ถานไถจิ้นเผยรอยยิ้มเหยียดหยัน “ต้องการตำแหน่งฮองเฮาแคว้นโจวของข้า”

เดือนที่แล้วถานไถจิ้นเปลี่ยนชื่อรัชสมัยเป็น ‘จิ่งเหอ’ แคว้นซย่าที่เคยแข็งแกร่งที่สุดตกอยู่ใต้อาณัติของแคว้นโจว ถานไถจิ้นในฐานะองค์เหนือหัวคนใหม่ สำหรับแว่นแคว้นทั้งหลาย ย่อมเป็นเป้าหมายที่ควรค่าแก่การผูกสัมพันธไมตรี

แคว้นเสินชารู้สถานการณ์มาแต่ไหนแต่ไร ถานไถจิ้นยังมิได้ยกทัพไปตีพวกเขา พวกเขากลับส่งของขวัญชิ้นใหญ่มาให้ก่อน หวังว่าถานไถจิ้นจะแต่งองค์หญิงของพวกเขาเป็นฮองเฮา

สำหรับฮ่องเต้ การสมรสเชื่อมสัมพันธ์ก็เป็นหนทางในการถ่วงดุลอำนาจวิธีหนึ่งเหมือนกัน

หยางจี้สังเกตสีหน้าของถานไถจิ้นพลางเอ่ยอย่างระมัดระวัง “พระประสงค์ของฝ่าบาท…”

ถานไถจิ้นเขี่ยบุปผาดอกนั้น เนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “บุปผารับไว้ คนไม่ต้องการ ช่วยเราเลือกของขวัญสักชิ้นส่งกลับไป”

หยางจี้มองเขาแวบหนึ่งและผงกศีรษะรับคำ

 

หลีซูซูอยู่ในห้องลับฮุ่นตุ้นอีกหลายวัน นางกำนัลที่ดูแลนางกลับมาวางท่าโอหังดังเดิม

ถานไถจิ้นมิได้ปล่อยนางออกไป ทั้งมิได้ให้หมอหลวงมารักษานาง

ในใจหลีซูซูคาดเดาผลลัพธ์เช่นนี้ได้อยู่แล้ว นางก้มศีรษะลง มองดูนิ้วมือที่กระดูกแตกหักเคลื่อนจนผิดตำแหน่ง พยายามอดทนกับความเจ็บปวดต่อมันกลับเข้าที่เอง ทว่าร่างกายที่ผ่ายผอมลงทุกวันยังคงอ่อนแอลงเรื่อยๆ นางฝืนกลืนอาหารลงไปมากกว่านี้หน่อย สุดท้ายกลับพบว่าเปล่าประโยชน์

ค่ำคืนวันหนึ่ง นางไอเป็นโลหิต

หลีซูซูรู้ว่าพลังเทพของบุปผาเหนือพิภพเริ่มจะสูญไป โชคร้ายของมันกำลังจะมาเยือน

และนางเดิมพันแพ้

ถานไถจิ้นเคยพูดตั้งมากมายหลายครั้งว่าอยากให้นางตาย ครั้งนี้เขาต้องการชีวิตนางจริงๆ แล้ว

 

หลีซูซูหลับไปอย่างมึนงงไม่ได้สติ วันต่อมานางกำนัลผลักนางอย่างแรง พบว่านางไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย มุมปากเต็มไปด้วยเลือด จึงได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์

เรื่องกระอักเลือดทำให้หลีซูซูได้ออกจากห้องลับฮุ่นตุ้นในที่สุด มีคนจับชีพจรให้นาง คุยอะไรบางอย่างเสียงเลือนราง

“แม่นางท่านนี้ร่างกายอ่อนแอ แต่กระหม่อมดูไม่ออกว่ามีปัญหาอะไร ส่วนดวงตานาง เกรงว่าคงอยู่ในที่มืดนานเกินไป จึงมองไม่เห็นชั่วคราวเท่านั้น”

อีกด้านหนึ่ง คนอีกคนมิได้เอ่ยอะไรเนิ่นนาน

หลีซูซูได้ยินเพียงเสียงแค่นหัวเราะเบาๆ

“ในเมื่อนางชอบเล่นลูกไม้ถึงเพียงนี้ เราจะสงเคราะห์นาง อยากออกมาหรือ เช่นนั้นก็อยู่ที่นี่แล้วกัน”

พลังอบอุ่นขุมหนึ่งถูกถ่ายมาบนข้อมือ จวบจนหัวค่ำหลีซูซูจึงฟื้นขึ้นมาในที่สุด

โกวอวี้มองร่างกายผ่ายผอมของเจ้านายน้อยอย่างไม่อยากเชื่อ ก่อนจะร้องไห้โฮเสียงดัง

นับตั้งแต่มันมีสติหยั่งรู้เป็นต้นมา นี่เป็นครั้งที่สองที่มันร้องไห้อย่างเศร้าเสียใจถึงเพียงนี้ ครั้งก่อนคือตอนที่มารดาของหลีซูซูจากไป

โกวอวี้ถ่ายปราณวิเศษที่ได้จากการฝึกบำเพ็ญในโลกมนุษย์ปีกว่าให้หลีซูซูทั้งหมด ในที่สุดก็ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

หลีซูซูหอบหายใจ เบื้องหน้ามืดมิด แต่นางรู้ว่านี่คือตอนกลางวัน ดวงตานางมองไม่เห็นโดยสิ้นเชิงแล้ว

โกวอวี้มองเห็นสีหน้าหม่นหมองของหลีซูซู

หลังเงียบงันเนิ่นนาน มันตัดสินใจและพูดเสียงเบาว่า “ให้ข้าพาท่านกลับบ้านเถอะ”

กลับไปยังสำนักเหิงหยางในอีกห้าร้อยปีให้หลัง ไปบรรพตฉางเจ๋อ สถานที่เกิดของท่าน ย่อมไม่ต้องเจ็บปวดทรมานเหมือนตอนนี้อีก

ดวงตาของท่านจะเห็นแสงสว่างอีกครั้ง ท่านจะกลับไปเป็นเซียนได้อีกครั้ง ไม่จำเป็นต้องแบกรับความทุกข์ทรมานใดๆ อีก

หญิงสาวโซซัดโซเซลงจากเตียง ริมฝีปากของนางแห้งจนแตก รอบด้านไม่มีใครสักคน เงียบสนิทจนน่ากลัว

