บทที่ 129 วิถีแห่งราชัน
สกุลเผยถูกเล่นงาน ทุกคนรวมถึงเผยจี้อันล้วนไม่คาดคิดว่าไหลจวิ้นเฉินจะหันมาใส่ความเสนาบดีเผยโดยไม่ให้ตั้งตัว บอกว่าในเมื่อฮูหยินของเสนาบดีเผยเป็นบุตรสาวของจ่างซุนอวี่ จ่างซุนอวี่สมคบกับอ๋องต่างเมืองคิดการกบฏ ผู้ที่เป็นถึงเสนาบดีไม่มีทางจะไม่รู้ ไม่แน่ว่า…เสนาบดีเผยเองก็คบคิดอันใดกับจ่างซุนอวี่อยู่
ไหลจวิ้นเฉินรู้เช่นกันว่าสกุลเผยตอแยไม่ง่ายจึงไม่กล้าพูดตรงๆ ว่าสกุลเผยเป็นกบฏ เพียงใช้ถ้อยคำอ้อมๆ ว่า ‘ไม่แน่’ เสนาบดีเผยฟังถ้อยคำเหล่านี้จบเพียงแค่นหัวเราะเย็นชา ไม่ยี่หระจะโต้แย้งด้วยแม้ประโยคเดียว ต่อให้ถูกพาตัวไปถึงห้องขังก็ไม่เคยขมวดคิ้วนิ่วหน้า
เผยจี้อันในฐานะบุตรชายสายตรงคนโตของสกุลเผย ทั้งพูดจาช่วยหลี่ไหวอย่างโจ่งแจ้งหลายครา ย่อมถูกพาตัวไปในฐานะผู้ต้องสงสัยเช่นกัน
ช่วงสายเสนาบดีเผยกับเผยจี้อันถูกพาตัวไป ไม่ช้าข่าวก็แพร่ไปทั่วเมืองหลวง เผยฉู่เยวี่ยฟังแล้วแข็งค้างไปทั้งร่าง “อะไรนะ ท่านพ่อกับพี่ใหญ่ถูกจับเข้าคุกแล้ว?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้อาวุโสที่สกุลเผยส่งมาแจ้งข่าวยังดูเสียขวัญไม่หาย “ฮูหยินกลัวว่าจะมีคนไร้ตามาพูดชี้นำคุณหนู รบกวนคุณหนูบำรุงครรภ์จึงส่งข้าน้อยมาแจ้งคุณหนูก่อน คุณหนูเพียงรับรู้เรื่องนี้ก็พอ ไม่ต้องเป็นกังวล ฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าย่อมจัดการได้เรียบร้อย”
เผยฉู่เยวี่ยประคองท้องน้อย พลันรู้สึกวิงเวียนตาลาย พวกสาวใช้รอบด้านตกอกตกใจ รีบตรงมาพยุงเผยฉู่เยวี่ยไว้ “คุณหนู…”
เผยฉู่เยวี่ยแต่งให้บุตรชายสกุลโจวสายเลือดภรรยาเอกแล้ว เดือนก่อนเพิ่งตรวจพบว่าตั้งครรภ์ ตอนนี้พักบำรุงครรภ์อยู่ ก่อนหน้านี้เผยฉู่เยวี่ยเคยป่วยหนักหนึ่งหน ร่างกายถูกพลังธาตุอินแทรกซึม ครรภ์นี้จึงเสี่ยงอย่างยิ่ง คนบ้านเดิมและคนบ้านสามีล้วนกลัวว่าหากนางแท้งจะยิ่งเสียสุขภาพ เลยพยายามไม่ให้นางเหนื่อยใจเหนื่อยกาย เสาะหาสถานที่เงียบสงบให้นางได้บำรุงครรภ์โดยเฉพาะ หากไม่ใช่เพราะเรื่องหนนี้บานปลายใหญ่โตเหลือเกิน ฮูหยินใหญ่เผยเกรงว่าหากนางได้ฟังจากปากของผู้อื่นจะยิ่งตื่นตระหนกมากกว่าเดิม ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางบอกเรื่องนี้กับเผยฉู่เยวี่ย
เผยฉู่เยวี่ยตั้งมือยับยั้งสาวใช้ด้านข้าง ฝืนประคองสติถามหญิงรับใช้อาวุโสผู้นั้น “เป็นใครมาพาตัวท่านพ่อกับพี่ใหญ่ไป”
หญิงรับใช้อาวุโสกระอึกกระอัก เผยฉู่เยวี่ยเห็นเช่นนี้หัวใจก็เย็นเฉียบ “พูดมา!”
หญิงรับใช้อาวุโสเลี่ยงไม่พ้น ก้มหน้าตอบเสียงเบา “เป็นผู้ตรวจการไหลเจ้าค่ะ”
เผยฉู่เยวี่ยใจเต้นสะดุดวูบ เป็นเขาจริงๆ เจ้าไหลจวิ้นเฉินสุนัขบ้านั่น!
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เผยฉู่เยวี่ยจะไม่หวาดกลัว สกุลเผยมีญาติมิตรทั่วราชสำนัก ไม่มีใครกล้าทำอันใดเสนาบดีเผยกับคุณชายสกุลเผย ทว่า…ผู้ลงมือคือไหลจวิ้นเฉิน คนถ่อยผู้นั้นใจคออำมหิต ไม่เลือกวิธีการ ชอบหยามหมิ่นคนตระกูลสูง เพียงคิดว่าบิดากับพี่ใหญ่อาจถูกไหลจวิ้นเฉินใช้ทัณฑ์ทารุณ เผยฉู่เยวี่ยก็โกรธจนตัวสั่น
เผยฉู่เยวี่ยใจเต้นรัวเร็วขึ้น รีบซักไซ้รายละเอียด แรกเริ่มหญิงรับใช้อาวุโสไม่ยอมพูด เผยฉู่เยวี่ยเหลืออดจึงตวาดว่า “รีบพูด! ท่านพ่อกับพี่ใหญ่ถูกพาตัวไปด้วยเหตุใด ก่อนไปพวกเขาเคยติดต่อใครบ้าง เจ้าไม่พูดรายละเอียดให้ชัด ข้าจะหาทางช่วยพวกเขาได้อย่างไรกัน”
“คุณหนู ฮูหยินจะคิดหาวิธีเอง คุณหนูยังอุ้มครรภ์ไม่พ้นช่วงสามเดือนแรก ครรภ์ยังไม่นิ่ง ท่านสงบใจพักบำรุงครรภ์ก็พอ อย่ากลัดกลุ้ม จะได้ไม่กระเทือนทารกในครรภ์”
“ท่านพ่อกับพี่ใหญ่ล้วนถูกพาไปแล้ว ข้าจะยังสงบใจไปได้อย่างไร” เผยฉู่เยวี่ยต่อว่า “ตอนนี้เจ้าไม่พูดอะไรทั้งสิ้น นี่ต่างหากจะกระเทือนทารกเข้าจริงๆ ท่านพ่อกับพี่ใหญ่ถูกคุมขังอยู่ที่ใด ท่านแม่หาลู่ทางได้หรือยัง ท่านย่าว่าอย่างไรบ้าง”
หญิงรับใช้อาวุโสเห็นเผยฉู่เยวี่ยร้อนใจดั่งถูกไฟแผดเผา รู้ว่าไม่อาจเกลี้ยกล่อมแล้วจึงตอบไปตามความสัตย์ “ยามซื่อ* ท่านเสนาบดีกับคุณชายใหญ่ถูกพาตัวไป ตอนนี้ถูกคุมขังอยู่ที่คุกนครบาล ฮูหยินกำลังระดมสหายเก่า หมายจะพาท่านเสนาบดีกับคุณชายใหญ่ออกมา ทว่าในห้วงเวลานี้ทุกบ้านทุกช่องล้วนอกสั่นขวัญผวา ผู้ที่จะช่วยเหลือได้มีไม่มากนัก”
เผยฉู่เยวี่ยยิ่งฟังหัวใจก็ยิ่งจมดิ่ง ตอนไหลจวิ้นเฉินเพิ่งโดดเด่นขึ้นมาในราชธานีตะวันออก นางไม่ได้ยี่หระ ก็แค่ชาวบ้านสามัญผู้หนึ่ง ชั่วชีวิตล้วนเอื้อมไม่ถึงธรณีประตูของสกุลเผย จะใส่ใจไปทำอันใด ต่อมาไหลจวิ้นเฉินจับกุมขุนนางทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับอ๋องเจ้าศักดินาต่างเมือง นางก็ยังไม่ยี่หระ สกุลเผยของนางคือตระกูลขุนนางใหญ่เชียวนะ ขุนนางขั้นหกขั้นเจ็ดพวกนั้นตายไปเกี่ยวอันใดกับนางเล่า ต่อมาไหลจวิ้นเฉินทำคดีบรรดาอ๋องสกุลหลี่ ท่านอ๋องกับองค์หญิงคนแล้วคนเล่าถูกสอยร่วง นางก็ยังคงไม่ยี่หระ สกุลเผยของนางไม่ใช่เชื้อพระวงศ์สักหน่อย กลัวอันใดกัน
ในที่สุด…ความกระหายของไหลจวิ้นเฉินก็ถูกบ่มเพาะจนเบ่งพองขึ้นทุกที รสชาติของการได้ไต่ขึ้นฟ้าในก้าวเดียวนี้ชวนหลงใหลเหลือเกิน เขาพลันพบว่าดูเหมือนเชื้อพระวงศ์กับชนชั้นสูงที่เคยอยู่เหนือใครเหล่านั้นไม่อาจนับเป็นอันใดได้ ยามอยู่ใต้เงื้อมมือของเขาก็ล้วนไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบโต้สักนิด
นานวันเข้าการจับกุมขุนนางเล็กจ้อยทั่วไปก็ทำให้ไหลจวิ้นเฉินพึงพอใจไม่ได้อีก สายตาของเขามองสูงขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายจึงยื่นมือมาหาวงศ์ตระกูลใหญ่โตอย่างสกุลเผย
เผยฉู่เยวี่ยนั่งนิ่งบนตั่งนุ่มพักใหญ่ เพียรทำให้ตัวนางเองเยือกเย็น ท่านแม่กับท่านย่าของนางมีสายสัมพันธ์มิตรสหายแข็งแกร่งกว่านางมาก หากแม้แต่ท่านแม่ก็หาคนช่วยไม่ได้ ตัวนางเองยิ่งไม่มีทาง แล้วนอกจากเรื่องพวกนี้แล้วนางยังพอจะทำสิ่งใดที่ท่านแม่ทำไม่ได้บ้างหรือไม่…
เผยฉู่เยวี่ยดวงตาสว่างวาบ นางนึกออกแล้ว…องค์หญิงก่วงหนิง! ขุนนางธรรมดาไม่กล้าทูลขอความเมตตาจากฮ่องเต้ ทว่าองค์หญิงก่วงหนิงนั้นแตกต่าง บัดนี้องค์หญิงก่วงหนิงแต่งให้เว่ยอ๋อง สองคนนี้ผู้หนึ่งเป็นบุตรีที่ฮ่องเต้รักใคร่ตามใจที่สุด อีกผู้หนึ่งก็เป็นหลานชายที่ฮ่องเต้เห็นสำคัญที่สุด หากสองคนนี้เอ่ยปาก ฮ่องเต้จะมีเหตุผลใดไม่ตอบรับ
เผยฉู่เยวี่ยรีบยืนขึ้น สั่งการจะออกไปข้างนอก “รีบเตรียมรถม้า ข้าจะไปจวนเว่ยอ๋อง”
บ่าวรอบด้านฟังแล้วตื่นตระหนก หญิงรับใช้อาวุโสที่สกุลเผยส่งมาแจ้งข่าวกล่าวอย่างร้อนรน “คุณหนูเจ้าคะ ท่านต้องใจเย็นไว้ บัดนี้องค์หญิงก่วงหนิงคือชายาเว่ยอ๋อง เชื้อพระวงศ์สกุลอู่พวกเราตอแยไม่ไหว ฮูหยินได้ไปหาคุณชายบ้านท่านเขยแล้ว รออีกสักครู่ทางคุณชายบ้านท่านเขยอาจจะมีหนทาง”
คุณชายบ้านท่านเขย…เผยฉู่เยวี่ยชะงัก “พี่กู้?”
“ใช่เจ้าค่ะ” หญิงรับใช้อาวุโสกล่าว “เขาเป็นคนเที่ยงธรรมและเป็นที่ไว้วางพระทัยของฝ่าบาทมาก หากเขาช่วยไม่ได้ก็ขอให้พูดกับองค์หญิงเซิ่งหยวนสักคำ ให้องค์หญิงเซิ่งหยวนออกหน้า เรื่องของท่านเสนาบดีกับคุณชายใหญ่จะต้องคลี่คลายได้อย่างแน่นอน”
ได้ยินชื่อนี้อีกคราเผยฉู่เยวี่ยรู้สึกราวกาลเวลาผ่านมาแล้วหลายสิบปี นับแต่นางออกเรือนมา พลังใจได้ถูกมารดาของสามี ตัวสามีเอง รวมถึงบ่าวไพร่ยึดครองไปจนสิ้น น้อยนักจะใส่ใจเรื่องภายนอก กู้หมิงเค่อคล้ายมีชีวิตอยู่บนโลกอีกใบ เขากับนาง…ผู้หนึ่งอยู่บนฟ้า ผู้หนึ่งอยู่บนดิน ไม่มีจุดบรรจบกันอีก
เผยฉู่เยวี่ยได้ยินว่ามารดาตั้งใจไปขอให้กู้หมิงเค่อกับหลี่เจาเกอช่วยเหลือ ไม่รู้เพราะเหตุใดความโกรธจึงปะทุขึ้นมา “ไม่ต้องให้นางมาช่วย ข้าก็มีหนทาง พวกเจ้า! จงเตรียมรถม้า ไปจวนเว่ยอ๋อง”
เผยฉู่เยวี่ยพกพาความคาดหวังมาหาหลี่ฉังเล่อ ทว่าหลังจากหลี่ฉังเล่อฟังจบ เนิ่นนานกลับไม่พูดจา
หัวใจของเผยฉู่เยวี่ยค่อยๆ ผุดไอเย็นริ้วหนึ่ง นางฝืนข่มมันไว้ มองสหายรักอย่างตั้งใจ “อาเล่อ ตอนนี้มีแต่เจ้าที่ช่วยข้าได้ ท่านแม่กับท่านย่าไปที่จวนว่าการเมืองหลวงกับกรมอาญามาแล้ว แต่เจ้าไหลจวิ้นเฉินนั่นเหมือนสุนัขบ้าไม่มีผิด บอกว่าใครขอความเมตตาให้ผู้ที่ถูกจับกุมก็เท่ากับเป็นพรรคพวกกบฏ บรรดาสหายเก่าจึงไม่สะดวกจะออกหน้า ทว่าเจ้ากับเว่ยอ๋องไม่เหมือนกัน หากเจ้าออกหน้าขอความเมตตาจากฝ่าบาท ฝ่าบาทจะไม่ทรงระแวงเด็ดขาด”
หลี่ฉังเล่อยังคงไม่พูดจา นางกับหลี่ไหวเองล้วนเอาตัวไม่รอด ขืนนางขอความเมตตาให้สกุลเผย เกิดเดือดร้อนมาถึงตัวนางกับหลี่ไหวด้วยจะทำเช่นไรเล่า
พักนี้หลี่ไหวสงบเสงี่ยมเจียมตัว ประกอบกับฮ่องเต้นึกถึงพฤติกรรมเหิมเกริมของอู่หยวนชิ่งกับไหลจวิ้นเฉินตอนที่บุกรุกตำหนักของหวงฉู่คราวก่อนจึงรู้สึกผิดต่อหลี่ไหวไม่มากก็น้อย อีกทั้งหลี่ฉังเล่อก็แต่งให้อู่หยวนชิ่งแต่โดยดีตามพระประสงค์แล้ว ท่าทีที่ฮ่องเต้มีต่อหลี่ไหวจึงผ่อนคลายลงตามลำดับ เมื่อเหล่าผู้ติดตามลองเสนอให้ย้ายหลี่ไหวออกจากตำหนักชั้นใน ฮ่องเต้จึงไม่ได้ปฏิเสธเด็ดขาดอีก ตอนนี้กำลังอยู่ในห้วงสำคัญที่จะช่วยหลี่ไหวออกมา หากช่วงเวลานี้นางขอความเมตตาให้สกุลเผย ซ้ำสกุลเผยยังเป็นตระกูลอดีตคู่หมั้นของนาง ฮ่องเต้จะคิดเช่นไร
หลี่ฉังเล่อตรองไปตรองมายังคงรู้สึกว่ามิตรภาพระหว่างนางกับเผยฉู่เยวี่ยไม่คุ้มค่าพอจะให้เข้าเสี่ยง ว่ากันถึงที่สุดหลี่ไหวต่างหากคือไพ่ใบสุดท้ายที่จะทำให้นางพลิกฟื้นคืนมาได้ ส่วนคนที่เหลือ…ล้วนเป็นสิ่งเกินจำเป็น
หลี่ฉังเล่อเงยหน้าขึ้น เห็นอีกฝ่ายยังคงมองนางด้วยความจริงใจ นางก็หลบสายตาก่อนกล่าว “แต่ไรมาข้าไม่เคยก้าวก่ายการบ้านการเมือง เรื่องภายนอก…ข้าเองก็จนปัญญา”
ลางสังหรณ์ไม่ดีรางๆ ในใจเผยฉู่เยวี่ยได้รับการยืนยัน คนทั้งคนราวถูกน้ำเย็นหนึ่งอ่างสาดซึ่งหน้า หลงนึกว่าหลี่ฉังเล่อไม่รู้เหตุการณ์จึงอธิบายเสริม “อาเล่อ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ของบ้านเมือง แต่มีคนให้ร้ายท่านพ่อกับพี่ใหญ่ว่าคิดกบฏ เจ้ากับพวกเราโตมาด้วยกันแต่เล็ก พี่ใหญ่ข้าเป็นคนอย่างไร เจ้าจะไม่รู้เชียวหรือ บ้านข้าจะคิดกบฏได้อย่างไรกัน เป็นเพราะพวกคนถ่อยข้างนอกนั่นริษยาคนมีความสามารถ ยุแยงตะแคงรั่วเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท เจ้าไปทูลชี้แจงฝ่าบาทสักหน่อย ฝ่าบาทจะต้องเข้าพระทัยแน่ว่าท่านพ่อกับพี่ใหญ่ข้าถูกคนปรักปรำ”
ส่วนลึกในใจของหลี่ฉังเล่อแค่นหัวเราะ…ฮ่องเต้น่ะหรือจะถูกผู้อื่นตบตา ไม่มีทางเสียล่ะ
เอ่ยถึงเหลี่ยมเล่ห์ เอ่ยถึงการมองคน ใครกันจะมีปัญญาหลอกฮ่องเต้ได้ ไหลจวิ้นเฉินแม้เป็นคนถ่อย ทว่าก็เป็นคนฉลาด เขารู้เสียยิ่งกว่ารู้ว่าใครตอแยได้ ใครตอแยไม่ได้ เขาเล็งเป้าไปที่สกุลเผยอาจได้รับการบอกใบ้เป็นนัยจากฮ่องเต้ด้วยซ้ำ
หากเป็นเช่นนี้จริงหลี่ฉังเล่อก็ยิ่งไม่อาจออกหน้าได้
อีกอย่าง…เมื่อแรกนางวิงวอนเผยจี้อันอย่างต่ำต้อยถึงเพียงนั้น เผยจี้อันกลับเป็นเช่นเหล็กก้อนหนึ่ง ขอยอมตายก็ไม่ขอยอมแต่งกับนาง ตอนนั้นแข็งกร้าวออกปานนั้น ตอนนี้ไฉนถึงนึกมาวิงวอนนางเสียเล่า
หลี่ฉังเล่อกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงบิดากับพี่ชาย แต่เรื่องภายนอกข้าไม่เคยสอดมือ จนใจจะช่วยจริงๆ เจ้าวางใจได้ หากสกุลเผยสุจริตใจ ฝ่าบาทจะทรงคืนความบริสุทธิ์แก่เสนาบดีเผยและคุณชายใหญ่เผยแน่นอน”
เผยฉู่เยวี่ยเบิกตาโตมองสหาย แทบจะไม่รู้จักว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ใด จึงถามออกไปอย่างไม่อาจเชื่อ “อาเล่อ เจ้าว่าอะไรนะ พวกเราโตมาด้วยกันแต่เล็ก ความผูกพันหลายปีเพียงนี้ แม้แต่คำพูดเป็นธรรมสักประโยคเจ้าก็ไม่ยินยอมช่วยพวกเราถ่ายทอดเชียวหรือ”
ตอนนี้เพิ่งนึกถึงความผูกพันกับข้าขึ้นมาได้หรือ หลี่ฉังเล่อเหยียดยกมุมปากอย่างเย็นชา น้ำเสียงเจือความเคืองแค้นและสาแก่ใจโดยไม่รู้ตัว “หากคุณชายใหญ่เผยไยดีความผูกพันจริงๆ ตอนนั้นคงจะไม่ยอมให้ข้าตกอยู่ในสภาพการณ์เช่นนั้นหรอก เมื่อแรกเป็นเขาที่ทูลขอสมรสพระราชทานจากเสด็จพ่อข้า ต่อมาก็เป็นเขาอีกที่บอกว่าไม่เหมาะสม เห็นข้าเป็นเพียงน้องสาว เขาไม่ถอนหมั้นก่อนหรือหลัง จำเพาะเลือกช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่แคว้นถู่ปัวมาขอแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ในเมื่อหลายปีเพียงนี้เขาไม่หารือเรื่องแต่งงาน เช่นนั้นก็ไปหาคนที่เขาห่วงหาสิ มาพบข้าอดีตคู่หมั้นที่ถอนหมั้นกันไปแล้ว จะไม่ถูกผู้อื่นครหาหรือไร”
“เจ้า…” เผยฉู่เยวี่ยโกรธจนตัวสั่น กุมท้องน้อย ลุกขึ้นจากพื้นอย่างกินแรง ก่อนเอ่ยด้วยโทสะ “ได้ มิบังอาจรบกวนองค์หญิงก่วงหนิงแล้ว องค์หญิงก่วงหนิง ชายาเว่ยอ๋อง โปรดเสพสุขให้สบายพระทัย หม่อมฉันขอทูลลาประเดี๋ยวนี้”
เผยฉู่เยวี่ยเดินกระฟัดกระเฟียดมุ่งออกไป ประจวบกับนางกำนัลเพิ่งยกขนมสดใหม่เดินเข้ามา กำลังจะทักทายเผยฉู่เยวี่ย กลับถูกเผยฉู่เยวี่ยหน้าบึ้งผลักออกห่าง นางกำนัลอึ้งงัน ตนรับใช้หลี่ฉังเล่อมาหลายปีแทบจะเรียกได้ว่าเห็นหลี่ฉังเล่อกับเผยฉู่เยวี่ยมาจนเติบใหญ่ แม่นางน้อยสองคนนี้สนิทชิดเชื้อกันเสมอมา ไฉนวันนี้ผิดใจกันเสียแล้ว
นางกำนัลเดินเข้ามาถามอย่างฉงนไม่คลาย “องค์หญิงเพคะ เหตุใดคุณหนูเผยไปเสียแล้ว มีคนยั่วโทสะนางหรือ”
หลี่ฉังเล่อแค่นหัวเราะเย็นชาเพียงหนึ่งทีก่อนกล่าว “ข้าวสารหนึ่งเซิงเป็นบุญคุณ ข้าวสารหนึ่งโต่วเป็นความแค้น* ผู้อื่นไม่ช่วยเหลือ นางคิดได้ว่าผู้อื่นมีเหตุจำเป็น แต่พอข้าไม่ช่วยเหลือ นางกลับเห็นข้าเป็นศัตรู สกุลเผยทำผิดต่อข้าตั้งมากมาย ข้าไม่ได้ติดค้างพวกเขาเสียหน่อย คนบ้านนั้นถือดีอะไรจะมาจิกใช้ข้า ปล่อยให้นางไป ไม่ต้องไยดีนาง”
นางกำนัลมีสีหน้าลำบากใจ ขมวดคิ้วคิดจะโน้มน้าวอยู่หลายหนทว่าพูดไม่ออก สุดท้ายจึงทำเพียงถอนใจยาว
หลังจากหลี่ฉังเล่อไล่เผยฉู่เยวี่ยไปก็อารมณ์เสียถึงขีดสุด นางให้คนเรียกตัวนักแสดงมา ตั้งใจจะฟังลำนำแก้กลุ้มสักสองสามเพลง นักแสดงเพิ่งจะเริ่มเปล่งเสียง ด้านนอกก็พลันมีคนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามารายงานอย่างลนลาน “องค์หญิง เกิดเรื่องใหญ่ไม่สู้ดีแล้ว ฮูหยินสกุลโจวพอออกจากจวนอ๋องก็รีบเร่งรถม้า ตอนเลี้ยวโค้งจึงหลบไม่พ้น ชนเข้ากับรถม้าอีกคัน ตัวรถของสกุลโจวพลิกคว่ำ ฮูหยินสกุลโจวรักษาเด็กในครรภ์ไว้ไม่ได้ แท้งเสียแล้วเพคะ”
“อะไรนะ” หลี่ฉังเล่อยืนพรวด สีหน้าท่วมท้นด้วยความตื่นตกใจ “นางตั้งครรภ์อยู่?”
ตั้งครรภ์ช่วงสามเดือนแรกไม่เหมาะจะป่าวประกาศ ประกอบกับลักษณะครรภ์ของเผยฉู่เยวี่ยก็ไม่มั่นคง ดังนั้นนอกจากสกุลเผยกับสกุลโจวจึงไม่มีผู้อื่นรู้ว่านางตั้งครรภ์ นางทะเลาะกับหลี่ฉังเล่อแล้วอารมณ์พลุ่งพล่าน เอาแต่เร่งรัดผู้บังคับรถให้รีบไป ผลคือเกิดอุบัติเหตุขึ้นจนได้
ฝ่ายหลี่เจาเกอหลังได้ฟังผู้ติดตามรายงานจบก็ลอบถอนใจยาว ชาติก่อนเผยฉู่เยวี่ยรถคว่ำแท้งบุตรระหว่างทางเข้าวัง แน่นอนว่าในเหตุการณ์นั้นมีฝีมือของหลี่เจาเกอร่วมด้วย หลี่เจาเกอในชาติก่อนฆ่าคนไปนับไม่ถ้วน แต่มีเพียงตอนฆ่าเผยฉู่เยวี่ยบังเกิดความละอายใจ หลี่เจาเกอในชาตินี้ไม่ได้เดินซ้ำรอยชาติก่อนอีก นึกไม่ถึงเลยว่าเผยฉู่เยวี่ยจะยังคงไม่อาจหลีกพ้น
แต่ก็ต่างตรงที่…ชาติก่อนเผยฉู่เยวี่ยเกิดเรื่องเพื่อช่วยหลี่ฉังเล่อทวงความเป็นธรรม ชาตินี้กลับเป็นเพราะแตกหักกับหลี่ฉังเล่อ
ยังดีที่รักษาชีวิตไว้ได้ ขอเพียงตัวมารดายังอยู่ วันหน้าค่อยมีบุตรใหม่ก็ได้ หลี่เจาเกอฉวยเสื้อคลุมกันลมเดินมุ่งออกไปพลางสั่งการ “เตรียมม้า”
ผู้ติดตามเห็นเช่นนี้ก็สอบถาม “องค์หญิงจะเสด็จไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ”
“คุกนครบาล”
คุกในนครลั่วหยางแบ่งเป็นหลายแห่ง ผู้ว่าการเมืองหลวงมีคุกนครบาล ศาลต้าหลี่มีคุกศาลต้าหลี่ ปัจจุบันยังมีคุกหลวงของกองงานปราบปีศาจอีกแห่งหนึ่ง
เมื่อผู้ว่าการเมืองหลวงเห็นหลี่เจาเกอมาเยือนก็ไม่กล้าขัดขวาง พานางไปที่คุกอย่างระมัดระวัง หลี่เจาเกอเดินอยู่ในคุกใต้ดินอันชื้นแฉะครึ้มหนาว ได้ยินเสียงตวาดเค้นคำสารภาพดังมาจากบริเวณที่ไม่ไกลนัก ผู้ว่าการเมืองหลวงหมายจะเดินไปเตือน ทว่าถูกหลี่เจาเกอขวางไว้
บนร่างนางห่มเสื้อคลุมกันลมสีดำ ขนสัตว์สีขาวโอบล้อมลำคอ ขับเน้นปลายคางที่เนียนละเอียดดุจหยก นางลดมือลงก่อนเอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ผู้ตรวจการไหลกำลังยุ่ง ไม่ต้องไปรบกวนจะดีกว่า”
ไหลจวิ้นเฉินนำบริวารมาเค้นสอบเผยซือเหลียนกับเผยจี้อันในคุก เผยซือเหลียนแสนจะทะนง แม้ตัวอยู่ในคุกก็ยังคงไว้ซึ่งความหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่ว่าไหลจวิ้นเฉินจะกำเริบเสิบสานเพียงใด แต่จนแล้วจนรอดเผยซือเหลียนล้วนไม่ตอบแม้ประโยคเดียว ไหลจวิ้นเฉินโกรธไม่ใช่เบาจึงเอ่ยเสียงเหี้ยมขึ้น “ข้าจะดูซิว่าเสนาบดีเผยปากแข็งได้อีกสักกี่น้ำ ผู้คุม จงมัดเขากับไม้ลงทัณฑ์”
เหล่าผู้คุมลังเลอยู่บ้าง แต่เมื่อถูกไหลจวิ้นเฉินหวดใส่หนึ่งแส้ก็ฝืนทำใจสู้ไปมัดตัวเผยซือเหลียน เผยจี้อันถูกคุมขังอยู่ในห้องขังติดกัน เขานิ่งเย็นควบคุมตนเองมาโดยตลอด กระทั่งเห็นบิดาถูกมัดกับไม้ลงทัณฑ์จึงพลันกำหมัดแน่น ใจอยากจะร้องห้าม แต่ก็กลัวว่าเปล่งเสียงแล้วจะถูกไหลจวิ้นเฉินจับจุดอ่อนได้ กลับกลายเป็นการทำร้ายบิดา เขาฝืนข่มกลั้น ทำเช่นที่บิดาบอกไว้ ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นจงอย่าแยแส จงอย่าก้มหัว
ไหลจวิ้นเฉินจัดการให้ห้องขังของเผยซือเหลียนกับเผยจี้อันพ่อลูกอยู่ข้างกันย่อมมีจุดประสงค์ หากแยกกันสอบ เกรงว่าสองคนนี้คงไม่มีใครสารภาพ ทว่าหากเฆี่ยนบิดาต่อหน้าบุตรชายหรือทรมานบุตรชายต่อหน้าบิดา ไหลจวิ้นเฉินเฝ้ารอยิ่งนักว่าพวกเขาจะยืนหยัดได้นานสักเท่าใด
ในมือไหลจวิ้นเฉินกุมแส้ เดินทอดน่องเนิบนาบอยู่ข้างกายเผยซือเหลียน แกว่งด้ามแส้ไปมาคล้ายจะหวดใส่ในอึดใจถัดไป เผยจี้อันเพียรห้ามตนเองไม่ให้มอง ทว่าทุกย่างก้าวที่ไหลจวิ้นเฉินเดินล้วนชักพาให้หัวใจของเผยจี้อันสั่นอย่างรุนแรง
สองมือสองเท้าของเผยซือเหลียนถูกโซ่ล่ามกับหลักไม้ ต่อให้อยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิงเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็ยังคงสุกสว่าง ไม่ครั่นคร้ามแม้แต่น้อย
ไหลจวิ้นเฉินเอ่ยเนิบๆ “ท่านเผย ท่านเป็นถึงเสนาบดี ส่วนตัวแล้วข้าเลื่อมใสในความรู้ความสามารถของท่าน เพียงแต่…สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้เป็นขุนนางคือความภักดี ต่อให้ข้าเลื่อมใสท่านสักเพียงใดก็จะต้องทำภารกิจของฝ่าบาทให้ลุล่วง ข้าเองไม่ได้ยินดีจะใช้ทัณฑ์ทารุณกับเสนาบดีที่มีคุณธรรมบารมีสูงส่งเช่นท่านหรอก อย่างนี้เถิด เสนาบดีเผย ขอเพียงท่านบอกพฤติกรรมส่วนตัวของจ่างซุนอวี่รวมถึงปกติเขาไปมาหาสู่กับผู้ใดบ้าง ข้าก็จะละเว้นท่าน ท่านเห็นว่าอย่างไรเล่า”
เผยซือเหลียนหัวเราะเสียงเย็น ในที่สุดก็หันมามองไหลจวิ้นเฉิน ไหลจวิ้นเฉินนึกว่าเผยซือเหลียนรู้กาลเทศะเสียทีจึงยื่นหน้าไปใกล้เพื่อจะฟังคำตอบ กลับถูกเผยซือเหลียนถ่มน้ำลายใส่คำโต
ไหลจวิ้นเฉินถูกถ่มน้ำลายเข้าอย่างจัง โทสะถูกกระตุ้นในพริบตา คนรอบด้านเห็นแล้วรีบตรงมาช่วยเช็ดหน้าให้ ไหลจวิ้นเฉินผลักคนรอบด้านออกแรงๆ ก่อนเอ่ยอย่างเดือดดาล “สุราคารวะไม่ดื่ม จะดื่มสุราจับกรอก”*
ไหลจวิ้นเฉินเงื้อแส้ขึ้นสูง เตรียมจะเฆี่ยนร่างเผยซือเหลียนสุดแรง หัวใจเผยจี้อันดิ่งวูบ รีบตะโกนยับยั้ง “หยุดมือ!”
ไหลจวิ้นเฉินแม้จับเผยซือเหลียนมัด ทว่าผู้ที่เขาสอบสวนอยู่จริงๆ ไม่ใช่เผยซือเหลียน หากแต่เป็นเผยจี้อัน เผยจี้อันติดกับดังคาด เผยซือเหลียนพลันหน้าเปลี่ยนสี ตวาดว่า “เผยจี้อัน! กลับไป”
เผยจี้อันรู้ทั้งรู้ว่าข้างหน้าคือหลุมพรางของไหลจวิ้นเฉิน ทว่าเขามิอาจไม่กระโดดลงไป เขาเอ่ยหน้าขรึม “บิดาข้าไม่รู้อันใดทั้งสิ้น เจ้ามีฝีมือใดก็มาลงกับข้านี่”
เผยซือเหลียนตะคอกลั่น “เผยจี้อัน หุบปาก!”
ยังไม่พูดอีก? ไหลจวิ้นเฉินยิ้มเยาะในใจ หนนี้ทุ่มแรงหวดใส่ร่างเผยซือเหลียนอย่างหนักหน่วงจริงๆ เผยจี้อันเบิกตาโต เส้นเลือดสีเขียวบนท่อนแขนปูดโปน พริบตานั้นเขาสัมผัสได้รางๆ ถึงพลังลี้ลับขุมหนึ่ง คล้ายว่าขอเพียงเขาต้องการ โซ่เหล็กแค่เท่านี้ไม่มีทางจะพันธนาการเขาได้เลย ขณะเขาตกอยู่ในภาวะกึ่งพิศวงกึ่งอัศจรรย์นี้ ปลายแส้พลันตวัดม้วน อ้อมผ่านเผยซือเหลียนไปฟาดถูกสุนัขรับใช้ที่อยู่ด้านข้างอย่างถนัดถนี่
สุนัขรับใช้ถูกหนึ่งแส้นี้หวดล้มลงพื้น กุมแขนร้องโอดโอยสารพัด ไหลจวิ้นเฉินหน้าขรึมหันหลังมา เห็นปลายสุดของทางเดินมีสตรีชุดดำนางหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟที่ประเดี๋ยวจ้าประเดี๋ยวหม่น
ไหลจวิ้นเฉินหรี่ตาลงแล้วยิ้มถามทันที “องค์หญิงเซิ่งหยวน? องค์หญิงเป็นเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ ไฉนเสด็จมาสถานที่มืดทึมเช่นนี้เล่าพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เจาเกอย่างเท้าเนิบช้ามาถึงหน้าห้องขัง ก่อนเอ่ยอย่างผ่อนคลาย “ข้าอยากจะมาที่ใด ยังไม่ถึงคราวให้เจ้ายุ่มย่าม เผยซือเหลียนชั่วดีอย่างไรก็เป็นเสนาบดีผู้หนึ่ง ผู้ตรวจการไหลลงทัณฑ์เขาในคุก ได้รับอนุญาตจากกรมอาญาแล้วหรือ”
ไหลจวิ้นเฉินจะได้รับอนุญาตจากกรมอาญาได้อย่างไรกัน เขาจับจ้องหลี่เจาเกออย่างเยียบเย็น รู้ดีว่านางไม่ชอบหน้าเขา ชนชั้นล่างไวต่อความรู้สึกยิ่งกว่าผู้ใด เพียงเห็นแววตานาง เขาก็รู้ได้ทันทีว่านางดูแคลน
ไหลจวิ้นเฉินหัวเราะเสียงเย็นก่อนตอบ “กระหม่อมได้รับพระราชานุญาตเป็นพิเศษเพื่อสืบสาวคดีคิดกบฏ ยามจำเป็นสามารถประหารก่อนค่อยกราบทูลทีหลัง องค์หญิงเซิ่งหยวนน่ะสิ ลมอันใดพัดองค์หญิงมาถึงที่นี่ได้”
“บังเอิญแท้” หลี่เจาเกอหยิบป้ายคำสั่งของกองงานปราบปีศาจออกมาแกว่งตรงทางเดินหนึ่งที ก่อนเอ่ยสั่งคนด้านหลัง “นกฉงหมิงคล้ายเคยปรากฏตัวที่จวนสกุลเผย ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องนำตัวกลับกองงานปราบปีศาจไปสอบสวน จงเปิดประตู นับแต่นี้ไปเผยซือเหลียนกับเผยจี้อันอยู่ในการควบคุมของกองงานปราบปีศาจ”
ไหลจวิ้นเฉินจ้องหลี่เจาเกอตาเขม็ง ยกมุมปากแบบหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม “ที่ผ่านมาองค์หญิงเซิ่งหยวนทรงยืนยันว่านกฉงหมิงอยู่ในวังมิใช่หรือ ไฉนทรงบังเอิญเห็นมันที่จวนสกุลเผยได้เล่า”
“นั่นเป็นเรื่องของข้า” ร่างของหลี่เจาเกอถูกปกคลุมอยู่ใต้เสื้อคลุมกันลม แลดูภูมิฐานสูงศักดิ์ นางปรายมองผู้ว่าการเมืองหลวงเบาๆ ก่อนถาม “ใต้เท้าจาง ยังไม่เปิดประตู?”
ผู้ว่าการเมืองหลวงมองดูหลี่เจาเกอ มองดูไหลจวิ้นเฉิน สุดท้ายไม่กล้าล่วงเกินหลี่เจาเกอ จึงหยิบลูกกุญแจออกมาแต่โดยดี ประตูห้องขังกับโซ่ตรวนของเผยจี้อันถูกไขเปิดอย่างรวดเร็ว ทว่าห้องขังของเผยซือเหลียน…ผู้คุมยังคงหยุดอยู่ด้านนอก ออกอาการตกที่นั่งลำบาก
หลี่เจาเกอยื่นมือปัดฝุ่นผงบนคอเสื้อตนเองพลางเอ่ยราวไม่ตั้งใจ “ผู้ตรวจการไหล หรือเจ้าคิดจะแย่งชิงคนจากกองงานปราบปีศาจ?”
ไหลจวิ้นเฉินมีใบหน้าเขียวคล้ำขณะกัดฟันกล่าว “ทรงทำเช่นนี้ไม่กลัวฝ่าบาทกริ้วหรือไร”
หลี่เจาเกอเพียงหัวเราะเบาๆ ให้คำถามนี้ นางลดมือลง ชักจะหงุดหงิดแล้ว “พาตัวไป”
คนของกองงานปราบปีศาจประสานมือขานรับ รีบเดินขึ้นหน้าไปปลดโซ่ตรวนบนร่างเผยซือเหลียน ท่วงท่าฉับไวกว่าคนของผู้ว่าการเมืองหลวงมาก ครั้นเห็นคนถูกพาออกมาเรียบร้อย หลี่เจาเกอก็ชำเลืองมองไหลจวิ้นเฉินเรียบๆ แล้วกระชับเสื้อคลุมกันลมเดินจากไป
ผู้ว่าการเมืองหลวงถูกทิ้งให้รั้งท้ายจึงประดักประเดิดอยู่บ้าง เขาส่งยิ้มให้ไหลจวิ้นเฉิน ฝืนพูดตามมารยาทสองสามคำ จากนั้นรีบเผ่นหนี ไม่กล้ารั้งอยู่ดูสีหน้าอีกฝ่าย
รอจนออกมาจากคุกนครบาล หลี่เจาเกอสั่งให้คนของนางคุมตัวเผยจี้อันกับเผยซือเหลียนขึ้นรถม้า เผยจี้อันหยุดยืนข้างตัวรถ คล้ายอยากจะพูดบางอย่างกับหลี่เจาเกอ ทว่านางหมุนตัวไปขึ้นขี่ม้าที่อยู่ด้านหน้าเสียแล้ว
เผยจี้อันจึงหุบปากลงเงียบๆ พยุงบิดาขึ้นรถไป
ตลอดทางหลี่เจาเกอไม่พูดจากับสองคนนั้นสักประโยค ครั้นไปถึงกองงานปราบปีศาจ นางก็ก้าวยาวเข้าไปสั่งการในคุกหลวง “จงกวดขันเฝ้าคุม นอกจากส่งอาหาร ห้ามใครพูดจากับพวกเขา ฟ้าดินใหญ่ก็ไม่ใหญ่เท่าคดีของกองงานปราบปีศาจ ไม่ว่าข้างนอกมีใครขอเข้าเยี่ยมจงปฏิเสธทุกกรณี ตราบใดที่สองคนนี้นึกร่องรอยของนกฉงหมิงไม่ออก ตราบนั้นก็ห้ามออกมาจากคุกของพวกเราแม้แต่ก้าวเดียว”
เผยซือเหลียนไม่เคยเห็นนกฉงหมิงเป็นการส่วนตัวเลยจะนึกร่องรอยของมันออกได้อย่างไร กระนั้นเมื่อถูกส่งตัวเข้าห้องขังเขากลับก้าวเข้าไปอย่างสงบ ทั้งยังก้มศีรษะเอ่ยกับหลี่เจาเกอว่า “ขอบพระทัยองค์หญิงเซิ่งหยวนยิ่งนัก”
หลี่เจาเกอมองเขาอย่างเย็นชาปราดเดียวก็หมุนตัวออกเดิน ส่งเผยจี้อันไปเข้าห้องขังอีกห้อง เผยจี้อันเงียบงันมาตลอดทาง ถูกส่งตัวเข้าห้องขังก็ไม่โวยวาย จวบจนตอนที่ลั่นกุญแจประตูค่อยพลันเอ่ยปาก “องค์หญิงเซิ่งหยวน โปรดหยุดก่อน”
การเคลื่อนไหวของคนรอบด้านชะงักวูบ ต่างลอบเงยหน้ามองหลี่เจาเกอ ข้างแก้มนางโอบล้อมด้วยคอเสื้อขนสัตว์ ผ่านไปชั่วครู่นางจึงยกคางส่งสัญญาณแก่คนของนางเรียบๆ
คนทั้งหมดจึงทำความเคารพ ถอยออกไปโดยไร้เสียง เผยจี้อันรอมาตลอดทาง ในที่สุดตอนนี้ก็รอจนได้โอกาสพูดคุยกันเสียที เขาประสานมือคำนับนางอย่างจริงจัง “ขอบคุณยิ่งนัก”
หลี่เจาเกอยืนตอบอยู่ไกลๆ “ไม่เกี่ยวกับเจ้า หากไม่ใช่เห็นแก่หน้ากู้หมิงเค่อ ข้าคงไม่ยุ่งกับเรื่องของบ้านเจ้าหรอก”
เผยจี้อันยิ้มเฝื่อน นั่นสินะ เขาย่อมรู้อยู่เต็มอก เขายืดกายขึ้นเห็นเผยซือเหลียนในห้องขังที่อยู่ไม่ไกลกันมองมาทางนี้ไม่หยุด เขากลัวว่าจะถูกบิดาได้ยินจึงเบาเสียงลงเป็นพิเศษ “ไม่ว่าอย่างไร…คำขอบคุณนี้ก็เป็นคำที่ข้าติดค้างท่าน”
ได้ผ่านชีวิตในคุกมาหนึ่งวันนี้ เขาค่อยตระหนักได้ว่าชาติก่อนนางเคยทำสิ่งใดเพื่อเขาเพื่อสกุลเผย ชาติก่อนการกวาดล้างในคดีคิดกบฏรุนแรงกว่าชาตินี้มาก สกุลเผยก็ยังรอดพ้นมาได้ ควรต้องขอบคุณนางจริงๆ
หลี่เจาเกอฟังแล้วไม่ตอบสนอง หมุนตัวออกเดินทันที เพิ่งย่างเท้าไปได้สองก้าวเสียงแหบพร่าทุ้มต่ำของเผยจี้อันก็แว่วมาทางด้านหลัง “เคราะห์ดี…ชาตินี้ไม่ใช่ท่านแล้ว”
ฝีเท้าของหลี่เจาเกอชะงักนิดๆ ทว่าเพียงพริบตาเดียวก็ก้าวยาวเดินหน้าต่อ ที่จริงในใจฮ่องเต้รู้ทุกสิ่งดี รู้ว่าไหลจวิ้นเฉินเป็นคนถ่อยและรู้ด้วยว่าตระกูลใดบ้างถูกไหลจวิ้นเฉินปรักปรำ ตระกูลใดบ้างคิดคดจริง ทว่าพระองค์ยังคงมอบอำนาจแก่ไหลจวิ้นเฉิน บัลลังก์นี้ได้มาไม่ชอบธรรม ซ้ำพระองค์เป็นสตรีผู้หนึ่ง จำเป็นต้องมีพลังสยบขวัญเต็มที่จึงจะนั่งครองแผ่นดินนี้ได้อย่างมั่นคง
ฮ่องเต้ต้องการดาบหนึ่งเล่มมาช่วยสังหารผู้คุกคาม รอจนกวาดล้างพอสมควรแล้วพระองค์ค่อยกำจัดดาบทิ้ง พระองค์คือราชันผู้ปราดเปรื่องเข้าใจหลักการและรู้จักจำแนกผู้ภักดีผู้คิดคด นับแต่โบราณมาการผลัดเปลี่ยนอำนาจล้วนมีเลือดนองเป็นท้องธาร ขอเพียงพระองค์ปลอบขวัญราษฎรชั้นล่าง ทำให้ราษฎรเลี้ยงปากท้องได้ ส่วนขุนนางจะตายไปกี่มากน้อย สังหารเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์เดิมไปเท่าใด ราษฎรจะใส่ใจหรือ…ไม่มีใครใส่ใจอยู่แล้ว
ไหลจวิ้นเฉินกัดทึ้งตระกูลขุนนางอย่างอุกอาจเพียงนี้ ผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในราชสำนักกลับไม่ขาดไปแม้สักคน ราชสำนักยังคงดำเนินงานอย่างราบรื่นดุจเดิม ที่ประสบภัยร้ายแรงล้วนเป็นบรรดาหน่วยงานซึ่งมีคนตระกูลขุนนางเก่าเกาะกลุ่มทำงานสบายซ้ำซ้อนกัน ชนิดว่าตัดส่วนที่เกินจำเป็นหรือตัดทิ้งทั้งหมดก็ยังไม่มีผลกระทบเลยด้วยซ้ำ เมื่อสังหารขุนนางเก่าที่ยึดตำแหน่งเหล่านี้ทิ้งไปก็เลื่อนผู้สอบเคอจวี่ที่มาจากตระกูลต่ำต้อยขึ้นแทนได้พอดี คนตระกูลขุนนางอย่าได้มองตนเองสูงไปนัก หลายหน้าที่ที่พวกเขาทำได้ คนตระกูลยากไร้ก็ทำได้ไม่ต่างกัน
หลี่เจาเกอย่างเท้าออกจากคุกหลวงของกองงานปราบปีศาจ เบื้องนอกสายลมประจิมพัดคำราม ปุยหิมะปลิวว่อน นางขึ้นขี่ม้าควบไปสู่จวนองค์หญิง ปุยหิมะเล็กละเอียดตีกระทบใบหน้า ให้สัมผัสเย็นวะวาบ
นางรู้สึกว่าน่าขัน ชาติก่อนนางคือดาบเล่มนั้น โฉมหน้าที่คนสกุลเผยแสดงต่อนางไม่ใช่เช่นนี้โดยสิ้นเชิง ตอนนี้ในใจของตระกูลขุนนาง…นางถึงกับกลายเป็นผู้กอบกู้ไปเสียได้
ชะตาชีวิตคนเรา…ประชดประชันกันโดยแท้
ยามหลี่เจาเกอกลับถึงจวนองค์หญิง ภายในจวนเงียบเชียบ เรือนหลักจุดโคมสว่าง แลมองแต่ไกลดุจดังประภาคารนำทาง กู้หมิงเค่ออ่านตำราอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงเปิดประตูก็พลิกหน้ากระดาษไปหนึ่งแผ่น เอ่ยอย่างรู้ชัด “ท่านกลับมาแล้ว”
“อืม” หลี่เจาเกอปลดเสื้อคลุมกันลม สาวใช้รีบเดินขึ้นหน้ามารับไว้ เรียงแถวกันมาผลัดเปลี่ยนชุดให้นาง
กู้หมิงเค่อรินน้ำชาหนึ่งถ้วย วางลงที่ฝั่งตรงข้ามของเขาก่อนถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”
“พาคนออกมาแล้ว” หลี่เจาเกอเปลี่ยนเป็นชุดหรูฉวินอันอบอุ่นคล่องตัว นั่งลงตรงข้ามกับกู้หมิงเค่อ ยามที่นางยกถ้วยน้ำชาขึ้น ความร้อนในถ้วยเหมาะจะดื่มพอดี เขาเห็นนางหลุบตาเนิ่นนานไม่พูดจาจึงเอ่ยถามนาง “เป็นอะไรไป ดูท่านอารมณ์ไม่ค่อยดี”
“ไม่มีอะไรหรอก” หลี่เจาเกอวางถ้วยน้ำชาลง ทอดถอนใจยาว “ท่านว่า…อะไรคือวิถีแห่งราชัน”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 ม.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.