บทที่ 130 เนรเทศ
เมื่อก่อนไม่ว่าหลี่เจาเกอถามสิ่งใด กู้หมิงเค่อล้วนตอบได้สบาย ทว่าหนนี้นางถามจบไปนานสองนาน เขาก็ยังคงไม่ตอบคำ
นางช้อนตาขึ้นอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง “ท่านถึงกับไม่รู้?”
“เป็นธรรมดา” กู้หมิงเค่อลดมือลง นิ้วมือถูข้อนิ้วช้าๆ “ข้าเป็นคนธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น จะรู้ทุกสิ่งไปได้อย่างไร”
ยังแสดงอยู่อีก หลี่เจาเกอลอบเหลือกตา “ไม่มีคนอื่นเสียหน่อย ท่านไม่จำเป็นต้องแสดง”
กู้หมิงเค่อหลุดหัวเราะ “ข้าไม่รู้จริงๆ”
นางถึงกับคิดว่าเขาเล่นตัว นี่มองเขาสูงเกินไปแล้ว
นับแต่เกิดจนตาย กระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าอันใดคือวิถีแห่งราชัน
หลี่เจาเกอเพ่งมองสีหน้ากู้หมิงเค่อโดยละเอียด พบว่าเขาเปิดเผยเป็นธรรมชาติ ในแววตามีหวนระลึก มีครุ่นคิด ทว่าไม่มีล้อเล่น นี่เขากำลังไตร่ตรองอย่างจริงจังอยู่
นางรู้สึกว่าหาได้ยากไม่น้อยจึงพูดกึ่งล้อเล่น “ข้าหลงนึกว่าท่านรู้ไปทุกสิ่ง ทำได้ทุกอย่างเสียอีกนะ ที่แท้…บนโลกนี้ก็มีสิ่งที่ท่านไม่รู้คำตอบเช่นกัน”
“ย่อมแน่นอน” กู้หมิงเค่อช้อนรองแขนเสื้อพลางรินน้ำชาให้ตนเอง “ข้าก็เป็นคน ย่อมมีข้อจำกัดของตนเอง”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเขาบอกว่าตัวเขาเองมีข้อจำกัด นางอดตะลึงไม่ได้ ที่ผ่านมาในสายตาของนาง เขาไร้อารมณ์ไร้ปรารถนา เพียบพร้อมไร้ที่ติมาโดยตลอด ไม่เคยทำผิดพลาด และไม่เคยเห็นแก่ตัว เป็นเพราะเพียบพร้อมเหลือเกินจึงดูคล้ายเทวรูปสักองค์บนแท่นบูชา ไม่คล้ายมนุษย์ผู้หนึ่งเลย ทว่าตอนนี้นางพลันตระหนักได้ว่าเขาเองก็มีบางสิ่งที่เกินกำลัง เขาเองก็มีข้อจำกัดและสิ่งที่ขาดหาย
กู้หมิงเค่อเอ่ยจบ ไม่เห็นหลี่เจาเกอพูดจาเสียทีจึงยกมือโบกตรงหน้านางหนึ่งที ส่งผลให้แววตานางรวมตัวในพริบตา เขาชักมือกลับคืนก่อนถาม “คิดอะไรอยู่”
ดวงตานางจรดค้างบนมือข้างนั้นโดยจิตใต้สำนึก ฝ่ามือของเขาแคบเรียว นิ้วมือเรียวยาว ผิวพรรณขาวเนียนดุจหยก ข้อนิ้วนูนเพียงเล็กน้อยได้สัดส่วนงดงาม มิอาจไม่กล่าวว่ามือคู่นี้ชวนมองอย่างยิ่ง
เขาช่างเป็นผู้โชคดีที่ได้รับความเอ็นดูเป็นพิเศษจากเทพผู้รังสรรค์สรรพสิ่ง
หลี่เจาเกอคิดฟุ้งซ่านไปพลางส่ายศีรษะตอบไปพลาง “ไม่มีอะไร”
กู้หมิงเค่อไม่ได้ซักไซ้ เอ่ยอย่างเนิบช้า “เดิมทีวันนี้…ข้านึกว่าท่านจะไม่ไปเสียอีก”
หลี่เจาเกอรู้ว่าเขาพูดถึงเรื่องสกุลเผย นางจะไม่ออกหน้าก็ได้ ทว่าเขาคือคุณชายในตระกูลเขยของสกุลเผย ไปพึ่งพาอาศัยที่บ้านนั้นตั้งหลายปีเพียงนี้ เสื้อผ้า อาหาร ที่พัก เครื่องเขียน ทุกอย่างล้วนเป็นของดีที่สุด ไม่ว่าอย่างไรสกุลเผยก็ให้ความเมตตาต่อเขาอย่างเต็มที่
บัดนี้สกุลเผยมีภัย หากเขาไม่แสดงออกอันใดเลย ไม่ว่าด้านความสัมพันธ์หรือเหตุผลล้วนฟังไม่ขึ้น แต่หากเขาออกหน้าเองอาจทำให้ฮ่องเต้ไม่พอใจก็เป็นได้ ดังนั้นนางจึงชิงเป็นฝ่ายพาคนออกมาก่อนเสียเลย ฮ่องเต้ย่อมไม่มีหนทางจะว่ากล่าวอันใดแล้ว
หลี่เจาเกอตอบเรียบๆ “สามีภรรยาคือคนคนเดียวกัน น้าชายกับญาติผู้น้องของท่านมีภัย ข้าย่อมไม่อาจนิ่งดูดาย”
กู้หมิงเค่อพิศมองนางแน่วนิ่งใต้แสงไฟ เดิมทีเขาตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ปรากฏว่าวันนี้กลับมาถึงจวนองค์หญิง ผู้ติดตามแจ้งเขาว่านางออกไปแล้ว ตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็รู้ได้ว่านางต้องไปที่คุกนครบาล
เดิมทีเขากับนางแต่งงานกันหลอกๆ เป็นผู้ใหญ่สองคนที่ฝืนมาอยู่ด้วยกันแบบเด็กน้อยกำลังเล่นพ่อแม่ลูก แค่รักษาความปรองดองแต่เปลือกนอกไว้ก็ไม่ง่ายดายแล้ว นึกไม่ถึงเลยนางจะทำเพื่อเขาได้ถึงขั้นนี้ เห็นกันอยู่ว่าเรื่องนี้นางไม่แสดงท่าทีจะเป็นผลดีกับนางมากกว่า
กู้หมิงเค่อกล่าว “ความจริงท่านไม่ต้องทำเช่นนี้ สกุลเผยมีบุญคุณต่อข้า แต่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับท่าน”
หลี่เจาเกอเอามือเท้าคางมองเขาพลางบ่นเบาๆ “ท่านเองก็ไม่เห็นข้าเป็นคนกันเองสักนิด”
กู้หมิงเค่ออึ้งงัน ลำคอตีบตันสักพักก็ยอมแพ้ “ได้ ท่านพูดถูกต้อง”
หลี่เจาเกออมยิ้ม นางยื่นมือกดหว่างคิ้ว พลันรู้สึกอ่อนล้าอยู่บ้าง “ท่านว่า…ฆ่าผู้บริสุทธิ์เพื่ออำนาจมันถูกต้องหรือ”
ชาติก่อนนางนึกว่าถูกต้อง ดังนั้นนางจึงสังหารน้องชาย น้องสาว รวมถึงมารดา เพื่ออำนาจแล้วไม่เลือกวิธีการ ทว่าตอนนี้นางเริ่มลังเลแล้ว
กู้หมิงเค่อมองนางอย่างสงบและผ่อนปรน “ท่านอยากจะพูดว่าอะไร”
หลี่เจาเกอถอนใจยาวหนึ่งที เอนพิงตั่งช้าๆ ก่อนหลับตากล่าว “เพียงอ้างว่าครอบครองอำนาจแล้วจะสร้างประโยชน์สุขแก่ผู้คนได้มากขึ้นก็ปล่อยปละให้ตนเองไปฆ่าคน เช่นนั้นรอจนได้กุมอำนาจ ไม่ยิ่งมีข้ออ้างฆ่าคนมากกว่าเดิมหรือไร เพื่อหลักการอันเลื่อนลอยก็คร่าชีวิตผู้อื่นอย่างสมเหตุสมผลได้แล้วหรือ”
กู้หมิงเค่อประหลาดใจอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่านางจะถามสิ่งเหล่านี้ ปุถุชนผู้อยู่ในเหตุการณ์มักจะเข่นฆ่ากันเพื่ออำนาจผลประโยชน์ส่วนตนโดยไม่เคยสงสัยในตนเอง มีแต่กระโดดออกจากวังวนนี้ ยืนบนที่สูงก้มมองลงไปจึงจะไตร่ตรองว่าพฤติกรรมเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่
ความคิดอ่านของนางเริ่มหลุดพ้นจากปุถุชนมากขึ้นตามลำดับ เขาปลื้มใจยิ่งนัก มีเพียงความคิดอ่านอยู่เหนือความรักส่วนตนกับความเห็นแก่ตัว พลังอันกล้าแข็งที่มีอยู่จึงจะเกิดประโยชน์ หาไม่ตราบทั้งชีวิตของนางจะเป็นได้เพียงองค์หญิงผู้มีวรยุทธ์ล้ำเลิศในแดนมนุษย์ผู้หนึ่งก็เท่านั้น
กู้หมิงเค่อกล่าว “นี่ต้องดูว่าสำหรับใคร ทุกคนมักรู้สึกว่าตนเองมีอิสระมีสติสัมปชัญญะ แต่แท้ที่จริงไม่มีใครมองโลกตามความเป็นจริงได้ทั้งหมด ทุกความคิดอ่านของพวกเราตั้งอยู่บนมุมมองของตนเองทั้งสิ้น สำหรับตระกูลขุนนาง…เจ้าเหนือหัวที่ให้เกียรติผู้มีความสามารถ ปกครองแบบวางมือคือราชันผู้ปรีชา สำหรับราษฎร…ลดอากรลดเกณฑ์แรงงาน ถึงขั้นไม่มีฮ่องเต้เลยต่างหากคือยุคสมัยอันประเสริฐ สำหรับประมุขแผ่นดิน…รวบอำนาจไว้ทั้งหมด ขุนนางราษฎรทั่วหล้าล้วนอยู่ในโอวาทจึงจะเรียกได้ว่าเป็นราชันผู้ปรีชา ท่านถามว่าอย่างใดคือราชันผู้ปรีชา จึงขึ้นอยู่กับว่าท่านมองจากมุมของใคร”
หลี่เจาเกอไม่ขยับเป็นนาน วาจาของกู้หมิงเค่อช่างขบถนัก ถึงกับกล้าบอกว่าสำหรับราษฎรแล้วไม่มีฮ่องเต้ต่างหากจึงจะเป็นยุคทองที่แท้จริง กระนั้นนางก็รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมาไม่ผิด ความอยากได้อยากมีของคนเราไร้ที่สิ้นสุด ต่อให้เป็นฮ่องเต้ที่มาจากรากหญ้า ก่อนจะครองราชย์เคยเห็นอกเห็นใจราษฎรสามัญสักเพียงใด เมื่อได้ครองราชย์แล้วความคิดก็เปลี่ยนไปทั้งนั้น อยากจะเสพสุขกับอาภรณ์หรูหราอาหารเลิศรส อยากจะครอบครองสามพันคนงาม อยากจะให้ทายาทรุ่นหลังเป็นฮ่องเต้ไปชั่วลูกชั่วหลาน หรือถึงขั้นอยากจะเป็นอมตะไม่แก่เฒ่า
ยกตัวอย่างคดีคิดกบฏอันครึกโครมหนนี้ ฮ่องเต้มารดาของนาง เชื้อพระวงศ์สกุลหลี่ ตระกูลขุนนางเก่า ตระกูลชนชั้นล่าง ไม่มีผู้ใดทำผิดเลย ทว่าผลลัพธ์ท้ายสุดกลับเป็นเลือดนองพันหลี่ ผู้คนนับไม่ถ้วนบ้านแตกสาแหรกขาด
หลี่เจาเกอปวดศีรษะจนต้องแตะขมับตนเองพลางถาม “มันเป็นเช่นนี้มาตลอดเลยหรือ”
กู้หมิงเค่อเหม่อลอยอยู่บ้าง เขานึกถึงเรื่องในอดีตอันไกลโพ้น ผ่านไปเนิ่นนานค่อยตอบนางเสียงเบา “ใช่ มันเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด”
“อย่างนั้นใครถูกใครผิดเล่า”
กู้หมิงเค่ออดยิ้มไม่ได้ ลุกไปนั่งฝั่งเดียวกับนาง ย้ายนิ้วมือนางที่กำลังแตะขมับออก ดึงนางที่เอนหลังอยู่ขึ้นมานั่งแล้วบอกนางว่า “วันนี้ท่านเอาแต่ตั้งโจทย์ยากใส่ข้า กลับไปนอนพักเถิด เลิกคิดมาก”
“ท่านเชี่ยวชาญการตัดสินคดีที่สุดนี่นา แม้แต่ท่านก็ไม่รู้หรือ”
“เด็กโง่” กู้หมิงเค่อประคองไหล่นาง คล้ายถอนใจคล้ายไม่ได้ถอนใจ “ตัดสินผิดถูกของคนผู้หนึ่งนั้นง่าย ตัดสินผิดถูกของบ้านเมืองหนึ่งนั้นยากเหลือเกิน”
เข่นฆ่าขุนนางราษฎรของบ้านเมืองอื่นเพื่อความอยู่รอด ถูกหรือผิด สละคนส่วนน้อยเพื่อคนส่วนใหญ่ของบ้านเมือง ถูกหรือผิด ส่งผลดีต่อปัจจุบันทว่าส่งผลร้ายไปพันปี ถูกหรือผิดกันเล่า
กู้หมิงเค่อไม่รู้ หลี่เจาเกอเองก็ไม่รู้ นางไม่อยากจะเผชิญหน้าความจริงจึงหลับตาเสียเลย เอียงศีรษะซบไหล่เขา นางวิ่งรอกอยู่ตั้งนาน ง่วงเพลียไม่น้อยจริงๆ กู้หมิงเค่อรอสักพัก ค่อยแตะศีรษะนางพร้อมกับดันนิดๆ “กลับไปนอน”
เขาไม่ยอมให้นางซบ นางจะซบให้ได้! คิดแล้วนางก็ใช้สองมือควบคุมข้อมือเขาไว้ ทำราวกับกำลังต่อสู้กัน กดศีรษะลงบนไหล่เขาอย่างดุดัน พอข้อมือเขาออกแรงนิดๆ นางก็ยึดจับไว้แรงกว่าเดิม เขารอครู่หนึ่งก่อนถาม “ศีรษะท่านกดติดเช่นนี้สบายหรือ”
ว่ากันตามความสัตย์ไม่ค่อยสบายหรอก แต่หลี่เจาเกอไม่ขอยอมแพ้ ยังคงเอ่ยอย่างมั่นใจในเหตุผล “เมื่อครู่ข้าเอนนอนบนตั่งอยู่ดีๆ เป็นท่านเองที่ดึงข้าขึ้นมา ตอนนี้แค่ยืมหัวไหล่ท่านพิงครู่เดียว ท่านก็ยังไม่ยินยอม?”
“ในเมื่อท่านไม่กลัวคอเคล็ด อย่างนั้นก็ตามใจท่าน” กู้หมิงเค่อคร้านจะยุ่มย่ามกับนาง ไหนๆ ผู้ที่ไม่สบายตัวก็ไม่ใช่เขาเสียหน่อย ทีแรกสุดหลี่เจาเกอขึงเกร็งทั้งร่าง ลำคอซบไหล่กู้หมิงเค่ออย่างแข็งทื่อ ไม่ทันไรก็ยืดคอจนเมื่อย ครั้นเห็นเขาผ่อนคลายมือโดยสิ้นเชิงแล้ว นางจึงค่อยๆ ผ่อนแรงที่ยึดจับข้อมือเขา ลอบปรับมุมของลำคอค่อยรู้สึกสบายขึ้นเสียที
ขณะหลี่เจาเกอซบจนเริ่มจะเคลิ้มหลับ พลันรู้สึกว่าลำคอคันยุบยิบจึงลืมตาขึ้นทันใด สองมือยึดกุมสิ่งคุกคามไว้โดยสัญชาตญาณ เมื่อนางได้สติเต็มที่ก็พบว่าเป็นกู้หมิงเค่อถือขนนกเส้นหนึ่งแอบเขี่ยลำคอนาง
นางขึงตาใส่เขาอย่างมีน้ำโห “ท่านทำอะไรน่ะ”
“ข้ากลัวว่าท่านจะหลับไป” เขากล่าว “นอนหลับตรงนี้ไม่ดีต่อแผ่นหลัง หากง่วงแล้วกลับไปนอนบนเตียงเถิด”
“ไม่มีท่าน ข้าถึงจะนอนได้สบายขึ้น!” หลี่เจาเกอฉุนเฉียวชิงขนนกในมือเขามาปาทิ้งแรงๆ กระทั่งเห็นขนนกลอยละล่องลงถึงพื้น กู้หมิงเค่อค่อยเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ตนเองหัวเสียกลับพาลใส่สิ่งของ คงจะไม่ดีกระมัง”
“อย่างนั้นเชื่อหรือไม่ว่าข้าพาลใส่ท่านได้” หลี่เจาเกออารมณ์พลุ่งพล่านจนพลาดคอเคล็ด
กู้หมิงเค่อรีบประคองลำคอนางจากทางด้านหลัง นวดคลึงให้อย่างเนิบช้า “บอกแล้วว่านอนเช่นนั้นจะคอเจ็บได้ ท่านก็ดื้อไม่เชื่อ”
หลี่เจาเกอยังคงแค่นเสียงฮึอันเย็นชา “หุบปากเลย ใครใช้ให้ท่านเอาขนนกมาแกล้งข้า ตอนนี้ข้าแค่เห็นขนนกก็อารมณ์เสีย”
กู้หมิงเค่อถาม “ยังหานกฉงหมิงไม่เจอ?”
“ก็ยังน่ะสิ” หลี่เจาเกอถอนใจ “ข้าส่งคนไปสืบที่ต่างเมืองแล้ว นกตัวนั้นชาวนาเฒ่าผู้หนึ่งจับได้จากบนภูเขาจริงๆ เขาบอกว่าตอนจับได้ มันมีลูกตาดำข้างละสองลูก สีขนสดสวย ขนหางมีห้าสี สุ้มเสียงไพเราะกังวาน เขารู้สึกว่านกตัวนี้ไม่ใช่สิ่งสามัญจึงส่งมอบให้ราชสำนัก ลักษณะจำเพาะที่โดดเด่นเพียงนี้หาไม่เจอได้อย่างไรกันนะ”
กู้หมิงเค่อฟังจบก็นิ่งไปชั่วครู่ก่อนกล่าว “ต้นไม้ยามวสันต์ผลิยามสารทโรย ทุกปีหญ้าป่ามีเหี่ยวเฉามีงอกงาม สัตว์บกสัตว์ปีกก็ใช่ว่าจะเป็นสีเดิมตลอดทั้งปี”
“ท่านหมายความว่า…”
“พลังคือแหล่งกำเนิด ขนนกเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ท่านยึดติดกับรูปลักษณ์มากเกินไปอาจจะถูกตบตาเอาได้”
ในห้วงความคิดของหลี่เจาเกอคล้ายมีบางสิ่งวาบผ่าน ก่อนหน้านี้นางนึกว่าอู่หยวนชิ่งเล่นตุกติก ทว่าชาวนาเฒ่ากับคนรอบข้างในหมู่บ้านล้วนเป็นพยานได้ว่าอู่หยวนชิ่งรับนกวิเศษไปตัวหนึ่งจริงๆ นางสืบอ้อมไปหนึ่งวงกลับวกมาที่จุดเริ่มต้นอีกครา หลายวันมานี้จึงกลุ้มใจถึงขีดสุด แต่หากโยนการคาดเดาที่คิดเพิ่มมาทั้งหมดทิ้งไป กล่าวคืออู่หยวนชิ่งกำนัลนกวิเศษเข้าวังไปตัวหนึ่งจริงและเวรยามเฝ้าประตูวังไม่เคยเห็นใครพานกออกมาจริง เช่นนั้นนกฉงหมิงก็ควรจะอยู่ในวัง
รูปลักษณ์ภายนอกอาจเปลี่ยนแปลงไป ทว่าการมีนกเพิ่มมาอีกตัวนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีทางจะเปลี่ยนได้ ในวังมีสถานที่ใดพบสิ่งที่เพิ่มเกินมาหรือไม่นะ…
ดวงตาของหลี่เจาเกอพลันเบิกโต ไก่ขนโกร๋นตัวนั้น! ใช่แล้ว นางสะเพร่าได้อย่างไรกัน ด้วยมุมมองความงามของคนในวังจะเลี้ยงไก่ขี้เหร่เช่นนั้นได้อย่างไรเล่า
มันก็คือนกฉงหมิงที่ขนร่วงนั่นเอง!
ไป๋เชียนเฮ่อมุดนอนในโปงผ้าห่มแล้วแท้ๆ ยังถูกขุดออกมาจนได้ เขายืนกอดแขนหนาวสั่นอยู่ในอุทยานหลวงอันมืดมิด “ผู้บัญชาการ ดึกป่านนี้แล้วเหตุใดยังต้องทำงานล่วงเวลาอีก ท่านกับราชบุตรเขยไม่มีกิจวัตรยามราตรีกันหรือไร”
“หุบปาก!” หลี่เจาเกอยัดไต้หนึ่งแท่งใส่มือไป๋เชียนเฮ่อ ก่อนพูดข่มขู่ “จงหาไก่ขนโกร๋นตัวนั้นออกมาด้วยความเร็วสูงสุด หาเจอเมื่อไรเมื่อนั้นเจ้าจึงจะได้กลับบ้าน”
ไป๋เชียนเฮ่อหาวหวอด รับไต้ไปทำงานอย่างไม่เต็มอกเต็มใจ หลี่เจาเกอพูดได้ทำได้แน่นอน ขืนวันนี้หาไม่เจอ เขาก็เตรียมตัวค้างแรมท่ามกลางลมหนาวได้เลย
พลังที่อยากจะพักผ่อนยามราตรีนั้นแรงกล้า ไม่ช้าไป๋เชียนเฮ่อก็อุ้มไก่ขนโกร๋นตัวหนึ่งออกมาจากดงไม้พุ่ม หลี่เจาเกอเห็นปีกอวบๆ หางโล้นๆ ของมันแล้วรีบเบนสายตาอย่างไม่อาจทนมอง นกฉงหมิงในตอนนี้มีสภาพเหมือนไก่เนื้อที่ถูกถอนขนจนเกลี้ยงใกล้จะลงหม้ออยู่รอมร่อ ช่างขี้เหร่ไม่ซ้ำใคร
หลี่เจาเกอกับไป๋เชียนเฮ่อลอบเข้าวังมา ตอนนี้ฟ้ามืดลมแรง ไปปลุกฮ่องเต้ถวายนกโดยตรงคงไม่สู้ดี หลี่เจาเกอไม่วางใจจะทิ้งมันไว้ข้างนอกจึงอุ้มกลับจวนองค์หญิงมาเสียเลย
ตอนนี้กู้หมิงเค่อเปลี่ยนชุดเสร็จเตรียมจะพักผ่อนแล้ว หน้าต่างด้านข้างกลับพลันขยับ จากนั้นสตรีนางหนึ่งก็อุ้มไก่ตัวหนึ่งกระโดดเข้ามา
ต่อให้กู้หมิงเค่อเห็นเหตุการณ์ใหญ่มาจนเคยชิน แต่ชั่วขณะนี้พอเห็นหลี่เจาเกออุ้มไก่กลับมาตัวหนึ่งเขาก็ยังเสียอาการอยู่บ้าง เงียบไปชั่วครู่ก่อนถาม “ท่านตั้งใจจะให้ไก่ตัวหนึ่งค้างแรมในห้องของตนเอง?”
นกฉงหมิงร้องจิ๊บประท้วงหนึ่งที หลี่เจาเกอก็ช่วยโต้แย้งแทนมัน “มันไม่ใช่ไก่”
“ไม่มีความแตกต่าง” กู้หมิงเค่อสีหน้าเฉยเมย “ข้าไม่รู้สึกว่านกกับไก่ต่างกันนักหนา”
หลี่เจาเกอก้มหน้ามองนกฉงหมิงในมือปราดหนึ่ง เอาเถิด ไม่มีความต่างอันใดจริงเสียด้วย ทว่านี่คือเป้าหมายที่จะใช้ปิดคดีของนางเชียวนะ เกิดปล่อยออกไปแล้วหายไปจริงๆ ก็จะยุ่งยาก นางกล่าว “ขนบนตัวมันร่วงจนหมด หากปล่อยไว้นอกห้องมันแข็งตายไปจะทำอย่างไรเล่า”
“ไม่แข็งตายหรอก” กู้หมิงเค่อไม่หวั่นไหว เอ่ยเสียงเย็นว่า “โยนมันออกไป”
ภายใต้แววตากดดันของกู้หมิงเค่อ นกฉงหมิงขดตัวเป็นกลุ่มก้อนอย่างน่าสงสาร พาให้หลี่เจาเกอหักใจไม่ลง “ข้ารู้ว่าท่านรักสะอาด มันสะอาดใช้ได้ทีเดียว ท่านอดทนชั่วคราวสักคืนนะ”
กู้หมิงเค่อผู้เป็นโรครักสะอาดไม่อาจยอมรับโดยสิ้นเชิง สุดท้ายหลี่เจาเกอจึงทำข้อตกลงกับกู้หมิงเค่อ เก็บไก่ตัวนี้ไว้ ไม่ใช่ไก่สิ เก็บนกฉงหมิงไว้ค้างแรมในห้อง แต่ต้องกักบริเวณอยู่ในซอกระหว่างห้องชั้นในกับชั้นนอก
หลี่เจาเกอนั่งอยู่บนเตียง มองดูกู้หมิงเค่อปล่อยม่านมุ้งแต่ละชั้นของนางลงมากับมือเขาเอง กางฉากบังลมออกจนสุด จากนั้นก็ปิดประตูสนิทแน่น ออกไปแล้วเขายังย้ำเตือนนกฉงหมิงที่อยู่ในซอกว่า “อยู่ในห้องนี้ห้ามขยับส่งเดช”
นกฉงหมิงร้องจิ๊บอย่างระมัดระวังคล้ายฟังเข้าใจถ้อยคำของกู้หมิงเค่อ แสนจะว่านอนสอนง่าย หลี่เจาเกอนั่งอยู่ในห้องชั้นใน ได้ยินเสียงปิดประตูห้องชั้นนอกแล้ว ในซอกก็ยังคงเงียบเชียบราวกับไร้สิ่งมีชีวิตจริงเสียด้วย
หลี่เจาเกอลอบคิด…พลังสยบขวัญของเขารุนแรงมากจริงๆ สิ่งที่มีสัมผัสพิเศษล้วนกลัวเกรงเขา รวมถึงหมู่ตานน้อยคราวก่อน เพียงเห็นกู้หมิงเค่อนางก็ร้องไห้จ้าแล้ว
น่าสนใจยิ่งนัก
วันรุ่งขึ้นหลังเลิกงาน ไป๋เชียนเฮ่อพาอีกสองคนมาดูนกฉงหมิงที่จวนองค์หญิง โม่หลินหลางนั่งบนเบาะ มองดูเนื้ออวบขาวของเจ้าไก่ เนิ่นนานไร้ถ้อยคำ
ไป๋เชียนเฮ่อยื่นหน้ามาพูดใกล้โม่หลินหลาง “เจ้าดู ข้าพูดไม่ผิดสินะ มันขี้เหร่มากล่ะสิ”
“ยั้งปากไว้หน่อย” หลี่เจาเกอเอ่ยเรียบๆ “มันฟังภาษาคนออกนะ”
ไป๋เชียนเฮ่อตื่นตกใจ นัยน์ตาเบิกโต มีเพียงโจวเซ่าที่จนแล้วจนรอดยังห่วงใยเรื่องงานอยู่ “มันมีลูกตาดำข้างละสองลูกจริงน่ะหรือ”
หลี่เจาเกอจิบน้ำชาหนึ่งคำ ผงกศีรษะอย่างไม่อินังขังขอบ “ดูให้ละเอียด มีอยู่”
โจวเซ่าอุทาน สัตว์วิเศษหายากในตำนานถึงกับดำรงอยู่จริง หากวันใดมีมังกรหนึ่งตัวมาปรากฏกายตรงหน้าเขา เขาก็จะไม่แปลกใจแล้ว
โม่หลินหลางไม่รู้ว่าควรพูดอันใดดี “ดังนั้นที่พวกเราวุ่นวายมาตั้งครึ่งปี ความจริงแล้วมันอยู่ใต้เปลือกตาพวกเรานี่เอง เหตุใดมันกลายเป็นสภาพนี้ได้เล่า”
“นี่เป็นวงจรตามธรรมชาติของนกฉงหมิง ก็เหมือนฤดูผลัดขนของสุนัขกับแมวนั่นล่ะ เพียงแต่ของมันผลัดเกลี้ยงเกลาไปสักหน่อย”
โม่หลินหลางเป็นใบ้ไร้คำพูด ผ่านไปสักพักค่อยถามต่อ “แล้วเหตุใดมันหลุดจากกรงได้”
“เพราะลูกกุญแจของอู่หยวนชิ่ง” หลี่เจาเกอกล่าว “เขาเคยเปิดกรงนกต่อหน้าผู้คน ลูกกุญแจของเขาเสียบคาไว้จึงถูกนกฉงหมิงลอบกลืนลงท้องไปตั้งแต่ตอนนั้น น่าเสียดายเจ้าคนโง่นั่นจนป่านนี้ก็ยังไม่รู้ตัว”
ไป๋เชียนเฮ่อยัดขนมเข้าปากในคำเดียว ปัดๆ มือก่อนถาม “องค์หญิง ถัดจากนี้พวกเราต้องทำอย่างไร”
“กู้หมิงเค่อบอกว่ามันจะหยุดผลัดขนในไม่กี่วันนี้ อีกไม่ช้าขนก็จะงอกใหม่ รอจนมันดูดีอีกสักนิดค่อยส่งขึ้นไปถวายฝ่าบาท เผื่อส่งไปตอนนี้จะถูกคนพวกนั้นหาว่าพวกเราเอาของปลอมมาตบตา”
อันที่จริงนี่เป็นเพียงสาเหตุหนึ่ง ยังมีอีกปัจจัยที่สำคัญยิ่งกว่า…ความจริงแล้วฮ่องเต้ใช้นกฉงหมิงเป็นข้ออ้างบังหน้า ถือโอกาสกำจัดผู้เห็นต่าง หาไม่หลี่เจาเกอเสียเวลาตั้งหกเจ็ดเดือนไม่เจอนกฉงหมิงเสียที ฮ่องเต้จะไม่ร้อนใจไม่เร่งรัดเลยได้อย่างไรกัน
หลี่เจาเกอจึงตั้งใจว่าจะรออีกหลายวัน กระทั่งฮ่องเต้เอาเรื่องไปพอสมควรแล้วก็จะถวายนกฉงหมิง ยุติการกวาดล้างทางการเมืองอันยาวนานหนนี้เสีย
อีกสองคนพากันพยักหน้า มีเพียงไป๋เชียนเฮ่อที่จับประเด็นสำคัญได้ “ราชบุตรเขยบอก?”
หลี่เจาเกอชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยทันทีชนิดหน้าไม่เปลี่ยนสี “เขาอ่านตำรามาก เจอข้อมูลจากตำราโบราณน่ะ”
ไป๋เชียนเฮ่อร้องอ้อยาวเหยียด ไม่รู้ว่าเชื่อแล้วใช่หรือไม่ เขากะพริบตาก่อนจะพลันยื่นหน้ามายักคิ้วหลิ่วตาให้หลี่เจาเกอ “องค์หญิง ได้ยินว่าเมื่อวานท่านไปพาคนจากคุกนครบาลมาขังที่คุกหลวงของกองงานปราบปีศาจ ทั้งยังห้ามไม่ให้ใครเข้าเยี่ยม ตอนนี้นกฉงหมิงหาพบแล้ว จะทำอย่างไรกับสองคนนั้นเล่า”
“ขังไปสิ รีบร้อนอะไร” หลี่เจาเกอไม่แยแส “รอจนนกฉงหมิงขนงอกสมบูรณ์เมื่อไรค่อยปล่อยพวกเขาออกมาเมื่อนั้น”
ไป๋เชียนเฮ่อจุปาก แอบแลกเปลี่ยนสายตากับอีกสองคนที่เหลือ หลี่เจาเกอกระทำการ…ทั้งเหี้ยมทั้งเฉียบจริงๆ
ในเมืองหลวงมีตระกูลขุนนางตั้งมากมายพลอยฟ้าพลอยฝน เว้นแต่สกุลเผยที่เป็นเครือญาติกับกู้หมิงเค่อจึงถูกพาตัวไปอยู่ห้องขังที่ปลอดภัย ทว่าก็เพียงแค่นี้เท่านั้น
ไหลจวิ้นเฉินกำแหงถึงเพียงใด เมื่อวานหลี่เจาเกอพาคนจากไปต่อหน้าต่อตา ไหลจวิ้นเฉินกลับไม่กล้าแม้แต่จะผายลม ฮ่องเต้เองก็ไม่ได้ว่าอันใดทั้งสิ้น เห็นทีรองตุลาการกู้ต่างหากคือบุคคลที่ตอแยด้วยไม่ได้ที่สุดในราชธานีตะวันออก
วันสิ้นปีของรัชศกฉุยก่งปีที่หนึ่งผ่านพ้นไปอย่างเงียบเชียบและแสนไร้รสชาติ ทุกบ้านทุกช่องล้วนอกสั่นขวัญผวา ไหนเลยจะมีแก่ใจเตรียมการฉลอง กระทั่งถึงปีใหม่ต้นฤดูวสันต์แนวโน้มการกวาดล้างจึงบรรเทาเบาบางลงในที่สุด เดือนสององค์หญิงเซิ่งหยวนถวายนกฉงหมิงที่สูญหายไปแล้วได้คืนกลับมา นกฉงหมิงมีสีแดงเข้มดุจเพลิง ขนหางถึงกับงามวิจิตรยิ่งกว่ากาลก่อน นางไม่ได้ใช้กรงนก พามันเข้าตำหนักไปอย่างเป็นธรรมชาติ เพียงนางสะบัดมือเบาๆ หนึ่งทีมันก็สยายปีกทะยานสูง ปากเปล่งเสียงร้องอันเพราะพริ้งก้องกังวาน
นกฉงหมิงสุ้มเสียงดั่งหงส์ หมู่วิหคเบื้องนอกพากันขานรับ ชั่วขณะนั้นภาพเหตุการณ์ ‘ร้อยวิหคคำนับหงส์’ อันเป็นมงคลพลันปรากฏขึ้น ฮ่องเต้กับเหล่าขุนนางล้วนถูกภาพเหตุการณ์นี้สะกดให้ตะลึงค้าง นกฉงหมิงบินวนในตำหนักหลายรอบ ก่อนพุ่งตัวออกจากตำหนักกระพือปีกเหินขึ้นสู่ที่สูง
อู่หยวนชิ่งเห็นเช่นนั้นก็รีบตะโกนโหวกเหวก “จับมันไว้เร็วเข้า อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้”
หลี่เจาเกอกลับยกมือทูลฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท นกฉงหมิงเฉกเช่นนกหงส์และนกหลวน ล้วนเป็นนกวิเศษ นกวิเศษไม่พึงบังคับกักขังในกรง มิสู้ให้มันหวนคืนพงไพร ปล่อยตามอิสระ นับแต่นี้มันโบยบินอยู่เหนือแผ่นดินต้าโจว ย่อมปกปักรักษาสกุลอู่ราชวงศ์โจวอยู่เป็นนิจ”
อู่หยวนชิ่งยังคงไม่ยินยอม ผิดกับฮ่องเต้ที่นิ่งมองนกฉงหมิงกระพือปีกบินขึ้นสูง พระองค์ไม่ฝืนดึงดันอีก เอ่ยเพียงว่า “เอาเถิด เดิมทีฟ้าดินก็ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงมัน ในเมื่อมันไม่ชอบถูกจำกัดผูกมัด เช่นนั้นปล่อยให้มันมีอิสระแล้วกัน”
ฮ่องเต้ชี้ขาดแล้ว อู่หยวนชิ่งแม้จำต้องหุบปาก ทว่าใจยังคิดเรื่องนี้อยู่ ยิ่งคิดยิ่งอารมณ์เสีย เขาต่างหากคือผู้ถวายนกฉงหมิงแต่แรก หลี่เจาเกอถือสิทธิ์อันใดบอกปล่อยเป็นปล่อย ยืมดอกไม้ถวายพระ ได้เก่งนักนะ นางเป็นฝ่ายเสนอปล่อยนกวิเศษ กลับกลายเป็นเขาอู่หยวนชิ่งแลดูไม่รู้กาลเทศะ
เหตุตั้งต้นที่ฮ่องเต้ใช้กวาดล้างราชสำนักครั้งใหญ่นี้ก็คือการสูญหายไปของนกฉงหมิง ตอนนี้นกฉงหมิงหาพบแล้ว ขืนยังไล่เบี้ยเรื่องคิดกบฏต่อก็จะแลดูกัดไม่ปล่อยจนเกินเหตุ ครั้นนกฉงหมิงบินไปจากผืนฟ้าของนครลั่วหยาง คดีคิดกบฏอันครึกโครมในรัชศกฉุยก่งจึงปิดฉากลงตามไปด้วย
ช่วงที่ผ่านมาท่านอ๋องกับองค์หญิงมากมายถูกพระราชทานความตาย พวกขุนนางใหญ่ดีกว่าเล็กน้อย ถึงกระนั้นผู้ที่ถูกเนรเทศและริบทรัพย์ก็มีนับไม่ถ้วน จ่างซุนอวี่ออกจากคุกแล้ว เขาถูกตัดสินว่ารู้เห็นกับการคิดกบฏ ยังดีฮ่องเต้เห็นใจ ไม่ได้ลงโทษตัดศีรษะเขา หากแต่เนรเทศไปเมืองเฉียนโจว บุตรชายทั้งหมดของเขาต่างก็ถูกถอดตำแหน่งและเนรเทศไปคนละทิศคนละทาง
สภาพในต่างเมืองไม่อาจเทียบกับนครฉางอันและลั่วหยาง บิดากับบุตรชายจากกันครานี้อาจไม่ได้พบหน้ากันอีก คนสกุลจ่างซุนจึงเตรียมออกเดินทางด้วยสีหน้าอมทุกข์ วงศ์ตระกูลอื่นที่ถูกพยับเมฆปกคลุมเช่นเดียวกันก็มีจำนวนไม่ใช่น้อย
สกุลเผยแม้ได้ล้างข้อกล่าวหา แต่ก็ถูกสกุลจ่างซุนทำให้เดือดร้อนไปด้วยอยู่ดี เผยซือเหลียนถูกลดขั้นไปเป็นเจ้าเมืองอวิ๋นโจว ต้องเดินทางไปรับตำแหน่งในไม่ช้า ครอบครัวเกาจื่อฮั่นเองก็ไม่อาจโชคดีรอดพ้น ตงหยางจ่างกงจู่กับสามีถูกเนรเทศไปเมืองอูโจวพร้อมบุตรชายหลานชาย เกาจื่อฮั่นเป็นห่วงว่าเดินทางลำบากจึงยืนกรานจะส่งบิดามารดาไปเมืองอูโจว
วันที่เกาจื่อฮั่นจะไปจากเมืองหลวงนั้นเป็นวันที่อากาศดีแสงแดดสดใสวันหนึ่ง นางนั่งอยู่ในรถม้ารอออกจากเมือง แถวขบวนเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า ได้ยินชาวบ้านด้านนอกพูดคุยกันเป็นพักๆ “ฝ่าบาทมีพระราชโองการลดอากรปีนี้ลงสามส่วน บ้านที่มีผู้เฒ่าผู้แก่อายุห้าสิบขึ้นไปยังไปที่ว่าการอำเภอรับเบี้ยอายุยืนได้อีกนะ”
“ถูกต้อง ฝ่าบาทยังให้เปิดโรงเลี้ยงเด็กอ่อนด้วย บ้านที่มีลูกป่วย พิการ หรือมีมากจนเลี้ยงไม่ไหวล้วนส่งไปที่โรงเลี้ยงเด็กอ่อนได้ ได้ยินว่าอีกไม่กี่วันราชธานีตะวันออกยังจะเปิดสำนักศึกษาหญิง รับสอนศิษย์หญิงโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หากใครมีความสามารถก็จะได้เข้าวังติดตามรับใช้ข้างกายฝ่าบาท ไม่แน่ยังจะได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนางหญิง”
“ขุนนางหญิง? จริงน่ะหรือ”
“จริงอยู่แล้ว องค์หญิงเซิ่งหยวนก็คือสตรีที่ได้เป็นขุนนางไม่ใช่หรือไร”
“โอ๊ะ ลูกสาวคนเล็กบ้านข้าใจสู้มาแต่เล็ก เพียงเสียดายบ้านข้าไม่มีเงิน ใช้แต่งภรรยาให้พี่ชายนางไปแล้ว หากสำนักศึกษาหญิงไม่เก็บค่าเล่าเรียน ข้าส่งลูกสาวคนเล็กไปลองดูก็ได้ใช่หรือไม่”
“ได้สิ ขอเพียงสอบผ่านก็เข้าเรียนในสำนักศึกษาหญิงได้เลย วันหน้าถ้าได้เข้าวังเป็นขุนนางหญิง ทางบ้านจะได้รับงดเว้นการเกณฑ์แรงงานด้วยนะ”
สาวใช้เรียกเบาๆ ข้างหูเกาจื่อฮั่น “คุณหนู?”
เกาจื่อฮั่นดึงสติคืนมา “มีอะไร”
“เมื่อครู่จ่างกงจู่ส่งคนมาแจ้งว่าใกล้จะถึงตาพวกเราออกจากเมืองแล้ว ให้คุณหนูเตรียมตัวเจ้าค่ะ”
เกาจื่อฮั่นพยักหน้ารับ นั่งอยู่ในตัวรถ ในใจรู้สึกสะทกสะท้อนยากจะพรรณนา
สำหรับพวกตน…อู่จ้าวคือผู้ปล้นแผ่นดิน คือผู้ปกครองที่โหดเหี้ยมผู้หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย มีคนสกุลหลี่มากเท่าใดต้องศีรษะหลุดจากบ่าเพียงเพราะความหวาดระแวงอันไร้ที่สิ้นสุดของนาง สำหรับขุนนางกับตระกูลชนชั้นสูง…นางก็ไม่ใช่คนดีเช่นกัน
ทั้งที่มือนางอาบไปด้วยโลหิตสดๆ แต่ราษฎรชนชั้นล่างกลับสดุดีในคุณความดีของนาง เกาจื่อฮั่นรู้สึกเลื่อนลอย ที่แท้โลกนี้เป็นแบบใดกันแน่นะ
ล้อรถหมุนไปแบบเคลื่อนๆ หยุดๆ ในที่สุดก็แล่นพ้นประตูเมือง เกาจื่อฮั่นกำลังจะอำลานครลั่วหยางแล้วจึงบังเกิดความหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
ตอนนี้เองมีเสียงเกือกม้าดังกุบกับมาจากด้านนอก เกาจื่อฮั่นราวถูกบางสิ่งดลใจให้เลิกม่านขึ้น ครั้นเห็นสตรีนางหนึ่งขี่ม้าทะยานออกจากประตูเมืองมา เกาจื่อฮั่นก็ตะลึงวูบ ผลักเปิดประตูรถทันที “เซิ่งหยวน?”
หลี่เจาเกอรั้งม้า หยุดหน้าขบวนรถสกุลเกาแล้วกระโดดลงจากม้าอย่างปราดเปรียว “ได้ยินว่าวันนี้ท่านป้ากับพี่หญิงเกาจะไปจากเมืองหลวง ข้าจึงมาส่งพวกท่านช่วงหนึ่ง”
เกาจื่อฮั่นนึกไม่ถึงเลย ในอดีตนางมีสหายนั่งเต็มโต๊ะจัดเลี้ยง มีแขกเหรื่อล้นประตูจวน แต่ภายหลังตกอับคนเหล่านั้นล้วนรีบตีตัวออกหาก สุดท้ายผู้ที่มาส่งครอบครัวนางกลับเป็นหลี่เจาเกอที่ไม่ได้ไปมาหาสู่กันสักเท่าใด
เกาจื่อฮั่นถอนใจ รู้ว่าฐานะของตนอ่อนไหว หลี่เจาเกอเจตนาดีออกมาส่งตน ทว่าหากพูดจากันนานไม่แคล้วสะกิดให้ฮ่องเต้หวาดระแวงเอาได้ เกาจื่อฮั่นจึงตอบว่า “ขอบใจนะ น้ำใจของเจ้าพวกเรารับไว้แล้ว เจ้ารีบกลับไปเถิด”
ตงหยางจ่างกงจู่ที่อยู่ด้านหน้าได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็เลิกม่านรถขึ้นดู หลี่เจาเกอจึงประสานมือไปทางตงหยางจ่างกงจู่ ถือเป็นการคำนับลา “ท่านป้า พี่หญิง ไปอูโจวเที่ยวนี้หนทางโคลงเคลง พวกท่านถนอมตัวด้วย”
ไม่รู้เพราะเหตุใดเกาจื่อฮั่นจึงขอบตาชื้นนิดๆ ต้องผินหน้าไปเช็ดน้ำตาให้แห้งก่อนกล่าว “ข้าจะดูแลท่านแม่ เจ้ากับรองตุลาการกู้อยู่ในเมืองหลวงก็ต้องถนอมตัวด้วยนะ”
หลี่เจาเกอพยักหน้ารับคำ สุดท้ายมองพวกนางอีกหนแล้วหมุนตัวขึ้นม้าจากไปอย่างสง่างามเฉกเช่นขามา เกาจื่อฮั่นสวมหมวกม่านแพร ยืนอยู่หน้ารถม้า มองเงาหลังของสตรีเบื้องหน้าผู้นั้นนานสองนาน
เมื่อหลายปีก่อน…คลับคล้ายว่าเป็นวันหนึ่งในฤดูวสันต์เช่นเดียวกันนี้ นางเชิญชวนสหายสตรีหลายคนมาเล่นฝูจีกัน ตอนนั้นเผยฉู่เยวี่ยกับหลี่ฉังเล่อสนิทแน่นแฟ้นดุจพี่น้อง จ่างซุนซันเหนียงกับจ่างซุนอู่เหนียงทะนงตัวถือดี เหล่าแม่นางน้อยมารวมตัวกัน คิ้วตาเอ่อท้นด้วยความเย่อหยิ่งฮึกเหิมอันอ่อนต่อโลก
บัดนี้…เกาจื่อฮั่นยืนกรานจะติดตามบิดามารดาไปเมืองอูโจว สามีกับมารดาสามีไม่พอใจอย่างยิ่ง เตรียมจะหย่าขาดนางแล้ว หลี่ฉังเล่อออกเรือนไปเป็นภรรยาของอู่หยวนชิ่ง ยังคงเป็นไข่มุกสกาวที่ผู้คนประจบเอาใจ เผยฉู่เยวี่ยแท้งบุตร เลือดลมพร่องหนัก ก่อนจะอำลาเมืองหลวงเกาจื่อฮั่นแวะไปเยี่ยมนางมา รูปโฉมนางไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าไฟในดวงตากลับไม่อาจลุกโชนขึ้นอีก ซ้ำตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยเอ่ยถึงหลี่ฉังเล่อแม้คำเดียว
จ่างซุนซันเหนียงกับจ่างซุนอู่เหนียงพลอยเดือดร้อนเพราะสกุลเดิม ผู้หนึ่งต้องหย่าร้าง ผู้หนึ่งต้องอ้างป่วย ตอนนั้นที่เล่นฝูจีด้วยกัน เหล่าแม่นางน้อยแสนจะไร้ทุกข์ไร้กังวล ยามนี้แต่ละคนกลับเคว้งคว้าง
มีเพียงหลี่เจาเกอที่ไม่เคยเปลี่ยนไป วันนั้นนางกระโดดขึ้นหอสูงไปช่วยตนจากผีร้ายตามลำพังโดยไม่ได้พกพาอาวุธใด วันนี้นางก็ออกจากเมืองหลวงมามือเปล่า เพียงเพื่อจะกล่าวอำลาตนที่เป็นทั้งญาติผู้พี่และสหายเก่าสักคำ
“คุณหนู…” สาวใช้ร้องเรียกอยู่ด้านหลังอย่างขลาดๆ
เกาจื่อฮั่นปล่อยม่านแพรบนหมวกลง มองหนสุดท้ายก่อนหมุนตัวกลับขึ้นรถ “ไปกันเถิด”
ต้นหญ้างอกงาม นกขมิ้นโบยบิน ท่ามกลางทิวทัศน์วสันต์เดือนสาม หอประตูเมืองลั่วหยางอันสูงใหญ่น่าเกรงขาม ตลอดจนดรุณีน้อยชุดขาวที่ขี่ม้าลำพัง ล้วนแปรเป็นภาพเงาอันห่างไกลอยู่เบื้องหลังของเกาจื่อฮั่น เกาจื่อฮั่นนั่งอยู่ในตัวรถ กล่าวอำลาต่อทุกสิ่งเบื้องหลังนั้นโดยไร้เสียง
ลาก่อน ราชธานีตะวันออก…วังหลวง…หลี่เจาเกอ
ชีวิตวัยดรุณีของนาง วันคืนในลั่วหยางของนางล้วนยุติลงแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 ม.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.