โกวอวี้รีบพูด “ไปทางซ้าย ระวัง! ใช่ เดินไปข้างหน้า เจอโต๊ะหรือไม่”

หลีซูซูควานหาถ้วยชาบนโต๊ะ และรินน้ำครึ่งถ้วยให้ตนเอง

โกวอวี้เห็นนิ้วมือนางบวมแดง ไม่เหลือความเรียวยาวขาวเนียนเช่นในอดีต มันทนดูต่อไปไม่ไหว

หลีซูซูเอ่ยปากเสียงแหบ “ข้ากลับไปแล้ว ท่านพ่อ อาจารย์อาทั้งหลาย ศิษย์พี่ใหญ่กงเหยี่ย ยังมีคนอื่นๆ ในสำนักจะทำอย่างไร”

ทุกคนจะต้องตาย เหมือนในฝันร้ายที่มารฝันสร้างขึ้นมา ทุกคนจะตายไปทีละคน

ผู้อาวุโสทั้งแปดใช้พลังตบะที่มีจนหมดสิ้น ส่งนางย้อนกลับมาเมื่อห้าร้อยปีก่อน หากนางหนีกลับสำนักเหิงหยาง ย่อมไม่มีโอกาสครั้งที่สองอีกแล้ว

โกวอวี้เงียบงัน

มันคือโกวอวี้เก้าชั้นฟ้า ถือกำเนิดในยุคบรรพกาล แต่กลับมิอาจเทียบกับวัตถุเทพอื่นๆ ที่ถือกำเนิดในช่วงเวลาเดียวกันและสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ มันเป็นเพียงหินหยกบรรพกาลที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินเป็นเวลายาวนานเกินจะนับ พุทธิปัญญาก่อกำเนิดอย่างช้าๆ จึงมีรูปลักษณ์ในเวลาต่อมา

มันฝึกบำเพ็ญมากี่ปีแล้วก็มิอาจรู้ได้ เดิมทีควรหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับขุนเขาและสายน้ำในสามพิภพ เทียบกับความสงสารเห็นใจที่หลีซูซูมี มันกลับรู้สึกรับผิดชอบต่อสรรพชีวิตมากยิ่งกว่า

ช่วยเหลือเจ้านายน้อยกำจัดพญามาร ปกป้องคุ้มครองสรรพชีวิต นี่ต่างหากคือความหมายในการดำรงอยู่ของมัน

มันทุกข์ใจจนมิอาจทุกข์ใจมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว นานครู่ใหญ่จึงตัดสินใจพูดว่า “ตะปูดับวิญญาณสลายไปแล้ว ภารกิจล้มเหลวแล้ว ข้าจะพาท่านกลับไป!”

กำไลบนข้อมือเปล่งแสงทันที

หลีซูซูรีบกดโกวอวี้ไว้ทันใด

“เจ้านายน้อย?”

หลีซูซูพูด “รออีกสักนิด ข้า…มีวิธีสุดท้าย”

“อะไรนะ!” โกวอวี้มองนางอย่างตกตะลึง

ดวงหน้าขาวซีดของหญิงสาวเผยรอยยิ้มจางๆ ประหนึ่งบุปผายามเช้าที่ต้องน้ำค้างอรุณ…ผลิความงามอันเปราะบางออกมาอย่างเต็มที่ก่อนตาย

เสี่ยวฮุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงยินดีปรีดา “ฟูเหริน ท่านไม่รู้อะไร หญิงผู้นั้นถูกฝ่าบาทโยนเข้าไปในวังเย็น บ่าวได้ยินว่าพอถึงฤดูร้อน สถานที่แห่งนั้นจะมีทั้งงูหนอนหนูมด ข้าวก็เป็นข้าวบูด ครั้งนี้ฝ่าบาทชิงชังนางโดยสมบูรณ์!”

เยี่ยปิงฉางวางชุดที่ใกล้จะเสร็จลง เหลือบดวงเนตรงดงามขึ้นเอ่ย “ระวังคำพูดด้วย”

เสี่ยวฮุ่ยรีบตบปากตนเอง “ดูปากของบ่าวสิ ฟูเหรินสอนตั้งกี่ครั้งแล้วยังไม่รู้จักจำ ครั้งนี้ฟูเหรินจะเห็นแก่สายสัมพันธ์พี่น้อง เห็นใจนางอีกมิได้เป็นอันขาด!”

เยี่ยปิงฉางพยักหน้า “ไม่แน่นอน น้องหญิงสามคิดจะทำร้ายฝ่าบาท ฝ่าบาททรงไว้ชีวิตนางก็นับว่าเมตตามากแล้ว”

“บ่าวยังได้ยินมาว่าดวงตาของนางมองไม่เห็นแล้ว”

เยี่ยปิงฉางชะงักไป “อย่างนั้นหรือ”

ตอนบ่ายนางเอาชุดที่ทำเสร็จไปมอบให้ถานไถจิ้น บังเอิญเจอหมอหลวงกำลังตรวจรักษาเขาอยู่

กลิ่นหอมอ่อนจางภายในห้องทำให้เยี่ยปิงฉางสังเกตเห็นบุปผาอมตะดอกนั้นในแวบแรก

บุปผาอมตะใกล้จะบานแล้ว ยามอยู่ใต้แสงแดดดูงดงามไม่เหมือนมวลไม้ใด

ถานไถจิ้นเลี้ยงไว้อย่างนั้น มิได้มีเจตนาจะนำมาใช้ ทุกคนในวังต่างรู้ว่าฝ่าบาทมีดอกไม้นี้อยู่ ต่างพากันคาดเดาว่าฝ่าบาทจะเก็บบุปผาอมตะไว้ให้ใคร

เยี่ยปิงฉางพลันคิดถึงดวงตาที่มองไม่เห็นของน้องหญิงสาม

หากได้บุปผาอมตะ ร่างกายของน้องหญิงสามจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอนกระมัง

ถานไถจิ้นเห็นนาง จึงเอ่ยเสียงเรียบ “มานั่งเถิด”

จากนั้นสองคนทำเหมือนทุกครั้ง เดินหมากด้วยกันหนึ่งกระดาน

เยี่ยปิงฉางเอ่ยด้วยท่าทางลำบากใจ “อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันเกิดของหม่อมฉัน หม่อมฉันบังอาจขอร้องฝ่าบาทสักเรื่องได้หรือไม่เพคะ”

