บทที่ 3 เกิดใหม่
เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตรีคือทิวเขาสิบหลี่ ที่ทอดยาวสูงต่ำวกวนไม่ขาดตอน มันถูกปกคลุมด้วยป่าไม้แน่นขนัด ดุจดังสัตว์ร่างยักษ์ที่หมอบซุ่มอยู่ตัวหนึ่ง แฝงกายดูอันตราย
ในป่าเขาต่างจากในตัวเมือง พอตกค่ำก็ไร้สุ้มเสียง คงเหลือแต่ดวงไฟเป็นแต้มๆ ไม่กี่ดวงกระจายตัวที่เชิงเขาฟากหนึ่ง ตรงนั้นคือหมู่บ้านป่าดำ…หมู่บ้านหนึ่งเดียวที่ตั้งอยู่ทางฟากนี้ของทิวเขาสิบหลี่
นอกหมู่บ้านป่าดำถูกโอบล้อมด้วยผืนป่าที่มืดทึมจนไม่เห็นจุดสิ้นสุด ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อว่าหมู่บ้านป่าดำ ในหมู่บ้านมีคนอยู่ไม่มาก อาศัยการล่าสัตว์ยังชีพ เสบียงอาหารกับเสื้อผ้าสามารถพึ่งพาตนเอง หากมีสิ่งใดที่ทำออกมาเองไม่ได้จริงๆ อย่างเช่นน้ำมันตะเกียง ก็ได้แต่ไปซื้อหาในตัวตำบลที่ใกล้ที่สุด เข้าตำบลจะต้องตัดผ่านป่าดำซึ่งอันตรายยิ่งยวด ดังนั้นการจุดตะเกียงยามค่ำคืนจึงเป็นเรื่องที่แสนฟุ้งเฟ้ออย่างหนึ่งในหมู่บ้านนี้
มุมตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่บ้านป่าดำ บริเวณที่ชิดชายป่าที่สุดมีบ้านเล็กๆ อันโดดเดี่ยวตั้งอยู่หลังหนึ่ง ลานบ้านไม่ใหญ่นัก กำแพงลานก็ปุปะเสริมตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย มองออกว่าความเป็นอยู่ไม่ใช่ผู้มีอันจะกินแต่อย่างใด ยามนี้ห้องหลักของบ้านปิดหน้าต่างอยู่ ในห้องมืดมิดไม่มีสุ้มเสียงแม้แต่น้อย
คืนนี้ไร้จันทร์ น้ำมันในตะเกียงบนโต๊ะเหือดแห้งไปแต่แรก ในห้องยากจะมองเห็นวัตถุได้ หลี่เจาเกอนอนอยู่บนเตียง เรียวคิ้วย่นเข้าหากันแน่น ขนตาสั่นแรง จู่ๆ ร่างทั้งร่างของนางก็สะท้านเฮือก ลืมตาขึ้นโดยพลัน
หลี่เจาเกอหอบหายใจคำโต นางเบิกตาจ้องอยู่เป็นนานกว่าจะตระหนักได้ว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ นางลุกขึ้นช้าๆ ดวงตากวาดไปรอบทิศพลางลอบระแวดระวัง
นี่คือที่ใดกัน นางถูกผู้อื่นคุมขังแล้วหรือ
หลี่เจาเกอโคจรปราณแท้คุ้มกายโดยสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อโคจรนางก็ตระหนกจนตัวโยนและรีบโคจรรอบใหญ่ พบว่าทั่วกายไม่มีอาการบาดเจ็บ ทว่าปราณแท้กลับหายไป
ที่จริงไม่อาจกล่าวว่าหายไป กล่าวได้เพียงว่าอ่อนกำลังอย่างยิ่ง หลี่เจาเกอยื่นมือดู พบว่านิ้วมือของนางเรียวลง บนนั้นยังมีแผลถลอกเล็กน้อยจากการผ่าฟืน ไม่ใช่มือหลังได้รับการบำรุงอย่างดีทว่าก็ฆ่าคนไปนับไม่ถ้วนคู่นั้น หลี่เจาเกอรีบก้าวลงพื้น เสาะหาจนพบคันฉ่อง บนคันฉ่องสำริดขัดหยาบพร่ามัวบานนั้นนางมองเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยทว่าอ่อนเยาว์ดวงหนึ่ง
หลี่เจาเกอประหลาดใจ ลูบใบหน้าของตนเองอย่างไม่อาจเชื่อ ตอนนี้นางเหลียวมองรอบทิศอีกคราและค่อยๆ ระลึกได้ว่านี่คือหมู่บ้านป่าดำ คือสถานที่ที่นางอาศัยอยู่กับตาเฒ่าโจวก่อนจะได้ไปราชธานีตะวันออกคืนสู่ฐานะองค์หญิง
หลี่เจาเกอรู้สึกเหลือเชื่อ นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ก่อนตายนางทะลวงถึงขอบขั้นเลิศล้ำแล้วจึงรู้ชัดว่าหนึ่งกระบี่ของเผยจี้อันแทงทะลุหัวใจ ไม่มีทางที่นางจะรอดมาได้เป็นอันขาด ทว่าชั่วขณะนี้นางยืนอยู่บนพื้นอย่างจริงแท้ ร่างกายบางลง วงหน้าเรียวลง แม้แต่วรยุทธ์ก็ถอยกลับสู่เมื่อครั้งเยาว์วัย
มีคำอธิบายได้เพียงอย่างเดียว นั่นคือนางกลับมามีชีวิตอีกครั้งโดยไม่รู้สาเหตุ ทั้งได้เกิดใหม่ในวัยดรุณีน้อย ประมาณดูจากปราณแท้ในร่าง ตอนนี้นางน่าจะอายุเพียงสิบห้าสิบหก
หลี่เจาเกอยึดจับโต๊ะแล้วนั่งลงบนตั่งช้าๆ ตะลึงจ้องคนในคันฉ่อง คิดอย่างสะท้อนใจอยู่บ้าง…ที่แท้ก็อายุสิบหกเท่านั้น
ชาติก่อนตอนอายุสิบหก นางยังไม่รู้เลยว่าตนเองเป็นองค์หญิง นึกเพียงว่าตนเองเป็นเด็กบ้านป่า ฐานะไม่รู้แน่ บิดามารดาไม่รู้ชัด วิ่งกระโดกกระเดกอยู่ในป่าเขา วันทั้งวัน ‘ไปมาหาสู่’ กับสัตว์ป่าแมลงมีพิษในป่าดำ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองชื่อใด จำได้เพียงรางๆ ว่าตอนที่ยังเล็กมีคนเรียกข้างหูนางว่า ‘เจาเกอ’ นางก็นึกไปว่าคือ ‘เจาเกอ’*
ตาเฒ่าโจวไม่เคยเอ่ยถึงประวัติของนาง นางรู้ว่าตนเองไม่ใช่บุตรหลานของเขาจึงไม่เคยสอบถาม เมื่อตอนยังเล็กมีเด็กคนอื่นหัวเราะเยาะว่านางไม่มีบิดามารดา หลังจากถูกนางต่อยตีไปหนึ่งยกก็ไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะนางอีก
นางเติบโตมาแบบหยาบกระด้างเหมือนเด็กชาย ตั้งแต่เล็กหาบน้ำผ่าฟืน ก่อไฟหุงหาอาหาร ถูกตาเฒ่าโจวเคี่ยวกรำจนหยาบกร้านเป็นพิเศษ แต่จะว่าไปก็แปลก นางไม่เคยได้ฝึกยุทธ์จริงจัง ทว่าตั้งแต่แปดขวบกลับมีฝีมือต่อยตีจนเด็กทั้งหมู่บ้านไม่กล้าตอบโต้ สิบขวบก็ติดตามผู้ใหญ่เข้าป่าล่าสัตว์ได้ สิบสองขวบเริ่มขึ้นเขาได้โดยลำพังแล้ว
ควรรู้ว่าแม้แต่ผู้ชำนาญการมือเก่าที่ล่าสัตว์มาสิบกว่าปีก็ยังไม่กล้าขึ้นทิวเขาสิบหลี่คนเดียว ทว่าหลี่เจาเกอกลับถูกตาเฒ่าโจวโยนขึ้นเขาไปตัดฟืนตั้งแต่อายุน้อยๆ ทีแรกสุดนางตกลงมาหน้าบวมจมูกเขียว ต่อมาจึงค่อยๆ เคยชินไปเอง
ปีที่อายุสิบสี่นางสามารถล้มหมีหนึ่งตัวด้วยตนเองแล้ว ตอนนางแบกหนังหมีกลับมากลับพบว่าตาเฒ่าโจวหายไป ในบ้านเหลือทิ้งไว้เพียงคัมภีร์ไม่มีปกหนึ่งเล่มกับเหรียญสำริดเลอะๆ สิบกว่าเหรียญ
ตาเฒ่าโจวหายสาบสูญ
หลี่เจาเกอถูกทอดทิ้งอีกครา
อย่างไรก็ไม่ใช่หนแรกที่ถูกทอดทิ้ง นางเศร้าใจอยู่สองวันก็ปลงตกในไม่ช้า ชีวิตควรดำเนินไปเช่นไรก็ดำเนินต่อไปเช่นนั้น ยามว่างหลังล่าสัตว์ในป่าดำ นางก็จะถือโอกาสฝึกเคล็ดจิตที่ตาเฒ่าโจวทิ้งไว้ นางไม่รู้ว่าเคล็ดจิตในคัมภีร์เล่มนั้นเป็นวิชาอันใด ทว่าไหนๆ ชีวิตอยู่ว่างก็ถือโอกาสฝึกดูแล้วกัน
หลี่เจาเกอเติบโตอย่างหยาบๆ ลวกๆ เช่นนี้จนกระทั่งอายุสิบเจ็ด ปีที่นางอายุสิบเจ็ดทิวเขาสิบหลี่เกิดแผ่นดินไหว หมู่บ้านป่าดำได้รับแรงสั่นสะเทือนเป็นระลอกจนบ้านเรือนพังถล่ม แผ่นดินเกิดรอยแยก ประสบภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง ชาวบ้านเอาชีวิตรอดท่ามกลางภัยอันตราย โชคดีไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย ทว่าแผ่นดินไหวก็ทำให้สัตว์ร้ายแมลงมีพิษในทิวเขาแตกตื่น กรูยกรังออกมาทางชายป่า หมู่บ้านป่าดำไม่อาจอยู่อาศัยได้อีก หลี่เจาเกอจึงจำต้องติดตามคนในหมู่บ้านตัดทะลุใจกลางป่าดำออกไปลี้ภัยยังเมืองหรงโจว
นั่นคือหนแรกที่นางได้เห็นโลกภายนอก ประตูเมืองหรงโจวใหญ่โตโอฬาร สูงตระหง่านขึ้นจากพื้น เหนือประตูเมืองปักธงทิวโบกสะบัด มีทหารสวมเกราะถือหอก นางมองภาพฉากนี้อย่างตื่นตะลึงยิ่งยวด
เห็นกันอยู่ว่านางโตมาในป่าเขา ไม่เคยเห็นโลกกว้างเช่นนี้ ทว่าส่วนลึกในใจกลับผุดภาพรางๆ ภาพหนึ่งขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์
คล้ายเป็นหอสังเกตการณ์เหนือประตูเมืองอันน่าเกรงขามเป็นระเบียบเช่นเดียวกันนี้ เป็นทหารที่สง่าองอาจดุจเดียวกัน เพียงแต่ประตูเมืองนั้นยังสูงกว่าและใหญ่กว่าประตูเมืองหรงโจว
นั่นคือที่ใดกันนะ เหตุใดนางจึงระลึกภาพเช่นนี้ออกมาได้
ไม่รอให้หลี่เจาเกอคิดได้กระจ่าง แถวผู้เข้าเมืองก็เลื่อนถึงกลุ่มของนางแล้ว ทหารเฝ้าประตูเมืองซักถามความเป็นมา ขณะที่ผู้ใหญ่บ้านตอบอยู่หัวแถว หลี่เจาเกอก็เงยหน้าเห็นภาพเหมือนภาพหนึ่งตรงจุดติดประกาศบนกำแพงประตูเมือง
ประกาศของราชสำนักที่ติดอยู่ข้างภาพเหมือนภาพนั้นระบุว่า…ภายหลังฮ่องเต้กับเทียนโฮ่ว กลับจากบวงสรวงฟ้าดินที่ภูเขาไท่ซาน เทียนโฮ่วในฐานะบุตรสะใภ้สักการะเหวินเต๋อฮองเฮา แล้วพลันสะกิดใจคิดถึงพระธิดาขึ้นมา
เทียนโฮ่วคือฮองเฮาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน รัชศกหย่งฮุยปีที่สิบสามได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา รัชศกหย่งฮุยปีที่สิบหกได้ออกว่าราชการคู่กับฮ่องเต้ เหตุการณ์นี้เรียกว่าสององค์เหนือหัวเสด็จท้องพระโรง รัชศกหย่งฮุยปีที่สิบแปดอู่ฮองเฮาตั้งตำแหน่งตนเองเป็นเทียนโฮ่ว มีเกียรติศักดิ์ไร้ผู้ทัดเทียม เสมือนก้าวปราดเดียวขึ้นถึงชั้นเมฆ ชีวิตเช่นนี้ตามหลักแล้วไม่น่าจะมีสิ่งใดให้นึกเสียดายอีก ทว่าเทียนโฮ่วผู้ราบรื่นทุกประการกลับมีโรคใจอยู่เรื่องหนึ่ง
ในรัชศกหย่งฮุยปีที่สิบสองขณะเทียนโฮ่วยังเป็นสนมเอกชั้นเจาอี๋ มณฑลทหารซั่วฟาง ก่อกบฏ เชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงต่างรุดหนีออกจากนครฉางอันซึ่งเวลานั้นยังเป็นราชธานีอยู่ ระหว่างหลบหนีลงใต้พระธิดาองค์โตของอู่เจาอี๋หรือก็คือองค์หญิงอันติ้งหลี่เจาเกอในวัยเพียงหกชันษาได้พลัดหายไป
อันที่จริงไม่ใช่พลัดหายไปหรอก เป็นเพราะถูกหวังฮองเฮาละทิ้งต่างหาก ว่ากันว่าตอนนั้นทัพกบฏกำลังไล่หลังมา องค์หญิงอันติ้งวิ่งหนีโซซัดโซเซตามหลังรถม้าของหวังฮองเฮากับอู่เจาอี๋ หวังฮองเฮากลัวจะถูกทัพกบฏไล่ทันจึงทำใจเหี้ยมตัดเชือกที่จะดึงตัวองค์หญิงน้อยขึ้นรถม้า เมื่อเชือกขาดผึงองค์หญิงน้อยก็ตกสู่คลื่นทหารกบฏ นับแต่นั้นไม่รู้เป็นตายร้ายดี
เด็กหญิงหกขวบผู้หนึ่งตกอยู่ท่ามกลางกองทัพกบฏ มีหรือยังจะรอดชีวิตได้ ทุกคนจึงยอมรับกันโดยนัยว่าองค์หญิงอันติ้งสิ้นพระชนม์แล้ว อู่เจาอี๋ปวดร้าวยากทานทน ฮ่องเต้เองก็กริ้วยิ่ง ประณามหวังฮองเฮาว่าใจคอดุจอสรพิษ ไม่นานนักก็ปลดสตรีสกุลหวังผู้นี้จากตำแหน่งฮองเฮา ปีถัดมาเหตุกบฏซั่วฟางยุติลง ฮ่องเต้พร้อมด้วยสตรีตำหนักในจึงย้ายกลับนครฉางอัน ปีเดียวกันนั้นฮ่องเต้ก็ต้านกระแสคัดค้าน แต่งตั้งอู่เจาอี๋ขึ้นเป็นฮองเฮาองค์ใหม่
หลังจากอู่เจาอี๋ขึ้นเป็นฮองเฮาก็อวยยศย้อนหลังแก่องค์หญิงอันติ้งพระธิดาองค์โตชนิดไม่กริ่งเกรงใดๆ ที่ศักดินากับทรัพย์สินแพรพรรณก็เพิ่มให้ราวไม่ต้องใช้เงินในท้องพระคลัง กระทั่งต่อมาพระธิดาองค์เล็กค่อยๆ เติบใหญ่ขึ้น ในที่สุดอู่ฮองเฮาจึงค่อยก้าวออกมาจากความทุกข์ที่สูญเสียพระธิดาได้
เมื่อมีองค์หญิงเล็กแล้ว องค์หญิงใหญ่ผู้มีชะตาอาภัพก็คล้ายกลายเป็นอดีตที่ล่วงเลย หลายปีมาแล้วที่ในวังไม่มีใครเอ่ยถึงนางอีก นึกไม่ถึงว่าการไปบวงสรวงฟ้าดินและสักการะบรรพชนหนนี้กลับสะกิดแผลทำให้เทียนโฮ่วระลึกถึงพระธิดาขึ้นมา
ภายหลังกลับถึงราชธานีตะวันออก เทียนโฮ่วจึงสั่งให้วาดภาพเหมือนขององค์หญิงอันติ้งส่งไปยังที่ทำการระดับอำเภอและระดับเมืองต่างๆ ทั้งบัญชาว่าให้ติดภาพไว้บริเวณที่สะดุดตาที่สุด เทียนโฮ่วยังประกาศต่อทั่วหล้าเกี่ยวกับนาม อายุ เครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับขององค์หญิงอันติ้งขณะพลัดหายไป โดยรับปากว่าจะตกรางวัลแก่ผู้แจ้งร่องรอยขององค์หญิง ขอเพียงตรวจสอบแล้วถูกต้อง ผู้แจ้งเบาะแสจะได้รับเงินรางวัลพันตำลึง ขุนนางท้องที่นั้นจะได้เลื่อนตำแหน่งในทุกกรณี
ทันทีที่คำสั่งตกรางวัลประกาศลงมา ผู้แจ้งเบาะแสก็แห่กันมาราวฝูงผึ้ง ทว่าสามปีผ่านไปยังคงไม่มีสักข้อมูลที่เป็นความจริง ผู้คนจึงค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องนี้ไป จวบจนตอนที่หลี่เจาเกอในวัยสิบเจ็ดลี้ภัยมายืนอยู่เบื้องหน้าประตูเมืองหรงโจวจึงได้เห็นภาพเหมือนของตนเอง
ครั้นนางเห็นอักษรคำว่า ‘หลี่เจาเกอ’ สามตัวบนนั้น ความทรงจำที่เก็บลึกจนฝุ่นจับก็พลันฟื้นฟูคืนมา นางนึกได้แล้วว่าตนเองไม่ใช่หญิงชนบทบ้านป่า ไม่ใช่ชาวมณฑลเจี้ยนหนาน ยิ่งไม่ได้เรียกว่า ‘เจาเกอ’ แบบที่ใช้เรียกเด็กชาย ชื่อของนางคือ ‘หลี่เจาเกอ’ แบบที่เขียนบนประกาศนี้ต่างหาก
การรับรู้นี้โจมตีจนนางเรียกสติคืนมาไม่ได้อยู่เป็นนาน นางนิ่งเงียบขบคิดอยู่สามวัน ในที่สุดก็ดึงประกาศของราชสำนักแผ่นนั้นลงมาแล้วไปย่ำกลองหน้าประตูที่ว่าการ
สามปีมานี้ที่ว่าการเจอคนแบบนางมานักต่อนักจึงชาชินแต่แรก เจ้าเมืองหรงโจวตอบรับเพียงปากเปล่า แท้จริงไม่ได้เก็บใส่ใจก็บอกให้นางออกไปได้ นางสู้รออยู่หนึ่งปีจนกระทั่งปีถัดมาเปลี่ยนตัวเจ้าเมือง เจ้าเมืองคนใหม่เกรงจะถูกเทียนโฮ่วเอาผิดในภายหลังจึงหยั่งเชิงส่งข่าวนี้ไปที่ราชธานีตะวันออกลั่วหยาง หลี่เจาเกอจึงได้เข้าสู่สายตาผู้ที่อยู่ในนครลั่วหยางเสียที
ชาติก่อนในรัชศกหย่งฮุยปีที่ยี่สิบสี่ หลี่เจาเกอวัยสิบแปดได้คนของเจ้าเมืองหรงโจวคุ้มกันมาถึงนครลั่วหยางและได้พบกับเทียนโฮ่วบุคคลผู้เป็นตำนานท่านนั้น เทียนโฮ่วหลั่งน้ำตาทันทีที่เห็นหลี่เจาเกอ จากนั้นหลี่เจาเกอก็ได้คืนฐานะพระธิดา ได้รับตำแหน่งองค์หญิงอันติ้ง กินอากรจากที่ศักดินาพันครัวเรือน และในปีนั้นนั่นเองที่นางได้พบเจอเผยจี้อันในงานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของนาง
ตั้งแต่นั้นนางก็ชมชอบเขาราวถูกมารครอบงำจิตใจ เพียงเพื่อจะแย่งชิงเขามาจากหลี่ฉังเล่อ นางไม่ลังเลที่จะกลายเป็นเขี้ยวเล็บของราชสำนัก ลงมือขจัดผู้เห็นต่างแทนเทียนโฮ่ว เมื่อก่อนนางรู้สึกมาตลอดว่าตนเองธรรมดาสามัญ แม้ต่อยตีชนะเสมอ แต่ก็ไม่ได้มีสิ่งใดพิเศษ จวบจนไปถึงนครลั่วหยางนางจึงค่อยๆ ค้นพบว่าตนเองดูเหมือนแตกต่างกับคนทั่วไป
ที่แท้ผู้คนนอกหมู่บ้านป่าดำ…ล้วนมีฝีมือการต่อสู้ไม่เอาไหนยิ่ง
หลี่เจาเกอล้มองครักษ์ในวังหลวงได้อย่างง่ายดาย แม้แต่ภูตผีปีศาจที่ก่อกวนราชสำนักมาช้านานก็ไม่คณามือนาง เคล็ดจิตที่ตาเฒ่าโจวทิ้งไว้ให้ยิ่งฝึกฝนยิ่งล้ำลึก ขณะเดียวกันนางก็เดินถลำไปบนเส้นทางการเมืองสายนี้ไกลขึ้นทุกที…
นามของหลี่เจาเกอผู้บัญชาการกองงานปราบปีศาจลือลั่นทันทีที่เปิดตัว
แรกสุดนางเพียงสังหารปีศาจที่ก่อกรรมทำเข็ญกับผีร้ายที่มาคร่าชีวิตคน ต่อมาค่อยเปลี่ยนเป็นสืบเรื่องไสยเวทมนตร์ดำ สืบว่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักมีติดต่อนักพรตคบหาแม่ชีหรือไม่ ต่อมาอีกกองงานปราบปีศาจจึงกลายเป็นแหล่งข้อหาสารพัดประโยชน์ เทียนโฮ่วต้องการให้ผู้ใดตาย หลี่เจาเกอก็ไป ‘ปลิดชีพปีศาจขจัดความชั่วร้าย’ ที่จวนของผู้นั้น
ราชธานีตะวันออกเป็นดินแดนแห่งพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน ภูตผีสัญจรยามราตรี มีปีศาจจำนวนไม่น้อยแฝงกายอยู่ที่นี่ ทว่าต่อให้ภูตผีปีศาจน่ากลัวสักเพียงใด มีหรือจะเทียบได้กับผีร้ายในใจคน
หลี่เจาเกอเดินไปสู่ทางตันทีละน้อยๆ จนชะตาไม่อนุญาตให้นางหันกลับได้อีก นางหมายจะปกป้องตนเองก็มิอาจไม่สังหารคนมากยิ่งขึ้น สุดท้ายแม้แต่ผู้เป็นมารดาก็ยังสังหารแล้วตั้งตนเป็นฮ่องเต้เสียเอง
น่าเสียดายนางเค้นเล่ห์มาเล่นงานผู้อื่น ในชั่วเวลาก่อนจะขึ้นครองราชย์นางกลับต้องตายใต้คมกระบี่เผยจี้อัน
หลี่เจาเกอพลันได้สติคืนมา นางพินิจดรุณีน้อยในคันฉ่องอย่างละเอียดอีกครา ดรุณีน้อยในคันฉ่องมีคิ้วเรียวดั่งใบหลิว นัยน์ตาโตดุจเมล็ดซิ่ง ริมฝีปากแดงตัดกับผิวพรรณสีหิมะ ในดวงตาคู่นั้นแสนกระจ่างแสนหมดจด ไร้ร่องรอยของมรสุมชีวิต นางคว่ำคันฉ่องลงก่อนจะยืนขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
เคยยลขุนเขาสูงจะสงบใจอยู่เนินเตี้ยได้เช่นไร ชาตินี้…แน่นอนว่านางยังคงต้องการหวนสู่ลั่วหยาง
เพียงแต่ไม่ต้องรอเจ้าเมืองหรงโจวจัดคนส่งนางไปแล้ว เดิมหลี่เจาเกอวัยสิบหกไม่รู้จักเส้นทางไปราชธานีตะวันออก ทว่าผู้บัญชาการกองงานปราบปีศาจในอดีตผู้นี้รู้จัก
ราชธานีตะวันออกลั่วหยาง…นางจะไปด้วยตนเอง ฐานะองค์หญิงที่สูญเสียไป…นางก็จะคว้าคืนมาเอง ราชบัลลังก์ที่ชาติก่อนคลาดเพียงแค่เอื้อม…นางก็จะขอช่วงชิงด้วยฝีมือตน
ส่วนเผยจี้อัน…ที่ใดเย็นสบายก็จงไสหัวเจ้าไปที่นั่นเสีย หลี่เจาเกอเพียงนึกถึงชาติก่อนก็ฉุนเฉียวจนหัวใจตีบ มีแผ่นดินอันงดงามอยู่ในมือแท้ๆ นางไม่เป็นฮ่องเต้ของนางไปให้ดีๆ มัวจมปลักกับบุรุษผู้หนึ่งให้ได้อะไร
หลี่เจาเกอไม่มีความสามารถอื่น เว้นก็แต่พูดได้ทำได้ นางลั่นวาจาแล้วว่าจะไม่ชมชอบเผยจี้อันอีกก็จะไม่เหลียวหลังไปแลเขาสักแวบเด็ดขาด
ชาตินี้…สายตานางจะเป็นของบ้านเมืองอันไพศาลเท่านั้น
บทที่ 4 ออกจากภูเขา
ว่าแล้วก็ลงมือเลย หลี่เจาเกอยืนมองไปรอบด้านก่อนเริ่มเก็บสัมภาระ
สีแห่งรัตติกาลลุ่มลึกขึ้นแล้ว ซ้ำบ้านนางไม่เหลือตะเกียงน้ำมันแต่แรก ในห้องจึงมืดมิดชนิดไม่อาจเห็นนิ้วมือทั้งห้าที่ยื่นออกไป สภาพแวดล้อมเช่นนี้สำหรับคนทั่วไปย่อมไม่สะดวกยิ่ง ทว่าหลี่เจาเกอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ต่อให้ยามนี้ขั้นพลังถดถอยลง ประสบการณ์จากชาติก่อนก็ยังคงอยู่ ความมืดแค่เท่านี้ไม่เป็นอุปสรรคใดต่อนางสักนิดเดียว
หลี่เจาเกอไปรื้อหีบที่มุมห้องเป็นอันดับแรก ความจำของนางไม่ผิดพลาดจริงเสียด้วย บรรดาสนับแขน เกาทัณฑ์คันธนู มีดสั้น และอื่นๆ ล้วนเก็บอยู่ตรงนี้ อาวุธพวกนี้ในสายตาของหลี่เจาเกอคนปัจจุบันคือเศษเหล็กดีๆ นี่เอง แต่ถึงอย่างไรมีเศษเหล็กย่อมดีกว่ามือเปล่าหมัดเปลือย หลี่เจาเกอไม่เรื่องมาก พกอาวุธต่างๆ บนร่างอย่างช่ำชอง
ตระเตรียมอาวุธเสร็จหลี่เจาเกอก็ขบคิดชั่วครู่ แต่คิดไม่ออกว่าตนยังพกพาสิ่งใดไปได้อีก ตาเฒ่าโจวไส้แห้ง นอกจากเคล็ดจิตเล่มนั้นแล้วในบ้านนี้ก็ไม่เหลือของมีค่าอื่นใด ทิ้งไปก็หาเป็นไรไม่ หลี่เจาเกอค้นในตู้เสื้อผ้าได้ชุดสะอาดที่มีอยู่เพียงสองชุด จึงห่อไว้ในห่อสัมภาระอย่างแน่นหนา ตั้งใจว่าพอฟ้าสางก็จะฉวยสิ่งของออกจากบ้านทันที
ส่วนค่าเดินทาง…ในบ้านไม่มีค่าเดินทาง ไม่จำเป็นต้องเตรียม
ขณะหลี่เจาเกอตรวจสอบรอบสุดท้าย ใบหูของนางกระดิกวูบ เสียงฝีเท้าจากเบื้องนอกแว่วมาให้ได้ยิน ประกายตานางแปรเปลี่ยนเป็นลุ่มลึก หน้านิ่งเก็บห่อสัมภาระก่อนกดมือตรงข้างเอวโดยไร้เสียง
ตรงนั้นรัดมีดสั้นไว้หนึ่งเล่ม นางเพิ่งจะฉาบยาที่ออกฤทธิ์ชาไว้บนคมมีด ไม่ว่าผู้มาเป็นมนุษย์หรือปีศาจ นางก็ปลิดชีพได้ภายในสามก้าว
ดูเหมือนผู้มาจะลังเลมิใช่น้อย ยิ่งเข้าใกล้บ้านของหลี่เจาเกอ เสียงฝีเท้าของเขายิ่งรีๆ รอๆ สุดท้ายเมื่อหยุดอยู่นอกประตูลาน เขาก็เคาะประตูอย่างระมัดระวัง “เจาเกอ เจ้าอยู่หรือไม่”
เวลาในวันวานได้ผ่านเลยไปนานมากแล้ว หลี่เจาเกอจึงอึ้งงันครู่หนึ่งกว่าจะนึกได้ว่านี่เป็นเสียงของเพื่อนบ้านนามว่าเสี่ยวหู่ เขาคือคนที่ตอนเด็กตะเบ็งเสียงล้อว่านางไม่มีบิดามารดา ต่อมาถูกนางต่อยตีไปหนึ่งยก นับแต่นั้นเห็นนางทีไรล้วนอ้อมหลบไปทางอื่น
หากมิใช่หลี่เจาเกอเคยฝึกเคล็ดจิตของตาเฒ่าโจวส่งผลให้หูตาเฉียบคม ความจำยอดเยี่ยม นางก็คงนึกไม่ออกจริงๆ ว่าเสียงนี้คือใคร
ในเมื่อเป็นคนรู้จักก็ไม่จำเป็นต้องลงไม้ลงมือ หลี่เจาเกอเก็บมีดสั้น ออกจากตัวบ้านไปเปิดประตูลานแล้วถามว่า “มีธุระอะไร”
ขณะที่เสี่ยวหู่กำลังว้าวุ่นใจอยู่นอกประตู ประตูก็พลันเปิดออก เขาไม่ได้เตรียมตัวสักนิดจึงสะดุ้งโหยง
เสี่ยวหู่ในตอนนี้ไม่ใช่เจ้าหนูอวบกลมที่รู้น้อยใจกล้าผู้นั้นแล้ว นับตั้งแต่ถูกหลี่เจาเกอต่อยตีไปหนึ่งยกก็ประทับเงามืดอันลึกล้ำไว้ในใจ หลายปีผ่านไปยังคงไม่กล้าเผชิญหน้าหลี่เจาเกอ เดิมทีเขามาวันนี้ได้เตรียมอกเตรียมใจอย่างเต็มที่ ใครจะนึกถึงว่าเมื่อประตูเปิดออก เขากลับได้เห็นดวงหน้าอันงามพิลาสทระนง พาให้จิตวิญญาณสั่นสะท้านโดยไม่ทันตั้งตัว ถ้อยคำของเด็กหนุ่มพลันติดคาในลำคอ พลังใจที่ก่อนหน้านี้เตรียมมาดิบดีล้วนสูญเปล่า
นี่คือเจาเกอเด็กหญิงที่ทั้งตั้งชื่อและทำตัวเหมือนเด็กชายนั่นน่ะหรือ เขาเดินเลี่ยงแถวนี้มาหลายปี ประกอบกับนางเองก็ไปไหนมาไหนตามลำพังจึงทำให้เขาไม่ได้สังเกตเลยว่านางเติบโตจนมีรูปโฉมเช่นนี้แล้ว
หลี่เจาเกอเห็นเสี่ยวหู่ตะลึงอ้าปากค้าง จับจ้องนางจนเริ่มมองเหม่อ นางก็เลิกหางคิ้วข้างหนึ่งขึ้นนิดๆ ก่อนถามซ้ำอีกหน “ตกลงว่าเจ้ามีธุระอะไร”
อย่างไรเสียนางก็เป็นผู้บัญชาการกองงานปราบปีศาจมาหลายปี ชาติก่อนตอนนางลงทัณฑ์สอบปากคำนักโทษ ไม่ว่านักโทษผู้นั้นจะเป็นขุนนางเก่าแก่ที่ผ่านโลกมาโชกโชนหรือเป็นนายทัพที่เคยเข้าสนามรบเอาชีวิตข้าศึก เมื่อเห็นนางก็ล้วนเผยแววพรั่นพรึงอย่างห้ามไม่อยู่ นับประสาอะไรกับเสี่ยวหู่เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดผู้หนึ่งเล่า ร่างกายของเสี่ยวหู่เกร็งโดยไม่รู้สาเหตุ แม้กระทั่งขนอ่อนบนแขนก็ลุกชัน “แม่ข้าบอกว่าถึงอย่างไรวันนี้ก็เป็นวันขึ้นปีใหม่ เจ้าฉลองตัวคนเดียวเดียวดาย ใช้ได้เสียที่ไหน แม่ข้าให้ข้าเอาเกี๊ยวมาฝาก ถ้าเจ้าไม่รังเกียจจะไปฉลองปีใหม่ที่บ้านของพวกเราก็ได้นะ”
หลี่เจาเกอก้มหน้ามองชามกระเบื้องเนื้อหยาบในมือของเสี่ยวหู่ อดไม่ได้ต้องคิดในใจว่า…วันนี้ในชาติก่อนเคยเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ด้วยหรือ
คลับคล้ายว่าเคยเกิดขึ้น แต่ตอนนั้นนางปฏิเสธเขาไป หลี่เจาเกอวัยสิบหกคนเดิมไม่อยากติดค้างหนี้น้ำใจใคร ผิดกับหลี่เจาเกอคนปัจจุบันที่มองชามในมือเสี่ยวหู่แล้วพลันรู้สึกสะท้อนใจยิ่ง
ตอนนางเป็นองค์หญิง เป็นศูนย์รวมของสายตานับหมื่น เรียกลมเรียกฝนได้ ตามหลักแล้วควรได้ครอบครองความรักที่มีให้เสพไม่รู้สิ้น ทว่าในความเป็นจริงคนทั้งหมดล้วนอยากให้นางตายไปโดยเร็ว สามีของนางยิ่งสังหารนางเองกับมือ นึกไม่ถึงเลยว่าตอนนี้เมื่อนางเปลี่ยนมาเป็นเด็กกำพร้าที่ต่ำต้อยสามัญไร้อำนาจผู้หนึ่ง กลับมีคนเต็มใจเปิดประตูหนึ่งบานต้อนรับนาง
หลังจากได้เผชิญผ่านชาติก่อน หลี่เจาเกอรู้ชัดกว่าใครว่าความปรารถนาดีนั้นมีค่าหายากเพียงใด นางจึงปรับสีหน้าให้นุ่มนวลขึ้น ผงกศีรษะยิ้มตอบ “ขอบใจมากนะ แต่ข้าเพิ่งกินอาหารไป กำลังจะเข้านอนแล้ว ข้าไม่รบกวนครอบครัวเจ้าฉลองพร้อมหน้าจะดีกว่า ฝากทักทายอาสะใภ้จ้าวแทนข้าด้วย”
นางปฏิเสธเสียแล้ว เสี่ยวหู่เปล่งเสียงดังอ๊ะหนึ่งหนคล้ายห่อเหี่ยวปนเสียดาย “ถ้าเจ้าอยู่คนเดียวแล้วกลัว ไปบ้านข้าได้ทุกเมื่อเลยนะ เกี๊ยวชามนี้เจ้าเก็บไว้ เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันไม่ต้องแบ่งเขาแบ่งเราชัดเจนเช่นนี้หรอก ข้าจะกลับไปก่อน เจ้ารีบเข้านอนเถอะ”
เสี่ยวหู่ยัดชามใส่มือหลี่เจาเกอโดยไม่เปิดโอกาสให้นางทักท้วง อันที่จริงแล้วหลี่เจาเกอสามารถหลบได้ ทว่าตอนสัมผัสถูกขอบชาม นางกลับยังคงไม่อาจหักใจผลักไส
ยากนักที่จะมีคนทำดีกับนาง ไว้ผ่านไปอีกไม่กี่ปีพวกเขาเอ่ยถึงนางอีกครั้งก็จะมีแต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้ว เสี่ยวหู่เห็นหลี่เจาเกอรับไว้ ไม่รู้เพราะเหตุใดใบหน้าเขาจึงเปลี่ยนเป็นสีแดง ต้องเอ่ยอย่างเร่งร้อน “ข้างนอกลมแรง เจ้ารีบกลับเข้าไปดีกว่า ข้าไปล่ะ!”
เสี่ยวหู่พูดพลางสาวเท้าจะวิ่งออกไป แต่หลี่เจาเกอกลับเอ่ยเรียกเขาไว้ “เสี่ยวหู่ พักก่อนข้าขึ้นเขาเห็นหน้าดินบางส่วนพลิกเปิด ละแวกนี้ไม่ปลอดภัยมาแต่ไหนแต่ไร ไม่แน่ว่าอีกสักพักมังกรดินอาจจะพลิกตัว เจ้าลองปรึกษาพ่อแม่เจ้า เลือกสักวันย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองเถอะ ในป่าเขาทำอะไรก็ไม่สะดวก ไม่สู้ไปทำมาหากินในเมือง เจ้ายังจะได้หาโอกาสเล่าเรียนด้วย”
เสี่ยวหู่คาดไม่ถึงว่าหลี่เจาเกอจะเรียกเขาไว้ เขาเกาท้ายทอยแกรกๆ มองนางอย่างขัดเขินก่อนเอ่ยปนยิ้ม “ตำรามีไว้ให้สุภาพชนเล่าเรียน ข้ามีเรี่ยวแรงล่าสัตว์ก็พอแล้ว จะเพ้อฝันในสิ่งที่คนตระกูลใหญ่เขาทำกันได้อย่างไร อีกอย่างเข้าเมืองจะต้องเดินทะลุใจกลางป่าดำ ไม่มีทางไปได้อยู่ดี”
ป่าดำคือผืนป่าที่โอบล้อมอยู่รอบนอกหมู่บ้าน ตลอดปีแสงตะวันส่องไม่ถึงพื้น ซ้ำต้นไม้ก็หนาทึบจนดูเป็นสีดำทะมึน แม้ในป่าเต็มไปด้วยพืชพันธุ์ แต่แท้ที่จริงกลับเป็นดินแดนอันกันดาร ปกคลุมด้วยอากาศชื้นที่ทำให้เจ็บป่วยได้ มีงูเงี้ยวเขี้ยวขอชุกชุมไม่พอ ที่ชวนสะพรึงยิ่งกว่าคือส่วนลึกของป่าทึบยังมีปีศาจอีก
ชาติก่อนหลี่เจาเกอเชื่อถือคำกล่าวเหล่านี้เช่นกัน แม้นางจะโค่นล้มสัตว์ร้ายได้อย่างสบาย แต่ก็ไม่กล้าเดินเข้าส่วนลึกของป่า คนในหมู่บ้านถูกคำลือโคมลอยนี้กักกั้นมาหลายปี หากมิใช่ปีหน้าเกิดแผ่นดินไหว หมู่บ้านป่าดำถูกทำลายจนจำต้องลี้ภัยตัดทะลุใจกลางป่าดำออกไป คนในหมู่บ้านจะถูกหลอกอีกนานเท่าใดก็ยังไม่รู้เลย
หลี่เจาเกอกล่าว “ในป่าดำไม่มีปีศาจหรอก แค่ภูตเล็กๆ ไม่กี่ตนเล่นลูกไม้ทำลึกลับ ขอเพียงมีคนมากก็ไม่ต้องหวั่นเกรงพวกมันเลยสักนิด”
เสี่ยวหู่ได้ยินถ้อยคำของนางก็หน้าย่นกว่าเดิม “เจาเกอ เจ้าไปฟังคำพูดพวกนี้มาจากที่ใด เจ้าจะอาศัยว่าตนเองเก่งวิชายุทธ์แล้วลำพองทะนงตนไม่ได้เชียว เจ้าคิดเช่นนี้จะทำให้ตนเองต้องเอาชีวิตไปทิ้งนะ”
เสี่ยวหู่นึกว่าหลี่เจาเกออวดฝีมือถือดีจึงเกลี้ยกล่อมด้วยถ้อยคำอันลึกซึ้งจริงใจ หมายให้นางกระทำการบนหลักความเป็นจริง อย่าได้คิดไกลเกินตัว หลี่เจาเกอจนใจ ชาติก่อนนางเคยเห็นเองกับตา ย่อมรู้ว่าเรื่องปีศาจในป่าดำเป็นคำลวงทั้งสิ้น มีแค่ภูตบุปผาปลายแถวไม่กี่ตนคอยแกล้งคนก็เท่านั้น เพียงแต่นางไม่อาจอธิบายให้เสี่ยวหู่ฟัง จึงได้แต่ยอมรับเงียบๆ ไม่โต้แย้งใดๆ อีก
เสี่ยวหู่เห็นหลี่เจาเกอไม่พูดจา นึกว่านางรับฟังแล้วจึงพรูลมหายใจยาวก่อนเอ่ยสำทับ “ต่อไปห้ามเจ้าพูดเหลวไหลเช่นนี้อีก มีคนเคยเห็นมากับตา ปีศาจในป่าดำน่ะน่าสะพรึงมากๆ เขมือบคนเป็นๆ ได้เลยนะ! เจ้าอย่าได้คิดจะบุกเดี่ยวเข้าป่าดำโดยเด็ดขาด!”
หลี่เจาเกอขานรับเบาๆ คำหนึ่ง ทั้งที่คิดในใจว่า…ข้าตั้งใจจะทำเช่นนี้อยู่พอดี เสี่ยวหู่กำชับกำชาจบ พบว่าไม่มีสิ่งอื่นใดจะพูดคุยได้แล้วจริงๆ จึงลังเลชั่วครู่ก่อนเปรยหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อนล่ะนะ”
หลี่เจาเกอพลันสอบถาม “ปีนี้คือปีอะไรหรือ”
เสี่ยวหู่งงงัน ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดนางจึงถามคำถามเช่นนี้ “ปีนี้คือรัชศกหย่งฮุยปีที่ยี่สิบสองอย่างไรล่ะ วันนี้ก็คือวันแรกของปีใหม่ เจาเกอ เจ้าเป็นอะไรไปกันแน่ เหตุใดวันนี้ดูแปลกๆ”
ตรงกับที่นางคาดเดาจริงเสียด้วย ปีนี้คือรัชศกหย่งฮุยปีที่ยี่สิบสอง นางอายุสิบหกปี ปีนี้เกาจงฮ่องเต้ยังไม่สวรรคต เทียนโฮ่วยังคงวางตัวเป็นฮองเฮาผู้ภูมิฐานเพียบพร้อมด้วยจรรยาของสตรี ไม่ได้เผยวี่แววที่จะก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้แต่อย่างใด กองงานปราบปีศาจยังไม่ได้จัดตั้งขึ้น องค์หญิงอันติ้งที่พลัดหายไปก็ยังไม่ได้กลับนครลั่วหยาง
ทุกสิ่งล้วนหวนคืนสู่ช่วงที่เส้นทางของนางยังไม่ได้เริ่มต้น อีกทั้งนางจะได้เริ่มต้นเร็วกว่าชาติก่อนตอนที่นางได้รับรู้ฐานะของตนเองถึงหนึ่งปี
สิ่งที่หลี่เจาเกอคาดเดาได้รับการยืนยันแล้ว นางจึงผลิยิ้มให้เสี่ยวหู่อย่างหาได้ยาก “ข้าไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่นอนเยอะจนเลอะเลือน จำปีได้ไม่ชัดเจน เสี่ยวหู่ เจ้าความจำไม่เลว วันหน้าเข้าไปในเมืองแล้วหาโอกาสเล่าเรียนให้มากๆ เถอะ รักษาตัวด้วย”
พยับเมฆบนฟ้าเคลื่อนมาต่อเนื่อง แสงดาวหม่นสลัวลง พาให้ป่าดำที่อยู่เบื้องหลังยิ่งแลคล้ายสัตว์ร่างยักษ์กำลังอ้าปากกว้างคำรามดังซ่าๆ เพียงมองก็ชวนหวั่นหวาด หลี่เจาเกอแม้หันแผ่นหลังให้ความมืดมิด แต่นัยน์ตาดำที่ตัดพื้นขาวชัดเจนคู่นั้นกลับพราวรัศมีเจิดจรัส
ประดุจดวงดาราสถิตค้างอยู่บนโลกมนุษย์
เสี่ยวหู่ตะลึงงัน ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะดึงสติคืนมาได้ “ตกลง”
เสียงหลี่เจาเกอปิดประตูแว่วมาถึงข้างกาย เสี่ยวหู่เกาศีรษะ รู้สึกราวพื้นดินร้อนลวก กระทั่งจะยืนก็ยืนไม่ติดแล้ว เขาหัวเราะหึๆ สองหนก่อนจะพลันกระโดดตัวลอยสามฉื่อ* วิ่งฉิวมุ่งหน้ากลับบ้านของตนเอง
หลังจากส่งเสี่ยวหู่กลับไป หลี่เจาเกอก็ค้นขวดยาที่ตาเฒ่าโจวเคยปรุงไว้ออกมา จัดวางบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบอยู่ข้างๆ เกี๊ยวชามนั้น นางระแวดระวังตัวจนเคยชิน ไม่กินสิ่งของของคนนอก ทว่าเจตนาดีของเสี่ยวหู่นางรับเอาไว้แล้ว
มีแค้นต้องชำระ มีคุณต้องทดแทน นี่คือกฎเกณฑ์ที่ตาเฒ่าโจวสอนนาง เดิมนางตั้งใจจะพกยาเหล่านี้ออกเดินทาง แต่นางระมัดระวังตัวให้มากขึ้นก็ได้ ยาเหล่านี้ทิ้งไว้ให้บ้านเสี่ยวหู่ใช้จะดีกว่า
หลี่เจาเกอพกอาวุธติดตัวกลับไม่รำคาญว่าแข็งตำเนื้อ พอเอนตัวลงบนเตียงก็หลับตานอนไปทั้งอย่างนั้น นี่เป็นความเคยชินของนางมาหลายปีแล้ว ขืนให้นางปลดอาวุธออกกลับจะนอนไม่หลับเอา
รุ่งเช้าเพิ่งจะยามห้า* ในบ้านที่ห่างไกลผู้คนที่สุดทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่บ้านป่าดำก็มีเสียงการเคลื่อนไหว ประตูลานเปิดออกแล้วปิดลงอย่างแผ่วเบา เงาร่างสีเขียวสายหนึ่งฉวยยามรุ่งสางรุดเข้าสู่ป่าดำซึ่งมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดผืนนั้นโดยไม่เหลียวหลังกลับ
ป่าดำกว้างใหญ่ไพศาล ตลอดปีแสงตะวันส่องไม่ถึงใต้ยอดไม้ บนพื้นยิ่งมีใบไม้ร่วงสะสมเป็นชั้นหนา ข้างใต้นั้นไม่รู้มีสิ่งใดซุกซ่อนอยู่บ้าง ต่อให้หลี่เจาเกอเคยพบเจอภูตผีปีศาจมามาก ชั่วขณะนี้ก็ไม่กล้าประมาท ทุกย่างก้าวของนางล้วนมองจนแน่ใจ เลียบไปตามบริเวณที่พื้นแห้ง มุ่งสู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ไปอย่างรอบคอบ
ชาติก่อนชาวหมู่บ้านป่าดำก็ออกจากป่าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ แม้ต้องอ้อมไกล ทว่าข้อดีคือปลอดภัยกว่า หลี่เจาเกอตั้งใจว่าจะออกจากภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ก่อน จากนั้นก็จัดหาม้าพาหนะในตัวตำบลแล้วค่อยเร่งตะบึงสู่นครลั่วหยางด้วยความเร็วสูงสุด
สถานการณ์ในราชสำนักพริบตาผกผันนับพันหมื่น นางหมายจะกระทำการใหญ่ ฉะนั้นกลับสู่ใจกลางของราชสำนักไปวางหมากได้เร็ว โอกาสกุมชัยในวันหน้าก็จะยิ่งมาก ชาติก่อนนางอายุสิบแปดค่อยกลับถึงนครลั่วหยาง หลายๆ ด้านล้วนสายเกินการณ์ ชาตินี้นางจะต้องทำให้ตนเองเดินไปบนเส้นทางอันถูกต้องแต่แรกเริ่ม
หลี่เจาเกอเดินทางอย่างระมัดระวังเช่นนี้ไปห้าวัน นางคำนวณเส้นทางเงียบๆ รู้ว่าตนเข้าใกล้ใจกลางของป่าดำอันเป็นบริเวณที่อันตรายที่สุดและลึกลับที่สุดแล้ว ปีศาจกินคนที่เล่าลือกันก็ผลุบโผล่บริเวณนี้นี่เอง
ตะวันลับเหลี่ยมเขา ผืนป่าครึ้มลงอย่างรวดเร็ว ในป่าทึบไม่อาจเร่งเดินทางยามราตรี หลี่เจาเกอจึงมัดห่อสัมภาระไว้กับตัวอย่างแน่นหนา หาต้นไม้ใกล้ๆ ที่ดูรื่นตาสักต้นแล้วกระโดดขึ้นไปบนคาคบด้วยท่วงท่าอันพลิ้วเบา ใบไม้ไม่สะเทือนแม้สักใบ
นางหลับตาอยู่บนคาคบ กอดกระบี่ไว้ในอ้อมอก ตั้งใจจะนอนในอิริยาบถนี้ แสงสว่างหรี่ลงทุกขณะ สายลมลอดผ่านยอดไม้ บังเกิดเสียงแซกซ่าจากส่วนลึกของผืนป่า
หลี่เจาเกอลืมตาขึ้นช้าๆ มือกุมกระชับด้ามกระบี่โดยไร้เสียง
มีบางสิ่งกำลังมา
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 พ.ย. 67
Comments
comments
No tags for this post.