X
    Categories: จุติรัก พลิกชะตาร้ายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 151.1-151.2

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 151-1 คนรู้จักเก่าแก่

 

ตอนฮ่องเต้อู่จ้าวเพิ่งครองราชย์ หลางหยาอ๋องกับเยวี่ยอ๋องเคยก่อกบฏ ทว่าไม่ถึงหนึ่งเดือนก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เหตุกบฏสองอ๋องหนนั้นหากกล่าวว่าถูกทัพราชสำนักปราบปราม มิสู้กล่าวว่าสองอ๋องไร้สามารถ พาตนไปถึงที่ตายเอง

บัดนี้เข้าสู่รัชศกฉุยก่งปีที่สาม ในนครเสินตูการเมืองมั่นคง ในท้องที่ต่างๆ คลื่นลมสงบ การปกครองของฮ่องเต้หญิงเข้าร่องเข้ารอยตามลำดับ ช่วงเวลานี้จึงไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุกบฏภายในแคว้นจะปะทุขึ้นอีกครา

ซ้ำเป็นเมืองหยางโจวที่เชื่อมต่อเหนือใต้ มั่งคั่งเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า

เดือนสอง รายงานด่วนทางทหารส่งมาถึงนครเสินตู หลี่เจาเกอกลับเข้าจวนแล้ว พลันได้ยินว่าในวังเรียกตัวจึงรีบเปลี่ยนชุดเข้าวังไปกับกู้หมิงเค่อ

ฮ่องเต้เรียกประชุมคณะเสนาบดีกับขุนนางระดับสูงกลางดึกก็เพื่อจะหารือเรื่องกบฏหยางโจว ในตำหนักต้าเยี่ยบรรยากาศแสนหนักอึ้ง รองเจ้ากรมทหารกล่าว “ทัพกบฏก่อการในนามของอู๋อ๋อง กระจายหนังสือปลุกระดมไปทุกเมืองทุกอำเภอ รวบรวมทหารได้กว่าสิบหมื่นนายภายในสิบวัน หยางโจวอุดมสมบูรณ์ ทั้งมีคลองขุดซึ่งเชื่อมต่อเหนือใต้ หากปล่อยปละเกรงว่าจะเกิดภัยใหญ่”

เหตุกบฏหนนี้ต่างจากหนก่อน เหตุกบฏสองอ๋องเป็นเพียงฝูงอีกาไร้ระเบียบ เพียงไม่กี่วันสั้นๆ ก็ทำผิดพลาดร้ายแรงหลายอย่าง ชักนำหายนะมาสู่ตนเองอย่างรวดเร็ว ทว่าเหตุกบฏหยางโจวครานี้เป็นขั้นเป็นตอน เร่งรีบทว่าไม่สับสน เห็นชัดว่ามีระบบแบบแผนล่วงหน้า

รองเจ้ากรมอีกคนกล่าว “อู๋อ๋องอยู่ที่โซ่วโจว เหตุใดจู่ๆ ไปปรากฏตัวที่หยางโจวได้ พวกกบฏหาคนปลอมตัวเป็นอู๋อ๋องใช่หรือไม่”

ในใจหลายคนมีข้อสงสัยนี้ ฮ่องเต้แม้พระราชทานสุราพิษเป็นการลับ ทว่าความเคลื่อนไหวใหญ่โตถึงขั้นมีคนตายเช่นนี้ย่อมจะปกปิดไม่อยู่ พักนี้คนในราชสำนักต่างได้ยินข่าวแว่วๆ ว่าอู๋อ๋องกับชายาล้มป่วย เกรงว่าอีกไม่นานเท่าใดฮ่องเต้ก็คงจะประกาศว่าคนทั้งสอง ‘ป่วยตาย’

รองเจ้ากรมทหารส่ายหน้า “ก่อนที่เจ้าเมืองหยางโจวจะถูกสังหารเคยส่งจดหมายลับออกมา ความว่าได้เห็นอู๋อ๋องจริงๆ หากเป็นผู้อื่นปลอมตัว เจ้าเมืองหยางโจวน่าจะเตือนมาในจดหมาย ทว่านอกจากเตือนราชสำนักว่ามีเหตุไม่ชอบมาพากลก็ไม่ได้เอ่ยถึงข้อสงสัยในตัวอู๋อ๋องเลย คนผู้นี้หากมิใช่ปลอมได้แนบเนียนมากก็จะต้องเป็นอู๋อ๋องตัวจริง”

ภายหลังหลี่สวี่ไปถึงหยางโจว ได้อ้างพระราชโองการลับของฮ่องเต้ สั่งให้เจ้าเมืองหยางโจวเปิดคลังของที่ว่าการ ทั้งบอกว่าจะต้องส่งทหารไปปราบปรามเมืองเกาโจว เจ้าเมืองหยางโจวรู้สึกชอบกลจึงเขียนจดหมายไปรายงานราชสำนัก ปรากฏว่าจดหมายเพิ่งจะส่งออกไปเขาก็ถูกสังหารแล้ว ขุนนางอื่นที่ไม่ยอมศิโรราบล้วนถูกตัดศีรษะต่อหน้าผู้คน บัดนี้ขุนนางทั่วเมืองหยางโจวเปลี่ยนเป็นคนของทัพกบฏแล้ว ราชสำนักจึงไม่อาจสืบความเคลื่อนไหวในกำแพงเมืองได้อีกแม้เพียงนิด

คนในตำหนักต่างถกกันว่าที่แท้อู๋อ๋องเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม เรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่ง เป็นตัวตัดสินว่าขั้นถัดไปจะใช้ยุทธวิธีใดปราบกบฏหยางโจว หลี่เจาเกอไม่มีหลักฐาน แต่กลับรู้สึกว่าเป็นหลี่สวี่ตัวจริง

ก่อกบฏเป็นความผิดอุกฉกรรจ์ นับแต่โบราณมาล้วนถูกผู้คนประณาม ทัพกบฏหมายให้การกระทำของตนเองสมเหตุสมผลจึงมักอ้างนามของใครสักคน เช่นตอนเฉินเซิ่งกับอู๋ก่วงก่อการต้องอ้างนามของฝูซู* ทัพกบฏหยางโจวก็ทำนองเดียวกัน แต่หากพวกเขาจะหาคนมาสวมรอยเป็นอู๋อ๋องจริง สวมรอยเป็นหลี่ไหวจะไม่ดีกว่าหรือ เหตุใดจะต้องสวมรอยเป็นหลี่สวี่ที่ไม่มีความชอบธรรมเล่า

ดังนั้นความคิดของหลี่เจาเกอจึงโน้มเอียงว่าคนผู้นั้นคือตัวหลี่สวี่จริง ทว่าปัญหาก็อยู่ตรงนี้ด้วย หลี่สวี่ถูกฮ่องเต้กักบริเวณในจวนอู๋อ๋องที่เมืองโซ่วโจว ด้วยอุปนิสัยของฮ่องเต้ องครักษ์ที่เฝ้าคุมข้างตัวหลี่สวี่ย่อมมีไม่น้อยเด็ดขาด เช่นนั้นหลี่สวี่หลบหนีไปเมืองหยางโจวโดยที่ผีสางเทพเจ้าไม่ล่วงรู้ได้อย่างไร

ต่อให้ผู้เฝ้าคุมเผลอไผลชั่วแล่น หลี่สวี่หลบหนีมานานป่านนี้ พวกเขาก็ยังไม่ค้นพบเชียวหรือ

ขณะที่ขุนนางเบื้องล่างแท่นยกพื้นถกกันอยู่ว่าอู๋อ๋องเป็นตัวจริงหรือปลอม ฮ่องเต้ซึ่งนั่งอยู่เบื้องบนสุดอ่านหนังสือปลุกระดมของฝ่ายกบฏที่ส่งมาจากแนวหน้าอย่างเย็นใจ อ่านจบค่อยชี้หนังสือปลุกระดมพลางเอ่ยกับผู้คนเบื้องล่าง “นี่ก็คือความบกพร่องในหน้าที่ของพวกเจ้า หนังสือปลุกระดมนี้เขียนได้ลื่นไหลเปี่ยมวรรณศิลป์ ผู้เขียนจะต้องเป็นคนเก่งที่หาได้ยาก พวกเจ้าในฐานะเสนาบดีกลับไม่ได้ค้นหาคนเก่งและมอบหมายงานสำคัญแก่เขา ถึงกับปล่อยให้เขาติดตามโจรกบฏไประเหเร่ร่อน เป็นความผิดพลาดของพวกเจ้าโดยแท้”

ในห้วงที่บ้านเมืองระส่ำระสายหนัก ฮ่องเต้ไม่รุ่มร้อนใจเรื่องกบฏ กลับยังชมเชยผู้เขียนหนังสือปลุกระดมว่ามีความสามารถ เหล่าขุนนางฟังแล้วรีบประสานมือคำนับ ขานรับคำตำหนิของฮ่องเต้ หลี่เจาเกอเองก็คำนับตาม

ภูเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้ายังไม่สะทกสะท้าน นี่สิท่วงทีของผู้เป็นเจ้าเหนือหัว เมื่อฮ่องเต้เริ่มต้นเช่นนี้ จิตใจของผู้คนในตำหนักจึงสงบมั่นคงขึ้น

หลี่เจาเกอคิดในใจ…ฮ่องเต้ช่างสมกับเป็นผู้ที่ปูทางสู่บัลลังก์มาสิบปี ยังคงทำใจให้นิ่งได้ เมืองหยางโจวก่อกบฏ พระองค์มีหรือจะไม่ร้อนใจ หากพระองค์ไม่ร้อนใจจริงๆ คงไม่เรียกกลุ่มขุนนางเข้าวังมากลางดึกหรอก

แต่เพราะหลี่สวี่ด่าประณามพระองค์ว่าปล้นชิงบัลลังก์ ปกครองอำมหิต และอ้างการกอบกู้ราชวงศ์ถังของสกุลหลี่มาก่อกบฏต่อพระองค์ ยิ่งเป็นห้วงเวลาเช่นนี้พระองค์ก็ยิ่งต้องเยือกเย็น แสดงท่วงทีของผู้เป็นฮ่องเต้ออกมา หากพระองค์โกรธเกรี้ยวเดือดดาล กลับจะเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่ด่าประณามในหนังสือปลุกระดมนั้นไม่ผิด ถึงตอนนั้นใจราษฎรไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นต่างหากจะเป็นอันตรายต่ออำนาจปกครองราชวงศ์โจวของพระองค์อย่างแท้จริง

คณะเสนาบดีถกความเห็นกันเป็นนาน มัวยื้อกันอยู่ว่าหลี่สวี่ใช่ตัวจริงหรือไม่ ฮ่องเต้จึงเอ่ยปราม “ไม่ว่าอู๋อ๋องเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม กบฏหยางโจวจะอย่างไรก็เป็นเรื่องจริง ไม่จำเป็นต้องว้าวุ่นเรื่องตัวจริงตัวปลอม เร่งปราบกบฏโดยด่วนจึงจะถูกต้อง ตัวเลือกผู้ปราบปรามทัพกบฏ พวกเจ้ามีข้อเสนอแนะใด”

คนทั้งหมดฟังจากน้ำคำของฮ่องเต้ก็รู้ได้ทันทีว่าอู๋อ๋องที่เมืองหยางโจวผู้นั้นเป็นตัวจริง จึงไม่มัวสืบสาวว่าเหตุใดอู๋อ๋องที่ตายแล้วถึงคืนชีพไปปรากฏตัวที่เมืองหยางโจวได้ พากันหันมาถกเรื่องตัวเลือกจอมทัพ พวกเขาเสนอชื่อหลายต่อหลายคน ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่เจตนา ถึงกับไม่มีใครเสนอชื่อหลี่เจาเกอเลย

ปัจจุบันนครเสินตูมีกำลังทหารที่โยกย้ายได้ราวยี่สิบหมื่นนาย อีกไม่กี่วันกองหนุนจากเมืองและมณฑลต่างๆ มาสมทบ ทัพใหญ่ที่จะไปปราบกบฏหยางโจวมีแต่จะทวีจำนวน อำนาจคุมทหารยี่สิบหมื่นนายนี้เพียงพอจะบงการสถานการณ์ทางการเมืองได้ จึงไม่มีใครกล้ามอบมันให้หลี่เจาเกอ

หลี่เจาเกอฟังครู่เดียวก็แจ้งใจ ในใจของขุนนางเหล่านี้ยังคงนึกถึงหลี่ไหว หวาดกลัวอย่างยิ่งว่าอำนาจปกครองจะตกอยู่ในกำมือสตรีต่อไป ดังนั้นต่อให้เผชิญเรื่องใหญ่อย่างการก่อกบฏก็ยังไม่ยอมผ่อนปรน

ทว่าเรื่องราวไม่อาจขึ้นอยู่กับพวกเขา

ตลอดสามวันในที่ประชุมเช้าถกเถียงกันเรื่องตัวเลือกจอมทัพ กระทั่งวันที่สี่มณฑลเจียงหนานส่งข่าวด่วนมาอีกครา ความว่าในทัพกบฏปรากฏกลุ่มผู้มีพลังพิเศษ ฟันแทงไม่เข้า น้ำไฟไม่กล้ำกราย บุกตะลุยอยู่หน้าสุดราวไม่รู้จักเหนื่อย คำบรรยายต่างๆ นี้มีเค้าของเหตุกบฏซั่วฟางในอดีตยิ่งนัก

ครานี้คนทั้งหมดล้วนตื่นตกใจ ฮ่องเต้เรียกประชุมอีกหน ถกกันหนึ่งชั่วยาม สุดท้ายก็ตกลงให้หลี่เจาเกอเป็นรองจอมทัพไปหยางโจว

ตอนนั้นทัพกบฏซั่วฟางสลายตัวไปโดยไม่รู้สาเหตุ หลายปีที่ผ่านมาไม่มีคนรู้ร่องรอยของผู้บงการหลังม่าน หากครั้งนี้ยังคงเป็นคนร้ายกลุ่มเดิม เช่นนั้นราชสำนักก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว ห้วงวิกฤตเช่นนี้ไม่มีใครมัวพะวงการแก่งแย่งระหว่างฝักฝ่ายอีก ภายหลังคณะเสนาบดีกลั่นกรองหลายรอบ ฮ่องเต้จึงมีคำสั่งแต่งตั้งแม่ทัพใหญ่ของหน่วยราชองครักษ์ซ้ายเป็นจอมทัพหยางโจว คุมกำลังพลสามสิบหมื่น แต่งตั้งองค์หญิงเซิ่งหยวนหลี่เจาเกอเป็นรองจอมทัพ ตุลาการใหญ่ศาลต้าหลี่กู้หมิงเค่อเป็นผู้ตรวจการทัพ ร่วมกันไปปราบปรามหลี่สวี่

ส่วนเหตุใดกู้หมิงเค่อจึงได้ไปด้วยนั้นเป็นความประสงค์ของตัวเขาเอง เดิมทีในกองทัพมีหลี่เจาเกอแล้ว กู้หมิงเค่อในฐานะตุลาการใหญ่ศาลต้าหลี่ไม่มีประสบการณ์ดูแลงานด้านทหาร ซ้ำยังเป็นสามีของหลี่เจาเกอ ตามหลักเพื่อเลี่ยงคำครหาเขาไม่ควรจะร่วมทัพ ทว่าเขาเป็นฝ่ายร้องขอต่อฮ่องเต้ ฮ่องเต้รู้สึกว่าในกองทัพเพิ่มเขาอีกผู้หนึ่งไม่นับว่ามากจึงตอบรับ

การปราบกบฏไม่อาจชักช้าแม้ครู่ยาม ทัพใหญ่จะต้องออกเดินทางโดยด่วน พวกสาวใช้ของจวนองค์หญิงเซิ่งหยวนได้ยินว่าเมืองหยางโจวเกิดเหตุกบฏ ยังไม่ทันจะสืบได้ความว่ารายละเอียดเป็นอย่างไรกันแน่ กลับได้ยินว่าราชบุตรเขยกับองค์หญิงจะต้องไปศึกทั้งคู่ พวกนางต่างตื่นตกใจ เร่งจัดสัมภาระแก่เจ้านายทั้งสองอย่างรีบลน

คืนก่อนเดินทัพ ในจวนองค์หญิงเซิ่งหยวนแสงไฟสว่างไสว กู้หมิงเค่อนั่งตรวจดูแผนที่อยู่ในเรือนรอง หลี่เจาเกอผลักประตูเข้ามา เห็นเขานั่งอยู่ในนี้ก็เอ่ยถาม “ท่านช่างรู้จักหาความสงบ ไฉนวิ่งมาถึงที่นี่เล่า”

นี่คือที่พักของกู้หมิงเค่อก่อนจะย้ายไปเรือนหลัก ทิ้งว่างไว้นานมากแล้ว หลี่เจาเกอเดินตรงมาดู พบว่าเขาขนม้วนหนังสือกับแผนที่ที่วาดเสร็จตั้งแต่หลายวันก่อนนั้นมาด้วย จึงหยิบม้วนหนึ่งขึ้นมาถาม “วางไว้ในห้องหนังสืออยู่ดีๆ เหตุใดท่านต้องขนพวกนี้ออกมา”

“เรือนหลักคนเยอะเหลือเกิน ข้าอยู่ในห้องหนังสือถูกเสียงพวกนางกวนจนปวดหัว เลยออกมาหาสักที่ที่สงบๆ” กู้หมิงเค่อช้อนแขนเสื้อยาว จัดม้วนหนังสือไปรวมกันอยู่ด้านหนึ่งก่อนถาม “ท่านเล่า ไฉนจึงมาได้”

หลี่เจาเกอถอนใจ “พวกสาวใช้กำลังจัดสัมภาระ ข้าก็บอกแล้วว่าทุกอย่างจัดแบบเรียบง่าย แต่พวกนางกลับรู้สึกว่าชิ้นนี้เป็นของจำเป็น ชิ้นนั้นก็เป็นของจำเป็น ข้าไม่อยากจะฟังพวกนางโวยวายจึงออกมาหาท่านดีกว่า”

นางเอ่ยพลางเหลียวมองรอบๆ “ท่านหลบได้เก่งนัก ข้าหาตั้งหลายที่กว่าจะหามาถึงที่นี่”

กู้หมิงเค่อไม่ได้ตอบคำ กลับโน้มน้าวว่า “เป็นเพราะพวกนางหวังดีต่อท่าน เมื่อก่อนแม้ท่านออกจากเมืองเป็นประจำ แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ละแวกเมืองหลวง หนนี้กลับจะต้องร่วมทัพไปออกศึก ไปหนนี้ไม่รู้ต้องนานกี่เดือน พวกนางไม่วางใจก็เป็นวิสัยปกติ”

“ข้าเข้าใจ” หลี่เจาเกอผงกศีรษะ “แต่ข้าจะไม่เอาข้าวของที่พวกนางจัดเตรียมไปด้วยหรอก ตอนนี้ฟังพวกนางเตือนว่าของชิ้นใดจัดวางไว้ที่ใด ข้าก็รู้สึกผิดไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่ฟังเสียเลย พรุ่งนี้ตอนทิ้งข้าวของไว้จะได้ไม่รู้สึกละอายมากนัก”

กู้หมิงเค่อหัวเราะเบาๆ นี่เป็นสิ่งที่นางกระทำแน่ เขานึกภาพออกเลยว่าพรุ่งนี้หลังจากทัพใหญ่เคลื่อนพล พอพวกสาวใช้ค้นพบว่าสัมภาระที่จัดไว้ดิบดียังอยู่ครบถ้วนทุกชิ้นจะตกตะลึงมากเพียงใด เขากล่าว “จะมากจะน้อยก็เตรียมไปหน่อยเถิด หนนี้…เกรงว่าคงไม่สงบสุข”

“ข้ารู้” หลี่เจาเกอพิงโต๊ะ ระบายลมหายใจยาวเหยียด “เดิมทีข้าไม่จำเป็นต้องไปศึก แต่จู่ๆ แนวหน้ามีนักรบที่ฟันแทงไม่เข้าโผล่มา ซ้ำคนชักใยเหมือนกลัวว่าราชสำนักจะมองไม่ออกว่านักรบกลุ่มนี้ต่างจากทหารทั่วไปจึงยังให้นักรบกลุ่มนี้สวมหน้ากากด้วย คนชักใยที่หยางโจวผู้นั้นเตือนราชสำนักว่านี่ไม่ใช่ทัพกบฏธรรมดาก็เพื่อจะหาทางบีบให้ข้าไปหยางโจว ข้าตงิดใจว่าเป้าประสงค์ของคนผู้นั้นต้องไม่ใช่เล็กๆ”

กู้หมิงเค่อฟังจบไม่เอ่ยคำ นิ่งเงียบครู่หนึ่งค่อยพลันถาม “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าคนชักใยไม่ใช่หลี่สวี่”

“เขา?” หลี่เจาเกอหัวเราะเยาะเบาๆ “เขามีสมองเช่นนี้หรือ หากไม่ใช่มีผู้อื่นมาหนุนหลังเขา เกรงว่าเขาคงไม่กล้าแม้แต่จะต่อต้านฝ่าบาท”

ฮ่องเต้หญิงอู่จ้าวกล่าวได้ว่าเป็นฝันร้ายสำหรับบุตรธิดาทุกคนของเกาจงฮ่องเต้ เพียงเอ่ยถึงอู่จ้าว อย่าว่าแต่หลี่ไหวเลย แม้แต่หลี่สวี่กับหลี่เจินก็ตัวสั่นงันงก เมื่อนึกถึงหลี่เจิน หลี่เจาเกอก็เอ่ยว่า “หลี่สวี่ไปถึงหยางโจวแล้ว หลี่เจินก็น่าจะอยู่ที่นั่นเช่นกัน ส่วนชายาของหลี่สวี่กับราชบุตรเขยของหลี่เจินคงมีเคราะห์มากกว่าโชคแล้วใช่หรือไม่”

ในใจกู้หมิงเค่อมั่นใจอย่างยิ่ง ตามความเข้าใจที่เขามีต่อคนผู้นั้น ชายาอู๋อ๋องกับเฉวียนต๋าต้องมีอันเป็นไปแล้วแน่นอน ทว่าเปลือกนอกเขากลับยังคงปฏิเสธเรียบๆ เย็นๆ “ไม่เคยได้รับรายงานจากเมืองโซ่วโจวและเมืองหยวนโจว ข้าก็ไม่อาจรู้ได้”

หลี่เจาเกอเอนพิงโต๊ะ พิศมองเขาด้วยนัยน์ตางามดำขลับ “ท่านไม่รู้?”

กู้หมิงเค่อไม่ตอบ กลับย้อนถาม “ข้าจะรู้ได้จากที่ใดเล่า”

เขาไม่ยินดีจะยอมรับ นางก็ไม่แข็งขืน เพียงถอนใจก่อนมองผาดๆ ไปยังเปลวเทียนที่โลดเต้น “เป็นใครกันแน่ อีกไม่ช้าก็จะได้รู้แล้ว”

บทที่ 151-2 คนรู้จักเก่าแก่

แถบเจียงหนานก่อกบฏ ทัพใหญ่สามสิบหมื่นของราชสำนักเตรียมการเคลื่อนพล ครั้นถึงวันเดินทัพฮ่องเต้ก็นำขุนนางบุ๋นบู๊กับสตรีมีบรรดาศักดิ์ทั้งหลายมาส่งทัพใหญ่ถึงประตูเมืองหลวงด้วยตนเอง

จอมทัพอยู่ด้านหน้าลั่นคำปฏิญาณ สุ้มเสียงกังวานปานระฆัง พลังห้าวหาญเทียมฟ้า หลี่เจาเกอเป็นรองจอมทัพ ในโอกาสเช่นนี้ไม่ควรจะทำตัวเด่น จึงยืนเงียบอยู่ด้านข้าง วันนี้เจ้ากรมทั้งหก อู่หยวนเซี่ยว อู่หยวนชิ่ง หลี่ฉังเล่อ รวมถึงสองจางล้วนอยู่ที่นี่ แม้แต่หลี่ไหวที่หายหน้าไปนานก็เผยโฉมแล้ว หลี่เจาเกอแจ้งใจ ฮ่องเต้เจตนาพาหลี่ไหวออกมาเพื่อแสดงความชอบธรรม หลี่ไหวต่างหากคือรัชทายาทที่เกาจงฮ่องเต้แต่งตั้ง หลี่สวี่บุตรอนุผู้หนึ่งมีคุณสมบัติอันใดก่อการ

จางเยี่ยนจือยืนอยู่หลังฝูงชน ดูคล้ายมีบางอย่างอยากจะกล่าว ทว่าจอมทัพกำลังสนทนากับฮ่องเต้ จางเยี่ยนจือไม่กล้ายื่นหน้ายื่นตา อุตส่าห์รอกระทั่งคนคู่นี้โอภาปราศรัยจบ จอมทัพไปตรวจแถวทหารที่กำลังจะเคลื่อนตัว ทว่าหลี่เจาเกอที่รอจนหมดความอดทนแต่แรกก็หมุนตัวเดินไปทางม้าศึกของนางเช่นกัน จางเยี่ยนจือจึงไม่อาจมัวคำนึงว่ารอบข้างยังมีผู้อื่น รีบร้องเรียกนางเอาไว้

“องค์หญิงเซิ่งหยวน!”

หลี่เจาเกอหันมามองจางเยี่ยนจืออย่างแปลกใจ จริงอยู่รอบด้านผู้คนวุ่นกับหน้าที่ ดูคล้ายไม่มีใครสังเกตทางนี้ แต่ถึงอย่างไรสี่ทิศก็มีดวงตาอยู่มากมาย จางเยี่ยนจือร้องเรียกนางเช่นนี้บ้าบิ่นถึงขีดสุดจริงๆ จางเยี่ยนชางหรี่ตามองมาหาพี่ชายก่อนใคร แม้แต่หลี่ฉังเล่อกับพี่น้องสกุลอู่ทางนั้นก็ดูเหมือนจะหันมาทางนี้แล้ว จางเยี่ยนจือรู้ทั้งรู้ว่าตนเองกำลังรนหาเรื่องตาย กลับยังคงฝืนทำเก่ง เดินขึ้นหน้ามาชูจอกสุรา หมายจะคารวะหลี่เจาเกอหนึ่งจอก

“กระหม่อมจะสงบใจคอยชัยชนะขององค์หญิงเซิ่งหยวน”

กองทัพด้านหน้ารอนางอยู่ นางจึงผงกศีรษะเพียงนิดๆ ก็ตั้งท่าจะกลับเข้าแถวทหาร ทว่าจางเยี่ยนจือรีบฉวยจังหวะคารวะสุรา เดินขึ้นหน้ามาอีกก้าวแล้วพลันกดเสียงพูดให้เบาลง “อย่าได้เชื่อใคร”

หลี่เจาเกอคิ้วกระตุกวูบ มองไปทางอีกฝ่ายด้วยนัยที่ไม่ชัดเจน

จางเยี่ยนจือต้านทานแรงกดดันจากรอบทิศ สองตาจับจ้องหลี่เจาเกอแน่วนิ่ง ก้นบึ้งดวงตาราวมีไฟสลัวเต้นระริก “อย่าได้เชื่อใครทั้งสิ้น”

สีหน้าของเขาไม่ปกติ คล้ายไปรู้เรื่องอันใดมา ทว่ามีคนมองมาทางนี้มากขึ้นเรื่อยๆ นางจึงทำเสมือนเขาไม่ได้พูดอันใด หมุนตัวขึ้นขี่ม้าของนาง เปล่งเสียงคำว่า ‘ไป’ พร้อมกับกระตุ้นม้าออกเดินทางทันที

กองทัพเคลื่อนตัวไปไกลอย่างยิ่งใหญ่ แลประดุจกำแพงเหล็กทอดยาว ฝุ่นฟุ้งราวมีปราการทรายสายหนึ่งอยู่เบื้องหลัง จากนั้นเป็นเช่นเมฆดำลอยไกลออกไปทุกที กระทั่งบรรจบเป็นเส้นเดียวกันกับเส้นขอบฟ้า ไม่อาจจะมองเห็นได้อีก

ผู้คนหน้าประตูเมืองมองส่งทัพใหญ่จากไปไกลโดยไม่ส่งเสียง จวบจนฮ่องเต้ขยับตัว คนที่เหลือค่อยรู้สึกเหมือนตื่นจากห้วงฝัน พากันอารักขาฮ่องเต้กลับวัง จางเยี่ยนชางจึงฉวยจังหวะเดินไปถึงข้างกายพี่ชายแล้วชายตาถาม “เมื่อครู่ท่านพูดอะไรกับนาง”

จางเยี่ยนจือสั่นศีรษะ “ไม่มีอะไร แค่คำอำลาเท่านั้น”

 

อีกด้านหนึ่งในกองทัพ กู้หมิงเค่อเองก็กำลังถามเรื่องเดียวกัน “เมื่อครู่เขาพูดอะไรกับท่าน”

หลี่เจาเกอส่ายหน้าช้าๆ “คำพูดแปลกๆ บางอย่าง ไม่สำคัญอะไรหรอก ท่านวางใจได้”

กู้หมิงเค่อปรายตามองนางนิ่งๆ ปราดหนึ่งแล้วไม่ได้ซักถามต่อ เมื่อวานเขาส่งคนไปสอบถามความเคลื่อนไหวของสกุลเผยโดยเฉพาะ ที่ผิดคาดคือยังคงไม่มีข่าวการป่วยตายของคุณชายใหญ่สกุลเผยส่งมาจากเมืองอวิ๋นโจวเลย

เทพดาราจี้อันฟื้นฟูความทรงจำแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องสวมบทบาทอยู่ในแดนมนุษย์ต่อไป ทว่าคุณชายใหญ่สกุลเผยยังคงมีชีวิตอยู่ นั่นบ่งชัดว่าจี้อันยังไม่ได้กลับราชสำนักสวรรค์

กู้หมิงเค่อทางหนึ่งมองดูเกราะเหล็กที่ปรากฏเต็มสายตา อีกทางหนึ่งยิ้มเยาะตนเองอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าพักนี้ตกชะตาอันใดอยู่ คล้ายพบเจอปรปักษ์ได้ง่ายยิ่ง

ก่อนหน้าคือจี้อัน ตอนนี้ยังมีคนผู้นั้นเพิ่มมาอีก นับๆ ดูตนก็ไม่ได้เจอคนผู้นั้นมานานเหลือเกินแล้วจริงๆ

ตลอดทางทัพใหญ่เร่งเคลื่อนพล ไม่ช้าก็ไปถึงมณฑลเจียงหนาน ทัพกบฏอาศัยความได้เปรียบทางพื้นที่ ยึดภูเขาตูเหลียงเป็นที่มั่นตั้งรับอย่างแน่นหนา ทัพราชสำนักจึงเริ่มจากปิดล้อมเชิงเขาแล้วบุกตีระลอกแรก

ทหารผสมของฝ่ายกบฏด้อยกว่าทหารประจำการของฝ่ายราชสำนักลิบลับ ทว่าตอนฝ่ายราชสำนักถือแต้มเหนือกว่าอยู่นั้น นักรบสวมหน้ากากองอาจสูงใหญ่กองหนึ่งพลันบุกลงเขามา ร่างกายของนักรบหนักยิ่ง เพียงย่ำเท้าลงพื้นก้อนหินก็สะเทือนจนกระเด้งกระดอน ทวนเหล็กในมือกวาดขวับเดียวก็โค่นล้มทหารราชสำนักได้จำนวนมาก ที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าคือกลุ่มนักรบสวมหน้ากากนี้ไม่กลัวเหนื่อยยาก เดินหน้าตะลุยราวไม่รู้จักอ่อนล้า ต่อให้ถูกดาบฟันใส่ก็ไม่ถอยหนี

ทหารทั่วไปมีหรือจะเทียบกับเครื่องกลสงครามเช่นนี้ได้ไหว ไม่ทันไรทัพราชสำนักก็พ่ายถอยกลับมา

ตกค่ำเหล่าแม่ทัพนายกองนำรายงานการศึกจากแนวหน้ามาถกกันอย่างดุเดือด มีคนเสนอว่า “ภูเขาตูเหลียงเป็นชัยภูมิที่อันตราย ตั้งรับง่ายบุกตียาก ซ้ำเส้นทางบนเขายังมีนักรบสวมหน้ากากเฝ้าคุมอยู่ ทหารราบทั่วไปสู้นักรบสวมหน้ากากไม่ได้เลย ทหารม้าอยู่บนพื้นที่ภูเขาก็ไม่อาจสำแดงฝีมือ มิสู้พวกเราละทิ้งภูเขาตูเหลียง แบ่งทัพเป็นสองสาย ตรงไปบุกหยางโจวเลย เมื่อใดที่จับกุมอู๋อ๋องได้ ทัพกบฏนอกเมืองก็จะจำนนโดยไม่ต้องรบแน่”

“ไม่ได้” หลี่เจาเกอคัดค้านทันทีโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด “หลี่สวี่มีไพร่พลเพียงสิบหมื่นกว่า แต่พวกเรามีมากถึงสามสิบหมื่น เดิมทีจำนวนคนคือข้อได้เปรียบของพวกเรา หากกระจายกำลังทหารจะไม่เท่ากับทำลายปราการของตนเองลงหรือ หยางโจวมีกำแพงเมืองป้องกัน รอบนอกยังมีคูเมืองอีก ไม่อาจตีแตกในชั่วครู่ชั่วยาม เป็นไปได้มากที่ทัพกบฏนอกเมืองจะอ้อมมาตลบหลังพวกเรา ถึงตอนนั้นพวกเราจะรุกจะถอยล้วนยากเข็ญ ถูกข้าศึกกระหนาบทั้งหน้าหลังย่อมจะอันตราย”

“แต่ภูเขาตูเหลียงไม่อาจบุกยึดได้ ขืนชักช้าต่อไปรอจนกองหนุนของฝ่ายกบฏมาถึง พวกเราก็จะถูกโอบล้อมไม่ต่างกัน”

หลี่เจาเกอหรี่ตาก่อนเอ่ยเสียงเบา “ใครบอกว่าภูเขาตูเหลียงไม่อาจบุกยึดเล่า ข้าจะไปดูซิว่าเป็นตัวอะไรที่เล่นลูกไม้ลึกลับ”

วันนี้ประเดิมศึกแรก หลี่เจาเกอไม่ได้ไปแนวหน้า เพียงรั้งอยู่แนวหลังสังเกตการศึก สู้รบไม่เหมือนกับชกต่อย ชกต่อยแค่บุกไปข้างหน้าเป็นพอ ทว่าสู้รบไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว ต่อให้นางบุกเดี่ยวเก่งกาจสักเพียงใดก็ไม่มีทางจะกำจัดนักรบสวมหน้ากากได้ทั้งหมด ฉะนั้นการคิดหาวิธีคลี่คลายต่างหากสำคัญที่สุด

นางสังเกตนักรบเหล่านั้นมาทั้งวัน เมื่อครู่ก็ไปดูบาดแผลในค่ายของทหารที่บาดเจ็บ ในใจนางพอจะมีความคิดบางอย่างแล้ว แต่เพราะยังไม่เคยประมือกับนักรบเหล่านั้นระยะใกล้จึงยังไม่กล้าแน่ใจ นางตั้งใจว่าจะฉวยม่านราตรีขึ้นไปสำรวจภูเขาตูเหลียง รอจนสืบจุดอ่อนของนักรบสวมหน้ากากได้กระจ่างค่อยกำหนดยุทธวิธี

ทว่ากองทัพต่างจากกองงานปราบปีศาจ ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของนาง ก่อนนางจะเคลื่อนไหวต้องหารือกับผู้อื่นให้เรียบร้อย หาไม่ระหว่างที่นางขึ้นเขาไปสอดแนม เกิดผู้อื่นถอนทัพไปแล้ว นางยังจะรบอันใดอีก ครั้นนางเอ่ยแผนของตนเองออกไป แม่ทัพที่เหลือก็ถกกันดุเดือด มีความเห็นทุกรูปแบบ จอมทัพเงียบฟังพวกแม่ทัพถกเถียงกัน ก่อนจะมองไปทางกู้หมิงเค่อซึ่งนั่งเงียบอยู่อีกด้าน “ผู้ตรวจการทัพกู้ ท่านเล่ารู้สึกเช่นไร”

กู้หมิงเค่อพยักหน้า “ข้ารู้สึกว่าแผนนี้ดียิ่ง ดำเนินการได้จริง”

ในที่นี้มีแต่นักบู๊ พอได้ยินคำพูดนี้ก็มีคนผู้หนึ่งงึมงำเสียงเบา “เขาเป็นแค่บัณฑิต จะเข้าใจพิชัยสงครามอะไรได้ เขาไม่กล้าล่วงเกินองค์หญิงเสียหน่อย ก็ต้องเห็นดีเห็นงามทุกอย่างแน่อยู่แล้ว”

คนที่บ่นงึมงำผู้นั้นเสียงเบายิ่งนัก ทว่าหลี่เจาเกอกลับได้ยินทั้งหมด นางมุ่นคิ้วอย่างห้ามไม่อยู่ ผิดกับกู้หมิงเค่อที่ดูแสนจะนิ่งเฉย ท่าทางเย็นใจสบายอารมณ์เสียด้วยซ้ำ นางเห็นแก่ที่ร่วมงานกับคนปากไม่ดีผู้นั้นเป็นหนแรก ไม่สะดวกใจจะฉีกหน้า จึงอดกลั้นกับวาจาไร้มารยาทนั่น

นางคิดในใจ…ตอนกู้หมิงเค่อออกรบ บรรพชนของทุกคนในที่นี้ยังไม่รู้เลยว่าเกิดแล้วหรือยัง ระดับกู้หมิงเค่อบอกว่าได้ นั่นก็หมายความว่าดำเนินการได้แน่ๆ

สุดท้ายจอมทัพเป็นผู้ชี้ขาดว่าจะหยุดทัพหนึ่งวันให้หลี่เจาเกอพาทหารจำนวนหนึ่งที่ฝีมือคล่องแคล่วไปสำรวจเส้นทางบนภูเขา ส่วนกู้หมิงเค่อในฐานะ ‘บัณฑิต’ ก็ได้แต่รั้งอยู่ที่เชิงเขารอคอยนาง

ทัพกบฏยึดครองภูเขาตูเหลียง ทั้งอาศัยว่าตนเองมีลูกไม้เด็ด การป้องกันจึงหละหลวมยิ่งยวด กลุ่มของหลี่เจาเกอลอบขึ้นเขาไปได้อย่างง่ายดาย นางสั่งให้ทหารแยกย้ายกันเคลื่อนไหว ค้นพบนักรบสวมหน้ากากเมื่อใดจงใช้สัญญาณลับติดต่อมาทันที

ทหารจับคู่กันกระจายตัวไป ส่วนหลี่เจาเกอเคลื่อนไหวลำพัง ค้นหานักรบสวมหน้ากากไปทีละกระโจมค่าย นักรบสวมหน้ากากเหล่านี้ทำให้นางนึกถึงสี่นักรบในศาลยุทธเทพประจำหมู่บ้านดวงวิญญาณ แน่นอนว่าฝีมือการต่อสู้ของสี่นักรบในศาลนั้นดุดันกว่านักรบเหล่านี้มาก แต่รูปแบบการโจมตีที่พลิกแพลงหนักหน่วงและแข็งกร้าวเช่นนี้คล้ายกันอย่างยิ่ง

หากนางเดาไม่ผิด นักรบเหล่านี้น่าจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่ถูกปลุกให้มีชีวิตด้วยวิธีพิเศษจึงโจมตีคนได้ สี่นักรบในศาลนั้นเป็นก้อนหิน นักรบที่นี่ก็น่าจะเป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกัน

หลี่เจาเกอลอบแฝงตัวเข้าไปค้นหาในกระโจม เน้นสังเกตพวกรูปปั้นสำริดกับสิ่งที่ทำจากหิน นางมีวิชาตัวเบายอดเยี่ยม ท่าร่างปราดเปรียว สัมผัสพื้นแผ่วเบาไร้เสียง ทหารกบฏในกระโจมนอนหลับอุตุ ไม่รู้สักนิดว่ามีคนโฉบผ่านเหนือศีรษะของพวกเขาไป

นางค้นหามาตลอดทาง ไม่พบเครื่องตกแต่งใดที่น่าสงสัยเลยจึงเลี้ยวไปที่กระโจมจอมทัพ คิดในใจว่ากระโจมจอมทัพอาจจะมีเบาะแส ในกระโจมนี้มืดสนิท คนทั่วไปไม่อาจมองเห็นอันใดได้ นางเข้ามาแล้วจึงเสมือนเข้าสู่ดินแดนไร้ผู้คน คนที่อยู่หลังฉากบังลมกำลังกรน ไม่รับรู้อันใดโดยสิ้นเชิง

นางประชิดไปถึงข้างโต๊ะ กำลังคิดจะพลิกดูจดหมายในซอง ดวงตาก็พลันขรึมวูบ สะบัดมือซัดมีดสั้นเล่มหนึ่งไปด้านข้างทันใด มุมนั้นซ่อนเร้นอยู่ในความมืดมิด ไม่มีเสียงที่บ่งบอกว่าโจมตีถูกเป้าหมาย คล้ายไม่มีอันใดอยู่ตรงนั้นทั้งสิ้น ทว่านางกลับชักกระบี่ออกมาแล้วจู่โจมไปทางนั้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

อาวุธปะทะกันบังเกิดเสียงกังวานอึงอล กระบี่ธาราเร้นสัมผัสได้ถึงคู่ต่อสู้ที่กล้าแข็ง กระบี่จึงสั่นด้วยความตื่นเต้นยินดี นางประมือกับอีกฝ่ายท่ามกลางความมืดไปสิบกว่ากระบวนท่า ต่างฝ่ายต่างรู้สึกตระหนกตกใจ

ครั้นคนที่นอนอยู่หลังฉากบังลมพลิกตัว สองคนที่ต่อสู้กันอยู่ก็พร้อมใจกันเก็บกระบวนท่า รีบไปจากกระโจมจอมทัพโดยไม่ต้องนัดแนะ ทันทีที่สัมผัสกับอากาศเบื้องนอก นางก็ออกกระบวนท่าเต็มที่ บรรจุปราณแท้ใส่กระบี่ธาราเร้น โจมตีใส่อีกฝ่ายสุดแรง

อีกฝ่ายกลับใช้เพียงฝ่ามือก็รับกระบวนท่ากระบี่ของนางไว้ได้ ลมแรงซัดขึ้นจากพื้นในพริบตา ตอนนี้เองจันทราลอดผ่านกลุ่มเมฆดำ ค่อยๆ ออกมาส่องสว่างโลกหล้า นางอาศัยแสงจันทร์มองเห็นรูปโฉมของอีกฝ่ายได้ถนัดชัดเจน พาให้นางตกใจยกใหญ่

“เป็นท่าน?”

“ไฉนจึงเป็นเจ้า”

สองคนแทบจะเปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน หลี่เจาเกอเก็บกระบี่ รีบตั้งมือสั่งทหารของนางที่ซุ่มอยู่โดยรอบ “ลดอาวุธลงเถิด คนกันเอง”

พลทหารที่คล้องคันธนูจำนวนมากโผล่ออกมาจากกระโจมรอบทิศโดยไร้เสียง อีกฝ่ายเห็นทหารเหล่านี้ก็เลิกคิ้วถาม “เจ้าสวามิภักดิ์ราชสำนักแล้ว?”

“สวามิภักดิ์อะไรกัน” หลี่เจาเกอขึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างหัวเสีย “ข้าเป็นองค์หญิงอยู่แต่แรก แค่กลับวังคืนฐานะเท่านั้นเอง”

จบคำนางก็หยุดเล็กน้อยก่อนถาม “ตาเฒ่าโจว หลายปีนี้ท่านหายไปที่ใดมา”

โจวฉางเกิงยักไหล่ “สี่สมุทรล้วนเป็นบ้าน ไปถึงที่ใดก็คือที่นั่น เจ้าล่ะมาทำอะไรที่นี่”

“ข้าก็อยากจะถามท่าน” นางจ้องโจวฉางเกิงตาเขม็งพลางถาม “ไฉนท่านมาอยู่ในค่ายทัพกบฏ”

โจวฉางเกิงกอดอก ยืนไม่เป็นท่าขณะตอบ “ข้าไม่ใส่ใจหรอกว่าใครคือทัพกบฏ ใครคือทัพคุณธรรม ข้ามาที่นี่…เพราะอยากจะหาของอย่างหนึ่ง”

หลี่เจาเกอตระหนักได้ “นักรบสวมหน้ากากที่ไม่รู้ที่มา?”

โจวฉางเกิงผงกศีรษะรับ “มิผิด สิ่งของจำพวกนี้แสนจะวิปริต นานหลายปีก่อนข้าเคยเจอมาครั้งหนึ่ง น่าเสียดายจับไว้ไม่ได้ หนนี้มันปรากฏตัวอีกแล้ว”

เมื่อครู่สองคนประกระบวนท่ากันสร้างความแตกตื่นแก่ฝ่ายกบฏจึงเริ่มมีเสียงฝีเท้ารุดมาทางนี้มากขึ้นเรื่อยๆ หลี่เจาเกอมองปราดเดียวก่อนเอ่ย “ข้าเองก็มาเพื่อจะคลี่คลายอาคมประหลาดนี่ ตรงนี้ไม่ใช่สถานที่จะพูดคุย พวกเราเปลี่ยนสถานที่ค่อยคุยรายละเอียดกัน”

โจวฉางเกิงไม่ติดขัดอันใดจึงติดตามหลี่เจาเกอลงเขา มือเก่าอย่างโจวฉางเกิงย่อมลงเขาได้รวดเร็วอย่างยิ่ง ไม่ช้าพวกเขาก็กลับถึงค่ายของทัพราชสำนัก ทหารลาดตระเวนเห็นบุรุษวัยกลางคนแต่งกายมอซอผู้หนึ่งเข้ามาในค่ายต่างก็ระแวดระวังยิ่งยวด ผิดกับหลี่เจาเกอที่นิ่งเย็น พาโจวฉางเกิงเดินเข้าสู่ด้านในไปพลางพูดกำชับไปพลาง “นี่คือค่ายชั่วคราวของพวกเรา ท่านไม่มีป้ายคำสั่ง อย่าได้เดินเพ่นพ่าน”

โจวฉางเกิงฟังอย่างหงุดหงิด เขาไม่ชอบคบค้ากับคนในราชสำนัก แต่หลี่เจาเกอดันกลับวังคืนฐานะไปแล้ว ช่างยุ่งยากนัก นางถามระหว่างพาเขาเดินไปยังกระโจมของนาง “หลายปีนี้ท่านมัวทำอะไรอยู่ ปีนั้นจากไปก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย ข้าหลงนึกว่าท่านตายอยู่ข้างนอกแล้วเสียอีก”

โจวฉางเกิงเยาะหยัน “ผายลม ใต้แผ่นฟ้านี้มีใครสู้ข้าได้ด้วยหรือ”

ทหารรอบด้านได้ยินโจวฉางเกิงสบถคำหยาบเช่นนี้ต่อหน้าองค์หญิงก็ล้วนเบิกตาโตตกตะลึง ต่างจากหลี่เจาเกอที่ปรับตัวได้เป็นอย่างดี เห็นชัดว่าเคยชินแล้ว “แล้วเหตุใดท่านไม่ส่งข่าวมาทิวเขาสิบหลี่แม้แต่ประโยคเดียว ในหมู่บ้านมีตั้งหลายคนถามถึงท่าน”

โจวฉางเกิงอิสรเสรีจนเคยตัว อยากจะไปก็ไป อยากจะอยู่ก็อยู่ รำคาญการถูกผูกมัดเป็นที่สุด ทว่าตอนนี้ได้ยินถ้อยคำนี้ของหลี่เจาเกอแล้วยังคงรู้สึกผิดอยู่บ้างไม่มากก็น้อย “ไม่ใช่เพราะต้องรักษาชีวิตหรือ เจ้าก็รู้ว่าข้าถูกศัตรูตามฆ่าอยู่ ไม่สะดวกจะแพร่งพรายร่องรอย”

หลี่เจาเกอเยาะเย้ยโดยไม่เกรงอกเกรงใจ “ท่านเพิ่งจะพูดไปเมื่อครู่นี่เอง ใต้แผ่นฟ้านี้ไม่มีใครสู้ท่านได้”

“ใต้แผ่นฟ้านี้ไม่มี แต่ที่อื่นน่ะมี” โจวฉางเกิงเบ้ปาก “ใครใช้ให้ก้อนน้ำแข็งพวกนั้นทำตัวเป็นวิญญาณที่ไม่ไปผุดไปเกิด ไม่ว่าข้าจะไปที่ใดก็ตามมาอยู่ได้ โดยเฉพาะก้อนน้ำแข็งแซ่ฉินนั่น…”

โจวฉางเกิงยังพูดไม่ทันจบก็เห็นประตูกระโจมด้านหน้าเปิดออก ด้านในมีคนเดินออกมาผู้หนึ่ง

วาจาที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งของโจวฉางเกิงพลันติดคาในลำคอ กู้หมิงเค่อปรายมองโจวฉางเกิงเรียบๆ ปราดเดียวก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้หลี่เจาเกอ “ท่านกลับมาแล้ว”

* เฉินเซิ่งกับอู๋ก่วง คือผู้นำชาวนากลุ่มแรกที่ลุกฮือต่อต้านการปกครองของหูไฮ่โอรสองค์ที่ 18 ของจิ๋นซีฮ่องเต้ โดยอ้างว่าฝูซูโอรสองค์โตของจิ๋นซีฮ่องเต้ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งที่จริงฝูซูผู้มีชื่อเสียงดีงามในหมู่ราษฎรและมีสิทธิ์ในบัลลังก์ตามคำสั่งเสียของพระบิดานั้นได้ถูกหลอกให้ฆ่าตัวตายตามพระราชโองการปลอมแล้ว

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 มี.. 68

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: