บทที่ 3
‘ผู้ชายทุกคนล้วนเป็นคนโง่’
ไม่มีถ้อยคำใดจะสามารถอธิบายความรู้สึกนึกคิดของหร่วนซือเสียนในเวลานี้ได้เหมาะสมเท่าประโยคนี้อีกแล้ว
เธอเก็บจดหมายกลับมาโดยจิตใต้สำนึก เค้นรอยยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้ออกมา อยากจะพูดสักสองประโยค แต่กลับพูดไม่ออกสักคำ
โชคดีที่ฟู่หมิงอวี่พูดประโยคนี้จบก็ไม่ได้มองเธออีก หรือกล่าวได้ว่าทำเหมือนตรงหน้าไม่มีคนคนนี้ยืนอยู่ เขายื่นมือไปปิดไฟสำหรับอ่านหนังสือ จากนั้นเอนที่นั่งลงก่อนหลับตาพักผ่อน
ผู้โดยสารโดยรอบเงียบสงบมาก มีเสียงพลิกหนังสือหรือเสียงแก้วน้ำกระทบกันเป็นครั้งคราวราวกับไม่มีใครสังเกตเห็นตรงนี้ แต่หร่วนซือเสียนรู้ว่าในเวลานี้มีสายตาจำนวนไม่น้อยจับจ้องมาที่เธอเหมือนกับกำลังรับชมความบันเทิงที่น่าสนุกสนาน
แต่ถึงอย่างนั้นผู้โดยสารที่นั่งชั้นหนึ่งของเที่ยวบินทางไกลตลอดทั้งปีเหล่านี้ก็ไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับแอร์โฮสเตสและผู้โดยสารมาก่อน
หร่วนซือเสียนกัดฟัน จากนั้นก็ถือเหยือกกาแฟหันกายเดินจากไป
เมื่อกลับมาถึงห้องจัดเตรียมอาหาร เธอก็วางเหยือกกาแฟลงอย่างแรง ทำให้เจียงจื่อเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ ตกอกตกใจ
“เป็นอะไรไป” เจียงจื่อเยวี่ยถาม
“ไม่มีอะไรค่ะ”
แม้ในใจหร่วนซือเสียนจะรู้สึกอัดอั้น แต่ก็ไม่กล้าพูดค่อนแคะเจ้านายต่อหน้าหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
ปกติแล้วแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเจียงจื่อเยวี่ยจะไม่เลวนัก แต่เพื่อนร่วมงานก็คือเพื่อนร่วมงาน คำพูดซุบซิบนินทาลับหลังไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นมีดที่ย้อนกลับมาทำลายเธอในวันใดวันหนึ่ง
เจียงจื่อเยวี่ยถามอีก “ใช่แล้ว ของของซือเสี่ยวเจิน…เธอส่งไปแล้วหรือยัง”
หร่วนซือเสียนมีจุดอ่อนอย่างหนึ่ง ในใจเธอสามารถซ่อนเรื่องราวต่างๆ ได้ แต่บนใบหน้ากลับซ่อนไว้ไม่อยู่ ถ้าในใจรู้สึกกระวนกระวายเพียงเล็กน้อย ไม่นานนักก็จะปรากฏเลือดฝาดสีแดงบนแก้มทั้งสองข้าง ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ อารมณ์ของเธอเห็นได้ชัดว่าไม่มั่นคงอย่างยิ่ง แววตาสามารถพ่นไฟได้ แต่แก้มที่แดงก่ำกลับดูเหมือนกำลังเขินอายอยู่
หญิงสาวตอบอย่างเย็นชา “ช่างเถอะค่ะ ไม่ส่งแล้ว” พอกล่าวจบเธอก็เบิกตากว้าง “พี่รู้เหรอคะ”
เจียงจื่อเยวี่ยยักไหล่ หันกายพิงตู้ “บ่ายวานนี้ซือเสี่ยวเจินมาหาฉัน”
สำหรับพวกหร่วนซือเสียนแล้ว เจียงจื่อเยวี่ยนับว่าอาวุโสกว่า เมื่อก่อนเธอเป็นคนที่ช่วยสอนเรื่องต่างๆ ให้ซือเสี่ยวเจิน และเพราะว่าเป็นหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ซือเสี่ยวเจินจึงรู้สึกว่าสามารถบอกทุกสิ่งทุกอย่างให้เธอฟังได้ ดังนั้นในตอนแรกจึงไปขอให้เจียงจื่อเยวี่ยช่วยก่อน แต่เธอกลับปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา
อย่าว่าแต่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองจึงไม่แยแสเลย แต่เรื่องนี้มันเหลวไหลเกินไปหน่อย ทำไมต้องเอามาผูกติดกับตัวเองด้วย
หร่วนซือเสียนเองก็เข้าใจดีจึงพยักหน้า “ฉันยังหาโอกาสไม่ได้เลยค่ะ”
โอกาสอะไรนั่นเป็นข้ออ้างทั้งนั้นแหละ คนก็นั่งอยู่ตรงนั้น ถ้าอยากส่งให้จริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องที่ทำได้ภายในอึดใจเดียวหรอกเหรอ
เจียงจื่อเยวี่ยเข้ามาใกล้แล้วถาม “เธอไม่กล้าหรือไง”
“ใช่ค่ะ ไม่กล้า” หร่วนซือเสียนเผยรอยยิ้มแปลกๆ ตรงมุมปาก “ฉันเกรงใจน่ะค่ะ”
ถ้าคนอื่นคิดว่าฉันส่งจดหมายรักจะทำยังไง
“จะเป็นไปได้ยังไง ไม่เห็นมีอะไรต้องเกรงใจเลย” เจียงจื่อเยวี่ยยกสเต๊กเนื้อวัวขึ้นมาสามชุด แล้วเดินผ่านหร่วนซือเสียนไป “ฉันจะไปส่งอาหารมื้อดึกให้ลูกเรือ ส่วนเธอ…อีกสักพักดับไฟแล้วก็เอาออกไปวางเงียบๆ เถอะ แค่นี้ก็ไม่มีใครรู้แล้ว”
เจียงจื่อเยวี่ยพูดแบบนี้ อารมณ์ของหร่วนซือเสียนก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนจะมีเหตุผล
เมื่อครู่นี้เห็นได้ชัดว่าฟู่หมิงอวี่เข้าใจเธอผิด คิดว่าเธอกำลังดึงดูดความสนใจจากเขาอยู่ เรื่องแบบนี้หร่วนซือเสียนจะอธิบายอย่างไร พูดไปคนอื่นก็อาจจะไม่เชื่อ มีแต่ต้องส่งจดหมายไปเท่านั้น เมื่อฟู่หมิงอวี่เห็นเนื้อหาในจดหมายแล้วก็จะรู้ว่าเขาเข้าใจผิดไปเอง
แต่เวลานี้เมื่อเห็นท่าทางเย่อหยิ่งถือตัวของฟู่หมิงอวี่แล้ว เขาต้องไม่รับของใดๆ ที่เธอส่งให้อย่างแน่นอน ดังนั้นรออีกสักพักหลังจากดับไฟและทุกคนหลับกันหมดแล้ว เธอก็จะนำจดหมายไปวางไว้บนที่นั่งของเขาโดยที่เทพและผีมิอาจล่วงรู้
พอเขาตื่นขึ้นมาเห็นเนื้อหาในจดหมายแล้ว ความจริงก็จะปรากฏออกมาเอง
โอเค
เมื่อหร่วนซือเสียนตัดสินใจแล้วก็รออย่างสงบ
ยี่สิบนาทีให้หลัง ไฟในห้องผู้โดยสารดับลงแล้ว ผู้โดยสารส่วนใหญ่ต่างเอนเก้าอี้ลงและสวมผ้าปิดตานอนหลับ มีผู้โดยสารสองคนเปิดไฟอ่านหนังสืออยู่ โดยรอบเงียบสงบจนได้ยินเสียงลมหายใจ
มีเพียงเด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งตรงที่นั่ง 7A กำลังเปิดไอแพดดูการ์ตูน ทั้งยังเปิดลำโพงด้วย
ทุกครั้งเมื่อถึงช่วงเวลานี้ เครื่องบินก็คล้ายกับหอพักขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง และหร่วนซือเสียนก็มักรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคุณป้าผู้ดูแลหอพักอย่างไรอย่างนั้น
เธอเดินเบาๆ ไปที่ข้างกายเด็กชายคนนั้น และเตือนให้เขาสวมหูฟังดูการ์ตูน
เด็กน้อยส่งเสียงพึมพำออกมาสองสามคำ “ผมปวดหูครับ”
หร่วนซือเสียนนั่งยองๆ และพูดเบาๆ “หนูน้อย หนูเปิดลำโพงแบบนี้จะหนวกหูคนอื่นนะคะ”
เด็กน้อยยังคงไม่ยินยอม เขาชี้ไปที่ผู้ใหญ่ข้างๆ พลางกล่าว “พ่อผมไม่ได้ถูกเสียงดังรบกวนสักหน่อย”
หร่วนซือเสียนมองแวบหนึ่ง พ่อของเด็กน้อยสวมผ้าปิดตาและสวมที่อุดหูจึงไม่ได้ยินอยู่แล้ว ทั้งยังนอนหลับเหมือนหมูตาย เขาถูกเสียงดังรบกวนสิถึงจะแปลก
เมื่อพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้ หร่วนซือเสียนก็ไม่มีวิธีอื่นนอกจากเกลี้ยกล่อมต่อไปด้วยความอดทนและหวังดี
“หนูน้อย ตอนถึงลอนดอนจะเป็นเวลาเช้าตรู่ ถ้าตอนนี้หนูไม่นอน พรุ่งนี้ลงจากเครื่องแล้วจะรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน ไม่มีแรงไปเล่นนะ”
น้ำเสียงของเธอนุ่มนวล ทั้งยังอ่อนโยนและทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ยากมากที่ใครจะเอ่ยคำปฏิเสธออกมาได้ ถึงแม้จะเป็นเพียงเด็กน้อยก็ตาม
เด็กน้อยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปิดไอแพด “งั้นผมต้องชิ้งฉ่องก่อนครับ”
หร่วนซือเสียนยื่นมือไปให้เด็กน้อยจับ “ไปสิ พี่จะไปส่งหนู”
ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นช่วงครูซ แต่อาจเจอกับความแปรปรวนของอากาศจนทำให้เครื่องบินสั่นได้ตลอดเวลา ดังนั้นการปกป้องให้เด็กน้อยปลอดภัยคือความรับผิดชอบของหร่วนซือเสียน
ขณะเดินผ่านข้างกายฟู่หมิงอวี่ เธอก้มหน้ามองแวบหนึ่ง เขานอนนิ่ง ลมหายใจสม่ำเสมอ หลับได้สงบอย่างยิ่ง
ทันใดนั้นหร่วนซือเสียนก็รู้สึกว่านี่คือโอกาสที่ดี ด้วยเหตุนี้จึงหยุดฝีเท้าลง แล้วกล่าวกับเด็กน้อย “หนูน้อย หนูรอพี่แป๊บหนึ่งนะ”
จากนั้นเธอก็ก้มตัว เอาจดหมายฉบับนั้นวางไว้ข้างหมอนของฟู่หมิงอวี่ แต่ตอนที่นิ้วมือแตะถูกหมอน เขาก็เม้มริมฝีปาก ทำให้หร่วนซือเสียนตกใจจนตัวสั่น นึกว่าเขาไม่ได้หลับ
โชคดี เขาเพียงแค่ขยับหัวเท่านั้น
ฟู่หมิงอวี่ไม่ได้ลืมตา แต่เด็กน้อยข้างๆ กลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“พี่สาว นี่พี่กำลังส่งจดหมายรักเหรอ”
“…”
เด็กน้อยนี่ทำไมรู้เยอะขนาดนี้
“ไม่ใช่นะ” หร่วนซือเสียนไม่อยากอธิบายให้เด็กน้อยฟังมากนัก “รีบไปเถอะ อีกสักพักห้องน้ำน่าจะถูกคนยึดแล้ว”
เด็กน้อยทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเธอ ทำท่าทางราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย “พี่ชายคนนี้หล่อมาก แต่พี่สาวไม่ต้องอายหรอก ผมเคยได้รับจดหมายรักแล้ว ไม่มีอะไรเลย ปกติจะตาย”
หร่วนซือเสียนแทบจะเป็นลม
เจ้าเด็กน้อยคนนี้นี่ ถ้าอยากแสดงปาฐกถาก็ไม่ต้องมาแสดงตรงนี้ดีกว่าไหม ถ้าฟู่หมิงอวี่ไม่ได้หลับ แต่แค่พักสายตาเฉยๆ ล่ะ
หร่วนซือเสียนสูดลมหายใจเข้าลึกเป็นครั้งที่สามของวันนี้ แล้วลากเด็กน้อยไปยังห้องน้ำ
ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ตอนที่หร่วนซือเสียนจูงมือเด็กน้อยกลับมาก็พบว่าฟู่หมิงอวี่ไม่ได้หลับแล้ว ทั้งยังปรับพนักพิงเก้าอี้ให้ตั้งตรง เปิดไฟสำหรับอ่านหนังสือและดูไอแพด
รวดเร็วขนาดนี้ หร่วนซือเสียนถึงขั้นสงสัยว่าเมื่อครู่นี้เขาหลับจริงๆ หรือเปล่า ทว่าสีหน้าท่าทางของเขาดูปกติดี น่าจะไม่ได้ยินที่เธอพูด แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาเห็นจดหมายฉบับนั้นแล้วหรือยัง ดังนั้นตอนที่ผ่านข้างกายฟู่หมิงอวี่ เธอก็อดไม่ได้ที่จะยื่นศีรษะไปมอง
โอเค ดูเหมือนเขาจะยังไม่เห็น แต่จดหมายฉบับนั้นกลับหล่นลงไปบนพื้นแล้ว คงเป็นเพราะเขาปรับพนักพิงเก้าอี้ให้ตั้งตรง
ในใจหร่วนซือเสียนรู้สึกกระวนกระวาย ตอนนี้ไม่เพียงต้องส่งใหม่อีกครั้ง แต่ยังต้องเก็บขึ้นมาโดยที่เทพและผีมิอาจล่วงรู้ได้
ทว่าคนที่เห็นจดหมายฉบับนี้ไม่ใช่แค่หร่วนซือเสียน เด็กน้อยข้างๆ ก็เห็นแล้วเช่นกัน
เห็นก็เห็นไปเถอะ แต่เขากลับพูดเสียงดังขึ้นมา “พี่สาว จดหมายรักของพี่หล่นอยู่บนพื้นแล้วครับ”
“…”
ฉันเห็นแล้ว ไม่ต้องให้นายพูดมากหรอกน่า
ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่จดหมายรักนะ!
ฟู่หมิงอวี่ได้ยินคำพูดและมองมา แต่เป็นเพียงแค่ปรายตามองมาแวบหนึ่งเท่านั้น หลังจากเห็นว่าคนที่อยู่ข้างๆ คือหร่วนซือเสียนก็หันหน้ากลับไปทันที มุมปากมีรอยยิ้มแฝงด้วยความหมายที่ไม่ชัดเจนเอาไว้
ไม่ใช่ความหมายที่ไม่ชัดเจน เพราะหร่วนซือเสียนรู้สึกได้ถึงการถากถางบนใบหน้าเขาได้อย่างชัดเจน
ยิ้มอะไร
มีอะไรน่ายิ้ม
นี่ไม่ใช่จดหมายรักจริงๆ สักหน่อย!
หร่วนซือเสียนพบว่าตั้งแต่ที่ฟู่หมิงอวี่ขึ้นเครื่องมา เขาพูดกับเธอทั้งหมดห้าประโยค โดยในห้าประโยคมีสองประโยคที่เป็นเพียงคำสั้นๆ แต่กลับเปลี่ยนเธอจากนางฟ้าผู้อ่อนโยนและนุ่มนวลองค์หนึ่งเป็นกระเป๋าใส่ดินระเบิดที่สามารถระเบิดบนท้องฟ้าสูงได้ตลอดเวลาไปเป็นที่เรียบร้อย
นี่มันปีศาจอะไรกัน
แน่นอน หร่วนซือเสียนกล้าตะโกนแค่ในใจเท่านั้น แต่ภายนอกยังคงต้องรักษารอยยิ้มเอาไว้
“หนูน้อย นี่ไม่ใช่จดหมายรักนะคะ”
“ถ้างั้นคืออะไรเหรอครับ”
“จดหมายยื่นคำร้องจ้ะ”
“ไม่ใช่จดหมายรักเหรอ”
“…”
หร่วนซือเสียนหันหน้ากลับไปมองแวบหนึ่ง ยังดีที่ดูเหมือนว่าฟู่หมิงอวี่จะไม่สนใจที่พวกเขาสนทนากัน เธอจึงพาเด็กน้อยกลับไปยังที่นั่ง จากนั้นก็นั่งยองๆ และคาดเข็มขัดนิรภัยพลางลูบหน้าผากเขา
“รีบพักผ่อนเถอะนะ”
พูดจบเธอก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ หันกายมองไปทางฟู่หมิงอวี่
ดูเหมือนเขาจะถูกไอแพดดึงดูดความสนใจไปหมดแล้ว จึงไม่ได้มองมาทางหร่วนซือเสียนเลยแม้แต่น้อย
แบบนี้ดีที่สุด
หร่วนซือเสียนเดินไปข้างๆ ฟู่หมิงอวี่ ก่อนจะเก็บจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วยื่นไปตรงหน้าเขา เวลานี้เธอไม่ได้แสร้งทำเป็นไม่รู้จักและเรียกเขาว่า ‘คุณผู้ชาย’ อีกแล้ว
“รองประธานฟู่ คุณอย่าเข้าใจผิดนะคะ นี่คือ…”
ยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ เครื่องบินก็สั่นสะเทือนกะทันหันโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าแม้แต่น้อย ทั้งยังรุนแรงอยู่บ้าง ทำให้ผู้โดยสารจำนวนมากต่างตกใจตื่น สัญญาณไฟเตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัยสว่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
หร่วนซือเสียนบินมาสองปีแล้ว อาศัยประสบการณ์ก็รู้ว่าครั้งนี้อาจไม่ใช่แค่ความแปรปรวนของอากาศ เป็นไปได้ว่าอาจบินผ่านกลุ่มเมฆฝน
ไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เธอไม่กล้าเคลื่อนไหวส่งเดช รีบจับพนักพิงเก้าอี้ของฟู่หมิงอวี่ไว้ทันทีเพื่อหาที่ยึดให้ตัวเอง
ในระหว่างที่เกิดความสับสนวุ่นวาย เธอก้มหน้าเห็นฟู่หมิงอวี่เก็บไอแพดโดยไม่มีท่าทีตื่นตระหนก แล้วช้อนตาขึ้นมองราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เสียงประกาศบนเครื่องบินกลับดังขึ้นมากะทันหัน ขัดจังหวะการพูดของเขา
“ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ เนื่องจากเครื่องบินของเราพบเจอกับกระแสอากาศที่แปรปรวนอย่างแรง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือน ผู้โดยสารกรุณากลับไปยังที่นั่งของตน คาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย ห้องน้ำปิดให้บริการในเวลานี้ค่ะ”
ขณะนั้นเด็กน้อยที่นั่งอยู่ทางด้านนั้นก็ตกใจจนร้องไห้เสียงดัง พยายามดิ้นรนโผเข้าไปหาพ่อของตัวเองอย่างสุดกำลัง แต่พอพบว่าตัวเองรัดเข็มขัดนิรภัยไว้ก็เริ่มปลดออก
หร่วนซือเสียนร้องตะโกนทันที “หนูน้อย! อย่าปลดเข็มขัดนิรภัยออก! นี่เป็นแค่แรงสั่นสะเทือนจากกระแสลมเท่านั้น ไม่ต้องกลัวนะ!”
ทว่าเด็กน้อยไหนเลยจะเข้าใจคำพูดของหร่วนซือเสียน พ่อของเด็กน้อยเองก็เพิ่งถูกการสั่นสะเทือนปลุกให้ตื่นและลุกขึ้นมานั่งอย่างงุนงง เห็นได้ชัดว่ายังไม่เข้าใจว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่เธอไม่สามารถปล่อยให้เด็กน้อยปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วลุกออกจากที่นั่งได้จริงๆ ถ้าหากได้รับบาดเจ็บเพราะแรงกระแทกบนเครื่องบินแล้วจะยุ่งยาก
หร่วนซือเสียนไม่มีเวลาคิดให้รอบคอบ กำลังจะวิ่งไปกดร่างเด็กน้อยเอาไว้ ทว่าเธอเพิ่งปล่อยมือ เครื่องบินก็สั่นสะเทือนอีกครั้ง ใต้เท้าของเธอไม่มั่นคง ทำให้ตัวเอนเอียง คนทั้งคนจึงล้มลงไป
และเธอล้มลงในอ้อมกอดของฟู่หมิงอวี่อย่างพอเหมาะพอดี
หร่วนซือเสียน “…”
เมื่อร่างกายสัมผัสกัน กลิ่นอายของเขาวนเวียนอยู่รอบกายหร่วนซือเสียน ร่างกายส่วนบนของเธอทั้งหมดแทบจะอิงแอบอยู่บนอกของเขา
ทันทีที่เงยหน้าขึ้นก็สบกับสายตาของฟู่หมิงอวี่ เขาเอียงศีรษะลงมาเล็กน้อย ไม่ได้ปกปิดแววหยอกล้อและเหยียดหยามในดวงตาเลยสักนิด หร่วนซือเสียนแปลความหมายได้ว่า ‘ผมจะดูว่าคุณจะอธิบายยังไง’
เวลานี้เธอใจเต้นแรงขึ้นด้วยความรู้สึกอับอาย คล้ายหัวใจกำลังจะกระโดดออกมาจากอกอยู่รอมร่อ สีแดงของเลือดฝาดบนใบหน้าลามไปถึงกกหู หญิงสาวได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดัง ‘ตึกๆๆ’ อย่างชัดเจน
นี่มันน่าอึดอัดเกินไปแล้ว
ฟู่หมิงอวี่เอ่ยปากขึ้นหลังจากเสียงหัวใจเต้น “เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า”
“…”
นอกจากความเงียบก็ยังคงเป็นความเงียบ
เหตุการณ์นี้ ถ้าฉันบอกว่าไม่เคยคิดจะเรียกร้องความสนใจจากคุณ คุณจะเชื่อไหม
ฉันเองก็ไม่เชื่อ
ในเวลานี้สถานการณ์ในเครื่องบินก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบ แต่ทั้งสองยังคงสบตากันอยู่อย่างนี้ คนหนึ่งหน้าแดงหูแดง อีกคนหนึ่งสงบเยือกเย็น แววตาไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
ผ่านไปเนิ่นนาน ฟู่หมิงอวี่ที่ไม่ได้รับคำตอบก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง “คุณคิดจะนั่งอยู่บนตักของผมไปอีกนานเท่าไร”
“…”
หร่วนซือเสียนรีบลุกขึ้นทันที สองมือไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน ได้แต่จัดผมเผ้าก่อนที่นิ้วมือจะปัดผ่านใบหน้าของตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ ด้วยอุณหภูมิขนาดนี้ ถ้าเธอมีกระจกสักบานก็น่าจะเห็นใบหน้าอันแดงก่ำของตัวเองที่ราวกับผ่านการอบซาวน่ามาได้
“ฉัน…” หร่วนซือเสียนหลับตาลงแล้วตัดสินใจนำจดหมายฉบับนั้นวางไว้บนโต๊ะของเขา “นี่คือจดหมายที่เพื่อนร่วมงานของฉันฝากนำมาส่งให้คุณค่ะ ข้างในคือความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ ของเธอเกี่ยวกับโครงการโบยบิน”
หลังจากวางจดหมายลง หร่วนซือเสียนก็ไม่กล้ามองเขาอีก แล้วเดินจากไปทันที
เมื่อเดินเข้ามาในห้องพัก เจียงจื่อเยวี่ยก็เข้ามาถามทันที “หร่วนหร่วน เมื่อกี้นี้เธอ…”
เจียงจื่อเยวี่ยพูดได้เพียงครึ่งเดียวก็หยุดลง แล้วตบไหล่หร่วนซือเสียน
“ไม่เป็นไรค่ะ แรงสั่นสะเทือนเมื่อกี้ทำให้ตกใจนิดหน่อย” หร่วนซือเสียนยืนสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง “เมื่อกี้เด็กน้อยตรงที่นั่ง 7A ตกใจจนร้องไห้ พี่ช่วยเอาน้ำผลไม้สักแก้วไปให้แทนฉันหน่อยสิคะ ฉันไปพักก่อนนะ”
เกือบสิบชั่วโมงหลังจากนั้น หร่วนซือเสียนก็เดินผ่านข้างกายฟู่หมิงอวี่นับครั้งไม่ถ้วน แต่ดีที่เขาหลับไปเกือบห้าชั่วโมง อีกห้าชั่วโมงที่เหลือก็ทำธุระของตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ได้มองมาที่เธอเลยแม้แต่แวบเดียว แต่ถึงกระนั้นทุกครั้งที่เดินผ่านข้างกายเขา เธอก็ยังคงกระสับกระส่ายไปทั้งตัวอยู่ดี และมักจะรู้สึกว่าวินาทีต่อมาเขาจะเงยหน้าขึ้นมามองอย่างเหน็บแนม แล้วพูดถ้อยคำที่ทำให้เธออับอายขายหน้า
แต่โชคดีที่สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้น
หลังจากนำเครื่องบินลงจอดและส่งผู้โดยสารทั้งหมดแล้ว หร่วนซือเสียนก็แทบจะลอกผิวหนัง ไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าการบินทางไกลแค่ครั้งเดียวจะเหนื่อยขนาดนี้
อย่างไรก็ตามเธอนวดไหล่และเดินกลับเข้าไปในห้องผู้โดยสารอีกครั้ง ตอนเดินผ่านที่นั่งของฟู่หมิงอวี่ก็เกือบจะเป็นลม
จดหมายฉบับนั้นยังคงวางอยู่บนโต๊ะโดยที่ปิดผนึกไว้เช่นเดิม
ทำไมหร่วนซือเสียนถึงมั่นใจว่ามันปิดผนึกไว้เช่นเดิมน่ะหรือ
เพราะว่าซือเสี่ยวเจินให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ภายนอกเสมอ จึงใช้ตราประทับครั่งผนึกปากซองจดหมายอย่างดี
หร่วนซือเสียนนับไม่ถูกแล้วว่าวันนี้ตัวเองสูดหายใจเข้าออกลึกๆ เป็นครั้งที่เท่าไร เธอหยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมา
วันนี้เธอพบเจอกับเที่ยวบินที่วุ่นวายขนาดนี้ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นการแสดงเดี่ยวของเธอฝ่ายเดียวอย่างนั้นเหรอ!
บทที่ 4
เมื่อลงจากเครื่องแล้ว หร่วนซือเสียนก็เปิดโทรศัพท์มือถือ เห็นข้อความวีแชตต่างๆ และสายที่ไม่ได้รับมากมายจนเหมือนใกล้จะล้นออกมา
หลังจากนั่งรถรับส่งพนักงานบนเครื่องบินมุ่งหน้าไปยังโรงแรมแล้ว หร่วนซือเสียนจึงมีเวลาและเริ่มตอบข้อความ
เจียงจื่อเยวี่ยยังคงเร็วกว่าหร่วนซือเสียน เธอส่งข้อความไปในกลุ่มแชตเพื่อนร่วมงานกลุ่มหนึ่ง บอกว่าถึงลอนดอนเรียบร้อยแล้ว และถามว่ามีเพื่อนร่วมงานที่ยังอยู่ในลอนดอนหรือไม่ และนัดออกไปเที่ยวด้วยกัน
กลุ่มแชตนี้เป็นกลุ่มที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเป็นการส่วนตัว มีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน กัปตัน นักบินผู้ช่วย ยังมีเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงและเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยอีกกลุ่มหนึ่ง
มีคนถามเจียงจื่อเยวี่ยว่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินครั้งนี้มีใครบ้าง เจียงจื่อเยวี่ยบอกเป็นคนๆ แล้วถามกลับไป ‘ทำไม อยากจะแสดงความในใจเหรอ’
หร่วนซือเสียนมองบทสนทนาอันดุเดือดในกลุ่มแชตแวบหนึ่ง รู้ว่าเจียงจื่อเยวี่ยกำลังพูดถึงเธอ เพียงแต่คิ้วยังไม่ทันจะขมวด แชตส่วนตัวอีกสองแชตก็มีข้อความเข้ามา
อันหนึ่งคือกัปตันเยวี่ยซึ่งประจำการอยู่ที่ฐานลอนดอนในปีนี้ เชิญเธอไปทานอาหารค่ำ
อันหนึ่งคือสจ๊วตที่มาถึงลอนดอนเมื่อวาน เชิญเธอไปเที่ยวด้วยกันตอนบ่าย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาแสดงไมตรีต่อหร่วนซือเสียน และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่สองคนนี้เท่านั้น ไม่รู้ว่าทำไมหร่วนซือเสียนถึงรู้สึกว่าชะตาดอกท้อ ในปีนี้ของตัวเองดีเป็นพิเศษ คนที่ตามจีบมีไม่ขาดสายจนเธอจัดการไม่หวาดไม่ไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เธอถ่ายภาพลงปกนิตยสารของสายการบินเหิงซื่อฉบับเดือนมีนาคมปีนี้ ทุกสัปดาห์จะมีคนเพิ่มเพื่อนในวีแชตเธอผ่านช่องทางที่ไม่ชัดเจนอยู่หลายคน
หร่วนซือเสียนตอบปฏิเสธสองคนนี้ทันที บอกว่าวันนี้ตัวเองมีนัดแล้ว เมื่อส่งข้อความไป เจียงจื่อเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็มองโทรศัพท์เธออย่างเยาะหยันแวบหนึ่ง
“แม้แต่กัปตันเยวี่ยเธอก็ปฏิเสธเหรอ”
“…”
ความรู้สึกที่กัปตันเยวี่ยมีต่อหร่วนซือเสียน แม้ไม่บอกทุกคนต่างก็รู้กันหมด แต่คนที่มีสายตาเฉียบแหลมย่อมมองออกมากกว่าคนอื่นอยู่หลายส่วน
แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นเรื่องส่วนตัวอยู่ดี แต่เมื่อได้ยินคนพูดอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ อีกทั้งยังดูโทรศัพท์เธอโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นใครก็คงไม่พอใจกันทั้งนั้น
“วันนี้ฉันนัดเพื่อนที่ลอนดอนไว้แล้วค่ะ”
เจียงจื่อเยวี่ยไม่เชื่อคำพูดที่เธอกล่าว หรือไม่ก็คิดว่านี่เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น หร่วนซือเสียนจึงเบ้ปากก้มหน้ามองโทรศัพท์
“ฉันสงสัยว่าเหตุผลที่เธอไม่มีแฟนมาโดยตลอดเป็นเพราะเธอตาสูงเกินไปใช่หรือเปล่า”
“ไม่ใช่…ตอนนี้ฉันแค่ยังไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ค่ะ”
เจียงจื่อเยวี่ยเลิกคิ้วพลางส่ายหน้าเบาๆ “มองไปทั่วทั้งสายการบินเหิงซื่อ กัปตันเยวี่ยหล่อเหลาเอาการ เพิ่งอายุยี่สิบเก้า ค่าตอบแทนหนึ่งล้านต่อปี มีกี่คนในแผนกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของพวกเราที่จ้องมองกันตาปริบๆ แต่สุดท้ายเธอก็ยังไม่ชอบ”
หร่วนซือเสียนหันข้างมองเจียงจื่อเยวี่ยแวบหนึ่ง สังเกตสีหน้าท่าทางของเธออยู่ในสายตา
หรือว่าเจียงจื่อเยวี่ยจะมีใจให้กัปตันเยวี่ย
กัปตันเยวี่ยยอดเยี่ยมก็จริง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ยังรักอิสระ ทั้งยังอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างบริษัทสายการบินที่มีกลุ่มคลื่นแอร์โฮสเตสหน้าตาดีลูกแล้วลูกเล่าเข้ามาอย่างต่อเนื่องราวกับฝ่ายใน ความรวดเร็วในการเปลี่ยนแฟนสาวของเขาเทียบได้กับนางแบบเปลี่ยนเสื้อผ้า เพียงพริบตาก็เปลี่ยนคนใหม่เสียแล้ว
“ไม่ได้ความหมายว่าไม่ชอบค่ะ” หร่วนซือเสียนกระซิบเสียงเบา “แค่ไม่ใช่คนประเภทที่ฉันชอบเท่านั้นเอง”
มีเสียงเหอะดังขึ้นเบาๆ จากคนข้างๆ ซึ่งแฝงไปด้วยการเหน็บแนมและมองเห็นทุกสิ่งอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรดี หร่วนซือเสียนรู้สึกว่าเธอกับเจียงจื่อเยวี่ยยังไม่ถึงขั้นที่สามารถพูดคุยความในใจกันได้ จึงไม่ได้สนใจอีก เลื่อนวีแชตต่อไปจนถึงด้านล่าง และพบว่าเมื่อสี่ชั่วโมงที่แล้วซือเสี่ยวเจินส่งข้อความมาถามถึงความคืบหน้าหลายข้อความ
หร่วนซือเสียนตอบกลับไปหกคำ ‘ไม่ได้ส่งไป หมดหวัง’
ซือเสี่ยวเจินไม่ได้ตอบกลับ เนื่องจากตอนนี้เธออยู่บนเที่ยวบินที่บินไปยังนิวยอร์กแล้ว
หลังจากถึงโรงแรม หร่วนซือเสียนและเจียงจื่อเยวี่ยพักที่ห้องสแตนดาร์ดห้องเดียวกัน ตอนนี้ที่ลอนดอนเป็นเวลาสิบโมงครึ่ง เจียงจื่อเยวี่ยเช็ดเครื่องสำอางออกและเตรียมตัวนอน หร่วนซือเสียนไม่มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับเวลาใหม่เหมือนเธอ จึงกลัวว่าหากตัวเองนอนในเวลานี้แล้ว เที่ยวบินขากลับในตอนเช้าของอีกสองวันถัดไปเธอจะง่วงจนสภาพจิตใจไม่ปกติ ดังนั้นจึงนัดเจอเพื่อนในตอนกลางวันเสียเลย
“ใช่แล้ว หร่วนหร่วน วันนี้บนเครื่องบินเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ” เจียงจื่อเยวี่ยจัดวางแผ่นมาส์กหน้าบนหน้า ปากเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ “ฉันเห็นเธอนั่งตักของรองประธานฟู่”
หร่วนซือเสียนที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าชะงักไปครู่หนึ่ง “…”
เจียงจื่อเยวี่ย พี่อย่าพูดคำว่า ‘ตัก’ ออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำแบบนี้ได้ไหม
“ตักอะไรกันคะ ก็แค่เครื่องสั่นสะเทือนจนยืนไม่มั่นคงน่ะค่ะ”
เจียงจื่อเยวี่ยยิ้ม เนื่องจากแผ่นมาส์กหน้าหนามากพอจึงเก็บซ่อนสีหน้าของเธอไว้ได้
ปลายฤดูร้อนคาบเกี่ยวต้นฤดูใบไม้ร่วง ในสายลมมีกลิ่นหอมของดอกไม้และนำมาซึ่งความหนาวเย็น
ลอนดอนฝนตกเป็นประจำ หร่วนซือเสียนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีน เรียบง่ายดุจดอกไม้สีขาวดอกน้อยที่พลิ้วไหวในสายลม
หร่วนซือเสียนรู้สึกว่าตัวเองพลิ้วไหวมากจริงๆ บินมาสิบกว่าชั่วโมง ต้องฝืนตัวเองไม่ให้หลับ ทั้งๆ ที่แทบจะยืนได้ไม่มั่นคงแล้ว
“หร่วนหร่วน เธอถึงลอนดอนแล้วหรือยัง”
เสียงในสายทางด้านเปี้ยนเสวียนเงียบมาก แต่เธอก็ยังลดเสียงให้เบาลงอีก “ที่รัก ฉันเพิ่งลงจากเครื่อง อดใจรอต่อไปไม่ไหวเลยโทรหาเธอ วันนี้เธอต้องไปสถานที่หนึ่งกับฉันนะ มีเซอร์ไพรส์!”
หร่วนซือเสียนยังไม่ทันได้ตอบ อีกฝ่ายก็วางสายไปแล้ว เห็นได้ว่าอดใจรอต่อไปไม่ไหวจริงๆ
แต่หร่วนซือเสียนชอบเปี้ยนเสวียนมาก ชอบที่เธอกระตือรือร้นและใจกว้าง ทั้งยังสนุกสนาน ชอบไปกินและดื่มด้วยกันกับเธอ
‘โอเค ว่าแต่พวกเราเจอกันที่ไหนดี’
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นเปี้ยนเสวียนก็ตอบข้อความ
‘โทษที เมื่อกี้ตื่นเต้นเกินไปเลยลืมบอกเธอ เธออยู่ไหน’
หร่วนซือเสียนส่งโลเกชั่นของตัวเองไปให้
‘งั้นพวกเราก็อยู่ใกล้กันมากน่ะสิ เธอมารอฉันที่สนามบิน W.T เลยเถอะ อีกประมาณสี่สิบนาทีฉันจะออกไป’
สนามบิน W.T เป็นสนามบินส่วนตัวแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในลอนดอน หร่วนซือเสียนเคยเตรียมลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ ดังนั้นจึงคุ้นเคยอยู่บ้าง จึงรีบเดินทางไปที่นั่นทันที ส่วนที่ว่าทำไมต้องไปรอเปี้ยนเสวียนที่สนามบินส่วนตัว หร่วนซือเสียนกลับไม่แปลกใจ เพราะว่าเปี้ยนเสวียนเป็นแอร์โฮสเตสบนไพรเวตเจ็ต หรือพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินส่วนตัว และสนามบินส่วนตัวแห่งนี้ก็เป็นของเจ้านายเธอ
ที่จริงแล้วถ้ามองจากภายนอก สนามบินส่วนตัวกับสนามบินทั่วไปแตกต่างกันไม่มากนัก ภายในอาคารที่สว่างและสะอาดสะอ้านสามารถชมเครื่องบินที่บินขึ้นและลงจอดบนทางวิ่งได้ ตรงที่หร่วนซือเสียนยืนอยู่สว่างไสวจนสะท้อนแสง เธอซื้อกาแฟแก้วหนึ่ง ยืนอยู่ที่โถงผู้โดยสารขาเข้า เฝ้าดูคนที่เดินออกมาจากทางออก
วันนี้กลุ่มคนที่หลั่งไหลมาไม่เยอะมาก คนที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางพยายามเร่งฝีเท้า คนที่รออยู่ข้างนอกร้อนใจจนยากจะทานทน ดูเหมือนมีเพียงหร่วนซือเสียนที่เดินเล่นอยู่ในห้องโถงอย่างเอ้อระเหยพลางดื่มกาแฟอยู่บ่อยๆ ราวกับมาเที่ยวเล่นก็ไม่ปาน
ผ่านไปนานแล้วเปี้ยนเสวียนก็ยังไม่ออกมา หร่วนซือเสียนจึงส่งข้อความหาเธออีกครั้ง
หร่วนซือเสียน : ฉันถึงแล้วนะ
เปี้ยนเสวียน : อืมๆ! ฉันอยู่ระหว่างทางแล้ว! บอสของฉันเจอผู้อำนวยการสนามบินเลยพูดคุยกันครู่หนึ่งน่ะ ตอนนี้ฉันใกล้ถึงทางออกแล้ว’
หร่วนซือเสียน : เธอลงจากเครื่องแล้วทำไมยังอยู่กับบอสของเธออีก’
เปี้ยนเสวียน : ก็นี่คือเซอร์ไพรส์ที่ฉันจะบอกเธอยังไงล่ะ! ตอนค่ำบอสมีงานเลี้ยงบนเรือยอชต์ส่วนตัวที่แม่น้ำเทมส์ เขาเชิญฉันและยังอนุญาตให้ฉันพาเพื่อนไปด้วย!
หร่วนซือเสียนเกือบสำลักกาแฟ
หร่วนซือเสียน : ดังนั้นเธอก็เลยจะพาฉันไป?
เปี้ยนเสวียน : ใช่แล้ว! เธอจะไปเป็นเพื่อนฉันใช่ไหม ฉันไปคนเดียวน่าเบื่อจะตาย!
หร่วนซือเสียนไม่ได้ตอบข้อความไปชั่วขณะ แต่เปี้ยนเสวียนกลับส่งข้อความมาติดๆ กันหลายข้อความ
เปี้ยนเสวียน : บอสเป็นคนดีมาก! เป็นคนแก่ที่สนุกสนานและอัธยาศัยดีมาก!
เปี้ยนเสวียน : ไปด้วยกันเถอะ! ไปเถอะๆ!
เปี้ยนเสวียน : ปาร์ตี้เรือยอชต์บนแม่น้ำเทมส์เลยนะ! บางทีในชีวิตนี้ก็มีแค่โอกาสนี้โอกาสเดียว!
หร่วนซือเสียนทนการส่งข้อความราวกับทิ้งระเบิดของเปี้ยนเสวียนไม่ไหว จึงตกลงรับปาก
ครึ่งปีก่อนเปี้ยนเสวียนก็เคยถามเธอว่าอยากลาออกมาอยู่อังกฤษหรือไม่ เธอรู้ว่าเจ้านายของเธอมีเพื่อนที่ทำงานร่วมกันท่านหนึ่ง ไม่กี่ปีนี้ร่วมทำธุรกิจกับประเทศจีน จึงต้องการรับสมัครแอร์โฮสเตสบนไพรเวตเจ็ตชาวจีน หร่วนซือเสียนเองก็ฉลาด มีวุฒิการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ ใช้ภาษาอังกฤษคล่องแคล่ว เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ไว แถมยังสวยอีกด้วย นับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของแอร์โฮสเตสบนไพรเวตเจ็ต อีกทั้งเงินเดือนและสวัสดิการของแอร์โฮสเตสบนไพรเวตเจ็ตก็ไม่ใช่สิ่งที่แอร์โฮสเตสธรรมดาจะสามารถเทียบได้ เจ้านายที่มีเครื่องบินส่วนตัวเดิมทีก็ไม่ได้สนใจเรื่องเงินเดือนอยู่แล้ว บางครั้งถ้าเจ้านายพาแขกมาด้วย และแอร์โฮสเตสบนไพรเวตเจ็ตบริการได้เป็นที่น่าพอใจ ทิปที่ได้รับอาจเป็นเงินเดือนครึ่งปีของคนธรรมดา ทั้งยังสามารถบินไปยังสถานที่ต่างๆ ทั่วโลกกับเจ้านายได้ตลอดทั้งปี งานประเภทนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกอิจฉาไม่น้อย
เพียงแต่หร่วนซือเสียนปฏิเสธไป คนหนึ่งอยู่เจียงเฉิง คนหนึ่งอยู่ลอนดอน ทั้งสองไม่ได้เจอกันเกือบปีแล้ว เมื่อเทียบกับงานเลี้ยงของคนแปลกหน้า หร่วนซือเสียนอยากใช้เวลาอย่างมีความสุขกับเปี้ยนเสวียนมากกว่า
ขณะที่เงยหน้าขึ้นมา หร่วนซือเสียนก็เห็นเปี้ยนเสวียนเดินออกมาจากทางออก
เนื่องจากเป็นแอร์โฮสเตสบนไพรเวตเจ็ต เมื่อเดินออกมาช่องทางปกติ ทั้งยังสวมเครื่องแบบสีแดงสดทั้งตัวพร้อมลากกระเป๋าเดินทาง เปี้ยนเสวียนจึงสะดุดตาเป็นพิเศษอยู่ในกลุ่มฝูงชน
เปี้ยนเสวียนโบกมือให้หร่วนซือเสียนตั้งแต่ไกลๆ แสงไฟที่สนามบินส่องสว่างมาก หร่วนซือเสียนจึงก้าวเท้ายาวๆ พลางยิ้มแล้วเดินไปหาเธอ
ไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้ อีกฝ่ายดูเหมือนจะเปลี่ยนไปมาก ผอมลงเล็กน้อย แต่ก็สวยขึ้นมากเช่นกัน
ในดวงตาของหร่วนซือเสียนปรากฏความดีใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เพราะได้กลับมาเจอกันอีกครั้งหลังจากห่างหายกันไปนาน
ทว่าตอนที่อยู่ห่างจากเปี้ยนเสวียนประมาณสิบเมตร หร่วนซือเสียนก็เห็นว่าตรงทางออกมีคนอีกสองคนเดินออกมา
คนที่เดินนำมีลักษณะเฉพาะตัวที่โดดเด่นจนสามารถดึงดูดสายตาของหร่วนซือเสียนไว้ได้ในทันที
หร่วนซือเสียนยังไม่ทันได้เปลี่ยนสีหน้าท่าทางก็สบเข้ากับสายตาของฟู่หมิงอวี่พอดี แต่เธอก็ยังรักษารอยยิ้มที่อ่อนโยนไว้ และเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“…”
ชั่วพริบตาปฏิกิริยาแรกของหร่วนซือเสียนคือ เขาปรากฏตัวอยู่ที่สนามบินนี้ได้ยังไง
ปฏิกิริยาที่สองคือ บ้าจริง! เขาจะคิดว่าฉันตั้งใจสะกดรอยตามเขาหรือเปล่านะ
รอยยิ้มของหร่วนซือเสียนค่อยๆ แข็งทื่ออยู่ที่มุมปาก
‘เธอปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ยังไง’
‘เธอช่างวางแผนทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายจริงๆ’
หร่วนซือเสียนแทบจะแน่ใจว่าฟู่หมิงอวี่ต้องคิดแบบนี้ เพราะตอนที่เขาเห็นหร่วนซือเสียน ฝีเท้าก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันหลังกลับเดินไปยังอีกทางออกหนึ่ง
หร่วนซือเสียน “…”
โธ่เอ๊ย…
“หร่วนหร่วน!”
เปี้ยนเสวียนพุ่งเข้ามากอดแน่นๆ ทีหนึ่ง ขัดจังหวะความคิดของหร่วนซือเสียนอย่างกะทันหัน “ฉันคิดถึงเธอมากเลย เธอคิดถึงฉันไหม”
“…”
“หร่วนหร่วน?”
“…”
เปี้ยนเสวียนเขย่าไหล่ของหร่วนซือเสียน “เธอเป็นอะไรไป”
หร่วนซือเสียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก เธอรู้สึกว่าหลังจากพบกับฟู่หมิงอวี่ ตัวเองมักจะหายใจเข้าออกลึกๆ เสมอ บางทีไม่ช้าก็เร็วคงมีวันใดวันหนึ่งที่เธอจะต้องตายอยู่ภายใต้กางเกงสูทของเขาเนื่องจากเลือดลมไปเลี้ยงไม่พอ
“ไม่เป็นไร ดีใจเกินไปน่ะ เลยตะลึงนิดหน่อย”
หร่วนซือเสียนโยนแก้วกาแฟลงไปในถังขยะอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ‘ตึง’
เปี้ยนเสวียนมองหร่วนซือเสียนขึ้นๆ ลงๆ อย่างพิจารณา “แต่…ทำไมฉันรู้สึกว่าเธอไม่ค่อยดีใจเท่าไร”
“ดังนั้นตอนนี้ฉันเลยต้องการความยินดีจนอยากดื่มเหล้าไงล่ะ” หร่วนซือเสียนกอดไหล่เปี้ยนเสวียน “ไปกันเถอะ”
เวลาเที่ยงตรงหร่วนซือเสียนกลับบ้านไปเก็บข้าวของเป็นเพื่อนเปี้ยนเสวียน เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปทานอาหารกลางวัน โดยเว้นช่วงเวลาตลอดทั้งบ่ายให้ว่างเพื่อแต่งตัว
เปี้ยนเสวียนรู้สึกว่าหร่วนซือเสียนแต่งกายเรียบร้อยเกินไป จึงลากเธอไปเดินซื้อเสื้อผ้า ประจวบเหมาะกับหร่วนซือเสียนกำลังอารมณ์ไม่ดี ต้องการผ่อนคลายด้วยการเดินซื้อของจริงๆ โชคดีที่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของเที่ยวบินหลักระหว่างประเทศอย่างหร่วนซือเสียนรายได้ไม่น้อย จึงเพียงพอกับค่าใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายแบบนานๆ ครั้งของเธอ
ยามพลบค่ำ ริมแม่น้ำเทมส์มีคนเดินถนนและนักท่องเที่ยวทยอยกันมาไม่ขาดสาย เสียงเอะอะเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำถูกลมจากแม่น้ำพัดผ่านราวกับว่าเปลี่ยนไปจนไพเราะน่าฟัง ผิวน้ำมีระลอกคลื่นที่กำลังซัดอย่างสงบ ท่ามกลางแสงจันทร์สีทองที่สาดส่องลงมาบนผิวน้ำ เรือยอชต์ลอยเอ้อระเหยประหนึ่งหงส์ตัวหนึ่ง มีเพียงคนที่พาตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้นถึงจะได้สัมผัสกับความหรูหราและฟุ่มเฟือย
หร่วนซือเสียนสวมชุดกระโปรงสีไวน์แดง ผมเป็นลอนยาวปรกไหล่ เปี้ยนเสวียนที่อยู่ข้างกาย แขนเสื้อขาวราวกับหิมะ
บนร่างของคนทั้งสองอาบไปด้วยแสงระยิบระยับและเป็นประกาย เมื่อเดินอยู่ท่ามกลางผู้หญิงที่แต่งกายงดงามบนเรือยอชต์ก็ยังคงเป็นที่สะดุดตา
เปี้ยนเสวียนถือไวน์ ลากหร่วนซือเสียนมาพิงที่ราวกั้นแล้วชี้ไปที่คนแก่ผมสีดอกเลาคนหนึ่งบนดาดฟ้าเรือพลางกล่าว
“นั่นคือบอสของฉัน อัลวิน เขาบอกว่าเพื่อต้อนรับแขกคนสำคัญ วันนี้จึงตั้งใจจัดงานเลี้ยงเป็นพิเศษ เธอดูสิที่นี่คนเยอะมาก หนุ่มหล่อเพียบเลย”
หร่วนซือเสียนหันหน้ากลับไปตอบรับไมตรีชายผมบลอนด์นัยน์ตาสีมรกตคนหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเบาลง “ต่อให้หล่อกว่านี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่นี่คือประเทศอังกฤษ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ชอบผู้หญิง”
เปี้ยนเสวียนป้องปากหัวเราะ หร่วนซือเสียนจึงเงยหน้าขึ้นสังเกตเรือยอชต์ลำนี้อย่างละเอียด
อัลวินเป็นนักธุรกิจประจำท้องถิ่นที่ร่ำรวยถึงขนาดสร้างสนามบินส่วนตัวได้ เขาจัดงานเลี้ยงที่เสิร์ฟแต่ไวน์มีระดับ ย่อมเชิญผู้ที่มีอิทธิพลมาร่วมงานด้วย นักดนตรีวงซิมโฟนีในชุดทักซิโดกำลังบรรเลงเพลงอยู่บนดาดฟ้าเรือ ไม่ว่าจะหยุดอยู่ตรงไหนล้วนมีไวน์ชั้นเลิศและอาหารรสโอชาอยู่ตรงนั้น บริกรเดินไปมาระหว่างผู้คน เห็นได้ชัดว่าแขกท่านนี้มีความสำคัญมากเพียงใด
หร่วนซือเสียนพิงราวกั้นตากลมพลางกล่าว “แขกแบบไหนกันที่บอสของเธอให้ความสำคัญขนาดนี้”
“อันที่จริงแล้วเป็นเพราะบอสของฉันชอบความครึกครื้น จึงชอบจัดงานเลี้ยงแบบนี้ แน่นอน แขกก็สำคัญมากเช่นกัน” สายตาของเปี้ยนเสวียนทะลุผ่านกลุ่มคน สอดส่ายสายตามองหาแขกท่านนั้น ทว่าไม่พบร่องรอย “สนามบิน W.T จะถูกซื้อแล้ว สายการบินเหิงซื่อ ใช่แล้ว สายการบินที่เธอทำงานน่ะ สายการบินเหิงซื่อจะซื้อสนามบิน W.T แล้ว ลูกชายเจ้าของสายการบินเหิงซื่อมาสำรวจ…เธอเป็นอะไรไปน่ะ”
แก้วในมือของหร่วนซือเสียนเกือบตกลงไปในแม่น้ำ
“เธอบอกว่า…แขกคือลูกชายเจ้าของสายการบินเหิงซื่อ?”
เปี้ยนเสวียนพยักหน้า “ใช่”
มิน่าล่ะ วันนี้เขาถึงปรากฏตัวที่สนามบิน W.T
ความรู้สึกของหร่วนซือเสียนยากจะพรรณนา เธอถึงขั้นคิดจะลงจากเรือยอชต์ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ ต่อให้เรือยอชต์แล่นไปถึงตรงกลางแม่น้ำ เธอก็สามารถกระโดดลงไปได้
ระหว่างที่พูด เปี้ยนเสวียนก็โบกมือไปยังกลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงกลาง “โอ้! บอสเรียกให้ฉันไปหา!”
หร่วนซือเสียนมองตามไปทันที ภายใต้โคมไฟประดับที่ส่องแสงงดงาม ชายหนุ่มในชุดทางการถือแก้วไวน์ค่อยๆ เดินออกมาจากข้างกายของอัลวิน นิ้วมือทั้งสิบเรียวยาวได้สัดส่วน แต่ที่เรียวยาวได้สัดส่วนยิ่งกว่านิ้วมือทั้งสิบก็คือสองขาของเขา ขนาดยืนอยู่ไกลๆ ตรงนั้น ชุดสูทที่เข้ารูป ลักษณะเฉพาะตัวที่มาจากการเลี้ยงดูและได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพมาตลอด ทำให้เขาดูโดดเด่นยิ่งกว่าแขกทุกคนที่อยู่ในที่นี้
ถ้าไม่ใช่ฟู่หมิงอวี่แล้วจะเป็นใครไปได้อีก
ราวกับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ฟู่หมิงอวี่ก็มองมาทางเธอเช่นกัน
ตอนที่สบสายตาเขา หร่วนซือเสียนเกือบจะหันกายหลบโดยจิตใต้สำนึก ทว่าเท้าทั้งสองกลับไม่ยอมขยับ
ท่ามกลางแขกในงานที่พลุกพล่าน ฟู่หมิงอวี่เอียงศีรษะแล้วส่งแก้วในมือไปให้เลขาฯ ที่ยืนอยู่ข้างๆ พอเลขาฯ เห็นเขาจะไปจึงถามขึ้นมา
“รองประธานฟู่ ต้องการไปพักไหมครับ”
ฟู่หมิงอวี่ส่ายหน้า แล้วเดินเร็วๆ ไปทางราวกั้นทันที
เขามาแล้ว เขามาแล้ว เขาเดินอย่างมั่นอกมั่นใจมาแล้ว
หร่วนซือเสียนจับฐานแก้วไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกำสายโซ่กระเป๋าสะพายบนไหล่
เอ๋?
ทันใดนั้นหร่วนซือเสียนก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ตอนที่เธอออกมาได้นำจดหมายของซือเสี่ยวเจินเขียนติดมาด้วย
เธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฟู่หมิงอวี่จะอ่านเนื้อหาข้างในจดหมาย เขาจะเปลี่ยนความตั้งใจหรือไม่นั้นไม่สำคัญแล้ว ขอเพียงอย่าหลับหูหลับตาเข้าใจเธอผิดก็พอ ดังนั้นก่อนที่เขาจะเดินเข้ามา หร่วนซือเสียนจึงรีบค้นกระเป๋าแล้วหยิบจดหมายฉบับนั้นออกมาทันที
“รองประธานฟู่คะ”
ฟู่หมิงอวี่ยืนนิ่งอยู่หน้าหร่วนซือเสียน สีหน้าไม่ได้เย็นชาอย่างก่อนหน้านี้แล้ว บางทีอาจเป็นเพราะดื่มไวน์เข้าไป หางคิ้วจึงแฝงความไม่เอาจริงเอาจังเล็กน้อย
เขาก้มศีรษะ ดวงตาปรากฏเป็นเส้นโค้งที่งดงาม
“ยังคง…บังเอิญจริงๆ”
“…”
ถ้าคุณบอกว่าเป็นความบังเอิญก็บังเอิญเถอะ
แต่ก็บังเอิญมากจริงๆ
หร่วนซือเสียนยกมุมปากขึ้น “คุณอย่าคิดมากนะคะ ฉันได้รับเชิญจากเพื่อนให้มาที่นี่”
เห็นได้ชัดว่าฟู่หมิงอวี่ไม่เชื่อ งานเลี้ยงเช่นนี้เป็นไปไม่ได้ที่หร่วนซือเสียนจะได้รับเชิญ นอกเสียจากว่าเธอเป็นลูกสาวของมหาเศรษฐีที่ไม่ยอมเปิดเผยตัวตน
“แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญ” หร่วนซือเสียนยื่นจดหมายในมือออกไป “ก่อนหน้าคุณไม่ได้อ่านจดหมายฉบับนี้ รบกวนคุณอ่านหน่อยนะคะ จะได้ไม่เข้าใจผิดว่าฉันมีจุดประสงค์อะไร”
ฟู่หมิงอวี่เพียงแค่มองเธอ มุมปากเม้มจนเป็นเส้นโค้งรางๆ
กำลังยิ้มอยู่ชัดๆ ทว่าในดวงตากลับไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นฟู่หมิงอวี่ไม่มีทีท่าว่าจะรับไป หร่วนซือเสียนจึงคิดจะเปิดจดหมายออกแล้วยื่นไปตรงหน้าให้เขาเห็นได้อย่างชัดเจน แต่มือขวาถือแก้วไวน์ ข้างกายก็ไม่มีบริกรอยู่ในตอนนี้ และยิ่งไม่มีทางให้คนอย่างฟู่หมิงอวี่ยอมลดเกียรติลงมาถือแก้วไวน์ให้เธอได้ ดังนั้นหร่วนซือเสียนจึงต้องอาศัยมือข้างเดียวเปิดจดหมาย
เธอหยิบกระดาษข้างในซองจดหมายออกมา แต่ตอนที่กำลังจะเปิด หร่วนซือเสียนเกิดมือลื่น หลังจากนั้นก็ได้แต่มองจดหมายถูกลมพัดไปตาปริบๆ ก่อนหล่นลงไปในแม่น้ำ
เสียงดนตรีที่วนเวียนอยู่โดยรอบหยุดลงในเวลานี้พอดี ข้างหูได้ยินเพียงเสียงไหลรินของแม่น้ำ เพิ่มความกระอักกระอ่วนในบรรยากาศมากยิ่งขึ้น
เลือดลมไปเลี้ยงไม่พอ ทั้งยังไม่พอต่อการบรรยายความรู้สึกในขณะนี้ของหร่วนซือเสียน เธอจึงหลับตาลง ตอนที่ลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เห็นสีหน้า ‘ผมจะดูว่าคุณจะอธิบายยังไง’ บนใบหน้าของฟู่หมิงอวี่เป็นครั้งที่สอง
ตอนนี้พูดอะไรไปย่อมไม่มีประโยชน์ และเธอก็ไม่อาจกระโดดลงไปในแม่น้ำเพื่อเก็บจดหมายขึ้นมาได้
“ฉัน…”
จู่ๆ ฟู่หมิงอวี่ก็ก้าวเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ขัดจังหวะคำพูดของหร่วนซือเสียน เธออยากจะถอยไปข้างหลังโดยจิตใต้สำนึก ทว่าข้างหลังเป็นราวกั้นและค้ำเอวของเธอไว้ ไม่มีที่ไหนให้ถอยได้อีก
ลมแม่น้ำพัดผ่านจนให้ผิวน้ำกระเพื่อมเป็นระลอก เส้นผมของหร่วนซือเสียนถูกลมพัดปัดผ่านตรงหน้าเธอไปมา
“ก็ได้” ฟู่หมิงอวี่เอ่ยปากพูดประโยคนี้ออกมา
พอเห็นเขาไม่มีท่าทีคิดเล็กคิดน้อยอีก หร่วนซือเสียนก็ผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก แต่วินาทีต่อมาฟู่หมิงอวี่ก็วางการ์ดใบหนึ่งลงบนมือของหร่วนซือเสียน เมื่อเธอก้มลงมองการ์ดในมือ
คีย์การ์ดห้องพักเหรอ
ขณะกำลังคิดว่าเขาหมายความว่าอะไร ก็ได้ยินเขาพูดขึ้น “ผมให้โอกาสคุณ”
“…”
คุณมันบ้าไปแล้ว!!!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 ธ.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.