นี่เป็นครั้งแรกที่นางร้องขอบางอย่างกับถานไถจิ้นนับตั้งแต่มาแคว้นโจว

เมื่อคิดถึงเกล็ดป้องหัวใจที่ถูกทำลายไป ถานไถจิ้นพยักหน้าเอ่ย “ว่ามาสิ”

เยี่ยปิงฉางพูด “หม่อมฉันหวังว่าฝ่าบาทจะสามารถเสวยกระยาหารกับหม่อมฉันและมารดาสักมื้อได้” เอ่ยจบ นางบิดผ้าเช็ดหน้าแน่น มองถานไถจิ้นอย่างกระวนกระวาย

ถานไถจิ้นตอบนาง “ตกลง”

เยี่ยปิงฉางยิ้มน้อยๆ “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

ตำหนักในมีเยี่ยปิงฉางเป็นสตรีเพียงผู้เดียวที่มีศักดิ์ฐานะ วันคล้ายวันเกิดของนาง เหล่านางกำนัลย่อมจัดเตรียมงานอย่างพิถีพิถันยิ่ง

นางกำนัลข้างกายหลีซูซูหายไป ในวังเย็นมีเพียงเตียงแข็งกระด้างหลังหนึ่ง ยังมีโต๊ะที่วางป้านชาอีกตัว

หลังจากฟื้นขึ้นมาหลายวัน นางถึงพบว่าตนเองมิอาจใช้พลังวิเศษใดๆ ได้อีกแล้ว ตอนนี้นางไม่แตกต่างอันใดกับมนุษย์ธรรมดาทั่วไปผู้หนึ่ง

โกวอวี้บอกนางว่ายังคงมีลูกธนูวารีอ่อนในที่ลับนับไม่ถ้วนเล็งมาที่นาง เมื่อใดที่นางคิดหนีออกจากวังหลวงแคว้นโจว ลูกธนูเหล่านั้นจะยิงเข้ามาโดยไม่ลังเล

น่าเสียดายที่พวกเขาไม่รู้ว่าหลีซูซูสูญเสียความสามารถในการต่อต้านไปหมดสิ้นแล้ว

ทุกวันยามสนธยา นางจะคลำทางเดินออกมา ถึงมองไม่เห็นก็ให้โกวอวี้เอ่ยบอกทาง ขอเพียงนางยังอยู่ในเขตของวังเย็น องครักษ์เยี่ยอิ่งจะไม่ขัดขวางนาง

นางกำนัลหลายคนที่กลับจากซักเสื้อผ้าคุยกันว่า “หลายวันนี้ไฉนในวังจึงคึกคักยิ่งนัก มีเรื่องน่ายินดีอะไรใช่หรือไม่”

“มีแน่นอน อีกไม่กี่วันจะเป็นวันเกิดของเจาหวาฟูเหริน ตอนนี้ฝ่าบาทโปรดปรานนางเพียงผู้เดียว วันเกิดนาง ฝ่าบาทย่อมให้ความสำคัญ”

“พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าบุปผาอมตะที่เสินชาส่งมาให้ก่อนหน้านี้ หมายให้ฝ่าบาทแต่งองค์หญิงของพวกเขา ทว่าล้วนถูกฝ่าบาทปฏิเสธกลับไป มิใช่เพราะเจาหวาฟูเหรินยังจะเพราะใครเล่า หากไม่ติดที่ฐานะของเจาหวาฟูเหริน เกรงว่าฝ่าบาทคงให้นางเป็นฮองเฮานานแล้ว”

พวกนางพูดคุยกันและเดินห่างไปไกล

หลีซูซูยืนอยู่หลังกำแพง รู้สึกถึงความเย็นเยือกของแสงสนธยา สายลมพัดผ่านชายชุดสีน้ำชาของนาง

โกวอวี้พูดอย่างลังเล “เจ้านายน้อย ท่านได้ยินหรือไม่ ถานไถจิ้นมีบุปผาอมตะอยู่ในมือ นั่นเป็นยาวิเศษในโลกมนุษย์ ท่านลองไปขอเขาดูดีหรือไม่ ไม่แน่ดวงตาของท่านอาจจะมองเห็นได้”

หลีซูซูลูบตาข้างซ้ายของตนเอง

นานครู่ใหญ่จึงพยักหน้า “ข้า…อยากจะลองดูสักครั้ง”

นางหวาดกลัวยิ่ง

นี่เป็นครั้งแรกที่โกวอวี้เห็นนางรับปากไปขอของอย่างหนึ่งจากผู้อื่น โกวอวี้เห็นแล้วปวดใจมาก

วิหคศักดิ์สิทธิ์เกิดมารักอิสระ สถานที่ที่ฟูมฟักนางจนเติบใหญ่คือสระสวรรค์ที่กว้างใหญ่ไพศาลและงดงามเป็นที่สุด

ในห้องลับฮุ่นตุ้นไม่มีเสียง ทั้งยังไม่มีแสงสว่าง นางถูกขังมานานเกินไป บัดนี้กลางคืนตอนนอนนางยังคงสะดุ้งตื่นเป็นครั้งคราว

กระนั้นทิวาราตรี สำหรับหลีซูซูแล้วไม่มีความแตกต่างอันใด โลกของนางมีแต่ความมืดมนเสียแล้ว

บัดนี้เมื่อมีบุปผาอมตะ นางจึงอยากจะลองดู

นางไม่ต้องการชีวิตของถานไถจิ้นแล้ว นางจะคืนสิ่งที่ดียิ่งกว่าให้กับเขา

นางหวาดกลัวเกินไป คิดเพียงต่อให้สุดท้ายต้องตาย ก็ยังอยากเห็นโลกนี้มากกว่านี้หน่อย อย่าปล่อยให้นางตายอยู่ในความมืด

 

หนึ่งวันก่อนวันคล้ายวันเกิดของเยี่ยปิงฉาง ประจวบเหมาะเป็นวันที่สิบห้าของสองเดือนให้หลังพอดี

ดวงจันทร์แขวนตัวอยู่กลางท้องฟ้า ทอแสงลงมายังวังเย็นที่เงียบเหงาอ้างว้าง

หลีซูซูขดตัวอยู่บนเตียง ตัวสั่นนิดๆ พิษหนอนไหมใยวสันต์ในตัวนางกำเริบอีกแล้ว

หลีซูซูเองก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากสูญเสียพรหมจรรย์ ระยะเวลาที่พิษหนอนไหมใยวสันต์กำเริบจะสั้นกว่าเดิม ตอนนี้เพิ่งจะสองเดือนเท่านั้น พิษหนอนไหมใยวสันต์กลับกำเริบอีกครั้ง

นางกอดตนเองแน่น เหงื่อเปียกเส้นผมบนหน้าผาก หัวสมองยุ่งเหยิงเลอะเลือน นางไม่รู้ว่าตนเองอดทนอยู่นานเพียงใด บางทีอาจแค่หนึ่งชั่วยาม หรือบางทีอาจยาวนานกว่านั้น

ขณะที่นางคิดว่าตนเองกำลังจะตาย สายลมคิมหันต์ยามราตรีพัดเข้ามาจากนอกประตู ลมอุ่นร้อนทำให้สติของนางแจ่มชัดขึ้นชั่วครู่ นางกะพริบดวงตาอันว่างเปล่า

มีคนใช้นิ้วมือเย็นเฉียบเกี่ยวอาภรณ์ด้านหน้าของนางออก หลีซูซูตระหนักเป็นครั้งแรกว่าเมื่ออยู่ในร่างของมนุษย์ธรรมดา ยาพิษที่ชั่วร้ายอย่างหนอนไหมใยวสันต์มีฤทธิ์มากเพียงใด

นางตัวสั่นพลางขยับเข้าไปใกล้เขา ยามอิงซบอ้อมอกเขา ฤทธิ์ยาที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างกายนางสงบลงชั่วครู่

เขามองประเมินนางอย่างเย็นชา และทาบกายลงมา

ถานไถจิ้นมิได้จุมพิตนาง เขาลุกล้ำเข้าสู่ร่างกายนางเหมือนกำลังปฏิบัติภารกิจบางอย่าง

หญิงสาวครางเสียงอู้อี้พลางกำผ้าปูเตียงใต้ร่างแน่น

เขายิ้มหยันเอ่ยว่า “เจ้าในตอนนี้ช่างอัปลักษณ์ยิ่งนัก ไม่ชวนให้คนเกิดอารมณ์แม้แต่น้อย”

หลีซูซูเม้มปาก นางผอมมานานแล้ว ใบหน้าที่เดิมยังมีความอวบอิ่มอยู่บ้าง บัดนี้ผอมแห้งจนเรียวแหลม เอวนางเดิมก็แบบบางอยู่แล้ว บัดนี้ราวกับสามารถรวบคว้าได้ด้วยมือเดียว

ภายใต้ฤทธิ์หนอนไหมใยวสันต์ หลีซูซูมิได้รู้สึกไม่สบายตัว กลับเกิดความรู้สึกพึ่งพิงเขา ทว่าหัวใจนางกลับทุกข์ตรมยิ่งนัก มนุษย์มีแปดทุกข์* นางค่อยๆ สัมผัสถึงรสชาติเหล่านี้

แม้แต่เกลียดเขานางยังไม่มีแรง รู้สึกเพียงเหนื่อยล้า เหมือนนักเดินทางผู้หนึ่งที่ได้รับความลำบากจากข้างนอกมามากเกินไป ความทุกข์ทรมานระหว่างการเดินทางค่อยๆ จางหาย เหลือเพียงความคิดถึงบ้านเกิดเท่านั้น

หลีซูซูมองไม่เห็นตนเองในยามนี้ จึงคิดว่าเป็นเช่นที่เขาบอก ‘นางอัปลักษณ์’

นางไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอก จึงไม่รู้ว่าความงามอันเปราะบางที่หาได้ยากยิ่งนี้ เมื่ออยู่บนร่างกายนางกลับเพิ่มความตราตรึงชวนให้คนอยากข่มเหงรังแกนางมากยิ่งขึ้น

ดวงตาที่แยกขาวดำชัดเจนของนางสะท้อนเงาของเขา

ถานไถจิ้นรู้ว่ายามนี้นางมองไม่เห็นสีหน้าของตน เขาโน้มกายลงไป ยังคงปกปิดสีหน้าของตนเองไว้ ทั้งที่บอกว่าไม่มีอารมณ์ แต่กลับเคี่ยวกรำนางอยู่ครึ่งค่อนคืน

หลังจากปลดปล่อยแล้ว เขาจะจากไป ทว่ามือเล็กขาวซีดข้างหนึ่งดึงเขาไว้

ถานไถจิ้นหันไปมอง เป็นครั้งแรกที่เห็นแววคาดหวังและว้าวุ่นใจหลายส่วนบนใบหน้านาง

นางลังเลอยู่นาน สุดท้ายเอ่ยเสียงเบาหวิว “ข้า…จะขอแลกบุปผาอมตะกับเจ้า…ได้หรือไม่”

 

*แปดทุกข์ในทางพุทธศาสนา ได้แก่ ทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย รัก ชัง ไม่สมปรารถนา และขันธ์ห้า

บทที่ 73

“แลก? เจ้าจะเอาสิ่งใดมาแลก”

หลีซูซูได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของชายหนุ่ม นางมองไม่เห็นสีหน้าเขา ได้แต่เอ่ยตอบว่า “เคล็ดกระบี่ชิงหงได้หรือไม่ ข้าต้องการ…บุปผาอมตะมากจริงๆ ดวงตาของข้าเจ็บมาก”

เคล็ดกระบี่ชิงหงเป็นเคล็ดวิชากระบี่ที่ดีที่สุดในโลก หนึ่งกระบี่ผ่าขุนเขาและสายน้ำได้ เมื่อฝึกสำเร็จสามารถสังหารเซียนขจัดมาร

เคล็ดกระบี่ชิงหงยังเป็นโอกาสอันดีที่สุดที่หลีซูซูได้รับในช่วงร้อยปีของการบำเพ็ญเซียน บัดนี้นางต้องการแลกมันกับการได้เห็นโลกใบนี้อีกครั้ง

“เจ็บ? เคล็ดกระบี่ชิงหง?” เขาเหมือนจะหัวเราะหยันหนึ่งที เจือแววเสียดสีกึ่งหนึ่ง ก่อนจะดึงแขนเสื้อตนเองออก

ถานไถจิ้นมิได้ตอบว่าตกลงหรือไม่ เขาหายลับไปในความมืด

ช่างน่าขันโดยแท้ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นหลีซูซูขอร้องตน น่าเสียดายข้อแลกเปลี่ยนกลับไม่ถูกใจเอาเสียเลย

ในสายตาของหลีซูซู เขามองเห็นแต่พลังอำนาจ เขาในอดีตก็เป็นเช่นนี้จริงๆ กระนั้นเมื่อนางเอ่ยว่าจะเอาเคล็ดกระบี่ชิงหงมาแลก ในใจเขากลับมีเพียงไฟโทสะ

ถานไถจิ้นกลับมายังตำหนักของตนเอง มีบุปผาอมตะอยู่ ในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจางๆ

นักพรตเฒ่าในธงกลืนวิญญาณเฝ้ามองบุปผาอมตะอย่างน้ำลายสอ

สำหรับถานไถจิ้น ของสิ่งนี้มิอาจกอบกู้ร่างกายที่ผุพังของเขาได้ ไม่มีประโยชน์อันใด

แต่หากมอบให้นักพรตเฒ่า พลังฤทธิ์ของเขาจะเพิ่มขึ้นถึงหกสิบปี

ดอกตูมของบุปผาอมตะใกล้จะผลิบาน บางทีพรุ่งนี้เช้ามันอาจจะบานสะพรั่ง

นักพรตเฒ่ามองชายหนุ่มในชุดสีนิลอย่างกระตือรือร้น หวังว่าครั้งนี้ฮ่องเต้ผู้ใจกว้างจะมอบของสิ่งนี้เป็นรางวัลให้เขา

ทว่าถานไถจิ้นกลับปิดกล่องดังปับ โยนบุปผาอมตะไว้บนหัวเตียง เขานอนหนุนแขนตนเอง ไม่รู้คิดอะไรอยู่

นักพรตเฒ่ารู้ว่าตนไม่มีหวัง จึงหนีกลับเข้าไปในธงกลืนวิญญาณอย่างห่อเหี่ยว

 

หลีซูซูขอบุปผาอมตะมาไม่ได้ จึงใช้ผ้าห่มห่อตนเองแน่น

โกวอวี้เกรงว่านางจะกลัว จึงเล่าเรื่องราวตั้งแต่สมัยหงฮวงให้นางฟัง

เริ่มจากเหล่าเทพที่มันเคยพบเจอ จนกระทั่งถึงตำนานของปีศาจระดับสูงบางส่วน

เล่าจนถึงตอนท้าย โกวอวี้เห็นดวงตาของหลีซูซูเบิกโตอยู่ตลอด นางกะพริบตา บุปผาเหนือพิภพฝังอยู่ในตาข้างซ้าย โลหิตหลั่งออกมาสายหนึ่ง

เสียงของโกวอวี้พลันชะงัก มันไม่ได้ถามนางว่ากลัวหรือไม่ แต่ถามว่า “ท่านเกลียดพวกเขาหรือไม่”

พวกเขา ถานไถจิ้น เยี่ยปิงฉาง หรือแม้แต่เซียวหลิ่น

การตายของเซียวหลิ่นทำให้นางมิอาจเป็นฝ่ายลงมือกับเยี่ยปิงฉางก่อน นางตกอยู่ในสถานะถูกกระทำ มาจนบัดนี้ โกวอวี้กับหลีซูซูต่างรู้ว่าทั้งหมดเป็นแผนการของเยี่ยปิงฉาง ผู้คนทั่วหล้าล้วนคิดว่าองครักษ์เฉียนหลงอยู่ในมือหลีซูซู หลีซูซูมาถึงจุดที่ไม่มีทางให้เดินต่อแล้ว

หลีซูซูไม่ตอบอะไร

ยามที่โกวอวี้คิดว่านางคงไม่ตอบแล้ว หลีซูซูกลับขยับปากเอ่ย “เกลียด”

โกวอวี้ได้ยินนางพูดว่า “ตอนถูกขังอยู่ในห้องลับฮุ่นตุ้นตามลำพัง ข้าถึงขั้นคิดว่าต้องทำอย่างไรพวกเขาจึงจะเจ็บปวดมากที่สุด”

นางพูดเสียงเบาต่อ “เยี่ยปิงฉางอยากเป็นฮองเฮา ต้องการความรักที่ซื่อสัตย์จริงใจจากบุรุษผู้หนึ่ง ข้าอยากทำให้นางผิดหวัง ถานไถจิ้นต้องการพลังอำนาจ เขาทำเช่นนี้กับข้า ข้าอยากเห็นเขาจมกองธุลี เซียวหลิ่น…ข้าไม่ควรเกลียดเขา แต่หัวใจข้า ทรมานเหลือเกินจริงๆ

ข้าคิดถึงจุดจบของพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงไม่รู้สึกหวาดกลัวถึงเพียงนั้น ข้าต่อนิ้วมือให้ตนเอง พยายามกินข้าวให้มากหน่อย ก็เพราะอยากจะเห็นวันนั้น”

 

ค่ำคืนในเดือนเจ็ดมีฝนตกลงมา วังเย็นทั้งมืดและเงียบงัน นอกจากหลีซูซูแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีก

วังเย็นมีเพียงบ่อน้ำเย็นเฉียบ นางชำระล้างร่างกายอ่อนล้าของตนเองอย่างกินแรง

หลีซูซูกลับมาแล้วนอนไม่หลับ หางตานางไม่มีโลหิตหลั่งออกมาอีก บุปผาเหนือพิภพอยู่ในดวงตานางอย่างสงบ

โกวอวี้มองตามดวงตาไร้ประกายของนางไป

ไผ่อ่อนต้นหนึ่งถูกลมพัดจนล้มลงในราตรี

 

เช้าวันต่อมา บุปผาอมตะผลิบาน

ถานไถจิ้นมองมันอยู่นาน ก่อนจะคว้ากล่องออกจากประตู เพิ่งจะก้าวออกจากประตูตำหนัก เขาก็เห็นเยี่ยปิงฉางที่แต่งกายสีสันสดใสยืนอยู่

เว่ยสี่เอ่ยเสียงค่อย “วันนี้เป็นวันเกิดของฟูเหรินพ่ะย่ะค่ะ ฟูเหรินมายืนรอฝ่าบาทอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง”

ดังคาด สายตาของเยี่ยปิงฉางเจือประกายและความคาดหวังอยู่ประปราย

ถานไถจิ้นพลันนึกขึ้นได้ว่าตนเคยรับปากจะกินอาหารกับนางและมารดาของนางมื้อหนึ่ง ฝีเท้าของเขาชะงัก เก็บบุปผาอมตะในแขนเสื้อพลางเอ่ยว่า “ไปเถอะ”

ใบหน้าของเยี่ยปิงฉางมีแววตกใจระคนยินดีแผ่กระจายจางๆ ราวกับการที่ถานไถจิ้นยังจำสัญญาได้เป็นสิ่งที่ทำให้นางมีความสุขมาก

อวิ๋นอี๋เหนียงไม่ได้พักอยู่ในวัง สองคนนั่งราชรถออกจากวังไป

เยี่ยปิงฉางลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามอย่างนุ่มนวลว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากถามมาโดยตลอด ท่านย่า…เป็นอย่างไรบ้าง”

ท้องถนนมีเสียงดังจอแจ ฮ่องเต้หนุ่มหลับตา ตอบนางเสียงเย็น “ตายแล้ว”

เยี่ยปิงฉางสูดหายใจเบาๆ นางหลุบตาลง ท่าทางโศกเศร้าอยู่บ้าง

ถานไถจิ้นพลันนึกขึ้นได้ว่าหญิงสาวในวังเย็นไม่เคยเอ่ยถามคำถามนี้กับตน ไม่รู้เป็นเพราะกลัวจะได้ยินคำตอบนี้หรือไม่

ราชรถจอดบริเวณที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง

อวิ๋นอี๋เหนียงทราบอยู่ก่อนแล้วว่าถานไถจิ้นจะมา จึงรีบอุ้มบุตรชายมารอหน้าประตู และค้อมกายคารวะ

เยี่ยปิงฉางประคองมารดาของตนเอง นางหันกลับไป พบว่าสายตาของฝ่าบาทจับอยู่ที่น้องชายคนเล็ก

“เจ้าชื่ออะไร” ถานไถจิ้นถามเขา

เยี่ยปิงฉางมองน้องชาย

คุณชายน้อยสกุลเยี่ยปีนี้อายุแปดขวบ อาจเพราะสองปีนี้เกิดเรื่องราวมากมาย นิสัยเอาแต่ใจในวัยเยาว์ของเขาจึงหายไป ใบหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

น้องชายกับตนหน้าไม่เหมือนกัน กลับดูคล้ายคลึงกับ…น้องหญิงสาม

คุณชายสี่สกุลเยี่ยกลัวถานไถจิ้นหน่อยๆ เขาไหล่สั่นพลางตอบอย่างอึกอัก “อวิ๋นเฟยเฉิน”

ถานไถจิ้นเบนสายตาออกไป เหมือนแค่ถามไปอย่างนั้น

ในเรือนเตรียมข้าวปลาอาหารไว้ก่อนแล้ว ขันทีที่ตามเสด็จทดสอบอาหารทีละอย่าง จากนั้นทุกคนจึงลงมือกิน

อาหารมื้อนี้อวิ๋นอี๋เหนียงกินอย่างหวาดหวั่น มองทรราชผู้มีใบหน้าคมคายแล้ว นางอดตำหนิบุตรสาวมิได้ว่าไฉนจึงต้องพาคนมาที่นี่ด้วย

ความรู้สึกที่อวิ๋นอี๋เหนียงมีต่อถานไถจิ้นผสมปนเป แต่ก่อนเขาเป็นที่ข่มเหงรังแกของทุกคน บัดนี้เห็นเขาแล้ว แม้แต่ลมหายใจยังต้องผ่อนให้เบาลง

ไม่ง่ายเลยกว่าอาหารมื้อนี้จะผ่านพ้นไป ในที่สุดอวิ๋นอี๋เหนียงก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับเยี่ยปิงฉางตามลำพัง

“ฉางเอ๋อร์ เจ้าต้องพยายามหน่อยนะ ได้ยินว่าตำหนักในของฝ่าบาทมีเจ้าเพียงผู้เดียว เจ้ารีบตั้งครรภ์มังกรเสีย ฐานะย่อมมั่นคง”

เยี่ยปิงฉางสีหน้าสับสน ทว่ากับมารดานางไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง “จวบจนบัดนี้ฝ่าบาทยังไม่เคยแตะต้องข้าเลย”

อวิ๋นอี๋เหนียงเบิกตาโต “จะ…จะเป็นไปได้อย่างไร ข้างนอกต่างลือกันว่าฝ่าบาทโปรดปรานเจ้ายิ่งนัก”

เยี่ยปิงฉางคลี่ยิ้มเย็นชา นางนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนฝ่าบาทเสด็จไปที่ใด จึงหลับตาลงเอ่ยอย่างอดกลั้น “ท่านแม่ ยังมีเวลาอีกมาก”

ระหว่างทางกลับวัง ลูกธนูสีฟ้าแหวกฝ่าอากาศมากะทันหัน

องครักษ์เยี่ยอิ่งมือไวตาเร็วสกัดไว้ได้ไม่น้อย แต่ยังมีลูกธนูดอกหนึ่งเล็ดลอดเข้ามาในราชรถ เยี่ยปิงฉางขวางหน้าถานไถจิ้นไว้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ฝ่าบาทระวัง!”

ลูกธนูปักลึกเข้ามาในไหล่นางทันที

ถานไถจิ้นขมวดคิ้วประคองนางไว้ “ปิงฉาง?”

โลหิตไหลออกมาจากมุมปากของเยี่ยปิงฉาง นางเจ็บจนร่างกายเกร็งกระตุก

กำลังทหารจำนวนมากที่ซ่อนตัวอยู่ปรากฏตัวทันใด มุมปากของถานไถจิ้นยกยิ้มเย็นชา “รนหาที่ตาย”

ปีศาจเสือที่เร้นกายอยู่ในที่ลับกระโจนออกมา ร่างกายขยายใหญ่ในพริบตา จู่โจมไปยังกลุ่มคนที่ดักซุ่มอยู่

ผ่านไปไม่นานเนี่ยนไป๋อวี่ก็เข้ามารายงาน “ฝ่าบาท มีจำนวนทั้งสิ้นแปดสิบสามคน ล้วนเป็นองครักษ์เฉียนหลง ทั้งหมดกินยาพิษฆ่าตัวตายแล้ว”

ดวงตาของถานไถจิ้นทอประกายวับวาว เหลือบมองเยี่ยปิงฉางที่เจ็บหนักแวบหนึ่ง เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ

“กลับวัง!”

ดังคาด เพิ่งถึงประตูวัง เนี่ยนมู่หนิงก็รีบออกมารับ เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “ฝ่าบาท วังเย็นถูกจู่โจม องครักษ์เฉียนหลงมาช่วยคน”

“แล้วนางล่ะ!”

“ภายใต้ลูกธนูวารีอ่อน องครักษ์เฉียนหลงตายไปสามร้อยกว่าคน หนีไปได้เล็กน้อย คุณหนูสามสกุลเยี่ยยังอยู่ในวังเย็น องครักษ์เฉียนหลงไม่สามารถพาคนไปได้”

แววตาของถานไถจิ้นเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็ง เขาอุ้มเยี่ยปิงฉางที่เจ็บหนักและสั่งว่า “ตามหมอหลวง”

“ฟูเหรินบาดเจ็บสาหัส เสียเลือดมากเกินไป อาการเช่นนี้…เกรงว่าคงต้องมีโอสถทิพย์ มิเช่นนั้นแล้ว บาดแผลจะต้องทิ้งโรคเรื้อรังไว้ในร่างกายแน่นอน”

ชายหนุ่มในชุดสีนิลเงียบงันเนิ่นนาน พลันหัวเราะออกมาอย่างเสียดสี

“ไม่ทราบว่าบุปผาอมตะใช้ได้หรือไม่”

 

หลีซูซูรู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น

ตั้งแต่ลูกธนูวารีอ่อนยิงเข้ามาพร้อมกัน นางก็คาดเดาทุกอย่างได้แล้ว

นางนั่งอยู่บนธรณีประตู ฟังโกวอวี้พูดอย่างอัดอั้น “คราวนี้ต่อให้ชี้แจงด้วยเหตุผลก็ฟังไม่ขึ้นแล้วจริงๆ”

องครักษ์เฉียนหลงตั้งมากมายเสี่ยงชีวิตมาช่วยนางออกไป ย่อมไม่มีใครเชื่อแน่นอนว่าองครักษ์เฉียนหลงไม่ได้อยู่ในมือหลีซูซู

สายลมคิมหันต์พัดผ่าน พาให้ชายชุดสีน้ำชาของหญิงสาวพลิ้วไหว

หลีซูซูไม่สบายใจอย่างยิ่ง เดิมทีถานไถจิ้นเกลียดนางอยู่แล้ว เกลียดที่สุดคือการที่นางทรยศและหลบหนี

บัดนี้ในสายตาเขาคือนางคิดจะหนีไปอีกแล้ว

เขายังจะมอบบุปผาอมตะให้นางหรือ น่ากลัวว่าตอนนี้ถานไถจิ้นคงอยากให้นางเป็นคนตาบอดที่ถูกเขากักขังไปชั่วชีวิต ทุกๆ วันที่สิบห้าจะต้องหอบครางปนสะอื้นอยู่ใต้ร่างเขา

หลีซูซูอยากรอเขา แม้จะเพียงเพื่อมิให้ตนเองต้องตายอยู่ในความมืดมนในช่วงสุดท้ายของชีวิต นางก็ยินดีอธิบายเรื่ององครักษ์เฉียนหลงให้ถานไถจิ้นฟัง

ไม่รู้นั่งอยู่นานเพียงใด ในโลกของหลีซูซู กลางวันกับกลางคืนไม่มีอะไรแตกต่างกัน

นานจนนางกำนัลที่ส่งอาหารมาแล้ว ถานไถจิ้นก็ยังคงไม่มา

นางกำนัลเห็นหลีซูซูยังคงมองออกไปข้างนอก จึงวางชามกับตะเกียบลง เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ทั้งๆ ที่มองไม่เห็น ยังจะมองอะไรอยู่ได้ ไม่รู้ไฉนข้าจึงโชคร้ายเช่นนี้ ต้องถูกส่งมาทำหน้าที่ส่งข้าวให้เจ้า วันนี้เป็นวันเกิดของเจาหวาฟูเหริน ฝ่าบาททรงอภัยโทษทั่วหล้า กลับมีแต่ข้าที่ต้องมาเยือนสถานที่ทรุดโทรมเช่นนี้ นี่! ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ เจ้าทำหน้าเช่นนี้หมายความว่าอะไร”

ผู้คนในวังชินกับการยกย่องผู้สูงส่ง เหยียบย่ำผู้ต่ำต้อย เมื่อคืนตอนถานไถจิ้นมาที่นี่ ไม่มีใครรู้ หลีซูซูอยู่ในวังเย็น คนในวังย่อมดูแคลนนางเป็นเรื่องธรรมดา นางกำนัลมองหลีซูซูที่ไม่สะทกสะท้านด้วยความโมโห หญิงสาวที่ผ่ายผอมดูขาวซีดอ่อนแอ ดวงตาไร้ประกาย คนที่เคยสูงส่งในวันวานกลับตกต่ำจนมีสภาพเช่นนี้ ชวนให้คนบังเกิดความสะใจและความคิดชั่วร้ายไม่สิ้นสุด นางกำนัลเห็นนางผิวขาวกระจ่างนุ่มเนียน ก็ยกมือขึ้นทำท่าจะหยิกหลีซูซู

กระบี่ไม้เล่มหนึ่งแทงเข้าไปในฝ่ามือนางกำนัล นางกำนัลร้องเสียงแหลม ทรุดนั่งกับพื้น

“เจ้า…เจ้า!”

กระบี่ไม้ถูกหลีซูซูกำไว้แน่น นางกำนัลเหลือบมองหลีซูซูอย่างกระวนกระวาย เดิมคิดว่าเป็นหญิงตาบอดผู้หนึ่งที่รังแกง่าย ไม่คิดว่ากลับเป็นคนร้ายกาจที่ไม่ยอมถูกข่มเหง

นางกำนัลลุกขึ้นมา ถลึงตาใส่หลีซูซูอย่างขุ่นเคือง “เจ้าคงมิได้คิดจริงๆ กระมังว่าตนเองยังจะโผบินสู่ยอดไม้ได้! ข้าจะบอกให้ว่านางในดวงใจของฝ่าบาทคือใคร ทุกคนในวังต่างรู้ว่าแม้แต่บุปผาอมตะที่แคว้นเสินชาส่งมาให้ ฝ่าบาทยังมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดของเจาหวาฟูเหรินอย่างง่ายดาย! เจ้านับเป็นตัวอะไร รอแก่ตายอยู่ที่นี่เถอะ!”

เมื่อพูดจบนางก็วิ่งจากไปทันที

“บุปผาอมตะไม่อยู่แล้ว…” หลีซูซูพึมพำ

โกวอวี้คิดถึงความเจ็บปวดจากผลสะท้อนของบุปผาเหนือพิภพที่นางต้องทนรับทุกวันทุกคืน ในโลกมีเพียงความมืดมิด หัวใจของมันก็เหมือนถูกมีดกรีดเถือ

หลีซูซูเหมือนเด็กน้อยที่สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ความหวังบนใบหน้าค่อยๆ ดับมอดไป

โกวอวี้ไม่รู้จะปลอบนางอย่างไร กลับเห็นหลีซูซูลุกขึ้นยืน นางหันหน้าไปยังดวงตะวันตรงขอบฟ้าที่ลาลับไป

โกวอวี้อดพูดมิได้ “ในใจของพญามาร คนที่เขารักต้องเป็นท่านแน่นอน! เจ้านายน้อย พวกเราต่างรู้ว่านี่เป็นแผนการของเยี่ยปิงฉาง”

หลีซูซูไม่ได้ยินคำพูดของมัน นางเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าคิดผิดเสียแล้ว โง่งมถึงขั้นไปขอร้องเขา”

นางกุมดวงตาของตนเอง โลหิตไหลคดเคี้ยวลงมาตามฝ่ามือนาง โกวอวี้ได้ยินนางพูดว่า “ข้าถึงขั้นรู้สึกหวั่นไหวไปชั่วขณะหนึ่ง”

สุ้มเสียงของนางเบามาก เมื่อสายลมคิมหันต์พัดผ่านมา ก็สลายไปท่ามกลางราตรี

แต่โกวอวี้รู้ว่าตนเองไม่ได้ฟังผิด

หลีซูซูเคยรู้สึกลังเล ตอนได้รับผ้าคลุมศีรษะสีแดงผืนนั้น มันเคยหันกลับไปมอง เวลานั้นดวงตาของหญิงสาวเจือแววขัดแย้งโดยที่นางเองก็ไม่ตระหนัก

มนุษย์หาใช่ต้นไม้ใบหญ้า ผู้ใดเล่าจะไร้รัก

นางเกิดมาด้วยร่างทิพย์ ไม่เคยกล้าลืมว่าตนเองมาที่นี่เพราะเหตุใด นางเคยเห็นสรรพชีวิตในสามพิภพดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดอย่างยากลำบากภายใต้กรงเล็บของมารปีศาจ ทะเลอุดรเหือดแห้ง เขาทักษิณพังถล่ม โลกมนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์เข็ญทั่วทุกแห่งหน

ในยามนั้นโกวอวี้ตระหนักถึงความรู้สึกของนางรางๆ จึงได้ไม่สบายใจ

ชั่วขณะที่ตะปูศักดิ์สิทธิ์ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างครบเก้าดอก มันกลัวเหลือเกินว่าหลีซูซูจะทำไม่ลง แต่โชคดีที่นางมิได้ละเลยสรรพชีวิต นางตอกตะปูเก้าดอกเข้าไปในหัวใจของชายหนุ่มชุดสีนิล

นางมิกล้าหวั่นไหว

ภารกิจล้มเหลวแล้ว แต่กลับมีข้อดีอย่างหนึ่ง…หลีซูซูคิดวิธีสุดท้ายออก

วิธีที่อาศัยตะปูศักดิ์สิทธิ์หกดอกที่ตอกเข้าไปแล้ว

ในที่สุดหลีซูซูก็ไม่ต้องฆ่าถานไถจิ้นอีก ทว่า…เขากลับขังหลีซูซูไว้ในที่มืดตลอดกาล ดับขยี้ความหวังสุดท้ายของนางด้วยมือของเขาเอง

หลีซูซูลุกขึ้น โกวอวี้ได้ยินนางพูดว่า “ได้ยินว่าฤดูหนาวของแคว้นโจวไม่มีหิมะ รอให้ถึงวันหยินยามหยิน* พวกเราไปกันเถอะ โกวอวี้ เจ้ากลัวหรือไม่”

โกวอวี้อึ้งงันไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบว่า “โกวอวี้ไม่กลัว”

มันเข้าใจว่าหลีซูซูจะทำอะไร

นางจะไปจากเขาตลอดกาล ไปจากสถานที่ที่กักขังนางไว้แห่งนี้ ไปจากโลกเมื่อห้าร้อยปีก่อน

ตอนเกิดอสนีสวรรค์ในปัวเหร่อฝูเซิง หมิงเยี่ยเปลี่ยนไขกระดูกเทพให้ซังจิ่ว วันหยินยามหยินก็สามารถชักนำให้เกิดอสนีสวรรค์ได้เช่นกัน

นางจะจำลองบุปผาเหนือพิภพเป็นไขกระดูกเทพ ถ่ายวิญญาณเซียนของตนเข้าไป ใช้โกวอวี้เก้าชั้นฟ้าเป็นสื่อกลาง เปลี่ยนให้มันกลายเป็นไขกระดูกเทพอย่างแท้จริง

ใช้ไขกระดูกเทพแลกกับกระดูกมาร

 

* วันหยินยามหยิน เป็นการคำนวณวันและเวลาโดยใช้แผนภูมิกิ่งฟ้าก้านดินมาประกอบเป็นระบบการนับวันเดือนปีและเวลาด้วยฐานเลขหกสิบ โดยแผนผังกิ่งฟ้าประกอบด้วยสิบอักษร ในสิบอักษรนี้จะมีห้าอักษรเป็นธาตุหยินและห้าอักษรเป็นธาตุหยาง แผนผังก้านดินประกอบด้วยสิบสองอักษร มีหกอักษรเป็นธาตุหยินและหกอักษรเป็นธาตุหยาง อักษรในแผนภูมิกิ่งฟ้าก้านดินทั้งหมดจัดเรียงเป็นคู่ได้หกสิบชุด วันหยินยามหยิน หมายถึงวันและเวลาที่เกิดจากการจับคู่อักษรในกิ่งฟ้าก้านดินที่เป็นธาตุหยินทั้งหมด

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: