X
    Categories: จันทราอัสดงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จันทราอัสดง บทที่ 9

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 9

ถานไถจิ้นซ่อนนิ้วมือที่มีแผลจากความเย็นจัดเงียบๆ

“ข้าไม่รู้ว่าคุณหนูสามหมายความว่าอะไร” เขาตอบเสียงเบา “ข้ามีแต่เสื้อผ้าพวกนี้”

หลีซูซูคิดถึงสถานการณ์ของเขาตอนนี้ ก่อนจะแค่นเสียงอย่างเก้อกระดากเล็กน้อย

ก็จริง จวนสกุลเยี่ยขอเพียงเขาไม่สร้างความอับอายเป็นพอ ไม่สนใจว่าเขาจะหนาวหรือไม่

เด็กหนุ่มนั่งอยู่ตรงมุมของรถม้าเงียบๆ มองกระถางกำยานบนรถม้า ใบหน้าไม่มีเลือดฝาดแม้แต่น้อย

หลีซูซูคิดในใจ หากไม่ได้เห็นกับตาตนเอง ทำอย่างไรข้าก็ไม่มีทางเชื่อว่าบุรุษโหดเหี้ยมที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ในวังมารในอีกห้าร้อยปีให้หลัง จะเป็นคนคนเดียวกับเด็กหนุ่มท่าทางหม่นหมองตรงหน้าผู้นี้

ถึงอย่างไรนางก็เคยเห็นจอมมารฆ่าคนมากับตา เขาเฉียบขาดรวดเร็วเหมือนบี้มดตัวหนึ่ง! ทว่าถานไถจิ้นที่อยู่เบื้องหน้า อย่าว่าแต่ฆ่าคนเลย แค่เชือดปลาสักตัวดูท่ายังลำบาก เป็นถึงสิ่งชั่วร้าย กลับไม่เอาไหนถึงขั้นปล่อยให้มือเป็นแผลจากความเย็น!

เขาเป็นอะไรของเขา

เดิมทีหลีซูซูเป็นคนชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็งอยู่แล้ว มหามรรคากว้างใหญ่หลายหลาก ผู้บำเพ็ญเพียรพึงตระหนักว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ เห็นคุณค่าต้นหญ้าแมกไม้เขียว*

หากเขามีสภาพเช่นนี้ตลอดไป หลีซูซูกลัวจริงๆ ว่าต่อไปเมื่อต้องถอนกระดูกมารของเขา ทำลายจิตวิญญาณเขาให้แตกสลายแล้วนางจะใจอ่อน

ดูไปเหมือนเรื่องเล็ก ทว่าสำหรับผู้บำเพ็ญเพียร หากบังเกิดความใจอ่อนกับเขา เมื่อต้องสังหารเขาจะกระทบต่อจิตบำเพ็ญ ทำให้หยุดชะงักบนเส้นทางการบำเพ็ญเพียร

ความใฝ่ฝันของหลีซูซูคือการเป็นเทพ เป็นเหมือนอย่างเทพแท้บรรพกาล

ฉะนั้นนางต้องรักษาจิตบำเพ็ญไว้ให้ดี จดจำโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาให้ได้เสมอ

หลีซูซูตัดสินใจแน่วแน่แล้วเอ่ยว่า “ถานไถจิ้น เจ้าเงยหน้าขึ้นมา ใช้แววตาเย็นชาอำมหิตมองข้า จากนั้นบีบคางข้าไว้”

“คุณหนูสาม?”

“ข้าบอกให้ทำเจ้าก็ทำ ไม่ต้องถามว่าเพราะอะไร!”

เด็กหนุ่มดูเหมือนจะลังเลมาก เงยหน้าขึ้น จนแล้วจนรอดก็มิอาจลงมือขั้นต่อไปได้

หลีซูซูร้อนใจจนทำแก้มป่อง เอ่ยเร่งรัด “เจ้าเป็นบุรุษหรือไม่ ดุดันหน่อยสิ!”

เพิ่งจะขาดคำ แววตาของเด็กหนุ่มที่เดิมทีขลาดกลัวก็พลันเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นเกินใครทันใด ลูกตาสีดำของเขาจ้องนางอย่างเย็นชา มือที่ปลายนิ้วขาวซีดถือโอกาสนี้บีบใต้คางของเด็กสาวไว้

แม้เขาจะผ่ายผอมอ่อนแรง แต่เดิมทีก็สูงกว่านางไม่น้อย ยามนี้เมื่อหลุบตาจ้องนางอย่างเฉยชา ความเย็นยะเยียบในดวงตาสะท้อนความโหดเหี้ยมออกมารางๆ

คางเล็กจิ้มลิ้มของหลีซูซูอยู่ใต้ท้องนิ้วเย็นเฉียบของเขา ชั่วขณะหนึ่งที่งุนงง นางตกใจจนเกือบชักกระบี่ออกมาฟันเขา

กระบี่ของข้าล่ะ กระบี่ของข้า?

ถานไถจิ้นจับจ้องหลีซูซูเช่นนี้หลายอึดใจ จังหวะที่นางเบิกตาโต เขาหดมือกลับไปอย่างลนลาน เอ่ยอย่างไม่สบายใจ “เช่นนี้หรือคุณหนูสาม”

ความรู้สึกอำมหิตดุดันเลือนหายไปในพริบตา

หลีซูซูไม่ตอบคำ “…”

ใช่ เจ้าทำได้ดีเกินไปแล้ว

ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องไม่มีข้าวกิน ไม่มีเสื้อผ้าใส่ เป็นแผลจากความเย็น ต่อให้เด็กหนุ่มตรงหน้าตายอยู่ในรถม้า หรือกระโดดลงจากรถม้า จากนั้นถูกกีบเท้าม้าเหยียบจนเละ หลีซูซูก็ไม่มีทางเกิดความสงสารเห็นใจเขาอีก

สิ่งชั่วร้ายก็คือสิ่งชั่วร้ายวันยังค่ำ สุดท้ายย่อมมีวันหนึ่งในอนาคตที่เขากลายเป็นสัตว์ประหลาดที่รู้จักแต่การเข่นฆ่าสังหาร

ภาพเมื่อครู่นี้ช่างเป็นการแสดงบทบาทเดิมของเขาอย่างแท้จริง

นางตัดสินใจแล้ว ต่อไปหากมีทีท่าว่าจะสงสารมารร้ายอีก นางจะให้ถานไถจิ้นสวมบทจอมมารผู้โหดเหี้ยมให้ดูรอบหนึ่ง เช่นนี้จิตบำเพ็ญย่อมเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งมิอาจทำลาย ถูกฟาดฟันก็ไม่หวั่นไหว

ถานไถจิ้นเห็นเด็กสาวตรงหน้าสีหน้าเปลี่ยนจากประหม่าเป็นโล่งใจ มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อของเขา จุดที่สัมผัสใต้คางนางขยับเล็กน้อย จากนั้นขยี้นิ้วมือที่แดงก่ำของตนแรงๆ

บริเวณที่มีแผลจากความเย็นทั้งเจ็บทั้งคัน

เขาออกแรงเยอะมาก จวบจนรู้สึกว่ามือฉีกเป็นแผล เลือดใกล้จะทะลักออกมา แววตาเขาจึงหม่นลงและหยุดการกระทำ

สองคนวุ่นวายไปมาเช่นนี้ โดยไม่รู้ตัวรถม้าก็มาถึงจวนเซวียนอ๋อง

หลีซูซูมิได้สังเกตความผิดปกติของเขา เมื่อครู่ตนหาเรื่องทำให้ตนเองตกใจ บัดนี้ไม่นึกอยากอยู่ในสถานที่เดียวกับเขาแม้แต่น้อย จึงรีบกระโดดลงจากรถม้า

ชุนเถาที่อยู่ด้านข้างรถม้าที่กำลังจะเข้ามาประคองหลีซูซูตกใจสะดุ้ง “คุณหนู!”

“ข้าไม่เป็นไร”

“ร่างกายของคุณหนูสามสกุลเยี่ยหายดีเร็วถึงเพียงนี้เชียว?”

สุ้มเสียงเจือแววหัวเราะเสียดสีดังขึ้น หลีซูซูเหลือบตามองไปก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งที่ครอบเกี้ยวหยกกำลังมองตนด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

เครื่องหน้าของเขาเป็นระเบียบ ร่างกายเจือกลิ่นอายของตำรา แต่มองปราดเดียวกลับดูออกว่าเขาไม่เหมือนปัญญาชนคร่ำครึสักเท่าไร ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยแววไม่ยอมจำนน คล้ายว่าหากมอบแส้เส้นหนึ่งให้เขา เขาอาจเฆี่ยนหลีซูซูจนเกลือกกลิ้งไปทั่วพื้นได้

ในใจหลีซูซูผุดชื่อหนึ่งขึ้นมาทันที ผังอี๋จือ

บุคลิกไม่ธรรมดา รองเสนาบดีกรมพิธีการที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยหนามแหลม

แม้ท่าทีของเขาที่มีต่อตนจะไม่เป็นมิตร แต่หลีซูซูคิดถึงผลงานภาพวาดอันยอดเยี่ยมของเขาที่รังสรรค์ขึ้นด้วยลายเส้นไม่กี่ขีด ก็จำต้องทอดถอนใจว่า ‘คนผู้นี้ร้ายกาจทีเดียว’

สมัยเป็นเด็กนางแทะนิ้วมือ หัดคัดอักษรกับเด็กคนอื่นๆ ในสำนัก เคยถูกตำหนิไม่น้อย

ท่านพ่อเจ้าสำนักจิ้มหน้าผากนางเอ่ยอย่างจนใจ “เกิดมามีไหวพริบปานนี้ ไฉนเรียนรู้อะไรสักอย่างจึงเชื่องช้ายิ่งนัก”

ฉะนั้นกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘จ้วงหยวน’ ในโลกมนุษย์ หลีซูซูรู้สึกนับถืออย่างมาก

นางพยักหน้าเอ่ย “ขอบคุณใต้เท้าผางที่ห่วงใย ข้าหายดีแล้ว”

ผังอี๋จือแค่นยิ้ม “ร่างกายของคุณหนูสามแข็งแรงประหนึ่งวัว ย่อมหายดีอย่างรวดเร็ว แต่ผู้อื่นที่ถูกเจ้าทำร้าย จนกระทั่งบัดนี้โรคลมหนาวยังไม่หายดี”

หลีซูซูพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ “…”

นางโยนกิ่งมะกอก* ให้นักปราชญ์ แต่นักปราชญ์กลับคว้ากิ่งมะกอกเริ่มตีนาง

ถึงขั้นบอกว่านางแข็งแรงประหนึ่งวัว?

นางจะเก็บกิ่งมะกอกกลับคืน เยี่ยซีอู้ก็เป็นแม่นางน้อยที่น่ารักงดงามผู้หนึ่งเหมือนกัน! ผังอี๋จือถากถางผู้อื่นเช่นนี้ วาจาไร้คุณธรรมโดยสิ้นเชิง

หลีซูซูเก็บรอยยิ้ม มองเขาปราดหนึ่ง “ใต้เท้าผางบอกว่าโรคลมหนาวของพี่หญิงใหญ่ยังไม่หายดี?”

“คุณหนูสามสกุลเยี่ยรู้ดีอยู่แล้วยังจะแสร้งถาม” ผังอี๋จือไม่ปิดบังความรังเกียจของตนแม้แต่น้อย

หลีซูซูเอียงศีรษะเอ่ยว่า “พี่หญิงใหญ่เป็นชายารองของเซวียนอ๋อง ข้าที่เป็นน้องสาวยังไม่รู้สภาพร่างกายของนาง ใต้เท้าผางเป็นบุรุษภายนอกผู้หนึ่ง ไฉนจึงรู้เรื่องราวของนางกระจ่างแจ้งถึงเพียงนี้ คนไม่รู้ จะเข้าใจผิดคิดว่าใต้เท้าผางเป็นบุรุษเสเพลได้”

ผังอี๋จือเก็บแววดูแคลนในดวงตา วิจารณ์เสียงเย็นว่า “ฝีปากคมนัก”

เด็กสาวกะพริบตาใส่เขาปริบๆ

มีแต่เจ้าที่รังแกผู้อื่นได้หรือไร

เรื่องที่เจ้าของร่างเดิมทำไม่ถูก หลีซูซูยอมขอขมาและชดเชยให้ทีละเรื่อง แต่เจ้าของร่างเดิมและตนยังไม่เคยทำร้ายผังอี๋จือมาก่อน นางไม่มีความจำเป็นต้องอดทนอดกลั้นกับคนที่ชิงชังรังเกียจตน

บุญคุณความแค้นระหว่างสตรีสองคน เขาที่เป็นบุรุษตัวโตผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง อีกทั้งยังลำเอียงจนฟังไม่ขึ้น จะเข้ามายุ่มย่ามด้วยเหตุใด

แม่ทัพใหญ่เยี่ยเห็นบุตรสาวกำลังสนทนากับผังอี๋จือ

เยี่ยเซี่ยวเดินเข้ามา “ใต้เท้าผางกำลังคุยอะไรกับบุตรีของข้าอยู่หรือ”

ผังอี๋จือเบนสายตาออกมา หัวเราะเบาๆ พลางกล่าว “แม่ทัพใหญ่เยี่ย ข้าไม่สนิทสนมกับคุณหนูสาม แค่ทักทายกันเท่านั้น”

ผังอี๋จือมองถานไถจิ้นที่เพิ่งจะลงจากรถม้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงคลุมเครือว่า “กลับเป็นจื้อจื่อที่ไม่พบกันนาน ดูแล้วผ่ายผอมลงไม่น้อย”

สายตาของถานไถจิ้นจับนิ่งที่ใบหน้าของผังอี๋จือ กล่าวตอบว่า “ใต้เท้าผางดูผิดแล้ว”

ผังอี๋จือหัวเราะ ผายมือให้แม่ทัพใหญ่เยี่ย “แม่ทัพใหญ่เยี่ย เชิญ”

เยี่ยเซี่ยวมือกุมอำนาจทหารอันยิ่งใหญ่ ขุนนางทุกคนต่างเกรงใจ เขาจึงมิได้บ่ายเบี่ยง เดินนำเข้าไปในจวน ผังอี๋จือตามติดข้างหลัง

หลีซูซูมองถานไถจิ้น “เจ้ารู้จักผังอี๋จือด้วยหรือ”

ถานไถจิ้นส่ายหน้าเอ่ยตอบว่า “ไม่รู้จัก”

หลีซูซูคิดในใจ นี่หลอกใครกันเล่า

ไม่พูดเรื่องอื่น ระหว่างศัตรูหัวใจ ย่อมตระหนักถึงตัวตนของอีกฝ่ายอยู่แล้วกระมัง ต่อให้ไม่รู้จัก วันนั้นทุกคนกระโดดลงไปในน้ำ ย่อมเคยพบหน้ากันในน้ำหนหนึ่ง

แต่ในเมื่อเขาไม่อยากพูด หลีซูซูก็ไม่คาดคั้นคนในสถานการณ์เช่นนี้

วันนี้จวนเซวียนอ๋องครึกครื้นอย่างยิ่ง

องค์ชายหกเซียวหลิ่นเป็นบุคคลที่เปรียบดังตำนานเล่าขานของแคว้นซย่ามาโดยตลอด

พูดถึงชาติตระกูลก่อน มารดาบังเกิดเกล้าของเขาเป็นฮองเฮา อีกทั้งฮองเฮายังเป็นหลานสาวห่างๆ ของไทเฮา หลังจากฮ่องเต้กับฮองเฮาอภิเษกสมรสกัน ฮองเฮามิอาจมีทายาทมาโดยตลอด

ฮ่องเต้รออยู่หลายปี เห็นตำหนักในมีสมาชิกน้อยนิด จึงจำต้องยกเลิกน้ำแกงเลี่ยงบุตรที่ใช้ในตำหนักใน สนมชายาทั้งหลายเริ่มตั้งครรภ์

ฮองเฮาร้อนใจยิ่งนัก แต่ท้องกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จนกระทั่งตอนอายุยี่สิบแปด จึงให้กำเนิดโอรสสายตรงเซียวหลิ่น

องค์ชายสายตรงฐานะสูงส่ง มิเพียงได้มาอย่างยากลำบาก ตอนนั้นราชครูคนก่อนยังทำนายและเอ่ยอย่างตื้นตันใจว่า “อนาคตขององค์ชายหกไร้ขีดจำกัด! ชะตาบ้านเมืองของแคว้นซย่าเชื่อมโยงอยู่กับองค์ชายหก”

วาจาเช่นนี้ถูกเอ่ยออกมาแล้ว มิเพียงฮองเฮาเห็นเด็กผู้นี้สำคัญดังชีวิต ฮ่องเต้กับไทเฮาก็อดให้ความสำคัญกับเด็กผู้นี้ไม่ได้

ต่อให้ไม่พูดถึงฐานะ เอาแค่นิสัยกับความสามารถ เซียวหลิ่นก็เพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ เป็นวิญญูชนที่มีความประพฤติเถรตรง รูปโฉมประหนึ่งเทพเซียน

ตอนเขาอายุสิบเจ็ด ฮ่องเต้มีใจอยากทดสอบ ให้เขาประลองฝีมือกับจ้วงหยวนฝ่ายบู๊ในปีนั้น สุดท้ายจ้วงหยวนฝ่ายบู๊มิอาจเอาชนะเขาได้

มีคนเดาว่าบัดนี้องค์ชายหกถึงวัยสวมหมวก* เกรงว่าฝีมือคงสูสีใกล้เคียงกับแม่ทัพใหญ่เยี่ยแล้ว

แน่นอน เยี่ยเซี่ยวไม่มีทางสู้กับเซียวหลิ่นอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้หาได้กระทบต่อภาพลักษณ์เก่งกาจทุกด้าน ดุจดังเทพเซียนขององค์ชายหกไม่

หากถามสตรีในเมืองหลวงที่ยังไม่แต่งงานว่าคนที่อยากแต่งงานด้วยมากที่สุดเป็นใคร เก้าสิบเก้าคนในร้อยคนล้วนแจ้งนามองค์ชายหกอย่างขลาดเขิน

ด้วยเหตุนี้เอง ตอนเยี่ยปิงฉางแต่งให้กับเซียวหลิ่น ความฝันของแม่นางเกือบทั้งเมืองหลวงจึงแตกสลายภายในคืนเดียว

ในจำนวนนั้นคนที่ฝันสลายอย่างรุนแรงที่สุด ก็คือเจ้าของร่างเดิมเยี่ยซีอู้ นางโมโหจนแทบคลั่ง

ฮ่องเต้รีรอไม่แต่งตั้งรัชทายาทเสียที ครั้งนี้กลับอวยยศเซียวหลิ่นเป็นเซวียนอ๋อง ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจว่านี่มิได้หมายความว่าฮ่องเต้ไม่ให้ความสำคัญกับองค์ชายหก ตรงกันข้าม นับแต่โบราณมารัชทายาทที่ได้รับการแต่งตั้งเร็วเกินไป มีเพียงไม่กี่คนที่ได้ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์

การยกย่องมากเกินไปกลับเป็นการทำลายคนผู้นั้น เหตุผลเป็นเช่นนี้เอง

หมาป่าที่ดุร้ายที่สุดหลายตัวแก่งแย่งชิงดีกัน ตัวที่ร้ายกาจที่สุดจึงจะสามารถนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ได้ ฮ่องเต้ทำเช่นนี้เพราะไม่อยากให้เซียวหลิ่นตกเป็นเป้าโจมตีของทุกคนเร็วเกินไป

เหล่าขุนนางล้วนเป็นคนฉลาด ในใจมีความคิดเช่นนี้ งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของเซียวหลิ่นผู้เป็นเซวียนอ๋อง ทุกคนจึงให้เกียรติอย่างมาก

หลีซูซูเดินเข้าไป ภายในงานเลี้ยงมีคนนั่งอยู่ไม่น้อย

ในฐานะคนในครอบครัวของแม่ทัพใหญ่เยี่ย หลีซูซูกับถานไถจิ้นจึงนั่งอยู่ข้างหลังแม่ทัพใหญ่เยี่ย

ในสถานการณ์เช่นนี้ บุตรีสายรองของสกุลเยี่ย เยี่ยหลันอินมิอาจมาร่วมงานได้

หลีซูซูอดใจไม่อยู่มองไปยังบุรุษตรงตำแหน่งประธาน ยามนี้เซียวหลิ่นกำลังพูดคุยกับขุนนางผู้หนึ่ง

หลีซูซูเท้าคางครุ่นคิด เซวียนอ๋องที่เป็นคนธรรมดา เทียบกับศิษย์พี่ใหญ่แล้วยังมีข้อแตกต่างกันหลายจุด ศิษย์พี่ใหญ่กงเหยี่ยจี้อู๋ เนตรขนงดูเหนือสามัญยิ่งกว่า กล่าวว่างามปานเทพเซียนก็ไม่เกินไป

ถานไถจิ้นมองตามสายตาของหลีซูซูไปและเห็นเซวียนอ๋อง เขาถอนสายตากลับมาเรียบๆ จ้องมองจอกสุราตรงหน้า ไม่รู้คิดอะไรอยู่

ผ่านไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงบรรเลงดนตรีจะดังขึ้น สาวใช้จวนเซวียนอ๋องประคองหญิงสาวผู้หนึ่งเดินเข้ามา

สีหน้าของเซียวหลิ่นที่เดิมเฉยชา พลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนยิ่ง “ปิงฉาง มานี่สิ”

หญิงสาววางมือเล็กที่เย็นอยู่บ้างลงบนฝ่ามือของเซียวหลิ่น สองคนสบตากันแล้วยิ้ม

มิต้องให้ใครบอก หลีซูซูก็แยกแยะได้ว่าสตรีที่อยู่ไม่ไกลออกไปนั้นเป็นใคร

คนในภาพวาดเมื่อหลายวันก่อน ดูเหมือนมีชีวิตขึ้นมาในพริบตา นางคลุมกายด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาวบริสุทธิ์ ผิวพรรณขาวกระจ่าง ยามหลุบตาดูอ่อนโยนเขินอาย บนผมของหญิงสาวผูกแถบแพรสีครามเรียบง่ายเส้นหนึ่ง ทั้งงดงามอ่อนแอและสุภาพเรียบร้อย

รูปโฉมของเยี่ยปิงฉาง มากกว่านี้หนึ่งส่วนฉูดฉาดเกินไป น้อยกว่านี้หนึ่งส่วนจืดชืดเกินไป คู่ควรกับวลีที่ว่า ‘จันทราหลบเร้น บุปผาเหนียมอาย’ อย่างเหมาะเจาะพอดี

ตั้งแต่นางเผยโฉม ผังอี๋จือที่ลิ้นเคลือบด้วยยาพิษ สายตาอย่าว่าแต่แววถากถางเหน็บแนมเลย กระทั่งลูกตายังกลอกไม่เป็นแล้วด้วยซ้ำ เหลือไว้เพียงความเหม่อลอยและความใฝ่ฝันหลายส่วน

สตรีในครอบครัวขุนนางที่มาร่วมงาน มองเยี่ยปิงฉางพลางขบปากบิดผ้าเช็ดหน้าโดยไม่รู้ตัว

พี่สาวสายรองผู้นี้อานุภาพทำลายล้างรุนแรงจริงแท้ หลีซูซูคิดในใจ

ชุนเถาประหม่ายิ่งนักด้วยเกรงว่าคุณหนูสามจะโมโหอีก เทียบกับคุณหนูใหญ่ที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ของสตรี ดวงหน้าของคุณหนูสามยังอวบยุ้ยเหมือนเด็กอยู่หลายส่วน ความน่ารักนั้นมีมาก แต่เสน่ห์เย้ายวนยังไม่เพียงพอ

กระนั้นชุนเถามองคุณหนูสามของตนแล้ว คุณหนูสามกลับกำลังกัดผลเฉ่าเหมย* นัยน์ตาที่ดำขาวตัดกันชัดเจนจ้องคุณหนูใหญ่เขม็ง มีแต่ความฉงนใจล้วนๆ

ชุนเถาคิดในใจ เอ๋? คุณหนูสามสงบถึงเพียงนี้เชียวหรือ

ชุนเถาไหนเลยจะรู้ว่า…

ห้าร้อยปีให้หลัง ในสามพิภพมีผู้บำเพ็ญหญิงผู้หนึ่งงามล้ำเลิศจนเทพมารเห็นแล้วเหม่อลอย แม้แต่เผ่าจิ้งจอกเห็นแล้วยังหมายปอง

ผู้บำเพ็ญหญิงที่มีร่างทิพย์แต่กำเนิด นั่นเป็นความงามที่ต่อให้ผ่านไปพันหมื่นปี โลกมนุษย์ก็ไม่มีทางได้พบเห็น

ต่อให้โลกใบนั้นจะปั่นป่วนโกลาหล แต่ทั่วทั้งแปดดินแดน แม้กระทั่งเผ่ามารที่เพิ่งถือกำเนิดยังรู้ว่าหากจะประชันความงาม แม้แต่เทพธิดาสมัยบรรพกาลที่แตกดับไปแล้ว ยังมิอาจสู้ผู้บำเพ็ญหญิงในสำนักเหิงหยางที่น้อยครั้งจะเหยียบย่างออกจากประตูสำนักผู้นั้นได้

นางมีนามว่าหลีซูซู

พวกเขายังเคยสันนิษฐานกันด้วยความคิดอันต่ำช้าว่า…สาเหตุที่จอมมารไม่ฆ่าหลีซูซู คงมิใช่ดูออกว่าเด็กหญิงในวัยเยาว์เป็นร่างที่สามารถพัฒนาไปได้สูงยิ่ง ตั้งใจรอให้นางเติบใหญ่และชิงตัวมาทำเป็นกระถางยาของตนกระมัง

หลีซูซูเผชิญหน้ากับร่างดั้งเดิมของตนเอง เห็นใบหน้าเจือความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของโฉมงามอันเป็นเหตุแห่งหายนะนับร้อยปีทุกเมื่อเชื่อวัน ย่อมไม่มีทางตกตะลึงกับรูปโฉมของเยี่ยปิงฉางอยู่แล้ว

ปกติแล้วระดับความหน้าตาดีของผู้คนในโลกบำเพ็ญเพียรสูงจนไม่น่าเชื่อ เด็กสาวที่หน้าตาดีกว่าเยี่ยปิงฉางสามารถพบเห็นได้ไม่น้อย

หลีซูซูมองผังอี๋จือที่สีหน้าทั้งเหม่อลอยและอ้างว้าง นึกอะไรได้จึงหันไปมองถานไถจิ้นข้างกายโดยไม่รู้ตัว

เด็กหนุ่มกำลังหลุบตา รู้สึกว่ามีคนมองตน จึงประสานสายตากับหลีซูซูด้วยความฉงน

หลีซูซูเบนสายตาออกไปอย่างหมดสนุก

ก็ได้ เดิมทีคิดว่าเด็กหนุ่มชั่วร้ายข้างกายจะจ้องเยี่ยปิงฉางไม่วางตาเช่นกันเสียอีก สุดท้ายเขากลับห้ามใจตนเองได้ดีถึงเพียงนี้ เป็นเพราะกลัวนางจะทุบตีเขาหรือไม่นะ

ตอนนี้เยี่ยปิงฉางเป็นสตรีเพียงผู้เดียวในเรือนหลังของเซียวหลิ่น นั่งอยู่ข้างหลังเซียวหลิ่น นางผงกศีรษะให้แม่ทัพใหญ่เยี่ยอย่างอ่อนโยน “ท่านพ่อ”

เยี่ยเซี่ยวพยักหน้านิดๆ ตาพยัคฆ์ถลึงมองบุตรีคนเล็กที่กินเฉ่าเหมยอยู่ข้างหลัง

“ซีอู้!”

หลีซูซูปากกัดเฉ่าเหมยไปได้ครึ่งผลก็รีบกลืนลงไป

ทราบแล้วๆ! ต้องแบกหม้อขอขมา ข้าชำนาญแล้วล่ะ!

หลีซูซูลุกขึ้น ย่อกายให้เยี่ยปิงฉาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเก้อกระดาก “พี่หญิงใหญ่ ข้าขออภัย งานเลี้ยงในวังก่อนหน้านี้ ซีอู้ไม่ควรผลักท่าน ซีอู้ขอขมาท่าน ณ ที่นี้ ขอท่านโปรดอภัยด้วย”

เยี่ยปิงฉางอึ้งงันไป ก่อนจะยิ้มตอบ “มิเป็นไร พวกเราพี่น้องเล่นสนุกกัน ข้ารู้ว่าน้องหญิงสามไม่ได้เจตนา” นัยน์ตาชุ่มชื้นของนางมองประเมินหลีซูซูอย่างอ่อนโยน เอ่ยอย่างปลาบปลื้มว่า “น้องหญิงสามโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”

นางใจกว้างถึงเพียงนี้ กลับเหนือความคาดหมายของหลีซูซู ดูเหมือนพี่หญิงใหญ่ที่เจ้าของร่างเดิมเกลียดชังยิ่งกว่าสิ่งใดกลับเป็นคนที่จัดว่าไม่เลวทีเดียว

ตรองดูเช่นนี้แล้ว ความสงสัยในใจหลีซูซูสลายไปหลายส่วน ความละอายใจกลับชัดเจนยิ่งขึ้น เยี่ยปิงฉางหน้าตาอมโรคจริงๆ ภายใต้เครื่องประทินโฉมมองออกรางๆ ว่านางไม่สบาย

เป็นไปตามที่คิด งานเลี้ยงหลังจากนั้นนางมักใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและส่งเสียงไอเบาๆ

สาวใช้เสี่ยวฮุ่ยประคองเยี่ยปิงฉาง “พระชายา ท่านอภัยให้คุณหนูสามสกุลเยี่ยง่ายดายเช่นนี้ ทั้งที่วันนั้นนางจงใจชัดๆ…”

เยี่ยปิงฉางมุ่นคิ้วเอ็ดเสียงเบา “เสี่ยวฮุ่ย ห้ามพูดมาก”

เสี่ยวฮุ่ยปิดปากหน้าเจื่อน

สมัยที่ยังไม่ออกเรือนคุณหนูสามก็มักรังแกคุณหนูใหญ่ บัดนี้คุณหนูใหญ่มีที่พึ่งแล้ว กลับยังต้องถอยให้คุณหนูสามครั้งแล้วครั้งเล่า

เยี่ยปิงฉางถอนใจเบาๆ มองเด็กสาวที่สวมเสื้อตัวสั้นกับกระโปรงสีแดงอมส้มข้างหลังแม่ทัพใหญ่เยี่ย

หวังว่าน้องหญิงสามจะเติบใหญ่แล้วจริงๆ

 

* ความหมายของคำนี้คือ แม้จะเข้าใจหลักการอันยิ่งใหญ่ในโลกหล้า แต่ยังคงไม่ละเลยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของสรรพสิ่ง

* กิ่งมะกอก ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนความสันติ

* สวมหมวก คือพิธีแสดงความเป็นผู้ใหญ่ของชายที่อายุครบยี่สิบปีในสมัยจีนโบราณ

* เฉ่าเหมย คือสตรอเบอรี่

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: