บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง
“ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโรงสู้ ประชันคู่เป็นปีศาจ”
รัชศกหยวนจยาปีที่หนึ่ง เดือนสิบสอง เพลงเด็กเพลงหนึ่งแพร่สะพัดไปทั่วตรอกถนนในราชธานีตะวันออก บรรดาเด็กน้อยปล่อยผม กำลังร้องเพลงนี้พลางเล่นสนุกกันอยู่บนถนน ผู้สัญจรสองข้างทางได้ยินแล้วล้วนไม่กล้าสนทนากัน เพียงกระชับเสื้อแน่น เร่งเดินผ่านไป บิดามารดาของเด็กน้อยรีบมาป้องปากบุตรธิดา ลากพากลับบ้านไปดุอบรม “ไม่ต้องการชีวิตแล้วสินะ เรื่องของท่านผู้นั้นพวกเจ้ากล้าเอ่ยถึงเชียวหรือ ขืนดื้อไม่เชื่อฟังอีกข้าจะปล่อยพวกเจ้าไว้หน้าประตูบ้าน ให้ปีศาจที่หลุดจากกองงานปราบปีศาจมาจับพวกเจ้าไปกินเสียเลย!”
เด็กน้อยไม่เข้าใจสักนิดว่าบทเพลงสื่อความนัยอันใด แต่ทันทีที่ได้ยินคำว่ากองงานปราบปีศาจ พวกเขาก็เสียขวัญจนร้องไห้โฮ ปลอบอย่างไรก็ไม่หาย
รัชศกหยวนจยาปีที่หนึ่งนี้ยังเป็นรัชศกฉุยก่งปีที่แปดด้วย ซึ่งก็คือปีที่แปดที่ฮ่องเต้หญิงอู่จ้าวครองราชย์ บัดนี้กิตติศัพท์อันเลวร้ายของกองงานปราบปีศาจดังกระฉ่อนทั่วแผ่นดินจรดสี่สมุทร ถึงขั้นหยุดเสียงร้องโยเยกลางดึกของเด็กน้อยได้ ผู้ที่อื้อฉาวไม่แพ้กันยังมีองค์หญิงอันติ้งหลี่เจาเกอ…ผู้บัญชาการแห่งกองงานปราบปีศาจซึ่งเล่นพรรคเล่นพวก ปั้นแต่งข้อหา ใส่ความทำให้เกิดคดีผิดพลาดไม่เป็นธรรมนับไม่ถ้วน ทำร้ายตระกูลที่มีชื่อเสียงบารมีให้บ้านแตกสาแหรกขาดไปไม่รู้กี่ตระกูลแล้ว
หลี่เจาเกอรู้ว่าผู้คนมากมายเกลียดแค้นนาง ในราชธานีตะวันออกไม่รู้มีผู้คนเท่าไรไหว้พระอ้อนวอนเทพเจ้า เฝ้าหวังทุกคืนวันให้นางตาย
น้องชายน้องสาวของนาง ลูกพี่ลูกน้องของนาง แม้กระทั่งสามีของนางต่างก็เฝ้าหวังให้วันนั้นมาถึง
น่าเสียดาย ท้ายที่สุดพวกเขาล้วนต้องผิดหวัง นางข้าหลวงสวมชุดชาววังสีแดงกำลังยอบกายอยู่เบื้องหน้าหลี่เจาเกอ เขียนคิ้ว ระบายดวงตา แต้มชาดบนริมฝีปากให้ สุดท้ายก็ยกสวมพระมาลาที่มีระย้าลูกปัดมุกอันวิจิตรตระการตาลงบนศีรษะหลี่เจาเกอแล้วคุกเข่าโดยพร้อมเพรียงกัน “ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี”
ทุกคนทั้งในและนอกตำหนักต้าเยี่ยต่างหมอบลงพื้น โน้มลำคอลงอย่างอ่อนน้อม ปากเปล่งเสียงดังว่า “ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี!”
หลี่เจาเกอจับจ้องคนในคันฉ่องแน่วนิ่ง…คิ้วเรียวเชิด จมูกสูงโด่ง นัยน์ตางามเฉียบ สวมชุดกุ่นเหมี่ยน แลดูงดงามดุดันทรงพลังน่ากลัวเกรง ต่อให้คนภายนอกโจษจันถึงนางย่ำแย่สักเพียงใดก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่านี่มิใช่ดวงหน้าอันสะคราญเป็นเลิศ
นางคือองค์หญิงอันติ้ง องค์หญิงผู้เติบใหญ่ท่ามกลางราษฎรสามัญ ชื่อเสียงฉาวโฉ่ มีชีวิตดั่งเรื่องขบขัน ทว่าตอนนี้หลี่เจาเกอผู้นี้เป็นฮ่องเต้หญิงองค์ใหม่แห่งต้าถังแล้ว
ต้าเซิ่งฮ่องเต้ อู่จ้าวสวรรคตเฉียบพลันเมื่อเดือนก่อน ก่อนนางสิ้นได้มอบบัลลังก์แก่พระธิดาองค์โตหลี่เจาเกอ หลี่เจาเกอจึงคล้อยตามลิขิตฟ้าขึ้นสืบทอดตำแหน่ง และวันนี้ก็คือวันพิธีครองราชย์
เหล่านางข้าหลวงหลุบตาลงกึ่งหนึ่ง ไม่กล้ามองหลี่เจาเกอแม้แต่น้อย นางข้าหลวงกองพิธีการฝ่ายในเดินซอยเท้าขึ้นหน้ามาคำนับอย่างเคร่งครัดก่อนกล่าวเสียงนบนอบ “ทูลฝ่าบาท ใกล้ถึงฤกษ์มงคลแล้ว ขอเชิญเสด็จตำหนักหานหยวนเพคะ”
หลี่เจาเกอผงกศีรษะเล็กน้อย พาให้ลูกปัดมุกสิบสองสายกระทบกันแผ่วเบาบังเกิดเสียงรื่นหู นางไม่ต้องให้บ่าวมาประคองก็ลุกขึ้นจากเบาะด้วยตนเองได้อย่างมั่นคง เพิ่งจะยืนเรียบร้อยนางข้าหลวงอีกคนก็เดินตรงมาอย่างเร่งร้อน ใบหน้าเผือดขาว แววตาหลุกหลิกไม่กล้าเผชิญหน้าหลี่เจาเกอ นางหวาดหวั่นมากเสียจนร่างสั่นเทิ้มเล็กน้อย
นางไม่จำเป็นต้องปริปาก หลี่เจาเกอก็เข้าใจได้ “สวามีเราคงมีคำพูดฝากมากระมัง พิธีกำลังจะเริ่ม เขามีคำพูดใดรอจบพิธีก็ค่อยว่ากัน”
“มิใช่เพคะ” นางข้าหลวงตอบตัวสั่นงันงก “ราชบุตรเขยทรงมิได้สวมชุดมงคล ทั้งตรัสว่าต้องการจะพบฝ่าบาท”
ไม่ยอมสวมเลยหรือนี่ หลี่เจาเกอเสียดายอยู่บ้าง เป็นสามีภรรยากันมาหกปี แยกกันอยู่คนละที่ ซ้ำยังแตกหักเป็นศัตรู ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ภายหลังขึ้นครองราชย์นางก็ยังคงคิดจะแต่งตั้งเผยจี้อันเป็นคู่ครองหนึ่งเดียวของนาง
ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดลือกันเซ็งแซ่ว่าหลี่เจาเกอหมกมุ่นราคะชนิดไม่บันยะบันยัง มีชายบำเรอนับไม่ถ้วน แต่หลี่เจาเกอรู้แก่ใจว่านางมีเพียงเขาเท่านั้น
หลี่เจาเกอถอนใจเสียงเบาอย่างยิ่งก่อนเอ่ย “ช่างเถิด ในเมื่อเขาอารมณ์ไม่ดี พิธีแต่งตั้งตำแหน่งให้เขาก็ชะลอไปอีกหน่อยแล้วกัน นางข้าหลวงจงถ่ายทอดคำสั่ง เริ่มพิธีครองราชย์ได้ทันที”
นางข้าหลวงขานรับด้วยสีหน้าสำรวมก่อนเดินมุ่งสู่เบื้องนอก ทว่าเดินไปไม่ถึงสองก้าวกลับถูกความเคลื่อนไหวจากด้านนอกสกัดไว้ นั่นคือเหล่าขันทีที่เฝ้าประตูที่ถูกโยนเข้าประตูตำหนักมาราวกระสอบป่าน ขันทีผู้เป็นหัวหน้าตะกายลุกขึ้น หมายจะขอขมาต่อหลี่เจาเกอ “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีความผิด…”
หลี่เจาเกอยกมือเอ่ยเรียบๆ “พอแล้ว เรารู้แล้ว พวกเจ้าถอยไปได้”
หลี่เจาเกอรู้ว่าตนเองล่วงเกินผู้คนไว้มาก จึงสั่งสมสมัครพรรคพวก รวบรวมผู้มีความสามารถพิเศษ วางเวรยามหลายชั้นไว้นอกตำหนักบรรทม แต่นางก็รู้เช่นกันว่าเวรยามเหล่านี้เพียงมีวิชาหมัดมวยอันตื้นเขิน จะขัดขวางคุณชายเผยผู้เคยลือนามทั่วอดีตเมืองหลวงฉางอันว่าเพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ได้อย่างไรกัน
บ่าวรับใช้ในตำหนักต่างรู้ว่าฮ่องเต้หญิงองค์ใหม่กับพระสวามีขัดแย้งกันหลายเรื่อง พวกเขาไม่กล้ารั้งอยู่ต่อจึงเผ่นแน่บในพริบตาราวใต้ฝ่าเท้าชโลมด้วยน้ำมัน หลังบ่าวรับใช้ที่คล้ายเมฆหลากสีสลายตัวไป ในตำหนักต้าเยี่ยก็ดูโล่งกว้างว่างโหวง ชวนให้รู้สึกเงียบงันอ้างว้างและกดดัน
นอกประตูตำหนักอันสว่างไสว เงาร่างสีครามสายหนึ่งก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามายืนอยู่กลางตำหนัก แล้วเงยหน้ามองมาทางหลี่เจาเกออย่างเย็นชา
หลี่เจาเกอสวมพระมาลาประดับระย้าลูกปัดมุกดูยิ่งใหญ่ สบตากับเผยจี้อันจากระยะไกล นางอยู่ในเครื่องแต่งกายเต็มยศ ต่างกับเผยจี้อันที่ยังสวมชุดสีครามซึ่งเขาใส่บ่อยที่สุด ทั่วกายทั้งบนล่างมีเพียงปิ่นหยกหนึ่งอันกับกระบี่ยาวหนึ่งเล่ม
เฉกเช่นยามแรกพบกันในปีนั้น จวบจนบัดนี้หลี่เจาเกอยังจดจำตอนที่นางพบเจอเผยจี้อันครั้งแรกได้ เขาแต่งกายเช่นเดียวกันนี้ วิญญูชนในอาภรณ์สีครามดั่งลมเย็นไล้จันทร์ผ่อง เสมือนเซียนใต้จันทรา คว้ากุมใจนางเป็นเชลยได้ในพริบตาเดียว
นับแต่แรกมองปราดนั้นนางก็คิดหมายจะได้เขามาโดยไม่เลือกวิธีการ ทว่านางปรากฏตัวสายเกินไป เขาได้หมั้นหมายกับหลี่ฉังเล่อน้องสาวนางไปก่อนแล้ว หลี่ฉังเล่อเป็นบุตรคนเล็กสุดของเสด็จแม่ เป็นองค์หญิงที่ถูกตามใจที่สุดในวัง แต่เล็กจนโตเสพสุขกับอาภรณ์หรูหรา อาหารล้ำค่า คำสรรเสริญ และเกียรติยศ เป็นไข่มุกสกาวที่คนทั้งหมดประคองอยู่ใจกลางฝ่ามือ รวมถึงเป็นแสงจันทร์ขาว* ที่เผยจี้อันเฝ้าพิทักษ์มาสิบปี หากเผยจี้อันกับหลี่ฉังเล่อแต่งงานกันก็เรียกได้ว่าบุรุษเก่งคู่สตรีงาม เป็นกิ่งทองใบหยกที่ทุกคนยินดีจะเห็นลงเอยกัน
มีเพียงหลี่เจาเกอที่ยอมรับไม่ได้ ด้วยหมายจะขอร้องเสด็จแม่ให้พระราชทานสมรสแก่นางกับเผยจี้อัน นางถึงกับไม่เสียดายที่จะละทิ้งศักดิ์ศรีกับมโนสำนึก ก้าวจากความสว่างไปสู่ความมืด ทำงานจำนวนหนึ่งซึ่งไม่อาจเผยในที่แจ้งแทนเสด็จแม่…มีคนคัดค้านไทเฮาสำเร็จราชการ มีคนคัดค้านสตรีกุมอำนาจบริหาร มีคนคัดค้านเสด็จแม่ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เหล่านี้เสด็จแม่ไม่สะดวกจะออกหน้าจึงให้หลี่เจาเกอกุข้อหาไปสังหารผู้คัดค้านเสียให้สิ้น
หลี่เจาเกอพึ่งพาผลงานชุ่มโชกโลหิตเหล่านี้แลกพระราชโองการพระราชทานสมรสหนึ่งฉบับ แต่เล็กนางระหกระเหินอยู่นอกวัง กินไม่อิ่ม สวมไม่อุ่น เคยชินการยังชีพด้วยการแก่งแย่ง นางชมชอบบุรุษผู้หนึ่ง ทว่านางไม่รู้จะบอกเขาเช่นไร ทั้งไม่รู้ด้วยว่าจะทำอย่างไรให้เขาชมชอบนางได้ ถ้าเช่นนั้นก็ช่วงชิงเขามา จากนั้นก็ทำดีกับเขาให้มากๆ แล้วกัน หลี่เจาเกอนึกว่ากาลเวลาจะพิสูจน์ใจคน ขอเพียงนางมอบความจริงใจ เผยจี้อันจะต้องเปลี่ยนใจแน่นอน
ทว่า…ไม่เลย กระทั่งในวันพิธีที่นางจะครองราชย์และจะแต่งตั้งตำแหน่งพระสวามีฮ่องเต้ให้แก่เขา…ราชบุตรเขยที่นางรักที่สุดและกำลังจะขึ้นรับตำแหน่งอันสูงศักดิ์เป็นพระสวามีฮ่องเต้แต่ผู้เดียวกลับสวมชุดที่เรียบเสียจนให้อารมณ์วังเวง ซ้ำยังทำร้ายเวรยามตลอดรายทางเพื่อจะมาประจันหน้ากับนางถึงตำหนักบรรทม
หลี่เจาเกอคลี่ยิ้มให้เผยจี้อันก่อนถาม “สวามีข้า ท่านมาด้วยเรื่องใดหรือ”
“อย่าเรียกข้าว่าสวามี” เผยจี้อันมองนางอย่างเย็นเยียบ ริมฝีปากบางแย้มเพียงนิด ทุกคำที่ลอดออกมาล้วนคมกริบดุจมีด “คำเรียกนี้ทำให้ข้ารู้สึกสะอิดสะเอียน”
“ได้” หลี่เจาเกอผ่อนปรนต่อเขาอย่างอารมณ์เย็น บอกเขาว่า “ในเมื่อท่านไม่ชอบ ข้าก็จะให้ทุกคนเรียกท่านว่าราชบุตรเขยตามเดิม”
สีหน้าของเผยจี้อันยังคงเย็นยะเยือก เขาไม่อยากเกี่ยวพันใดๆ กับหลี่เจาเกอทั้งสิ้น ทว่าความเกี่ยวพันในฐานะคู่สมรสระหว่างเขากับหลี่เจาเกอเขียนชัดอยู่บนพระราชโองการ เขานึกถึงจุดประสงค์ที่มาที่นี่จึงถามเนิบช้า แววตาเย็นเยือก “หลี่เจาเกอ นี่จะเป็นหนสุดท้ายที่ข้าเป็นฝ่ายมาหาเจ้า คำพูดเหล่านี้ข้าจะไม่เอ่ยซ้ำรอบสอง ข้าถามเจ้า…จ้าวอ๋องใช่เจ้าฆ่าหรือไม่”
รอยยิ้มในดวงตาของหลี่เจาเกอหม่นจางลง สีหน้าพลันขรึมตามไปด้วย ที่แท้…นี่สินะจุดประสงค์ของเขา หากไม่ใช่เพื่อคนพวกนี้ คาดว่าเขาคงดูแคลนการมาตำหนักบรรทมของนางด้วยซ้ำ
คนจริงกล้าทำกล้ารับ หลี่เจาเกอผงกศีรษะรับโดยไม่ลังเลใดๆ “เป็นข้า”
จ้าวอ๋องหลี่ไหว…คือน้องชายของหลี่เจาเกอและเป็นอดีตรัชทายาท ตั้งแต่ปีกลายเสียงเรียกร้องในราชสำนักให้แต่งตั้งจ้าวอ๋องหลี่ไหวเป็นผู้สืบบัลลังก์เริ่มดังหนาหูขึ้นทุกที มีขุนนางไม่น้อยลอบพูดจาแทนหลี่ไหว สิ่งที่น่าหวั่นใจคือเสด็จแม่ก็เผยท่าทีว่าจะมอบบัลลังก์ให้หลี่ไหวเช่นกัน หลี่เจาเกอล่วงเกินผู้คนไปตั้งมากเพียงนั้น หากนางไม่อาจเป็นฮ่องเต้ คนตายรายถัดไปก็คงเป็นนางเอง นางจึงได้แต่ให้ร้ายหลี่ไหวว่าคิดคด ลงโทษเนรเทศเขาแล้วสังหารระหว่างเดินทาง
ใช่นางจริงเสียด้วย เผยจี้อันกำนิ้วมือแน่นจนเป็นกำปั้น เส้นเลือดเขียวปูดโปนบนหลังมือ “ต้าเซิ่งฮ่องเต้สวรรคตกะทันหัน…ใช่เจ้าหรือไม่”
ต้าเซิ่งฮ่องเต้ก็คือเสด็จแม่อู่จ้าว หลี่เจาเกอยอมรับโดยไม่อิดเอื้อน “เป็นข้า”
ภายหลังข่าวการตายของหลี่ไหวแพร่มาถึงวังหลวง เสด็จแม่ก็กระอักเลือด อาการป่วยพลันทรุดหนักลง เดือนสิบเอ็ดหรือก็คือเดือนที่แล้วเสด็จแม่เรียกหลี่เจาเกอไปพบหน้าแท่นบรรทม ซักถามว่าเรื่องที่หลี่ไหวคิดคดเป็นมาอย่างไรกันแน่
หลี่เจาเกอยังจะทำเช่นไรได้ เดินมาจนถึงก้าวนี้นางสิ้นไร้ทางถอยแล้ว นางจึงได้แต่สังหารเสด็จแม่ ปลอมแปลงพระราชโองการ ตั้งให้ตนเองเป็นฮ่องเต้องค์ถัดไป
“สกุลเผยของข้ามีชื่อเสียงสุจริตมาร้อยปี สกุลท่านตาของข้าก็สร้างคุณูปการมาหลายชั่วคน แต่สุดท้ายลงเอยด้วยการถูกถอดยศ ริบตำแหน่ง บ้านแตกสาแหรกขาด…ใช่ฝีมือเจ้าหรือไม่”
“เป็นข้า”
สกุลท่านตาของเผยจี้อันคือสกุลจ่างซุน เป็นตระกูลใหญ่ลือเลื่องในอดีตเมืองหลวงฉางอัน ไม่เพียงเคยมีสตรีในตระกูลเป็นฮองเฮา สกุลจ่างซุนยังได้รับความสำคัญจากเหวินจงและเกาจงฮ่องเต้สององค์ก่อน ในเมื่อเสด็จแม่หมายจะแหวกเปิดม่านมุก ไม่อยู่หลังม่านก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้เสียเองก็มีแต่โค่นสกุลจ่างซุนทิ้ง ทว่าบิดาของเผยจี้อันไม่รู้จักขอบเขต ช่วยพูดจาแทนสกุลจ่างซุน จึงต้องโทษเฉกเช่นกัน หลี่เจาเกอพยายามรักษาชีวิตคนสกุลเผยจนสุดกำลังแล้ว หาไม่สกุลเผยตกอยู่ในเงื้อมมือขุนนางที่ใช้ทัณฑ์ทารุณอย่างโหดเหี้ยมกลุ่มนั้นมีหรือยังจะรอดตัวอย่างปลอดภัยได้
เผยจี้อันดวงตาแดงฉาน เบ้าตาแทบปริแตก คั่งแค้นจนอยากถลกหนังกัดกลืนสตรีที่อยู่เบื้องหน้าสายตาทั้งเป็น หลายปีมานี้ทุกครั้งที่เขานึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านตา ญาติผู้พี่สกุลจ่างซุน และคนสกุลเผยต้องประสบ เขาล้วนแค้นใจจนอยากจะปลิดชีพตนเองให้สาบสูญไปจากโลกใบนี้ชั่วกาล นี่ล้วนต้องโทษเขาผู้เดียวที่โดนถูกสตรีผู้นี้เพ่งเล็งจึงชักนำเภทภัยไม่สิ้นสุดมาสู่วงศ์ตระกูลและท่านตา
เผยจี้อันฝืนข่มตาหลับสุดกำลังหนึ่งหน ก่อนจะถามต่อ “ฉู่เยวี่ยถูกโจมตีจากตรอกสองข้างระหว่างทางเข้าวัง รถเสียหายคนสิ้นชื่อ ตอนนางหมดลมยังอุ้มท้องสามเดือน นี่ก็เป็นฝีมือเจ้าด้วย?”
ก่อนหน้านี้หลี่เจาเกอตอบด้วยแววตากระจ่าง น้ำเสียงหนักแน่น นางรู้ตัวว่าฆ่าคนและรู้ด้วยว่าหากนางไม่ฆ่าพวกเขาก่อน หลี่ไหว เสด็จแม่ และคนสกุลจ่างซุนก็จะต้องฆ่านาง นี่เป็นการต่อสู้ทางการเมืองทั้งสิ้น ผู้ใดพ่ายแพ้ผู้นั้นรับชะตา มีความยุติธรรมใดให้เรียกร้องเล่า ทว่าคำถามหนนี้หลี่เจาเกอกลับเงียบไป
เผยฉู่เยวี่ยคือน้องสาวของเผยจี้อัน คบหาสนิทสนมกับหลี่ฉังเล่อ นับได้ว่าเป็นสหายที่โตมาด้วยกัน ตอนหลี่เจาเกอออกคำสั่งสังหารเผยฉู่เยวี่ย นางไม่รู้เลยว่าเผยฉู่เยวี่ยตั้งครรภ์อยู่
แต่นั่นแล้วอย่างไรเล่า ฆ่าไปแล้วก็คือฆ่าไปแล้ว หลี่เจาเกอไม่ได้แก้ต่างให้ตนเอง ยังคงยอมรับอย่างเฉียบขาด “มิผิด เป็นข้า”
ถ้อยคำประโยคนี้เป็นดั่งฟางเส้นสุดท้ายกดทับจิตใจเผยจี้อันจนพังครืน เขาจ้องมองหลี่เจาเกออย่างปวดร้าวระคนชิงชัง “เพราะเหตุใดกันหลี่เจาเกอ เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วย หากเจ้าแค้นข้าก็มาลงที่ข้าให้เต็มที่ เหตุใดต้องทำร้ายคนในครอบครัวข้า เหยียบย่ำวงศ์ตระกูลข้า”
หลี่เจาเกอไม่อยากตอบคำถามจำพวกนี้ การสนทนาหนนี้หาความรื่นรมย์ไม่ได้เลยจริงๆ นางจึงหมุนตัวไปส่องคันฉ่องจัดแต่งแขนเสื้อของตนพลางกล่าว “ถึงฤกษ์ยามมงคลแล้ว เหล่าขุนนางยังคอยอยู่ด้านนอก ข้าจะต้องไปตำหนักหานหยวนก่อน คิดว่าท่านคงไม่อยากตามข้าไปร่วมพิธี เช่นนั้น…ราชบุตรเขยก็เชิญกลับเถิด”
หลี่เจาเกอหันแผ่นหลังให้เผยจี้อัน นางหารู้ไม่ว่าในดวงตาของเขาได้ฉายประกายแดงรางๆ ดูบ้าบิ่นผิดธรรมดา ไม่คล้ายคนปกติโดยสิ้นเชิง เผยจี้อันกอดความเพ้อฝันสุดท้ายอันริบหรี่ไว้พลางถาม “ฉังเล่อเล่า”
มือของหลี่เจาเกอที่จัดแต่งแขนเสื้ออยู่พลันชะงัก นางหลุบตาลงชั่วครู่แล้วลดแขนเสื้อลงช้าๆ ริมฝีปากหยักยิ้ม “ก็เป็นข้าเช่นกัน”
นางสังหารคนไปมากเพียงนั้น ทว่ามีแต่ตอนสังหารหลี่ฉังเล่อเท่านั้นที่นางรู้สึกสาสมใจ
ความเพ้อฝันริ้วใยสุดท้ายของเผยจี้อันดับสูญแล้ว ตอนเขาถามประโยคนี้ออกไป ถึงขั้นภาวนาว่าหลี่เจาเกอจะปฏิเสธ ต่อให้นางโป้ปดก็ไม่เป็นไร ทว่า…นางไม่ยี่หระแม้แต่จะหลอกเขา
สตรีผู้นี้โหดร้ายไร้น้ำใจถึงขั้นนี้
สันหลังที่ยืดตรงของเผยจี้อันทรุดลงในพริบตา เขาเซถอยหลังไปสองก้าว ถามอย่างคนใจสลาย “หลี่เจาเกอ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ นางเป็นแค่องค์หญิงไร้เดียงสาผู้หนึ่ง ไร้ทุกข์ไร้กังวลมาทั้งชีวิต แม้กระทั่งมดสักตัวยังหักใจเหยียบตายไม่ได้ นางไม่มีทางจะไปขัดแข้งขัดขาเจ้า เหตุใดเจ้าจึงต้องฆ่านาง”
หลี่เจาเกอได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ก็โกรธจนหัวเราะออกมา เหตุใดจึงต้องฆ่าหลี่ฉังเล่อน่ะหรือ เผยจี้อันยังอุตส่าห์มีหน้าเอ่ยคำพูดพรรค์นี้ออกมาจากปาก
หลี่เจาเกออดกลั้นกับหลี่ฉังเล่อมานานแล้ว แต่สุดท้ายเลือกลงมือเพราะข้อแรกมีปัจจัยทางการเมือง ข้อสองหลี่ฉังเล่อล้ำเส้นความอดทนของนางอย่างแท้จริง
เดือนเจ็ดปีนี้สถานการณ์อ่อนไหวจนถึงขั้นเสียงลมเสียงนกร้องก็ชวนระแวง ทุกวันล้วนมีขุนนางใหญ่หลายคนต้องโทษจำคุก ข้อหาที่ผ่านมือหลี่เจาเกอออกไปยิ่งมีมากจนไม่รู้ว่าเท่าไร ถึงกระนั้นนางยังคงนึกได้ว่าตนไม่ได้เจอเผยจี้อันมานานมากแล้ว ว่ากันถึงที่สุดเรื่องของสกุลเผยเป็นนางที่ผิดต่อเขา ดังนั้นนางจึงอยากอาศัยช่วงวันเกิดของเขากล่าวขออภัยและถือโอกาสปรับความสัมพันธ์สามีภรรยา
วันนั้นคือวันที่หกเดือนเจ็ด หลี่เจาเกอลาหยุดพิเศษหนึ่งวัน นางไปจวนสกุลเผยเงียบๆ หมายจะฉลองวันเกิดให้เขา เขาย้ายออกจากจวนองค์หญิงอันติ้ง แยกกันอยู่คนละที่กับนางตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน นางไปถึงก็มองเมินสายตาเป็นอริของบ่าวสกุลเผย ทำอาหารฉลองวันเกิดให้เขาด้วยมือตนเอง จากนั้นนั่งคอยอยู่ในห้องอย่างเบิกบานแช่มชื่น ทว่านางกลับคอยเก้อตลอดคืน อาหารเย็นชืด อุ่นร้อนแล้วเย็นชืดอีก เผยจี้อันก็ยังคงไม่กลับมา
หัวใจของหลี่เจาเกอพลอยเย็นชืดตามไปด้วย นางเทอาหารทั้งหมดทิ้ง เช้าวันรุ่งขึ้นแบกดวงตาที่อดนอนทั้งคืนกลับจวนองค์หญิงอันติ้ง สั่งให้คนไปสืบร่องรอยของเผยจี้อัน ทหารเฝ้าประตูเมืองรายงานมาว่าเช้าตรู่ของวันที่หกคุณชายเผยออกจากเมืองไปยังอารามซั่งชิงบนภูเขาจิ้งถิงเพื่อจะฉลองวันเกิดให้องค์หญิงก่วงหนิงหลี่ฉังเล่อ
หลี่ฉังเล่อเกิดวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด ห่างจากเผยจี้อันเพียงหนึ่งวัน ขณะหลี่เจาเกอคอยเก้ออยู่ในจวนสกุลเผยนั้น เผยจี้อันกำลังอยู่เป็นเพื่อนหลี่ฉังเล่อเฝ้ารอวันเกิดของนางมาถึง สายสืบยังรายงานว่าเมื่อเข้าสู่ยามจื่อ เผยจี้อันก็อวยพรหลี่ฉังเล่อเป็นคนแรก หลี่ฉังเล่อซาบซึ้งยิ่งยวด ประกอบกับคนทั้งสองต่างดื่มสุราจึงพากันล้มตัวขึ้นไปบนเตียง
หลี่เจาเกอถูกกระตุ้นโทสะถึงขีดสุด เผยจี้อันกล่าวว่าได้ยินคำเรียก ‘สวามี’ แล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน หารู้ไม่ว่ายามหลี่เจาเกอเห็นเผยจี้อัน ส่วนลึกในใจนางจะรู้สึกว่าสกปรกโสโครก ทันทีที่เห็นเขา นางจะนึกถึงภาพเขากลิ้งตลบอยู่บนเตียงกับหลี่ฉังเล่อ นั่นช่างน่าขยะแขยงจนนางแทบอาเจียนออกมา
หลังจากเหตุการณ์นั้นหลี่เจาเกอได้ชักใยคดีจ้าวอ๋องคิดคด หลี่ฉังเล่อถูกพัวพันเข้าสู่คดีนี้ ไม่กี่วันต่อมาหลี่ฉังเล่อก็ ‘ฆ่าตัวตายหนีความผิด’ ด้วยการผูกคอตนเองในอารามซั่งชิง
มาตอนนี้เผยจี้อันยังมีหน้าถามว่าเพราะเหตุใดนางจึงฆ่าหลี่ฉังเล่อ
หลี่เจาเกอมีความโกรธเกรี้ยวและผิดหวังมากมายอัดแน่นอยู่ในหัวใจ ทว่ายามนางเอ่ยปากกลับละทิ้งคำถามต่อว่าของเผยจี้อัน เพียงตอบผ่านๆ ว่า “ข้าอยากฆ่าก็เลยฆ่า”
ข้าอยากฆ่าก็เลยฆ่า
คำตอบประโยคนี้ทำให้เผยจี้อันสติขาดผึงโดยสมบูรณ์ เขาชักกระบี่กระโจนเข้าจู่โจมหลี่เจาเกอในทันใด หลี่เจาเกอเพียงเบี่ยงกายหลบอย่างไม่รีบไม่ร้อน แล้วใช้สองนิ้วหนีบตัวกระบี่ของเขาไว้
นางไม่เคลื่อนขยับสักก้าว ระย้าลูกปัดมุกเหนือศีรษะเพียงแกว่งไกวเบาๆ ครั้นออกแรงนิ้วมือเพียงนิดเผยจี้อันก็ถูกผลักออกไปทั้งคนทั้งกระบี่ เขาถอยโซเซไปถึงกลางโถง นางก้มมองเขาอย่างอ่อนใจระคนเวทนา “ข้าฝึกวิชาบรรลุขอบขั้นเลิศล้ำแล้ว คนกับอาวุธผสานเป็นหนึ่งเดียว เรือนกายผิวผมล้วนฟันแทงไม่เข้า บนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดทำอันตรายข้าได้อีก เผยจี้อัน ท่านไม่มีปัญญาฆ่าข้าได้หรอก”
เผยจี้อันยกมือปาดรอยเลือดที่มุมปาก เขาย่อมรู้ว่าสตรีผู้นี้เติบโตท่ามกลางสามัญชน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงฝึกวิชาอันล้ำลึกถึงขั้นเหาะเหินเดินกำแพงสยบภูตผีปีศาจได้ ก็เพราะนางมีวรยุทธ์ไร้ผู้ต่อกรนี่เอง ฮ่องเต้หญิงองค์ก่อนจึงให้นางรับตำแหน่งสำคัญ กองงานปราบปีศาจขยายอำนาจได้ก็ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ หลายปีที่ผ่านมานางล่วงเกินคนไปมากมาย ไม่รู้มีคนตั้งเท่าไรจ้างมือสังหารมาเอาชีวิตนาง น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะเป็นมือสังหารเรืองนามสักเพียงใดก็ล้วนไม่มีใครรอดชีวิตกลับไปแม้สักคน มิหนำซ้ำไม่ทันไรผู้จ้างวานยังถูกนางกระหน่ำเอาคืนอีกด้วย
กองงานปราบปีศาจหยุดเสียงร้องโยเยกลางดึกของเด็กน้อยได้ สาเหตุเกือบทั้งหมดเป็นเพราะหลี่เจาเกอ ในราชสำนักยามผู้คนเอ่ยถึงนางก็เช่นกัน มีใครบ้างไม่โกรธจนเข่นเขี้ยว ทว่าก็กลัวเกรงนางกันไม่หาย
แม้แต่เผยจี้อันเองก็ทำไม่สำเร็จ เขาใช้กระบี่โจมตีนาง ผลคือนางไม่สึกหรอสักนิดเดียว แต่เขากลับถูกปราณแท้อันกล้าแข็งของนางกระแทกจนอวัยวะภายในตีกลับ เส้นลมปราณปวดแปลบสาหัส
หลี่เจาเกอผ่านการสนทนาที่ไม่รื่นรมย์อย่างยิ่ง ต่อด้วยยับยั้งราชบุตรเขยที่คิดจะฆ่านางไม่รู้เป็นหนที่เท่าไรแล้ว ในใจนางเหนื่อยล้าถึงขีดสุด ทั้งที่วันนี้เป็นวันฤกษ์ดีที่นางจะได้ขึ้นครองราชย์
เนื่องจากเมื่อครู่ลงไม้ลงมือ เครื่องแต่งกายของหลี่เจาเกอจึงยุ่งเหยิงอีกครา นางหมุนตัวไปหาคันฉ่อง จัดแต่งหยกพกของตนพลางเอ่ยกับเผยจี้อันอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านกลับไปเสียตอนนี้ ข้าจะทำเสมือนเรื่องในวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ท่านจะยังคงนั่งตำแหน่งสวามีของข้าอย่างมั่นคง ท่านเชื่อคำข้า คนที่เหลือในสกุลเผยกับสกุลจ่างซุนจึงจะอยู่รอดต่อได้”
เผยจี้อันกลืนน้ำลายปนเลือดในปากลงไปก่อนหัวเราะประชด เขาในสายตาของนางคือสิ่งใดกันแน่ คือนกน้อยในกรงทองที่ไร้ศักดิ์ศรีไร้ความคิดอ่านตัวหนึ่งกระนั้นหรือ เขารู้ว่าในราชสำนักไม่ขาดแคลนผู้อยากเสนอตัวรับใช้ข้างหมอนนาง หลี่เจาเกอจัดเป็นสตรีชั้นยอดไม่ว่าจะด้านรูปโฉมหรืออำนาจที่มี ทว่านางไม่เคยเหลือบแลบุรุษอื่นแม้แต่หางตา นานวันเข้าผู้คนเบื้องล่างจึงไม่กล้าคิดหวังอีก ใครๆ ล้วนอิจฉาเผยจี้อันว่ามีวาสนาด้านนารีมิใช่เบา ต่างจากเผยจี้อันที่แสนอยากให้หลี่เจาเกอเลี้ยงดูชายบำเรอ อาวรณ์อยู่ในดงบุปผานั้นไปเสีย
วาสนาด้านนารีเช่นนี้เขาเผยจี้อันเสพรับไม่ไหวหรอก
ยามนี้หลี่เจาเกอหันแผ่นหลังให้เผยจี้อันโดยไม่มีหลบเลี่ยง เพราะในความรับรู้ของนาง…ในใต้หล้านี้นอกจากตาเฒ่าโจวแล้วก็ไม่มีใครทำอันตรายนางได้อีก แต่นางลืมไปว่าหากในใต้หล้านี้ไม่สามารถ เช่นนั้นบนสวรรค์เล่า
เผยจี้อันลูบนิ้วมือบนคมกระบี่แล้วลากผ่านแรงๆ โลหิตสดๆ ไหลพรากอาบกระบี่นามธาราเร้น สิ่งที่พิกลยิ่งกว่าการกระทำของเขาคือกระบี่ที่ดูธรรมดาเล่มนี้กลับดูดซับเลือดเข้าไปโดยไม่ตกหล่นแม้หยดเดียว
ครั้นกระบี่ธาราเร้นได้ดื่มเลือดจนอิ่มหนำ รัศมีสีแดงก็พลันฉายวาบ หลี่เจาเกอสัมผัสได้ว่าเบื้องหลังมีไอพิฆาตอันรุนแรงขุมหนึ่งจู่โจมมา ระดับพลังนี้เหนือชั้นเกินกว่าคนสามัญจะบรรลุถึง! หลี่เจาเกอตื่นตระหนก หันขวับมาต้านรับด้วยพลังทั้งหมดทันใด แต่น่าเสียดายที่ยังคงสายเกินการณ์
หนึ่งกระบี่ทะลวงผ่านหัวใจ คมกระบี่เย็นเฉียบปานน้ำแข็งแทงผ่านชุดพิธีการอันงามหรูเข้าสู่ร่างกายอันอบอุ่นของหลี่เจาเกอ นางไม่คำนึงถึงความเจ็บปวด ยื่นมือกุมกระบี่ไว้ จรดจ้องเผยจี้อันอย่างดื้อรั้น “ท่านอยากฆ่าข้าเพียงนี้เชียว สังเวยตนเซ่นกระบี่ก็ไม่เสียดาย?”
หลี่เจาเกอคุมกองงานปราบปีศาจมาหลายปี เรื่องเหนือธรรมชาติเคยพบเจอมาไม่รู้ตั้งเท่าไร นางมีหรือจะมองไม่ออกว่านี่เป็นกระบี่ดุร้ายเล่มหนึ่ง เจ้าของกระบี่น่าจะก่อกรรมเข่นฆ่ามามากเสียจนพลังเหี้ยมเกรียมบนตัวกระบี่เพียงพอจะกรีดทำลายเกราะปราณคุ้มกายนางซึ่งบรรลุถึงระดับครึ่งเซียนแล้ว กระบี่เช่นนี้ใช่ว่าจะใช้งานกันส่งเดชได้
เผยจี้อันถึงขั้นปลุกเร้ากระบี่ดุร้ายนี้ สิ่งที่นางคาดไม่ถึงยิ่งกว่าคือเขาไม่เสียดายที่จะเซ่นกระบี่ด้วยเลือดของตนเอง เมื่อใดที่กระบี่ดุร้ายเกิดหลุดจากการควบคุม หากไม่สูบเลือดของผู้ปลุกเร้ามันจนสิ้น มันจะไม่ยอมเลิกราเป็นอันขาด
เผยจี้อันเตรียมการเพื่อวันนี้มานานยิ่ง ก่อนหน้าจะมาที่นี่เขาพิจารณาถึงความเป็นไปได้ไว้ทุกรูปแบบ ทว่าเมื่อเขาทำสำเร็จถึงก้าวนี้ สามารถแทงกระบี่เข้าสู่ช่องอกของหลี่เจาเกอได้จริง ในหัวใจเขากลับท่วมท้นด้วยความอ้างว้างว่างเปล่า
เขาสังหารนางแล้วจริงๆ เขาจะหลุดพ้นจากนางแล้วจริงๆ
ดวงตาเผยจี้อันจ้องนางจนแทบไม่อาจกะพริบ เขาพบว่าทั่วร่างหมดสิ้นความรู้สึก มือของเขากุมอยู่บนด้ามกระบี่ ทั้งที่ควรจะฉวยจังหวะนี้แทงย้ำให้ลึก ทว่าเนิ่นนานผ่านไปเขากลับออกแรงไม่ได้อยู่นั่นเอง “ขออภัยด้วย ชาติหน้า…เจ้าได้โปรดอย่ารักข้าอีกเลย”
หลี่เจาเกอมองเผยจี้อันก่อนจะพลันหัวเราะอย่างไม่อาจระงับตนเอง นางกับเขาเป็นสามีภรรยามาหกปี ตอนท้ายสุดเขากลับพูดว่าได้โปรดอย่ารักเขาอีก การแต่งงานนี้นำความขื่นขมมากมายมาให้เผยจี้อัน แล้วสำหรับหลี่เจาเกอเล่าไม่ใช่หรือไร
จู่ๆ หลี่เจาเกอก็ซัดหนึ่งฝ่ามือโจมตีใส่เผยจี้อันโดยปราศจากเค้าลาง เส้นลมปราณหัวใจนางฉีกขาดอย่างไรก็ไม่อาจอยู่รอด ทว่า…ไม่มีเหตุผลใดจะให้ผู้ที่สังหารนางมีชีวิตอยู่ดีต่อไปอีก ในชีวิตนี้นางแทบไม่เคยทำสิ่งดีงามสักกี่เรื่อง เว้นก็แต่มีคุณทดแทนคุณ มีแค้นชำระแค้น นางไม่เคยบกพร่องต่อผู้มีพระคุณและก็ไม่เคยละเว้นศัตรู
ต่อให้นางชมชอบเขาแล้วอย่างไรเล่า นางตาย เผยจี้อันก็อย่าคิดหมายจะมีชีวิตรอด
อูฐผอมตายยังตัวใหญ่กว่าม้า ต่อให้นางกำลังจะตาย หนึ่งฝ่ามือของนางก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะรับไหว ระยะใกล้เช่นนี้เขาไม่มีทางหลบได้เป็นอันขาด และในความเป็นจริงเขาก็ไม่ได้หลบแต่อย่างใด
เผยจี้อันถูกหนึ่งฝ่ามือซัดกระทบปอดกระเทือนหัวใจ อวัยวะภายในพลันแหลกลาญ กระดูกอกหักสะบั้น เขาพ่นโลหิตสดๆ คำหนึ่งออกมา ร่างถูกซัดปลิวไปหลายจั้ง ดังพลั่ก ก่อนร่วงกระแทกพื้นอย่างหนักหน่วง ปากแผลของหลี่เจาเกอถูกกระเทือนไปด้วย นางกุมด้ามกระบี่ที่มีเลือดไหลชุ่มและล้มลงกับพื้นช้าๆ
ในชีวิตนี้ของนาง…วัยเด็กพลัดพรากจากครอบครัว วัยแรกรุ่นถูกตาเฒ่าโจวทอดทิ้ง ต่อมาอุตส่าห์ตามหาครอบครัวจนพบ กลับกลายเป็นว่าการคงอยู่ของนางเป็นที่ชิงชังของทุกคน ต่อมาอีกนางสังหารน้องชาย สังหารน้องสาว สังหารมารดา สังหารท่านตาของสามี สังหารน้องสาวของสามี เป็นเหตุให้มารดาสามีโกรธจนล้มป่วย ท่านย่าสามีโกรธจนถึงแก่กรรม นางได้ครองราชย์เป็นฮ่องเต้ ทว่ากลับไม่เหลืออันใดสักอย่าง
สุดท้าย…นางยังถูกสามีของตนเองฆ่าตาย
ทุกสิ่งทั้งปวงเป็นการเลือกของหลี่เจาเกอ นางไม่เสียใจภายหลัง ทว่าหากได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งนางก็ไม่ปรารถนาจะเดินเส้นทางสายนี้อีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…นางไม่ต้องการจะชมชอบเผยจี้อันอีกแล้ว
บทที่ 2 เผชิญด่านเคราะห์
เมฆหมอกกระหวัดม้วน เสียงเสนาะเวียนวน เหนือม่านเมฆเก้าชั้นปรากฏประตูสวรรค์ทักษิณ ตั้งตระหง่านสงบนิ่ง เบื้องหลังมีหมู่ตำหนักเรืองประกายทองอร่ามแลดูศักดิ์สิทธิ์ภูมิฐานกระจายตัวสลับกัน เซียนหญิงเหาะเหินอยู่ท่ามกลางทางระเบียงอันลดเลี้ยว สัตว์มงคลวิหคมงคลตัดผ่านเป็นระยะ วาดแสงเงินแสงทองเป็นเส้นยาวๆ หนึ่งสายกลางชั้นเมฆ
ณ กึ่งกลางทิศเหนือของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า วังอวี้ซวีตั้งอยู่บนขั้นบันไดอันสูงลิบ ครองตำแหน่งสูงอย่างทระนง สงบเงียบน่ายำเกรง เซียนชั้นผู้น้อยที่เข้าเวรอยู่แลเห็นวังอวี้ซวีล้วนเปลี่ยนเส้นทางกันตั้งแต่ไกล ไม่กล้าเฉียดใกล้แม้สักนิด
ภายในวังอวี้ซวี เซียนหญิงชุดแดงผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น สภาพอับจนยิ่ง ด้านข้างของเซียนหญิงยังมีชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่ ดูท่าทางเป็นเพียงมนุษย์สามัญ เขาคุกเข่าบนพื้นอิฐหยกที่วาวใสปานคันฉ่องในวังอวี้ซวีด้วยใบหน้าอันขาวซีด ลมหายใจโหยแผ่ว ถูกไอหนาวแช่เย็นจนร่างสั่นสะท้านเป็นพักๆ
บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเหน็บหนาวเป็นทุนเดิม ซ้ำวังอวี้ซวียังอยู่จุดสูงสุดของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ย่อมจะยิ่งสูงยิ่งหนาว
เซียนหญิงชุดแดงมองดูชายหนุ่มข้างกาย ดวงตาของนางฉายความเศร้าสลด “ท่านพี่หยาง”
กระทั่งในเวลาเช่นนี้ชายหนุ่มนามหยางหวาก็ยังคงพยายามปลอบโยนภรรยาที่เขารักดั่งดวงใจ “หมู่ตาน อย่ากลัวไปเลย ไม่ว่าจะเป็นหรือตายพวกเราก็จะอยู่ด้วยกัน”
หยาดน้ำใสรื้นอยู่ในดวงตาของหมู่ตาน นางกำลังจะเอ่ยวาจา เบื้องบนของวังอวี้ซวีก็พลันมีพลังคุกคามขุมหนึ่งแผ่ลงมา ไอหนาวอันไร้รูปกวาดผ่านมาถึง พาให้เมฆหมอกของสวรรค์เก้าชั้นฟ้าพลิกตลบเป็นชั้นๆ ดุจเกลียวคลื่นในทันที
ประกายอันเจิดจ้าเย็นยะเยือกสาดมาจากบนแท่นสูง แยงตาจนแทบจะเบิกไม่ขึ้น หมู่ตานต้องโคจรพลังวัตรทั้งหมดจึงจะต้านทานไอหนาวอันแสนเข้มข้นและแสนรุนแรงจากแท่นสูงนั้นได้
หมู่ตานอาจฝืนต้านทาน ทว่าหยางหวาไม่ไหวแล้ว ขนคิ้วกับปลายผมของเขาพลันปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็ง ริมฝีปากแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงอมเขียว หมู่ตานร้องเรียกเขาหนึ่งหนขณะหัวใจดิ่งฮวบ
ช่างสมเป็นองค์เทพเหนือเทพ ผู้ครองตำแหน่งเป่ยเฉินเทียนจุน ประจำฟ้าอุดร หัวหน้าแห่งหมู่เซียนที่ควบคุมการลงทัณฑ์ในราชสำนักสวรรค์ แค่สัมผัสพลังของเขา หมู่ตานก็ยากจะประคองตัวแล้ว หากลงไม้ลงมือกันจริงๆ แม้แต่กระบวนท่าเดียวของเป่ยเฉินเทียนจุนนางก็คงต้านไม่ไหวเลยกระมัง
อย่าว่าแต่นางเลย ทอดตาไปทั่วราชสำนักสวรรค์ ผู้ที่ประมือกับเป่ยเฉินเทียนจุนแค่งอนิ้วมือก็นับได้ถ้วน และในจำนวนนี้ผู้ที่เอาชนะเขาได้เกรงว่าคงไม่มี
หมู่ตานนึกถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกชั่วครู่ จิตใจก็หนักอึ้งเป็นเท่าทวี ไม่รอให้นางคิดเสร็จว่าจะทำเช่นไร เสียงอันกังวานลี้ลับยากจับต้องก็ดังมาจากแท่นบัญชาเซียนอันสูงลิ่ว “เซียนหมู่ตาน เจ้าลักลอบลงไปแดนมนุษย์ ฝ่าฝืนกฎสวรรค์ใช้ชีวิตเป็นสามีภรรยากับมนุษย์ เจ้ารู้ผิดหรือไม่”
หมู่ตานคอตกอย่างไร้แรง ขานตอบเสียงฝืดเฝื่อน “ข้าน้อยรู้ผิดเจ้าค่ะ”
“ลอบมีสัมพันธ์ฉันบุรุษสตรีกับมนุษย์เป็นความผิดอุกฉกรรจ์ เจ้ามีความลำบากใจอันใดหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ” เซียนหมู่ตานเพ่งมองเงาสะท้อนบนแผ่นอิฐปูพื้นพลางขานตอบเสียงอ่อย นางรู้ว่าเป่ยเฉินเทียนจุนไม่เคยไว้หน้าใครเที่ยงธรรมเป็นที่สุด นางถูกเขาไต่สวนด้วยตนเอง วันนี้คงไม่มีวิธีจบลงด้วยดีแล้ว ในห้วงเวลาสุดท้ายของชีวิตจึงออกแรงหันไปมองหยางหวา น้ำตาคลอหน่วยเอ่ยปนสะอื้น “ทว่า…ข้าน้อยไม่เสียใจภายหลัง วันเวลาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าปีแล้วปีเล่าไร้ความแปรเปลี่ยนใดๆ ไหนเลยจะเหมือนมนุษย์ปุถุชนที่ได้รักอย่างสุดจิตสุดใจสักครา ต่อให้สูญสิ้นพลังเซียนก็คุ้มค่า ข้าน้อยรู้ตัวว่าละเมิดกฎสวรรค์ ไม่มีถ้อยคำจะแก้ต่าง เต็มใจรับโทษทัณฑ์ แต่การได้เป็นสามีภรรยากับท่านพี่หยาง ตราบจนชั่วกาลข้าน้อยก็จะไม่เสียใจภายหลัง”
“ดี” บุรุษบนแท่นสูงผงกศีรษะนิดๆ ก่อนกล่าว “มีสติแจ่มใส มิใช่ถูกผู้อื่นเสี้ยมสอนล่อลวง ทั้งไม่มีความคิดจะกลับตัวกลับใจแม้แต่น้อย ตามกฎสวรรค์พึงเพิ่มโทษอีกหนึ่งขั้น”
หมู่ตานฟังคำวินิจฉัยแต่ละข้อ ใบหน้าก็เผือดขาวลงทีละส่วน สุดท้ายไม่เหลือสีเลือดแม้เศษเสี้ยว นางหมายจะคลานเข่าขึ้นหน้าไปวอนขอความเมตตา ทว่าสองมือของนางถูกมัดไพล่หลัง เพียงขยับตัวเล็กน้อยก็เสียหลักล้มอย่างอนาถบนอิฐหยกอันเย็นเฉียบแข็งแกร่ง หมู่ตานไม่สนใจแขนที่กระแทกเจ็บ เงยหน้ามองบุรุษเบื้องบนด้วยสายตาวิงวอน “เป่ยเฉินเทียนจุน ข้าน้อยรู้ตัวว่ากระทำผิดไม่อาจอภัย มิกล้าขอร้องให้เทียนจุนละเว้น เพียงขอร้องให้เทียนจุนเห็นแก่ที่ข้าน้อยรับใช้ราชสำนักสวรรค์มาพันปี ช่วงเวลาที่มวลบุปผาออกดอกไม่เคยล่าช้าแม้สักครั้ง ได้โปรดไว้ชีวิตท่านพี่หยางด้วยเถิด!”
หยางหวาแม้ไม่เข้าใจว่ากฎสวรรค์เป็นเช่นไร ทว่าเห็นสีหน้าของหมู่ตานแล้ว มีหรือจะไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของ ‘การเพิ่มโทษอีกหนึ่งขั้น’ ต้องร้ายแรงยิ่ง เขาถูกเชือกมัดขาดอิสรภาพ ถึงกระนั้นก็ยังคลานไปเบื้องหน้าอย่างยากลำบากเพื่อเอ่ยขอความเมตตา “หมู่ตานเป็นผู้บริสุทธิ์ ล้วนโทษข้าแต่ผู้เดียว ข้าขโมยเสื้อผ้าของหมู่ตานไป ทำให้นางไม่อาจกลับสวรรค์ เป็นข้าที่หลอกล่อให้นางรั้งอยู่บนโลกมนุษย์จนตกเป็นภรรยาของข้า หากเทียนจุนจะลงโทษก็ลงโทษข้าแล้วกัน อย่าตำหนิหมู่ตานเลย!”
ฉินเค่อผู้รั้งตำแหน่งเป่ยเฉินเทียนจุนมองคนเบื้องล่างอย่างสงบ นับพันปีที่ผ่านมาเขาได้ยินถ้อยคำจำพวกนี้ไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้ว โทษทัณฑ์ที่ราชสำนักสวรรค์ใช้กับผู้มีใจฝักใฝ่ปุถุชนแม้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทว่าผู้ฝ่าฝืนทั้งที่รู้อยู่แก่ใจกลับยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง นี่เป็นการตัดสินเซียนรายที่ห้าที่ลักลอบใช้ชีวิตฉันสามีภรรยากับมนุษย์ รายก่อนๆ ยังกล่าวได้ว่าเลอะเลือน ไม่รู้ความ ด้อยประสบการณ์ แต่เซียนหมู่ตานดูแลร้อยบุปผามาพันปีไม่เคยผิดพลาด นางถึงกับกระทำผิดข้อหานี้เช่นกัน ทำให้ฉินเค่อยากจะเข้าใจจริงๆ
จริงอยู่ความรักของหมู่ตานกับหยางหวาแกร่งยิ่งกว่าทองคำ ในห้วงวิกฤตต่างยังคิดจะปกป้องอีกฝ่าย ทว่านี่เกี่ยวอันใดกับฉินเค่อเล่า
ฉินเค่อกล่าวพิพากษาด้วยเสียงเปี่ยมหลักการ “เซียนหมู่ตานกระทำผิดทั้งที่รู้ชัดแจ้ง ลอบมีใจฝักใฝ่ปุถุชน ตามกฎต้องเราะกระดูกเซียน ทำลายพลังวัตร ริบตำแหน่งหัวหน้าแห่งร้อยบุปผา ถอดชื่อออกจากสมุดรายนามบุปผชาติ ลงไปเวียนว่ายในสังสารวัฏ รับความทุกข์จากการเวียนว่ายเป็นเวลาหกชาติภพ หยางหวาหลอกล่อเซียนหญิงแห่งราชสำนักสวรรค์ ต้องโทษประหาร ผนึกดวงวิญญาณให้เวียนว่ายแต่ในเดรัจฉานภูมิ ไม่ได้รับนิรโทษไปชั่วกัลป์”
หมู่ตานฟังจบม่านตาก็ขยายกว้าง พร่ำอ้อนวอนโดยไม่สนใจสภาพอันทุลักทุเล “เป่ยเฉินเทียนจุน ท่านจะลงโทษก็มาลงโทษข้าน้อย ไม่เกี่ยวกับท่านพี่หยางเลย! เป็นข้าน้อยที่ลอบลงไปแดนมนุษย์ เป็นข้าน้อยที่ไม่เคร่งครัดในกฎระเบียบ หากจะส่งไปเวียนว่ายในเดรัจฉานภูมิก็ส่งข้าน้อยไปเถิด ท่านพี่หยางเป็นผู้บริสุทธิ์นะเจ้าคะ!”
หมู่ตานวอนขออย่างรวดร้าวเสียงแล้วเสียงเล่า ทว่าฉินเค่อล้วนไม่หวั่นไหว ในแววตาไร้สุขไร้เศร้า “จงดำเนินการทันที”
ทหารสวรรค์รีบก้าวเข้ามาคุมตัวหยางหวาเพื่อนำไปทิ้งลงเดรัจฉานภูมิ เซียนหมู่ตานเพียรขอร้องทว่าไร้ผล ครั้นเห็นคนรักจะถูกทหารสวรรค์พาตัวไป นางก็ตวาดก้อง พลันออกแรงจนดิ้นหลุดจากเชือกพันธนาการเซียน เผยอาวุธวิเศษประจำกายแล้วโจมตีไปยังทหารสวรรค์
ถึงอย่างไรหมู่ตานก็เป็นหัวหน้าแห่งร้อยบุปผา พลังวัตรไม่อาจดูเบา ทว่าการโจมตีที่นางทุ่มสุดแรงนี้เพิ่งจะไปถึงกลางทางก็พลันถูกไอหนาวยะเยือกขุมหนึ่งรัดพันไว้ สุดที่นางจะไปถึงข้างกายหยางหวาได้ นางร่วงตกจากกลางอากาศดังปึง ยิ่งนางดิ้นรนไอหนาวกลับยิ่งรัดแน่น หยางหวาเห็นเช่นนั้นเบ้าตาก็แทบจะปริแตก “หมู่ตาน…”
“ท่านพี่หยาง…”
หมู่ตานน้ำตานองหน้า ได้แต่เบิกตามองคนรักถูกทหารสวรรค์พาตัวไป นับแต่นี้ทุกชาติทุกภพล้วนต้องเกิดเป็นเดรัจฉาน ถูกเชือดฆ่า ถูกใช้แรงงาน ไม่อาจหลุดพ้นจนชั่วกัลป์ หมู่ตานทรุดฮวบ พลันแหงนหน้ากู่ร้องต่อฟ้าก่อนเอ่ยเสียงรันทด “ข้าเพียงแต่รักคนผู้หนึ่งเท่านั้น ข้าทำผิดอันใดกันแน่”
ได้เวลาแล้ว ฉินเค่อยกมือเบาๆ ก็มีคนก้าวเข้ามาคุมตัวหมู่ตานไปรับโทษโดยไม่ชักช้า นางถูกลากพาออกไปจากวังอวี้ซวี ก่อนจากนางดิ้นรนตลอดทางอย่างไม่อาจทำใจรับได้ ดวงตาทั้งคู่จ้องฉินเค่อเขม็งพลางเอ่ยเสียงแหลมสูงตรมตรอม “ฉินเทียนจุน ท่านไร้ไมตรีไร้ปรารถนา ไร้ใจไร้รัก ข้าขอสาปแช่งให้วันหน้าท่านรักทว่าไม่อาจได้มา ต้องมองดูคนที่รักลาจากท่านไปกับตา ทนทุกข์ในสังสารวัฏชั่วชีวิตเฉกเช่นกัน!”
เสียงของหมู่ตานโหยหวนบาดหู ทหารสวรรค์ผู้ดำเนินการตามกฎล้วนรู้สึกพรั่นพรึงจนสั่นเทาไปทั้งร่าง ผิดกับฉินเค่อที่ตั้งแต่ต้นจนจบมองหมู่ตานอย่างเรียบเฉย มองส่งนางจากไปเช่นนั้นโดยไร้ซึ่งอารมณ์แม้น้อยนิด
เนิ่นนานภายหลังหมู่ตานจากไป เสียงอันแหลมคมของนางคล้ายยังคงสะท้อนก้องอยู่ในวังอวี้ซวี เซียนชั้นผู้น้อยที่มาถ่ายทอดคำพูดตื่นกลัวจนไม่กล้าระบายลมหายใจแรง เขาเดินกล้าๆ กลัวๆ เข้ามาในวังอวี้ซวี ตัวลีบอยู่ข้างประตูขณะเอ่ยเสียงเบา “เป่ยเฉินเทียนจุนขอรับ หนานจี๋เทียนจุนขอเรียนเชิญ”
สวรรค์เก้าชั้นฟ้ามีราชสำนักสวรรค์คอยดูแลงานทั้งปวงบนผืนฟ้า ทุกคนเมื่อบรรลุเป็นเซียนแล้ว ขั้นตอนแรกจะต้องมารายงานตัวและลงชื่อที่ราชสำนักสวรรค์ รอรับตำแหน่งที่ว่างลงแล้วไปทำหน้าที่ในความรับผิดชอบของแต่ละคน ทว่าเมื่อปราณวิเศษในแดนมนุษย์ลดน้อยลงทุกขณะ มนุษย์ที่บรรลุเป็นเซียนได้ก็พลอยมีน้อยแสนน้อย เส้นทางสู่สวรรค์จึงแทบจะขาดสะบั้นไปแล้ว
บนแดนสวรรค์ยกให้ราชสำนักสวรรค์มีศักดิ์สูงสุด ส่วนราชสำนักสวรรค์ยกให้เทียนจุนทั้งสี่มีศักดิ์สูงสุด
เทียนจุนทั้งสี่ยึดตามจตุรทิศมีดังนี้ ฉินเค่อครองตำแหน่งเป่ยเฉินเทียนจุนแห่งฟ้าอุดร เซียวหลิงครองตำแหน่งหนานจี๋เทียนจุนแห่งฟ้าทักษิณ จวินฉงครองตำแหน่งตงหยางเทียนจุนแห่งฟ้าบูรพา เสวียนโม่ครองตำแหน่งซีขุยเทียนจุนแห่งฟ้าประจิม โดยนับเป่ยเฉินเทียนจุนฉินเค่อผู้ดูแลการพิพากษาลงทัณฑ์เป็นหัวหน้าของเทียนจุนทั้งสี่ หนานจี๋เทียนจุนเซียวหลิงสามารถทำนายอนาคตจากคันฉ่องวิเศษ ฐานะจึงเป็นรองเพียงฉินเค่อ
ฉินเค่อมาถึงวังซานชิงของเซียวหลิง แขนเสื้อยาวเพิ่งจะเหยียดออกก็เอ่ยตรงเข้าประเด็นหลักโดยไม่มีโอภาปราศรัย “เซียวเทียนจุน ท่านเรียกหาข้าด้วยเรื่องใด”
เซียวหลิงจนใจอยู่บ้าง สองคนร่วมงานกันมาพันปีแล้ว เขาเองเห็นว่าความร่วมมือที่ผ่านมาน่าพึงพอใจ เพียงแต่ฉินเค่อพบเจอเขาทีไรมักทำห่างเหินเฉยเมยเช่นนี้เป็นประจำ เขาจึงลองยิ้มเย้า “ฉินเทียนจุน ออกจากโถงศาลแล้วผ่อนคลายสักนิดก็ได้กระมัง ท่านทำตัวเช่นนี้ไม่คล้ายพูดคุยกับสหาย กลับคล้ายสอบสวนนักโทษอยู่”
ฉินเค่อนั่งลงตรงข้ามกับเซียวหลิงก่อนถาม “คันฉ่องซวีหมี คงมีความเคลื่อนไหวแล้ว”
เซียวหลิงเลิกคิ้ว เขาถอดใจที่จะคุยกระชับความสัมพันธ์กับฉินเค่อจึงหุบรอยยิ้มบนใบหน้า รีบเอ่ยเข้าประเด็นหลัก “ใช่ ซีขุยเทียนจุนกักตนมาหนึ่งร้อยปี วันนี้คันฉ่องซวีหมีตรวจสามพันโลกธาตุ และพบการเปลี่ยนแปลงที่ตำแหน่งประจิม ข้าเสี่ยงทายให้ซีขุยเทียนจุนดูแล้ว หนนี้เกรงว่าเขาจะฟันฝ่าไปไม่พ้น”
ฉินเค่อฟังแล้วขมวดคิ้ว พวกเขาทั้งสี่แม้เป็นเทียนจุนเช่นเดียวกัน ทว่าอำนาจหน้าที่และภารกิจต่างกันโดยสิ้นเชิง เป่ยเฉินเทียนจุนแห่งฟ้าอุดรดูแลการพิพากษาลงทัณฑ์ หนานจี๋เทียนจุนแห่งฟ้าทักษิณทำนายอนาคต ตงหยางเทียนจุนแห่งฟ้าบูรพาดูแลด้านกสิกรรม ส่วนซีขุยเทียนจุนแห่งฟ้าประจิมควบคุมการเข่นฆ่า
หน้าที่กับนามยกย่องของเทียนจุนทั้งสี่ทิศนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ผู้ที่นั่งครองตำแหน่งเทียนจุนกลับเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง เนื่องด้วยซีขุยเทียนจุนควบคุมการเข่นฆ่ามักถูกพลังความชั่วร้ายจากการฆ่าล้างทั่วหล้ารุกราน แต่ไรมาจึงธาตุไฟเข้าแทรกได้ง่าย เสวียนโม่นั่งตำแหน่งซีขุยเทียนจุนมาสองพันปี นับว่ายืนหยัดได้ยาวนานที่สุดในบรรดาซีขุยเทียนจุนรุ่นก่อนๆ ทว่าบัดนี้เขาก็ไม่ไหวแล้วเช่นกัน
ฟ้าดินแบ่งออกเป็นสี่ขั้วทิศ ทุกทิศต้องมีผู้รักษาการณ์ ไม่เช่นนั้นจะเกิดฟ้าลาดดินเอียง ขุนเขาถล่มน้ำสมุทรทะลัก นำมาซึ่งความปั่นป่วนครั้งใหญ่ หากเสวียนโม่ฝ่าเคราะห์นี้ไปไม่พ้น การหาตัวเลือกซีขุยเทียนจุนรุ่นถัดไปก็เร่งด่วนคับขันยิ่ง
ฉินเค่อถาม “คันฉ่องซวีหมีมีคำชี้แนะอื่นหรือไม่”
เซียวหลิงส่ายศีรษะ “ไม่มี แต่ทิศประจิมไอสังหารเข้มข้น ในราชสำนักสวรรค์ผู้ที่กดข่มไอสังหารทั่วหล้าได้ไหวก็มีอยู่แค่ไม่กี่คนนั้น ไม่จำเป็นต้องให้คันฉ่องซวีหมีชี้แนะหรอก เดิมทีเทพดาราไท่ไป๋ เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่น่าเสียดายเขาหายสาบสูญไปเสียแล้ว”
ดาวไท่ไป๋ควบคุมการศึก เทพดาราไท่ไป๋โจวฉางเกิงขึ้นชื่อว่าเป็น ‘มารคลั่งยุทธ์’ ประจำราชสำนักสวรรค์ ว่ากันว่าก่อนโจวฉางเกิงจะสำเร็จเป็นเซียน เขาเป็นชาวยุทธ์ยอดฝีมือผู้หนึ่งในแดนมนุษย์ ฝึกยุทธ์จนถึงขั้นสุดยอดแล้วพลันทะลวงจุดชีพจรพิเศษได้ จึงเข้าสู่มรรคาด้วยเพลงยุทธ์ หลังจากบำเพ็ญเพียรอีกหลายปีก็บรรลุเป็นเซียน
ทว่าภายหลังโจวฉางเกิงบรรลุเป็นเซียนได้เลื่อนขึ้นรับตำแหน่งเทพดารา แต่กลับไม่ยอมรับคำอบรมตักเตือน ก่อความวุ่นวายไว้มิใช่น้อย เมื่อหลายปีก่อนเขาละเมิดกฎสวรรค์เพราะดื่มสุรา ซ้ำยังปฏิเสธการรับโทษ ทำร้ายทหารสวรรค์จนบาดเจ็บแล้วหลบหนีไป ราชสำนักสวรรค์ประกาศจับเขาเรื่อยมา น่าเสียดายที่จนบัดนี้ยังจับกลับมาไม่ได้
ฉินเค่อถามอีก “มีเบาะแสของโจวฉางเกิงบ้างหรือไม่”
“ไม่มี” เซียวหลิงตอบ “แต่ต่อให้จับโจวฉางเกิงกลับมา เขาก็ต้องไปรับโทษในคุกสวรรค์ ไม่อาจแก้ปัญหาเร่งด่วนนี้ได้ อีกอย่างด้วยอุปนิสัยของเขาไม่เหมาะกับตำแหน่งสูง ตอนเขารับตำแหน่งเทพดารายังเป็นหัวโจกฝ่าฝืนกฎสวรรค์ ขืนให้เขารับตำแหน่งเทียนจุน จะทำอย่างไรให้ผู้อื่นยอมรับนับถือเล่า”
ฉินเค่อเข้าใจแล้วจึงถามตรงๆ “ท่านมีตัวเลือกใหม่อยู่แล้วกระมัง”
“มิกล้า เพียงมีบางคนจะนำเสนอเท่านั้น” เซียวหลิงกล่าวพลางปรับคันฉ่องซวีหมี ภาพบนคันฉ่องหยุดอยู่ที่ร่างบุรุษผู้หนึ่ง “ผู้ที่เหมาะสมที่สุด…ต้องนับเทพดาราทันหลาง จี้อัน”
ตัวเลือกของเซียวหลิงตรงกับที่ฉินเค่อคิดไว้ ดาวทันหลางควบคุมอำนาจทรัพย์สิน เมื่อดาวทันหลางจุติลงไปในแดนมนุษย์ โดยทั่วไปหากไม่เป็นขุนนางทรงอำนาจขุนศึกนามกระเดื่องก็ต้องเป็นฮ่องเต้ผู้สถาปนาแคว้น คนเช่นนี้ให้ประจำทิศประจิมสะกดไอสังหารย่อมจะเหมาะเจาะพอดี
เพียงแต่…ฉินเค่อขบคิดเล็กน้อยก่อนกล่าว “ดูเหมือนจี้อันจะไปเผชิญด่านเคราะห์ในแดนมนุษย์ วันนี้เขาควรจะกลับมาแล้วนี่”
“นี่ก็คือจุดประสงค์ที่ข้าเรียกท่านมา” แขนเสื้อยาวของเซียวหลิงโบกเบาๆ ภาพบนคันฉ่องซวีหมีก็แปรเปลี่ยน ปรากฏเป็นภาพวังหลวงในแดนมนุษย์ “เขาเผชิญด่านเคราะห์ล้มเหลวเสียแล้ว”
ฉินเค่อตระหนกนิดๆ ครั้นเห็นภาพบนคันฉ่องซวีหมีเป็น ‘บรรยากาศอันยิ่งใหญ่’ ที่มีเลือดเจิ่งนองพื้น เขาก็นิ่งไปชั่วอึดใจก่อนเอ่ย “จี้อันครองตำแหน่งดาวทันหลาง จุติลงไปแล้วกลับกลายเป็นบัณฑิตกระนั้นหรือ”
“มิใช่ เขาศึกษาทั้งบุ๋นบู๊ หากยึดตามลิขิตเดิมเขาจะมีความสามารถเป็นทั้งแม่ทัพออกรบทั้งเสนาบดีในราชสำนัก” เซียวหลิงถอนใจยาวเหยียด ปรับภาพบนคันฉ่องไปยังร่างสตรีผู้หนึ่ง “จะโทษก็โทษสตรีผู้นี้แล้วกัน”
ฉินเค่อจรดสายตาไปยังร่างสตรีบนคันฉ่อง นางมีรูปโฉมล้ำเลิศ บนร่างสวมชุดพิธีการของฮ่องเต้ ทว่ากลับล้มอยู่กลางกองเลือด สิ้นลมหายใจไปแล้ว ฉินเค่อมองเพียงปราดเดียวก็ถอนสายตากล่าวว่า “เขาเผชิญด่านเคราะห์ล้มเหลวถือเป็นเรื่องของเขา เกี่ยวอันใดกับสตรีด้วยเล่า”
“ไม่ใช่ข้าจะปัดความรับผิดชอบให้นะ เรื่องนี้…เกี่ยวกับนางด้วยจริงๆ” เซียวหลิงเก็บคันฉ่องซวีหมี รินน้ำชาให้ฉินเค่อหนึ่งถ้วยก่อนเอ่ย “จี้อันไปจุติในแดนมนุษย์เปลี่ยนใช้นามว่าเผยจี้อัน เดิมทีเขาเผชิญด่านเคราะห์นี้ลุล่วงได้ ดูตามที่เทพลิขิตชะตาได้เขียนไว้…เผยจี้อันมีชาติกำเนิดสูงส่ง พบความสำเร็จตั้งแต่เป็นหนุ่ม ทว่าในวัยผู้ใหญ่วงศ์ตระกูลประสบเหตุเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง กล่าวได้ว่าร่วงสู่ก้นเหว ราชวงศ์ที่เขาอยู่จะมีฮ่องเต้หญิงมาปกครอง สกุลเผยสูญเสียความโปรดปรานจนถูกเนรเทศทั้งตระกูล การหมั้นหมายของเขากับองค์หญิงก่วงหนิงก็ถูกยกเลิก ต่อมาเขาหล่อหลอมจิตใจอยู่ที่ชายแดน สร้างผลงานการรบหลายครา ได้เลื่อนจากผู้น้อยปลายแถวขึ้นเป็นผู้บัญชาการมณฑลทหาร หลายปีให้หลังเขาประกาศจะฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย นำทัพบุกเข้าเมืองหลวงปลดฮ่องเต้หญิง สนับสนุนรัชทายาทขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ ขณะเดียวกันก็ได้สานวาสนาเดิมกับองค์หญิงก่วงหนิง บุตรสาวของเขากับนางจะกลายเป็นฮองเฮาองค์ถัดไปของราชวงศ์ ส่วนบุตรชายจะได้แต่งกับพระธิดาของฮ่องเต้องค์ใหม่ ก่อเกิดเป็นเรื่องราวอันดีงามแห่งยุคสมัย ได้ครองตำแหน่งสูงทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ เป็นผู้โด่งดังพรั่งพร้อมด้วยความสำเร็จ ทว่าตอนนี้…เพราะสตรีเมื่อครู่นั้นสอดเท้าแทรกเข้ามา ไม่เพียงตัดเส้นทางราชการของเผยจี้อัน ยังขวางวาสนาเขาที่ต้องครองคู่กับองค์หญิงก่วงหนิง เป็นเหตุให้เขาไม่อาจปลงตกจากบ่วงรัก เผชิญด่านเคราะห์ล้มเหลว”
ชั่วขณะที่ฟังจบฉินเค่อไม่รู้ว่าควรเอ่ยคำประเมินเช่นไรดี สุดท้ายเห็นแก่หน้าสหายร่วมงานจึงเอ่ยอย่างอ้อมค้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ความไปสักหน่อย”
“มิใช่เขาไม่ได้ความ เขาพยายามสุดกำลังแล้ว” ข้อนี้เซียวหลิงต้องก้าวออกมาพูดให้ความเป็นธรรมแก่เทพดาราทันหลางบ้าง “เขาฮึดสู้มาโดยตลอด แต่ท่านตากับท่านลุงในสกุลจ่างซุนถูกประหารตัดศีรษะ ญาติผู้น้องในสกุลเผยก็ตายเพราะถูกเนรเทศ คู่หมั้นของเขาถูกพรากไปไม่พอ น้องสาวแท้ๆ พร้อมเด็กในครรภ์ก็ยังถูกสั่งฆ่า เหตุนี้ทำให้มารดาของเขาโกรธจนป่วยหนัก ท่านย่าเองก็ลาโลกไปด้วยความเจ็บแค้น เรื่องเหล่านี้ล้วนเกิดจากน้ำมือสตรีผู้เดียว เขาเดือดดาลจนสุดทน ท้ายที่สุดเลือกตายตกไปพร้อมสตรีผู้นั้นก็ชอบด้วยเหตุผล”
ฉินเค่อไม่รู้รายละเอียดเหตุการณ์มากนักจึงไม่แสดงความคิดเห็น เพียงแต่จากคำบรรยายของเซียวหลิง เผยจี้อันอนาถไม่น้อยจริงๆ ส่วนสตรีผู้นั้นก็ไม่แคล้วโหดเกินไป
เซียวหลิงกล่าวต่อ “ตามหลักแล้วชาติภพนี้ไม่ลุล่วง จัดการให้เขาไปเกิดในชาติภพใหม่ก็ใช้ได้ แต่ราชสำนักสวรรค์กำลังเผชิญวิกฤตการณ์ ไม่อาจรอคอยเขาเข้าสู่สังสารวัฏอีกรอบ ดังนั้นข้าจึงอยากให้เขาหวนสู่ชาติภพนี้อีกครั้งด้วยความทรงจำเดิม”
“ได้” ฉินเค่อเอ่ย “แต่เหตุต้นผลกรรมมีกฎของมันอยู่ หากเขาได้ชีวิตใหม่ ศัตรูของเขาก็ควรได้ชีวิตใหม่พร้อมความทรงจำเดิมด้วย ไม่เช่นนั้นฝ่ายที่รู้ล่วงหน้าเล่นงานฝ่ายที่ไม่ได้ตั้งตัว โดยหลักเหตุผลแล้วหาเป็นธรรมไม่”
เซียวหลิงรู้อยู่แล้วว่าฉินเค่อจะพูดเช่นนี้ กล่าวกันว่ากฎระเบียบในราชสำนักสวรรค์เข้มงวด ทว่าฉินเค่อยังแข็งกระด้างกว่ากฎสวรรค์อันเยียบเย็นเสียอีก วาดหวังให้ฉินเค่อเห็นพ้องมอบสิทธิพิเศษแก่เทพดาราทันหลาง…ไม่มีทางเสียล่ะ
เซียวหลิงรู้ว่าไม่มีปัญญาโน้มน้าวฉินเค่อ จึงถือโอกาสเปลี่ยนมาเกริ่นอีกเรื่องเสียเลย “ข้าก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน เพียงแต่สตรีผู้นั้นโหดเหลือเกินจริงๆ ขืนไม่มอบความทรงจำในชาติภพเดิมให้ เขาคงเอาชนะนางไม่ได้หรอก ครั้นมอบความทรงจำแก่เขาก็จะต้องมอบความทรงจำแก่หลี่เจาเกอ ข้าได้ใช้คันฉ่องซวีหมีตรวจหนึ่งพันโลกธาตุใหญ่เพื่อคะเนความเป็นไปได้หลายร้อยรูปแบบแล้ว…ผลเกือบทั้งหมดออกมาว่าเขาจะล้มเหลวอีก”
ฉินเค่อถาม “หลี่เจาเกอคือ?”
“ก็คือสตรีที่ทำให้เทพดาราทันหลางแทบเสียสติผู้นั้น”
ฉินเค่อเข้าใจแล้วจึงถามเข้าประเด็น “ดังนั้น…ท่านคิดจะพูดอันใดกันแน่”
เซียวหลิงคลี่ยิ้ม รินน้ำชาไปวางใกล้มือฉินเค่อด้วยตนเองก่อนตอบ “ดังนั้น…ตามความเห็นอันตื้นเขินของข้า ทางที่ดีที่สุดคือมีอีกคนลงไปแดนมนุษย์ ช่วยสนับสนุนเทพดาราทันหลางเผชิญด่านเคราะห์”
สีหน้าของฉินเค่อที่ไม่แปรเปลี่ยนชั่วนาตาปีเผยความตกตะลึงเล็กน้อยอย่างหาได้ยาก เซียวหลิงกลัวว่าฉินเค่อจะไม่เห็นพ้องจึงรีบเอ่ยเสริม “ดาวทันหลางควบคุมอำนาจทรัพย์สิน นอกจากท่านแล้วคนทั่วไปข่มเขาไม่อยู่หรอก อีกอย่างแม้ที่ผ่านมาฉินเทียนจุนดูแลการพิพากษาลงทัณฑ์ ไม่ได้รบรากับผู้ใดอีก แต่เมื่อแรกสุดท่านก็บรรลุขึ้นสู่สวรรค์ด้วยผลงานการศึก มีแต่ท่านลงไปจึงจะฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย คุ้มครองเทพดาราทันหลางให้เผชิญด่านเคราะห์โดยราบรื่น คลี่คลายวิกฤตความอยู่รอดของราชสำนักสวรรค์ลงได้”
ฉินเค่อนิ่งเงียบ เขาย่อมไม่ตกหลุมพรางลมปากของเซียวหลิง แต่เขาก็รู้ดีว่าถึงเขาไม่ใช่ตัวเลือกหนึ่งเดียวที่สนับสนุนเทพดาราทันหลางได้ ทว่ากลับเป็นตัวเลือกที่ประหยัดแรงประหยัดเวลามากที่สุด พันปีมานี้การปฏิบัติตามกฎสวรรค์และพิทักษ์ความเป็นระเบียบเรียบร้อยได้กลายเป็นสัญชาตญาณของฉินเค่อไปแล้ว หากเรื่องนี้สอดรับกับผลประโยชน์ของราชสำนักสวรรค์ ต่อให้ขัดกับความต้องการของตัวเขาเอง เขาก็จะไม่ทักท้วง
ไม่ช้าฉินเค่อก็ผงกศีรษะรับ “ได้”
เซียวหลิงยินดียิ่ง รีบเอ่ยว่า “หัวใจของฉินเทียนจุนคำนึงถึงคุณธรรม เห็นสรรพชีวิตทั่วหล้าเป็นสำคัญ ข้าน้อยเลื่อมใส ฉินเทียนจุนวางใจได้ หนึ่งวันในแดนสวรรค์เท่ากับหนึ่งปีในแดนมนุษย์ จะไม่เสียเวลาท่านมากนักหรอก เพียงแต่…ด้วยพลังเทพของท่านอยู่ในแดนมนุษย์เพียงสะบัดแขนเสื้อผ่านๆ เกรงว่าแดนมนุษย์คงขุนเขาถล่มคลื่นสมุทรซัดแล้ว ฉะนั้นเพื่อเห็นแก่ทุกชีวิตในใต้หล้า ฉินเทียนจุนสะกดพลังวัตร ปิดผนึกเวทอาคมไว้บางส่วนจะเป็นการดีที่สุด”
“ข้อนี้สมควรอยู่” ฉินเค่อประมาณดูก่อนกล่าว “หลายปีมานี้ข้าย่อหย่อนการฝึกปรือ สะกดเหลือหนึ่งในสามก็น่าจะพอแล้ว”
เซียวหลิงไม่ได้ต่อบทสนทนาในทันที เขาเว้นช่วงครู่หนึ่งค่อยเสนอ “ฉินเทียนจุนไม่แคล้วประเมินตนเองต่ำเกินไป ตามความเห็นของข้า…อย่างน้อยต้องหนึ่งในสิบส่วน”
หนึ่งในสิบส่วน? ฉินเค่อขมวดคิ้วโดยสัญชาตญาณ หนึ่งในสิบส่วนใช้เวทอาคมได้แค่ไม่กี่อย่าง เขาจะต่างอันใดกับมนุษย์เดินดินเล่า แต่เมื่อฉินเค่อคิดได้ว่านี่เป็นการจัดการของแดนสวรรค์ ทำเพื่อสรรพชีวิตทั่วหล้า เขาก็ยังคงเห็นด้วย “ได้”
“ขอบคุณฉินเทียนจุนยิ่งนัก ข้าสืบมาแล้ว สกุลเผยมีญาติจากตระกูลเขยมาอาศัยด้วยผู้หนึ่ง แซ่กู้ นามว่าหมิงเค่อ โตกว่าเผยจี้อันหนึ่งปี เหมาะกับฉินเทียนจุนพอดี นี่เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับกู้หมิงเค่อ ฉินเทียนจุนโปรดเก็บรักษาไว้”
แม้แต่ข้อมูลสถานะของกู้หมิงเค่อก็เตรียมไว้พร้อมแล้ว เซียวหลิงคิดเสร็จสรรพตั้งแต่ต้นแล้วสินะ ฉินเค่อไม่ได้พูดเปิดโปงแผนการของเซียวหลิง เพียงรับข้อมูลฉบับนั้นมาแล้วหมุนตัวเดินมุ่งสู่เบื้องนอก ขณะที่เขากำลังจะจากไปเสียงของเซียวหลิงก็ดังไล่หลังมา “ฉินเทียนจุน ท่านลงไปเพื่อทำภารกิจ ทุกสิ่งให้ยึดการเผชิญด่านเคราะห์ของเทพดาราทันหลางเป็นสำคัญ โปรดอย่าแตะต้องทางโลก โดยเฉพาะต้องระวังป้องกันสตรีนามหลี่เจาเกอผู้นั้น”
ฉินเค่อมิได้นำพา พริบตาก็อันตรธานไปจากวังซานชิง
ลงไปแดนมนุษย์ไม่ยากแต่อย่างใด เพียงแต่ก่อนที่จะไปทำภารกิจ เขาต้องไปสะสางปัญหาตกค้างของเซียนหมู่ตานที่ภูเขาผิงซานก่อน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 พ.ย. 67
Comments
comments
No tags for this post.