X
    Categories: จุติรัก พลิกชะตาร้ายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 131

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 131 ชายบำเรอ

 ในเขตวังชั้นนอก ถึงช่วงเวลาเลิกงานที่ไป๋เชียนเฮ่อเฝ้ารอที่สุดของวันอีกครั้ง ตั้งแต่ยามเซินหนึ่งเค่อเขาก็เก็บของเตรียมตัวจะเผ่นแล้ว ครั้นใกล้จะถึงยามเซินสองเค่อ มีเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งเดินมาจากด้านนอก เข้าไปคำนับหลี่เจาเกอในโถงหลัก “ผู้บัญชาการขอรับ ตุลาการใหญ่กู้สั่งให้ข้าน้อยมาถ่ายทอดคำพูด หลังเลิกงานเขาต้องไปจวนสกุลเผยเลี้ยงส่งคนเดินทาง ถามว่าผู้บัญชาการจะไปด้วยกันหรือไม่”

พักก่อนเหตุกบฏสองอ๋องทำให้หลายตระกูลถูกหอบเข้าสู่การกวาดล้าง สกุลเผย สกุลจ่างซุน สกุลเกาล้วนถูกเนรเทศ ตงหยางจ่างกงจู่กับสกุลเกาไปจากราชธานีตะวันออกเป็นกลุ่มแรก สกุลจ่างซุนจากไปเมื่อสองวันก่อน ตอนนี้ถึงคราวของสกุลเผยแล้ว

ตระกูลใหญ่พากันถูกเนรเทศ ตำแหน่งระดับสูงของราชสำนักพลันว่างลงครึ่งหนึ่ง กู้หมิงเค่อจึงได้เลื่อนจากรองตุลาการเป็นตุลาการใหญ่ กลายเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดอันชอบธรรมของศาลต้าหลี่แล้ว

สกุลเผยกำลังจะไปจากเมืองหลวง กู้หมิงเค่อในฐานะญาติฝ่ายเขยย่อมต้องมีการแสดงออก วันนี้คนสกุลเผยจะกลับจวนทั้งหมด กู้หมิงเค่อจึงไม่ทำงานล่วงเวลา เลิกงานตรงเวลาอย่างหาได้ยาก เตรียมจะไปจวนสกุลเผยร่วมงานเลี้ยงส่ง เขาทำตามขั้นตอน ส่งคนมาหน่วยงานเพื่อนบ้านเพื่อสอบถามภรรยาก่อนว่าจะกลับไปกินเลี้ยงด้วยกันหรือไม่

หลี่เจาเกอตอบโดยไม่แม้แต่จะคิด “ไม่ไป”

เจ้าหน้าที่ที่มาถ่ายทอดคำพูดผู้นั้นขานรับ กลับไปแจ้งตุลาการใหญ่กู้

กู้หมิงเค่อไม่แปลกใจสักนิดเดียว เขามอบหมายงานในศาลต้าหลี่เสร็จก็เลิกงานตรงเวลาพร้อมเสียงกลองเลิกศาลพอดีอย่างหาได้ยาก ตอนก้าวออกมาจากประตูศาลต้าหลี่ยังบังเอิญเห็นไป๋เชียนเฮ่อพุ่งฝ่าฝูงชนดุจเกาทัณฑ์ที่ผละจากสาย วิ่งฉิวไปทางประตูวังชั้นนอกก่อนใคร

ไม่ช้าคนในกองงานปราบปีศาจก็จากไปจนหมด หลี่เจาเกอรั้งอยู่ท้ายสุด ตั้งใจจะรอจนทางเดินหายแออัดค่อยออกจากกองงานปราบปีศาจ ตอนนางออกไปเขตวังชั้นนอกเหลือคนโหรงเหรงแล้ว ด้วยเหตุนี้นางจึงมองเห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยได้ในปราดแรก

บุรุษผู้นั้นได้ขันทีผู้หนึ่งนำทางมา ยืนสนทนาอยู่กับเวรยามหน้าประตูวังชั้นใน หลี่เจาเกอเลิกคิ้วนิดๆ ก่อนเปลี่ยนทิศเดินมุ่งไปทางนั้น

พอเวรยามเฝ้าประตูมองเห็นหลี่เจาเกอก็รีบยืดตัวตรงทำความเคารพนาง “ผู้บัญชาการ”

หลี่เจาเกอผงกศีรษะรับ สายตาจรดบนร่างบุรุษตรงหน้าอย่างระแวดระวัง “นี่คือผู้ใด จะเข้าวังชั้นในด้วยเหตุใดกัน”

บุรุษผู้นั้นรูปร่างเพรียวบาง ดวงหน้าหล่อเหลา สง่าหมดจดแบบคนตระกูลใหญ่ ทว่าดูเครื่องแต่งกายแล้วไม่คล้าย บุรุษแปลกหน้าเช่นนี้ปรากฏตัวหน้าประตูวังชั้นใน แสนจะน่าสงสัย

หลี่เจาเกอไม่อำพรางแววคลางแคลงในดวงตาแม้แต่น้อย ขันทีผู้นำทางเห็นเช่นนั้นจึงรีบชี้แจง “องค์หญิงเซิ่งหยวนพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นคนที่ฝ่าบาททรงเรียกพบ”

อยู่ดีๆ ฮ่องเต้จะเรียกพบคนนอกผู้หนึ่งทำอันใดกัน หลี่เจาเกอถาม “เจ้ามีชื่อว่าอะไร”

บุรุษแปลกหน้าคารวะหลี่เจาเกออย่างสุภาพ “ทูลองค์หญิง กระหม่อมจางเยี่ยนจือพ่ะย่ะค่ะ”

อาศัยท่าคารวะ เขามองพิจารณาหลี่เจาเกอโดยละเอียด ที่แท้…นี่ก็คือองค์หญิงเซิ่งหยวนผู้โด่งดัง นางทั้งอ่อนเยาว์ทั้งโฉมงามกว่าที่เขาคิดภาพไว้

หลี่เจาเกออยู่ในราชธานีตะวันออกมาหลายปีเพียงนี้ แม้ไม่อาจกล่าวว่ารู้จักคนเป็นพัน แต่บุตรหลานสกุลต่างๆ ยังรู้จักอยู่พอตัว ทายาทของขุนนางแซ่จางไม่มีใครชื่อ ‘จางเยี่ยนจือ’ นี่เลย ด้วยรูปโฉมของเขาหากอยู่ในนครลั่วหยางจริงก็ไม่ควรเป็นชนชั้นไร้ชื่อเสียงจึงจะถูก

หลี่เจาเกอถามอีก “บิดาเป็นผู้ใด ลุงกับอามีตำแหน่งขุนนางหรือไม่”

ขันทีแสนจะกระอักกระอ่วน รีบกล่าวย้ำว่า “องค์หญิง คุณชายจางเป็นคนที่ฝ่าบาททรงเรียกพบจริงๆ”

“ตอนนี้หน่วยงานต่างๆ เลิกงานแล้ว ต่อให้มีคนเสนอชื่อตนเองเข้าเป็นขุนนางผ่านตู้แนะนำก็จะไม่เลือกเข้าวังเวลานี้ บุรุษแปลกหน้าและไม่มีตำแหน่งหน้าที่ผู้หนึ่งจะเข้าวังชั้นใน แค่สอบถามก็รับไม่ได้หรือไร” หลี่เจาเกอปรายตามองเรียบๆ ขันทีก็เสียขวัญ พลันไม่กล้าพูดจาอีก ผิดกับจางเยี่ยนจือที่เอ่ยปนยิ้มบางๆ “องค์หญิงตรัสชอบแล้ว กระหม่อมเป็นสามัญชน ผู้อาวุโสในครอบครัวก็ไม่มีคนเป็นขุนนาง มีเพียงน้องหกถวายการปรนนิบัติอยู่ข้างกายองค์หญิงก่วงหนิง”

หลี่เจาเกอมุ่นคิ้วนิดๆ ไฉนคำบรรยายนี้ฟังดูพิกลๆ ขันทีจนหนทางแล้วจริงๆ จึงสาวเท้ามาถึงข้างกายหลี่เจาเกอแล้วเบาเสียงกล่าว “ทูลองค์หญิงเซิ่งหยวน พักนี้ฝ่าบาททรงกลัดกลุ้ม องค์หญิงก่วงหนิงจึงพาคนที่เชี่ยวชาญการดนตรีผู้หนึ่งมาคลายกลุ้มให้ฝ่าบาท ฝ่าบาทโปรดเขามาก เขาเสนอชื่อพี่ชายของตน ฝ่าบาทก็สนพระทัย จึงให้กระหม่อมพาคุณชายห้าสกุลจางเข้าวังทันที”

หลี่เจาเกอยิ่งฟังยิ่งมีสีหน้าหนักอึ้ง สายตาชำเลืองไปทางจางเยี่ยนจือเล็กน้อย ลอบมองประเมินอีกฝ่าย จางเยี่ยนจือสัมผัสได้ถึงสายตาของนางแล้ว เห็นขันทีกระซิบข้างหูนาง แม้ไม่ได้ยินว่าพูดอันใดบ้าง แต่ดูจากแววตาของนางเกรงว่าคงไม่ใช่คำพูดที่ดีอันใด

จางเยี่ยนจือคิดถึงตรงนี้ก็ยิ้มเยาะตนเอง ฐานะเช่นเขากับน้องชายยังจะเพ้อฝันถึงคำพูดที่ดีอันใดอีกเล่า

หลี่เจาเกอพอจะเดาออกแล้วว่าคนผู้นี้มีฐานะใด ในใจนางยากจะบรรยายด้วยถ้อยคำ จริงอยู่ช่วงท้ายการปกครองของมารดานางในชาติก่อนเคยมีขุนนางสอพลอเสนอชายบำเรอให้ ทว่าชายบำเรอเหล่านั้นไร้สมอง ไม่ได้เรื่องได้ราวอันใดและไม่มีคนใดแซ่จาง นางจำได้ชัดเจนว่าคนที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดแซ่เซวีย ทั้งอำพรางอยู่ในคราบภิกษุรูปหนึ่ง นางนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหลี่ฉังเล่อจะเสนอชายบำเรอให้มารดา

ชายบำเรอที่นำเสนอโดยคนละคนกันย่อมจะต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง ไม่แปลกที่นางไม่รู้จัก นางรู้สึกว่าเรื่องนี้ชอบกลเหลือเกินจริงๆ จึงยังคงระแวงบุรุษผู้นี้ยิ่งนัก หากนี่เป็นเพียงข้ออ้าง แท้ที่จริงเขาหมายจะเข้าวังชั้นในไปลอบปลงพระชนม์เล่าจะทำเช่นไร นางกล่าว “ที่แท้เป็นผู้ที่ฝ่าบาททรงเรียกพบ พอดีข้าก็มีเรื่องจะกราบทูล ไปเสียด้วยกันเถิด”

ขันทีอึ้งงัน “องค์หญิงเซิ่งหยวน…”

ต่อให้ขันทีไม่มียางอายอันใดนัก พบเจอเหตุการณ์เยี่ยงนี้ก็ยังคงรู้สึกกระดาก บุตรสาวคนเล็กเสนอชายบำเรอหมายเลขหนึ่งให้มารดา บุตรสาวคนโตไม่เชื่อ จะจับตาชายบำเรอหมายเลขสองไปจนถึงเบื้องหน้ามารดาด้วยตนเอง นี่มัน…

ขันทีกระอึกกระอัก กลับเป็นจางเยี่ยนจือตอบสนองก่อน เขาคารวะนางพร้อมรอยยิ้มสุภาพ “ได้ร่วมทางกับองค์หญิงเซิ่งหยวนเป็นเกียรติสูงสุดของกระหม่อม องค์หญิง เชิญพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่เจาเกอกวาดมองเขาอย่างเฉยเมยก่อนย่างเท้าเดินนำหน้า เขาก็ตามหลังนางไปติดๆ ขันทีปาดเหงื่อบนศีรษะไม่หยุด วันอากาศร้อนกลับรู้สึกเย็นวาบทั้งร่าง สองคนนั้นเดินนำไปแล้ว ขันทีจนหนทาง ได้แต่สาวเท้าไล่ตามไป

มีหลี่เจาเกอเบิกทาง ตลอดเส้นทางย่อมผ่านฉลุย จางเยี่ยนจือเดินไปถึงตำหนักเซวียนเจิ้งได้โดยไม่ต้องผ่านการซักถามใดๆ อีก เมื่อเห็นหลี่เจาเกอคนในตำหนักเซวียนเจิ้งก็ทักทายอย่างคุ้นเคย หลี่เจาเกอได้ยินด้านในมีเสียงดนตรีรางๆ จึงมุ่นคิ้วถามนางข้าหลวงผู้หนึ่งที่มักคุ้นกัน “ข้างในเกิดอะไรขึ้น”

นางข้าหลวงคำนับก่อนตอบ “องค์หญิงก่วงหนิงทรงสนทนาเป็นเพื่อนฝ่าบาท ฝ่าบาทพระอารมณ์เบิกบานจึงรับสั่งเรียกคนมาเพิ่มความสนุกสนานเพคะ”

ฮ่องเต้เลี้ยงนางข้าหลวงกลุ่มหนึ่งไว้ข้างกาย นางข้าหลวงเหล่านี้รู้หนังสือ แต่งกาพย์ขับกลอนได้ ยามปกติพวกนางจะติดตามข้างกายฮ่องเต้ คอยจัดหนังสือรายงาน ยกน้ำชาถวาย ผู้ที่ได้รับความโปรดปรานยังสามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมือง นอกวังหลวงตั้งตู้สำริดไว้ ส่งเสริมให้ราษฎรรายงานข่าวสารถึงฮ่องเต้ ทว่าฮ่องเต้มีงานรัดตัวย่อมไม่มีทางอ่านจดหมายเองทุกฉบับ ดังนั้นนางข้าหลวงเหล่านี้ยังมีหน้าที่อ่านจดหมายจากตู้สำริด เรียบเรียงเนื้อหาในจดหมายของราษฎรเป็นใบรายการนำถวายฮ่องเต้

ฮ่องเต้หมายอาศัยกำลังของนางข้าหลวงตรึงราชสำนักฝ่ายนอก ทว่าอย่างไรเสียสตรีที่มองการเมืองออกยังคงเป็นส่วนน้อย อีกทั้งนางข้าหลวงจำกัดอยู่แต่วังฝ่ายใน เปรียบกับขุนนางบุ๊นบู๋จำนวนมากแล้วขอบเขตยังคงจำกัดนัก กระนั้นไม่ว่าราชวงศ์ใดผู้ที่รับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ล้วนไม่อาจล่วงเกิน นางข้าหลวงเหล่านี้รายล้อมอยู่ข้างกายฮ่องเต้ทั้งวี่วัน ยาวนานกว่าเวลาที่หลี่เจาเกอได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้มาก หลี่เจาเกอจึงเลือกผูกไมตรีไว้บางคน ยามเกิดเรื่องขึ้นตนเองจะได้ไม่ถึงกับหูหนวกตาบอด

หลี่เจาเกอถาม “ก่วงหนิงมาตั้งแต่เมื่อใด”

“ยามเว่ยสองเค่อ เพคะ” นางข้าหลวงกล่าวจบ สายตาเหลือบผ่านจางเยี่ยนจือเรียบๆ อำพรางความนัยในแววตาไว้เป็นอย่างดี กระนั้นจางเยี่ยนจือกลับยังคงสัมผัสได้

นางข้าหลวงเหล่านี้มีอาภรณ์หรูหราอาหารเลิศรส เคลื่อนไหวอยู่เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ มีราศีท่วงทีไม่ด้อยไปกว่าคุณหนูผู้ดีนอกวังเลย พวกนางพินอบพิเทาต่อหลี่เจาเกอ แต่ยามมองมาทางจางเยี่ยนจือ แม้จะวางตัวดีเกรงอกเกรงใจ ทว่าหางตากลับเผยความดูหมิ่นถิ่นแคลน

ตลอดทางที่เดินมานี้ทุกสิ่งที่จางเยี่ยนจือได้ยินได้เห็นล้วนย้ำเตือนเขาว่าฐานะของเขากับหลี่เจาเกอถูกกั้นแบ่งเฉกฟ้ากับดิน เขาคือโคลนตมบนพื้นดิน ส่วนหลี่เจาเกอคือก้อนเมฆบนผืนฟ้า

ในใจหลี่เจาเกอพอจะรู้สถานการณ์โดยรวมแล้ว ตอนนี้เองขันทีที่เข้าไปทูลแจ้งก็กลับออกมา หลี่เจาเกอจึงตามเข้าตำหนักไป การมาถึงของหลี่เจาเกอทำให้เสียงดนตรีในตำหนักยุติลงชั่วคราว นางเข้าไปแล้วรู้สึกได้ว่ามีคนอยู่หลังฉากบังลม ดวงตานางไม่สอดส่ายส่งเดช คำนับฮ่องเต้อย่างเยือกเย็น “ถวายบังคมฝ่าบาท”

หลี่ฉังเล่อยืนขึ้นทักทายหลี่เจาเกอเช่นกัน “พี่หญิงเซิ่งหยวน”

ฮ่องเต้โบกมือตามสบาย “รีบนั่งลงเถิด เจาเกอ เจ้ามาได้อย่างไร”

หลี่เจาเกอนั่งตำแหน่งถัดลงไป ชายเสื้อนางกองระพื้นอย่างเป็นธรรมชาติ สองมือวางซ้อนบนหน้าตัก มองจากด้านข้างดูงามระหงสูงศักดิ์ นางตอบ “ตอนลูกจะออกจากวังบังเอิญเห็นองครักษ์เฝ้าประตูสอบถามคนผู้หนึ่งอยู่ ลูกรู้สึกว่าบุรุษผู้นี้ไม่คุ้นหน้าจึงพาเขาเข้ามาเพคะ”

จางเยี่ยนจือยืนนบนอบอยู่ข้างตำหนักโดยตลอด รอจนพวกเจ้านายเอ่ยถึงเขา เขาค่อยเดินขึ้นหน้ามาทำความเคารพ “กระหม่อมสามัญชนรากหญ้าถวายบังคมฝ่าบาท ถวายคำนับองค์หญิงเซิ่งหยวน ถวายคำนับองค์หญิงก่วงหนิง”

ฮ่องเต้มองพิจารณาบุรุษผู้นี้ แววตาเปี่ยมด้วยความสนใจ “เจ้าก็คือจางเยี่ยนจือ…พี่ชายของลิ่วหลาง?”

“ทูลฝ่าบาท คือพี่ชายกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ” เสียงกังวานชวนฟังของชายหนุ่มผู้หนึ่งดังมาจากหลังฉากบังลม ชายหนุ่มเจ้าของสองตาแวววาวกับรอยยิ้มละไมผู้นั้นเดินออกมายืนพิงข้างกายจางเยี่ยนจืออย่างสนิทสนม กล่าวออดอ้อนต่อฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ทอดพระเนตรสิพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้หลอกพระองค์กระมัง พี่ห้าหน้าตาชวนมองกว่ากระหม่อมมากนัก”

เห็นอยู่ว่าฮ่องเต้ไม่มีคำสั่ง เขากลับออกมาเองโดยพลการ การกระทำไร้ซึ่งความกริ่งเกรง หลี่เจาเกอขนลุกจนผิวเป็นตุ่มหนังไก่ ผิดกับฮ่องเต้ที่ถูกใจยิ่ง คลี่ยิ้มเอ่ยชม “รูปโฉมงามมากจริงเสียด้วย ได้ยินลิ่วหลางบอกว่าเจ้ายังแตกฉานการดนตรี เข้าใจบทกวี”

จางเยี่ยนจือก้มหน้าตอบ “มิกล้ารับ วัยเด็กเคยศึกษามาเล็กน้อยเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้กล่าวอย่างสนใจยิ่งยวด “เมื่อครู่ลิ่วหลางเอาแต่ร่ำร้องจะบรรเลงดนตรีกับเจ้า พอดีเลย ตรงนี้มีเครื่องดนตรีครบครัน พวกเจ้าไปลองดูสิ”

จางเยี่ยนจือสองพี่น้องเดินไปด้านหลังฉากบังลมเพื่อบรรเลงดนตรี จางเยี่ยนจือนั่งลงหลังพิณตัวหนึ่ง ปรับสายเสร็จเสียงพิณติ๊งๆ ก็เริ่มดังขึ้น ไม่ช้าเสียงพิณผีผาอันเร่งร้อนชัดใสก็สอดประสานเข้ามา

เสียงดนตรีดำเนินไป หลี่เจาเกอซึ่งนั่งอยู่ข้างตำแหน่งประธานได้ยินท่วงทำนองถนัดชัดเจน ทว่าผู้ที่บรรเลงอยู่หลังฉากบังลมกลับไม่อาจได้ยินคำสนทนาของพวกนาง หลี่เจาเกอสบช่องถามฮ่องเต้ว่า “สองคนนี้คือ…”

หลี่ฉังเล่อชิงตอบ “พวกเขาเคยเป็นทายาทตระกูลบัณฑิต ต่อมาวงศ์ตระกูลตกต่ำกลายมาเป็นคณิกาหลวง คนพี่เป็นลำดับห้าในหมู่พี่น้อง นามว่าจางเยี่ยนจือ คนน้องเป็นลำดับหก นามว่าจางเยี่ยนชาง พักนี้ข้าชอบฟังลำนำ คนเบื้องล่างกำนัลจางเยี่ยนชางมาให้ข้า ข้าเห็นว่าจางเยี่ยนชางคารมคมคาย สันทัดการดนตรี เป็นนักสร้างรอยยิ้มผู้หนึ่ง ครั้นนึกได้ว่าช่วงนี้เสด็จแม่บรรทมไม่สนิท หากมีคนอยู่ข้างกายคอยคลายกลุ้ม ไม่แน่อาจจะเข้าบรรทมได้ง่ายขึ้น ข้าจึงนำจางเยี่ยนชางมาถวายเสด็จแม่ จางเยี่ยนชางคิดถึงพี่ชาย บอกว่าพี่ชายน่ามองกว่า มีความสามารถกว่า ข้ารู้สึกว่าน่าสนใจจึงให้เสด็จแม่ทรงเรียกเข้ามาดู นึกไม่ถึงว่าเป็นคนงามจริงเสียด้วย”

หลี่เจาเกอไม่พูดจามองหลี่ฉังเล่อเงียบๆ นี่หลี่ฉังเล่อคิดจะเอาอย่างองค์หญิงหยางเออรักษาฐานะด้วยการกำนัลคนงามแก่ฮ่องเต้? ไม่หัดคิดดูเสียบ้างว่าสุดท้ายจ้าวอี๋จู่กับจ้าวเหอเต๋อลงเอยเยี่ยงไร

หลี่ฉังเล่อนั่งประจบออดอ้อนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ “เสด็จแม่ ทรงเห็นว่าพี่น้องคู่นี้เป็นเช่นไรเพคะ”

ฮ่องเต้ผงกศีรษะยิ้มตอบ “คนพี่เงียบขรึมสุขุม คนน้องร่าเริงไม่ยอมแพ้ใคร เป็นคนที่น่าสนใจคู่หนึ่ง”

หลี่ฉังเล่อยิ้มหน้าบานกว่าเดิม “ในเมื่อน่าสนพระทัย เสด็จแม่ก็ทรงเก็บพวกเขาไว้ข้างกายเสียเลยแล้วกัน ในวังไม่มีเรื่องบันเทิงใจอันใด วันทั้งวันเจอแต่หนังสือกราบทูลกับขุนนางชรากลุ่มนั้น ต่อให้เสด็จแม่ไม่ทรงเหนื่อยก็ควรได้เปลี่ยนอารมณ์บ้าง”

ฮ่องเต้ครุ่นคิดไม่ตอบคำ หลี่ฉังเล่อเห็นเช่นนั้นก็พลันเอ่ยเบาลงอย่างมีลับลมคมใน “เสด็จแม่ สองพี่น้องนี้ล้วนมีสันจมูกโด่งเด่น โดยเฉพาะจางเยี่ยนจือ จมูกรูปถุงน้ำดี ทั้ง ‘โด่งใหญ่’ ทั้ง ‘ตั้งตรง’ ต้องโดดเด่นระดับหนึ่งในร้อยแน่นอน”

ฮ่องเต้ฟังถึงตอนท้ายก็เผยสีหน้าแจ้งใจ แม้ไม่ได้พูดจา ทว่าดูจากแววตาคือตอบรับแล้ว สองคนมารดากับบุตรสาวต่างรู้กันในใจ มีเพียงหลี่เจาเกอเลิกคิ้วด้วยความฉงน

มันอะไรกัน สองคนนี้ใบ้คำอะไรอยู่ ไฉนนางฟังไม่เข้าใจเลย

ขณะนี้ที่จวนสกุลเผยมีคนมากอย่างหาได้ยาก กู้หมิงเค่อเข้ามาในจวนแล้วได้บ่าวนำทางเรื่อยมาจนถึงเรือนหลัก วันนี้สตรีที่แต่งออกไปอย่างพวกเผยฉู่เยวี่ยก็กลับมาด้วย ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเผยรายล้อมด้วยคนหนึ่งกลุ่ม ครั้นได้ยินสาวใช้มาแจ้งว่า “คุณชายกู้มาแล้ว” เสียงในเรือนก็พลันยุติลง ผู้คนพากันยืนขึ้น

กู้หมิงเค่อเข้าประตูมา สายตามองตรง คารวะฮูหยินผู้เฒ่าเผยกับเผยซือเหลียนเป็นอันดับแรก เผยจี้อันกับเผยฉู่เยวี่ยยืนอยู่อีกด้าน รอจนกู้หมิงเค่อยืดกายขึ้นค่อยคารวะกู้หมิงเค่อ “พี่กู้”

กู้หมิงเค่อผงกศีรษะรับเรียบๆ ทุกคนนั่งลงดังเดิม วันนี้ตั้งแต่เผยฉู่เยวี่ยกลับมาก็เงียบขรึมพูดน้อย ตอนนี้ได้เห็นกู้หมิงเค่อ นางยิ่งไม่พูดไม่จา

หลังจากกู้หมิงเค่อนั่งลง เผยซือเหลียนจึงเอ่ยถาม “ได้ยินว่าเจ้าได้เลื่อนขั้นเป็นตุลาการใหญ่ศาลต้าหลี่แล้ว”

กู้หมิงเค่อพยักหน้า “ใช่”

คนสกุลเผยฟังแล้วล้วนเงียบไป เผยซือเหลียนถูกปลดจากตำแหน่งเสนาบดี ลดขั้นไปเป็นเจ้าเมืองอวิ๋นโจว เมืองอวิ๋นโจวอยู่ไกลโพ้นสุดชายแดนเหนือ ทะเลทรายเวิ้งว้าง พายุทรายโหมกระหน่ำ ซ้ำมีข้าศึกภายนอกมาก่อกวนอยู่เสมอ เผยซือเหลียนถูกส่งไปเป็นเจ้าเมืองที่นั่นไม่นับว่าเป็นที่ที่ดีเลย คนอื่นๆ ในสกุลเผยต่างถูกลดขั้นส่งไปรับตำแหน่งต่างเมืองเช่นเดียวกัน มีเพียงกู้หมิงเค่อได้เลื่อนตำแหน่ง สภาพการณ์เช่นนี้เปรียบกันแล้วชวนให้ทอดถอนใจจริงๆ

เผยซือเหลียนถอนใจยาว “เมื่อแรกที่เจ้าไปศาลต้าหลี่ ข้ายังรู้สึกว่าที่นั่นทั้งวังเวงทั้งเสี่ยงภัย ไม่ใช่ที่อันมีเกียรติ ตอนนี้ดูแล้วกลับเป็นเรื่องดี ศาลต้าหลี่ไม่ต้องพัวพันกับความขัดแย้งระหว่างฝักฝ่าย สามารถทำงานเพื่อราษฎรได้อย่างแท้จริง เจ้าอยู่ที่นั่นดียิ่ง”

กู้หมิงเค่อผงกศีรษะกล่าวขอบคุณ ฮูหยินผู้เฒ่าเผยชะเง้อมองก่อนถาม “เหตุใดองค์หญิงเซิ่งหยวนไม่ได้มาเล่า”

เผยจี้อันหลุบตาลง มุมปากยิ้มขื่น…นางมาสิแปลก

กู้หมิงเค่อชี้แจง “นางมีธุระอื่น ไม่สะดวกจะปลีกตัวจึงไม่ได้มาด้วย”

หนนี้เผยซือเหลียนกับเผยจี้อันแคล้วคลาดพ้นภัยล้วนพึ่งพาหลี่เจาเกอ หากไม่ใช่นางย้ายสองคนนี้ไปที่คุกหลวงของกองงานปราบปีศาจก่อน ต่อให้สกุลเผยช่วยคนออกมาได้ก็คงไม่พ้นถูกทรมานร่างกาย เนื่องจากเรื่องที่หลี่เจาเกอเคยใช้กำลังบุกเข้ามาชิงบุรุษถึงในสกุลเผย คนในสกุลเผยจึงวิจารณ์นางในทางร้ายมาโดยตลอด นึกไม่ถึงเลยหนนี้สหายเก่าพากันเอาตัวรอด คนนอกยิ่งเหยียบย่ำซ้ำเติม กระทั่งหลี่ฉังเล่อก็กลัวภัยจะลามไปถึงตัว กลับเป็นหลี่เจาเกอที่ยื่นมือช่วยเหลือ

เดิมฮูหยินผู้เฒ่าเผยหมายจะถือโอกาสนี้กล่าวขอบคุณหลี่เจาเกอ ทว่าจนใจที่นางไม่ได้มา ฮูหยินผู้เฒ่าเผยแม้เสียดายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่แปลกใจ เผยซือเหลียนกล่าว “องค์หญิงเซิ่งหยวนแม้กระทำการแบบทะนงถือตัว แต่ก็เป็นคนเที่ยงธรรม มีคุณธรรมน้ำใจ นับเป็นคู่ครองอันประเสริฐ พวกเจ้าสามีภรรยาต้องใช้ชีวิตร่วมกันให้ดี มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ประคับประคองซึ่งกันและกัน วันหน้าพวกเราไปแล้ว ในเมืองหลวงจะเหลือพวกเจ้ากันแค่สองคนเท่านั้น”

กู้หมิงเค่อมองไปทางฮูหยินผู้เฒ่าเผย “ท่านยายก็จะไปจากเมืองหลวงด้วยหรือ”

“ใช่” ฮูหยินผู้เฒ่าเผยกล่าว “ข้าแก่ปูนนี้แล้ว ซือเหลียน ซือเจ๋อ กับเจ้าใหญ่ล้วนไม่อยู่ ข้ารั้งอยู่เมืองหลวงคนเดียวก็ไม่มีความหมายอะไร มิสู้กลับภูมิลำเนา ฉวยเวลาบั้นปลายไม่กี่ปีสุดท้ายนี้อบรมคนรุ่นหลังในตระกูลให้ดี นี่นับเป็นสิ่งสุดท้ายแล้วที่ข้าจะทุ่มเทกำลังทำเพื่อสกุลเผยได้”

สกุลเผยมีรากฐานวงศ์ตระกูลอันรุ่งเรือง ต่อให้ไม่เป็นขุนนาง กลับภูมิลำเนาไปเก็บกินจากที่นาบรรพชนก็เพียงพอจะใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติ ฮูหยินผู้เฒ่าเผยจะไป ฮูหยินใหญ่เผยกับกู้เผยซื่อย่อมต้องติดตามไปด้วย จวนสกุลเผยที่เคยมีหน้ามีตาในราชธานีตะวันออกช่วงเวลาหนึ่ง บัดนี้จะคงเหลือแต่กู้หมิงเค่อคุณชายบ้านท่านเขยกับเผยฉู่เยวี่ยคุณหนูที่แต่งเข้าสกุลอื่นไปแล้ว

คนรอบด้านจึงพากันโน้มน้าว “ฮูหยินผู้เฒ่า นี่ท่านพูดอันใดกันเจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเผยตั้งมือ ยับยั้งถ้อยคำของพวกนาง “ข้าอายุมากแล้ว อยู่ได้อีกไม่นานเท่าไรหรอก ข้ารู้ตนเองดี พวกเจ้าน่ะสิ จงใช้ชีวิตให้ดีๆ ให้กำเนิดทายาทที่รักดีแก่สกุลเผยอีกสักหลายๆ คน นี่ต่างหากคือการกตัญญูต่อข้ามากที่สุด”

ทุกคนก้มหน้าลง ฮูหยินผู้เฒ่าเผยสูงวัยแล้ว ยิ่งเผชิญผ่านคดีคิดกบฏหนนี้ก็ยิ่งสุขภาพย่ำแย่ เผยซือเหลียนถอนใจยาว “ข้าในฐานะบุตรชายกลับไม่อาจอยู่ปรนนิบัติข้างกายมารดา อกตัญญูโดยแท้”

ฮูหยินผู้เฒ่าเผยโบกมือ “เจ้ามีพระราชโองการติดตัวย่อมสมควรไปอวิ๋นโจวทำหน้าที่ จะผูกติดอยู่ตรงหน้าข้าทั้งวี่วันนับเป็นเรื่องอันใด”

จบคำนางมองไปทางเผยจี้อัน “เจ้าใหญ่ เจ้าไปถึงอวิ๋นโจวแล้วต้องดูแลพ่อเจ้าให้ดีนะ แข้งขาเขาไม่ดี อย่าให้เขาถูกความเย็น”

เผยจี้อันก้มศีรษะรับคำ

ฮูหยินใหญ่เผยอดถามไม่ได้ “เจ้าใหญ่ เจ้าจะไปอวิ๋นโจวจริงๆ น่ะหรือ มิสู้กลับบ้านบรรพชนไปศึกษาหาความรู้สงบๆ…”

เผยจี้อันส่ายหน้าช้าๆ แววตาแน่วแน่ยิ่งยวด “อ่านตำราหมื่นม้วนมิสู้เดินทางหมื่นหลี่ ลูกอ่านตำรามายี่สิบปีแล้ว ควรจะออกจากประตูบ้านไปดูโลกภายนอกแต่แรก ท่านแม่มิต้องเกลี้ยกล่อมลูกอีก ลูกตกลงใจแล้ว”

“แต่…ที่อวิ๋นโจวนั่นลำบากยากแค้น ซ้ำต้องรบกับข้าศึกเป็นประจำ เจ้าไปสถานที่พรรค์นั้นจะทนรับไหวได้อย่างไร”

“ก็เพราะลำบาก…จึงจะต้องไป” ไม่รู้เผยจี้อันนึกถึงสิ่งใดจึงถอนใจโดยไร้เสียง “ลูกควรจะทำเช่นนี้ตั้งแต่แรก”

ยากนักที่เผยจี้อันจะแน่วแน่เพียงนี้ ฮูหยินใหญ่เผยเห็นว่าเกลี้ยกล่อมไม่ได้จริงๆ จึงได้แต่ทนเจ็บยอมแพ้ กู้หมิงเค่อกวาดตามองเผยจี้อันพลางลอบเก็บงำประกายตา

ฮูหยินใหญ่เผยกับฮูหยินผู้เฒ่าเผยล้วนปวดใจ แม้แต่เผยฉู่เยวี่ยก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่ใหญ่จะต้องไปทนลำบากที่อวิ๋นโจวให้ได้ มีเพียงกู้หมิงเค่อเท่านั้นที่รู้…นี่ต่างหากชะตาที่แท้จริงของเผยจี้อัน

วัยหนุ่มน้อยมีเกียรติยศ ก้าวเดียวทะยานถึงชั้นเมฆ ทว่าเมื่อเติบใหญ่ครอบครัวประสบเหตุพลิกผันร้ายแรง วงศ์ตระกูลล่วงเกินฮ่องเต้หญิงจนถูกเนรเทศ เหตุนี้ทำให้เผยจี้อันไปชายแดน ได้เติบโตอย่างแท้จริงภายใต้การขัดเกลาของพายุทรายกับไฟสงคราม หลายปีให้หลังเผยจี้อันกลายเป็นผู้บัญชาการมณฑลทหาร นำทัพกลับเมืองหลวงมาปราบปรามกบฏ สนับสนุนหลี่ไหวขึ้นเป็นฮ่องเต้ และหวนมาคืนดีกับองค์หญิงก่วงหนิง

นี่สิชะตาของเผยจี้อันแบบที่เซียวหลิงให้เทพลิขิตชะตาเขียนขึ้น ชาติก่อนเผยจี้อันถูกหลี่เจาเกอสอดแทรก เป็นเหตุให้ชะตาถูกเปลี่ยนแก้จนเละเทะ ชาตินี้เผชิญผ่านทางแยกต่างๆ นานา ในที่สุดก็กลับเข้าร่องเข้ารอยเสียที

กู้หมิงเค่อรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าการลงมาแดนมนุษย์ทำภารกิจหนนี้เริ่มเห็นผล ช่างน่ายินดีน่าอวยพร

ใกล้จะพรากจากกันแล้ว คนสกุลเผยไม่ยินดีจะเอ่ยเรื่องอนาคตอันหนักอึ้งอีก จึงค่อยๆ เปลี่ยนมาพูดคุยเรื่องครอบครัว เผยฉู่เยวี่ยเพิ่งแท้งบุตร ฮูหยินผู้เฒ่าเผยไม่กล้าเอ่ยถึงนาง หัวข้อสนทนาจึงเลี้ยวไปหากู้หมิงเค่ออย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง “หลานกู้ เจ้ากับองค์หญิงเซิ่งหยวนวางแผนจะมีทายาทกันเมื่อใดเล่า”

คนทั้งหมดมองไปทางกู้หมิงเค่อ กู้หมิงเค่อยังคงไร้อารมณ์บนใบหน้า ตอบอย่างสงบ “พวกเรายังหนุ่มสาว ไม่รีบขอรับ”

“ไม่รีบไม่ได้แล้วนะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเผยอิงหมอนนุ่มพลางเอ่ยเสียงหนัก “ยายได้ยินว่าไม่กี่วันก่อนมีคนกำนัลชายบำเรอให้องค์หญิงก่วงหนิง องค์หญิงก่วงหนิงแต่งให้หลานชายของฝ่าบาทแล้วยังเป็นเช่นนี้ ผู้ที่หมายตาองค์หญิงเซิ่งหยวนอยู่น่ากลัวว่าจะมีมากยิ่งกว่า ยายรู้ว่าพวกเจ้าสามีภรรยาผูกพันกันดี แต่ยิ่งผูกพันก็ยิ่งไม่อาจเลินเล่อ ความผูกพันเป็นเช่นเดียวกับคันฉ่อง เมื่อใดเกิดรอยร้าวก็จะกลับเป็นเช่นเดิมไม่ได้อีก”

เผยฉู่เยวี่ยกำสายรัดกระโปรงไว้แน่น เผยจี้อันเบนสายตาไปไม่อยากจะฟังต่อ ผิดกับคนอื่นๆ ที่สนอกสนใจหัวข้อนี้อย่างยิ่ง พากันเอ่ยเตือนเจ้าประโยคข้าประโยค “นั่นสิ องค์หญิงก่วงหนิงเคยสดใสไร้เดียงสามากเพียงใด ตอนนี้กลับเริ่มรับชายบำเรอเช่นกัน คนเราล้วนเปลี่ยนกันได้ ไม่อาจประมาท”

กู้หมิงเค่อนึกไม่ถึงว่าคนนอกจะห่วงใยความเป็นสามีภรรยาของเขากับหลี่เจาเกอเช่นนี้ เขาไม่ใส่ใจคำเตือนของผู้คน ทว่าเพ่งความสนใจทั้งหมดของเขาไปที่คำกล่าวช่วงแรก

ชายบำเรอ?

พี่น้องสกุลจางบรรเลงหนึ่งเพลงจบลง ฮ่องเต้ครึ้มอกครึ้มใจยิ่ง ถามพวกเขาว่ายังทำสิ่งใดได้อีก ดวงตาของจางเยี่ยนชางทอยิ้มจนดูวาววาม ตอบว่าหมากล้อม ซวงลู่ ว่อซั่ว ชูผู พวกเขาล้วนเล่นเป็น ฮ่องเต้จึงให้คนนำเครื่องมือเล่นซวงลู่ออกมาประลองฝีมือกับจางเยี่ยนจือ โดยมีนางข้าหลวง หลี่ฉังเล่อ กับจางเยี่ยนชางล้อมวงอยู่ด้านข้างคอยออกความคิด

หลี่เจาเกอรู้สึกเบื่อหน่ายจึงถือโอกาสทูลลา ปลีกตัวไปก่อน

ตอนนางออกจากประตูตำหนัก จางเยี่ยนจือเดินเบี้ยตัวหนึ่งลงบนกระดานแล้วเหลือบมองนางแวบหนึ่งอย่างเร็วไว

หลี่เจาเกอพกพาความฉงนไปตลอดทาง ครั้นกลับถึงจวนองค์หญิง พวกสาวใช้ก็มารายล้อมรับใช้หลี่เจาเกอพลางถามเสียงจ้อกแจ้ก “องค์หญิงเพคะ ได้ยินว่าวันนี้องค์หญิงก่วงหนิงส่งบุรุษผู้หนึ่งเข้าวัง เขารูปงามขาวผ่อง ดวงหน้าปานดอกบัว เป็นความจริงหรือไม่”

หลี่เจาเกอมองพวกนางอย่างแปลกใจ “พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรกัน”

พวกสาวใช้แย่งกันพูดว่า “พวกหม่อมฉันรู้หมดแล้ว องค์หญิงเพิ่งเสด็จออกจากวังมาได้เห็นคุณชายหกผู้นั้นแล้วใช่หรือไม่”

ข่าวซุบซิบที่ร้อนแรงจำพวกนี้มักถ่ายทอดจากหนึ่งสู่สิบ สิบสู่ร้อย แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว หลี่เจาเกอไม่อาจต้านคำรบเร้าจึงขบคิดเล็กน้อยก่อนติชมไปตามจริง “หน้าตาใช้ได้ การดนตรีไม่เลว”

หน้าตาใช้ได้…พวกสาวใช้ยืนออกัน ถามปนหัวเราะ “เช่นนั้นเปรียบกับราชบุตรเขยเล่า”

หลี่เจาเกอไม่หวั่นไหว ตอบไปตรงๆ “ทาบไม่ติด”

ขณะพวกสาวใช้รวมกลุ่มกันหัวเราะคิกคัก หลี่เจาเกอนึกอันใดขึ้นได้ ลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยช้าๆ “แต่…ข้าได้ยินมาว่าจุดเด่นที่แท้จริงของเขากับพี่ชายไม่ได้อยู่ที่การดนตรี อยู่ที่สันจมูกต่างหาก”

พวกสาวใช้ฟังจบล้วนงุนงง “นี่หมายความเช่นไรเพคะ”

หลี่เจาเกอไม่เข้าใจเช่นกันจึงทวนคำพูดของหลี่ฉังเล่อออกมา “ผู้แนะนำบอกว่า…เขามีจมูกรูปถุงน้ำดี ทั้งโด่งใหญ่ทั้งตั้งตรง ต้องโดดเด่นระดับหนึ่งในร้อย”

จบคำหลี่เจาเกอยังคงไม่เข้าใจว่าเป็นหนึ่งในร้อยตรงที่ใด แต่สาวใช้บางคนกลับขยิบตา ร้องอ๋อแบบแฝงนัยลึกล้ำ “จริงทีเดียว”

หลี่เจาเกอเงียบงัน ชักจะสงสัยในตนเองว่าเล่าเรียนมาน้อยเกินไปหรือไร เหตุใดแม้แต่สาวใช้ยังรู้ นางกลับไม่รู้เสียอย่างนั้น มีสาวใช้อายุน้อยบางคนไม่เข้าใจเช่นกัน ต่างรีบถามว่า “เพราะเหตุใดเล่า”

สาวใช้ที่ร้องอ๋อกลับยิ้มเย้า ส่ายหน้าไม่ตอบคำ สาวใช้ที่อ่อนกว่าจึงโผเข้าไปจักจี้ แกล้งอีกฝ่ายเป็นพัลวัน สุดท้ายอีกฝ่ายต้านไม่ไหวยอมเฉลยออกมา “ร่างกายพวกเจ้ายังไม่ทันโตสมบูรณ์เลย จะรีบอยากรู้เรื่องพวกนี้เพื่ออะไร จมูกบุรุษทั้งโด่งทั้งอิ่ม…บ่งชี้ว่าเครื่องเพศทั้งแกร่งทั้งใหญ่น่ะสิ”

หลี่เจาเกอหวิดจะสำลักน้ำลายตนเอง ตกตะลึงจนเบิกตาโต สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ว่าอะไรนะ”

สาวใช้เอ่ยคำพูดเหล่านี้ต่อหน้ากลุ่มคน รู้สึกตะขิดตะขวงอยู่บ้าง “หม่อมฉันไม่รู้เช่นกัน แต่คนในวังล้วนพูดกันเช่นนี้เพคะ”

หลี่เจาเกอย้อนนึกถึงสีหน้าในตอนนั้นของหลี่ฉังเล่อกับฮ่องเต้ค่อยยอมเชื่อ เดิมทีนางรู้สึกงุนงง ตอนนี้ฟังคำอธิบายของสาวใช้จบก็ยิ่งงุนงงกับที่มาที่ไป

นางจึงเอ่ยคำถามที่อยู่ในใจออกมา “เพราะเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้”

“ไม่เพราะเหตุใดโดยทั่วไปล้วนเป็นเช่นนี้เอง” เมื่อมีคนผู้หนึ่งเปิดประเด็น คนอื่นๆ ก็พากันคุยเจี๊ยวจ๊าว “รูปร่างก็ด้วยนะ หากวัยหนุ่มน้อยมีรูปร่างอ้วน โดยทั่วไปวันหน้าล้วนไร้น้ำยา”

“ยังมีนิ้วมืออีก บุรุษนิ้วมือยาว ปกติส่วนนั้นก็จะยาว”

“ที่เจ้าว่านี่ไม่แม่น ดูที่ส่วนต่างระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วนางต่างหาก ยิ่งต่างกันน้อย ส่วนนั้นจึงจะยิ่งยาว”

พวกสาวใช้พูดกันโขมงโฉงเฉง ยิ่งพูดยิ่งลืมตัว หลี่เจาเกอฟังไปก็ยกมือตนเองขึ้นมา ลอบพิจารณาความยาวของนิ้วมือโดยละเอียด

อัศจรรย์เพียงนี้เชียวหรือ

ขณะที่นางกำลังประหลาดใจอยู่นั้นพลันได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่ห้องด้านในรางๆ จึงเงยหน้าถาม “ตรงประตูมีคนใช่หรือไม่”

สาวใช้ชะโงกศีรษะมอง “เหมือนว่าไม่มีนะเพคะ”

หลี่เจาเกอเม้มปาก กระแอมหนึ่งที ก่อนเอ่ยขึงขัง “เอาล่ะ อย่ามัวพูดเหลวไหลอยู่ตรงนี้ ออกไปกันได้แล้ว”

พวกสาวใช้ขานรับโดยพร้อมเพรียง ประสานมือถอยออกไป รอจนคนทั้งหมดออกไปแล้ว หลี่เจาเกอนั่งต่อครู่หนึ่ง กระทั่งแน่ใจว่าไอร้อนบนใบหน้าสลายสิ้น ค่อยเดินเข้าห้องด้านในไปอย่างเยือกเย็น

กู้หมิงเค่ออยู่ด้านในจริงๆ เสียด้วย

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: