บทที่ 5
หร่วนซือเสียนลงจากเรือยอชต์ด้วยเบ้าตาแดงก่ำ
แม้เธอจะไม่ได้เกิดจากครอบครัวที่มีอิทธิพล และไม่นับว่าเป็นลูกรักของสวรรค์ แต่ก็เป็นดาวโรงเรียนตั้งแต่เด็กจนโต มีคนมาจีบไม่เคยขาด ข่าวซุบซิบนินทาก็มีบ้างเป็นครั้งคราว ทว่าไม่เคยมีใครทำให้เธออับอายขายหน้าขนาดนี้มาก่อน
อะไรคือ ‘ให้โอกาสคุณ’ อะไรคือ ‘บังเอิญจริงๆ’
มองฉันเป็นคนแบบไหนไปแล้ว
ถ้าหากเวลานั้นฟู่หมิงอวี่ไม่ได้หมุนกายเดินจากไปทันที ถ้าหากไม่ได้กังวลว่านี่เป็นงานเลี้ยงของเจ้านายเปี้ยนเสวียน ถ้าหากไม่ใช่ว่าคนที่รายล้อมอยู่โดยรอบล้วนเป็นชาวต่างชาติ หร่วนซือเสียนคงเอาไวน์ในมือสาดใส่ใบหน้าเขาตรงนั้นอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่ตอนนี้ทุกอย่างล้วนเป็นแค่ความคิด พลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดไปเสียแล้ว หร่วนซือเสียนรู้ตัวดีว่าจะไม่มีคำอธิบายใดๆ ให้กับคนโง่อย่างฟู่หมิงอวี่อีก
ไป!
ไปเดี๋ยวนี้!
หร่วนซือเสียนทนต่อการไม่ได้รับความเป็นธรรมแบบนี้ไม่ไหวแล้ว เธอตัดสินใจออกจากสายการบินเหิงซื่อ ออกจากขอบเขตอำนาจของฟู่หมิงอวี่ ไม่อยู่ภายใต้บริษัทของเขาและทำงานต่อไปเหมือนคนโง่อีก
ภายในโรงแรมติดตั้งคอมพิวเตอร์ไว้ให้แขกที่มาพักใช้บริการ หร่วนซือเสียนเปิดโปรแกรม Word ก่อนจะเริ่มเขียนใบลาออก ระหว่างนั้นซือเสี่ยวเจินก็โทรมา หร่วนซือเสียนจึงผ่าหัวคลุมหน้า* ต่อว่าไปยกหนึ่ง
“เธอยังจะถามอีกเหรอ! เพราะเรื่องนี้ทำให้ฉันขายหน้าไปหมดแล้ว ฉันไม่ทำแล้ว ฉันจะลาออกตอนนี้!”
อารมณ์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟของหร่วนซือเสียนแผดเผาซือเสี่ยวเจินจนวิงเวียนศีรษะ ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด เพียงครู่เดียวซือเสี่ยวเจินก็ส่งเสียงสะอึกสะอื้นออกมา
“ธะ…เธอเป็นอะไรไปเหรอ ฉันจะบอกเธอว่าไม่ต้องส่งจดหมายแล้ว ฉันมีทางออกแล้ว”
หร่วนซือเสียนเท้าหน้าผาก ผมถูกทึ้งจนยุ่งเหยิง เมื่อเหลือบตามองคำว่า ‘ใบลาออก’ สามคำใหญ่ๆ บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ในที่สุดก็ใจเย็นลง
เธอไม่ควรระบายความโกรธใส่ซือเสี่ยวเจิน
ขณะที่กำลังอยู่ในสาย หร่วนซือเสียนไม่ได้สนใจว่าทางออกที่ซือเสี่ยวเจินพูดถึงคืออะไร ในสมองเต็มไปด้วยฟู่หมิงอวี่ เธอตบที่หน้าอก พยายามบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงสองวันนี้กับซือเสี่ยวเจินอย่างใจเย็น และยังต่อว่าฟู่หมิงอวี่อย่างรุนแรงอีกสิบนาที โดยใช้คำหยาบคายทั้งหมดที่ในสมองจะสามารถนึกขึ้นได้
ซือเสี่ยวเจินฟังจบ ผ่านไปนานก็ยังไม่ได้สติกลับมา
“เขา…ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ท่าจะบ้าซะล่ะมั้ง!”
ซือเสี่ยวเจินเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าว “เขาอาจจะเจอผู้หญิงประเภทนี้มากเกินไป เลยเข้าใจเธอผิดไปด้วย…”
“แล้วฉันควรถูกทำไม่ดีด้วยงั้นเหรอ ฉันไม่สน ฉันจะลาออก ตอนนี้แค่นึกถึงเขาฉันก็หายใจไม่ออกแล้ว!”
บรรยากาศทางฝ่ายซือเสี่ยวเจินกดดันอย่างยิ่ง ผ่านไปนานเธอจึงกล่าวขึ้นมา “ฉันจะลาออกกับเธอด้วย วันนี้ลุงของฉันโทรมาหาฉัน บอกว่าทาง COMAC…”
จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นหูดังขึ้น หร่วนซือเสียนหันหน้าไปมองก็เห็นเจียงจื่อเยวี่ยยืนอยู่ข้างหลังเธอ แรกเริ่มเจียงจื่อเยวี่ยมองเธออย่างตกตะลึง พออยู่ๆ เสียงเรียกเข้าดังขึ้นมากะทันหัน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นประหม่าอย่างช่วยไม่ได้ และก้มหน้ากดโทรศัพท์ทันที
ทว่าเป็นเพียงความลุกลี้ลุกลนในชั่วพริบตาเท่านั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของเจียงจื่อเยวี่ยก็กลับมาเป็นปกติ
“เอ่อ…” เจียงจื่อเยวี่ยกล่าว “ฉันเพิ่งเปิดประตู เธอไม่ได้ยินน่ะ”
ความหมายก็คือคำพูดที่หร่วนซือเสียนพูดกับซือเสี่ยวเจินเมื่อครู่นี้ เธอได้ยินหมดแล้ว
“กลับไปค่อยพูดกัน”
หร่วนซือเสียนวางสาย หันหน้ากลับมามองเจียงจื่อเยวี่ย ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
เจียงจื่อเยวี่ยคล้ายจะกระอักกระอ่วนอยู่บ้างเช่นกัน เธอก้มหน้าก้มตาเข้าไปล้างมือในห้องน้ำ ออกมาก็จัดของของตัวเองโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หร่วนซือเสียนคิดว่าถึงอย่างไรเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องที่เธอจะลาออกคงปิดไว้ไม่อยู่ จึงไม่ได้สนใจเท่าไร
แต่ในที่สุดเจียงจื่อเยวี่ยก็อดรนทนไม่ไหว พับเสื้อผ้าไปพลางพูดไปพลางอยู่บนเตียง “เธอจะลาออกจริงๆ เหรอ อย่าเพิ่งวู่วาม คิดพิจารณาอีกที”
ดูเหมือนว่าจะพูดด้วยความจริงใจ แต่หร่วนซือเสียนกลับฟังอารมณ์ในน้ำเสียงไม่ออกสักเท่าไร เหมือนเป็นแค่ประโยคเหนี่ยวรั้งแบบตายตัว เพียงแค่พูดๆ ไปเท่านั้น
ดังนั้นหร่วนซือเสียนจึงแค่ส่ายหน้า บอกว่าตัวเองคิดดีแล้ว และก็เป็นอย่างที่คิด เจียงจื่อเยวี่ยไม่ได้ถามอะไรมากมายอีก เธอจึงเขียนใบลาออกต่อ โคมไฟข้างโต๊ะสว่างจนถึงเวลาตีสอง
เที่ยวบินขากลับบินขึ้นในอีกสองวันต่อมา เมื่อมาถึงเมืองเจียงเฉิง อากาศไม่ค่อยดีนัก หมอกหนาเป็นชั้นๆ เครื่องบินจำนวนมากบินวนอยู่บนท้องฟ้าไม่สามารถลงจอดได้
ตอนนี้เป็นเวลารุ่งสาง ทุ่งนาบริเวณใกล้เคียงเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมา ชาวนาสองสามคนแบกเครื่องมือไว้บนบ่ากำลังเดินเอื่อยๆ อยู่บนคันนา
ทางด่วนโดยรอบการจราจรหนาแน่น ตำรวจจราจรที่ประตูใหญ่ของสนามบินสั่งการจนเหงื่อแตกพลั่ก
ทางเข้าชั้นผู้โดยสารขาออกต่อแถวกันยาวเหยียด คนที่ก่อนหน้านี้รถติดอยู่บนถนนก็รีบลากกระเป๋าเดินทางวิ่งตะบึงไปที่ช่องเช็กอิน
เมื่อหมอกหนาสลายไป ในที่สุดเครื่องบินแต่ละลำก็ค่อยๆ ลงจอด เจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงอากาศยานเดินกันอย่างเร่งรีบและทำสัญญาณให้เครื่องบินลงจอดอย่างแม่นยำ
สนามบินนานาชาติเจียงเฉิงเหมือนเดิมทุกประการ สำนักงานใหญ่ของสายการบินเหิงซื่อที่ตั้งอยู่ข้างๆ สนามบินก็ยังคงวุ่นวายไม่เปลี่ยนแปลง
เหล่าแอร์โฮสเตสที่สวยสง่าลากกระเป๋าเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างสายการบินเหิงซื่อและสนามบิน พูดคุยหัวเราะกันไม่หยุด ทุกวันล้วนเป็นเช่นนี้ แต่เรื่องที่คุยกันครั้งแล้วครั้งเล่าล้วนเป็นเรื่องเก่าเก็บนานนับปีทั้งนั้น
จนกระทั่งหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ทุกคนก็ได้ยินข่าวว่าหร่วนซือเสียน พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแผนกที่สี่ลาออกแล้ว
ว่ากันว่าไปอย่างเด็ดขาดมาก ถึงขนาดไม่รอให้ถึงช่วงส่งมอบงานหนึ่งเดือน ยอมจ่ายเงินค่าปรับ โบนัสสิ้นปีก็ไม่เอาแล้ว และย้ายออกจากหอพักของแผนกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินในวันเดียวกัน
คนที่ไปด้วยกันกับเธอยังมีซือเสี่ยวเจินเพื่อนสนิทของเธอด้วย แต่จุดสนใจของทุกคนล้วนอยู่ที่หร่วนซือเสียน
เธออายุน้อยและหน้าตางดงาม ไม่กี่เดือนก่อนเพิ่งขึ้นปกนิตยสารของสายการบินเหิงซื่อ และกลายเป็นปกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่ได้รับความนิยมมากอยู่ช่วงหนึ่ง ทั้งยังมีฉายาให้เธออย่างลับๆ ว่า ‘ดอกไม้แห่งสายการบินเหิงซื่อ’ กัปตันจำนวนมากที่ยังโสดและไม่โสดต่างแสดงไมตรีต่อเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
ส่วนด้านการงานก็กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น การบริการผู้โดยสารบนเครื่องบินยอดเยี่ยม หวังเล่อคังชื่นชมเธอมาโดยตลอด ตอนที่เธอบอกว่าจะลาออก เขายังคิดจะแหกกฎเลื่อนตำแหน่งให้เธอเป็นหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเพื่อรั้งให้อยู่ต่อ แต่เธอก็ยังยืนยันที่จะลาออก
ไม่นานนักฝ่ายบุคคลก็ประกาศลงมาอย่างเป็นทางการ
ครั้งหนึ่งเลขาฯ ของฟู่หมิงอวี่เอ่ยขึ้น “หร่วนซือเสียนคนนั้นลาออกแล้วครับ”
ฟู่หมิงอวี่กำลังพลิกดูเอกสารบนโต๊ะ “หร่วนซือเสียนคือใคร”
“ก็คือคนนั้น…” เลขาฯ กระแอม “แอร์โฮสเตสคนนั้นที่เสิร์ฟกาแฟให้คุณสามครั้งบนเครื่องบินน่ะครับ”
อากัปกิริยาของฟู่หมิงอวี่ไม่ได้หยุดชะงักใดๆ เอกสารที่หนาครึ่งนิ้วทำให้เขาไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะมาสนใจเรื่องเหล่านี้
แต่ผ่านไปครู่หนึ่งเขากลับยิ้มออกมา
“เพราะวันนั้นต้องคว้าน้ำเหลวกลับไปโรงแรม เลยรับความสะเทือนใจไม่ไหว?”
เลขาฯ ไหวไหล่ คงจะใช่มั้ง
ใครจะรู้ล่ะ
ปกติแล้วฟู่หมิงอวี่ก็พบเจอผู้หญิงแบบนี้มามาก แม้กระทั่งแอร์โฮสเตสคนนี้ชื่อว่าอะไรเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ อีกทั้งวันนั้นฟู่หมิงอวี่ก็ดื่มแอลกอฮอล์ด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเช่นนี้ เกรงว่าหร่วนซือเสียนคงถูกหวังเล่อคังไล่ออกไปก่อนแล้ว
ฟู่หมิงอวี่ไม่ได้พูดอะไรอีก ซึ่งบอกเป็นนัยว่าเลขาฯ สามารถออกไปได้แล้ว
เวลานี้ผู้ช่วยพิเศษหูก็ถือเอกสารกองหนึ่ง เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา
“สัญญาจัดซื้อ ACJ31 ฉบับสมบูรณ์ออกมาแล้วครับ ผมอ่านไปแล้วสามรอบ แต่อยากให้คุณอ่านอีกที”
เอกสารวางลงบนโต๊ะตรงหน้าฟู่หมิงอวี่ หนากว่ากองเมื่อครู่นี้สองเท่า
อย่างไรเสียนี่เป็นการจัดซื้อเครื่องบินที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาสายการบินเหิงซื่อในอนาคต ไม่ใช่การซื้อขายที่ใช้กุ้งตกตะพาบ*
และเป็นเพราะแผนการจัดซื้อจำนวนมากของ ACJ31 ดังนั้นเครื่องบินโดยสารรูปแบบใหม่ที่ศึกษาและพัฒนาขึ้นเองนี้จะค่อยๆ เข้ามามีบทบาทในกองบินของสายการบินเหิงซื่อทีละน้อย จึงสัมพันธ์กับปริมาณความต้องการนักบินของเครื่องบินประเภทอื่นที่ย่อมลดลงเป็นจำนวนมาก ฟู่หมิงอวี่จึงตัดสินใจยกเลิกโครงการโบยบินที่รับสมัครนักบินภายในองค์กร
การปรับเปลี่ยนกองบินกำลังใกล้เข้ามา ผู้บริหารของสายการบินเหิงซื่อยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้น และ ‘หร่วนซือเสียน’ สามคำนี้ก็เหมือนกับใบหน้าของเธอที่อยู่ในสมองของฟู่หมิงอวี่ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงครู่หนึ่งเท่านั้น
