X
    Categories: จุติรัก พลิกชะตาร้ายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 132

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 132 หลบร้อน

 

ครั้นแลเห็นกู้หมิงเค่อ ทั้งที่หลี่เจาเกอแสนจะกระดากอายก็ยังต้องแสร้งทำทีสงบ ถามเขาไปว่า “ท่านกลับมาจากสกุลเผยแล้ว?”

กู้หมิงเค่อขานว่าอืมเบาๆ คำเดียว จากนั้นไม่มีคำพูดอื่นอีก

หลี่เจาเกอไม่กล้านึกภาพเลยว่าเมื่อครู่เขาได้ยินไปกี่มากน้อย นางพยายามเลี่ยงหัวข้อสนทนา ทำเสมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น “คนสกุลเผยยังสบายดีหรือไม่”

ถามจบแม้แต่นางเองก็ยังอยากจะกรีดร้อง คนสกุลเผยสบายดีหรือไม่ เกี่ยวอันใดกับนางเล่า

ภายใต้ความพยายามของหลี่เจาเกอ บรรยากาศยิ่งประดักประเดิดขึ้นไปอีก ลำบากกู้หมิงเค่อยังอุตส่าห์ตอบหน้าตาจริงจัง “เสนาบดีเผยจะออกเดินทางไปอวิ๋นโจวในไม่กี่วันนี้ เผยจี้อันจะเดินทางไปด้วย ฮูหยินผู้เฒ่าเผยตั้งใจจะกลับภูมิลำเนา ท่านแม่ข้าก็จะกลับไปพร้อมกัน ฮูหยินผู้เฒ่าเผยยังฝากให้ข้ามาบอกขอบคุณท่าน พวกเขาอยากจะกล่าวขอบคุณท่านต่อหน้า น่าเสียดายหาโอกาสไม่ได้มาโดยตลอด”

หลี่เจาเกอพยักหน้าส่งๆ “ไม่ต้องขอบคุณหรอก เดิมทีก็ไม่ได้ทำเพื่อพวกเขา”

กู้หมิงเค่อพยักหน้ารับ ความกระอักกระอ่วนอันบางเบาปกคลุมอยู่ระหว่างคนทั้งสอง หลี่เจาเกอไม่ถามว่าเขากลับมาตั้งแต่เมื่อใด กู้หมิงเค่อเองก็ไม่ถามว่าเมื่อครู่พวกนางสนทนาอันใดกัน

เพียงนึกถึงเนื้อหาที่เมื่อครู่ได้ยิน กู้หมิงเค่อก็รู้สึกตกตะลึงพรึงเพริด มนุษย์สตรีแอบถกเรื่องพวกนี้กันเชียวหรือ

หลายปีมานี้แดนมนุษย์พัฒนาเร็วเกินเหตุไปแล้ว

กู้หมิงเค่อเอ่ยถึงคดีที่ส่งไปกองงานปราบปีศาจเมื่อเช้า หลี่เจาเกอลอบเบาใจ ถือโอกาสสนทนาเรื่องงานกับเขา นางเองก็ไม่รู้ว่าเป็นอันใดไป สายตาจึงเลื่อนไถลไปที่นิ้วมือของเขา ในหัวผุดคำพูดของสาวใช้เมื่อครู่อย่างไม่อาจควบคุมได้

หลี่เจาเกอเบนสายตาอย่างขัดเขิน ครั้นสายตาเลื่อนผ่านแก้มเขาไปก็พลันสังเกตเห็นจมูกที่เป็นสันโด่งเด่น ยอดจมูกประณีต ชวนมองกว่าของจางเยี่ยนจือหลายเท่าตัว นางเม้มปากแน่น กลั้นใจจนหน้าแดงซ่าน รีบมองไปทางอื่นอย่างร้อนตัว คิดด้วยความสิ้นหวัง…จบกัน ต่อไปนางไม่มีทางจะมองคนผู้หนึ่งอย่างผ่าเผยได้อีกแล้ว

 

สองจางได้รับความโปรดปราน ผู้คนทั้งในนอกราชสำนักสัมผัสถึงเรื่องนี้ได้ทันที เพราะวันเดียวกับที่สองจางได้เข้าเฝ้า ฮ่องเต้ก็อวยยศจางเยี่ยนชางเป็นแม่ทัพอวิ๋นฮุย* ตำแหน่งงานเป็นแม่ทัพเชียนหนิวซ้ายแต่งตั้งจางเยี่ยนจือเป็นรองผู้บัญชาการทหารวังหลวง รวมถึงพระราชทานคฤหาสน์ บ่าวไพร่ และแพรพรรณ จากนั้นผ่านไปอีกเพียงสามวันก็เลื่อนจางเยี่ยนชางเป็นอิ๋นชิงกวงลู่ต้าฟูอนุญาตให้พวกเขาสองพี่น้องเข้าประชุมในท้องพระโรงพร้อมกับขุนนางราชสำนักทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าของเดือน

ภายในครึ่งเดือนอำนาจของสองจางก็ขยายใหญ่โต อู่หยวนชิ่งคล้ายลืมไปสิ้นว่าจางเยี่ยนชางเดิมเป็นชายบำเรอที่ถูกกำนัลให้หลี่ฉังเล่อ รีบผูกไมตรีอันดีกับสองจาง คารวะสุรากันไปมาจนสนิทชิดเชื้อดุจพี่น้อง ขุนนางอื่นได้ข่าวต่างแห่มาประจบประแจง ทุกวันหน้าประตูจวนสกุลจางมีรถม้าแน่นถนน แขกเหรื่อล้นประตู จางเยี่ยนชางไม่ว่าไปที่ใดล้วนมีทะเลมนุษย์ห้อมล้อมรอบกาย

 

ภายในกองงานปราบปีศาจ ไป๋เชียนเฮ่อเบาเสียงลง เอ่ยประชดกับโจวเซ่า “กล่าวกันว่าพวกนิสัยเสียมักถูกชะตากัน เมื่อก่อนข้ายังไม่เชื่อ ตอนนี้ดูแล้วเป็นคำกล่าวที่มีเหตุผลไม่น้อยจริงๆ คนถ่อยไหลจวิ้นเฉินสนิทกับพี่น้องสกุลจางคู่นั้นมาก พักนี้ยังเป็นแขกประจำของจวนเว่ยอ๋องกับเหลียงอ๋อง หึๆ ข้าว่าพวกเขาช่างถูกชะตากันเสียนี่กระไร”

ไป๋เชียนเฮ่อกับโจวเซ่า แม้ผู้หนึ่งเป็นหัวขโมย ผู้หนึ่งเป็นโจร ทว่าก็ยึดถือกฎยุทธภพ ในชีวิตทำสิ่งผิดได้ กลับมิอาจสิ้นไร้คุณธรรม พวกเขาดูแคลนพฤติกรรมของบรรดาคนถ่อยเป็นที่สุด แต่พักนี้กลับจะต้องเจอครบทุกรูปแบบ

เริ่มจากไหลจวิ้นเฉินที่ดีแต่สอพลอปรักปรำคน ตามด้วยเหลียงอ๋องเว่ยอ๋องที่ใช้อำนาจเล่นเล่ห์ มาตอนนี้ยังมีชายบำเรอที่ใช้รูปโฉมไต่เต้าเพิ่มมาอีกสองคน นี่กำลังทดสอบความอดทนของไป๋เชียนเฮ่อกับโจวเซ่าอยู่ชัดๆ โจวเซ่ารู้สึกขัดตาขัดใจเช่นกัน แต่เขาก็รู้ว่าผู้อยู่ใต้ชายคามิอาจไม่ก้มหัวจึงส่งสายตาไปรอบข้างพลางปรามไป๋เชียนเฮ่อ “เอาล่ะ เรื่องข้างนอกพวกเราไม่มีปัญญายุ่งเกี่ยว ทำงานของตนเองให้ดีเป็นพอ”

ไป๋เชียนเฮ่อย่อมเข้าใจเหตุผลนี้ ฟ้าจะมีฝน สตรีจะออกเรือนฮ่องเต้จะชมชอบ ต่อให้พวกเขารู้สึกขัดนัยน์ตาสักเพียงใดก็ป่วยการ อย่างไรเสียอาชีพดั้งเดิมของไป๋เชียนเฮ่อก็เป็นนักย่องเบา แม้ไม่กล้าอ้างตนว่าหูตาฉับไว แต่ยามพูดจาไม่ให้ถูกผู้อื่นดักฟัง รับรองว่าทำได้สบาย เขากล้าพูดสิ่งเหล่านี้กับโจวเซ่า ย่อมเตรียมการมาก่อนเป็นอย่างดี

ไป๋เชียนเฮ่อเบ้ปาก กลับไปนั่งที่ของตนเอง ไม่รู้เขานึกถึงอันใดอีกจึงชะโงกตัวมาถามอย่างมีลับลมคมใน “ได้ยินว่าคุณชายห้าผู้นั้นรูปโฉมท่วงทีคล้ายตุลาการใหญ่กู้มาก?”

โจวเซ่าพ่นลมขึ้นจมูกแรงๆ “หยุดพูดให้ผู้อื่นเสื่อมเสียเดี๋ยวนี้ ต่อให้ไม่อยู่กองงานเดียวกัน ข้าก็ต้องพูดทวงความเป็นธรรมให้เพื่อนบ้าน คนผู้นั้นน่ะด้อยกว่าตุลาการใหญ่กู้ลิบลับ ขอเพียงเคยเห็นทั้งสองคน จะไม่มีทางเอาพวกเขามาพูดเปรียบเทียบกัน”

“อย่างนั้นหรือ” ไป๋เชียนเฮ่อเกาจมูก เป็นเพราะเขาคิดแต่จะเลิกงาน ทุกวันหลังเลิกงานจะเป็นคนแรกที่พุ่งตัวออกจากเขตวังชั้นนอกเสมอ จึงยังไม่เคยเห็นพี่น้องสกุลจางผู้ลือนามเลย เพียงได้ยินผู้อื่นพูดกันว่าคนพี่คุณชายห้านั้นรูปโฉมสง่าสูงส่ง ท่วงทีเหนือสามัญ มีราศีคล้ายตุลาการใหญ่กู้พระสวามีขององค์หญิงเซิ่งหยวนยิ่งนัก

ไป๋เชียนเฮ่อคิดในใจ เห็นทีเขาจะต้องหาโอกาสดูหน้าพี่น้องคู่นี้สักที โดยเฉพาะคนพี่จางเยี่ยนจือ ไม่รู้คำพูดที่ว่าจางเยี่ยนจือคล้ายกู้หมิงเค่อนี้ลือออกมาจากที่ใด ทว่าผู้ลือทำสำเร็จแล้ว ตอนนี้ไป๋เชียนเฮ่ออยากรู้อยากเห็นในตัวจางเยี่ยนจือล้นปรี่

เอ่ยถึงเรื่องนี้โจวเซ่าร่วมซุบซิบด้วยสองประโยคอย่างหาได้ยาก “ถ้าจะบอกว่าคล้ายให้ได้ล่ะก็ ข้าว่าคนพี่นั่นคล้ายอีกผู้หนึ่งมากกว่า คล้ายเผยจี้อันที่จะไปจากเมืองหลวงในไม่กี่วันนี้”

ไป๋เชียนเฮ่อสูดได้กลิ่นข่าวซุบซิบจึงยื่นหน้ามาอย่างคึกคัก “หน้าตาคล้ายมากหรือ”

โจวเซ่าสั่นศีรษะ “แค่รู้สึกคล้าย ล้วนเป็นจำพวกที่มองปราดไปก็รู้ว่าคงแก่เรียนและชอบวางท่า”

“ตุลาการใหญ่กู้ก็เหมือนกันนี่นา” ไป๋เชียนเฮ่อกล่าว “เขายังอ่านตำราไม่มากพอ วางท่าไม่มากพอหรือไร”

โจวเซ่ายังคงส่ายศีรษะ “ไม่เหมือนกัน ตุลาการใหญ่กู้นิ่งเย็นกว่า คล้ายเทพเซียนกว่า ต่อให้เขาไม่พูดจา แค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ดูยากตอแยแล้ว แต่คุณชายห้านั่น มองไกลๆ เหมือนพวกบัณฑิตทรยศรัก”

ไป๋เชียนเฮ่อตบหน้าขา หัวเราะร่วนดังฮ่าๆ คำบรรยายนี้เห็นภาพยิ่งยวด เขานึกภาพออกเลยทีเดียว หลี่เจาเกอได้ยินเสียงหัวเราะอันไร้ความสำรวมของไป๋เชียนเฮ่อได้แต่ไกลจึงเดินตรงมาเคาะบานประตูของโถงตะวันออก

ไป๋เชียนเฮ่อกับโจวเซ่าเงยหน้าขวับ พอเห็นว่าเป็นหลี่เจาเกอ พวกเขาก็นั่งตัวตรงในพริบตา

นางถามเรียบๆ “พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่ หัวเราะถึงขั้นนี้”

“ไม่มีอะไรหรอก ไม่มีอะไร” ไป๋เชียนเฮ่อส่ายหน้าระรัว “ข้าแค่ให้เขาเล่าคดีให้ฟังอยู่”

หลี่เจาเกอปรายสายตาเย็นเยือกมองพวกเขาปราดเดียวก็หมุนตัวจากไป ครั้นนางจากไปแล้ว ไป๋เชียนเฮ่อก็สุมหัวกับโจวเซ่าต่อ “ผู้บัญชาการได้ยินชื่อของตุลาการใหญ่กู้จึงเดินมาใช่หรือไม่นะ”

“บอกได้ยาก”

ไป๋เชียนเฮ่อลูบผิวที่ขึ้นตุ่มดุจหนังไก่ ใบหน้าแสนจะเหยเก “สามีภรรยาคู่นี้น่าหมั่นไส้จริงๆ แต่จะว่าไป…ตอนนี้ในลั่วหยางก็น่าจะคู่นี้ล่ะเข้าท่าที่สุดแล้ว”

คนเหล่านั้นที่เคยมีพร้อมทุกสิ่ง บัดนี้บ้างต้องหย่าร้าง บ้างต้องโทษเนรเทศ คนที่ยังรั้งอยู่ในเมืองหลวงเหลือเพียงไม่กี่คน คุณชายเผยผู้มีนามกระเดื่องราชธานีตะวันออกกำลังจะจากไปไกลถึงชายแดน แม้แต่หลี่ฉังเล่อองค์หญิงเล็กผู้ได้รับการประคบประหงมสารพัดก็ยังถูกจับแต่งงาน นางแต่งให้เว่ยอ๋องอู่หยวนชิ่งด้วยความโกรธ หลังแต่งงานจึงหาความสำราญเต็มที่ อู่หยวนชิ่งเองก็มีอนุนางบำเรอเต็มเรือน สองสามีภรรยาจึงต่างคนต่างหาความสำราญ ใครก็ไม่ควบคุมใคร อู่เมิ่งซื่อได้แต่โกรธฮึดฮัด ทว่าไม่มีปัญญาจะควบคุม

นางสามารถควบคุมบุตรชายที่รักของตนเองได้หรือสามารถควบคุมบุตรีที่รักของฮ่องเต้ได้กันเล่า อู่เมิ่งซื่อได้แต่ถือคติ ‘ตาไม่เห็น ใจไม่ขุ่นมัว’ วันทั้งวันพำนักอยู่แต่ในจวนเหลียงอ๋องของบุตรชายคนโตเสียเลย ไม่ไปยุ่มย่ามเรื่องในจวนเว่ยอ๋องของบุตรชายคนเล็กอีก

ผ่านเรื่องราวนานามาจนถึงทุกวันนี้ คู่ที่ลงเอยกันได้แหวกขนบที่สุดและเป็นคู่ที่ผู้อื่นเคยไม่เห็นอนาคตที่สุดกลับกลายมาเป็นสามีภรรยาตัวอย่าง เมื่อแรกที่หลี่เจาเกอไปฉุดคร่ากู้หมิงเค่อถึงจวนสกุลเผย ไป๋เชียนเฮ่อสำลักสุราจนหวิดจะไปสวรรค์ ตอนนั้นคนในหอสุราล้วนวางเดิมพัน พนันกันว่าสองคนนี้จะแตกหักกันเมื่อใด ไป๋เชียนเฮ่อยังแอบวางเดิมพันไปหนึ่งอีแปะ ตอนนี้ดูท่าว่าหนึ่งอีแปะของเขาคงถอนทุนคืนไม่ได้แล้ว

ไป๋เชียนเฮ่อส่ายหน้าจุปาก

บัดนี้มีขุนนางเหี้ยมตั้งศาลเตี้ยอย่างเหิมเกริม ซ้ำยังมีสองจางแผ่ขยายอำนาจ แม้แต่คนอื่นในสกุลจางก็พลอยได้ดิบได้ดี ทว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเผยจี้อันอีก

 

วันที่หกเดือนห้า ความครึกครื้นของเทศกาลตวนอู่ยังไม่ผ่านพ้นไป เผยจี้อันก็จูงม้าก้าวออกจากประตูติ้งติ่งของเมืองหลวง บ่าวที่อยู่ด้านข้างแจ้งเขาว่า “คุณชาย สัมภาระตรวจนับเรียบร้อย ออกเดินทางได้แล้วขอรับ”

เผยจี้อันผงกศีรษะรับ ครั้นมองเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ไม่ไกลเขาก็ชะงักไป สุดท้ายยังคงสั่งบ่าวว่า “บอกให้ท่านพ่อข้าคอยสักครู่ ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับ”

บ่าวเห็นรถม้าทางนั้นแล้วเช่นกันจึงค้อมกายคำนับก่อนวิ่งจากไปอย่างทะมัดทะแมง เผยจี้อันปล่อยเชือกบังเหียน เดินมุ่งไปทางรถม้าช้าๆ

เขาหยุดฝีเท้าห่างจากรถม้าสามก้าว ยืนตรงนี้ฟังเสียงคนในรถม้าได้ ทั้งจะไม่ถูกผู้ใดเข้าใจผิด เขาประสานมือกล่าว “องค์หญิงก่วงหนิง”

ม่านรถไม่ขยับ ผ่านไปสักพักเสียงที่คุ้นเคยทว่าก็แปลกหน้าจึงดังออกมาจากด้านใน “คุณชายเผยรู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า”

เผยจี้อันหลุบตา หัวเราะเบาๆ หนึ่งที เป็นหลี่ฉังเล่อได้เท่านั้น เพราะหลี่เจาเกอจะไม่มีทางมา

สองคนต่างไร้ถ้อยคำ สุดท้ายเป็นหลี่ฉังเล่อข่มใจไม่ไหว เลิกม่านขึ้นกล่าว “อวิ๋นโจวทุรกันดาร มีศึกเป็นประจำ ท่านจะไปจริงๆ น่ะหรือ”

“ใช่”

“ท่านไปหนนี้อาจจะ…กลับราชธานีตะวันออกมาไม่ได้อีกแล้วนะ”

“พ่ะย่ะค่ะ” เผยจี้อันเอ่ยอย่างสงบ “ขอองค์หญิงก่วงหนิงทรงถนอมตัวด้วย”

หลี่ฉังเล่อขบกราม นางโกรธมิใช่เบา ทว่าไม่อาจระบายออกมา สุดท้ายจึงเอ่ยอย่างคั่งแค้น “ท่านเกิดมาก็อาศัยอยู่ในฉางอันกับลั่วหยางมาโดยตลอด ไม่เคยประสบกับชีวิตที่ยากลำบาก รอจนไปถึงอวิ๋นโจวท่านจะเสียใจภายหลังแน่นอน!”

เผยจี้อันไม่หวั่นไหวใดๆ ยังคงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ขอบพระทัยองค์หญิงก่วงหนิงที่ทรงห่วงใย สายแล้ว เชิญองค์หญิงเสด็จกลับจวนเถิด”

เขายังคงสุภาพวางตัวดีเช่นเคย ในอดีตหลี่ฉังเล่อชื่นชอบท่าทางอ่อนโยนเยือกเย็นเช่นนี้ของเขาที่สุด ทว่าตอนนี้นางแค้นนักเขาวางเฉยไร้การตอบสนอง!

หลี่ฉังเล่อกำมือแรงๆ ไม่รู้กำลังแสดงบารมีหรือกำลังอ้อนวอน “หากท่านไม่อยากไป ข้าช่วยให้ท่านอยู่ต่อได้ ขอเพียงท่านปรารถนา การจะช่วยให้ท่านคืนตำแหน่งงานเดิมหรือแม้แต่โยกย้ายท่านลุงเผยกลับมาล้วนไม่เป็นปัญหา”

จบคำนางมองเขาอย่างเคร่งเครียด เขาไม่ได้เผยสีหน้ายินดีเช่นที่นางคาดหวัง กลับช้อนตามองไปยังธงที่อยู่ไกลพลางเอ่ยเสียงเบา “ด้วยการแนะนำให้รู้จักกับสองพี่น้องสกุลจาง ประจบเอาใจพวกเขาน่ะหรือ”

“ไม่ใช่!” หลี่ฉังเล่อโพล่งออกจากปากด้วยเสียงแหลมบาดหู น้ำตารื้นออกมาจากสองตาของนางทันที “ข้าในหัวใจท่าน…ก็คือคนเช่นนี้น่ะหรือ”

เผยจี้อันไม่ได้ถอนสายตาคืนมา ย่อมจะมองไม่เห็นความมุ่งหวังและความห่อเหี่ยวในดวงตานาง ไม่ว่าอย่างไรหลี่ฉังเล่อก็เป็นผู้ถวายสองจางให้ฮ่องเต้ สองจางได้เลื่อนขั้นขุนนางแบบก้าวกระโดดก็มีหลี่ฉังเล่อร่วมยุยงส่งเสริม ไม่ว่าเจตนาดั้งเดิมของนางคืออันใด เดินมาจนถึงก้าวนี้เขากับนางล้วนไม่อาจเป็นคนเส้นทางเดียวกันได้อีก

เผยจี้อันกล่าว “องค์หญิงก่วงหนิง สายแล้ว ควรเสด็จกลับแล้ว กระหม่อมขออวยพรให้องค์หญิงทรงปลอดภัย เกษมสำราญ ไร้ทุกข์ชั่วชีวิต”

จบคำเขาหมุนตัวเดินกลับไป หลี่ฉังเล่อไม่อาจข่มใจไว้อีก ผลักเปิดประตูรถ กระโดดลงมาตะโกนลั่น “ท่านอวยพรให้ข้าไร้ทุกข์ชั่วชีวิต เหตุใดคนที่จะปกป้องข้าไม่ให้มีทุกข์ผู้นั้นจึงไม่ใช่ท่านเล่า!”

“กระหม่อมไม่คู่ควร”

“นางแต่งงานไปแล้วนะ!”

“องค์หญิงก่วงหนิง!” เผยจี้อันหันกลับมา พริบตานั้นความเฉียบขาดปะทุขึ้นในดวงตาของเขา หลี่ฉังเล่อไม่เคยเห็นเขาแสดงแววตาเช่นนี้ ราวกับเขาไม่ใช่คุณชายตระกูลขุนนางผู้ใช้ชีวิตเลิศลอย หากแต่เป็นเทพผู้กำลังออกบัญชา นางถูกทำให้ตกใจกลัว น้ำตาไหลพรั่งพรู

เผยจี้อันตระหนักได้ว่าตนเองเสียกิริยา เขาออกแรงกำหมัด ก่อนเอ่ยกับหลี่ฉังเล่อ “ขออภัย กระหม่อมล่วงเกินแล้ว องค์หญิงก่วงหนิง การคาดเดาส่งเดชทำร้ายคนถึงตายได้ ขอองค์หญิงทรงระวังวาจาการกระทำ อย่าได้ตรัสสุ่มสี่สุ่มห้า”

เผยจี้อันกล่าวจบก็หมุนตัว เดินมุ่งไปยังขบวนรถสกุลเผยโดยไม่ลังเล ขึ้นขี่ม้าไม่เหลียวหลังไปมองหลี่ฉังเล่ออีกแม้สักแวบ ตบสะโพกม้าจากไปอย่างเด็ดขาดไร้เยื่อใย

หลี่ฉังเล่อเบิกตามองเขาเร่งม้าจากไปไกล เกือกม้าตะกุยฝุ่นฟุ้ง เงาคนหดเล็กลงทุกที ไม่ช้านางก็ไม่อาจจำแนกเงาหลังของเขาได้อีก

หลี่ฉังเล่อยกสองมือป้องหน้า ร่ำไห้หนักอย่างไม่อาจควบคุม พี่ชายใหญ่จากนางไปแล้ว เสด็จพ่อจากนางไปแล้ว ตอนนี้แม้แต่เขาก็จากนางไปด้วย คนสำคัญในชีวิตนาง…ลาจากนางไปไกลคนแล้วคนเล่า

เมื่อก่อนนาง หลี่ไหว เผยจี้อัน เผยฉู่เยวี่ย เกาจื่อฮั่น และญาติผู้พี่สกุลจ่างซุน คนทั้งกลุ่มเล่นด้วยกันดีมากเพียงใด ไฉนสุดท้ายกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ คดีคิดกบฏเมื่อปีที่แล้วหลี่เจาเกอลงแรงไปไม่น้อยเช่นกัน หลี่เจาเกอเองก็ไม่ได้ใสสะอาด แต่เหตุใดทุกคนจึงเชื่อถือหลี่เจาเกอกลับไม่เชื่อถือนางเล่า

คนทั้งหมดเอ่ยถึงหลี่เจาเกอล้วนยอมรับว่าหลี่เจาเกอฝีมืออำมหิต ทว่าก็ตรงไปตรงมาไม่ใช้เล่ห์กลสกปรก หลี่เจาเกอตรงไปตรงมา เช่นนั้นผู้ที่ลับๆ ล่อๆ ดีแต่ใช้เล่ห์กลสกปรกหมายถึงใครกัน

พวกเขานึกว่าข้าหลี่ฉังเล่อยินดีจะทำสิ่งเหล่านี้หรือ ส่งชายบำเรอเข้าวัง คบค้าขุนนางเหี้ยมอย่างไหลจวิ้นเฉิน ที่ข้าทำทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อช่วยหลี่ไหวหรือไร เห็นอยู่ว่าพวกเขาคือญาติมิตรของข้า เหตุใดสุดท้ายพากันเข้าข้างหลี่เจาเกอเล่า

สาวใช้เห็นหลี่ฉังเล่อร่ำไห้จนหายใจหายคอไม่ทันก็กลัวว่าท่าทางของเจ้านายจะถูกคนของจวนเว่ยอ๋องกับฮ่องเต้เห็นเข้าจึงรีบพยุงเจ้านายขึ้นรถ หลี่ฉังเล่อซับน้ำตาอยู่บนรถ หารู้ไม่ว่านางขึ้นรถไปไม่นาน เผยจี้อันก็รั้งม้าท่ามกลางสายลม เหลียวมามองนครลั่วหยางอีกครั้ง

นครลั่วหยางอันโอฬารตั้งตระหง่านใต้แสงตะวัน เสียงระฆังบนเจดีย์พุทธปลิวมาตามแรงลม พลิ้วผ่านข้างกายเผยจี้อันไป เด็กรับใช้ที่อยู่ด้านหน้าวกกลับมาสอบถาม “คุณชาย ท่านมองอันใดอยู่ขอรับ”

เผยจี้อันยิ้มเยาะตนเอง นั่นสิ เขามองอันใดอยู่ เขาถึงกับยังวาดหวังว่าจะได้เห็นนางอีกหรือ นางไม่มาหรอก เขารู้ตั้งแต่ต้นแล้ว

เพียงแต่…จนแล้วจนรอดในใจกลับยังเพ้อฝัน

เผยจี้อันส่ายหน้า ควบม้าไล่ตามขบวนด้านหน้าไป เบื้องหลังของเขาคือกำแพงเมืองอันสูงใหญ่ สตรีที่เขาเฝ้ารอผู้นั้น…สุดท้ายก็ไม่ได้มา

หนทางเบื้องหน้าช่างไกลแสนไกล

 

ภายหลังฮ่องเต้ได้คนโปรดใหม่มาคู่หนึ่งก็อารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีรอยยิ้มมากขึ้น ดวงตาทอประกาย สีหน้าเปล่งปลั่ง แม้อายุมากแล้ว แต่กลับคล้ายดรุณีน้อยวัยสิบหก เปี่ยมชีวิตชีวาอีกครา

หลี่เจาเกอเองยังลอบอุทาน อารมณ์รักคือเครื่องบำรุงชั้นเลิศที่สุดจริงเสียด้วย ฮ่องเต้ได้พบรักใหม่ กระชุ่มกระชวยตลอดทั้งวัน ครั้นจางเยี่ยนชางออดอ้อนริมหูพระองค์ว่าราชธานีตะวันออกช่างร้อนเหลือทน พระองค์ก็ตกลงทันทีว่าปีนี้จะไปหลบร้อนที่วังตากอากาศ

ไปหลบร้อนไม่ใช่เรื่องเล็ก ฮ่องเต้จะพาคนโปรดใหม่ไปวังตากอากาศย่อมต้องพาผู้รับใช้ไปด้วย นางข้าหลวงกับขันทีเหล่านี้เองก็ต้องมีผู้รับใช้ จำนวนคนที่พาไปจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งฮ่องเต้ไปหลบร้อนถึงสองสามเดือน ราชสำนักมิอาจไม่ทำงาน หน่วยงานสำคัญจึงต้องย้ายคนตามไปวังตากอากาศเช่นกัน

ไม่ผิดคาดแม้แต่น้อย งานรักษาความปลอดภัยระหว่างทางตกเป็นหน้าที่ของหลี่เจาเกอ หลี่เจาเกอทางหนึ่งก่นด่าจางเยี่ยนชางจอมเรื่องมากนั่นอยู่ในใจ อีกทางหนึ่งพาคนของกองงานปราบปีศาจไปทำงานล่วงเวลา ตรวจสอบความปลอดภัยรายทางซ้ำแล้วซ้ำเล่า กว่าฮ่องเต้กับสองพี่น้องสกุลจางจะไปถึงวังตากอากาศอย่างเริงรื่นชื่นบาน หลี่เจาเกอกับคนของกองงานปราบปีศาจก็ล้วนเหนื่อยจนแทบลากสังขารแล้ว

กู้หมิงเค่อก็ย้ายมาที่วังตากอากาศนี่ด้วย วังตากอากาศมีพื้นที่จำกัด ไม่อาจเทียบกับราชธานีตะวันออก ตำหนักที่พักของหลี่เจาเกอเล็กกว่าจวนองค์หญิงหลายเท่าตัว พวกสาวใช้จากจวนองค์หญิงกำลังวิ่งวุ่นเข้าออก จัดวางสัมภาระ ส่วนหลี่เจาเกอนั่งรับลมอยู่ริมหน้าต่าง จิบน้ำชาหนึ่งคำเบาๆ ค่อยสังเกตเห็นว่าเครื่องนอนของนางกับกู้หมิงเค่อวางอยู่ด้วยกัน

ดวงตานางเบิกโต เพ่งมองไปทางนั้นไม่เลิกรา สีหน้าบ่งบอกว่าอยากจะพูดแต่ก็ไม่สะดวกใจจะเอ่ยปาก สายตานางชัดเจนเหลือเกินจริงๆ กู้หมิงเค่อจึงหันไปมองตามนางแล้วเอ่ยว่า “วังตากอากาศมีพื้นที่จำกัด เตียงนอนไม่สบายเท่าจวนองค์หญิง ท่านอดทนหน่อยแล้วกัน”

ปัญหาอยู่ที่เตียงนอนหรือ เมื่อก่อนใช่ว่าหลี่เจาเกอไม่เคยใช้ชีวิตลำบาก ให้นางนอนบนไม้กระดานก็ไม่เป็นปัญหา แต่นี่…

หมอนกับผ้าห่มของกู้หมิงเค่อ เหตุใดมาวางอยู่บนเตียงเดียวกันเล่า เดิมทีเตียงนั่นก็ไม่กว้างขวาง เครื่องนอนสองชุดวางลงไปแทบจะชิดติดกันเลย

หลี่เจาเกอไม่รู้ว่ากู้หมิงเค่อไม่ทันสังเกตหรือไม่ติดใจ ท่าทางสงบผ่อนคลายของเขาทำให้นางลำคอตีบตันพูดไม่ออก นางมีใจจะสั่งให้สาวใช้ย้ายเครื่องนอน ทว่ารอบข้างมีคนผ่านไปผ่านมา หลายคนเป็นบ่าวตำหนักอื่น หลี่เจาเกอจะนอนคนละเตียงกับกู้หมิงเค่อแม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด แต่หากเข้าหูของผู้อื่นก็จะยุ่งยากอยู่บ้าง นางไม่อาจพูด ได้แต่เบิกตามองสาวใช้จัดวางผ้าห่มแพรไว้คู่กัน ทั้งปัดผ้าห่มให้อย่างเอาใจใส่

หลี่เจาเกอหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง ไม่กล้านึกภาพว่าคืนนี้จะเป็นเหตุการณ์เช่นไร ตลอดมานับแต่วันที่นางสนทนากับสาวใช้เรื่องนั้นแล้วถูกกู้หมิงเค่อได้ยินเข้า นางก็ใกล้จะตายด้วยความกระดากอายอยู่รอมร่อ

นางกำนัลชุดเหลืองผู้หนึ่งสาวเท้าเดินเข้ามาคารวะหลี่เจาเกอกับกู้หมิงเค่อ “องค์หญิงเซิ่งหยวน ราชบุตรเขย เย็นนี้ยามโหย่วฝ่าบาททรงจัดเลี้ยง ขอองค์หญิงกับราชบุตรเขยโปรดไปร่วมงานตรงเวลา”

หลี่เจาเกอผงกศีรษะเป็นความหมายว่ารู้แล้ว ในวังตากอากาศไม่ต้องพิถีพิถันเรื่องห้ามออกนอกเคหสถานยามวิกาล ทั้งไม่มีกฎระเบียบยุบยับเช่นในเมืองหลวง แต่ไรมาจึงเป็นสถานที่หย่อนใจที่ชนชั้นสูงชื่นชอบที่สุด หลี่เจาเกอนึกภาพได้เลยว่าสองเดือนนี้จะต้องบรรเลงดนตรีทุกราตรี ผู้คนจะเคลิบเคลิ้มมัวเมากันถึงขั้นใด

ตลอดมาคนในวังมีธรรมเนียมที่จะออกจากเมืองหลวงมาหลบร้อน ทว่าหลายปีก่อนเกาจงฮ่องเต้สุขภาพไม่ดี ไม่อาจไปจากเมืองหลวง ปีที่แล้วก็มีเหตุวุ่นวายต่อเนื่อง จวบจนฤดูคิมหันต์ของปีนี้ค่อยสงบลงอย่างแท้จริง เมื่อชีวิตมั่นคงคนในวังจึงเริ่มเสพสุขกันอีกครา

หลี่เจาเกออยู่ในตำหนัก รอจนอาทิตย์อัสดงจึงเปลี่ยนชุดไปร่วมงานเลี้ยงพร้อมกับกู้หมิงเค่อ นางกับเขาเพิ่งมาที่วังตากอากาศแห่งนี้เป็นหนแรก ระหว่างทางนางกำนัลผู้นำทางจึงแนะนำสถานที่ให้ด้วยความยินดี “องค์หญิง ราชบุตรเขย นี่คืออุทยานไม้ดอก นี่คือทะเลสาบ ทว่าฝั่งตรงข้ามคือตำหนักที่ประทับของฝ่าบาทจึงไม่อนุญาตให้หย่อนใจในทะเลสาบนี้ หากองค์หญิงกับราชบุตรเขยต้องการจะรับลมสามารถไปไกลอีกหน่อย บนภูเขาด้านหลังมีตาน้ำพุธรรมชาติกับทุ่งหญ้าผืนใหญ่ หากเที่ยวชมจนพอแล้วยังสามารถขี่ม้ายิงธนูบนทุ่งหญ้าได้เพคะ”

หลี่เจาเกอผงกศีรษะรับ ในใจรู้ว่าตนเองจะไม่ไปหรอก ในตำหนักมีกู้หมิงเค่ออยู่ ไม่ต้องกังวลสักนิดว่าจะร้อนอบอ้าว

หลี่เจาเกอกับกู้หมิงเค่อไปถึงตรงเวลาพอดี ตอนไปถึงมีคนเล่นสนุกอยู่ในโถงจัดเลี้ยงแล้ว จางเยี่ยนชางกับอู่หยวนชิ่งเล่นซวงลู่กันอยู่ นางข้าหลวงคนสนิทที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุดเขย่าลูกเต๋าให้พวกเขาเองกับมือ หลี่ฉังเล่ออยู่ด้านข้างคอยจดจำนวนเบี้ย มีคนไม่น้อยรายล้อม ส่งเสียงหยอกเย้าไม่ขาด

พอหลี่เจาเกอกับกู้หมิงเค่อเดินเข้าไป บรรยากาศครึกครื้นก็หยุดชะงัก ผู้คนพากันคารวะคนทั้งสอง หลี่เจาเกอไม่ใช่คนไร้ตาพรรค์นั้นจึงตั้งมือยับยั้ง “วันนี้เป็นงานเลี้ยงส่วนตัว ไม่ต้องเกรงใจ เล่นต่อไปเถิด”

แม้หลี่เจาเกอกล่าวเช่นนี้ แต่ไม่ทันไรการเดินหมากกลับยังคงยุติลง ผู้คนแยกย้ายไปนั่งที่ หลี่เจาเกอกับกู้หมิงเค่อเดินไปถึงที่นั่งของพวกตนแล้วนั่งลง นางจัดชายกระโปรงเสร็จก็ยื่นหน้ามาเอ่ยกับเขาเสียงเบา “พวกเราสองคนเหมือนมาจับบ่อนเลย พอเข้ามานักเล่นก็แตกฮือ”

จบคำนางก็ปรบมือหนึ่งที “จะว่าไปกองงานปราบปีศาจกับศาลต้าหลี่ก็มีความสามารถนี้จริงเสียด้วย”

ไม่รู้คำพูดประโยคนี้จี้ถูกเส้นใดเข้า กู้หมิงเค่อพลันหัวเราะอย่างไม่อาจหักห้ามตนเอง มือข้างหนึ่งหนุนหว่างคิ้ว หน้าอกกระเพื่อมเบาๆ หัวเราะอยู่เป็นนานก็ยังหยุดไม่ได้

หลี่เจาเกอนั่งเงียบ มองดูเขาหัวเราะสักพักค่อยถามด้วยความงุนงงอยู่บ้าง “น่าขบขันมากหรือ”

กู้หมิงเค่อโบกมือให้นาง ยังคงหัวเราะจนพูดไม่ออก หลี่เจาเกอรินน้ำชาถ้วยหนึ่ง วางใส่ในอุ้งมือเขา “ท่านพอสมควรได้แล้วนะ”

ความเคลื่อนไหวของสองคนทางนี้ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นแต่แรก จางเยี่ยนจือมองดูครู่หนึ่งก่อนยิ้มถาม “องค์หญิงเซิ่งหยวนตรัสอันใดกับราชบุตรเขย ไฉนสองท่านเบิกบานเพียงนี้”

หลี่เจาเกอเองก็ฉงนยิ่งนัก นางแค่นเสียงฮึอย่างไม่ชอบใจ “ไม่รู้สิ เขาคงจะชอบจับบ่อนเป็นพิเศษ”

เดิมทีกู้หมิงเค่อกลั้นหัวเราะได้แล้ว ฟังมาถึงตรงนี้ดันหลุดหัวเราะออกมาอีก ทำเอาหลี่เจาเกอชักจะมีน้ำโห “ท่านรู้จักจบสิ้นบ้างหรือไม่”

กู้หมิงเค่อยื่นมือไปวางบนหลังมือนาง สูดหายใจเข้าลึกๆ กล้อมแกล้มข่มกลั้น “ไม่มีอะไร เพียงรู้สึกว่าคำบรรยายเมื่อครู่ของท่าน…น่าเอ็นดูยิ่งนัก”

สายตาเย็นๆ ของหลี่เจาเกอจรดมองเขา ไม่เข้าใจจุดที่เขาขบขันเลยสักนิด นางข้าหลวงผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้างต่อบทสนทนา “องค์หญิงเซิ่งหยวนกับตุลาการใหญ่กู้ผูกพันกันดีจริงเชียว หม่อมฉันรับใช้อยู่ในวังมานานป่านนี้ยังไม่เคยเห็นตุลาการใหญ่กู้หัวเราะเลย นึกไม่ถึงว่านอกเวลางานตุลาการใหญ่กู้จะโอนอ่อนผ่อนตามองค์หญิงเพียงนี้”

นางข้าหลวงกล่าวจบมีผู้เอ่ยคล้อยตามเพียงเล็กน้อย คนที่เหลือล้วนไม่พูดจา ในโอกาสเช่นนี้หลี่ฉังเล่อต้องนั่งคู่กับอู่หยวนชิ่ง นางเหลือบมองคนข้างกายตนเองปราดหนึ่ง แม้แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็คร้านจะปั้น สวีซื่อกำลังมองหลี่เจาเกออย่างอิจฉา ตนเองแต่งกับอู่หยวนเซี่ยวแบบคลุมถุงชน สามีภรรยาปฏิบัติต่อกันเช่นอาคันตุกะ ไม่เคยมีแม้แต่ความรู้สึกอันละมุนละไม ย่อมไม่อาจนึกภาพความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหนึ่งพูดเปรยประโยคเดียวก็ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะได้เป็นนาน เดิมทีจางเยี่ยนจือพกพาเจตนาที่ยากจะอธิบายมาชวนหลี่เจาเกอสนทนา ทว่าหลังบทสนทนาเขากลับอารมณ์ขุ่นมัว

จางเยี่ยนจือลอบพิจารณากู้หมิงเค่อ ผู้อื่นล้วนกล่าวว่าเขาจางเยี่ยนจือนั้นคล้ายพระสวามีขององค์หญิงเซิ่งหยวน ที่ผ่านมาเขายังไม่เคยได้พบกู้หมิงเค่อ เพียงฟังผู้อื่นพูดบ่อยเข้าก็พาให้รู้สึกไปว่าตนเองน่าจะไม่ด้อยกว่าราชบุตรเขยกู้ กระทั่งวันนี้ได้เห็นอีกฝ่ายพลันทำให้เขาบังเกิดความอับอายที่ไม่อาจทาบติด

มีราชบุตรเขยตัวจริงเป็นเช่นนี้ มิน่าเล่าวันนั้นพบกันนางจึงไม่แม้แต่จะแลเขาซ้ำสอง

จางเยี่ยนชางติดพี่ชายมากที่สุด เขาค้นพบแต่แรกว่าความสนใจของพี่ชายเบนไปทางอื่นถี่ยิ่ง พอตอนนี้เห็นกับตาว่าพี่ชายชวนสตรีนางหนึ่งพูดคุย เขาก็ไม่ชอบใจ รีบโวยวายว่า “ไฉนฝ่าบาทยังไม่เสด็จ ข้าหิวแล้วนะ”

ทันทีที่เขากล่าววาจา ความสนใจในโถงก็มารวมอยู่ที่ตัวเขา หลี่เจาเกอเห็นจนชาชิน จางเยี่ยนชางผู้นี้นิสัยเป็นเด็กๆ ขี้โวยวายตื่นตูม ฮ่องเต้กลับชมชอบเสียอย่างนั้น

แม้ตามมุมมองของหลี่เจาเกอแล้ว นางรู้สึกว่าจางเยี่ยนจือน่ามองกว่าเล็กน้อย ต่างจากฮ่องเต้ที่โปรดจางเยี่ยนชางมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ว่าอย่างไรสองคนนี้ก็ไม่ใช่บุรุษที่กำนัลมาให้นางเสียหน่อย นางไม่ไยดีอยู่แล้ว ฮ่องเต้จะโปรดคนใดก็โปรดไปสิ

ครั้นฮ่องเต้ได้ยินนางข้าหลวงมารายงานก็หัวเราะดังฮ่าๆ รุดมาถึงโถงจัดเลี้ยงแล้วสั่งเปิดงานโดยไม่รั้งรอ บนเวทีเสียงดนตรีดำเนินไป ทว่าจางเยี่ยนชางกับสองพี่น้องสกุลอู่เอ็ดตะโรไม่หยุดหย่อน อาหารมื้อนี้หลี่เจาเกอจึงต้องกินด้วยความอดทนยิ่งยวด

สุดท้ายนางเหลืออด บ่นออกมาเบาๆ “หนวกหูจริง”

กู้หมิงเค่ออาศัยการรินน้ำชาให้นาง บดบังรูปปากของนางไว้ “ท่านระวังหน่อย จะถูกผู้อื่นได้ยินเข้า”

หลี่เจาเกอเม้มปาก แววดุร้ายเอ่อท้นดวงตา นางถูกเสียงคนพวกนั้นกวนใจจนไม่อยากอาหาร ไม่ทันไรก็วางตะเกียบลง ตอนนี้ท่วงทำนองเพลงเปลี่ยนไป นางกำนัลในชุดพลิ้วไหวสีรุ้งเดินลงจากเวที สลับเป็นกลุ่มบุรุษในชุดขนห่านสีขาวขึ้นมาแทน

หลี่เจาเกอเป่าน้ำชาช้าๆ รอคอยอย่างแสนเบื่อหน่าย คิดเสียว่าอยู่เป็นเพื่อนให้ฮ่องเต้ได้สนุกเต็มอารมณ์แล้วกัน ครั้นเสียงกลองดังขึ้น กลุ่มบุรุษก็เริ่มระบำ หลี่เจาเกอก้มหน้าดื่มน้ำชาหนึ่งคำ ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด

ต้าถังรวมถึงต้าโจวนิยมการร้องรำ ไม่ว่าเพศใดวัยใดล้วนร้องรำทำเพลงได้พอตัว ไม่มีฝีมือด้านโคลงกลอนเครื่องดนตรีติดตัวสักนิดก็ไม่มีหน้าจะออกจากบ้านมาร่วมงานเลี้ยง ดังนั้นในงานเลี้ยงจะมีการแสดงของบุรุษเสริมบรรยากาศจึงเป็นเรื่องปกติยิ่ง

หลี่เจาเกอไม่ได้เตรียมใจแม้แต่น้อย เงยหน้าขึ้นก็เห็นบุรุษกลุ่มนั้นเปลื้องชุดขนห่านสีขาวชั้นนอกออกพอดี เปิดเผยซับในอันบางเบาแล้วเริ่มบิดส่ายอย่างอ่อนช้อยเย้ายวน หลี่เจาเกอสำลักน้ำชาทันใด รีบเบือนหน้าไปไอค่อกแค่ก

กู้หมิงเค่อเองก็รู้สึกว่านี่ทำลายจารีตอันดีงามจึงอาศัยการหันกายไปลูบหลังให้หลี่เจาเกอ หลบเลี่ยงการแสดงอุจาดตานั้นเสีย ทางด้านฮ่องเต้กำลังชมดูอย่างออกรส จู่ๆ ได้ยินเสียงหลี่เจาเกอไอโขลกก็ถามด้วยความฉงน “เจาเกอ เป็นอะไรไปน่ะ”

หลี่เจาเกอนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีการแสดงพรรค์นี้ ไม่ง่ายเลยกว่านางจะปรับอารมณ์ได้ “เมื่อครู่ลูกดื่มน้ำชาเร่งรีบเกินไป ขอฝ่าบาทโปรดทรงอภัยด้วยเพคะ”

แม้นางกล่าวเช่นนี้ ทว่าสายตายังคงจงใจเลี่ยงการร่ายรำตรงกึ่งกลางโถง นางข้าหลวงผู้หนึ่งเห็นเช่นนั้นจึงยิ้มเย้า “องค์หญิงเซิ่งหยวนกับราชบุตรเขยครองเรือนกันมาสองปีแล้ว ไฉนองค์หญิงทรงมองเรือนร่างบุรุษจึงยังสะเทิ้นอายเพียงนี้เล่า”

หลี่เจาเกอชะงักกึก ก็นางไม่เคยเห็นบุรุษที่ไม่สวมเสื้อผ้านี่ จะให้หน้าไม่เปลี่ยนสีได้อย่างไรกัน คนอื่นๆ ในงานได้ยินเช่นนี้ต่างมองมาอย่างสนใจใคร่รู้ นางข้าหลวงเห็นสีหน้าของหลี่เจาเกอก็ป้องปากเอ่ยปนหัวเราะ “ดูองค์หญิงเซิ่งหยวนยังทรงปล่อยวางไม่ได้ คล้ายไม่มีประสบการณ์อันใดด้านนี้เลย”

กู้หมิงเค่อลอบขมวดคิ้ว กำลังจะพูดจาก็ได้ยินหลี่เจาเกอกล่าวขึ้นก่อน “ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ไม่ชินที่จะมองบุรุษอื่นนอกจากราชบุตรเขย”

นิ้วมือของกู้หมิงเค่อแข็งค้าง ไม่อาจตอบสนองชั่วขณะ ผู้คนห่วงแต่จะป่วนสถานการณ์ ไม่ทันไรกู้หมิงเค่อก็ถูกนางข้าหลวงอีกคนยิ้มทัก “เอ๊ะ ตุลาการใหญ่กู้หน้าแดงแล้วใช่หรือไม่”

หลี่เจาเกอเอ่ยประโยคนั้นจบ ตนเองยังกระดากแทบแย่ ไม่กล้าจะหันไปมองสีหน้าของกู้หมิงเค่อเลย กระทั่งพลันได้ยินผู้อื่นทักว่ากู้หมิงเค่อหน้าแดง หลี่เจาเกอจึงหันขวับไปมองเขาด้วยความประหลาดใจ

จริงหรือหลอกกันนะ กู้หมิงเค่อถึงกับหน้าแดงเป็น?

ใบหน้าของกู้หมิงเค่อขาวยิ่งยวด เมื่อเจือสีแดงแม้น้อยนิดก็จะแลดูแสนเด่นชัด ยิ่งพอเขาสบกับสายตาของหลี่เจาเกอ สีแดงก็ยิ่งแผ่ลามจรดติ่งหู รอบทิศมีแต่เสียงหัวเราะของผู้ที่ได้ชมเรื่องสนุก หลี่เจาเกอเองถูกมองจนขัดเขินไม่แพ้กันจึงรีบเอ่ยแก้ “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ในเวลาส่วนตัวใต้เท้ากู้สุภาพอย่างมาก”

จบคำหลี่เจาเกอรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังกำกวมอยู่บ้างจึงอธิบายเสริมโดยเฉพาะ “ข้าไม่ได้กลบเกลื่อนนะ เขาสุภาพจริงๆ ไม่ใช่สุภาพปลอมๆ…”

ยิ่งขีดแก้ยิ่งดำเลอะ กู้หมิงเค่อจึงเลือกขนมเกาลัดในจานชิ้นหนึ่งใส่เข้าปากหลี่เจาเกอโดยตรงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

หลี่เจาเกอไม่ทันตั้งตัวถูกใส่ขนมเข้ามาหนึ่งคำ คำอธิบายที่เหลือจึงไม่อาจพูดออกมาจากปากได้ คนทั่วโถงเห็นเช่นนี้ก็พากันหัวเราะครืน นางข้าหลวงซับหางตาที่หัวเราะจนน้ำตาเล็ด “พวกหม่อมฉันเข้าใจแล้ว ยามที่ตุลาการใหญ่กู้อยู่กับองค์หญิงเป็นการส่วนตัวมีแต่ความละมุนละไม ตุลาการใหญ่กู้ติว่าองค์หญิงทรงแย้มพรายมากไป นี่จึงไม่ยอมให้พวกเราได้ฟังแล้ว”

หลี่เจาเกอรู้สึกว่าตนเองถูกปรักปรำสาหัส ได้แต่กินขนมในปากไปเงียบๆ ครั้นนางเพิ่งจะกินหมด ไม่ทันได้ดื่มน้ำสักคำก็ถูกกู้หมิงเค่อใส่เข้าปากมาอีกชิ้น

กู้หมิงเค่อกลัวมากจริงๆ ว่านางจะพูดต่อ

ในปากหลี่เจาเกออมขนมหนึ่งชิ้น เบิกตาโตมองกู้หมิงเค่อ นี่เขาบ้าไปแล้วหรือ

กู้หมิงเค่อรู้สึกเช่นกันว่าหลี่เจาเกอบ้าไปแล้ว เขาปรายตามองนางอย่างสงบ เอ่ยด้วยรูปปาก “กินให้มาก พูดให้น้อย”

 

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 2568)

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: