บทที่ 152-1 หยางโจว
โจวฉางเกิงเชื่อว่าตนเองเคยเจอเหตุการณ์ใหญ่มาไม่น้อย แต่ก็ยังคงถูกรอยยิ้มนั้นของกู้หมิงเค่อทำเอาผิวทั่วร่างผุดตุ่มดุจหนังไก่ เขาจ้องมองกู้หมิงเค่อโดยละเอียด หมายจะค้นหาร่องรอยการแปลงกายของคนผู้นี้
นี่มันอาคมอะไรกัน แปลงกายได้สมจริงถึงขั้นนี้เชียว
พอมองเห็นกู้หมิงเค่อ หลี่เจาเกอก็ตำหนิเขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด “เหตุใดท่านยังอยู่เล่า ก่อนหน้านี้บอกท่านไว้ว่าข้าจะกลับมาดึกมากๆ ให้ท่านกลับไปพักผ่อนเร็วหน่อยไม่ใช่หรือไร”
กู้หมิงเค่อยังคงมองหลี่เจาเกอ พร้อมอมยิ้มอ่อนโยน “ไม่นานเท่าไรเสียหน่อย อย่างไรข้าก็อยู่ว่าง จึงถือโอกาสรอท่าน”
โจวฉางเกิงหัวคิ้วขมวดแน่น นี่มันอาคมแปลงกายของสำนักใดกันแน่ แบกใบหน้าของเจ้าฉินเค่อนั่นมาพูดจาเช่นนี้ โจวฉางเกิงรับไม่ไหวอยู่บ้างจริงๆ
หลี่เจาเกอแม้เอ่ยตำหนิ ทว่าการที่กู้หมิงเค่อยินดีจะรอนางไม่ว่าดึกดื่นเพียงใดนั้นยังคงทำให้นางเบิกบานใจยิ่ง ส่วนที่เขาบอกว่าอยู่ว่างจึงถือโอกาสรอนาง…คำพูดนี้ขอเพียงรู้จักเขาหนึ่งวันก็จะไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
นางไม่ได้เปิดโปงคำพูดของเขา ครั้นเห็นโจวฉางเกิงเอาแต่จ้องมองเขา นางก็ตอบสนองได้ทันที “เกือบลืมไปเลย นี่คือตาเฒ่าโจวที่เมื่อก่อนข้าเคยเอ่ยถึงกับท่าน ตาเฒ่าโจว นี่คือกู้หมิงเค่อ”
หัวคิ้วของโจวฉางเกิงยกสูงลิ่ว “แซ่กู้?”
หลี่เจาเกอออกโรงแนะนำ กู้หมิงเค่อค่อยเจือจานสายตาไปให้โจวฉางเกิงในที่สุด เขาหัวเราะเบาๆ มองคนตรงหน้าพลางเอ่ยไม่ช้าไม่เร็ว “เลื่อมใสมานาน…กว่าจะได้พบกัน”
ไอเย็นวะวาบแล่นผ่านสันหลังของโจวฉางเกิง พาให้แขนเกร็งเองโดยจิตใต้สำนึก มิผิด…ก็คือความรู้สึกนี้ หน้าตา เนื้อเสียง ท่วงทีล้วนเหมือนฉินเค่อทุกกระเบียด แม้กระทั่งน้ำเสียงการพูดก็ไม่ผิดเพี้ยนสักส่วนเสี้ยว
โจวฉางเกิงเกร็งใบหน้าไว้ สายตากวาดไปมาระหว่างหลี่เจาเกอกับฉินเค่อ ยากจะทำความเข้าใจได้ว่านี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเหตุใดฉินเค่อจึงมาอยู่ที่แดนมนุษย์ แค่พูดถึงอาการสนิทสนมยามที่ฉินเค่อพูดจากับหลี่เจาเกอ โจวฉางเกิงก็ไม่มีทางจะทำความเข้าใจได้แล้ว
โจวฉางเกิงถึงกับคิดเอาเองอย่างไม่รับผิดชอบว่า…คงไม่ใช่เพราะฉินเค่อล่วงเกินคนมากเหลือเกินจึงถูกชิงร่างไปแล้วหรอกนะ
หลี่เจาเกอกวาดตามองโจวฉางเกิงกับกู้หมิงเค่อ ก่อนยกคิ้วนิดๆ “พวกท่านรู้จักกัน?”
บรรยากาศระหว่างโจวฉางเกิงกับกู้หมิงเค่อแปลกชอบกล ทว่าชั่วขณะนี้สองคนกลับตอบสนองไปในทางเดียวกันได้อย่างน่าประหลาด โจวฉางเกิงเบนสายตาไปจากกู้หมิงเค่ออย่างรังเกียจเดียดฉันท์ ส่วนกู้หมิงเค่อก็ตวัดตาไปอีกทางเรียบๆ
“ไม่รู้จักมักคุ้น”
หลี่เจาเกอมองดูสองคนนี้เงียบๆ แน่ใจแล้วว่าสองคนนี้ปิดบังนางหลายสิ่งหลายอย่าง ตั้งแต่อยู่ที่วังตากอากาศนางก็นึกสงสัยแล้ว ตอนนี้ดูท่าว่าสองคนนี้จะเก็บงำลึกกว่าที่นางคิดภาพไว้เสียอีก
นางเอ่ยโดยไม่เปิดโปงออกมา “เช่นนั้นก็ดี ตาเฒ่าโจวถูกศัตรูตามฆ่าอยู่ ไม่เหมาะจะเปิดเผยร่องรอย พวกท่านไม่มีเรื่องบาดหมางกันก็ดีที่สุด”
กู้หมิงเค่อคิ้วขยับนิดๆ มองไปทางโจวฉางเกิงอย่างเนิบช้า “ถูกศัตรูตามฆ่า?”
ที่แท้ลับหลังเขา โจวฉางเกิงบรรยายถึงเขาเช่นนี้เองน่ะหรือ
โจวฉางเกิงพลันขนอ่อนลุกชันทั้งร่าง ถึงคราวดวงตกแท้ๆ อุตส่าห์หลบซ่อนมาตั้งหลายปี สุดท้ายถึงกับพาตนเองมาส่งถึงที่ เขารู้สึกว่าตนเองแสนจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ใช่เพราะเขาเลินเล่อ หากแต่เพราะ…ใครจะไปรู้ได้ว่าฉินเค่อมาพัวพันอยู่กับหลี่เจาเกอ
โจวฉางเกิงใช้กระบี่เคาะแขนหลี่เจาเกอหนึ่งทีอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า เป็นเด็กเป็นเล็กพูดส่งเดชอะไร”
เดิมทีกู้หมิงเค่อยังยิ้มอยู่ ครั้นเห็นการกระทำของโจวฉางเกิงก็พลันเก็บสีหน้า สกัดมือของโจวฉางเกิงไว้ เกล็ดน้ำแข็งในแววตาแทบจะแปรเป็นวัตถุจริง “เจ้าทำอะไร”
อีกสองคนที่เหลือล้วนตะลึงงัน หลี่เจาเกอนึกไม่ถึงว่ากู้หมิงเค่อจะไม่พอใจ นางถูกตาเฒ่าโจวเล่นงานจนชินแล้ว ถูกเคาะแขนหนึ่งทีเช่นนี้ไม่มีความรู้สึกสักนิดเดียว จึงรีบยุดแขนเสื้อกู้หมิงเค่อพลางเอ่ย “ไม่เป็นไรหรอก”
เรียนยุทธ์ไม่มีทางจะขาดการฝึกฝนหล่อหลอม วัยเด็กนางถูกเล่นงานหนักหนากว่านี้เยอะ
กู้หมิงเค่อกุมมือนางแล้วจูงพามาอยู่ข้างกายตน สายตายังคงมองโจวฉางเกิงอย่างไม่เป็นมิตร “วัยเด็กกราบเขาเป็นอาจารย์เรียนวิชาก็แล้วไปเถิด ตอนนี้ท่านเติบใหญ่แล้ว เขายังจะมือไม้รุ่มร่าม”
โจวฉางเกิงร้องชิ ถอยหลังหนึ่งก้าว มองไปทางหลี่เจาเกอกับกู้หมิงเค่อสองคนอย่างเหลืออด “พวกเจ้าสองคนมีความสัมพันธ์อะไรกันแน่”
กู้หมิงเค่อคิดในใจว่าหัวสมองของโจวฉางเกิงคงใช้ไปกับการสร้างมัดกล้ามหมดแล้ว เรื่องที่เด่นชัดเพียงนี้ก็ยังมองไม่ออกอีก เขาชิงเอ่ยก่อนหลี่เจาเกออย่างผ่าเผย “ข้าคือตุลาการใหญ่ศาลต้าหลี่ ควบตำแหน่งผู้ตรวจการทัพหนนี้ และตำแหน่งฟู่หม่าตูเว่ย”
ก่อนโจวฉางเกิงจะบรรลุเป็นเทพเซียนเคยเป็นชาวยุทธ์ ภายหลังบรรลุเป็นเทพเซียนก็ยังคงใช้ชีวิตตามอุปนิสัยชาวยุทธ์เช่นเดิม อดทนกับกฎยุบยิบของราชสำนักสวรรค์ไม่ไหวโดยสิ้นเชิง ครั้นฟังชื่อตำแหน่งขุนนางพรวนยาวนี้จบจึงเงียบงันเป็นนาน ยังดีเขาพอจะจำได้รางๆ จากความรู้ที่สั่งสมมาน้อยนิดว่าฟู่หม่าตูเว่ยคือตำแหน่งขุนนางที่แต่งตั้งแก่บุตรเขยของฮ่องเต้โดยเฉพาะ
แต่…หรือว่าจะ…ไม่ใช่กระมัง…
โจวฉางเกิงเอ่ยออกมาช้าๆ “ข้าไม่ค่อยรู้คำเรียกตำแหน่งขุนนางพวกนี้ ข้าแค่ถามพวกเจ้าว่าสองคนเกี่ยวพันเป็นอะไรกัน”
กู้หมิงเค่อมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแบบที่ใช้มองเจ้าทึ่มผู้หนึ่ง “เกี่ยวพันเป็นสามีภรรยากันน่ะสิ”
โจวฉางเกิงปิดตาอย่างรับไม่ไหว แทบจะนึกว่าตนเองตาบอด เขาก็ว่าแล้ว ตั้งแต่ได้เห็นฉินเค่อก็รู้สึกอยู่ตลอดว่าพิกลๆ ที่แท้…ความเป็นจริงยังเลอะเทอะกว่าที่เขาคาดคะเนไว้เสียอีก
ฉินเค่อถึงกับเป็นสามีของหลี่เจาเกอ? หลี่เจาเกอเป็นศิษย์ของเขาโจวฉางเกิง ถ้าอย่างนั้นฉินเค่อไม่กลายเป็น…
ไม่ถูกสิ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคิดหยุมหยิมเรื่องสายสัมพันธ์ ราชสำนักสวรรค์มีกฎอยู่ชัดๆ ไม่อนุญาตให้เทพเซียนรักกับมนุษย์ เมื่อก่อนเซียนจำนวนหนึ่งเคยมีใจฝักใฝ่ปุถุชน ในราชสำนักสวรรค์ถกความเห็นกันเกรียวกราว ฉินเค่อนี่เองเป็นผู้ไต่สวน ให้เราะกระดูกเซียนของเซียนทั้งหมดที่ละเมิดกฎ ตอนนี้ไฉนตัวฉินเค่อเองจึงได้…
โจวฉางเกิงสีหน้าขรึมลง มองหลี่เจาเกอแล้วเลือกที่จะไม่พูดถึงสิ่งนี้ต่อหน้านาง กล่าวเพียงว่า “ข้างนอกไม่ใช่สถานที่จะพูดคุย เข้าไปก่อนเถอะ”
สามคนเข้ามานั่งในกระโจมของหลี่เจาเกอ หลี่เจาเกอกับกู้หมิงเค่อล้วนนั่งตัวตรงดุจพู่กัน มีก็แต่โจวฉางเกิงที่เข้ามาแล้วยืดขากางแขนแผ่หลาเอนตัวบนที่นั่ง
อันที่จริงรูปโฉมของโจวฉางเกิงไม่เฉียดใกล้คำว่าตาเฒ่าสักนิด ผู้ที่สำเร็จเป็นเซียนจะไม่แก่ชราลง รูปโฉมจะหยุดอยู่ปีที่สำเร็จเป็นเซียน นับแต่นั้นไม่เปลี่ยนแปลงอีก ดูแล้วโจวฉางเกิงจึงเป็นบุรุษวัยเพียงสามสิบสี่สิบปี แต่รูปลักษณ์ดูสกปรกไว้หนวดเฟิ้มนี้เพิ่มอายุให้เขาหลายปีโดยใช่เหตุ ไม่อาจโทษหลี่เจาเกอที่เรียกเขาว่าตาเฒ่าโจว เขาดูไม่เหมือนคนหนุ่มเลยจริงๆ อีกอย่างตัวเขาเองก็ไม่เคยถือสากับคำเรียกนี้
เขาถาม “ตอนนี้พวกเจ้าทำงานให้ราชสำนัก?” ก่อนจะสำเร็จเป็นเซียนเขาเป็นชาวยุทธ์ โดยสัญชาตญาณจึงไม่มีความรู้สึกที่ดีกับราชสำนัก ต่างจากหลี่เจาเกอกับฉินเค่อที่ล้วนถือกำเนิดในราชวงศ์ ไม่ได้ผลักไสต่อต้านวงราชการ
หลี่เจาเกอตอบ “ใช่ พวกเรามาหนนี้เพื่อจะปราบปรามทัพกบฏ พวกเขาจับตัวอู๋อ๋องไป อ้างนามอู๋อ๋องก่อการ ฮ่องเต้ทรงทราบว่าแนวหน้าปรากฏกลุ่มนักรบประหลาด กังวลว่าจะกลายเป็นภัยแบบที่ซั่วฟางหนนั้น จึงส่งพวกเรามากำจัด”
โจวฉางเกิงพยักหน้า “ข้าเองก็รู้สึกว่าคล้ายเหตุกบฏเมื่อหลายปีก่อนหนนั้นมาก น่าเสียดายตอนนั้นข้าฆ่าทันแค่ตัวหัวหน้า ปล่อยให้เจ้านักพรตนั่นหนีไปได้”
หลี่เจาเกอตกตะลึง “ท่านเป็นคนฆ่าผู้บัญชาการทัพซั่วฟาง?”
ตอนนั้นข้างกายผู้บัญชาการทัพซั่วฟางพลันปรากฏนักพรตผู้หนึ่ง อ้างตนว่าเป็นเทียนซือ แผ่นกระดาษที่นักพรตผู้นั้นโปรยลงมาสามารถแปรเป็นทหารกับสัตว์ร้าย นำพาภัยพิบัติไม่น้อยมาสู่ราชสำนักกับราษฎร เหตุกบฏซั่วฟางเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้ ราวกับจู่ๆ วันหนึ่งเทียนซือก็หายสาบสูญไป ผู้บัญชาการทัพซั่วฟางตายเฉียบพลันในกระโจมค่าย เหตุกบฏที่เริ่มต้นอย่างครึกโครมกลับปิดฉากลงอย่างกะทันหัน
โจวฉางเกิงประหลาดใจมากเช่นกัน “เจ้าไม่รู้?”
หลี่เจาเกอมองเขาด้วยความฉงน “ก็ไม่รู้น่ะสิ ท่านไม่เคยบอกข้าเสียหน่อย ข้าจะรู้ได้อย่างไรกัน”
โจวฉางเกิงเกาศีรษะ นี่เขาถึงกับไม่เคยบอกนาง? สะเพร่ายิ่งนัก เขาก็หลงนึกว่านางรู้นานแล้ว
กู้หมิงเค่อฟังอยู่ด้านข้าง รินน้ำชาให้ตนเองหนึ่งถ้วยก่อนเอ่ยเนิบๆ “สองคนศิษย์อาจารย์ผูกพันกันดีแท้”
แม้กระทั่งเรื่องใหญ่เช่นนี้ก็ไม่ได้สื่อสารกัน
หลี่เจาเกอรู้สึกว่าเหลือเชื่อ แค่นี้ปริศนาเหตุกบฏซั่วฟางที่รบกวนใจราชสำนักมานานหลายปีก็คลี่คลายลงแล้ว นางถาม “นักพรตผู้นั้นเล่า”
“หนีไปเสียก่อน” โจวฉางเกิงส่ายหน้า “หลายปีนี้ข้าตามหามาโดยตลอด น่าเสียดายเจ้านักพรตนอกรีตนั่นไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย”
คิ้วของหลี่เจาเกอเชิดขึ้น “จะใช่คนบนภูเขาหรือไม่”
“ไม่รู้สิ” โจวฉางเกิงกล่าว “ข้ากำลังคิดจะไปดูก็เจอเจ้าเข้าก่อน ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปีเจ้ารุดหน้าไม่น้อยเลยนะ ทีแรกข้าถึงกับแยกแยะไม่ออกว่าเป็นเจ้า”
ตอนสองคนประมือกัน เขาค้นพบทันทีว่าแนวทางของอีกฝ่ายคุ้นตายิ่ง เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นปราณแท้หรือท่ากระบี่ล้วนก้าวหน้าไปมากเสียจนไม่คล้ายระดับที่หลี่เจาเกอในวัยนี้จะสั่งสมไปถึงได้ เขาจึงไม่แน่ใจในทีแรก ต้องรอจนออกมาด้านนอกมีแสงจันทร์ มองดูอีกหน…มารดามันเถอะ เป็นหลี่เจาเกอจริงๆ เสียด้วย
โจวฉางเกิงเองเป็นถึงจอมประหลาดด้านการฝึกยุทธ์ ยากมากที่ใครสักคนจะทำให้เขาทึ่งได้ แต่ความก้าวหน้าของนางถึงกับทำให้เขาตระหนก หากเขาไม่ได้ดื่มสุราจนเลอะเลือนไป เขาไปจากทิวเขาสิบหลี่แค่เพียงเจ็ดปี ในช่วงเวลาแค่เจ็ดปีนี้นางก็บำเพ็ญเพียรจากขั้นเริ่มต้นมาจนถึงขั้นที่เพียงพอจะประมือกับเขาเบื้องต้นได้แล้ว? หากเป็นเช่นนี้จริงๆ พวกเทพบนสวรรค์ก็อย่าบำเพ็ญเพียรกันอีกเลย แต่ละคนพันปีสองร้อยปีก็ยังทะลวงเลื่อนขั้นพลังวัตรไม่ได้ มีชีวิตอยู่ช่างน่าขายหน้า
โจวฉางเกิงมิอาจไม่แคลงใจ “ไม่ใช่ว่าเจ้าไปดื่มยาอะไรที่เร่งให้ก้าวหน้าได้ในเวลาอันสั้นหรอกนะ”
หลี่เจาเกอมองเขาอย่างรังเกียจรังงอน “ข้าจะไปหายาเช่นนั้นจากที่ใดกันเล่า”
กู้หมิงเค่ออยู่ด้านข้างหมุนถ้วยชาอย่างแช่มช้าพลางเอ่ยเสียงเบา “เจ้าเป็นอาจารย์เช่นนี้น่ะหรือ ถึงกับสงสัยว่าศิษย์ใช้ยา”
โจวฉางเกิงเหลือบมองฉินเค่อแล้วกลืนถ้อยคำที่คิดจะพูดคืนลงท้องไปเงียบๆ จริงสินะ คนทั่วไปไม่มีทางจะฝึกพลังวัตรได้เร็วเพียงนี้ แต่หากมีฉินเค่อชี้แนะ นั่นก็ไม่เหมือนกันแล้ว
นั่นสุดยอดฝีมือแห่งราชสำนักสวรรค์เชียวนะ ย่อมไม่ใช่คำที่เปรยเรียกไปอย่างนั้นเอง
ครั้นเห็นว่าหัวข้อสนทนาออกนอกเรื่องไปไกล หลี่เจาเกอก็วกกลับมาที่หัวข้อหลัก “เรื่องความหลังเอาไว้ค่อยมาคุยกัน ตาเฒ่าโจว เกี่ยวกับนักพรตนอกรีตในเหตุกบฏซั่วฟางท่านรู้มากเท่าไร”
โจวฉางเกิงนั่งไม่เป็นท่าพลางตอบ “ก็ไม่มากเท่าไร ตอนนั้นข้าบังเอิญเตร็ดเตร่ไปถึงเจี้ยนหนาน ค้นพบหนูน้อยตกอยู่ท่ามกลางทัพกบฏ ในใจคิดว่าเครื่องประดับบนตัวหนูน้อยมีราคาไม่เบา เอาไปแลกสุราดื่มได้พอดีก็เลยแวะเก็บหนูน้อยนั่นมา นี่ก็คือบทเรียนราคาแพง ต่อไปจะเก็บอะไรไม่ว่า แต่ห้ามเก็บหนูน้อยมาเด็ดขาด ร้องไห้ทีจะเอาชีวิตกันชัดๆ ซ้ำสลัดทิ้งอย่างไรก็สลัดไม่หลุดเสียด้วย”
แสงเทียนในกระโจมส่ายไหว บรรยากาศเงียบกริบ โจวฉางเกิงมองหลี่เจาเกอแวบหนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “มิผิด หนูน้อยนั่นก็คือเจ้า เคราะห์ดีเจ้าโตแล้วนับได้ว่าเป็นผู้เป็นคน ตอนเด็กน่ะน่ารำคาญมากจริงๆ”
ถ้อยคำเหล่านี้ให้ข้อมูลมากเหลือเกิน หลี่เจาเกอไม่รู้จะเริ่มเอ่ยเรื่องใดก่อนดี สุดท้ายนางถามอย่างไม่อาจทำใจเชื่อ “ตอนเด็กข้าขี้แยนักหรือ ท่านอย่าอาศัยว่าข้าจำไม่ได้ก็จะมาปรักปรำข้าส่งเดชนะ”
โจวฉางเกิงหัวเราะเยาะหนึ่งที รอยเหยียดหยามเกลื่อนใบหน้า “หากไม่ใช่เพราะเจ้าขี้แยเกินเหตุ ข้าน่ะหรือจะปล่อยให้เจ้านักพรตนั่นหลุดมือไปได้ ก็เพราะต้องหอบหิ้วเจ้าไปด้วย ถ่วงเวลาข้าครึ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อย”
ปากโจวฉางเกิงพร่ำบ่น แท้ที่จริงกำลังเลี่ยงไม่เอ่ยถึงว่าเหตุใดหลี่เจาเกอจึงจำวัยก่อนหกขวบได้ไม่ชัดเจน กู้หมิงเค่อฟังอยู่ด้านข้าง ไม่ได้เปล่งวาจาสักคำ ส่วนหลี่เจาเกอแม้ยังคงแคลงใจยิ่งนัก ทว่าตอนนี้อยู่ต่อหน้ากู้หมิงเค่อ นางไม่อยากจะสืบสาวว่าวัยเด็กตนเองเป็นจอมขี้แยจริงหรือไม่ จึงรีบเบี่ยงเบนประเด็น “เอาเถิด ถือว่าข้าทำให้ท่านเสียเวลาก็ได้ แต่หลายปีมานี้ท่านไม่มีการไม่มีงาน ควรจะสืบได้ความอะไรบ้างกระมัง”
เอ่ยถึงเรื่องนี้โจวฉางเกิงก็จริงจังขึ้นเล็กน้อย “ข้ามักรู้สึกว่าตอนนั้นนักพรตนั่นไม่ใช่ตัวการใหญ่ เบื้องหลังยังมีผู้ชักใยตัวจริงอยู่อีกคน แต่คนผู้นั้นลึกลับเหลือเกิน ข้าตามสืบมาห้าหกปียังคงไม่พบร่องรอยของคนผู้นั้น ปีนี้แถบเจียงหนานพลันปรากฏนักรบที่ฟันแทงไม่เข้า นี่นับเป็นเบาะแสใหญ่ที่สุดตลอดหลายปีนี้ ข้าจึงรุดมาทันทีที่ได้ข่าว”
จากนั้น…ก็ได้เจอกับหลี่เจาเกอ
กู้หมิงเค่อนิ่งเงียบมาโดยตลอด กระทั่งฟังถึงตรงนี้ในดวงตาของเขาจึงผุดริ้วอารมณ์ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นรอยยิ้มจริงหรือรอยยิ้มประชด
หากไม่ใช่คนผู้นั้นเต็มใจเองก็ไม่มีทางที่ใครจะสืบพบคนผู้นั้นได้ หากบอกว่าโจวฉางเกิงเสาะหามาถึงที่นี่ มิสู้บอกว่าเป็นคนผู้นั้นจงใจล่อพวกเขามา
กู้หมิงเค่อ หลี่เจาเกอ โจวฉางเกิง ไม่แน่อาจยังมีเผยจี้อันด้วย ขณะนี้ไม่กี่คนที่เกี่ยวพันกับราชสำนักสวรรค์ต่างมารวมตัวที่เจียงหนาน
คนผู้นั้นเตรียมการมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็จะเริ่มการแสดงแล้ว
ขณะที่กู้หมิงเค่อคิด หลี่เจาเกอกับโจวฉางเกิงก็เริ่มถกความเห็นกันเรื่องผู้ชักใยหลังม่าน นางกล่าว “เมื่อก่อนข้าอยู่ที่เสินตูเคยทำคดีจำนวนหนึ่ง แต่ละคดีดูคล้ายไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ข้ากลับมักรู้สึกว่ามีคนผลักดันอยู่เบื้องหลังคดีเหล่านี้ วิชาอาคมที่ใช้ส่วนใหญ่เกี่ยวกับคนตายและพลังธาตุอิน ประจวบกับเหตุกบฏซั่วฟางก็มีนายทัพทหารกระดาษ ซ้ำบาดแผลที่ถูกสัตว์กระดาษกัดยังมีไอมรณะกระหวัดวน ปกติกระดาษจะเผาให้ผู้ล่วงลับ ดูตามนี้แล้วจะใช่ฝีมือคนเดียวกันทั้งหมดหรือไม่ วิธีคลี่คลายเหตุกบฏหยางโจวก็อาจขึ้นอยู่กับจุดนี้”
โจวฉางเกิงถามหยั่งเชิง “ถ้าเผาให้ผู้ล่วงลับ…อย่างนั้นพรุ่งนี้เจอพวกตัวโตนั่น ลองใช้ไฟอาคมเผาดู?”
“นี่อยู่บนภูเขานะ ฤดูเหมันต์อากาศแห้ง เกิดสถานการณ์หลุดจากการควบคุม ลุกลามเป็นไฟป่าจะทำอย่างไร” หลี่เจาเกอคัดค้าน โจวฉางเกิงจึงเอ่ยอย่างจนหนทาง “ยุ่งยากจริง อย่างนั้นก็ใช้อาวุธ มาตัวหนึ่งฟันทิ้งตัวหนึ่งก็แล้วกัน”
อย่างโจวฉางเกิงนี่เรียกว่าความคิดแบบฉบับชาวยุทธ์ นึกว่าโค่นศัตรูได้ก็จะสิ้นเรื่อง ทว่าการศึกต้องคำนึงถึงผลกระทบรอบด้าน หลี่เจาเกอจึงส่ายหน้าคัดค้านอีกหน “พวกเราฆ่านักรบสวมหน้ากากหนึ่งตัวนั้นง่าย แต่ไม่มีทางที่นักรบสวมหน้ากากจะมาให้พวกเราฆ่าทุกครั้ง แนวรบด้านหน้าทอดยาวเช่นนั้น อาศัยแต่ความกล้าเฉพาะบุคคลไม่มีทางจะพลิกผันการศึก อีกอย่างศึกนี้รบให้คนทั่วหล้าดู ต้องพิชิตชัยแบบไร้ที่ติ พวกเราจะต้องแสดงให้คนทั่วหล้าเห็นว่าราชสำนักมีวิธีทำลายอาคมปีศาจ ต่อให้เป็นทหารทั่วไปก็เอาชนะปีศาจได้ เหตุกบฏซั่วฟางจะไม่เกิดขึ้นซ้ำสอง ไม่เช่นนั้นราษฎรจิตใจหวั่นหวาด ต่อให้ปราบกบฏหยางโจวลงได้ ไฟสงครามก็จะปะทุขึ้นท้องที่อื่นอีก”
โจวฉางเกิงไม่ค่อยเข้าใจความถูกต้องเหมาะสมเรื่องการบ้านการเมืองจึงเอ่ยด้วยความปวดหัว “ฆ่าทิ้งไม่ดี เผาไฟก็ไม่ดี แล้วจะให้ทำอย่างไร”
หลี่เจาเกอรู้สึกเสียดาย “น่าเสียดายคืนนี้หาไม่เจอว่านักรบพวกนั้นซ่อนตัวอยู่ที่ใด หากรู้แนวทางของพวกมันก็จะสยบได้ง่ายขึ้นมาก” นางมองสีท้องฟ้าปราดหนึ่งแล้วมุ่นคิ้วขบคิด “ยังอีกสักพักกว่าฟ้าจะสาง ถ้าอย่างไรข้าขึ้นไปสืบดูอีกรอบ”
ต่อให้หลี่เจาเกอมีวิชาตัวเบาล้ำเลิศ ตอนนี้ขึ้นเขาอีกหนก็อันตรายเกินไปอยู่ดี กู้หมิงเค่อจึงพลันเอ่ยปาก “ไม่ต้องหรอก พวกมันเป็นหุ่นดินเผา คืนนี้ที่กลุ่มของท่านหาพวกมันไม่เจอเป็นเพราะพวกมันอยู่ใต้ดิน”
หลี่เจาเกอกับโจวฉางเกิงล้วนมองไปทางกู้หมิงเค่ออย่างตกตะลึง กู้หมิงเค่อดุจชิ้นหยกเย็นกระจ่าง ขนตาเรียวยาว นัยน์ตาดั่งลูกปัดหยกสีหมึกแช่ในน้ำเย็นเฉียบ เพียงขยับแผ่วๆ วงน้ำหนาวก็แผ่ท่วมท้น “พวกมันกลัวเงินเหลว”
โจวฉางเกิงขมวดคิ้ว อยากจะถามมากว่าท่านรู้ได้อย่างไร แต่มองใบหน้าของอีกฝ่ายแล้วก็ยังคงอดกลั้นไว้ ส่วนหลี่เจาเกอยิ่งไม่ได้ซักไซ้ว่ากู้หมิงเค่อได้ข้อมูลมาจากที่ใดก็ยืนพรวดเอ่ยทันที “ข้าจะออกไปสั่งการเดี๋ยวนี้ พวกท่านรอข้าที่นี่สักครู่”
หลี่เจาเกอเลิกม่านกระโจมออกไป ขณะที่ม่านประตูปิดลงดังเดิม ริ้วลมก็เล็ดลอดผ่านร่องม่านมากระทบเปลวเทียนจนสั่นระริก พาให้เกิดแสงเงาวูบวาบบนดวงหน้าของคนทั้งสอง
โจวฉางเกิงมองกู้หมิงเค่อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ผ่านไปสักพักค่อยเอ่ยช้าๆ “เป่ยเฉินเทียนจุน ไม่ได้พบกันเสียนาน”
กู้หมิงเค่อผงกศีรษะนิดๆ “เทพดาราไท่ไป๋ ไม่ได้พบกันเสียนาน เจ้าช่างรู้จักหาสถานที่ ราชสำนักสวรรค์ตามหาเจ้าอยู่นานทีเดียว”
โจวฉางเกิงแค่นหัวเราะ หากไม่ใช่เพราะคนพวกนี้เขาคงไม่ต้องย้ายสถานที่ทุกไม่กี่เดือนหรอก เขามองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาพลางถาม “เมื่อเก้าปีก่อนท่านเคยมาแดนมนุษย์แล้ว เหตุใดตอนนี้จึงมาอีก อ้อจริงสิ อาจควรบอกว่าเป็นสิบเก้าปีก่อน”
แดนมนุษย์เคยผ่านการปรับเส้นเวลาใหม่หนึ่งหน มนุษย์ปุถุชนลืมความทรงจำในชาติก่อนจนสิ้น ทว่าเทพเซียนไม่ ตั้งแต่ตอนนั้นโจวฉางเกิงก็สัมผัสได้ว่ากลิ่นอายบนแดนมนุษย์เปลี่ยนไป แต่เขานึกว่าคนบนสวรรค์เหล่านั้นกำลังลองทำบางอย่างอีกตามเคยจึงคร้านจะไปไยดี นึกไม่ถึงว่าคนเหล่านั้นเพ่งเล็งมาที่หลี่เจาเกอ
กู้หมิงเค่อย่อมรู้ว่าไม่อาจตบตาโจวฉางเกิง เขากล่าว “หากไม่ใช่เจ้าละเลยหน้าที่ ฝ่าฝืนคำสั่ง ราชสำนักสวรรค์ก็ไม่ต้องใช้แผนชั้นเลว เจ้ากลับราชสำนักสวรรค์ไปรับผิดเสียตอนนี้ ยังผ่อนหนักเป็นเบาได้”
โจวฉางเกิงหัวเราะเยาะแล้วเอ่ยประชด “ผ่อนหนักเป็นเบา? คำนี้ใครมาพูดข้าล้วนเชื่อ เว้นก็แต่ท่าน ข้าไม่เชื่อสักคำเดียว ฉินเค่อ ท่านเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่ส่วนตน รักษากฎสวรรค์ที่สุดไม่ใช่หรือไร ตอนนี้ท่านกำลังทำอันใดอยู่ ข้อแรกปลอมฐานะลงมาแดนมนุษย์ ข้อสองแต่งงานกับมนุษย์ธรรมดา ข้อสามยังก้าวก่ายการเมืองบนแดนมนุษย์นี่ด้วย ไม่ว่าข้อใดล้วนมีโทษหนักฐานละเมิดกฎสวรรค์”
กู้หมิงเค่อแย้งเรียบๆ “นางไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา”
“ต่อให้นางอยู่บนเส้นทางบำเพ็ญเซียน แต่ก่อนนางจะสำเร็จมรรคผลก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ดี” โจวฉางเกิงจ้องกู้หมิงเค่อตาเขม็ง “เทพเซียนกับมนุษย์ลักลอบมีความสัมพันธ์กันจะตัดสินโทษอย่างไร ท่านน่าจะรู้ชัดยิ่งกว่าข้า ท่านคิดจะทำอันใดกันแน่ หากหมายหลอกใช้นางเพื่อให้ตนเองฝ่าพ้นด่านเคราะห์ ต่อให้ข้าสู้ท่านไม่ได้ก็ไม่วายต้องขอรับการชี้แนะจากฉินเทียนจุนสักหน่อย”
กู้หมิงเค่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้สีหน้าก็ขรึมลง “ข้ายังไม่ต่ำช้าถึงขั้นนั้น เจ้าควบคุมตัวเจ้าเองให้ดีเป็นพอ เรื่องของข้ากับนางจงอย่าได้สอดมือ”
กู้หมิงเค่อเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน รวบแขนเสื้อยาวเดินมุ่งไปเบื้องนอก โจวฉางเกิงนั่งจ้องเขาอยู่ด้านหลัง ยามที่มือของเขากำลังจะแตะถูกม่านประตู โจวฉางเกิงก็พลันเอ่ยถาม “นางรู้หรือไม่”
มือของกู้หมิงเค่อชะงักเล็กน้อย ก่อนเลิกม่านประตู ก้าวยาวออกจากกระโจมไป
สายลมชื้นเย็นพัดจากเบื้องนอกเข้ามาในกระโจม ไส้เทียนสั่นไหวอย่างรุนแรงแล้วดับสนิทในทันที
บทที่ 152-2 หยางโจว
ปัจจุบันมีเหมืองเงินอยู่ไม่มาก แร่เงินที่ขุดออกมาส่วนใหญ่ล้วนส่งเป็นบรรณาการ จู่ๆ ตอนนี้จะต้องใช้แร่เงินจึงยุ่งยากไม่น้อย
หลี่เจาเกอช่วงชิงเครื่องประดับเงินทั้งหมดในค่ายทหารมาใส่เตาหลอมจนละลายเป็นของเหลว จากนั้นเก็บรักษาไว้ในภาชนะพิเศษอย่างรอบคอบ วันรุ่งขึ้นขณะจะเปิดศึก นักรบสวมหน้ากากที่ฟันแทงไม่เข้าเหล่านั้นก็ปรากฏตัวขึ้นอีก นักรบร่างสูงใหญ่ยืนไม่ไหวติงอยู่หน้าสุดของกระบวนทัพ แลดูสะดุดตายิ่งยวด เมื่อวานทัพราชสำนักรบแพ้ใต้เงื้อมมือนักรบเหล่านี้ วันนี้พบเจออีกคราจึงบังเกิดความขลาดกลัวตั้งแต่ยังไม่ทันจะเริ่มรบพุ่ง
ทัพกบฏหลบอยู่หลังกลุ่มนักรบ เปล่งวาจาท้าทายอย่างกำเริบเสิบสาน สักพักกลุ่มนักรบคล้ายได้รับคำสั่งบางอย่างจึงค่อยๆ ขยับตัวก้าวขา ทีแรกสุดข้อต่อยังฝืดแข็ง เคลื่อนไหวเชื่องช้า ต่อมาท่วงท่าลื่นไหลต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ ย่ำเท้ามาหาแนวทหารของฝ่ายราชสำนักดังโครมคราม ภูเขาตูเหลียงมีข้อได้เปรียบด้านความสูงเป็นทุนเดิม ทหารราชสำนักที่ยืนตั้งรับอยู่เชิงเขาแลเห็นนักรบร่างสูงใหญ่หนักอึ้งพุ่งตัวลงมาจากที่สูง ความรู้สึกสะท้านจิตใจย่อมรุนแรงอย่างยิ่ง ต่างพากันผงะถอยอย่างหวาดกลัว ต่อให้นายกองที่อยู่ด้านหลังโบกธงตวาดสั่งไม่หยุดก็ไม่อาจระงับยับยั้งการถอยหนีของพลทหารได้เลย
ท่ามกลางความชุลมุนนั้นเอง มีเกาทัณฑ์ขนนกดอกหนึ่งโฉบข้ามศีรษะของผู้คน ทะยานไปเบื้องหน้าพร้อมเสียงแหวกอากาศดังขวับ พลทหารต่างเงยหน้าขึ้นโดยสัญชาตญาณ แลเห็นเกาทัณฑ์ดอกนั้นพุ่งไปปักอกนักรบผู้หนึ่งจนมิดก้าน ท่าร่างของนักรบผู้นั้นพลันแข็งค้าง รอยร้าวเริ่มแผ่ขยายจากหน้าอก สุดท้ายทั้งร่างก็กลายสภาพเป็นดินเผาที่แห้งแข็ง ล้มครืนแตกเป็นเสี่ยงๆ
แนวหน้าบังเกิดเสียงอุทานแตกตื่น ฝ่ายทัพกบฏปั่นป่วนอย่างเห็นได้ชัด หลี่เจาเกอลดคันธนูลงก่อนกล่าว “ได้ผลจริงเสียด้วย จอมทัพ สายคาดเอวเงินของท่านไม่ได้เสียสละสูญเปล่า”
จอมทัพทั้งกระอักกระอ่วนทั้งจนใจ หลี่เจาเกอยื่นส่งภาชนะพิเศษในมือนางแก่องครักษ์ “แจกจ่ายของเหลวนี้แก่พลธนู ให้พวกเขาชุบหัวเกาทัณฑ์ก่อนยิงพวกตัวโตนั่น จริงสิ เตือนพวกเขาด้วยว่าใช้ประหยัดๆ หน่อย ในนี้คือสายคาดเอวของจอมทัพเชียวนะ จงอย่าได้สิ้นเปลือง”
องครักษ์กลั้นยิ้มถือภาชนะวิ่งจากไป จอมทัพมองดูแนวหน้า นักรบเพิ่งจะล้มลงคนเดียว ขวัญทหารสองฝ่ายก็พลันกลับด้านกันแล้ว จอมทัพถาม “องค์หญิงเซิ่งหยวน ท่านมีวรยุทธ์สูงส่ง ฝีมือธนูแม่นยำ ให้ท่านยิงย่อมรวดเร็วทั้งได้ผลดี เหตุใดท่านจึงต้องยกของวิเศษพิชิตชัยแก่พลธนูธรรมดา”
“การศึกไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว” หลี่เจาเกอตอบเรียบๆ “มีเพียงเหล่าทหารได้เห็นกับตาว่านักรบที่กล้าแข็งล้มลงด้วยมือของพวกเขาเอง พวกเขาจึงจะเอาชนะความพรั่นพรึง สังหารข้าศึกด้วยความห้าวหาญอย่างแท้จริง”
สนามรบไม่ใช่ลานแสดงของนางผู้เดียว ชัยชนะก็ไม่ใช่ของนาง หากแต่เป็นของทหารหาญทุกนาย
จอมทัพฟังจบก็สะท้อนใจอย่างยิ่ง สนามรบคือหนทางหนึ่งที่จะไต่เต้าขึ้นสูงได้เร็วที่สุด ใครบ้างไม่อยากเหมารวบผลงานการศึก ใครบ้างไม่อยากสำแดงฝีมือ เรื่องสกปรกแย่งชิงคุณความชอบกันอย่างละโมบยิ่งเกิดขึ้นไม่เคยหยุดหย่อน ในขณะที่คนทั้งหมดช่วงชิงกันจนหัวร้างข้างแตก หลี่เจาเกอกลับโบกมือเป็นฝ่ายยกคุณความชอบแก่ผู้อื่นเสียเอง
ความใจกว้างระดับนี้จอมทัพยอมรับว่าตนเองไม่อาจทำได้
สองทัพสู้รบ สู้กันที่ขวัญทหาร ตลอดมาทัพกบฏพึ่งพาวิชานอกรีต พริบตาที่นักรบสวมหน้ากากถูกทำลาย ทัพกบฏจึงระส่ำระสายเสียเอง จากนั้นทัพราชสำนักเพียงบุกตะลุยตามแต่ใจ ทัพกบฏก็แตกพ่ายไม่เป็นกระบวนทันที
ภูเขาตูเหลียงถูกยึดได้อย่างรวดเร็ว ทหารกบฏที่อำเภอไหวอินได้ยินว่า ‘ทัพเทวะ’ ของเทียนซือถูกราชสำนักตีกระเจิงแล้วก็หวาดผวาจนปัสสาวะราด รีบยอมจำนนโดยไม่รอให้ทัพราชสำนักมาถึง ทัพราชสำนักเข้ายึดอำเภอไหวอินแล้วก็ฉวยจังหวะที่ได้ชัยชนะรุดต่อไปยังลำธารซย่าเออโดยตรง
ทัพกบฏตั้งมั่นอยู่ริมลำธารซย่าเออ หลังจากผ่านสมรภูมิที่ภูเขาตูเหลียง ชื่อเสียงบารมีของหลี่เจาเกอในกองทัพยิ่งพุ่งสูง ยามประชุมนายทัพนายอื่นๆ ล้วนสอบถามความเห็นของนางเป็นพิเศษ หลี่เจาเกอเคยตรวจสอบสภาพพื้นที่ของลำธารซย่าเออ พบว่าทางน้ำคับแคบ ต้นกกแห้งผาก เหมาะจะใช้ไฟโจมตี
ทว่ากุญแจสำคัญในการโจมตีด้วยไฟอยู่ที่ทิศทางลม หากทิศทางลมไม่ถูกต้องกลับจะเป็นการยกก้อนหินทุ่มใส่เท้าตนเอง สำหรับผู้อื่นนี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรง สำหรับหลี่เจาเกอกลับไม่เป็นอุปสรรคใดๆ
แน่นอนว่าหลี่เจาเกอไม่มีความสามารถจะคำนวณทิศทางลมอย่างแม่นยำ แต่นางมีคนที่ทำได้ นางวิ่งไปถามกู้หมิงเค่อทันใด “พักนี้ลมพัดทิศใด”
กู้หมิงเค่อแววตาเรียบเฉย เอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ข้าจะรู้ได้อย่างไรกัน”
“วันนี้ยามเย็นลมบูรพาหยุดแล้ว ทิศหรดีคล้ายมีกระแสลม ดูจากดวงดาวคืนนี้ต้องเกิดลมแรงแน่นอน ใช่ลมหรดีหรือไม่”
กู้หมิงเค่ออมยิ้มปรายมองนางปราดหนึ่ง “ในเมื่อท่านดูดวงดาวเป็น ยังจะถามข้าเพื่ออะไรเล่า”
เพียงฟังน้ำเสียงของเขา หลี่เจาเกอก็รู้ทันทีว่าต้องใช่ลมหรดี นางวางใจลง รีบออกไปสั่งการเตรียมบุกคืนนี้
กลางดึกลมหรดีกระโชกแรงดังคาด ทหารทางการวางเพลิงโดยอาศัยแรงลมหนุน ทัพกบฏถูกโจมตีจนตั้งตัวไม่ติด ผู้ที่หนีเตลิดกับผู้ที่จมน้ำตายมีจำนวนนับไม่ถ้วน หัวหน้ากบฏที่ค่ายลำธารซย่าเออพาคนสนิทไม่กี่คนหลบหนีไป เขาไม่กล้ากลับเข้าตัวเมืองหยางโจวจึงเลือกไปทางอำเภอเจียงตู หมายจะใช้เส้นทางทะเลหลบหนีไปยังแคว้นซินหลัว
ทว่าระหว่างทางถูกสภาพอากาศขัดขวาง บริวารตื่นกลัวจึงตัดศีรษะของหัวหน้า ยอมจำนนต่อทหารทางการ หลายท้องที่ที่ขานรับสนับสนุนกบฏหยางโจวทยอยถูกปราบปราม บัดนี้คงเหลือเพียงตัวเมืองหยางโจว
ทัพใหญ่สามสิบหมื่นแบ่งเป็นสามสายเข้าโอบตี ปิดล้อมตัวเมืองหยางโจวแน่นหนาดุจถังเหล็ก หลี่สวี่อยู่ในตัวเมืองได้ยินว่าที่มั่นด้านนอกล้วนถูกตีแตกแล้วก็หวาดผวาจนนั่งไม่ติด หมายจะไปหาฉินเหวย ทว่าคุณชายใหญ่ฉินซึ่งเคยมาพบทันทีที่เรียกหานั้นครั้งนี้ราวอันตรธานหายไป ไม่ว่าหลี่สวี่จะใช้วิธีใดล้วนไม่อาจติดต่อฉินเหวยได้เลย
แม้กระทั่งกลุ่มคนชุดดำในคฤหาสน์ก็หายไปจนสิ้น
ทันใดนั้นหลี่สวี่ผุดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอย่างหนึ่ง ตระหนักได้ว่าตนเองถูกอีกฝ่ายใช้เซ่นธงรบเสียแล้ว เขาพลันไม่อยากจะเป็นฮ่องเต้อันใดอีก รีบไปพาหลี่เจินหลบหนี ทว่าสองพี่น้องเพิ่งจะหนีออกจากคฤหาสน์ก็ถูกจับกุมตัว ขุนนางเจ้าหน้าที่ในตัวเมืองหยางโจวกลัวจะถูกฮ่องเต้คิดบัญชีจึงรีบยอมจำนนด้วยการมอบตัวหลี่สวี่กับหลี่เจิน วันที่สิบเก้าเดือนสามประตูเมืองหยางโจวเปิดอ้ากว้าง หลี่เจาเกอนำทัพใหญ่เข้าสู่ตัวเมืองหยางโจว
เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นเหตุกบฏหยางโจวอันครึกโครมก็ถูกสยบราบคาบอย่างง่ายดาย ครั้นหลี่เจาเกอย่างเท้าเข้าจวนว่าการเมืองหยางโจว ขุนนางก็รีบมาติดตามข้างกายนางพร้อมรอยยิ้มประจบ “องค์หญิงเซิ่งหยวนโปรดทรงอภัย กระหม่อมกวดขันเฝ้าคุมนักโทษโดยตลอด แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาซุกซ่อนยาพิษไว้ที่ใด วันนี้จึงกลืนยาพิษตายทั้งคู่เสียแล้ว…”
หลี่เจาเกอไม่แปลกใจสักนิดเดียว ชั่วดีอย่างไรในทางสายเลือดหลี่สวี่กับหลี่เจินก็เป็นพี่ชายพี่สาวของนาง พวกเขาสองคนก่อกบฏล้มเหลว ซ้ำถูกบริวารจับมอบแก่นางเพื่อขอจำนน ความอัปยศถึงขั้นนี้ขอเพียงเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีสักนิดก็ไม่มีทางจะทนรับไหว พวกเขาจบชีวิตเองก็ดีเช่นกัน นางจะได้ไม่ต้องลำบากใจ
หลี่เจาเกอไปส่งพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย หลี่สวี่ก่อนสิ้นใจน่าจะร่ำไห้อย่างปวดร้าว แม้กระทั่งตอนตายใบหน้าก็บิดเบี้ยวดุร้าย ตรงข้ามกับหลี่เจินที่มีสีหน้าเยือกเย็นยิ่ง นอนบนพื้นกระดานในอาการสงบ สองมือซ้อนกันวางบนท้องน้อย ดวงหน้าประทินโฉมมาอย่างละเอียดลออ สมเกียรติของผู้เป็นองค์หญิง
เรือนผมของหลี่เจินคล้ายมีกลิ่นหอมพิเศษกำจายมารางๆ น่าจะเป็นกลิ่นของน้ำมันใส่ผมชนิดหนึ่ง
วาระสุดท้ายนางใช้น้ำมันใส่ผมที่ราคาแพงที่สุด สวมอาภรณ์แพรที่งามหรูที่สุด หลี่เจินนางเสียใจภายหลังหรือไม่ ดูจากการแสดงออกก่อนสิ้นลม เห็นชัดว่าไม่ นางได้สู้สุดกำลังเพื่อความทะเยอทะยานในใจตนเองแล้ว แม้จะล้มเหลว ทว่าอย่างน้อยก็ไม่เสียดาย
หลี่เจาเกอกวาดตามองเพียงครั้งเดียว แน่ใจว่าพวกเขาไม่หลงเหลือลมหายใจอีกก็กลับออกมาทันที นางไม่อยากจะวิจารณ์ว่าพวกเขาถูกหรือผิด ถึงอย่างไรทุกสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาปรารถนาเอง ปรารถนาทำสิ่งใดก็ได้รับผลของสิ่งนั้น ไม่มีอันใดจะให้กล่าว
หลี่เจาเกอออกมาแล้วถามขุนนางหยางโจวที่อยู่ด้านข้าง “ก่อนหน้านี้พวกเขาพำนักที่ใด”
หลังจากหลี่สวี่กับหลี่เจินก่อการล้มเหลว พวกเขาถูกขุนนางหยางโจวที่ขวัญหนีดีฝ่อคุมตัวมายังจวนว่าการ แต่ก่อนหน้านี้น่าจะไม่ได้พำนักที่นี่
ขุนนางหยางโจวกำลังตัวสั่นงันงก ครั้นได้ยินหลี่เจาเกอซักถามก็ตอบอย่างรีบลน “พวกเขาพำนักที่คฤหาสน์อีกแห่ง วันนี้เย็นย่ำแล้วกระหม่อมได้จัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับองค์หญิงกับราชบุตรเขยไว้ รอวันพรุ่งนี้กระหม่อมจะนำเสด็จด้วยตนเองเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เจาเกอเหลือบเห็นใบหน้ายิ้มสอพลอของอีกฝ่ายก็ไม่อยากจะแยแสโดยสิ้นเชิง
เย็นนี้ขุนนางหยางโจวจัดเลี้ยงแก่ทัพราชสำนัก รบมาหลายวันนายทัพพลทหารล้วนต้องการการพักผ่อน พอดีหยางโจวอุดมสมบูรณ์ มีสุราเนื้อสัตว์ชั้นดีมากมายมาเลี้ยงดูปูเสื่อ ไม่นานนักผู้คนก็สนุกสนานเต็มที่ ตกค่ำเสียงยิ่งอึกทึก ไม่ต้องออกไปก็รู้ได้ว่าข้างนอกครึกครื้นเพียงใด หลี่เจาเกอไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองชัย แต่ลอบเปลี่ยนสวมชุดดำสำหรับเคลื่อนไหวยามราตรี นางตั้งใจจะไปลอบสำรวจคฤหาสน์แห่งนั้น
เหตุกบฏหยางโจวยุติลงแล้ว แต่เรื่องนี้ยังอีกไกลกว่าจะจบสิ้น คนหลังม่านไม่ได้ปรากฏตัว ตราบใดที่ไม่กำจัดคนผู้นี้ เหตุกบฏซั่วฟาง เหตุกบฏหยางโจวก็จะยังเกิดขึ้นอีกนับครั้งไม่ถ้วน
นางมีลางสังหรณ์ว่าคนผู้นี้อยู่ไม่ไกลนี่เอง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 มี.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.