X
    Categories: จุติรัก พลิกชะตาร้ายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 5 สังหารภูต

 

หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลันโฉบผ่านพื้นหญ้าทะยานพรวดมุ่งขึ้นมาบนต้นไม้ หลี่เจาเกอชักกระบี่ออกจากฝักทันใด สิ้นเสียงชิ้งก็พาดกระบี่บนลำคอของอีกฝ่ายแล้ว

ผู้มาห่อหุ้มด้วยชุดดำทั้งร่าง เขาคาดไม่ถึงว่าบนต้นไม้มีคนอยู่จึงรีบโบกสองมือยอมจำนน “จอมยุทธ์หญิงโปรดไว้ชีวิต ข้าน้อยมิได้มีเจตนาจะล่วงเกิน ทว่ามีตัวประหลาดไล่หลังมา เห็นแก่ที่พวกเราเป็นมนุษย์ด้วยกัน อนุญาตให้ข้าน้อยซ่อนตัวตรงนี้สักครู่เถิด”

หลี่เจาเกอย่อมแน่ใจว่าเขาเป็นมนุษย์จึงปล่อยให้เขาหนีขึ้นต้นไม้มา สายตานางกวาดผ่านร่างของอีกฝ่าย บุรุษผู้นี้สวมชุดดำสำหรับเคลื่อนไหวยามค่ำคืน ข้างแก้มขาวเกลี้ยงเกลา ริมฝีปากแดง ซี่ฟันขาว คิ้วตาทอดไมตรี มีลักษณะของเจ้าหนุ่มหน้าขาว อยู่พอสมควร ทว่าดูจากนัยน์ตาที่ทอประกายลุ่มลึกกับพลังตัวเบาที่โฉบยอดหญ้าย่ำสายลมโดยไม่ทิ้งรอย เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เจ้าหนุ่มหน้าขาวจำพวกนั้นหรอก

หลี่เจาเกอไม่ได้ถามที่มาของคนชุดดำ หลังจากแน่ใจว่าเขาไม่กล้าบุ่มบ่ามส่งเดช นางจึงเก็บกระบี่แล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “เงียบๆ ไม่เช่นนั้นข้าจะโยนเจ้าลงไป”

คนชุดดำพยักหน้าอย่างรีบลน สองคนเพิ่งตกลงกันเสร็จ เสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังมาจากส่วนลึกของป่า สองคนจึงกลั้นลมหายใจพร้อมกันโดยไม่ต้องสื่อสารใดๆ

หลี่เจาเกอเคยฝึกเคล็ดจิต ในความมืดมิดยังคงเห็นวัตถุได้ดังปกติ นางมองผ่านเงาไม้ที่สั่นไหว แลเห็นเงาตะคุ่มร่างมหึมาสีดำปลอดตลอดตัวกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ ขนของมันยาวเฟื้อยจนระพื้น ไม่อาจมองรูปลักษณ์ได้ถนัดชัดเจน ทว่าดวงตาของมันกลมโตปานกระพรวนสำริด แผ่ซ่านกลิ่นอายอันตรายจากเบื้องหลังเส้นขนอันดกหนา

มันเดินอย่างเชื่องช้าเฉไปเฉมา ดูไม่มีแบบแผนสักนิด ครั้นเห็นตัวประหลาดขนดำประชิดมาทางนี้ใกล้ขึ้นทุกขณะ นิ้วมือของหลี่เจาเกอก็กุมด้ามกระบี่แน่น คนชุดดำกลั้นลมหายใจ เครียดเกร็งไปทั้งร่าง

ตัวประหลาดขนดำหอบหายใจดังฟืดฟาด ก่อนเดินมุ่งหน้าต่อคล้ายไม่ค้นพบคนทั้งสองแต่อย่างใด คนชุดดำลอบเบาใจ ผิดกับหลี่เจาเกอที่แววตาเรืองวาบ กระโดดลงจากต้นไม้โดยไม่มีปี่มีขลุ่ยพร้อมกับตะโกนก้อง “วิ่ง!”

คนชุดดำถูกนางทำให้ตกใจ ทว่าเขาท่องยุทธภพมาหลายปี ล้วนอาศัยความเฉียบไวและวิชาตัวเบายังชีพ ชั่วพริบตาที่นางเคลื่อนไหวจึงรีบกระโดดตาม เขาเพิ่งออกห่างคาคบก็เห็นเถาวัลย์จำนวนมากเลื้อยพันขึ้นมาถึงตำแหน่งที่สองคนเพิ่งอยู่เมื่อครู่แล้ว บนเถาวัลย์เต็มไปด้วยหนามสีแดง เลื้อยขยับแผ่วเบาราวกับมีความนึกคิด มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ของดีอันใด

คนชุดดำหัวใจเย็นวาบ เขาคือเทพขโมยพันมือไป๋เชียนเฮ่อ โลดแล่นในยุทธภพมาหลายปีเพียงนี้ไม่ได้ตายด้วยเงื้อมมือของทางการหรือของศัตรู จะต้องสิ้นชื่อในป่าดงเขาลึกนี่น่ะหรือ ไป๋เชียนเฮ่อยังไม่ทันจะสัมผัสพื้น ตัวประหลาดขนยาวสีดำตัวนั้นก็คำรามกระโจนเข้าใส่ เขาจึงได้แต่ปรับกำลังภายในกลางคัน หักเลี้ยวกลางอากาศเอาดื้อๆ หลบรอดการโจมตีของตัวประหลาดขนยาวได้อย่างฉิวเฉียด

ไป๋เชียนเฮ่อลงสัมผัสพื้นอย่างทุลักทุเล เท้าหยั่งพื้นแล้วก็รีบถอยปราดโดยไม่กล้าหยุดพักหายใจ เขาสร้างชื่อด้วยวิชาตัวเบา นานมากแล้วที่ไม่ได้หนีกระเซอะกระเซิงเช่นนี้ ทว่าตัวประหลาดที่ขนรุงรังจนมองรูปลักษณ์ได้ไม่ชัดตัวนั้นคล้ายจำแนกหาเขาได้อย่างแม่นยำ สิ้นเสียงหอนหนึ่งหนก็โถมตัวรุกไล่มาถึงเขาแล้ว

ตัวประหลาดขนยาวอ้าปากใหญ่ที่แดงปานอ่างเลือด ไป๋เชียนเฮ่อมองเห็นเขี้ยวแหลมในนั้น เดิมนึกว่าชีวิตนี้ของตนกำลังจะจบสิ้นลง ทันใดนั้นเองด้านบนก็มีสายลมเย็นวาบผ่าน เป็นสตรีผู้หนึ่งโฉบข้ามศีรษะของเขาไปเตะใส่ใบหน้าขนเฟิ้มของเจ้าตัวประหลาดอย่างหนักหน่วง

ตัวประหลาดถูกหนึ่งเท้าเตะกระเด็น หลี่เจาเกออาศัยแรงสะท้อนดีดตัวไปแตะลำต้นไม้เบาๆ ก็พลิกร่างเหินขึ้นสู่ยอดไม้ “มันคือสุนัขตัวหนึ่ง ต้องก่อกวนการดมกลิ่นของมัน”

ไป๋เชียนเฮ่อยืนอยู่ด้านหลัง เขาสูดหายใจแรงๆ สองรอบค่อยตอบสนองได้ว่านางกำลังพูดอันใด เขาไม่รู้ว่าเหตุใดสตรีผู้นี้จึงจำแนกออกว่ามันเป็นสุนัข เช่นเดียวกับที่เขาไม่รู้ว่าเหตุใดนางหลบซ่อนบนต้นไม้แล้วไม่ถูกค้นพบ เขาไม่ได้ซักถามให้มากความ รีบควักแป้งหอมออกมาหนึ่งห่อ สำแดงพลังตัวเบาทะยานวนพลางสาดแป้งหอมลงในป่า

สุนัขตัวนี้ไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นภูตจากการบำเพ็ญเพียรปกติ แม้ขนาดรูปร่างกับพละกำลังจะเพิ่มพูนอย่างมาก ทว่ายังคงไว้ซึ่งสัญชาตญาณดั้งเดิมของสัตว์ ในความมืดมันมองไม่ชัดว่าเหยื่อทั้งสองซ่อนอยู่ที่ใด เมื่อจมูกถูกแป้งหอมรบกวน การดมกลิ่นที่มันใช้อาศัยหากินก็ใช้การไม่ได้อีก ภูตสุนัขดำจึงโกรธงุ่นง่านขึ้นทุกที ยอบตัวตะกุยพื้น เปล่งเสียงกรอดๆ ในลำคอ

ไป๋เชียนเฮ่อซ่อนกายบนต้นไม้ ไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย จนตอนนี้หัวใจเขายังเต้นโครมครามไม่ยอมหยุด เนิ่นนานไม่อาจสงบลงเสียที ท่ามกลางความเงียบสงัดเขาสังเกตเห็นใบไม้ฝั่งตรงข้ามขยับไหว หัวเกาทัณฑ์ที่ทอประกายเยียบเย็นดอกหนึ่งโผล่ออกมา ก่อนพุ่งฉิวไปหาภูตสุนัขดำโดยพลัน

ฝีมือธนูของอีกฝ่ายแม่นยำยิ่งยวด เกาทัณฑ์เจาะผ่านกลุ่มขนดกยาวหนักอึ้งเข้าสู่หลังคอของภูตสุนัขดำโดยไม่คลาดเคลื่อน ภูตสุนัขดำแผดร้องลั่น พุ่งชนสะเปะสะปะอยู่ด้านล่าง หมายขับไล่เหยื่อที่ซ่อนตัวอยู่ให้ออกมา ทว่ามันอาละวาดได้ไม่นานนัก ฤทธิ์ของยาชาก็กำเริบ การเคลื่อนไหวของภูตสุนัขดำผ่อนช้าลง จากนั้นก็ทรุดลงกับพื้นดังโครม

ไม่ต้องให้หลี่เจาเกอบอก ไป๋เชียนเฮ่อก็รีบกระโดดลงมาจากต้นไม้ มุ่งหน้าเผ่นหนีอย่างไม่คิดชีวิต เขามีวิชาตัวเบาเยี่ยมยอด กระโจนร่างไม่กี่หนก็พ้นระยะการโจมตีของภูตสุนัขดำ ตอนนี้เขาค่อยพบว่าคนด้านหลังไม่ได้ติดตามมา เขาเหลียวกลับไปเห็นดรุณีน้อยชุดเขียวผู้นั้นยืนอยู่บนพื้น ในมือกุมกระบี่ นิ่งจ้องไปทางภูตสุนัขดำ

ไป๋เชียนเฮ่อวางใจไม่ลงจึงเอ่ยข้ามผืนป่าไปว่า “ขอบคุณแม่นางยิ่งนักที่ช่วยเหลือ แม่นางน้อย เจ้าตัวประหลาดนี่ไม่ใช่สัตว์ป่าทั่วไป พวกเรากำราบมันไม่ได้หรอก ฉวยตอนนี้มันไม่อาจขยับชั่วคราว รีบหนีกันดีกว่า”

หลี่เจาเกอกล่าวโดยไม่ได้หันหน้าไป “มีภูตสุนัขตัวใหญ่เช่นนี้ออกหากินอยู่ในป่า หากคนในหมู่บ้านผ่านมาเจอเข้าไม่อันตรายอย่างยิ่งหรือ เจ้าไปก่อนเถอะ ข้าจะสะสางเส้นทางตรงนี้สักหน่อย”

ไป๋เชียนเฮ่อตะลึงจนอ้าปากกว้าง สะสางสักหน่อย? แม่นางน้อยผู้นี้ดูอ่อนเยาว์ อย่างมากก็อายุสิบห้าสิบหกปี ไฉนวาจาคุยโตจนน่าตกใจเช่นนี้เล่า ไหนๆ ก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่บังเอิญมาเจอกัน ไป๋เชียนเฮ่อหวงแหนชีวิต จึงประสานมือคารวะก่อนเอ่ยทิ้งท้าย “แม่นางระวังตัวด้วย สู้ไม่ไหวจริงๆ ก็ให้หนี พี่ชายคนนี้ยังมีธุระอื่น ต้องขอตัวล่วงหน้าไปก่อน”

จบคำไป๋เชียนเฮ่อก็เผ่นแน่บไปไกลโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง กลัวแต่ว่าชักช้าไปจะถูกตัวประหลาดตามพัวพันเอาได้ หลี่เจาเกอไม่ได้ไยดีตีนแมวผู้นี้ นางกุมกระบี่ตวัดเบาๆ หนึ่งครา บรรจุปราณแท้ที่มีอยู่ไม่มากเข้าสู่ตัวกระบี่

เมื่อใดที่สัตว์บ้านหรือสัตว์ป่ากลายเป็นภูตผีปีศาจ เมื่อนั้นเส้นขน ผิวหนัง รวมถึงกระดูกเส้นเอ็นก็จะเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งจนฟันแทงไม่เข้า อาวุธทั่วไปฟาดฟันกระทบร่างล้วนไม่อาจทำร้ายพวกมันได้แม้แต่น้อย

มีแต่วิชาอาคมจึงจะพิชิตวิชาอาคมด้วยกันได้ จัดการกับภูตผีปีศาจด้วยวรยุทธ์ของคนธรรมดาย่อมไม่สำเร็จ ต้องใช้วิชาสำหรับกำราบภูตผีปีศาจ

หลี่เจาเกอเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดปราณแท้ของนางจึงกำราบภูตผีปีศาจได้ ทั้งยังร้ายกาจกว่านักพรตที่ฝึกตนมาหลายปีด้วยซ้ำ อันที่จริงนางสงสัยว่าสิ่งที่ตนเองฝึกฝนอยู่ไม่ใช่วรยุทธ์แต่อย่างใด ทว่าชาติก่อนจนถึงชาตินี้นางไม่เคยได้พบตาเฒ่าโจวอีก ข้อสงสัยนี้จึงไม่มีหนทางพิสูจน์ยืนยัน

เพียงแต่…สืบหาคำตอบเหล่านี้ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ใด หลี่เจาเกอจำได้แจ่มชัดว่าชาติก่อนไม่มีภูตสุนัขขนดำตนนี้เสียหน่อย ตอนนางกับคนในหมู่บ้านตัดทะลุป่าดำเจอแต่ภูตบุปผาปลายแถวสองตนที่เล่นเล่ห์ลับๆ ล่อๆ ภูตที่เลื่อนขั้นมาจากพืชล้วนมีฝีมืออ่อนด้อย ชาติก่อนแค่ชาวบ้านกำยำเรี่ยวแรงดีไม่กี่คนก็สยบภูตบุปผาลงได้ โดยรวมแล้วเส้นทางออกจากป่าต่อจากนั้นก็ไม่พบเจออันตรายอีก

เหตุใดชาตินี้จึงมีภูตสุนัขดำตัวโตเช่นนี้ได้เล่า หลี่เจาเกอขบไม่แตก ทว่าก็ไม่เป็นไรเอาเป็นว่ามีภูตผีปีศาจก็กำจัดทิ้งไปเสีย

ส่วนเจ้านักย่องเบาที่กลัวจนหนีหายไปผู้นั้น นางไม่ได้เก็บอยู่ในสายตาสักนิดเดียว แต่ไรมานางต่อยตีก็ไม่เคยต้องให้ผู้อื่นช่วยเหลือ ตั้งแต่แรกเริ่มนางไม่เคยคาดหวังเขาอยู่แล้ว

หลี่เจาเกอถือกระบี่ตั้งตรง คมกระบี่ฉายประกายยะเยียบดุจน้ำแข็ง เดิมทีกระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่สามัญธรรมดา แต่เมื่อมีปราณแท้ของนางเข้าหนุนก็พลันเปลี่ยนเป็นเรืองรัศมีชวนเหน็บหนาว คมกริบชนิดเส้นผมเพียงปลิวกระทบก็ขาดท่อน

ภูตสุนัขดำฟื้นตัวจากฤทธิ์ยาชาระดับหนึ่งแล้ว มันจำได้ว่านี่ก็คือคนที่เตะมันเมื่อครู่นี้ มันยอบตัวลง หอบห้าวในลำคอ ตั้งท่าจะโจมตีอย่างเห็นได้ชัด ขาหลังของมันยันพื้นถีบตัวขึ้นในฉับพลัน ประหนึ่งภูเขาหนึ่งลูกโถมเข้าใส่หลี่เจาเกอ แทบจะพร้อมกับที่มันขยับตัว หลี่เจาเกอเองก็กระโดดขึ้นจากพื้น คมกระบี่กวาดตามแนวนอน ฟันเถาวัลย์ที่ลอบประชิดมาหานางขาดเป็นชิ้นๆ

จริงดังที่นางคิดไว้ นอกจากภูตสุนัขดำตนนี้ยังมีภูตตนอื่นแฝงตัวอยู่ในความมืด คาดว่าคงจะเป็นภูตบุปผาปลายแถวสองตนที่เคยพบในชาติก่อน

ภูตบุปผาสองตนนั้นน่าจะเป็นพวกเดียวกับภูตสุนัขดำ พวกมันสองตนรับหน้าที่พัวพันเหยื่อไว้ให้ภูตสุนัขดำโจมตี ชาติก่อนตอนที่ชาวหมู่บ้านป่าดำลี้ภัยผ่านทางนี้ ไม่รู้เหตุใดจึงเหลือแค่ภูตบุปผาสองตน พลังอาคมของพวกมันต่ำต้อยยิ่ง เมื่อขาดภูตสุนัขดำไปจึงไม่ได้เรื่องได้ราว ถูกชาวบ้านจับกุมได้อย่างสบายๆ

ชาติก่อนภูตสุนัขดำหายไปที่ใดกันแน่ หรือ…มันถูกผู้ใดสังหารไปก่อนแล้ว?

ในใจหลี่เจาเกอคิดไปต่างๆ นานา ทว่านางไม่ทันได้ขบคิดลงลึกก็หันมาจดจ่อกับการต่อสู้ก่อน ภูตบุปผาที่อยู่ด้านหลังสองตนตระหนักได้ว่าถูกหลี่เจาเกอค้นพบเสียแล้วจึงไม่มัวซุ่มซ่อนเก็บงำ เปลี่ยนจากลอบกัดเป็นโจมตีอย่างเปิดเผย หลี่เจาเกอใช้หนึ่งต้านสาม ซ้ำต้องคอยหลบหลีกภูตสุนัขดำที่ดุร้าย ในด้านจำนวนตกเป็นรองอย่างชัดเจน ถึงกระนั้นการลงมือของนางกลับไม่เหมือนถูกจำกัดเลยสักนิด

ครั้นหลี่เจาเกอบรรจุปราณแท้ขุมหนึ่งโจมตีกลับไปตามเส้นเถาวัลย์ ภูตบุปผาที่ใช้เถาวัลย์ขัดแข้งขัดขานางอย่างต่อเนื่องก็หยุดเคลื่อนไหวทันตา หลังจัดการเถาวัลย์ที่เกะกะมือเท้าได้แล้วนางก็ทุ่มสมาธิต่อสู้กับภูตสุนัขดำ การรับมือกับภูตขนยาวจำพวกนี้โจมตีด้วยไฟเห็นผลชะงัดที่สุด แต่นางเกรงว่าจะทำให้เกิดไฟไหม้ป่าจึงเลิกล้มที่จะเอาชัยด้วยปัญญา เปลี่ยนใจคิดว่าจะใช้กำลังตีมันให้ตาย ไหนๆ สำหรับนางแล้วต่างกันแค่เผด็จศึกในฉับพลันกับเผด็จศึกช้าลงหน่อยเท่านั้นเอง

ผิวหนังของภูตสุนัขดำถูกหลี่เจาเกอใช้ปราณกระบี่กรีดเปิดเป็นแผล ปรากฏเลือดออกทั้งซ้ายขวาข้างละสาย มันเดือดดาลยิ่งกว่าเดิม แผดคำรามไม่หยุดพลางพุ่งตัวเข้าใส่นาง หลี่เจาเกองอตัวหลบพ้นการโถมโจมตี พร้อมกันนั้นก็กวาดเท้าผ่านใต้ร่างของภูตสุนัขดำ ใช้กระบี่ลากผ่านท้องของมันเป็นแผลยาวชุ่มเลือด นางนึกรังเกียจรังงอนตนเองอยู่ในใจไม่ได้หยุด…ไฉนพลังฝีมือของนางมีแค่เท่านี้เองเล่า ตอนนางอายุสิบหกมัวแต่ไปทำอะไรอยู่กันแน่

ส่วนท้องคือจุดเปราะบางที่สุดของสัตว์สี่เท้าส่วนใหญ่ ภูตสุนัขดำร้องเอ๋งอย่างเจ็บปวด ฟุบลงกับพื้นยากจะลุกขึ้นจู่โจมได้อีก หลี่เจาเกอหยุดอยู่ด้านหลังของมัน บิดข้อมือเล็กน้อยเพื่อสลัดเลือดบนตัวกระบี่ออกให้หมดจด จากนั้นก็ดีดร่างขึ้นจากพื้น สองมือกุมกระบี่ยาวเงื้อขึ้นสูง ทุ่มแรงโจมตีไปที่ส่วนคอของภูตสุนัขดำ

กระบวนท่านี้หมายเด็ดชีพจึงบรรจุพลังทั้งหมดเข้าสู่คมกระบี่โดยไม่ได้เก็บออมไว้อีก ทว่าขณะจะสัมผัสถูกเป้าหมาย ด้านข้างกลับพลันมีฝักกระบี่สีเงินยวงยื่นมาขวางการโจมตีของนางไว้อย่างแน่นหนา

อาวุธทั้งสองกระทบกันบังเกิดเสียงก้องกังวานปานโลหะกระแทกศิลา หลี่เจาเกอโจมตีหนนี้ด้วยพลังทั้งร่าง แรงปะทะมิใช่เบาๆ ทว่าฝักกระบี่อันนั้นกลับนิ่งสนิท นางตื่นตัวทันใด มองตามฝักกระบี่สีเงินนั้นขึ้นไปช้าๆ

ฝักกระบี่เรียวยาวงามประณีต ไม่รู้ทำด้วยโลหะชนิดใดจึงแผ่รัศมีอันเยือกเย็น ลวดลายเมฆมงคลกระหวัดอยู่บนฝักกระบี่ เวียนวนรอบล้อมอัญมณีสีฟ้าน้ำแข็งที่อยู่ใจกลาง ประหนึ่งสัญลักษณ์โบราณลี้ลับบางอย่าง มือยาวเรียวหนึ่งข้างกุมอยู่ข้างอัญมณีเม็ดนั้น อัญมณีดูเย็นเยียบ ทว่านิ้วมือของเขายังแลดูเย็นเยียบสูงค่ายิ่งกว่าอัญมณี

ถัดขึ้นไปอีกหลี่เจาเกอแลเห็นแขนเสื้อยาวสีขาว ชายแขนเสื้อเหลือบแสงวูบไหว เห็นคลับคล้ายเป็นลวดลายสีทองอ่อนรูปจยาเลี่ยง หวาเปี่ยว กับประกายดาว บุรุษที่สวมหน้ากากสีเงินเจ้าของฝักกระบี่ก็กำลังพินิจมองหลี่เจาเกออยู่เช่นกัน

ใบหน้าหลี่เจาเกอไร้ความรู้สึกทั้งที่ในใจตึงเครียดยิ่งยวด…บุรุษผู้นี้มาตั้งแต่เมื่อใดกัน ไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางไม่ทันรู้ตัวเลยสักนิด เมื่อครู่การโจมตีสุดกำลังของนางเขาเพียงยื่นฝักกระบี่มาก็รับไว้ได้แล้ว พลังฝีมือของเขาจะต้องเหนือชั้นกว่านางลิบลับ

หลี่เจาเกอไม่ได้รั้งกระบี่กลับคืน ยังคงประสานสายตากับอีกฝ่ายอย่างเย็นชาอยู่เช่นนั้นพลางถาม “เหตุใดท่านต้องขัดขวางข้าสังหารภูต”

“ไม่มีผู้ใดขัดขวางเจ้าสังหารภูต” ฉินเค่อไม่ได้ใส่ใจมือของนางที่กุมกระชับบนด้ามกระบี่ เขารั้งฝักกระบี่ประจำกายกลับคืนอย่างผ่อนคลายยิ่ง หันร่างมองไปทางภูตสุนัขดำ แต้มแสงสีเงินกำจายออกมาจากใจกลางฝ่ามือของเขา ไหลเข้าสู่ปากของภูตสุนัขดำช้าๆ ภูตสุนัขดำราวถูกพลังบางอย่างบีบเค้นลำคอไว้ก็ไม่ปาน ส่งผลให้ร่างของมันถูกยกลอยขึ้น ปากอ้ากว้างโดยไม่อาจควบคุม ขาทั้งสี่ได้แต่ดิ้นรนอย่างป่วยการ ไม่ช้าลูกกลอนสีขาวนวลสุกใสลูกหนึ่งก็ลอยออกมาจากลำคอของมัน เคลื่อนลงสู่ฝ่ามือของเขาอย่างมั่นคง ขณะเดียวกันร่างของภูตสุนัขดำก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นสุนัขดำธรรมดาตัวหนึ่งตกลงบนพื้นทันที

ตั้งแต่ครู่ก่อนหลี่เจาเกอก็รู้สึกว่าภูตสุนัขตนนี้ดูชอบกล มีผิวแกร่งกับพลังแก่กล้าเสียเปล่า กลับไม่มีระดับสติปัญญาที่สอดคล้องกัน ที่แท้มันไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นภูตจากการบำเพ็ญเพียรปกติ หากแต่ถูกลูกกลอนเซียนช่วยเร่งนี่เอง

ฉินเค่อเก็บลูกกลอนปราณฟ้าดินก่อนกล่าวกับหลี่เจาเกอ “เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าสังหารมันได้แล้ว”

สังหารภูตเขาไม่ยุ่งเกี่ยว ทว่าลูกกลอนปราณฟ้าดินเป็นสมบัติของราชสำนักสวรรค์จะถูกทำลายไปมิได้

หลี่เจาเกอมองสุนัขดำที่นอนลมหายใจรวยรินอยู่บนพื้นตัวนั้น ไหนเลยยังมีความคิดจะลงมือต่อ นางพลิกมือสอดกระบี่ยาวคืนฝัก ครั้นเห็นบุรุษตรงหน้าทำท่าจะจากไปแล้ว นางก็รีบไล่ตามไปถาม “ท่านเป็นผู้ใดกัน”

ฉินเค่อไม่ตอบ หลี่เจาเกอก็เดินตามไประยะหนึ่งก่อนถามอีกครา “เมื่อก่อนท่านเคยมาแถวนี้ใช่หรือไม่ ตอนนั้น…พวกข้ายังพำนักอยู่ที่ผิงซาน”

บทที่ 6 ภูเขาผิงซาน

ในเมื่อฉินเค่อรับปากเซียวหลิงไปแล้วก็จะทำตามที่ตกลงไว้แน่นอน ภายหลังออกจากวังซานชิง เขาจึงไม่ได้กลับวังอวี้ซวีแต่ตรงลงมายังแดนมนุษย์เลย

ก่อนจะไปสกุลเผย เขาต้องแก้ปัญหาตกค้างของเซียนหมู่ตานเสียก่อน เซียนหมู่ตานเคยเป็นหัวหน้าแห่งร้อยบุปผา รับหน้าที่เก็บรักษาสมบัติที่เกี่ยวข้องกับมวลบุปผชาติ ลูกกลอนปราณฟ้าดินก็เป็นหนึ่งในนั้น

เมื่อสิบสี่วันที่แล้วของแดนสวรรค์ ฉินเค่อลงมาแดนมนุษย์ด้วยตนเองเพื่อจับกุมเซียนหมู่ตานไปปิดคดี แต่นึกไม่ถึงว่านางพกลูกกลอนปราณฟ้าดินติดตัวลงมาด้วย ครั้นนางถูกจับกลับขึ้นไปถึงราชสำนักสวรรค์ ทหารสวรรค์ตรวจนับสมบัติในความดูแลของนางค่อยพบว่าลูกกลอนปราณฟ้าดินหายไปไม่รู้ร่องรอย

ลูกกลอนปราณฟ้าดินสามารถบำรุงปราณ รักษาฐานรากเพิ่มพูนพลังวัตร เป็นโอสถทิพย์อันดับหนึ่งที่เหล่าเซียนจะใช้เลื่อนขั้นพลัง จริงอยู่นี่ไม่อาจนับเป็นของวิเศษสำคัญอันใดนัก แต่ถึงอย่างไรก็เคยลงบันทึกไว้ในสมุดรายนามของวิเศษประจำราชสำนักสวรรค์ สะเพร่าทำหายไปจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เดิมทีฉินเค่อตั้งใจจะส่งทหารสวรรค์ลงไปค้นหาลูกกลอนปราณฟ้าดิน ทว่าต่อมาได้สนทนากับเซียวหลิงเรื่องช่วยสนับสนุนเทพดาราทันหลางเผชิญด่านเคราะห์ ฉินเค่อจึงไม่ได้ส่งผู้ใต้บังคับบัญชาลงไป เปลี่ยนใจจะไปด้วยตนเอง คิดว่าระหว่างทางไปสกุลเผยจะแวะไปเสาะหาลูกกลอนปราณฟ้าดินกลับคืนมา

เมื่อก่อนเซียนหมู่ตานกับหยางหวาใช้ชีวิตสันโดษที่ภูเขาผิงซาน ในเขตบ้านปลูกเรือนไม้ไว้สามหลัง หน้าเรือนมีคันนา หลังเรือนมีสระน้ำ นอกจากสองคนสามีภรรยาก็ยังเลี้ยงสุนัขดำกับพุ่มดอกไม้ป่า ใช้ชีวิตผ่อนคลายมีเสรี น่าเสียดายทุกสิ่งอันดีงามสะดุดหยุดลงเมื่อทหารสวรรค์มาถึง ฉินเค่อรู้ว่าเซียนหมู่ตานละเมิดกฎสวรรค์จึงลงมาแดนมนุษย์จับกุมนางกับหยางหวากลับไปขังคุกสวรรค์ด้วยตนเอง

หนึ่งวันในแดนสวรรค์เท่ากับหนึ่งปีในแดนมนุษย์ เหตุการณ์นับแต่จับกุมจนกระทั่งไต่สวนตัดสินเกิดขึ้นเพียงสิบสี่วัน ทว่าแดนมนุษย์ได้ผ่านพ้นไปสิบสี่ปีเต็มๆ หนนี้ฉินเค่อก็ลงมาภูเขาผิงซานเป็นที่แรก บัดนี้เรือนน้อยอันอบอุ่นในวันวานทรุดโทรมนานแล้ว เขากวาดตามองที่พักของอดีตเซียนหมู่ตานรอบหนึ่ง แต่ไม่ค้นพบร่องรอยของลูกกลอนปราณฟ้าดินแต่อย่างใด

ฉินเค่อยืนอยู่ในแปลงดอกไม้หน้าเรือนชั่วครู่ก็สัมผัสถึงกลิ่นอายบริสุทธิ์ของลูกกลอนเซียนได้บางเบากับกลิ่นอายของภูตอีกเล็กน้อย

ถึงอย่างไรเซียนหมู่ตานก็เป็นหัวหน้าแห่งร้อยบุปผา มีนางคอยรดน้ำดูแลทุกวัน ไม่ช้าบุปผชาติย่อมบังเกิดสติปัญญาจนเลื่อนขั้นเป็นภูต ฉินเค่อสังเกตพบว่าสุนัขดำในลานตัวนั้นหายไปเช่นกัน คาดว่าลูกกลอนปราณฟ้าดินคงถูกภูตเล็กๆ เหล่านี้เอาไป

ภูตรวมไปถึงปีศาจระดับต่ำไม่อาจสลายลูกกลอนเซียนได้ ฉินเค่อจึงไม่กลัวว่าพวกมันจะทำอันใดกับลูกกลอนเซียน เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ต้องอ้อมเส้นทาง เพิ่มความวุ่นวายแก่เขาอยู่บ้าง

ฉินเค่อตามกลิ่นอายของลูกกลอนเซียน มุ่งสู่ส่วนลึกของทิวเขาไปตลอดทาง สำหรับฉินเค่อแล้วสัตว์ร้ายกับภูตในทิวเขาไม่ต่างกับไร้ตัวตน ต่อให้เขาสะกดพลังวัตรเหลือเพียงหนึ่งในสิบส่วนก็มิใช่ผู้ที่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ บนแดนมนุษย์จะท้าทายได้

ฉินเค่อเสาะพบลูกกลอนปราณฟ้าดินในไม่ช้า ทว่านอกจากภูตสุนัขดำตนนั้นกลับยังมีสตรีอยู่อีกผู้หนึ่ง

บังเอิญแท้ เป็นคนรู้จักพอดี

ประเดี๋ยวฉินเค่อยังต้องไปทำภารกิจที่สกุลเผย เขาลงมาแดนมนุษย์หนนี้ก็เพื่อจะช่วยสนับสนุนเผยจี้อันเผชิญด่านเคราะห์ รวมถึงคุ้มครองเผยจี้อันไม่ให้ถูกเงื้อมมืออำมหิตของหลี่เจาเกอทำร้าย ด้วยฐานะที่เขาจะสวมใช้บนแดนมนุษย์ย่อมเลี่ยงไม่พ้นต้องพบปะหลี่เจาเกอในวันหน้า หากเขาถูกจำได้ตั้งแต่ที่นี่ เกรงว่าจะยุ่งยากไม่น้อย

เขาจึงได้แต่เสกหน้ากากให้ตนเองอันหนึ่งก่อนจะสกัดหลี่เจาเกอไม่ให้โจมตีภูตสุนัขดำ สตรีนางนี้ช่างมีไอสังหารรุนแรงเสียจริง

เดิมนางจะปลิดชีพภูตที่เป็นภัยต่อมนุษย์ ฉินเค่อไม่มีความเห็นแย้งใดๆ ทว่าหากหนึ่งกระบี่นั้นของนางฟันลงไปทำให้ลูกกลอนปราณฟ้าดินย่อยยับก็จะเป็นความเสียหายของแดนสวรรค์

ดังนั้นฉินเค่อจึงขวางหลี่เจาเกอไว้ ตั้งใจว่าริบลูกกลอนปราณฟ้าดินเสร็จก็จะจากไป แต่ไรมาเขาไม่เคยยุ่มย่ามธุระกงการของผู้อื่น หลี่เจาเกอจะกำจัดภูตเป็นเรื่องของนาง เขาจะริบลูกกลอนเซียนกลับคืนเป็นเรื่องของราชสำนักสวรรค์ รอจนเขาริบของกลับมาเรียบร้อย นางพอใจจะลงมือกับมันเช่นไรก็สุดแต่ใจนาง

เขาไม่คาดคิดเลยว่าหลี่เจาเกอที่เมื่อครู่ท่าทางยังดุดันกลับไม่เอาชีวิตภูตแล้ว แต่มุ่งมั่นตามหลังเขามา สลัดอย่างไรก็สลัดไม่หลุด เขาตระหนักได้ว่านางไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ ดูจากท่าร่างของนางเห็นได้ชัดว่าต้องเคยฝึกวิชาเซียนมา

ฉินเค่อคิดในใจว่ามิน่าเล่าเห็นทีชาติก่อนเทพดาราทันหลางถูกเล่นงานจนย่ำแย่ปานนั้นมิอาจโทษเสียทั้งหมดว่าเทพดาราทันหลางไม่ได้ความ เพียงแต่นางเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง…ไฉนเคยร่ำเรียนวิชาเซียนได้เล่า

ในใจฉินเค่อผุดข้อสันนิษฐานรางๆ แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่จากไปในทันที ทั้งยังเอ่ยถามประโยคหนึ่งอย่างหาได้ยาก “เจ้าตามข้ามาด้วยเหตุใดกัน”

“ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย” แต่เล็กหลี่เจาเกอถูกตาเฒ่าโจวโยนเข้าไปฝึกฝนในป่าดงเขาลึก ขณะนี้แม้ไล่ตามอย่างกินแรงแต่ก็ใช่ว่าไม่อาจตามทัน นางซักไซ้ต่ออย่างไม่ลดละ “รัชศกหย่งฮุยปีที่สิบแปด ที่ภูเขาผิงซาน…ท่านเคยปรากฏตัวใช่หรือไม่”

ฉินเค่อลองคำนวณเป็นเวลาในแดนมนุษย์…หลังจบชาติภพเดิม เวลาถูกย้อนสิบปีมาเริ่มใหม่ตอนนี้ที่รัชศกหย่งฮุยปีที่ยี่สิบสอง รัชศกหย่งฮุยปีที่สิบแปดคือสี่ปีก่อน นับรวมเวลาสิบสี่ปีก็จะเท่ากับสิบสี่วันก่อนในแดนสวรรค์ ตอนนั้นเขานำนายทัพพลทหารสวรรค์ลงมาจับกุมเซียนหมู่ตาน หากหลี่เจาเกอพำนักอยู่ที่ภูเขาผิงซาน นางจะพบเห็นเขาโดยบังเอิญก็เป็นไปได้อยู่

ฉินเค่อแม้อุปนิสัยเฉยชา ทว่าจะไม่ปฏิเสธข้อเท็จจริง จึงผงกศีรษะรับ “เป็นข้าเอง”

หลี่เจาเกอเบิกตาโตด้วยความตื่นตะลึง…เป็นเขาจริงๆ ด้วย!

รัชศกหย่งฮุยปีที่สิบแปด หลี่เจาเกอในวัยสิบสองยังไม่รู้เดียงสาและไม่ช่างใส่ใจ จึงไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าบุรุษสตรีมีอันใดแตกต่าง วันนั้นนางถูกตาเฒ่าโจวทิ้งให้ตัดฟืนอยู่บนเขา จู่ๆ สัมผัสได้ว่ามีไอหนาวซัดเข้ามาในป่า นางจึงกระโดดขึ้นไปดูบนยอดไม้ พบว่าเนินเขาฝั่งตรงข้ามมีคนผู้หนึ่งประดุจเซียนวิเศษในอาภรณ์ล้อลม รูปกายดั่งหยก ผิวผ่องปานน้ำแข็งยืนอยู่บนชั้นเมฆ ข้างใต้ของชั้นเมฆเห็นได้รางๆ ว่ายังมีเงาผู้อื่นถือกระบี่สวมเกราะขาวเคลื่อนตัวขึ้นๆ ลงๆ

การแลมองปราดเดียวนั้นจู่โจมจิตใจหลี่เจาเกอรุนแรงยิ่งยวด ครั้นเมฆหมอกพลิกม้วน ทุกสิ่งก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งเมื่อครู่เป็นเพียงภาพมายากลางขุนเขา แม้แต่หลี่เจาเกอเองก็ไม่รู้ว่าภาพที่นางเห็นเป็นความจริงหรือเป็นเพียงภาพมายา

นางไม่อาจเห็นรูปโฉมของผู้ที่ยืนบนชั้นเมฆได้ถนัดชัดเจน ทว่าสง่าราศีอันสูงศักดิ์น่ายำเกรงเคร่งขรึมดั่งองค์พระนั้นได้เวียนวนติดตรึงหัวใจนางนับตั้งแต่นั้น ดูเหมือนเริ่มตั้งแต่วันนั้นเองที่หลี่เจาเกอพลันรู้สึกได้ว่านางต่างกับพวกเด็กชายในหมู่บ้าน รวมถึงต่างกับตาเฒ่าโจว

นางเพิ่งตระหนักได้เป็นครั้งแรกว่านางคือเด็กหญิงผู้หนึ่ง

ก็เพราะการแลมองปราดเดียวนี้ จิตใต้สำนึกของหลี่เจาเกอจึงเอนเอียงชื่นชอบผู้ที่มีรูปโฉมราศีดุจเทพเซียนเรื่อยมา แม้แต่ตอนเลือกคู่ครองก็ยากจะเลี่ยงได้ การที่นางเห็นเผยจี้อันต้องตาแต่แรกพบ ตลอดแปดปีนับจากนั้นชมชอบเขาราวต้องคุณไสยก็เกี่ยวเนื่องแน่นแฟ้นกับเหตุการณ์วัยสิบสองที่ได้ยลยอดบุรุษหนึ่งแวบนั้น

ภายหลังหลี่เจาเกอได้เกิดใหม่ เดิมทีตั้งใจจะละวางความยึดมั่นถือมั่นนี้แล้ว นึกไม่ถึงเลยกลับได้มาพานพบบุรุษในชาติก่อนผู้นั้นที่นี่

ในใจหลี่เจาเกอสะทกสะท้อนไม่สิ้นสุด หากว่าชาติก่อนนางได้พบเขาเช่นนี้อีกครา นางมีหรือจะยังอาวรณ์ไม่ยอมลืมเลือนเผยจี้อัน ทว่าหลี่เจาเกอตรองดูอีกที ชาติก่อนนางในวัยสิบหกไม่มีฝีมือจะตะลุยผ่านใจกลางป่าดำโดยลำพังเสียหน่อย ต่อให้เขาปรากฏตัวที่นี่เช่นเดียวกันนี้ นางก็ไม่มีวาสนาจะได้พบพาน

เห็นทีว่าทุกสิ่งล้วนอยู่ใต้อำนาจของเหตุต้นผลกรรม

หลี่เจาเกอคิดตกแล้วก็ไม่ยึดติดกับเรื่องไม่ดีในชาติก่อนอีก เนื่องจากชาติก่อนเขาคือแสงจันทร์ขาวผู้ตรึงใจนางแม้ปรากฏกายเพียงแวบ ขณะนางเอ่ยวาจาจึงเกรงอกเกรงใจเขามากขึ้นโดยไม่รู้ตัว “วันนั้นท่านหายไปไวยิ่งนัก ข้านึกว่าตนเองฝันไปหรือเกิดภาพมายาขึ้นเสียอีก ข้าไม่ได้จำผิดจริงๆ เสียด้วย ตาเฒ่าที่น่าตายนั่นหลอกข้าอีกแล้ว”

ฉินเค่อถามหน้านิ่ง “ในเมื่อเจ้าพำนักอยู่ภูเขาผิงซาน เหตุใดตอนนี้มาอยู่ที่นี่เล่า”

“อ๋อ เพราะพวกข้าย้ายบ้านน่ะสิ” หลี่เจาเกอนึกถึงเรื่องในวัยสิบสอง น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลโดยไม่ได้จงใจ “วันนั้นข้ากลับบ้านไปอย่างตื่นเต้น บอกตาเฒ่าโจวว่าข้าน่าจะได้เจอเซียนวิเศษเข้าแล้ว ตาเฒ่าโจวกลับหาว่าสมองข้ามีปัญหาจนเกิดภาพมายา นอกจากจะห้ามไม่ให้ข้าคิดต่อไป ยังพาข้าย้ายบ้านในคืนนั้นเลย”

โจว? หางคิ้วของฉินเค่อภายใต้หน้ากากขยับเบาๆ เขานิ่งมองหลี่เจาเกอก่อนถามเสียงเยือกเย็น “ผู้ที่เลี้ยงดูเจ้ามา…แซ่โจว?”

ต่อให้หลี่เจาเกอมีความรู้สึกที่ดีต่อแสงจันทร์ขาวในชาติก่อนก็ไม่ถึงขั้นสิ้นความระวังตื่นตัว แววตาของนางค่อยๆ แหลมคมขึ้น มองประเมินฉินเค่อก่อนย้อนถาม “ท่านถามเรื่องนี้เพื่ออันใด”

ผิดจากที่หลี่เจาเกอคาดไว้ อีกฝ่ายไม่ได้ซักถามต่อ ซ้ำหัวเราะเบาๆ “ไม่มีอันใดหรอก”

หลี่เจาเกอไม่ยอมเอ่ยตอบ ทว่าฉินเค่อกลับได้รับคำตอบแล้ว มิน่าเล่า…ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

เป็นโจวฉางเกิงนี่เอง ไม่แปลกเลยที่ทั่วแดนสวรรค์กางแหฟ้าตาข่ายดิน มาตั้งหลายปีล้วนเสาะไม่พบเขา ที่แท้เขาก็ลงมาซ่อนตัวในแดนมนุษย์ อันที่จริงฉินเค่อควรจะคิดออกเร็วกว่านี้ โจวฉางเกิงเป็นคนในยุทธภพที่บำเพ็ญสำเร็จ พูดให้ชวนฟังหน่อยคือยังมีอุปนิสัยผ่าเผยแบบชาวยุทธ์ พูดอย่างไม่ชวนฟังนั่นเรียกว่าประพฤติเยี่ยงโจร รำคาญกฎสวรรค์ที่ผูกมัดก็แอบหนีกลับแดนมนุษย์เสียเลย ความจริงฉินเค่อควรจะเดาได้นานแล้ว

เรื่องราวในโลกช่างบังเอิญได้ถึงเพียงนี้ เทพดาราไท่ไป๋โจวฉางเกิงเก็บหลี่เจาเกอได้ เขาเลี้ยงดูนางจนเติบใหญ่ หลายปีให้หลังนางก็ไปเล่นงานสหายร่วมแดนสวรรค์ของเขาอย่างสาหัสสากรรจ์ ส่งผลให้ตอนนี้ฉินเค่อจำต้องลงมาแดนมนุษย์ ช่วยสะสางสถานการณ์อันเละเทะที่สองเทพดาราก่อไว้

หลี่เจาเกอจำที่ตาเฒ่าโจวเคยบอกได้ เขาหมายหลบหนีศัตรูที่ตามฆ่าจึงได้มาซ่อนตัวในป่าดงเขาลึก ผู้ที่ตามฆ่าตาเฒ่าโจวได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป บุรุษสวมหน้ากากผู้นี้ก็มีฝีมือการต่อสู้ลึกล้ำสุดหยั่ง เขามาปรากฏตัวที่นี่โดยไร้คำอธิบาย ที่แท้มาเพื่อการใดกันแน่

หลี่เจาเกอถามอย่างระแวดระวัง “หมู่บ้านข้าทุรกันดาร ป่าดำก็ไม่ใช่สถานที่ที่มีทิวทัศน์อันใด ไฉนคุณชายจึงมาปรากฏตัวที่นี่ยามวิกาล ซ้ำยังสวมหน้ากากไม่ยอมเผยใบหน้าต่อผู้คน”

ฉินเค่อแตะหน้ากากที่ปกปิดใบหน้าเบาๆ ก่อนตอบ “ไม่มีสาเหตุอื่น แค่เลี่ยงความยุ่งยาก”

“ความยุ่งยาก?” หลี่เจาเกอยังคงมองเขาอย่างคลางแคลง “มีความยุ่งยากใดกันที่คู่ควรลำบากคุณชายมาเยือนสถานที่แร้นแค้นเช่นนี้”

“ความยุ่งยากที่มีชนวนเหตุจากสตรีผู้หนึ่ง”

หลี่เจาเกอฟังมาถึงตรงนี้ก็หัวเราะเบาๆ อย่างดูแคลนก่อนกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว เดิมนึกว่าคุณชายมีท่วงทีดุจเซียนจะแตกต่างจากผู้อื่น นึกไม่ถึงว่าท่านเองก็มีความคิดพรรค์นี้ บ้านเมืองเกิดหายนะบอกว่าเป็นความผิดของหญิงงาม แม่ไก่ขันปลุก บอกว่าเป็นความผิดของสตรี แม้แต่ความยุ่งยาก…ก็ยังเป็นความผิดของสตรีอีก”

ฉินเค่อจำได้ว่าหลี่เจาเกอในคันฉ่องซวีหมีสวมชุดพิธีการของฮ่องเต้สิ้นใจอยู่ในตำหนัก เขาไม่รู้หรอกว่านางผ่านเหตุการณ์ใดมาบ้าง เหตุใดจึงต้องชิงบัลลังก์ ทว่าการให้หลี่เจาเกอกับเผยจี้อันย้อนมาเกิดใหม่เป็นการตัดสินใจของเขากับเซียวหลิง ในเมื่อมอบชีวิตที่สองแก่นางแล้ว เขาก็ต้องแบกความรับผิดชอบส่วนหนึ่งจึงเอ่ยกับนางด้วยเจตนาดีของผู้อาวุโส “นับแต่โบราณมาผู้มีความสามารถจึงได้ครองตำแหน่งสูง เครื่องชี้วัดว่าผู้นำท่านหนึ่งดีหรือแย่นั้นหาใช่ความเป็นบุรุษหรือสตรี หากแต่เป็นความสามารถ หากนางมีความสามารถ ตำราประวัติศาสตร์ย่อมจะมอบความยุติธรรมแก่นางเอง ทว่าหากไร้ความสามารถ ซ้ำสังหารผู้บริสุทธิ์พร่ำเพรื่อเพียงเพื่อความปรารถนาส่วนตนก็มีแต่จะถูกคนทั่วหล้าทอดทิ้ง”

หลี่เจาเกอเงียบไป นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฉินเค่อถึงกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกถ้อยคำล้วนกล่าวกระทบใจนาง ชาติก่อนหลี่เจาเกอสังหารคนไปมากมาย แรกเริ่มเพื่อผดุงคุณธรรม ต่อมาเพื่อปกป้องตนเอง กระทั่งถึงตอนท้ายนางก็ไม่อาจหยุดมือได้อีกจึงจำต้องฆ่าเพื่อหยุดการฆ่า นางฆ่าขุนนางหลายคนที่ต่อต้านนาง ทว่าราษฎรในราชธานีตะวันออกที่อาศัยเพลงเด็กอันแพร่หลายลอบประณามว่านางไม่ภักดีไม่กตัญญูนั้น นางล้วนไม่เคยฆ่าแม้สักคนเดียว

แท้จริงแล้วนางเสียใจภายหลังมาโดยตลอด นางยอมรับว่าตนเองเห็นแก่ตัว อยากจะก้าวสู่ตำแหน่งอันสูงสุดนั้น ทว่านางก็ปรารถนาจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีด้วย

เพียงแต่นางไม่อาจทำได้สำเร็จ ตอนสังหารหลี่ไหวกับหลี่ฉังเล่อ นางคิดอยู่ตลอดว่าตนเองทำผิดไปใช่หรือไม่ หากให้หลี่ไหวเป็นฮ่องเต้จะดีกว่านางจริงๆ หรือไม่

หลี่เจาเกอกับฉินเค่อเดินอยู่ท่ามกลางพงไพรไปอย่างเงียบเชียบ มีเพียงเสียงลมดังซ่าๆ มาจากผืนป่าดำทางด้านหลัง ผ่านไปครู่หนึ่งนางค่อยถามเสียงเบา “ทำเช่นไรจึงจะเป็นทั้งฮ่องเต้ที่ดีกับบุตรสาวที่ดีได้เล่า”

ฉินเค่อเตือนนางเสียงเย็น “ระวังคำพูดด้วย ในใต้หล้านี้เอ่ยคำว่า ‘จะเป็นฮ่องเต้’ ต้องรับโทษตัดศีรษะ”

หลี่เจาเกอกำลังจมอยู่ในห้วงอารมณ์ ครั้นได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ อารมณ์ของนางก็ถูกขัดจังหวะทันตา ในใจรู้สึกอับจนถ้อยคำไม่น้อย นางไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้มีรูปโฉมเช่นไร ทว่าดูจากรูปร่างกับนิ้วมือของเขาแล้วไม่ต้องสงสัยเลยว่าชวนมองยิ่งยวด คนที่ดีงามผู้หนึ่งไฉนพูดจาน่าเบื่อเช่นนี้เล่า

นางนึกว่าตนเองเป็นคนน่าเบื่อมากแล้ว ไม่นึกเลยว่าในใต้หล้าจะยังมีคนสนทนาไม่เป็นยิ่งกว่านางอยู่อีก

หลี่เจาเกอกล่าว “ข้าเพียงแต่ยกตัวอย่าง อยากค้นหาคำตอบว่าทำเช่นไรจึงจะเป็นทั้งบุตรสาวที่ดีและภรรยาที่ดี จากนั้นยังเป็นขุนนางที่ดีผู้หนึ่งได้…ช่างเถิด ภรรยาที่ดีกับขุนนางที่ดีเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกัน ขอเพียงเส้นทางราชการราบรื่น รุดหน้าก้าวกระโดด ยังจะต้องการชีวิตคู่ไปทำอันใด ความผิดพลาดร้ายแรงที่สุดในชีวิตข้าก็คือหลงชมชอบบุรุษผู้หนึ่ง ซ้ำแต่งงานเป็นสามีภรรยากับเขา ทำร้ายทั้งตนเองและผู้อื่น สุดท้ายไม่ได้ตายดีจริงๆ เสียด้วย”

ฉินเค่อเอ่ยแก้นางอีกหน “เส้นทางราชการของเจ้าล้มเหลวเป็นเพราะประเมินความสามารถของตนเองผิดพลาด เกี่ยวอันใดกับสามีเล่า”

หลี่เจาเกอไม่ติดใจที่ฉินเค่อวิจารณ์นาง ทว่าที่เขาพูดจาแทนเผยจี้อันนั่นยอมรับไม่ได้ นางแค่นหัวเราะก่อนยกคิ้วกล่าว “ไม่เกี่ยวแล้วอย่างไร ข้าก็เห็นเขาขัดลูกนัยน์ตาอยู่ดี ก่อนหน้านี้เขาแทงข้าหนึ่งกระบี่ ข้าสนองคืนเขาหนึ่งฝ่ามือ นับว่าเสมอกัน แต่เรื่องที่เขาพาสตรีอื่นร่วมเตียง จงใจทำให้ข้าสะอิดสะเอียน ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเขาเลย ข้าผิดต่อเขาที่ตรงที่ใด เขาถือสิทธิ์อะไรทำเช่นนี้กับข้า”

ฉินเค่ออดไม่ได้ต้องย้อนนึกถึงภาพที่ได้เห็นจากคันฉ่องของเซียวหลิงก่อนหน้านี้ ดูเหมือนหลี่เจาเกอได้สังหารท่านตา ท่านลุง น้องสาวพร้อมเด็กที่ยังอยู่ในครรภ์ รวมถึงสตรีในดวงใจของเผยจี้อัน อีกทั้งมีส่วนโดยอ้อมทำให้ญาติผู้น้องสกุลเผย ญาติผู้พี่สกุลจ่างซุน กับท่านย่าของเผยจี้อันเสียชีวิต เผยจี้อันเคียดแค้นนาง โดยรวมก็เป็นสิ่งที่ปกติยิ่ง ทว่าต้องแยกกันเป็นเรื่องๆ เผยจี้อันจะเอาคืนหลี่เจาเกอก็ได้ แต่ไม่อาจมีสัมพันธ์กับสตรีอื่นขณะยังไม่หย่าขาดจากภรรยา ฉินเค่อหมายจะเลียบเคียงความคิดของคู่ต่อสู้จึงถามว่า “เช่นนั้นต่อไปเจ้าตั้งใจจะทำอย่างไรหรือ”

“หนึ่งกระบี่สะบั้นสัมพันธ์ นับแต่นี้เป็นศัตรูทางการเมือง” หลี่เจาเกอกล่าวอย่างเย็นชา “เขาพอใจจะไปหาสตรีนางใดก็เชิญ ส่วนข้าชีวิตนี้ไม่คิดจะแต่งงาน ข้ากับเขาจบสิ้นกันไปแล้ว”

ฟังจบแน่นอนว่าฉินเค่อโล่งใจ นางยินยอมวางมือย่อมดีเป็นที่สุด ขอเพียงนางไม่ดึงดันจะช่วงชิงเผยจี้อันอีก เงื่อนตายนี้ก็คลายออกครึ่งหนึ่งแล้ว ฉินเค่อเองย่อมบรรลุภารกิจกลับแดนสวรรค์ได้เร็วขึ้น ราชสำนักสวรรค์ยังมีคดีอีกมากรออยู่ เขาไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่แดนมนุษย์นานนัก

เรือนผมสีน้ำหมึกของฉินเค่อดุจธารน้ำตก แขนเสื้อยาวโบกสะบัดตามลมดังพึ่บพั่บดั่งเซียนวิเศษกำลังจะเหินปะทะลม เขาผินหน้ามาเล็กน้อยเอ่ยกับหลี่เจาเกอว่า “ร้อยปีให้หลังโฉมงามล้วนแปรเป็นซากกระดูก อารมณ์รักเป็นเพียงมายา เจ้าละวางความยึดมั่นถือมั่นได้ในเร็ววันจะเป็นผลดีต่อทั้งตัวเจ้าและผู้อื่น”

หลี่เจาเกอเลิกคิ้ว เสียงพูดของคนผู้นี้ยังหนุ่มมากแท้ๆ ไฉนน้ำเสียงถึงเฉยเมยเพียงนี้ ไม่คล้ายคนหนุ่มในวัยนี้เลย กลับคล้ายบรรพชิตผู้มองทะลุทางโลกเสียมากกว่า

หลี่เจาเกอคลี่ยิ้ม จงใจถามหยั่งเชิง “เหตุใดท่านพูดว่าร้อยปีให้หลังล้วนแปรเป็นซากกระดูก หรือ…ท่านมีชีวิตเกินร้อยปีแล้ว?”

ฉินเค่อไม่ได้ตอบอีก เขาได้รับข้อมูลที่ต้องการ ไม่จำเป็นต้องละเล่นเป็นเพื่อนหลี่เจาเกอต่อ รอบกายเขาบังเกิดกระแสลมอันบริสุทธิ์พัดม้วน พาให้เรือนผมยาวของเขาร่ายรำไปทั่วทิศ พรางหน้ากากจนเผยเพียงรำไรท่ามกลางเรือนผมดำขลับ หลี่เจาเกอตระหนักได้ว่าเขากำลังจะหายตัวไปอีกครา ในใจหดเกร็งรีบถามเสียงรัว “ท่านเป็นผู้ใดกันแน่ ท่านเป็นเซียนวิเศษจริงๆ น่ะหรือ”

หลี่เจาเกอไม่อาจรอจนได้คำตอบ ลมกระโชกหอบหนึ่งซัดมา ทำเอายืนทรงกายไม่มั่นคง อดไม่ได้ต้องถอยหลังสองก้าว ยกมือป้องตา รอจนนางลดมือลงเบื้องหน้าก็ไม่มีผู้ใดอยู่อีก

ป่าทึบยังคงลุ่มลึกเงียบสงัดมืดมิดไม่เห็นปลายทาง บนพื้นตรงหน้าสะอาดเรียบร้อย ไหนเลยจะมีร่องรอยของลมกระโชกแม้สักนิด

เขาจากไปเสียแล้ว

สองไหล่ของหลี่เจาเกอลู่ตกลงอย่างไร้แรง เขาหายตัวไปอีกแล้วเฉกเช่นขณะนางวัยสิบสองหนนั้น กาลเวลาสิบสี่ปีนางเกิดดับแล้วสองครา ทว่า…แม้แต่เขามีนามใดนางก็ยังไม่รู้เลย

บนโลกนี้…มีเซียนวิเศษอยู่จริงหรือไม่นะ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: