บทที่ 7
การจัดสรรเครื่องบิน ACJ31 สองลำให้ประจำที่ฐานเจียงเฉิงนำมาซึ่งการโต้เถียงอย่างดุเดือดในสายการบินเหิงซื่ออยู่ช่วงหนึ่ง แม้ว่าก่อนหน้านี้ทุกคนจะเคยเห็นรูปภาพในโฆษณามาแล้วก็ตาม แต่เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ภายนอกของเครื่องบินด้วยตาตัวเองจริงๆ ก็ยังรู้สึกตกตะลึงอยู่ลึกๆ
ยังมีเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ก่อนเที่ยวบินแรกของ ACJ31 พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินภายในประเทศจำนวนไม่น้อยก็เริ่มจับจ้องไปที่หลังบ้าน ของอินทราเน็ต เพื่อดูว่าใครคนไหนจะเป็นผู้โชคดี ไม่ว่าอย่างไรเที่ยวบินแรกก็นับว่าไม่ธรรมดา ต้องมีสื่อมาสัมภาษณ์ไปรายงานข่าวอย่างแน่นอน ทั้งยังแสดงให้เห็นว่าตนได้รับความสำคัญ เจ้านายจึงจัดให้คนที่ไว้วางใจที่สุดไปร่วมเที่ยวบินแรก
เจียงจื่อเยวี่ยเป็นคนที่รอบคอบที่สุดในบรรดาหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ไม่กี่วันก่อนเธอไปเอาเอกสารภารกิจการบินที่ห้องทำงานของหวังเล่อคัง ตอนที่ก้มตัวลงก็เห็นชื่อของตัวเองอยู่ในแฟ้มเอกสารข้างๆ มือของเขา เมื่อรู้แน่ชัดแล้วก็เตรียมตัวไปเที่ยวพักผ่อนวันหยุดที่สเปนอย่างมีความสุขกับกัปตันเยวี่ย
นี่เป็นวันหยุดพักร้อนเล็กๆ ตั้งแต่เธอย้ายจากเที่ยวบินระหว่างประเทศมาเป็นเที่ยวบินภายในประเทศ
เรื่องนี้สำหรับหนีถงแล้วยังคงไม่เข้าใจอยู่มาก เที่ยวบินระหว่างประเทศดีจะตาย วันหยุดยาว เงินเดือนก็สูง ทั้งยังสามารถไปเที่ยวได้ทุกที่ทั่วโลก แต่เจียงจื่อเยวี่ยกลับต้องบินมาที่สนามบินนี้สี่ครั้งตลอด ทำให้รู้สึกว่าไม่ค่อยได้เห็นโลกกว้างเท่าไรเลย
แต่ตอนนี้คนอยู่ในช่วงคลั่งรักกับกัปตันเยวี่ย และกำลังจะหมั้นแล้ว อยากกลับมาหาครอบครัวย่อมเป็นเรื่องปกติ
มีคู่หมั้นแบบนี้ ไม่แน่ว่าผ่านไปไม่กี่ปีเธออาจลาออกไปทำหน้าที่ภรรยาเต็มตัว
หนีถงคิดแล้วก็รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย เธอก็อยากหาแฟนเป็นกัปตันเช่นกัน แต่พูดขึ้นมาแล้วบริษัทสายการบินใหญ่ขนาดนี้กลับไม่มีคนที่เธอถูกใจเลยจริงๆ
เมื่อพูดถึงกัปตัน จู่ๆ หนีถงก็ส่งข้อความไปหาเจียงจื่อเยวี่ย
‘อาจารย์ คุณรู้หรือเปล่าคะว่านักบินที่บินมากับ ACJ31 วันนี้เป็นผู้หญิง’
เรื่องที่หนีถงได้ยิน เจียงจื่อเยวี่ยจะไม่ได้ยินได้อย่างไร
‘รู้สิ ทำไมเหรอ’
เจียงจื่อเยวี่ยมีท่าทีสงบเยือกเย็นขนาดนี้ ทันใดนั้นหนีถงก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นกระต่ายตื่นตูม ดูสิ คนอื่นเขาสงบเยือกเย็นแค่ไหน
‘เอ่อ ไม่มีอะไรค่ะ ก็แค่พูดเฉยๆ มีความสุขกับการเดินทางท่องเที่ยวนะคะ’
เมื่อเห็นเจียงจื่อเยวี่ยไม่พูดคุยอะไรต่อ หนีถงจึงทำได้เพียงยอมแพ้ และกลับเข้าไปในห้องเพื่อดื่มเหล้ากับเพื่อนต่อ
เช้าวันที่สอง ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น สายฝนที่ตกโปรยปรายลงมาพรำๆ ก็ปลุกเมืองแห่งนี้จนตื่น
ตั้งแต่กลับมาทางใต้มักเป็นเช่นนี้เสมอ ในอากาศมักมีหมอกที่ไม่กระจายตัวออกไป เสื้อผ้าที่ซักก็ตากไม่แห้ง
โชคดีที่หร่วนซือเสียนเพิ่งกลับมาเมืองเจียงเฉิง ยังไม่ทันได้เก็บเสื้อผ้าใส่เข้าตู้ ตอนแรกชุดรัดรูปที่สวมในวันนี้ยังเก็บอยู่ในกล่องอย่างเป็นระเบียบ พอจะสวมก็หยิบออกมารีดสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว
และห้องที่เธอเช่าใหม่นี้ก็เป็นคอนโดฯ หรูที่เพิ่งส่งมอบห้องเมื่อปีกลายนี้เอง ที่กันความชื้นทำงานได้ดีมาก บนผนังไม่พบรอยรั่วซึมของน้ำเลยแม้แต่น้อย และเนื่องจากอยู่ใกล้กับสนามบิน ผู้บริหารระดับสูงและกัปตันของบริษัทสายการบินมากมายล้วนมีห้องที่ใช้อาศัยชั่วคราวอยู่ที่นี่ห้องหนึ่ง กัปตันที่ขับเครื่องบินกลับมาพร้อมกับเธอในวันนั้นก็อาศัยอยู่ที่นี่เช่นกัน
อากาศยังเย็นอยู่ หร่วนซือเสียนหยิบเสื้อกันหนาวออกมาแล้วสวมเข้าทางศีรษะ ตอนที่หน้าโผล่ออกมา ผมทุกเส้นก็ชี้ฟูกระเซอะกระเซิง พอเห็นสภาพเช่นนี้ของตัวเอง เธอก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตาให้กระจก
เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียด เธอก็ใจร้ายกับตัวเองจริงๆ
ช่วงเวลานั้นหร่วนซือเสียนเพิ่งเข้าสถาบันการบิน การฝึกความแข็งแกร่งของร่างกายในแต่ละวันโหดร้ายจนผู้ชายหลายคนรับไม่ไหว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดำเนินมาถึงการฝึกหมุนในวงล้อด้วยการนำคนใส่ไว้ในโครงเหล็กแล้วหมุน จากนั้นก็เพิ่มความเร็วขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนั้นหร่วนซือเสียนอาเจียนอย่างรุนแรงตั้งแต่เริ่มแรก กลับถึงหอพักอย่างทุลักทุเล ไม่เพียงแต่ต้องบ้วนปาก เธอยังต้องล้างสิ่งสกปรกที่เปื้อนผมตัวเองให้สะอาด
ต่อมาเธอพบว่าทุกวันหมดเวลาไปกับการจัดแต่งทรงผมซึ่งต้องใช้เวลามากกว่านักศึกษาชายคนอื่นไม่น้อย ดังนั้นเธอเลยไปนั่งในร้านตัดผมอย่างไม่ลังเล
เส้นผมยาวหนานุ่มสลวยนี้เธอเลี้ยงมาสิบกว่าปีภายใต้การบำรุงรักษาอย่างพิถีพิถัน แม้ว่าจะดัดผมเป็นลอนก็ไม่พันกันและไม่แตกปลาย ดังนั้นแม้แต่ช่างทำผมก็ลูบผมเธอครั้งแล้วครั้งเล่าพลางถามอย่างอาลัยอาวรณ์
‘สาวน้อย คุณจะตัดจริงๆ เหรอ’
หร่วนซือเสียนพยักหน้าบอกว่าตัด
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงกรรไกรดัง ‘ฉับ’ หนึ่งที เธอหลับตาลงและสูดอากาศเย็นๆ หนึ่งเฮือก หว่างคิ้วสั่นน้อยๆ
หลังลงกรรไกรไม่กี่ที ผมยาวก็หล่นลงกับพื้นอย่างต่อเนื่อง ศีรษะเบาลงเรื่อยๆ ดวงตาทั้งสองข้างของหร่วนซือเสียนก็หลับแน่นขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
เมื่อเธอลืมตาขึ้น เห็นผมสั้นเสมอหูในกระจกก็แทบจะเป็นลม
ถือเสียว่าตอนนี้ตัวเองเป็นคนที่มีประสบการณ์ยาวนานแล้วกัน
พอหร่วนซือเสียนมองเส้นผมที่ตอนนี้ตัวเองเลี้ยงจนยาวประบ่าแล้ว อดีตที่หวนนึกถึงก็จบลง เธอเตรียมตัวออกจากห้อง แต่จู่ๆ โทรศัพท์ก็ส่งเสียงติ๊ดๆ ขึ้นมาสองครั้ง หญิงสาวจึงยื่นมือไปหยิบขึ้นมาดู เป็นวีแชตที่ไป่หยางส่งมา
ไป่หยาง : เช้าวันนี้คุณรายงานตัวเข้าทำงานใช่ไหมครับ
ไป่หยาง : เช้าวันนี้ทางด่วนสนามบินหนาแน่นเป็นพิเศษ ทางที่ดีคุณควรออกจากบ้านเร็วหน่อย หรืออ้อมไปนะครับ
ทั้งสองคนเพิ่มเพื่อนในวีแชตกันตามมารยาทตอนที่เซ็นสัญญาที่สถาบันการบิน หร่วนซือเสียนคิดว่าคนคนนี้อาจจะเป็นคนดีมีคุณธรรมเหมือนเจ้านายของเขาที่ตลอดชีวิตนี้ทำได้เพียงนอนเงียบๆ อยู่ในลิสต์รายชื่อเพื่อนของเธอเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนดีมากทีเดียว เป็นฝ่ายห่วงใยเธอก่อนอย่างคาดไม่ถึง
หร่วนซือเสียนกำลังจะพิมพ์ข้อความ ฝ่ายนั้นก็ส่งมาอีกหนึ่งข้อความ
ไป่หยาง : คุณพักอยู่ที่ไหนครับ หรือไม่ก็รออีกครู่หนึ่ง ผมจะแวะไปรับคุณ
หร่วนซือเสียนครุ่นคิด แล้วถามกลับไป
หร่วนซือเสียน : มีคุณคนเดียวไหมคะ
ไป่หยาง : ผมอยู่บนรถของรองประธานฟู่ครับ อยู่ที่คอนโดฯ หมิงเฉินทางนี้
หร่วนซือเสียน : งั้นฉันไม่ผ่านทางไปด้วยแล้วกันค่ะ
ไม่ผ่านทางไปด้วยกันก็ไม่ผ่านทางไปด้วยกันสิ แต่คำว่า ‘งั้น’ คำนี้ช่างมีไหวพริบเหลือเกิน ไป่หยางเข้าใจความหมายของหร่วนซือเสียนโดยอัตโนมัติว่าเธอไม่ได้ผ่านเส้นทางจากคอนโดฯ หมิงเฉินไปสายการบินเหิงซื่อ
“เธอไม่ได้อยู่บนเส้นทางคอนโดฯ หมิงเฉินครับ” ไป่หยางหันหน้าไปพูดกับฟู่หมิงอวี่ที่อยู่เบาะหลัง
เขาจึงพยักหน้า ไม่ได้กล่าวอะไร
รถค่อยๆ หยุดที่ทางออกของเขตคอนโดฯ รอเมื่อแขนกั้นรถยนต์เปิดออก ฟู่หมิงอวี่ก็เงยหน้ามองออกไปข้างนอกหน้าต่างรถ ทันใดนั้นสายตาก็หยุดชะงัก
ไป่หยางเห็นฟู่หมิงอวี่กำลังสนใจอะไรบางอย่างจากกระจกมองหลัง ก็เลยมองตามสายตาของเขาไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ผู้หญิงร่างสูงโปร่งที่ยืนข้างแปลงดอกไม้ริมถนน กางร่มหนึ่งคัน ท่าทางคล้ายกำลังรอรถอยู่คนนั้น ไม่ใช่หร่วนซือเสียนแล้วยังจะเป็นใครได้อีก
ในรถเงียบกริบอย่างกับคนไร้ชีวิตไปแล้วก็ไม่ปาน
ไม่ใช่ไม่ได้ผ่านทางเดียวกันหรอกเหรอ
เธอไม่รู้จัก ‘คอนโดฯ หมิงเฉิน’ สี่คำใหญ่ๆ ที่เปล่งประกายแวววับนี้เหรอ
ไป่หยางกระแอมหนึ่งครั้ง เปิดไอแพดแล้วเปิดบันทึกการประชุมฉบับหนึ่งส่งให้ฟู่หมิงอวี่ แสร้งทำเป็นไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
“รองประธานฟู่ นี่คือบันทึกการประชุมของเมื่อวานครับ”
ฟู่หมิงอวี่รับไอแพดมา เลื่อนเปิดไปสองหน้า จู่ๆ ก็กล่าวขึ้นมา “ตอนที่คุณไปที่สถาบันการบินได้ทำให้เธอไม่พอใจหรือเปล่า”
ไป่หยางรีบหวนนึกถึงคำพูดและการกระทำของตัวเองในตอนนั้นทันที เขารู้สึกว่าแต่ไหนแต่ไรมาตัวเองเป็นคนที่มีกิริยามารยาทสง่างามเฉลียวฉลาด ทั้งยังรู้จักพูด และไม่เคยโมโหใครมาก่อน หน้าตาก็นับว่าหล่อเหลา จะทำให้คนไม่พอใจได้อย่างไร
ยังไม่ทันตอบ ฟู่หมิงอวี่ก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “ต่อไประวังคำพูดและการกระทำของตัวเองให้มากๆ อย่าทำให้ผมขายหน้า”
“…”
โอเค ถ้าเจ้านายบอกว่าเป็นปัญหาของเรา งั้นก็ต้องเป็นปัญหาของเรา
“ทราบแล้วครับ ต่อไปผมจะระวัง”
หร่วนซือเสียนไม่ได้สนใจคาเยนน์ตรงหน้าที่ค่อยๆ ขับออกไปเลย เธอเห็นว่าฝนหยุดตกแล้ว จึงเก็บร่มใส่ไว้ในกระเป๋า ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง รถแท็กซี่คันหนึ่งก็ค่อยๆ จอดชิดข้างทาง
เมื่อมองทะเบียนรถ เธอก็แน่ใจว่าเป็นรถคันนั้นที่ตัวเองเรียกไว้ ขณะกำลังจะเดินเข้าไป จู่ๆ ผู้หญิงคนหนึ่งก็วิ่งพรวดออกมาตัดหน้าหร่วนซือเสียนแล้วเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับ
การเคลื่อนไหวของเธอคนนั้นกะทันหัน ทำให้หร่วนซือเสียนตกใจจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“คนขับ ไปสายการบินเหิงซื่อ”
หร่วนซือเสียนถูกการกระทำเช่นนี้ทำให้ตกใจจนตะลึงงัน หลังจากมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาแล้วก็ดึงประตูรถที่กำลังจะปิดทันที
“ขอโทษนะคะ นี่คือรถที่ฉันเรียก”
ผู้หญิงคนนั้นก้มหน้าคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างลนลานโดยไม่มองหร่วนซือเสียนเลยสักนิด “ให้ฉันไปก่อนได้ไหม ฉันรีบ กำลังจะประชุมสายแล้ว!”
“ไม่ได้ค่ะ”
หร่วนซือเสียนมือหนึ่งดึงประตูรถ มือหนึ่งยันหลังคารถไว้ “รบกวนคุณลงมาด้วย”
หนีถงจับเข็มขัดนิรภัยแน่น แววตาร้อนรน น้ำเสียงหงุดหงิด อยากจะยื่นมือไปดึงประตู แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้กลับมีเรี่ยวแรงมาก เธอดึงอย่างไรประตูก็ไม่ขยับเลยสักนิด
หนีถงรีบจนไม่รู้จะทำอย่างไร จึงพนมมือไหว้พลางอ้อนวอน “รบกวนคุณช่วยรออีกหน่อยได้ไหมคะ ช่วยหน่อยได้ไหม ฉันมีประชุมที่สำคัญมากจริงๆ”
เช้าตรู่วันนี้มีเครื่องบินลำหนึ่งเกิดอุบัติเหตุด้านความปลอดภัย สายการบินเหิงซื่อจึงส่งข่าวมาอย่างกะทันหันว่าจะจัดบรรยายทางวิชาการเรื่องความปลอดภัย โดยขอให้พนักงานแผนกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินทั้งหมดที่ไม่ได้อยู่บนเที่ยวบินมากันให้ครบ
“ไม่ได้ค่ะ” หร่วนซือเสียนยืนขวางอยู่หน้าประตูรถ น้ำเสียงไม่เป็นมิตร “ฉันก็มีธุระที่สำคัญมากเหมือนกัน”
จริงๆ แล้วหร่วนซือเสียนไม่ได้รีบ ถ้าหากผู้หญิงคนนี้พูดกับเธอดีๆ ก่อน เธอจะหลีกทางให้อย่างแน่นอน แต่ทันทีที่มาถึงก็มาแย่งรถของเธอไป ดังนั้นตีให้ตายเธอก็จะไม่หลีกทางให้
“ขอร้องคุณล่ะ พี่สาว จริงๆ นะ ช่วยฉันสักครั้งเถอะ คุณช่วยเป็นคนใจดีมีเมตตาจะได้ไหมคะ”
กล่าวจบก็เห็นว่าหร่วนซือเสียนไม่ได้มีท่าทีผ่อนคลาย หนีถงก็ทำเสียงให้อ่อนโยนอีกครั้งพลางดึงแขนเสื้อเธอ แล้วปลดปล่อยกลยุทธ์ชาเขียวออกมา
“พี่สาว ขอร้องคุณนะคะ ช่วยหน่อยได้ไหม เมื่อคืนฉันทานอาหารกับเพื่อนสองสามคน ดื่มเหล้าไปนิดหน่อย ตอนเช้าเลยนอนตื่นสายน่ะค่ะ”
น้ำเสียงออดอ้อนไม่สามารถทำให้หร่วนซือเสียนเกิดความเห็นใจได้ แต่ทำให้คนขับรถหัวเราะอยู่พักหนึ่ง “สาวน้อย นี่คือรถที่เรียกทางออนไลน์ ฉันเองก็พาเธอไปไม่ได้ ไม่งั้นจะผิดกฎ”
“…”
ในเวลาเดียวกัน หร่วนซือเสียนก็โบกโทรศัพท์ไปทางเธอ เม้มปากยิ้มราวกับว่าตัวเองก็จนปัญญาเหมือนกัน
หนีถงหันหลังมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง แม้ไม่เห็นว่ามีรถแท็กซี่มา แต่ก็จำใจต้องปลดเข็มขัดนิรภัยออก
เธอเพิ่งหลีกทางให้ หร่วนซือเสียนก็ขึ้นไปนั่งและปิดประตูอย่างแรงทันที
ในชั่วพริบตาหนีถงก็ได้ยินเสียงตอบรับอัตโนมัติจากโทรศัพท์มือถือของคนขับในรถ “ได้รับผู้โดยสารหมายเลขท้ายหกสองสามสามจากคอนโดฯ หมิงเฉินไปยังสายการบินเหิงซื่อเรียบร้อยแล้ว”
“บัดซบ!” หนีถงมองรถยนต์ที่ขับจากไป สูดควันจากท่อไอเสียของรถยนต์เข้าไปเต็มปอด โมโหจนกระทืบเท้าปึงปัง “คนอะไรเนี่ย!”
โชคดีที่ไม่นานก็มีรถแท็กซี่ผ่านมาคันหนึ่ง หนีถงรีบโบกทันที แล้วให้คนขับเหยียบคันเร่งตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงก่อนเวลาที่กำหนด
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะเจอผู้หญิงคนเมื่อกี้ที่ทางเข้าลิฟต์อาคารสำนักงานใหญ่ของสายการบินเหิงซื่ออีก
หร่วนซือเสียนก็ประหลาดใจมากเช่นกัน เธอหันหน้าเหลือบไปมองผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านข้างซึ่งรอลิฟต์อยู่กับเธอ ศัตรูบนทางแคบจริงๆ
ดูท่าต่อไปคงจะได้เป็นเพื่อนร่วมงานกันเสียล่ะมั้ง
“บังเอิญจัง คุณยังคงมาทัน”
หนีถงนึกไม่ถึงว่าตัวเองยังไม่ทันเอ่ยปาก คนข้างๆ กลับเอ่ยปากขึ้นมาก่อนเสียแล้ว
น่าสนใจเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นก็มาที่สายการบินเหิงซื่อ ภายใต้สถานการณ์ที่เร่งรีบขนาดนั้นกลับไม่ยอมให้เธอมาด้วย ทำให้เธอต้องสูดควันท่อไอเสียเข้าไปเต็มปอด
หนีถงโกรธจัด คำพูดที่กล่าวออกมาจึงแปลกๆ อยู่บ้าง “อ้าว บังเอิญจัง คุณก็มาที่สายการบินเหิงซื่อเหมือนกันเหรอ”
หร่วนซือเสียนยิ้มและพยักหน้า “อืม ฉันมารายงานตัวที่ฝ่ายบุคคล”
หนีถงเลิกคิ้ว พิจารณาหร่วนซือเสียนอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
ท่าทางไม่ไว้หน้าใครตอนที่ขึ้นรถ ถ้าไม่รู้ยังนึกว่าเป็นภรรยาของท่านประธานซะอีก
เมื่อประตูลิฟต์เปิด หนีถงกำลังจะเข้าไป หร่วนซือเสียนกลับชิงนำหน้าเข้าไปก่อนหนึ่งก้าว
หนีถงอารมณ์เสียแล้วจริงๆ เธอยิ้มอย่างโมโหอยู่หน้าประตูลิฟต์ด้วยท่าทางแข็งทื่อ
“เพิ่งเรียนจบเหรอ”
ครั้งนี้หร่วนซือเสียนพยักหน้าหงึกๆ
หนีถงหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไป “ฉันว่าแล้ว”
คนมาใหม่ที่ไม่รู้กาลเทศะก็จะเป็นแบบนี้
ทั้งสองยืนอยู่กันคนละด้านของลิฟต์ คนหนึ่งกดฝ่ายบุคคลชั้นสิบสี่ คนหนึ่งกดไปที่ชั้นห้องประชุม
หร่วนซือเสียนก้มหน้ามองโทรศัพท์ ขณะที่หนีถงกอดอกมองเธอ
“นำบินหรือยัง”
“ยังค่ะ”
หนีถงรู้อยู่แล้วแต่ก็ยังจงใจถาม
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่เพิ่งเข้ามาจะต้องผ่านช่วงเวลาในการนำบินช่วงหนึ่ง และพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินอาวุโสที่นำบินก็จะมีฐานะเป็นอาจารย์ ต่อไปไม่ว่าตำแหน่งจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ย่อมต้องเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันอยู่อย่างนั้น
และยิ่งไปกว่านั้นหนีถงยังเป็นหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
“แม้ว่าเหตุการณ์ที่คอนโดฯ จะไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไร แต่ฉันเป็นคนใจกว้าง มีเรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องพูดกับเธอสักหน่อย” เมื่อเห็นหร่วนซือเสียนไม่สนใจ หนีถงจึงเดินไปตรงหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับเธอ “อาชีพของพวกเราให้ความสำคัญกับระดับอาวุโส ต่อไปเธอต้องเข้าสู่ขั้นตอนการนำบิน ควรทำให้ตาสว่างสักหน่อย หลังจากนี้จะได้รู้ว่าอะไรควรไม่ควร รู้มารยาทระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง รุ่นพี่ก็คือรุ่นพี่ อย่าคิดช่วงชิงที่จะเป็นที่หนึ่ง แล้วก็กลัวการเป็นที่โหล่ไปเสียทุกครั้ง จะทำให้อาจารย์ไม่มีความสุขเปล่าๆ” จากนั้นหนีถงก็ชี้ไปที่ประตูลิฟต์ “อยู่ในลิฟต์ก็แล้วไปเถอะ แต่หลังจากขึ้นเครื่องเธอต้องการแย่งชิงเพื่อจะเป็นที่หนึ่ง จะให้อาจารย์มองเธอยังไง จะให้หัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินมองเธอยังไง”
หร่วนซือเสียนเงยหน้าและสบตากับหนีถงครู่หนึ่ง ขณะที่ในใจของหนีถงกลับรู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
มองอะไร
แต่ไม่รอให้หนีถงเกิดโทสะ หร่วนซือเสียนกลับหัวเราะคิกออกมา
หนีถงใช้เวลาอยู่นานถึงค่อยเข้าใจ
การหัวเราะแบบนี้ของเธอ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังมองเด็กน้อยที่ไอคิวต่ำอย่างไรอย่างนั้น
หนีถงถอนหายใจ ในใจคิดว่าตนคงพูดไม่ชัดเจน คนคนนี้จึงฟังไม่เข้าใจ
“ต่อไปต้องร่วมงานกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นมาทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการสักหน่อยเถอะ” หนีถงยื่นมือออกมาพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “หัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแผนกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่สี่ หนีถง”
หร่วนซือเสียนไม่ขยับ สายตามองกวาดตั้งแต่ใบหน้าของหนีถงจนถึงมือของเธอ ท่าทีเฉยชา ไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น หลังจากนั้นถึงค่อยๆ ยกมือขึ้นมาจับ
“นักบิน ACJ31 ฝูงบินที่หก หร่วนซือเสียน”
มือของหนีถงสั่นไปครู่หนึ่ง เธอมองด้วยความอึ้งเหมือนกับไม่เชื่อคำพูดที่หร่วนซือเสียนกล่าวออกมา
เสียงลิฟต์ดัง ‘ติ๊ง’ หนึ่งที ถึงชั้นสิบสี่แล้ว
หร่วนซือเสียนดึงมือตัวเองออกแล้วเดินออกไป แต่ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลง เธอก็หันหน้ากลับมากล่าว
“ใช่แล้ว ต่อไปถ้าเธอบินกับเที่ยวบินของฉัน ทางที่ดีอย่าดื่มแอลกอฮอล์ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนถึงเวลาทำงาน ฉันทนไม่ได้จริงๆ ที่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจะมาสายเพราะตื่นไม่ไหว”
บทที่ 8
จนกระทั่งลิฟต์มาถึงชั้นห้องประชุม หนีถงก็ได้สติกลับมาในที่สุด
หร่วนซือเสียน?
เธอท่องชื่อนี้ในใจอยู่หลายครั้ง ขณะที่ประตูลิฟต์ปิดลง ในที่สุดเธอก็นึกออก
หร่วนซือเสียน เป็นหร่วนซือเสียนคนนั้นที่ทำให้เธอรู้สึก ‘ด้อยกว่า’
แต่เธอกลับมาได้ยังไง
ทั้งยังเป็นนักบินของฝูงบินอีก
ขณะที่จิตใจกำลังสั่นไหว ลิฟต์ก็ลงมาถึงชั้นเก้าแล้ว เมื่อหนีถงได้สติกลับมาอีกครั้งก็กดปุ่มหมายเลขอย่างบ้าคลั่ง แต่น่าเสียดายที่สายเกินไปเสียแล้ว
เมื่อกลับมาที่ชั้นห้องประชุมอีกครั้ง การบรรยายทางวิชาการเรื่องความปลอดภัยก็เริ่มขึ้นแล้ว
เธอมาสายอย่างที่คิดจริงๆ
หนีถงรู้สึกไม่สบายใจ รีบสแกนลายนิ้วมือบนเครื่องสแกนลายนิ้วมือหน้าประตู จากนั้นก็แอบย่องเข้าไปทางประตูด้านหลังเงียบๆ และนั่งที่นั่งตรงมุมของแถวหลัง
เพื่อนร่วมงานข้างๆ กล่าวเสียงเบา “ทำไมเธอถึงมาสาย”
หนีถงรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจ หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาพลางกล่าว “อย่าพูดถึงเลย หงุดหงิดจะตายอยู่แล้ว”
เมื่อหาวีแชตของเจียงจื่อเยวี่ยเจอ เธอก็พิมพ์ข้อความทันที ‘อาจารย์ หร่วนซือเสียนกลับมาแล้วเหรอ’
หลังจากส่งข้อความออกไป เธอก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่กี่วันก่อนเจียงจื่อเยวี่ยบอกว่าจะไปเที่ยวพักผ่อนวันหยุดที่สเปน เวลานี้น่าจะเพิ่งขึ้นบินได้ไม่นาน
เพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้านข้างยังคงกล่าวต่อ “เธอไม่เห็น เมื่อกี้หวังเล่อคังมองมาที่กลุ่มหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแล้วมีเธอคนเดียวที่ขาดประชุม เขาโมโหจนหน้าดำหมดแล้ว”
หนีถงวางโทรศัพท์ลงแล้วหันหน้าไปถาม “หร่วนซือเสียนกลับมาแล้วเหรอ”
เพื่อนร่วมงานงุนงง “ใคร”
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่รู้จักตัวละครตัวนี้
“ช่างเถอะ” หนีถงไม่สนใจอีก
เธอแค่คิดว่าบางทีคนเมื่อกี้นี้อาจพูดว่า ‘หร่วนซือเสียณ’ หรือ ‘หร่วนซือเสียญ’ หรืออาจเป็น ‘หร่วนซือเสียร’
ถึงยังไงก็ไม่ใช่ชื่อที่พิเศษมาก อาจเป็นชื่อเดียวกันแซ่เดียวกันก็ได้
ไม่งั้นจากคำพูดของเจียงจื่อเยวี่ย เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นกับหร่วนซือเสียน เธอจะกลับมาที่สายการบินเหิงซื่ออีกได้ยังไง
ยิ่งกว่านั้นยังกลับมาที่แผนกการบินที่รองประธานฟู่ดูแลอยู่ด้วย
ถ้าเป็นฉัน ตีให้ตายยังไงก็ไม่มีทางกลับมาที่สายการบินเหิงซื่ออีก
ขณะที่หนีถงกำลังคิดวุ่นวายอยู่นั้น หร่วนซือเสียนก็จัดการทำเรื่องเข้างานที่ฝ่ายบุคคลแล้ว
ตอนที่ฝ่ายบุคคลป้อนข้อมูลลงบนอินทราเน็ต เธอก็เงยหน้าสังเกตที่นี่อย่างละเอียดอีกครั้ง ตั้งแต่เธอเหยียบย่างเข้ามาในสายการบินเหิงซื่อก็พบว่าเปลี่ยนไปไม่น้อยเลย
ทางด้านขวาของห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่งที่เคยมีพื้นที่กว้างขวาง ตอนนี้มีแบบจำลองขนาดใหญ่ของเครื่องบิน ACJ31 เหมือนสัญลักษณ์ตั้งอยู่อย่างสง่าในตำแหน่งที่สะดุดตา
พนักงานต้อนรับส่วนหน้าเปลี่ยนจากสี่คนเป็นหกคนแล้ว และเปลี่ยนเครื่องแบบใหม่ ไม่ใช่เสื้อสูทและเสื้อตัวนอกสีดำสนิทอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว
ฝ่ายบุคคลย้ายจากชั้นสิบหกไปยังชั้นที่สิบสี่
และตลอดทางที่เดินมา หร่วนซือเสียนไม่เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเลยสักคน ทั้งยังไม่ค่อยพบเห็นคนสักเท่าไร
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” ฝ่ายบุคคลพิมพ์ใบรายการสองใบ ใบเล็กหนึ่งใบ ใบใหญ่หนึ่งใบให้หร่วนซือเสียน “ใบเล็กเป็นหมายเลขบัญชีอินทราเน็ตรวมทั้งหมายเลขพนักงานของคุณ และยังมีรหัสผ่านสำหรับล็อกอินอย่างอื่นอยู่ในนี้ ส่วนใบใหญ่คือใบรายการขั้นตอนการทำงาน คุณนำไปรายงานและประทับตราที่แผนกการบินบนชั้นสิบหก หลังจากจัดการแล้วค่อยไปที่แผนกธุรการเพื่อรับเครื่องแบบก็เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”
หร่วนซือเสียนกล่าวขอบคุณ พอถือของเดินและออกจากสำนักงานแล้วถึงเริ่มดูหมายเลขพนักงานใหม่ของตัวเองอย่างละเอียด
ที่จริงแล้วจนถึงตอนนี้เธอยังท่องหมายเลขพนักงานเดิมของตัวเองได้ เพียงแต่ตัวอักษรที่คำนำหน้าเปลี่ยนไปเท่านั้น
สายการบินเหิงซื่อใช้ตัวอักษรตัวแรกของโครงสร้างองค์กรบริษัทเรียงลำดับหมายเลขพนักงาน โดยยึดคณะกรรมการเป็นลำดับแรกแล้วไล่ลงมาเป็นชั้นๆ คำนำหน้าของแผนกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินคือ ‘E’
และตอนนี้คำนำหน้าหมายเลขพนักงานของเธอเปลี่ยนเป็น ‘D’ ซึ่งเป็นแผนกการบิน
ฝ่ายบุคคลเป็นหญิงสาววัยรุ่น ตอนที่ประทับตราให้หร่วนซือเสียนก็สังเกตเธออย่างละเอียดเงียบๆ ที่มุมปากมีลักยิ้มบางๆ สองข้าง
“เป็นครั้งแรกที่ฉันเจอนักบินหญิงค่ะ” มือของหญิงสาวเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว เซ็นชื่อประทับตราไม่หยุด แต่ไม่มีผลต่อการพูดคุยเรื่อยเปื่อยของเธอ “แถมยังเป็นนักบิน ACJ31 ฉันได้ยินมาว่านักบินรุ่นนี้เก่งมาก แข่งขันกันมากเป็นพิเศษ นักบินที่สายการบินของพวกเรารับสมัครเข้ามามีหลายคนที่หากอยู่ในสายการบินอื่นล้วนต้องได้เป็นกัปตันกันทั้งนั้น” เธอชำเลืองมองหร่วนซือเสียนอย่างเขินอายอีกครั้ง “ส่วนคุณก็เป็นนักศึกษาที่เก่งที่สุด เก่งมากเลย” กล่าวจบก็หยิบโทรศัพท์ออกมา “พวกเราเพิ่มเพื่อนในวีแชตกันได้ไหมคะ”
“ได้ค่ะ” หร่วนซือเสียนหยิบโทรศัพท์ออกมา แต่พบว่ามีสายเข้าพอดี
หน้าจอแสดงหมายเลขโดยตรง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนรู้จัก แต่หร่วนซือเสียนจำตัวเลขได้ หมายเลขชุดนี้ไม่ใช่ไม่คุ้นเคย และน่าจะเคยติดต่อในช่วงไม่นานมานี้
“ฉันรับโทรศัพท์ก่อนได้ไหมคะ”
ฝ่ายบุคคลยิ้มแล้วพยักหน้า “ได้ค่ะ คุณรับก่อนเถอะค่ะ ฉันยังต้องกรอกข้อมูลอีกมากเหมือนกัน”
หร่วนซือเสียนถือโทรศัพท์แล้วเดินออกไป จากนั้นก็เลี้ยวไปทางขวาซึ่งเป็นระเบียงทางเดินกระจก
ระเบียงทางเดินนี้เชื่อมต่อกับห้องประชุมระหว่างประเทศของแผนกการบินและแผนกการจัดการ กว้างเจ็ดถึงแปดเมตร เมื่อแสงแดดส่องเข้ามาผ่านกระจกบานหนึ่งก็เผยความรู้สึกเย็นยะเยือก สะท้อนกลิ่นอายของความทันสมัยออกมา ทำให้เห็นว่าที่นี่ดูสงบเงียบมากยิ่งขึ้น ทั้งยังมีประสิทธิภาพในการขยายเสียง ทำให้เสียงฝีเท้าที่เดินมาแต่ไกลสามารถสะท้อนก้องไปทั่วระเบียงทางเดิน
หร่วนซือเสียนมักคิดว่าบรรยากาศที่นี่ค่อนข้างคล้ายกับสถานที่บางแห่ง แต่ตอนนี้กลับนึกไม่ออก
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าใครคะ”
“คุณหร่วน ผมเยี่ยนอันครับ”
อ้อ เยี่ยนอัน ประธานเยี่ยนของสายการบินเป่ยจิง เมื่อไม่นานมานี้เคยใช้หมายเลขนี้ติดต่อมา
“สวัสดีค่ะ ประธานเยี่ยน โทรหาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
“ก็ไม่ได้มีธุระอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากถามว่าคุณไปรายงานตัวที่สายการบินเหิงซื่อหรือยัง ถ้ายังไม่ได้ไปรายงานตัว คุณต้องการจะพิจารณาอีกทีไหม”
ตอนที่เขาพูดให้ความรู้สึกประชดประชันอยู่สองสามส่วน อยู่ตรงกลางระหว่างความเป็นกันเองและการยั่วเย้า แตกต่างจากน้ำเสียงที่จริงจังและเย็นชาของฟู่หมิงอวี่อย่างสิ้นเชิง
เสียงของเขาฟังดูเหมือนล้อเล่น ดังนั้นจึงทำให้คนผ่อนคลายได้อย่างง่ายดาย
“โชคไม่ดีเลยค่ะ ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ที่ฝ่ายบุคคล กรอกข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ประธานเยี่ยนคะ ขอบคุณในความหวังดีของคุณนะคะ”
“เฮ้อ…”
เยี่ยนอันถอนหายใจหนักหน่วง
เสียดายขนาดนั้นเลยเหรอ
หร่วนซือเสียนไม่รู้ว่าระหว่างเยี่ยนอันและฟู่หมิงอวี่ต่างฝ่ายต่างขัดหูขัดตากันและกันมาตลอด ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นที่ต้องการตัวขนาดนี้ คงรีดไถฟู่หมิงอวี่มากกว่านี้ไปแล้ว
ไม่แน่ว่าถ้าเรียกค่าตอบแทนรายปีสามเท่า เขาอาจจะตอบตกลง
“งั้นคุณหร่วนครับ ผมอยากรู้จริงๆ ผมจำได้ว่าตอนนั้นคุณจะเซ็นสัญญากับพวกเราอยู่แล้ว แต่ทำไมสุดท้ายคุณถึงเลือกสายการบินเหิงซื่อล่ะครับ”
เพราะอะไรงั้นเหรอ
ตอนที่หร่วนซือเสียนเซ็นสัญญาก็คำนวณจุดทศนิยมไปด้วย ทั้งยังคำนวณไปถึงสามรอบ
เงินเดือนของเธอหมดไปกับการจ่ายภาษีจนเกือบจะไล่ทันค่าตอบแทนที่เธอเป็นแอร์โฮสเตสในตอนนั้นแล้ว
ไม่มีใครอยากลำบากในเรื่องการเงินกันหรอก
ยิ่งไปกว่านั้นค่าตอบแทนครึ่งหนึ่งของเธอยังลงรายการในบัญชีของฟู่หมิงอวี่
เมื่อนึกถึงท่าทางที่เขาใช้เงินมาขอร้องเธอ หร่วนซือเสียนก็รู้สึกว่าเซลล์ทั้งหมดในร่างกายมีความสุขขึ้นมาทันที
ค่าตอบแทนรายปีสองเท่า เท่ากับความสุขสิบเท่า
แต่เธอไม่สามารถพูดแบบนี้กับคนอื่นได้ เพราะเป็นเรื่องที่หยาบคาย
“นี่…”
ทันใดนั้นเยี่ยนอันก็ถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมา “หรือที่จริงแล้วฟู่หมิงอวี่โปรยยาเสน่ห์อะไรใส่คุณ เขาใช้เสน่ห์ยั่วยวนคุณใช่หรือเปล่า หืม?”
ถึงอย่างไรคนก็ถูกแย่งไปแล้ว เยี่ยนอันจึงไม่ต่อสู้ดิ้นรนอย่างไร้ความหมายอีก เขาแค่สนใจในตัวผู้หญิงคนนี้เล็กน้อย ขณะที่พูดกับเธอจึงแฝงไปด้วยเจตนายั่วเย้าโดยไม่รู้ตัว
หร่วนซือเสียนน่าจะฟังความหมายของเยี่ยนอันออกแล้วเช่นกัน จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ประธานเยี่ยน ทำไมถึงพูดแบบนี้คะ”
คนที่ปลายสายผ่อนคลายลงพลางกล่าวด้วยความริษยา “ไม่ใช่เหรอ ฟู่หมิงอวี่คนนี้ปกติแล้วก็ใช้ใบหน้านั้นเที่ยวหลอกลวงต้มตุ๋นไปทั่ว สร้างความหายนะให้กับผู้หญิงไม่น้อย”
คงจะจริง ทุกเช้าเขาจะต้องตื่นขึ้นมาส่องกระจกแล้วคงคิดว่าตัวเองหล่อระเบิดแน่ๆ
ในสมองของหร่วนซือเสียนปรากฏท่าทางที่ฟู่หมิงอวี่ชื่นชมตัวเองอยู่หน้ากระจก จึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“รองประธานฟู่น่ะ รูปลักษณ์โดดเด่นชวนตะลึง บุคลิกหน้าตาหล่อเหลาผ่าเผย ท่วงท่าองอาจไม่ธรรมดา…”
กล่าวออกมาได้เพียงครึ่งหนึ่ง เธอก็มองไปที่จอแอลอีดีซึ่งมีภาพของคนกลุ่มใหญ่เดินออกมา และคนที่เดินนำหน้าอยู่นั้น…
วาจาโต้ตอบของหร่วนซือเสียนไม่ได้หยุดลง เธอยังคงพูดต่อไป
“กิริยาวาจาสุภาพเรียบร้อย ภาพลักษณ์ผึ่งผาย…”
เงาคนด้านหลังยืนนั่งไม่ขยับแล้ว สายตาสิบกว่าคู่จ้องมองมา และมีสายตาคู่หนึ่งร้อนแรงที่สุด
เสียงของหร่วนซือเสียนเบาลงเรื่อยๆ
ไม่
นี่ไม่ใช่ภาพของการกลับมาเจอกันอีกครั้งอย่างที่เธอจินตนาการไว้
เดิมทีเธอแค่อยากถากถางฟู่หมิงอวี่กับเยี่ยนอันสักหน่อย แต่ตอนนี้ถูกคนพบเข้าแล้ว ไม่แน่ว่าคนคนนี้อาจจะจินตนาการขึ้นมาอีกว่าเธอกำลังแสดงความรู้สึกรักใคร่ชื่นชมเขาอยู่
ตอนนี้เธอต้องรีบกลับลำอย่างเร่งด่วน
“สง่างามอย่างอิสระ มีความเป็นธรรมชาติอย่างไร้ข้อจำกัด…ที่ว่ามานี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย”
“…”
ทุกประโยคสามารถโน้มน้าวจิตใจให้คนคล้อยตามได้ แต่จู่ๆ กลับเปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหัน จู่โจมกลุ่มคนที่ตั้งใจฟังให้หยุดฟังจนตั้งตัวแทบไม่ทัน และชั่วขณะหนึ่งพวกเขาก็หวังว่าตัวเองคงจะหูหนวก
พวกเขาหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็ว แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น หลังจากนั้นก็เดินไปข้างหน้าต่อ เพียงแต่ฝีเท้าแข็งทื่อไปเล็กน้อยเท่านั้น
จากนั้นระเบียงทางเดินกระจกก็เหลือเพียงหร่วนซือเสียนที่หันหน้าเข้าหาผนังและฟู่หมิงอวี่ที่หันหน้าเข้าหาเธอทางด้านหลัง รวมทั้งสายตามองจมูก จมูกมองใจของไป่หยางกับผู้ช่วยอีกสี่คน
ระเบียงทางเดินกระจกที่ทอดยาวราวกับมีลมเย็นพัดผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า
หร่วนซือเสียนนึกออกแล้ว เธอรู้สึกว่าที่นี่เย็นเยียบเหมือนกับห้องเก็บศพนั่นเอง
ในสายเยี่ยนอันหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน เหมือนกับห่านร้องอย่างไรอย่างนั้น
“คุณหร่วน คุณช่างพูดได้ตรงกับความจริงจริงๆ ผมชอบทัศนคติที่ไม่เหมือนใครของคุณ…”
การสนทนาข้างๆ หูพลันเงียบเสียงไปอย่างกะทันหัน ได้ยินแต่เสียงตอบรับของผู้หญิงดังออกมา “โปรดรอสักครู่ ฝ่ายตรงข้ามอยู่ระหว่างการสนทนา กรุณาอย่าวางสาย”
ในเวลาเดียวกัน ด้านหลังก็มีเสียงผู้ชายดังขึ้น
“เยี่ยนอัน ช่วงนี้ว่างมากหรือไง”
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครกำลังพูดอยู่ หร่วนซือเสียนยังไม่ทันได้หันกลับไปก็เห็นเงาที่ทอดยาวบนพื้นก่อนแล้ว
ภายใต้แสงแดดที่สว่างราวกับผลึก เขาถือโทรศัพท์ ก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ยืนอยู่เคียงข้างหร่วนซือเสียน ทว่าสายตากลับไม่ได้ตกอยู่บนร่างของเธอ เพียงแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง
น้ำเสียงของเขาไม่มีความอบอุ่นใดๆ แต่ให้ความรู้สึกที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศของระเบียงทางเดินกระจกนี้
“ถ้านายไม่มีอะไรทำ ก่อนอื่นก็พิจารณาสักหน่อยว่าจะจัดการเรื่องเน็ตไอดอลคนนั้นที่นายเพิ่งบอกเลิกไปและกำลังด่านายในเวยป๋อยังไง อย่ามารบกวนคนของฉันโดยที่ไม่มีธุระอะไร และอย่าคิดจะเลื่อยขาเก้าอี้คนอื่น” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้เขาก็มองหร่วนซือเสียนผ่านๆ แวบหนึ่ง แล้วก็ถอนสายตากลับไป “ช่วยปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางธุรกิจหน่อย ไม่อย่างนั้นฉันจะตัดหน้าคว้าเอาสัญญาท่องเที่ยวเกาะบาหลีในมือของนายมาก่อน ถึงตอนนั้นนายก็จะเห็นเองว่าพ่อของนายจะให้นายลงดินไปพบกับความสงบก่อนเวลาหลายสิบปีหรือเปล่า”
พูดจบเขาก็วางสายโทรศัพท์ จากนั้นก็หันกายมองไปทางหร่วนซือเสียน การกระทำทั้งหมดเสร็จสิ้นภายในคราวเดียว ราวกับเยี่ยนอันหายไปพร้อมกับสายโทรศัพท์ที่เพิ่งถูกวางอย่างไรอย่างนั้น
ไม่นานนักเสียงของเขาก็อ่อนโยนขึ้นมาก “คุณหร่วนครับ เราเพิ่งพบหน้ากันครั้งแรก คุณเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับผมหรือเปล่า”
หากเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนอื่น เมื่อได้มองสุภาพบุรุษอย่างฟู่หมิงอวี่ รับรู้ถึงความลำเอียงผ่านน้ำเสียงที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนของเขา อาจต้องตกหลุมรักเขา ณ ตรงนั้นอย่างแน่นอน
แต่หร่วนซือเสียนเพียงแค่อยากกลอกตา
อะไรที่เรียกว่าเพิ่งพบหน้ากันครั้งแรก
นายสุนัขนี่ หรือว่าคุณลืมหร่วนซือเสียนที่ริมแม่น้ำเทมส์คนนั้นไปแล้ว
คุณลืมผู้หญิงคนนั้นที่คุณรอทั้งคืนไปแล้วเหรอ
เมื่อเห็นสีหน้างงงัน ทั้งยังไม่เข้าใจของหร่วนซือเสียน ไป่หยางที่กลั้นหายใจเฮือกใหญ่อยู่ด้านหลังในที่สุดก็มีโอกาสได้ปลดปล่อยออกมา เขาก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าวพลางกล่าว
“ท่านนี้คือรองประธานฟู่ครับ”
“หา?!” หร่วนซือเสียนแสร้งถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างตื่นตระหนก “คุณได้ยินคำพูดเมื่อกี้แล้ว ขอโทษค่ะ ฉันเคยได้ยินมาทั้งนั้น ไม่รู้ว่ารองประธานฟู่ตัวจริงจะเป็นแบบ…”
“อืม” ฟู่หมิงอวี่เดาออกว่าต่อไปหร่วนซือเสียนจะต้องท่องสำนวนทั้งเจ็ดนั้นอีกครั้งเพื่อแสดงให้เห็นถึงคลังคำศัพท์ของเธอ ดังนั้นจึงตัดบทเธอทันเวลา “ใครเป็นคนพูดครับ”
หร่วนซือเสียนหยุดไปพักหนึ่ง “เพื่อนคนหนึ่งที่ไม่ประสงค์ออกนามค่ะ”
เธอแซ่หร่วน
ราวกับมองการเสแสร้งแกล้งทำของหร่วนซือเสียนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ฟู่หมิงอวี่ปัดความผิดไปให้เยี่ยนอันที่มักจะพูดใส่ร้ายเขาลับหลังโดยอัตโนมัติ คร้านจะคิดเล็กคิดน้อยอีก พอดีกับที่ไป่หยางเอ่ยว่าถึงเวลาแล้วขึ้นมา เขาจึงก้าวเท้ากำลังจะจากไป
จะไปแล้ว?
หร่วนซือเสียนโกรธมาก ทำไมถึงลืมฉันแล้วล่ะ
งั้นฉันจะหักหน้าใครล่ะ
ฉันคือหญิงสาวริมแม่น้ำเทมส์ที่คุณเคยดูถูก แล้วตอนนี้คุณก็ใช้เงินอ้อนวอนให้ฉันกลับมาไง!
“รองประธานฟู่!”
ทันใดนั้นหร่วนซือเสียนก็เรียกเขาไว้
ฟู่หมิงอวี่หยุดฝีเท้าลง แล้วหันหน้ากลับมากล่าว “ยังมีธุระอะไรอีกเหรอครับ”
ช่างเถอะ
หร่วนซือเสียนที่ตะโกนออกไปในเวลานั้นก็รู้สึกเสียใจในภายหลัง รู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนโง่ ทว่าแต่ไหนแต่ไรเธอกลับลำได้เสมอ
“เมื่อกี้ขอโทษนะคะ ฉันไม่ควรฟังข่าวลือแล้วพูดว่าร้ายคุณเลย ฉันควรจะรู้จักคุณจริงๆ เสียก่อน”
หลังจากนั้นค่อยว่าร้ายคุณต่อ
สีหน้าของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ไม่เป็นไรครับ”
ฟังเขาสิ ใจกว้างขนาดไหน สุภาพบุรุษขนาดไหน
คนที่ไม่รู้คงต้องคุกเข่าและทำความเคารพภายใต้กางเกงสูทของเขาแล้ว
หร่วนซือเสียนกล่าว “งั้นฉันไปก่อนนะคะ ยังต้องไปรับเครื่องแบบอีก”
เครื่องแบบ…
ในสมองของฟู่หมิงอวี่ปรากฏภาพนั้นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ภาพหร่วนซือเสียนสวมเครื่องแบบนักบิน ชายเสื้อเชิ้ตที่รวบทับไว้ตรงเอวซึ่งไม่เต็มหนึ่งโอบมือ* นั้นเรียบกริบ ส่วนโค้งเว้าอรชรผายออก ด้านล่างเป็นกางเกงสีดำขายาวเรียบร้อย
เขาพยักหน้าแล้วจึงหันกายจากไป
เมื่อพูดถึงเครื่องแบบ หร่วนซือเสียนคิดไม่ถึงว่าสายการบินเหิงซื่อจะเปลี่ยนระเบียบอย่างรอบคอบเช่นนี้ มอบชุดสำหรับฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูหนาวอย่างละสองชุด กองรวมกันได้หนึ่งถุงใหญ่เต็มๆ
โชคดีที่สมรรถภาพร่างกายของพวกนักบินสูงมาก ถึงแม้หร่วนซือเสียนจะเป็นผู้หญิง แต่พอหิ้วถุงขึ้นมาก็ไม่ได้รู้สึกเปลืองแรง เพียงแต่ท่าทางไม่ค่อยน่าดูเท่านั้น เธอรู้สึกว่าตัวเองเด่นชัดยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มแอร์โฮสเตสสาวสวยที่เดินไปมาอยู่ข้างๆ
ขณะนั้นไป่หยางผู้ที่มีนิสัยชอบเอาใจใส่ก็ปรากฏตัว เขายิ้มพลางรับถุงของหร่วนซือเสียนมาถือ “ผมเองครับ”
ทั้งสองเคยเจอกันที่สถาบันการบิน หร่วนซือเสียนรู้สึกประทับใจในตัวเขา รู้สึกว่าแม้เขาจะอยู่ในฐานะเลขาฯ ของฟู่หมิงอวี่ แต่ก็ไม่ได้ติดนิสัยเสียเหล่านั้นมาสักนิด ดังนั้นจึงยิ้มให้เขา
“ขอบคุณนะคะ”
“ไม่ต้องเกรงใจครับ”
ไป่หยางเดินนำเธอออกไปข้างนอก “รองประธานฟู่ให้ผมมาครับ บอกว่าเครื่องแบบเยอะ ถ้าผู้หญิงถือจะไม่ไหว”
“…รองประธานฟู่ช่างดีจริงๆ ฉันซึ้งใจมากค่ะ”
“อืม ผมจะบอกความรู้สึกของคุณให้รองประธานฟู่ทราบนะครับ”
“…”
ใครต้องการให้คุณบอกกัน
ดูท่าเขาคงจะติดนิสัยเสียที่ชอบจินตนาการเรื่อยเปื่อยมาเสียแล้ว
ทั้งสองออกมาจากลิฟต์ด้วยกัน ไป่หยางส่งหร่วนซือเสียนขึ้นรถแล้วค่อยหันกายกลับเข้าไปในบริษัท ภาพนี้หนีถงที่เพิ่งเลิกประชุมออกมาเจอเข้าพอดี เธอจึงหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปเอาไว้ แล้วส่งให้เจียงจื่อเยวี่ยทันที
‘คุณดูสิ คือเธอ’
เจียงจื่อเยวี่ยที่อยู่ไกลถึงสเปนขยายดูรูปภาพอยู่ครู่หนึ่งและสรุปอย่างมั่นใจ
‘ไม่ใช่เธอ เธอจะมีความสัมพันธ์ที่ดีขนาดนี้กับเลขาฯ ของรองประธานได้ยังไง’
(ติดตามฉบับเต็มได้ในรูปแบบ E-book)
Comments
comments
No tags for this post.