หายวับในชั่วพริบตา ห่านป่าบินผ่านไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่สนใจกับการจากไปของหร่วนซือเสียน มีคนบอกว่าเธอเปลี่ยนงานใหม่แล้ว เพราะสายการบินเป่ยจิงให้เงื่อนไขที่ดีกว่า แต่ไม่มีเหตุผลเลย เธอเป็นแค่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเท่านั้น ไม่ถึงกับทำให้สายการบินอื่นมาซื้อตัวไป มีคนบอกว่าเธอถูกขอแต่งงานแล้ว และลาออกเพื่อทำหน้าที่ภรรยาเต็มตัว ทั้งยังมีคนบอกว่าเธอเปลี่ยนสายอาชีพแล้ว
ต่างพูดกันไปต่างๆ นานา แต่ไม่มีใครแน่ใจ มีคนส่งข้อความในวีแชตไปถามเหตุผลเธอ เธอกลับบอกแค่ว่าอยากเปลี่ยนสภาพแวดล้อม แต่ทุกคนไม่เชื่อ
ใครอยากจะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมด้วยการไปอย่างรีบร้อนขนาดนี้
จนกระทั่งไม่กี่วันต่อมามีคนเห็นหร่วนซือเสียนและกัปตันเยวี่ยทานอาหารด้วยกันในร้านอาหารกระจกที่มีชื่อเสียงในลอนดอน ทุกคนจึงคิดว่าเธอต้องคบกับกัปตันเยวี่ยแล้วแน่ๆ ดังนั้นจึงรีบไปอังกฤษอย่างอดรนทนไม่ไหว
แต่คำพูดที่ดูเหมือนสมเหตุสมผลนี้ถูกทำลายลงทันที เพราะในที่สุดเหตุผลที่แท้จริงก็แพร่ออกมา
ที่แท้หร่วนซือเสียนพยายามจะยั่วยวนรองประธานฟู่บนเครื่องบิน หลังจากพลาดพลั้งก็ตามรังควานที่ลอนดอน ทำให้เขาไม่อาจทนกับการรบกวนของเธอได้
เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่แผนกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินต้องจัดการกับ ‘ความวุ่นวาย’ อย่างเข้มงวด หร่วนซือเสียนเองก็ดื้อรั้นเหมือนกัน อาศัยที่ตนหน้าตาดีจึงวางท่าหยิ่งยโส แต่น่าเสียดายที่คนเขาไม่ต้องการ
ดังนั้นก่อนที่ตัวเองจะถูกกำจัด เธอจึงเสนอตัวลาออกไปก่อนเพื่อรักษาหน้าเอาไว้
ทุกคนต่างเชื่อคำพูดนี้ เพราะว่ากลุ่มพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่อยู่กับเธอในวันนั้นเล่ารายละเอียดทั้งหมด ความเป็นไปได้จึงสูงมาก
มีหลายคนถอนหายใจ ถ้าหากความทะเยอทะยานของหร่วนซือเสียนน้อยลงกว่านี้สักหน่อย หากัปตันหนุ่มๆ ที่มีรายได้หนึ่งล้านต่อปี เวลาปกติก็ยังสามารถบินไปกับเที่ยวบินของแฟนตัวเองได้ เมื่อเทียบกับคนธรรมดาแล้วถือว่าดีกว่ามาก ย่อมมีคนมากมายอิจฉาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำไมต้องเอาแต่จ้องตำแหน่งคุณผู้หญิงของตระกูลร่ำรวยและมีอิทธิพลด้วย
แต่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรเสียก็เป็นแค่การวิพากษ์วิจารณ์ ปกติงานยุ่งกันขนาดนี้ ทุกคนล้วนวุ่นอยู่กับการทำมาหากินทั้งนั้น ผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ก็เหลือเพียงพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแผนกที่สี่เท่านั้นที่พูดคุยเรื่องนี้กันเป็นครั้งคราว
ผ่านไปอีกไม่กี่สัปดาห์มีเพียงคนที่ค่อนข้างคุ้นเคยกับหร่วนซือเสียนเท่านั้นที่พูดถึงเรื่องนี้
ต่อมา…ชื่อ ‘หร่วนซือเสียน’ ก็มีอยู่แค่ในห้องข้อมูลของสายการบินเหิงซื่อซึ่งเป็นที่เก็บนิตยสารเก่าๆ เท่านั้น
ปีแล้วปีเล่านาข้าวที่อยู่ข้างสนามบินก็สุกไปแล้วสามครั้ง ทุ่งนาหนึ่งผืนใหญ่ถูกแผ้วถางและขยายออกเป็นทางวิ่งเครื่องบิน
พนักงานของสายการบินเหิงซื่อใหม่เก่าสับเปลี่ยนแทนที่กัน บางครั้งเมื่อหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินและกัปตันพูดคุยกันก็จะเอ่ยถึง ‘หร่วนซือเสียน’ สามคำนี้ขึ้นมา ทำให้พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินตำแหน่งระดับล่างต่างทำหน้างุนงงเหมือนกับกำลังบอกว่าพวกเขาพูดถึงใคร
หลังจากนั้นผ่านไปสามปี แม้แต่หัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินก็ไม่พูดถึงหร่วนซือเสียนกันแล้ว
หร่วนซือเสียนจากไปตอนที่เธอกำลังรุ่งที่สุด แต่กลับคิดไม่ถึงว่าชื่อเสียงและความดีงามจะเหมือนกับฟองอากาศที่ไม่นานก็มลายหายไปในเกลียวคลื่น
ช่วงสามปีมานี้ ภายในสายการบินเหิงซื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ประธานคณะกรรมการบริหารค่อยๆ กระจายอำนาจ ปัจจุบันเพียงแต่ควบคุมกิจการของบริษัทการเงินและการเช่าเครื่องบินเท่านั้น สำหรับลูกชายทั้งสอง คนโตควบคุมส่วนธุรกิจ ในขณะเดียวกันก็ร่วมธุรกิจกับต่างประเทศ ส่วนคนเล็กอย่างรองประธานฟู่ หรือฟู่หมิงอวี่ก็ค่อยๆ ก้าวเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ตอนแรกประธานคณะกรรมการบริหารส่งผู้ช่วยพิเศษหูที่ได้รับเงินเดือนเทียบเท่ารองประธานไปช่วยฟู่หมิงอวี่โดยเฉพาะ แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว ผู้ช่วยพิเศษหูกลับมาทำตำแหน่งเดิม แล้วยกให้ฟู่หมิงอวี่ควบคุมทุกๆ กิจการ ประคับประคองหน่วยแต่เพียงผู้เดียว ตอนนี้เขาจึงเป็นผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ
เรื่องซุบซิบเล็กๆ น้อยๆ ก็มีเช่นกัน อย่างเช่นข่าวที่ว่าสัญญาหมั้นหมายระหว่างคู่หมั้นกับรองประธานฟู่ ลูกชายคนโตของประธานคณะกรรมการบริหารถูกยกเลิกไปแล้ว
ส่วนเลขาฯ ของฟู่หมิงอวี่กลายเป็นผู้จัดการทั่วไปฝ่ายธุรกิจในแอฟริกาเหนืออย่างก้าวกระโดด และทางด้านนี้ก็มีเลขาฯ หนุ่มหล่อเข้ามาใหม่
ขณะที่เจียงจื่อเยวี่ย หัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่กำลังคบกับกัปตันเยวี่ยก็ย้ายฐานกลับมาที่เมืองเจียงเฉิงแล้ว ทั้งสองหวานกันหยาดเยิ้มดุจน้ำผึ้งทุกวัน
แผนกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินก็มีคนใหม่เข้ามาทีละคน ทุกคนหน้าตางดงามเหมือนดอกไม้ และแล้วก็มี ‘ดอกไม้’ คนใหม่ของสายการบินเหิงซื่ออีกครั้ง อาศัยความงดงามที่ไม่ธรรมดาขึ้นปกนิตยสารภายใน พอผู้โดยสารพลิกอ่านผ่านตาก็ไม่ลืม ส่วนพนักงานชายในบริษัทต่างกระเหี้ยนกระหือรือ
ดูเหมือนจะไม่มีใครจำหร่วนซือเสียนคนนี้ได้อีกแล้ว
หลังจากนั้นหนึ่งปีชื่อหร่วนซือเสียนได้ถูกเอ่ยถึงอีกครั้ง เมื่อมีคนเห็น ‘ดอกไม้’ คนใหม่ของสายการบินเหิงซื่อก็พูดขึ้นมาหนึ่งประโยค
“ฉันรู้สึกว่าหนีถงคนนี้ค่อนข้างคล้ายกับหร่วนซือเสียนนะ”
แต่มีคนไม่เห็นด้วย “คล้ายอะไรกัน ยังไงก็ด้อยกว่าหร่วนซือเสียนอยู่ดี”
หลังจากหนีถงรู้เข้าก็เสียใจมาก เธอจึงวิ่งไปถามเจียงจื่อเยวี่ย
“อาจารย์ หร่วนซือเสียนคือใครเหรอคะ”
“เธอเหรอ…” หางคิ้วเจียงจื่อเยวี่ยยกสูง ส่งเสียงหึเบาๆ แต่ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
หนีถงรบเร้าถามเธอ “อดีตเพื่อนร่วมงานเหรอคะ” เมื่อเจียงจื่อเยวี่ยตอบว่าใช่ หนีถงจึงกล่าวต่อไป “หลายคนพูดกันว่าฉันค่อนข้างคล้ายเธอ มีรูปไหมคะ ฉันอยากดูสักหน่อย”
ก็แค่อยากดูสักหน่อยว่าอาศัยอะไรถึงมาบอกว่าฉันด้อยกว่า
เจียงจื่อเยวี่ยกล่าว “คล้ายตรงไหนกัน เธอสวยกว่าเสียอีก”
หนีถงฟังแล้วก็ยังคงไม่พอใจ เพราะคนที่พูดว่าเธอ ‘ด้อยกว่าหร่วนซือเสียน’ เป็นถึงกัปตัน และเธอค่อนข้างให้ความสำคัญกับการประเมินของผู้ชาย
“ให้ฉันดูรูปหน่อยนะคะ ก็แค่ดูๆ เท่านั้น”
เจียงจื่อเยวี่ยจำเป็นต้องเลื่อนดูวีแชตของหร่วนซือเสียนเหมือนเมื่อก่อนที่เธอเคยกดเข้าไปดูอย่างไรอย่างนั้น มีเพียงข้อความ ‘เพื่อนแสดงโมเมนต์* ของสามวันล่าสุดเท่านั้น’ หนึ่งบรรทัด นอกจากนั้นก็ไม่มีเนื้อหาอะไรอีกเลย
ดังนั้นเธอจึงกล่าวขึ้นมา “จะเอาตัวเองไปเทียบกับเธอทำไม หรือว่าอยากลาออกอย่างน่าเศร้าเหมือนเธอ”
หนีถงกะพริบตาปริบๆ “หมายความว่ายังไงคะ”
เจียงจื่อเยวี่ยส่ายหน้าแล้วเล่าเรื่องในอดีตเมื่อสามปีที่แล้วออกมาด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจอย่างยิ่ง เมื่อหนีถงฟังจบก็เกือบจะหัวเราะจนตัวงอ
“จริงหรือโกหกคะเนี่ย ไม่ประมาณกำลังตัวเองเกินไปแล้ว”
เจียงจื่อเยวี่ยเลิกคิ้ว “ใครว่าไม่ใช่ล่ะ”
แต่นี่ก็ไม่อาจทำให้หนีถงคลายกังวลได้ เธอยังคงรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับประโยค ‘ด้อยกว่าหร่วนซือเสียน’ เป็นอย่างมาก และคิดว่าถ้าหากตัวเองมาเร็วกว่านี้สามปี จะต้องแข่งกันว่าใครเหนือกว่าด้อยกว่าอย่างแน่นอน น่าเสียดายที่ตอนนี้เธอรู้สึกราวกับว่าไร้กำลัง เหมือนคนรักใหม่ที่ไม่อาจเอาชนะคนรักเก่าที่ตายไปแล้วได้ และเธอเองก็ไม่สามารถเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่ไม่ได้อยู่ในบริษัทนี้แล้วได้เช่นกัน
โชคดีที่ไม่นานนักก็ไม่มีใครสนใจคำพูดนี้แล้ว หนีถงได้แหกกฎเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ได้รับความสำคัญจากเจ้านาย และไม่มีใครเอาคำว่า ‘ด้อยกว่า’ มาพูดอีก
ในเวลานี้สิ่งที่ทุกคนให้ความสนใจมากที่สุดก็คือเครื่องบินโดยสารลำใหม่ ACJ31 ที่กำลังจะส่งมอบ ซึ่งเป็นเครื่องบินโดยสารที่โดดเด่นเหนือใครรุ่นแรกที่ COMAC ศึกษาและพัฒนาขึ้นมาเอง เรียกได้ว่าใบสั่งซื้อสินค้าครอบคลุมทุกบริษัทสายการบินขนาดใหญ่ทั่วประเทศ
นี่แสดงให้เห็นว่าบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินชั้นนำอย่างแอร์บัสและโบอิ้งต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายอย่างใหญ่หลวง และแสดงให้เห็นว่าอาจมีผู้ประกอบการหน้าใหม่เข้ามาแทนที่เจ้าแห่งวงการในอนาคต
ผู้คนทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างของสายการบินเหิงซื่อล้วนเตรียมพร้อมแล้ว สภาพและบรรยากาศเปลี่ยนโฉมใหม่หมด ทางวิ่งเครื่องบินที่สร้างขึ้นใหม่โดยเฉพาะเสร็จเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว ฝูงบินที่หกถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเตรียมต้อนรับการมาถึงของเครื่องบินโดยสารลำใหม่ ACJ31
และในขณะเดียวกันก็เตรียมต้อนรับการมาถึงของนักบิน ACJ31
บทที่ 6
ทว่าช่วงนี้ฟู่หมิงอวี่กลับกำลังปวดหัวกับเรื่องหนึ่งอยู่
สามปีก่อนเมื่อทุกบริษัทสายการบินใหญ่ลงนามในสัญญาจัดซื้อ ACJ31 กับ COMAC ทางฝ่าย COMAC เองก็เริ่มโครงการฝึกอบรมนักบินให้สอดคล้องกับประเภทของเครื่องบิน ตอนส่งมอบเครื่องบินก็จะส่งมอบนักบินมาให้พร้อมกัน พูดง่ายๆ ก็คือขายเครื่องบินให้แล้ว ยังเอานักบินที่ฝึกอบรมเรียบร้อยใส่ถุงมอบให้ด้วย
เนื่องจาก ACJ31 เป็นเครื่องบินโดยสารที่ COMAC ศึกษาและพัฒนาเองครั้งแรก ยังไม่ได้เปิดตัวต่อสาธารณะก็ได้รับความสนใจแล้ว ในขณะเดียวกันก็ต้องแบกรับความกดดันมหาศาล ดังนั้นการฝึกอบรมนักบินจึงเข้มงวดเป็นพิเศษ
นักบินรุ่นนี้มีชื่อเสียงในเรื่องของการคัดเลือกรอบแรกที่ถูกปัดตกไปมากกว่าหมื่นคน หลังจากนั้นก็ต่อสู้กันทีละรอบท่ามกลางอัตราการคัดออกที่เคร่งครัดของสถาบันการบิน แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ความสามารถของนักบินที่สำเร็จการศึกษาอย่างราบรื่นก็ยังแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ
ดังนั้นเมื่อสองเดือนก่อนทุกบริษัทสายการบินใหญ่ก็เริ่มถูไม้ถูมือปฏิบัติการต่อสู้ช่วงชิงนักบินกัน ไม่ว่าบริษัทไหนๆ ต่างก็อยากได้นักบินที่ยอดเยี่ยมที่สุด เพราะว่าพวกเขาล้วนเป็นหนึ่งในสายการบินที่รับประกันว่ามีความปลอดภัยมากที่สุด
จนถึงตอนนี้รุ่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดนั้นก็ถูกแบ่งระดับจนเกือบหมดแล้ว
แน่นอน ก็เหมือนกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยทุกปีที่ต้องมีจ้วงหยวนหนึ่งคน และในกลุ่มนักศึกษาของสถาบันการบินทุกรุ่นก็จะมีนักศึกษาที่ยอดเยี่ยมที่สุดหนึ่งคนเช่นกัน
และตอนนี้นักศึกษาที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าไปตกอยู่ที่ใคร
“รองประธานฟู่ เจรจาไม่สำเร็จครับ” ไป่หยาง เลขาฯ คนใหม่เดินเข้ามาในห้องทำงานของฟู่หมิงอวี่ สีหน้าค่อนข้างลำบากใจ “ความตั้งใจของนักศึกษาที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนนั้นยังคงเป็นสายการบินเป่ยจิงครับ”
“เขาได้บอกเหตุผลไหม” ฟู่หมิงอวี่ถาม
นักศึกษาที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนนั้นของรุ่นนี้บันทึกการบินเรียกได้ว่างดงาม ไม่ว่าจะเป็นความรู้ภาคทฤษฎีหรือความสามารถภาคปฏิบัติ การสอบทุกครั้งล้วนจับเพื่อนร่วมรุ่นมัดห้อยแล้วเฆี่ยนตี เหยียบกลุ่มลูกรักของสวรรค์ขึ้นเป็นที่หนึ่งได้อย่างเฉิดฉาย แม้แต่ครูฝึกเองก็ชื่นชมนักศึกษาที่แข็งแกร่งคนนี้ซึ่งพบได้น้อยมากไม่หยุดหย่อน จึงทำให้แต่ละบริษัทแย่งชิงกันอย่างดุเดือด
“ไม่ครับ” ไป่หยางตอบ “พวกเราให้เงื่อนไขที่ดีที่สุดภายใต้ขอบเขตที่สามารถยอมรับได้แล้ว ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าสายการบินเป่ยจิงแน่นอน แต่เขาก็ยังเลือกสายการบินเป่ยจิงอยู่ดี ดูเหมือนว่าจะเป็นความต้องการส่วนตัวครับ”
ฟู่หมิงอวี่ยกมือขึ้น นิ้วมือสองนิ้วยันหน้าผาก และส่งเสียง “จิ๊” ทีหนึ่ง
“เอาแบบนี้” ฟู่หมิงอวี่กล่าว “ผู้ช่วยพิเศษหูก็ไปทำงานนอกสถานที่ที่นั่นเหมือนกัน พรุ่งนี้คุณกับผู้ช่วยพิเศษหูไปด้วยตัวเองอีกครั้ง”
ไป่หยางจัดปกเสื้อแล้วออกไปจองตั๋วทันที
เช้าวันรุ่งขึ้น ทางสถาบันการบินก็โทรเข้ามา
ฟู่หมิงอวี่เพิ่งมาถึงบริษัท กำลังสาวเท้าเดินผ่านระเบียงทางเดิน เลขาฯ ฝ่ายการจัดการเห็นดังนั้นจึงยกกาแฟมาวางไว้บนโต๊ะของเขาเงียบๆ
“รองประธานฟู่ครับ ดูเหมือนจะยังไม่ได้ครับ” ไป่หยางที่อยู่ปลายสายอารมณ์เสียแล้ว “เขาบอกว่าอาหารบนเครื่องของสายการบินเป่ยจิงอร่อย นี่มันเหตุผลอะไรกัน เชฟชั้นหนึ่งของเราเป็นระดับมิชลิน!”
แค่ฟังก็รู้ว่ากำลังปั่นหัวคนเล่น
ฟู่หมิงอวี่หยุดอยู่หน้าหน้าต่างบานยาวจรดพื้นพลางเอ่ยถาม “ตอนนี้คุณอยู่ไหน”
“อยู่ข้างนอกห้องสำนักงานฝ่ายการศึกษาของพวกเขาครับ ผู้ช่วยพิเศษหูยังอยู่ข้างใน”
“เรียกนักศึกษาคนนั้นมารับโทรศัพท์ ผมจะคุยกับเขา”
ไป่หยางชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วตอบรับทันที
ฟู่หมิงอวี่ดื่มกาแฟหนึ่งอึก ปลายสายก็เปลี่ยนคน แต่กลับไม่ส่งเสียงอยู่ช้านาน
“สวัสดีครับ” ฟู่หมิงอวี่เอ่ยปากก่อน “ผมคือผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของสายการบินเหิงซื่อ ฟู่หมิงอวี่”
ปลายสายชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ยินประโยคแผ่วเบาหนึ่งประโยค “สวัสดีค่ะ รองประธานฟู่”
ฟู่หมิงอวี่ชะงัก ผู้หญิง?
ฟู่หมิงอวี่ข่มความประหลาดใจที่เกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ แล้วหันกายกลับไปนั่งลง “ขอสอบถามหน่อย คุณไม่พอใจเงื่อนไขข้อไหนของสายการบินเหิงซื่อครับ”
คนที่อยู่ปลายสายเอ่ยปากอย่างเกียจคร้าน “ไม่มีอะไรไม่พอใจค่ะ แค่อาหารและเครื่องดื่มของสายการบินเป่ยจิงอร่อยกว่านิดหน่อย”
ฟู่หมิงอวี่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ให้เกียรติบุคคลที่มีความสามารถพอสมควร ดังนั้นแม้จะได้ยินเหตุผลที่เล่นเนื้อเล่นตัวเช่นนี้ก็ยังสามารถควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้
“ง่ายมากครับ ถ้าคุณต้องการ ทุกครั้งก่อนเที่ยวบินสามารถให้เชฟเตรียมอาหารให้คุณคนเดียวได้ครับ”
“นั่นยุ่งยากมากนะคะ”
“ไม่ยุ่งยากครับ ยังมีความคิดเห็นอย่างอื่นอีกไหมครับ”
ปลายสายโทรศัพท์ยกเงื่อนไขออกมากล่าวทีละข้อ พูดไปยี่สิบกว่านาทีเต็ม
แต่ฟู่หมิงอวี่กลับยอมรับได้ และไม่คิดว่าอีกฝ่ายเจ้าเล่ห์ขี้โกงแต่อย่างใด
ในขณะที่คุยโทรศัพท์เขาก็เปิดโฟลเดอร์ข้อมูลรายละเอียดของนักบินในคอมพิวเตอร์ เมื่ออิงตามการจัดลำดับคะแนนของบันทึกการบินก็หาคนที่ได้คะแนนสูงสุดคนนั้นพบ และเห็นรูปหนึ่งในคอลัมน์ภาพ
นักบินให้ความสำคัญกับรูปร่าง ดังนั้นที่แนบมาด้วยจึงเป็นรูปถ่ายเต็มตัว
คนในภาพสวมเครื่องแบบนักศึกษา รูปร่างผอมเพรียวสูงโปร่ง ยืนอยู่ใต้ปีกเครื่องบิน ท่าทางภูมิฐาน มีชีวิตชีวา บุคลิกยอดเยี่ยมที่สุด
ดูเหมือนจะไม่ได้แต่งหน้า?
ฟู่หมิงอวี่ขยายรูปภาพก็เห็นใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอาง สายตาของเขาหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย แต่ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นแวบหนึ่งแล้วก็หายไป เพราะตัวเขาเองรีบปฏิเสธทันที
ถ้าเขาเคยเจอผู้หญิงคนนี้จะต้องประทับใจลึกซึ้งอย่างแน่นอน
“รองประธานฟู่ คุณยังฟังอยู่ไหมคะ ถ้าคิดว่ามันมากเกินไป พวกเราก็แล้วกันไปเถอะค่ะ ฉันไม่มีวาสนากับสายการบินเหิงซื่อ”
“อะไรนะครับ” ฟู่หมิงอวี่คลิกเม้าส์เบาๆ เพื่อปิดรูปภาพ “เมื่อกี้สัญญาณไม่ดี ได้ยินไม่ชัดครับ”
ปลายสายคล้ายหัวเราะเบาๆ “ฉันบอกว่าต้องการค่าตอบแทนรายปีสองเท่าค่ะ”
ฟู่หมิงอวี่อ้าปากกล่าว “ได้ครับ”
ถึงคราวที่คนปลายสายต้องเป็นฝ่ายตกตะลึงบ้าง
คิดไม่ถึงว่าเขาจะตรงไปตรงมาขนาดนี้
“ยังมีเงื่อนไขอื่นอีกไหมครับ”
“ไม่…ไม่มีแล้วค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นเราก็มาร่วมงานกันอย่างมีความสุขดีไหมครับ”
ปลายสายเปลี่ยนน้ำเสียง ดูเหมือนจะได้สติกลับคืนมาแล้ว จากนั้นก็กล่าว “รองประธานฟู่ คุณอยากให้ฉันไปจริงๆ เหรอคะ”
ฟู่หมิงอวี่ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงพูดแบบนี้ แค่รู้สึกว่าความอดทนของตัวเองในวันนี้ช่างดีผิดปกติจริงๆ
บางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่อาจทนดูท่าทางอวดดีของเยี่ยนอัน ประธานสายการบินเป่ยจิงที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยลงรอยกับเขา
แต่ภาพงดงามของผู้หญิงที่ยืนอยู่ใต้ปีกเครื่องบินภาพนั้นก็แวบผ่านเข้ามาในสมองอีกครั้ง
“ครับ ตั้งตารอคอยอย่างมาก”
“งั้นฉันขอพิจารณาอีกหน่อยแล้วกันค่ะ”
ดูเหมือนยังไม่เต็มใจอยู่เล็กน้อย
สายถูกวางไปแล้ว แต่มือของฟู่หมิงอวี่ที่ยังอยู่ในท่าถือโทรศัพท์กลับตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง
หรือว่าสายการบินเหิงซื่อมีชื่อเสียงไม่ดีในแวดวงนักบิน
พูดกันตามเหตุผลแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ ในด้านสวัสดิการและเงินเดือนของพนักงาน ธุรกิจสายการบินเหิงซื่อย่อมโดดเด่นอย่างแน่นอน
ฟู่หมิงอวี่วางโทรศัพท์ลง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่ามีปัญหาที่ตรงไหนกันแน่ แต่ระหว่างที่รอเขาก็เปิดดูข้อมูลรายละเอียดนักบินอีกครั้ง เม้าส์เพิ่งลากไปที่รูปภาพนั้น เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น เป็นไป่หยางโทรมา
เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วรับสายโทรศัพท์ ปลายสายเป็นไป่หยางกำลังพูดอยู่
“มีธุระอะไรอีกเหรอ”
เวลานี้ไป่หยางวิ่งออกไปที่ระเบียงทางเดินด้านนอกและลดเสียงให้เบาลงพลางกล่าว “รองประธานฟู่ คุณคิดดีแล้วหรือครับ ค่าตอบแทนรายปีสองเท่าเลยนะครับ แม้ว่าเงินเดือนจะถูกเก็บเป็นความลับ แต่ถ้าหากนักบินคนอื่นรู้เข้ามันจะไม่ดีนะครับ”
“ผมรู้”
“งั้น…”
“ตรวจสอบดูสัญญาให้ละเอียดอีกที” ฟู่หมิงอวี่กล่าว “ค่าตอบแทนรายปีอีกครึ่งหนึ่งลงรายการในบัญชีผม”
“แต่ว่า…”
“อย่าจุกจิก” ฟู่หมิงอวี่ไม่อยากพูดมากกับเขา “แค่ค่าตอบแทนรายปีครึ่งหนึ่งเท่านั้น ซื้อกระเป๋าให้แฟนสาวปีหนึ่งยังมากกว่านี้เสียอีก คุณแค่ไปร่างสัญญามาสองฉบับ อีกฉบับหนึ่งเป็นสัญญารางวัลที่ผมมอบให้เป็นการส่วนตัว ไม่ผ่านมือฝ่ายการเงิน ภาษีก็ลงรายการในบัญชีผม”
“แต่เธอบอกว่าขอพิจารณาดูก่อน”
“ไม่เป็นไร ให้เธอพิจารณาไป”
ฟู่หมิงอวี่ปลดกระดุมชุดสูทหนึ่งเม็ด แล้วนวดสันคิ้ว
บ่ายสี่โมง ผ่านไปเจ็ดชั่วโมงนับตั้งแต่สิ้นสุดการโทรเมื่อครู่นั้น
ฟู่หมิงอวี่ไม่เคยรู้สึกว่าเวลาเจ็ดชั่วโมงยาวนานขนาดนี้มาก่อน
เขานั่งอยู่ในห้องประชุม คนกลุ่มหนึ่งต่างคนต่างแย่งกันพูดเกี่ยวกับแผนสำหรับเที่ยวบินแรกของ ACJ31 จนเขาปวดหัว
ระหว่างนั้นเขามองไปทางไป่หยางสองครั้ง แล้วชี้ไปที่โทรศัพท์มือถือ ความหมายก็คือถามว่าทางสถาบันการบินโทรมาหรือยัง แต่ไป่หยางยังคงส่ายหน้า
เวลานี้การประชุมดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว คนในฝ่ายวางแผนต่างมองฟู่หมิงอวี่ รอเขาเป็นฝ่ายให้ข้อเสนอแนะ
ตรงหน้าของฟู่หมิงอวี่มีหนังสือแผนงานวางอยู่สามฉบับ เขากางออกทีละฉบับ แต่สายตาของเขากลับไม่ได้ทอดอยู่บนนั้นเลย
ทั้งห้องประชุมเงียบสนิทไปสามวินาที ทุกคนต่างมองฟู่หมิงอวี่อย่างตัวสั่นงันงก สีหน้าของเขาเหมือนเอาคำว่า ‘พวกคุณไม่คู่ควรกับเครื่องบิน ACJ31 ที่ผมจ่ายเงินจำนวนมากซื้อมาเลย’ เขียนไว้บนใบหน้า
ขณะที่ทุกคนคิดว่าเขาไม่ได้ฟังเลยสักนิด เขาก็เอ่ยปากกล่าว “ทีม P1 การรายงานข่าวสี่สิบนาทีของสื่อมวลชนไม่มีจุดสำคัญเลยแม้แต่น้อย เสียเวลานานขนาดนี้จะทำให้การควบคุมจราจรของสนามบินล่าช้าไปเท่าไร ทีม P2 การโฆษณาน่าเบื่อ อธิบายทื่อๆ จุดสำคัญคลุมเครือไม่ชัดเจน อีกทั้งการเลือกช่องทางสื่อสารยังขาดความสมเหตุสมผล ทีม P3 คอนเซ็ปต์ในการโฆษณาไม่มีประสิทธิภาพเลยสักนิด เพิ่มพูนทรัพยากร ข้ามขีดจำกัดด้านความคิดสร้างสรรค์ และการปฏิบัติการที่แข็งแกร่ง ถ้าสามข้อนี้ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องส่งหนังสือแผนงานขึ้นมาแล้ว”
ห้องประชุมเงียบกริบไปครู่หนึ่ง เงียบถึงขนาดเข็มตกก็สามารถได้ยินได้
“เลิกประชุม” ฟู่หมิงอวี่ดันหนังสือแผนงานตรงหน้าออกแล้วลุกขึ้นกล่าว “สัปดาห์หน้าส่งหนังสือแผนงานฉบับใหม่อีกครั้ง”
ทุกคนกลั้นหายใจมองฟู่หมิงอวี่เดินออกไปอย่างใจจดใจจ่อ หัวหน้ากลุ่มทั้งสามกลับมาเก็บของของตัวเองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
มีคนกระซิบถามไป่หยางเสียงเบา “วันนี้รองประธานฟู่อารมณ์ไม่ดีเหรอ”
ไป่หยางยิ้มอย่างจนปัญญา ไม่ได้กล่าวอะไร เดินตามออกไปเพียงสองก้าว จู่ๆ เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาหยุดฝีเท้าลงและรับสาย สีหน้าค่อยๆ ผ่อนคลายลง
คนข้างหน้าหันกลับมา ไป่หยางจึงใช้มือทำท่า ‘โอเค’ ให้เขา
ฟู่หมิงอวี่หันหน้าไปด้านข้าง มองท้องฟ้าสีครามด้านนอกหน้าต่างกระจก ปลดกระดุมชุดสูทหนึ่งเม็ด
สัญญาถูกร่างขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่วันก็เสร็จเรียบร้อย ไป่หยางนำมาให้ฟู่หมิงอวี่ตรวจดูโดยเฉพาะ เขาอ่านแล้วไม่มีความคิดเห็นอะไร ไป่หยางจึงส่งไปที่สถาบันการบิน
กระดูกแข็งชิ้นนี้นับว่าแทะสำเร็จแล้ว ไป่หยางนวดไหล่พลางกล่าว “มีเพียงผู้หญิงและคนต่ำต้อยที่ยากจะคบหาด้วย คำพูดของคนโบราณไม่หลอกเราจริงๆ”
เวลานี้ประธานเยี่ยนของสายการบินเป่ยจิงผู้นั้นก็โทรเข้ามา
“ฟู่หมิงอวี่ นายใช้ลูกไม้อะไรแย่งคนของฉันไป”
“คนของนาย?” ฟู่หมิงอวี่ลุกขึ้น หัวเราะเบาๆ “สัญญาน่ะเซ็นหรือยัง เป็นคนของนายแล้วเหรอ”
ทั้งสองบริษัทเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบิน ทั้งแข่งขันกันเองทั้งส่งเสริมซึ่งกันและกัน ทั้งสองฝ่ายต่างรู้จักกันดี
เรื่องนี้เยี่ยนอันลงแรงอย่างเต็มที่ หาคนไปคุยเกี่ยวกับการวางแผนอาชีพ และยังใช้การเลื่อนขั้นจากนักบินผู้ช่วยไปเป็นกัปตันซึ่งเป็นเงื่อนไขที่นักบินสนใจมากที่สุดมาเป็นเหยื่อล่อ
เป็นเพราะคิดอย่างซื่อตรงเกินไป ไม่ทันคิดเลยว่าฟู่หมิงอวี่จะทุ่มเงินไปโดยตรง
เยี่ยนอันโมโหจนยิ้มเย็น “ได้ ไม่เถียงกับนายเรื่องนี้แล้ว ถึงยังไงตอนนี้คนก็เป็นของนายแล้ว นายบอกฉันสิ อาศัยอะไรมาเอาคนของฉันไป”
“อาศัยความสามารถพิเศษส่วนตัว”
“…”
เยี่ยนอันกลอกตาแล้ววางสายไปทั้งอย่างนั้น
ฟู่หมิงอวี่วางโทรศัพท์ลงแล้วเดินไปข้างหน้าต่าง หัวคิ้วคลายออก ท้องฟ้าที่มืดครึ้มและฝนที่ตกต่อเนื่องไม่หยุดด้านนอกก็ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายลง
จู่ๆ เขานึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันไปถาม “ACJ31 จะมาเมื่อไร”
ไป่หยางกล่าว “ทางเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศกำหนดไว้เรียบร้อยแล้วครับ ลำแรกจะขึ้นบินในเช้าวันเสาร์เวลาตีสี่ หากไม่มีข้อผิดพลาดหกโมงสิบสี่นาทีจะลงจอดที่สนามบินนานาชาติเจียงเฉิงตรงเวลาครับ”
ฟู่หมิงอวี่พยักหน้าพลางถาม “แล้วเธอล่ะ”
ไป่หยางชะงักไปครู่หนึ่งถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาว่า ‘เธอ’ ที่ฟู่หมิงอวี่พูดถึงคือใคร
“ทางสถาบันการบินบอกว่าจะไม่ยอมเสียโอกาสในการนำบินแถวหลังดังนั้นครั้งนี้เธอจะบินมาด้วยครับ แต่วันเสาร์ฝ่ายบุคคลและฝ่ายธุรการไม่ทำงาน เธอจะทำเรื่องเข้ามาทำงานอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ครับ”
ฟู่หมิงอวี่หันตัวกลับมาแล้วนั่งลง พลิกเปิดเอกสารฉบับหนึ่งตรงหน้า ทันใดนั้นก็กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “เครื่องบินที่ไปเมืองไหวเฉิงวันเสาร์นี้บินตอนกี่โมง”
เรื่องนี้ไป่หยางจำไม่ค่อยได้ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาดูแวบหนึ่งก่อนตอบ “เจ็ดโมงเช้าครับ”
ฟู่หมิงอวี่รับคำด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อืม”
วันเสาร์ ฟ้าเพิ่งจะสาง ทิศตะวันออกปรากฏสีขาวเหมือนสีพุงปลา
วันนี้อากาศไม่ถือว่าดีนัก คลื่นเมฆหมุนวนในบริเวณต่ำ บดบังแสงสว่างของดาวศุกร์
มีเที่ยวบินบินขึ้นและลงจอดในเวลานี้น้อยมาก นี่คือช่วงเวลาที่สงบเงียบที่สุดในหนึ่งวันของสนามบิน
ที่อาคารผู้โดยสารขาออกมีคนไม่น้อย แต่ก็เงียบผิดปกติ มีเสียงพลิกหน้ากระดาษเบาๆ ดังขึ้นเป็นบางครั้ง พวกผู้ใหญ่บ้างดูโทรศัพท์บ้างสัปหงก ส่วนเด็กน้อยสองสามคนเอนกายนอนเล่นและนอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของพ่อแม่
ฟู่หมิงอวี่ ไป่หยาง และผู้ช่วยสองคนเดินมาด้วยฝีเท้าเร่งรีบ ผ่านระเบียงทางเดินที่ทอดยาวมุ่งตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง
ด้านหน้าเข้าแถวกันแล้ว แต่ช่องของชั้นหนึ่งกลับยังว่างอยู่ กำลังรอผู้โดยสารชั้นหนึ่งคนสุดท้ายขึ้นเครื่อง
ทว่าในเวลานี้ฟู่หมิงอวี่กลับยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ฝีเท้าหยุดลง หันศีรษะมองไปนอกหน้าต่าง
หน้าต่างกระจกบานใหญ่ยาวจรดพื้นของอาคารผู้โดยสารทำให้เห็นทัศนียภาพทุกอย่างของลานจอดอากาศยานอยู่ในสายตา แม้แต่ป้ายไฟสัญญาณบนพื้นก็ล้วนชัดเจน
ในเวลานี้เองที่ขอบฟ้าก็มีเครื่องบินลำหนึ่งแหวกเมฆออกมา ปีกเครื่องบินตัดผ่านอากาศและร่อนลงมาอย่างสง่าผ่าเผย โดยใช้มุมเอียงแปดองศาร่อนลงตรงกลางทางวิ่งเครื่องบินอย่างราบรื่น ตลอดทางรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
แม้ว่าอาคารผู้โดยสารจะสามารถตัดเสียงสะเทือนที่ดังครั่นครื้นจากภายนอกได้ แต่คนของสายการบินราวกับมีญาณหยั่งรู้ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินกลุ่มหนึ่งที่กำลังลากกระเป๋าเดินทางหยุดฝีเท้าอันเร่งรีบอย่างรู้กันเพื่อหยุดมองไปรอบๆ ผู้โดยสารหลายคนที่นั่งริมหน้าต่างก็หันกลับไปมองตามสายตาของพวกเธอด้วยความสงสัยเช่นกัน
บนทางวิ่งเครื่องบินมีเครื่องบินลำหนึ่งที่ทั่วทั้งลำมีสีขาวหิมะเป็นสีพื้น ลำตัวเครื่องพ่นด้วยภาพนกฟินิกซ์สีทองหนึ่งตัว ปีกสยายไปตามปีกเครื่องบิน หางฟินิกซ์เชิดสูงอยู่ตรงหางเครื่องบิน เผยให้เห็นความสง่างามไปทั่ว
ฟู่หมิงอวี่ดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง
หกโมงสิบสี่ไม่ขาดไม่เกินแม้แต่น้อย
ในดวงตาปรากฏรอยยิ้มรางๆ เขายืนอยู่ตรงนี้ตลอดจนกระทั่งเครื่องบินจอดสนิทที่ลานจอดอากาศยาน
ไป่หยางดูเวลาพลางกล่าว “รองประธานฟู่ครับ?”
ฟู่หมิงอวี่หันหน้ามองเขาแล้วเลิกคิ้ว
ไป่หยางกระแอมเบาๆ “อืม ยังพอมีเวลาครับ”
ระหว่างที่พูด เด็กน้อยคนหนึ่งในห้องพักผู้โดยสารขาออกก็ตะโกนว่า “พ่อ! นั่นคือเครื่องบินอะไรครับ สวยจัง!”
พ่อของเด็กน้อยดูเหมือนจะรู้จักเครื่องบินอยู่มาก เขาอุ้มเด็กน้อยเดินไปที่ข้างหน้าต่าง “นี่คือเครื่องบินของประเทศเรา เห็นนกฟินิกซ์สีทองตัวนั้นไหม เครื่องบินที่มีลักษณะแบบนี้เรียกว่า ACJ31 ยอดเยี่ยมจริงๆ เมฆต่ำขนาดนี้ก็สามารถลงจอดโดยอัตโนมัติได้ อีกทั้ง…”
คำวิจารณ์ยาวเหยียดของผู้เป็นพ่อยังพูดไม่ทันจบ เสียงตะโกนของเด็กน้อยก็ขัดจังหวะขึ้น “ว้าว! นักบินลงมาแล้ว!”
เหมือนอย่างที่ฟู่หมิงอวี่มองเห็น รถยกบันไดขึ้นเทียบแล้ว กัปตันที่สายการบินเหิงซื่อส่งตัวไปเดินออกมาก่อนเป็นคนแรก
ข้างหน้าต่างมองเห็นทัศนียภาพได้ชัดเจนยิ่งกว่า ฟู่หมิงอวี่จึงเดินเข้าไปใกล้ช้าๆ ขณะที่ไป่หยางและผู้ช่วยอีกสองคนด้านหลังมองหน้ากันอย่างตกตะลึง แต่ก็ไม่กล้าพูดมาก รีบเดินตามไปเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้วใครบ้างไม่อยากมองเครื่องบินที่ตัวเองจ่ายเงินจำนวนมากซื้อมาให้มากหน่อย
ฟู่หมิงอวี่มองจากทางเข้าห้องผู้โดยสาร กัปตันก้าวลงมาได้สองสามขั้นแล้ว นักบินผู้ช่วยเดินตามออกมาติดๆ ทั้งสองคนนี้ฟู่หมิงอวี่ล้วนคุ้นเคยดี พวกเขาเป็นลูกเรือจากการเปลี่ยนรุ่นเครื่องบินที่เขาตัดสินใจส่งไปฝึกอบรมด้วยตัวเอง
และเมื่อคนที่สามเดินออกมา ฟู่หมิงอวี่ก็หรี่ตาลง
ลมที่ลานจอดอากาศยานแรงมาก ส่งเสียงหวีดหวิวพัดผ่านไป ทำให้เส้นผมที่ข้างแก้มทั้งสองของเธอปลิวไหวอยู่ตรงหน้า และพัดเสื้อเชิ้ตเครื่องแบบสีขาวของเธอจนพองขึ้นมา
เธอไม่ได้รีบลงบันได แต่ถอดหมวกนักบินออกแล้วหนีบไว้ระหว่างแขน ยืนอยู่ที่เดิมพลางเงยหน้ามองไปรอบๆ สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่ ‘สนามบินนานาชาติเจียงเฉิง’ ตัวอักษรขนาดใหญ่แปดคำ
“ว้าว! นั่นคือพี่สาวใช่ไหมครับ” เด็กน้อยตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง “เธอเป็นแอร์โฮสเตสเหรอ ทำไมเธอถึงใส่ชุดไม่เหมือนคนอื่นล่ะครับ”
พ่อของเด็กน้อยหัวเราะอย่างอารมณ์ดีและวางเด็กน้อยไว้บนบ่าตนเพื่อให้เขามองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น “ฮ่าๆ นั่นก็เป็นนักบินเหมือนกัน นักบินหญิง พ่อก็เพิ่งเคยเห็นนักบินหญิงเป็นครั้งแรกนี่แหละ”
เสียงของเด็กน้อยดึงดูดความสนใจของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่อยู่ข้างๆ หลายคน และเริ่มมีคนเข้ามายืนที่ข้างหน้าต่างเพื่อดูเครื่องบินรูปแบบพิเศษลำนั้น
ฟู่หมิงอวี่ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว เขาอยู่ห่างจากหน้าต่างกระจกไม่ถึงสามสิบเซนติเมตร และมองเธอเดินมาทางอาคารผู้โดยสารอย่างไม่ละสายตา เงาร่างของหญิงสาวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
กางเกงขายาวสีดำของเธอถูกลมพัดจนแนบติดกับขาทั้งสองข้าง ทุกย่างก้าวล้วนคล่องแคล่วว่องไว
กัปตันที่อยู่ด้านข้างคล้ายจะพูดอะไรบางอย่างกับเธอ เธอจึงเอียงหน้าขึ้น รอยยิ้มเต็มไปด้วยความเบิกบานที่แพร่กระจายไปรอบด้านจนบดบังนักบินผู้ช่วยที่เดินอยู่อีกข้าง ทันใดนั้นเธอก็เงยหน้ามองมาทางอาคารผู้โดยสาร
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอแค่กำลังมองอาคารผู้โดยสารเท่านั้น แต่สายตาที่ประสานกันในระยะห่างนี้ทำให้ลมหายใจของฟู่หมิงอวี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย
“รองประธานฟู่? เสียงประกาศเร่งให้ขึ้นเครื่องแล้วครับ”
ไป่หยางเอ่ยปากกล่าวขึ้นจากทางด้านข้าง ฟู่หมิงอวี่จึงพยักหน้า แล้วหันกายเดินไปทางประตูขึ้นเครื่อง แต่หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเขาก็หยุดลงอีกครั้ง ก่อนหันหน้ากลับไปมองทางลานจอดอากาศยาน ทว่ากลับเห็นเพียงรถรับส่งลูกเรือหนึ่งคันค่อยๆ ขับไกลออกไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 ต.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.