X
    Categories: จุติรัก พลิกชะตาร้ายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง

เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็จะไม่พบเจออันตราย หลี่เจาเกอคิดมาถึงตรงนี้จึงไม่ย้อนกลับไปเอาความกับภูตเล็กๆ เหล่านั้น มุ่งหน้าเดินทางของนางต่อ

หนทางช่วงต่อมาล้วนสงบปลอดภัย หลี่เจาเกอบุกป่าฝ่าดงอีกสี่วัน ในที่สุดก็ออกจากเขตป่าดำมาเห็นแสงตะวันอำไพที่เบื้องนอกเสียที

หลี่เจาเกออดไม่ได้ที่จะหันกายกลับไปจรดมองป่าดำอยู่เนิ่นนาน ในผืนป่าเงียบเชียบ ทั้งที่เป็นยามเที่ยงวันภายในนั้นก็ยังคงไม่เห็นแสงแดด มีเพียงแต้มแสงเล็ดลอดลงมาบนพื้นหญ้า โลกด้านนอกอบอุ่นสว่างไสว ในป่าทึบสงัดไร้สรรพเสียง ความแตกต่างอันเด่นชัดเพียงนี้เกือบจะทำให้หลี่เจาเกอแคลงใจว่าทุกสิ่งที่ผ่านมาเป็นความฝัน

ตัดทะลุป่าดำเป็นความฝัน เจอภูตสุนัขดำเป็นความฝัน พบพานท่านเซียนที่เคยเห็นในวัยสิบสอง…ก็เป็นความฝัน

ทว่าเมื่อหลี่เจาเกอลูบซองเกาทัณฑ์ ตำแหน่งว่างในซองบอกนางว่าไม่ใช่ นางได้ออกจากหมู่บ้านในภูเขาที่ใช้ชีวิตมาแต่เล็กจนโตและได้พบกับท่านเซียนผู้นั้นแล้วจริงๆ

หลี่เจาเกอคล้ายตัดสินใจได้เด็ดขาด มองป่าดำเป็นหนสุดท้ายแล้วหมุนกายอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เดินมุ่งหน้าไปโดยไม่เหลียวหลังอีก วันวานที่ละทิ้งนางไปคือสิ่งที่ไม่อาจเหนี่ยวรั้ง วันนี้ที่ปั่นป่วนใจนางมีเพียงความกลัดกลุ้มในปัจจุบัน เส้นทางของนาง…อยู่ที่เบื้องหน้า

 

ตำบลหนานหลินตั้งอิงป่าเขา ด้านหน้ามีสายน้ำโอบล้อม เนื่องด้วยทำเลที่ตั้งอันโดดเด่นนี่เองจึงกลายเป็นตำบลที่เจริญเฟื่องฟูที่สุดในละแวกนี้ พ่อค้าที่ขึ้นเหนือล่องใต้ตลอดจนชาวยุทธ์ที่คิดจะไปเสี่ยงดวงในป่าดำล้วนแวะพักกันที่ตำบลหนานหลิน

ขณะนี้ไป๋เชียนเฮ่อนั่งอยู่บนหอสุราในตัวตำบล มือข้างหนึ่งถือสุราเซาชุน ส่วนมืออีกข้างวางบนหน้าตัก เคาะจังหวะตามเพลงพิณผีผา อย่างสำราญใจ เขาออกมาจากป่าดำเมื่อหนึ่งวันก่อน จากนั้นก็รีบเปิดห้องพักที่ดีที่สุด นอนคลุมโปงไปหนึ่งวันหนึ่งคืน จวบจนตอนนี้จึงเปลี่ยนมาสวมชุดสะอาดสะอ้าน สั่งสุราอาหารอย่างดีมาหนึ่งโต๊ะ พร้อมด้วยสาวงามดีดพิณผีผาเสริมบรรยากาศ เขาค่อยรู้สึกว่าตนเองกลับมามีชีวิตอีกครั้งเสียที

เขาเอนพิงราวกั้นมองดูชั้นล่างในอิริยาบถอันเกียจคร้าน คิดในใจว่านี่ต่างหากชีวิตที่คนเราพึงมี ขี้ขลาดก็ขี้ขลาดสิ ป่าดำแดนภูตผีปีศาจพรรค์นั้นไม่ได้บุกตะลุยก็หาเป็นไรไม่

ไป๋เชียนเฮ่อลือนามมาช้านาน ทั่วหล้าเสมือนดั่งบ้าน แต่ไรมาไม่เคยอยู่ในกรอบ ไม่นานก่อนหน้านี้เขาพนันกับผู้อื่นว่าจะบุกเดี่ยวเข้าป่าดำ หากชนะล่ะก็ อีกฝ่ายจะจ่ายค่าสุราก้อนโตให้เขา เดิมไป๋เชียนเฮ่อคิดว่าคนเราเกิดมาทั้งทีก็ควรกล้าได้กล้าเสีย เสี่ยงชีวิตเพื่อค่าสุราดีจะเป็นไรไปเล่า ทว่าภายหลังไปเดินวนในป่าดำมารอบหนึ่ง เขาพลันรู้สึกว่าชีวิตยังคงสำคัญกว่า เงินก้อนนั้นไม่เอาก็ไม่เป็นไร

เพียงแต่ถึงอย่างไรก็ยังเสียดายอยู่บ้าง ขณะไป๋เชียนเฮ่อนั่งอยู่บนหอสุรานึกห่อเหี่ยวอยู่นั้น สายตาเขาพลันผนึกค้าง สังเกตพบดรุณีน้อยผู้หนึ่งกำลังเดินผ่านชั้นล่างของหอสุรา เขาขยี้ตาจนแน่ใจว่าตนเองไม่ได้ตาฝาดแล้วรีบโบกมือเรียก “น้องสาว น้องสาว! ถูกต้องแล้ว ข้าเอง”

หลี่เจาเกอได้ยินเสียงคุ้นๆ จึงชะลอฝีเท้า เห็นไป๋เชียนเฮ่อเกาะราวกั้น ฉีกยิ้มเรี่ยราดทักทายนางอยู่ “น้องสาว เจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือนี่ โอ๊ะ วันนั้นฟ้ามืดเห็นไม่ชัดเจน นึกไม่ถึงว่าน้องสาวงดงามปานนี้ น้องสาวคนงาม พี่ขอเชิญเจ้าขึ้นมาร่วมดื่มสักจอกเป็นเช่นไร”

หลี่เจาเกอมองเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก รายก่อนที่กล้าเรียกนางว่า ‘น้องสาวคนงาม’ กลายเป็นปุ๋ยจนหญ้าเหนือหลุมศพงอกสูงสามฉื่อแล้ว หากมิใช่เพราะนางมาเกิดใหม่ ตอนนี้ไป๋เชียนเฮ่อก็ยังไปถอนหญ้าให้หลุมศพของคนผู้นั้นได้

เพียงแต่อาหารที่ได้กินดื่มเปล่าๆ ไม่ฉวยไว้ก็น่าเสียดายอยู่ หลี่เจาเกอจึงเดินหน้านิ่งเข้าหอสุรา ขึ้นบันไดไปนั่งตรงข้ามกับไป๋เชียนเฮ่อ ทั้งบอกหญิงงามผู้บรรเลงพิณผีผาว่า “รบกวนเพิ่มชามตะเกียบมาอีกชุดหนึ่ง ขอบคุณ”

หญิงงามมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าหลี่เจาเกอไม่ได้พูดกับผู้อื่นจึงอุ้มพิณผีผายอบกายคำนับหลี่เจาเกอแล้วก้มหน้าเดินจากไป ไป๋เชียนเฮ่อจุปาก “น้องสาวคนงาม เรื่องนี้เจ้าทำไม่ถูกต้องนะ เจ้าจะกินอาหารก็กินไป ไฉนหาเหตุขับไล่นักดีดผีผาที่ข้าอุตส่าห์เรียกหามาเล่า”

หลี่เจาเกอคว้าตะเกียบคู่หนึ่งจากโต๊ะด้านข้าง เคาะบนโต๊ะเบาๆ ให้ปลายตะเกียบเสมอกัน ก่อนเลือกกินอาหารอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง “ชีวิตพวกนางไม่ง่ายดาย เพราะมีลูกค้าเสเพลเช่นเจ้าอยู่พวกนางจึงได้ถูกบังคับมาขายฝีมือ อีกอย่าง…”

หลี่เจาเกอคีบอาหารเข้าปากก่อนเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาดำที่ตัดพื้นขาวชัดเจนคู่นั้นกวาดมองไป๋เชียนเฮ่อเรียบๆ ปราดหนึ่ง “…อย่าเรียกข้าว่าน้องสาวคนงาม”

สีหน้าของนางเรียบสงบ ทว่าไป๋เชียนเฮ่อฟังออกถึงจิตสังหารอันชัดแจ้ง รอยยิ้มบนใบหน้าเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตากวาดผาดๆ ก็ค้นพบว่าหลี่เจาเกอคีบเฉพาะอาหารที่เขากินไปก่อนแล้ว

จุๆ อายุน้อยๆ ขี้ระแวงมิใช่เล่น นางมีที่มาอย่างไรกันแน่ พลังยุทธ์ในร่างนางเป็นวิชาที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังในยุทธภพ ซ้ำอายุก็อ่อนเยาว์มากเหลือเกิน

ไป๋เชียนเฮ่อผลิยิ้ม รินสุราให้หลี่เจาเกอหนึ่งจอก ทั้งวางตรงหน้านางกับมือเขาเอง “สุราจอกนี้ถือว่าพี่ชายขออภัยเจ้า วันนั้นสถานการณ์เร่งด่วน พี่ชายมีธุระสำคัญอย่างอื่นจึงจำต้องปลีกตัวมาก่อน น้องสาว ขออภัยเจ้าด้วย”

หลี่เจาเกอไม่ได้ติดใจแม้แต่น้อย นางโบกมือหนึ่งหนก่อนกล่าว “ไม่ต้องหรอก พวกเราแค่พบกันโดยบังเอิญ เดิมก็ควรแยกย้ายไปคนละทาง ไม่มีอันใดต้องขออภัย อีกอย่างข้าก็ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือ”

“น้องสาวองอาจนัก!” ไป๋เชียนเฮ่อตบโต๊ะ ยกจอกที่มีสุราปริ่มขอบ “ในชีวิตข้าไป๋เชียนเฮ่อนับถือผู้กล้าเป็นที่สุด จอกนี้ข้าขอคารวะเจ้า”

ไป๋เชียนเฮ่อพูดจบก็แหงนหน้าดื่มหมดจอกในรวดเดียว หลายปีที่ผ่านมานับว่าเขาโชกโชนในดงบุปผา แพรวพราวช่ำชอง ประกอบกับมีหน้าตาชวนมอง ในสนามรักจึงเป็นที่ชื่นชอบของสตรีไม่น้อย ทว่าน้องสาวคนงามที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้กลับไม่มีอาการหวั่นไหวใดๆ นางยังคงเย็นเยียบดั่งเกล็ดน้ำค้างและผงกศีรษะเบาๆ พลางกล่าว “ที่แท้เจ้าก็คือไป๋เชียนเฮ่อ”

ไป๋เชียนเฮ่อเลิกคิ้วถาม “มีอันใด หรือว่าน้องสาวรู้จักข้า”

“จอมโจรย่องเบาไป๋เชียนเฮ่อ ใครบ้างไม่รู้จัก”

เกียรติศักดิ์ศรีของไป๋เชียนเฮ่อได้รับความพึงพอใจอันสูงสุด เขาอดไม่ได้ที่จะปัดลูกผม มือค้ำหน้าผากอย่างกลัดกลุ้มพลางเอ่ย “เฮ้อ…เป็นที่นิยมชมชอบเกินไปก็เป็นความผิดบาปประการหนึ่ง ข้าไม่ยักรู้เลยว่านามอันต่ำต้อยของข้าแพร่สะพัดไปถึงในป่าเขาแล้ว”

หลี่เจาเกอนิ่งงันชั่วครู่ก่อนเอ่ยแก้ “เจ้าคงเข้าใจผิดไป ข้ารู้จักเจ้าจากหมายจับของราชสำนักต่างหาก”

กองงานปราบปีศาจรับผิดชอบคดีที่ซับซ้อนโดยเฉพาะ นามของไป๋เชียนเฮ่อติดบัญชีดำของหลี่เจาเกออยู่นาน หากไม่ใช่เพราะในราชธานีตะวันออกผุดคดีไม่รู้จบรู้สิ้นทำให้นางไม่มีเวลาไปตามจับเขา ชาติก่อนเหนือหลุมศพของเขาก็น่าจะงอกงามเป็นพื้นที่ร่มครึ้มผืนหนึ่งแล้ว

ไป๋เชียนเฮ่อหัวเราะหึอย่างดูแคลน เอนพิงราวกั้นก่อนเอ่ยโดยไม่ยี่หระ “พวกตัวไร้ประโยชน์ในราชสำนัก ต่อให้ข้ายืนตรงหน้าพวกเขา แจ้งนามของข้าออกไป พวกเขามีปัญญาจับข้าได้หรือ”

หลี่เจาเกอนั่งมองเขาจากฝั่งตรงข้ามเงียบๆ

ไป๋เชียนเฮ่อไม่รู้สักนิดว่าเขาเคยเฉียดใกล้ความตายถึงขีดสุดแล้ว เขาก่นด่าตัวไร้ประโยชน์ในราชสำนักอย่างเคยจนจบ ค่อยหันมาเอ่ยกับหลี่เจาเกอ “น้องสาว ข้าถูกชะตากับเจ้า มิสู้มาเป็นสหายกัน เจ้ามีนามว่าอย่างไร”

หลี่เจาเกอต่างจากสตรีที่อยู่แต่ในเรือนชั้นใน ไม่มีข้อถือสาเรื่องนามจริงไม่อาจแพร่งพรายแก่บุรุษที่มิใช่สามี ทว่านามจริงขององค์หญิงอันติ้งเป็นที่รู้กันทั่วหล้าแล้ว ยามนี้ยังไม่ถึงจังหวะเวลาที่จะเผยฐานะ นางจึงต้องเลี่ยงไว้สักหน่อย “ตอนนี้ยังบอกไม่ได้”

ไป๋เชียนเฮ่อเลิกคิ้ว เขารู้กาลเทศะจึงไม่ได้ซักไซ้ต่อ ทว่าพลันยื่นตัวมาใกล้แล้วถามถึงอีกเรื่องที่สนใจ “น้องสาว ตัวประหลาดสีดำนั่น…เจ้าฆ่ามันแล้วจริงๆ น่ะหรือ”

“ไม่ได้ฆ่า” หลี่เจาเกอตอบ “ภูตก็เป็นชีวิตหนึ่ง หากมันไม่อาจก่อกรรมทำเข็ญอีกก็ไม่ควรฆ่า ข้าเพียงแต่ทำให้มันบาดเจ็บหนัก กลับไปพักฟื้นน่าจะรอดได้ เพียงแต่ต่อไปมันจะเป็นได้แค่สุนัขธรรมดา”

ไป๋เชียนเฮ่อสูดหายใจทางปากอย่างตื่นตะลึง คำตอบเรียบง่ายไม่กี่ประโยคนี้กลับแฝงข้อมูลอันน่าตระหนก เขานึกว่าตนเองตะลุยยุทธภพมาโชกโชน แต่พอเจอภูตสุนัขดำตัวนั้นก็ยังคงขวัญกระเจิงจนแข้งขาอ่อน ผิดกับแม่นางน้อยโฉมงามดูไร้พิษภัยผู้นี้ที่ถึงกับทำให้มันบาดเจ็บหนักได้

คนจริงไม่เผยตัว สุนัขกัดจะไม่เห่า…คำคนโบราณไม่ได้หลอกลวงข้า!

อันที่จริงต่อมาไป๋เชียนเฮ่อเยือกเย็นลงก็ขบคิดได้ปรุโปร่ง ตัวประหลาดสีดำมิดหมีตัวนั้นผิวแกร่งจนฟันแทงไม่เข้า ทว่าหลี่เจาเกอกลับยิงมันทรุดในเกาทัณฑ์เดียว ในเมื่อนางยิงมันบาดเจ็บได้ก็ย่อมมีฝีมือจะสังหารมัน

อาวุธของคนทั่วไปจะทำร้ายภูตผีปีศาจได้อย่างไรกัน ตั้งแต่ตอนนั้นไป๋เชียนเฮ่อก็ควรคิดได้แล้วว่าหลี่เจาเกอไม่ใช่คนธรรมดา

เร้นกายในภูเขาลึก ไม่ติดต่อโลกภายนอก รูปโฉมงดงาม อายุก็น้อยจนน่าตกใจ…ข้อมูลเหล่านี้เป็นไปได้มากว่านางคือศิษย์ของผู้บำเพ็ญพรตที่เก่งกาจท่านหนึ่ง

ปัจจุบันทุกสำนักความเชื่อในใต้หล้าต่างเบ่งบานโดยเสรี โดยเฉพาะเต๋าและพุทธเฟื่องฟูแพร่หลาย บางคนฝึกยุทธ์เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง บางคนฝึกเต๋าเพื่อแสวงหาความเป็นอมตะ โดยสรุปทุกสำนักไม่ก้าวก่ายกัน ผู้ฝึกตนกับปุถุชนไม่ข้องแวะกัน ชาวยุทธ์กับภิกษุนักพรตต่างขีดเส้นแบ่งเขตของตนเอง แต่ละฝ่ายเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง เมื่อก่อนไป๋เชียนเฮ่อเองก็หลีกลี้หนีห่างจากแม่ชีนักพรตหญิง ทว่ากับแม่นางน้อยผู้นี้เป็นข้อยกเว้น

จะมากจะน้อยไป๋เชียนเฮ่อก็พอมีฝีมือในการมองคนอยู่ เขารู้สึกโดยตลอดว่าดรุณีน้อยตรงหน้านี้เป็นบุคคลไม่สามัญ อีกทั้งเขาอ่านนางไม่ทะลุจึงยิ่งสนใจใคร่รู้ในตัวนาง

ไป๋เชียนเฮ่ออมยิ้มมองพิจารณาหลี่เจาเกอ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงเอ้อระเหย “น้องสาว ต่อจากนี้เจ้าตั้งใจจะไปที่ใดเล่า”

ความเร็วในการกินอาหารของหลี่เจาเกอสูงยิ่ง เพียงชั่วเวลาที่สนทนากันนางก็กินอิ่มพอสมควรแล้ว นางวางตะเกียบสองข้างคู่กันบนโต๊ะ ใช้ผ้าเช็ดปากจนสะอาดค่อยตอบ “ราชธานีตะวันออก”

“โอ๊ะ ลั่วหยาง!” ไป๋เชียนเฮ่อสังเกตอากัปกิริยาของนาง รอยยิ้มที่มุมปากยิ่งแฝงนัยลุ่มลึก “ลั่วหยางกับเจี้ยนหนานไม่ใช่ใกล้ๆ น้องสาวกล้าเดินทางตัวคนเดียวหรือ”

“มีอันใดไม่กล้า” หลี่เจาเกอพูดพลางลุกขึ้นยืน ถือกระบี่พร้อมกับประสานมือคารวะ “เจ้าเลี้ยงอาหารข้าหนึ่งมื้อ ข้าจะเว้นทางรอดให้เจ้าหนึ่งสาย ขอตัว”

ไป๋เชียนเฮ่อเลิกคิ้วอย่างห้ามไม่อยู่ เว้นทางรอดให้เขาหนึ่งสาย? น้ำคำของแม่นางน้อยช่างคุยโตนัก! ไป๋เชียนเฮ่อโลดแล่นในยุทธภพมาสิบกว่าปี เคยล้วงลึกคลังเก็บทองคำของคหบดีอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนาน เคยสำรวจคุกของศาลต้าหลี่ อุทยานหลวงก็เคยเข้าไปหลายหน ต่อให้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในราชวงศ์ก็ยังไม่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ต่อหน้าเขาไป๋เชียนเฮ่อ

ไป๋เชียนเฮ่อไม่ได้พูดตอบ อมยิ้มมองหลี่เจาเกอจากไป เห็นกันอยู่ว่านางเพิ่งอายุสิบห้าสิบหก แต่กลับไม่มีความร่าเริงเช่นดรุณีน้อยวัยนี้พึงมี นางกอดกระบี่เดินไปบนถนน ไม่ช้าก็หายลับตา ไป๋เชียนเฮ่อลูบคาง รู้สึกว่านางน่าสนใจยิ่ง

ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกอยู่ตลอดว่าอีกไม่นานเขากับนางจะได้พบกันอีก

ความจริงเป็นเช่นนี้ไม่ผิดเลย ภายหลังหลี่เจาเกอออกจากตัวตำบลหนานหลิน ค่อยพลันฉุกคิดถึงปัญหาหนึ่งข้อ

นางย่อมไม่อาจเดินเท้าไปนครลั่วหยาง แต่หากจะซื้อหาม้าพาหนะ นางก็ไม่มีเงิน

หลี่เจาเกอไม่ต้องกังวลใจเรื่องเงินทองมานานหลายปีแล้ว นานเสียจนเมื่อครู่นางไม่ทันนึกว่าการเดินทางไกลจะต้องใช้เงิน

นางกลัดกลุ้มเพียงครู่เดียวก็เงยหน้าเห็นหมายจับแผ่นหนึ่งติดอยู่หน้าประตูทางเข้าตำบล เป็นหมายจับจอมโจรย่องเบาไป๋เชียนเฮ่อ รางวัลนำจับหนึ่งหมื่นเฉียน

ด้านล่างสุดประทับตราของศาลต้าหลี่

หลี่เจาเกอขบคิดเล็กน้อยก็รู้สึกว่าใช้ได้ ถึงแม้ชาติก่อนกองงานปราบปีศาจกับศาลต้าหลี่จะเป็นคู่แข่งกันเรื่อยมา แต่ตอนนี้หาเงินจากคู่แข่งบ้างก็ไม่นับว่าลดตัวหรอก

หลี่เจาเกอตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ย้อนกลับไปจับกุมคนร้ายตามหมายจับอย่างเบิกบาน ขณะนี้ไป๋เชียนเฮ่อกำลังรินสุราเองดื่มเองอยู่บนหอสุรา ยังไม่ทันจะดื่มหมดหนึ่งจอกก็พบว่าหลี่เจาเกอไปแล้วหวนกลับมาใหม่

เขาถามอย่างประหลาดใจ “น้องสาว ไฉนเจ้ากลับมาเสียแล้ว หรือพบเจอคนเลวเข้า”

“ไม่ใช่” หลี่เจาเกอพูดๆ อยู่ก็พลันยกกระบี่กดบนร่างไป๋เชียนเฮ่อโดยไม่มีวี่แวว “ข้ากลับมาเพื่อจะจับกุมคนเลว”

ไป๋เชียนเฮ่อถูกจู่โจมจนมึนงง คาดไม่ถึงสักนิดว่านางจะมาไม้นี้ รอจนเขาตอบสนองได้ รีบดิ้นรนขัดขืน ค่อยพบว่าเหมือนเจอผีกลางวันแสกๆ ไม่ว่าจะสำแดงฝีมือไปเท่าไรล้วนไม่อาจหลุดพ้นกระบี่ของนางได้เลย “เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”

“เรียบง่ายยิ่ง ก็จับกุมเจ้าไปที่ว่าการเพื่อขึ้นเงินรางวัลน่ะสิ”

“เพราะอะไรกัน”

“เพราะข้าขาดค่าเดินทางไปลั่วหยาง”

ไป๋เชียนเฮ่อออกแรงดิ้นรน จวบจนเขาแน่ใจว่าตนเองไม่มีโอกาสจะหนีรอดเงื้อมมือนางโดยสิ้นเชิงและนางก็มีทีท่าว่าจะจับกุมเขาไปที่ว่าการจริงๆ เขาจึงลนลานขึ้นมาทันที “น้องสาว…ไม่สิ พี่สาว! พวกเรามีอันใดพูดจากันดีๆ เถิด ท่านขาดเงินก็บอกกันแต่แรกสิ ข้าไปส่งท่านยังได้ ไยจะต้องไปที่ว่าการ ทำลายไมตรีระหว่างกันให้ได้เล่า”

“ก็ถูก…” หลี่เจาเกอพึมพำเสียงเบา ไป๋เชียนเฮ่อนับว่าเตือนสตินาง เขาคือเทพขโมยเชียวนะ ระดับตำบลไม่มีที่คุมขังนักโทษ ส่วนคุกของที่ว่าการอำเภอทั่วๆ ไปจะขังเขาอยู่หมัดได้อย่างไรกัน อีกอย่างเมื่อครู่นางก็ลั่นวาจาไปแล้วว่าจะเว้นทางรอดให้เขาหนึ่งสาย ดังนั้นนางจะไม่จับเขาเข้าคุกเอง ให้ศาลต้าหลี่มาลงมือแล้วกัน ในเมื่อคุกของที่ว่าการอำเภอทั่วๆ ไปขังเขาไม่อยู่ มิสู้คุมตัวเขาไปถึงนครลั่วหยางแล้วให้ศาลต้าหลี่มารับช่วง

หลี่เจาเกอรู้สึกว่าวิธีนี้ดียิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ค่าเดินทางก็ประหยัดได้ อีกทั้งไปถึงนครลั่วหยางแล้วยังจะ ‘กรรโชกทรัพย์’ ศาลต้าหลี่ได้หนึ่งก้อน เรียกว่าทำกำไรงามแบบไร้ต้นทุน นางจึงแย้มยิ้มให้ไป๋เชียนเฮ่อ ถอนกระบี่ออกแล้วกล่าวว่า “ดีเลย ไปกันเถิด”

ไป๋เชียนเฮ่อทางหนึ่งพูดจาชวนฟังกับหลี่เจาเกอ อีกทางหนึ่งหมุนข้อมือยืดเส้น ทันใดนั้นเขาพลันกระโดดขึ้นสู่หลังคาโดยปราศจากเค้าลาง เผ่นหนีไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว ภายใต้ฝ่าเท้าอันว่องไวของเขาบ้านเรือนร้านตลาดแทบกลายเป็นเสี้ยวเงา เขาหัวเราะหึๆ อย่างกระหยิ่มลำพอง “นางหนู เกลือที่ข้าเคยกินยังมากกว่าข้าวที่เจ้าเคยกินด้วยซ้ำ ยังริอ่านจะจับข้า รอชาติหน้าเถอะ”

ไป๋เชียนเฮ่อเหินร่างกระโดดเลี้ยวจากบนหอสูง ไม่นึกว่าเกือบถลาเข้าชนคมกระบี่เล่มหนึ่ง เขารีบหยุดฝีเท้าสุดตัว กว่าจะหยุดอยู่หน้าปลายกระบี่ได้อย่างฉิวเฉียด

หลี่เจาเกอยิ้มกล่าวอยู่ตรงหน้าเขา “วิชาตัวเบาไม่เลว”

ไป๋เชียนเฮ่อมองหลี่เจาเกอราวกับเห็นผี เขาย่องถอยหลังสองก้าวก่อนหมุนขวับวิ่งไปยังทิศทางตรงข้าม หลี่เจาเกอรั้งกระบี่ถอนใจเบาๆ “เจ้าแน่ใจนะว่ายังจะหนี”

ฝีเท้าของไป๋เชียนเฮ่อชะงักไปดื้อๆ เขาท่องยุทธภพมาสิบกว่าปีเพิ่งเคยเจอสตรีที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้หนแรก เขาเหลียวหลังไปฝืนยิ้มถาม “น้องสาว…หรือพี่สาว ท่านคิดจะทำอันใดกันแน่”

“ข้าบอกไปแล้วนี่” หลี่เจาเกอยืนอยู่บนหลังคา มองเขาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ริมฝีปากแดงแย้มนิดๆ “ไปราชธานีตะวันออก”

บทที่ 8 สกุลเผย

 

นครลั่วหยาง ยามราตรีดึกสงัด จันทรายะเยือกดุจเกล็ดน้ำค้าง ภายในจวนสกุลเผยที่ย่านซิวเหวินฟาง เงียบกริบ มีเพียงโคมสีแดงที่แขวนตามทางระเบียงแกว่งตัวล้อลมจนบังเกิดเสียง สาวใช้ที่เดินผ่านเป็นครั้งคราวล้วนเบามือเบาเท้า ในจวนอันใหญ่โตจึงได้ยินแต่เสียงลมเท่านั้น

วันนี้คือวันที่เจ็ดเดือนหนึ่ง เดิมทียังอยู่ในช่วงฉลองปีใหม่อันครึกครื้น ทว่าจวนสกุลเผยคล้ายตกอยู่ใต้พยับเมฆเพราะคุณชายใหญ่เผยจี้อันล้มป่วยเสียแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าส่งเสียงเอ็ดอึงในจวน ด้วยกลัวว่าจะรบกวนคุณชายใหญ่พักฟื้นและจะถูกฮูหยินใหญ่เผยผู้เป็นนายหญิงขายออกจากจวนไป

แม้กระทั่งบ่าวที่เกิดในจวนสกุลเผยยังกลัวเกรงเพียงนี้ บ่าวของสกุลอื่นที่มารับใช้ในสวนประจิมย่อมจะระมัดระวังเป็นเท่าตัว ขณะนี้เด็กรับใช้ในสวนประจิมผู้หนึ่งนั่งเฝ้ายามอยู่หน้าประตูเรือน เขาหาวหวอดต่อเนื่อง ฝืนข่มความง่วงงุนไว้ พอดีสาวใช้ในชุดปั้นปี้ สีเขียวผู้หนึ่งเดินตรงมาเห็นจึงเอ่ยเรียกเขาแล้วถามว่า “คุณชายของพวกเรายังไม่ตื่นเลยหรือ”

เด็กรับใช้นามว่าเจียวเหว่ยป้องปากหาวอีกหนก่อนตอบ “ใช่ ตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่ที่คุณชายล้มป่วยก็ไม่ดีขึ้นเลย หลายวันมานี้ทำอะไรล้วนดูซึมเซา แม้แต่ข้าพูดคุยด้วยก็ไม่มีท่าทีตอบสนอง”

สาวใช้ในชุดปั้นปี้สีเขียวผู้นี้มีนามว่าลวี่ฉี่ เดิมเป็นสาวใช้ของสกุลกู้ ต่อมากู้เผยซื่อ ฮูหยินของนางกลายเป็นม่าย พาบุตรชายกลับมาพำนักที่สกุลเดิม ลวี่ฉี่จึงติดตามมาที่จวนสกุลเผยด้วย

ตามหลักแล้วลวี่ฉี่ไม่พึงมีความขุ่นเคืองต่อสกุลเผย ต่อให้บรรพชนสกุลกู้มีชื่อเสียงสูงส่งเป็นที่นับถือสักเพียงใดก็ช่วยไม่ได้ที่มีทายาทบางตา พาให้ฐานะวงศ์ตระกูลเสื่อมถอยลง นายท่านผู้เฒ่ากู้ซั่งกับนายท่านกู้หยวนเสียชีวิตติดต่อกัน บัดนี้ทั้งตระกูลเหลือกู้หมิงเค่อเป็นทายาทบุรุษเพียงหนึ่งเดียว

นายท่านผู้เฒ่ากู้ซั่งเคยประพันธ์ตำราไว้มากมาย ทว่าทรัพย์สินมิได้มั่งมี ครั้นมาถึงรุ่นของกู้หมิงเค่อยิ่งเหลือเรือนเก่าเพียงหลังเดียวกับที่นาอันน้อยนิด ผิดกับสกุลเดิมของกู้เผยซื่อฮูหยินของนายท่านกู้หยวนลูกสะใภ้ของนายท่านผู้เฒ่ากู้ซั่งที่ยิ่งวันยิ่งมีฐานะรุ่งเรือง ปัจจุบันมาถึงสมัยเกาจงฮ่องเต้ยิ่งพรั่งพร้อมด้วยลาภยศ บุตรหลานสกุลเผยตลอดจนหลานเขยล้วนเป็นขุนนางตำแหน่งสูง ภายหลังกู้หยวนป่วยตายไป กู้เผยซื่อจึงละทิ้งบ้านบรรพชนสกุลกู้หลังนั้น พากู้หมิงเค่อบุตรชายเข้าเมืองหลวงกลับมาพำนักถาวรที่สกุลเผย

สกุลเผยก็ให้การอุปการะโดยไม่เรียกร้องค่าตอบแทน ไม่เพียงส่งเสียกู้หมิงเค่อเล่าเรียน ยังคอยซื้อหาหยูกยาให้ ยามปกติคุณชายสกุลเผยมีสิ่งใด คุณชายจากตระกูลเขยก็มีสิ่งนั้นเช่นกัน การปฏิบัติดูแลที่ดีเพียงนี้ลวี่ฉี่ไม่สมควรตัดพ้อจริงๆ ทว่ารสชาติของการอาศัยใต้ชายคาผู้อื่นมีแต่สัมผัสกับตัวจึงจะรับรู้ได้ ปกติอาจมองไม่ออก ตอนนี้เมื่อคุณชายใหญ่สกุลเผยล้มป่วย ทุกสิ่งก็ถูกเปิดโปงทันตา

ลวี่ฉี่มองดูสวนประจิมที่ไม่มีใครมาถามไถ่ไยดี นางสูดหายใจเข้าลึกๆ หลายหนก็ยังคงรู้สึกอัดอั้นตันใจแทบแย่ เผยจี้อันล้มป่วยเป็นเรื่องจริง ทว่าคุณชายของนางเล่าไม่ได้ล้มป่วยหรือไร บ่าวทั้งหมดในจวนสกุลเผยห่วงแต่เผยจี้อันนั้นแล้วไปเถิด ไฉนแม้กระทั่งฮูหยินของนางก็เอาแต่ไปดูทางนั้นไม่ได้แยแสคุณชายที่ป่วยมาห้าหกวันแล้วเลย เห็นกันอยู่ว่าคุณชายต่างหากคือบุตรแท้ๆ ของฮูหยิน

ลวี่ฉี่ยิ่งคิดยิ่งขุ่นเคือง นางหน้าบึ้งเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “พวกเขาไม่ใส่ใจ เจ้าก็ไม่ใส่ใจคุณชายด้วยหรือ หลายวันมานี้แม้แต่อาหารคุณชายก็แทบไม่แตะ เจ้ายังมีแก่ใจมานั่งสัปหงกอยู่ข้างนอกอีก”

เจียวเหว่ยอายุยังน้อย ถูกลวี่ฉี่ต่อว่าไปหนึ่งยกจึงทั้งหวาดกลัวทั้งน้อยใจ “แต่…ฮูหยินใหญ่เผยบอกว่าคุณชายของพวกเรากำลังป่วย ต้องพักฟื้นเงียบๆ…”

ลวี่ฉี่โกรธจนร้องถุยใส่เจียวเหว่ย เดินปรี่ขึ้นหน้ามาบิดหูเขา “คนอื่นพูดว่าอะไรเจ้าก็เชื่อฟังตามนั้น ตกลงเจ้าแซ่กู้หรือแซ่เผย ยังไม่รีบเข้าไปเฝ้าคุณชาย! สกุลกู้มีบุตรชายโทนติดกันมาสามรุ่น ถึงรุ่นของคุณชายก็คือผู้สืบสกุลที่เหลืออยู่หนึ่งเดียวแล้ว ต่อให้พวกเราต้องฝ่าฝืนเวลาห้ามออกนอกเคหสถานเพื่อไปเชิญหมอก็จะปล่อยให้เกิดเหตุพลาดพลั้งใดๆ ขึ้นกับคุณชายไม่ได้เด็ดขาด”

เจียวเหว่ยใบหูชี้เด่ ปากร้องโอดโอย ขณะสองคนเอะอะอยู่ตรงนี้ ประตูห้องก็พลันเปิดจากด้านในดังแอ๊ด เจียวเหว่ยกับลวี่ฉี่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวต่างหันขวับไปโดยพร้อมเพรียง ครั้นมองเห็นเงาร่างของผู้ที่ยืนอยู่ตรงประตู สองคนก็เสียงหายในพริบตา ชั่วขณะนั้นไม่กล้ากระทั่งจะสูดหายใจ

ฉินเค่อที่เปลี่ยนมาสวมชุดของกู้หมิงเค่อปรายตามองสองคนด้านนอกนิ่งๆ “ร่างกายข้าดีขึ้นมากแล้ว ไม่มีอะไรหนักหนา อย่าได้ทำให้ผู้อื่นตกอกตกใจ”

สองคนเหม่อมองคุณชายของพวกตน ลวี่ฉี่เผยความตกตะลึงเกลื่อนใบหน้า ส่วนเจียวเหว่ยเบิกตาโตลืมไปเสียสนิทว่าใบหูของเขายังถูกลวี่ฉี่บิดดึงอยู่ ทั้งที่ไม่ได้เห็นคุณชายเต็มตาเพียงไม่กี่วัน ไฉนสองคนจึงรู้สึกว่าคุณชายคล้ายเปลี่ยนไปอย่างมาก

แค่เปลี่ยนไปเสียเมื่อไรเล่า เรียกว่ากลายเป็นคนละคนเลยดีกว่า คุณชายร่างกายอ่อนแอขี้โรคมาตั้งแต่เล็กจึงพูดจาด้วยน้ำเสียงนิ่มเบาเสมอ ไม่มีท่วงทีอันเย็นชาสยบผู้คนเช่นนี้เป็นอันขาด อีกอย่างรูปโฉมของคุณชายหมดจดหล่อเหลาก็จริงอยู่ ทว่าไม่ถึงขั้นสั่นสะท้านจิตวิญญาณเช่นนี้แน่

เมื่อก่อนนะ…หวนคิดมาถึงตรงนี้เจียวเหว่ยกับลวี่ฉี่พบว่าจู่ๆ ก็นึกไม่ออกแล้วว่าเมื่อก่อนคุณชายมีลักษณะเช่นไร สองคนค่อยๆ จมอยู่ในความลังเล ดูเหมือน…แต่ไรมาคุณชายก็มีรูปโฉมเช่นนี้ เสียงพูดเช่นนี้ และท่วงทีเช่นนี้

ฉินเค่อเพิ่งจะกลับมาจากป่าดำ เขาได้ลูกกลอนปราณฟ้าดินคืนมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องชะลอความเร็วอีก จึงมาถึงราชธานีตะวันออกได้ในชั่วอึดใจ ฉินเค่ออุตส่าห์สลัดพ้นหลี่เจาเกอและตั้งใจจะอยู่สงบๆ สักพัก กลับถูกเสียงเจี๊ยวจ๊าวข้างนอกก่อกวนจนหาความสงบไม่ได้ เขาอดกลั้นจนเหลืออดจึงจำต้องออกหน้ามายุติเสียงกวนใจของบ่าวเยาว์วัยทั้งสอง

เขาพูดจบเห็นสองคนนี้มองเขาตาค้าง ไม่มีความตระหนักที่จะเอ่ยรับผิดแม้แต่น้อย เขาจึงได้แต่พูดให้ชัดเจนขึ้นอีกหน่อย “ข้าจะพักผ่อนแล้ว พวกเจ้าถอยไปได้”

ในที่สุดลวี่ฉี่ก็เรียกสติคืนจากห้วงแห่งความตกตะลึง “แต่…คุณชายยังป่วยอยู่นะเจ้าคะ…”

ฉินเค่อรวบแขนเสื้อ ปรายตามองลวี่ฉี่เรียบๆ ปราดหนึ่ง ทั้งที่เขาไม่ได้เผยสีหน้าดุดันใดๆ พริบตานั้นลวี่ฉี่กลับถูกเขย่าขวัญจนเหงื่อเย็นแตกพลั่ก ไม่กล้าพูดต่อแม้ประโยคเดียว

ลวี่ฉี่กับเจียวเหว่ยก้มหน้าลงโดยไม่ต้องนัดแนะ พากันถอยจากไปอย่างเงียบเชียบ ฉินเค่อปิดประตูห้อง ได้ตักตวงความสงบสักครู่เสียที

ในห้องไร้แสงสว่าง ทว่าเครื่องตกแต่งทุกชิ้นไม่อาจหลบรอดสายตาของฉินเค่อ เขากวาดมองร่องรอยที่เป็นของกู้หมิงเค่อเงียบๆ พลางหวนทบทวนข้อมูลที่เซียวหลิงมอบให้ก่อนเขาอำลาแดนสวรรค์มาฉบับนั้น

กู้หมิงเค่อ…ญาติผู้พี่ของเผยจี้อัน มีบิดานามว่ากู้หยวน ท่านปู่นามว่ากู้ซั่ง ทั้งสองล้วนเป็นผู้ประพันธ์วรรณกรรมและผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ที่มีความรู้ลึกซึ้งรอบด้าน กู้เผยซื่อมารดาของเขาคือบุตรีคนโตของสกุลเผย หรือก็คือป้าใหญ่ของเผยจี้อัน ครอบครัวของกู้หมิงเค่อกล่าวได้ว่าสืบทอดวงศ์ตระกูลด้วยตำราความรู้ มีเกียรติน่านับถือยิ่งยวด ท่านปู่กู้ซั่งเป็นผู้ควบคุมการชำระเรียบเรียงประวัติศาสตร์ทางการของหกราชวงศ์ปลายยุคราชวงศ์เหนือใต้ เป็นผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ที่หาตัวจับได้ยาก กู้หยวนเองก็เป็นผู้ที่เปี่ยมความสามารถ มีชื่อเสียงทัดเทียมกับกู้ซั่งผู้เป็นบิดา ภายหลังกู้ซั่งถึงแก่กรรม กู้หยวนก็สานต่องานชำระเรียบเรียงประวัติศาสตร์ราชวงศ์สุย เพียงเสียดายที่คนสกุลกู้ได้รับสืบทอดร่างกายอันอ่อนแอมาจากบรรพชน กู้ซั่งกับกู้หยวนล้วนจากไปก่อนวัยอันควร กู้หมิงเค่อก็มิได้ดีไปกว่า เริ่มไอไม่หายตั้งแต่เพิ่งอายุสิบต้นๆ ชั่วนาตาปีไม่อาจห่างจากยา

การชำระเรียบเรียงตำราประวัติศาสตร์เป็นงานที่ยาวนานและลำบากยากแค้น เมื่อมาถึงรุ่นของกู้หมิงเค่อ สกุลกู้ขัดสนพอสมควรแล้ว ภายหลังกู้หยวนผู้เป็นบิดาล่วงลับไป กู้เผยซื่อผู้เป็นมารดาไม่อยากอยู่เฝ้าเรือนเก่าใช้ชีวิตอัตคัด ประกอบกับต้องหาหมอให้กู้หมิงเค่อ นางจึงพาเขากลับมาสกุลเดิมของนาง…สกุลเผยในราชธานีตะวันออกหรือก็คือจวนของเสนาบดีฝ่ายราชเลขาธิการ

กู้หมิงเค่อกับเผยจี้อันเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน สองคนอายุห่างกันเพียงหนึ่งปี ทว่าชะตาชีวิตกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง ชาติก่อนกู้หมิงเค่อชำระประวัติศาสตร์ราชวงศ์สุยตอนปลายจนเสร็จ บรรลุปณิธานที่ไม่ลุล่วงของบิดากับท่านปู่แล้วก็ลาโลกไปด้วยวัยเพียงยี่สิบปี ปีนั้นสกุลเผยยังไม่ถูกหอบม้วนเข้าสู่การแก่งแย่งในราชสำนัก เผยจี้อันยังคงองอาจฮึกเหิม เป็นคุณชายหน้าหยกผู้ลือเลื่องเมืองหลวง ส่วนหลี่เจาเกอก็ยังกลับมาไม่ถึงนครลั่วหยางด้วยซ้ำ

ตายไปก่อนหอสูงอย่างสกุลเผยจะพังครืน ในบางแง่มุมก็นับเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง

เพียงแต่บัดนี้ผู้ที่ยืนอยู่ในสวนประจิมของจวนสกุลเผยและจะกำหนดอนาคตชะตาของกู้หมิงเค่อนั้นได้กลายเป็นฉินเค่อแล้ว

หลังฉินเค่อบรรลุข้อตกลงกับเซียวหลิง เขาก็ออกจากวังซานชิงรุดมายังแดนมนุษย์ ขณะเดียวกันเซียวหลิงก็หมุนวงล้อแห่งสังสารวัฏ ย้อนกาลเวลา รวมถึงชำระล้างความทรงจำของเหล่ามนุษย์ สำหรับคนอื่นๆ บนโลกแล้วห้วงเวลาของพวกเขาได้ถอยจากรัชศกหยวนจยาปีที่หนึ่งกลับมายังรัชศกหย่งฮุยปีที่ยี่สิบสองโดยที่พวกเขาไม่รู้สึกตัวใดๆ นึกเพียงว่าตนเองหลับไปหนึ่งตื่น มีเพียงเผยจี้อันกับหลี่เจาเกอคู่อริคู่นี้ที่เก็บรักษาความทรงจำของชาติก่อนไว้

ส่วนผู้ที่ตายไปในชาติก่อนและอยู่นอกเส้นทางของคนคู่นี้ อย่างเช่นกู้หมิงเค่อตัวจริงที่ป่วยตายไปตั้งแต่ก่อนหลี่เจาเกอจะตั้งตนเป็นฮ่องเต้ เขาได้เข้าสู่สังสารวัฏไปเวียนว่ายแล้วจะไม่กลับสู่โลกในฐานะเดิมอีก ผู้ที่มาสวมฐานะนี้ของเขาจึงเป็นเป่ยเฉินเทียนจุนฉินเค่อ

เพื่อให้สะดวกต่อฉินเค่อผู้มีภารกิจติดตัว ขณะเซียวหลิงชำระล้างความทรงจำของมนุษย์จึงถือโอกาสปรับเปลี่ยนภาพจำที่พวกเขามีต่อกู้หมิงเค่อเสียด้วยเลย กล่าวคือเมื่อผู้คนในชาตินี้นึกถึงกู้หมิงเค่อมักจะรู้สึกว่าเลือนรางดุจชมบุปผาในสายหมอก จวบจนได้พบฉินเค่อตัวเป็นๆ ค่อยพลันนึกได้ว่านี่สิกู้หมิงเค่อ จากนั้นสุ้มเสียง หน้าตา และอุปนิสัยของกู้หมิงเค่อคนเดิมก็จะถูกแทนที่ด้วยลักษณะของฉินเค่อทั้งหมด พูดได้อีกอย่างว่ากู้หมิงเค่อที่มนุษย์เห็นอยู่แท้จริงแล้วคือฉินเค่อนั่นเอง

ไหนๆ กู้หมิงเค่อก็เป็นคนขี้โรค ภาพจำที่คนส่วนใหญ่มีต่อเขาจึงเลือนรางเป็นทุนเดิม ปรับเปลี่ยนภาพจำแค่เท่านี้ย่อมไม่ดูผิดปกตินัก อีกอย่างทำเช่นนี้แม้จะเสี่ยงอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ดีกว่าให้ฉินเค่อใช้วิชาแปลงโฉมตลอดภารกิจ กู้หมิงเค่อป่วยกระเสาะกระแสะ อารมณ์เปราะบาง ทว่าฉินเค่อไม่เป็นเช่นนั้น ต่อให้เขาเป็นเทพเซียนสวมรอยเป็นผู้อื่นนานวันเข้าก็เผยพิรุธได้เช่นกัน

ฉะนั้นมิสู้ปรับเปลี่ยนความทรงจำที่ผู้คนมีต่อกู้หมิงเค่อคนเดิม แล้วให้ฉินเค่อลงสนามอย่างเป็นตัวของตัวเอง มุ่งทำภารกิจให้ลุล่วงจะดีกว่า

เดิมทีความเร็วในการเดินทางของฉินเค่อสอดคล้องกับความเร็วที่เซียวหลิงปรับปรุงสังสารวัฏ ทว่าระหว่างทางฉินเค่อแวะไปภูเขาผิงซานหนึ่งเที่ยว เวลาจึงล่าช้ากว่าที่คาดไว้เล็กน้อย ฉินเค่อต้องการแน่ใจว่าจวนสกุลเผยทางนี้จะไม่เผยพิรุธจึงเสกหุ่นเวทตัวหนึ่งส่งเข้าห้องของกู้หมิงเค่อจากระยะไกลและให้แสดงออกว่าล้มป่วย นี่ก็คือสาเหตุที่เจียวเหว่ยบอกว่าคุณชายดูซึมเซา ไม่กินอาหารไม่ดื่มน้ำ พูดคุยด้วยก็ไม่มีท่าทีตอบสนอง

กาลเวลาที่เซียวหลิงปรับใหม่คือเวลาในแดนมนุษย์เท่านั้น หนึ่งวันในแดนสวรรค์เท่ากับหนึ่งปีในแดนมนุษย์ สำหรับแดนสวรรค์วันเวลายังคงดำเนินไปตามปกติ อดีตเซียนหมู่ตานหัวหน้าแห่งร้อยบุปผาได้เข้าสู่สังสารวัฏไปรับโทษแล้ว เป่ยเฉินเทียนจุนจะหายหน้าไปโดยไม่รู้สาเหตุเพียงไม่กี่วัน แม้แต่เทพดาราทันหลางก็จะแค่กลับมาช้ากว่ากำหนดที่คาดไว้เดิมเพียงไม่กี่วันเท่านั้น

เงื่อนไขแรกของทั้งหมดนี้ก็คือเทพดาราทันหลางเผชิญด่านเคราะห์ได้ราบรื่น ไม่ต้องปรับเวลาเริ่มใหม่อีกหน

เวลาครู่เดียวฉินเค่อก็จดจำชีวประวัติของกู้หมิงเค่อได้ขึ้นใจ จากนั้นก็นั่งลงหลังโต๊ะหนังสือ พลิกดูตำราของกู้หมิงเค่อ ไม่นานนักกระทั่งอุปนิสัยและความชอบของกู้หมิงเค่อเขาก็รู้กระจ่างดุจนิ้วบนฝ่ามือ

นี่ช่างเป็นภารกิจที่น่าเบื่อยิ่ง สวมฐานะเป็นผู้อื่นเพื่อแฝงตัวในแดนมนุษย์ คอยช่วยเทพดาราทันหลางให้เดินไปตามรอยทางชีวิตที่ลิขิตไว้ กล่าวตามสัตย์ว่าในสายตาของฉินเค่อไม่ต่างอันใดกับเด็กน้อยเล่นขายของ หากไม่ใช่เห็นแก่ที่เทพดาราทันหลางคือตัวเลือกซีขุยเทียนจุนคนถัดไป ไม่ว่าอย่างไรฉินเค่อก็ไม่ยอมรับงานที่หมดเปลืองเวลาเช่นนี้แน่

เขาคิดในใจอย่างมุ่งมั่นว่าจะต้องไม่มีหนหน้า

หนนี้จะต้องสำเร็จ

อย่างน้อยเบาะแสของโจวฉางเกิงก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่เหนือความคาดหมาย นี่นับเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้ฉินเค่อรู้สึกว่าตนลงมาแดนมนุษย์หนนี้ยังมีคุณค่า ในเมื่อรู้ร่องรอยของโจวฉางเกิงแล้ว การจะจับตัวอีกฝ่ายก็ลำบากเพียงยกมือ เขาไม่รีบร้อนจะไปจับกุมประเดี๋ยวนี้หรอก เขากำลังทำภารกิจอยู่ รอจนเสร็จเรื่องของเทพดาราทันหลางค่อยไปตามจับโจวฉางเกิงก็ไม่สาย

ภารกิจจะต้องทำไปทีละอย่าง ไม่อาจแทรกลำดับกัน

ในคืนแรกที่เข้าสู่บทบาท ฉินเค่อฆ่าเวลาไปกับการพลิกดูตำราสะสมของสกุลกู้ ค้นอ่านจดหมายลายมือกู้หมิงเค่อ แม้เขาสะกดพลังวัตรไว้ แต่ถึงอย่างไรฝีมือก็เป็นสุดยอดของราชสำนักสวรรค์ เขาไม่จำเป็นต้องพักผ่อนแบบมนุษย์นานแล้ว การไม่นอนหนึ่งคืนสำหรับเขาไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น แสงอรุณแรกเบิกฟ้า ปุยหิมะเริ่มปลิวโปรย ท่ามกลางเสียงปลุกเร้าก้องกังวานของกลองแจ้งโมงยาม ประตูวัง ประตูเมือง และประตูฟางทั่วนครลั่วหยางล้วนเปิดออก มีราษฎรที่จะไปตลาดไปค้าขายมารออยู่หน้าประตูฟางกันแต่แรก ตั้งแต่เสียงกลองสิ้นสุดเวลาห้ามออกนอกเคหสถานดังขึ้น พวกเขาก็เตรียมสัมภาระพร้อมสรรพ เคลื่อนตัวตามฝูงชนจนถึงประตูฟาง เบียดเสียดกันออกไปอย่างเชื่องช้า แล้วแยกย้ายเข้าสู่ถนนตรอกซอยที่เชื่อมต่อทั่วทิศในราชธานีตะวันออก

ภายในจวนสกุลเผย ฉินเค่อปิดตำราแล้ว เขาตั้งใจจะไปแสร้งนอนบนเตียงเสียหน่อย บทบาทของเขาในตอนนี้คือคุณชายอ่อนแอผู้หนึ่ง พฤติกรรมไม่หลับไม่นอนทั้งคืนก็ยังกระปรี้กระเปร่าอยู่เช่นนี้ไม่ค่อยสอดรับกับบทบาท

ผ่านไปสักพักเจียวเหว่ยก็มาถึงในอาการง่วงซึม จัดเก็บห้องไปป้องปากหาวไป

เมื่อคืนหลังจากได้เห็นคุณชาย ไม่รู้เพราะเหตุใดเจียวเหว่ยจึงนอนไม่หลับเลยทั้งคืน ขอเพียงเขาหลับตาก็จะเห็นภาพท่านเซียนในชุดขาวยิ่งกว่าหิมะแผ่รัศมีอันเย็นเยือกผู้หนึ่งมองเขาอย่างเฉยเมย เขาไม่ยักจำได้สักนิดว่านี่คือคุณชายของตน กลับรู้สึกอยู่ตลอดว่าตนได้พบเห็นเทพเซียนเข้าแล้ว

ท่านเซียนชวนมองน่ะชวนมองอยู่ ทว่าชวนผวาก็ชวนผวามากจริงๆ เจียวเหว่ยเผชิญใบหน้าดวงนั้นโดยไม่กล้ากระทั่งจะหอบหายใจ ด้วยเหตุนี้ตลอดคืนเจียวเหว่ยล้วนหลับไม่ได้เสียที วันนี้ตื่นมาจึงงัวเงียหาวไม่เลิก

เจียวเหว่ยเช็ดโต๊ะในอาการสะลึมสะลือ รอจนเช็ดโต๊ะเก้าอี้รับแขกเสร็จ แวะบิดผ้าขี้ริ้วในอ่างน้ำ เดินต่อไปสองก้าวก็มองเห็นคุณชายในชุดขาวนั่งพิงอยู่บนตั่งด้านหลังฉากไม้จันทน์ฉลุลาย กำลังพลิกตำราในอิริยาบถอันผ่อนคลาย แขนเสื้อยาวทบซ้อน ท่วงทีดูไม่มีอันใดพิเศษ ทว่ารอบกายราวมีไอเซียนรายล้อม

เจียวเหว่ยกำผ้าขี้ริ้วที่มีคราบสกปรก ไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปดีหรือไม่ ครั้นก้มหน้ามองมือหยาบกร้านก็บังเกิดความรู้สึกเป็นหนแรกว่าตนช่างต่ำต้อยด้อยค่า เขาวางผ้าขี้ริ้วกลับไปบนถาดสำริด เช็ดมือเป็นดิบดีค่อยเดินเข้าไปอย่างเบามือเบาเท้า “คุณชายขอรับ เดือนหนึ่งยังคงมีอากาศหนาวเข้มข้น ท่านสุขภาพมิสู้ดี อย่าหักโหมอ่านตำรานักจะเสียสุขภาพเอาได้”

คุณชายบนตั่งมิได้เงยหน้า เพียงผงกศีรษะเล็กน้อยจนแทบจะมองไม่ออก “ได้ ข้ารู้แล้ว”

คุณชายพูดจบก็ไม่มีคำพูดอื่นใด ทว่าเจียวเหว่ยมิอาจอยู่ว่าง เมื่อก่อนอาศัยว่าตนอายุน้อยมักแสร้งทำโง่งมไม่รู้ไม่ชี้ต่อหน้าคุณชาย วันนี้ไม่รู้เหตุใดเขาอยู่ต่อหน้าคุณชายกลับไม่กล้าเหิมเกริมอีก รีบค้อมคำนับแล้วเดินเขย่งปลายเท้าจากไปอย่างเงียบเชียบ

เจียวเหว่ยยกอ่างน้ำเดินมุ่งไปนอกเรือน เดินไปก็ฉงนไป เมื่อก่อนไม่ยักรู้สึกเลยว่าคุณชายของเขาน่ามองเพียงนี้ วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นหนอ ในใจเขามัวแต่คิดนู่นนี่ ไม่ได้ระวังทางข้างหน้า ตอนจะออกจากประตูลานจึงเกือบชนถูกร่างคนผู้หนึ่ง

“บังอาจ!” เจียวเหว่ยยังไม่ทันจะตอบสนองก็ถูกพละกำลังจากฝั่งตรงข้ามผลักใส่ ทำเอาฝีเท้าเขาซวนเซหลายก้าวก่อนล้มลงพื้นทั้งคนทั้งอ่าง

เดือนหนึ่งหิมะน้ำแข็งยังไม่ละลาย พื้นดินแน่นแข็งยิ่งยวด พออ่างสำริดกระแทกพื้นจึงเกิดเสียงเคร้งดังสนั่น ในลานเรือนอันสงบเงียบให้ความรู้สึกบาดหูเป็นพิเศษ นอกประตูลานมีบุรุษสวมเสื้อคลุมกันลมสีครามผู้หนึ่งมาพร้อมกับผู้ติดตาม สองคิ้วของเขาค่อยๆ ขมวดมุ่นพลางเอ่ยตำหนิ “กำเริบนัก ญาติผู้พี่ข้าพักฟื้นอยู่ข้างใน พวกเจ้าส่งเสียงเอ็ดตะโรได้หรือ”

ขณะที่ผู้ติดตามโดยรอบรีบค้อมกายขอขมา เจียวเหว่ยก็ตะกายพรวดขึ้นจากพื้น แม้บั้นท้ายจะล้มกระแทกจนรวดร้าว ทว่าขณะนี้เขาคล้ายคนที่ไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น ยังคงยิ้มละไมทักทายผู้มาเยือน “คุณชายใหญ่เผย ท่านมาแล้ว สองวันนี้อาการป่วยของท่านหายดีแล้วหรือขอรับ”

เผยจี้อันผงกศีรษะนิดๆ ใบหน้าของเขาขาวเกลี้ยงเกลาดุจหยก สีสันบนริมฝีปากอ่อนจาง แลดูยังให้ความรู้สึกซีดเซียวเช่นผู้ที่เพิ่งหายจากป่วยหนัก เผยจี้อันเอียงศีรษะไอหนึ่งหน ก่อนถามด้วยสุ้มเสียงที่ยังคงแหบแห้ง “พี่กู้เล่า”

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน พฤศจิกายน 2567)

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: