X
    Categories: จุติรัก พลิกชะตาร้ายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 153.1-153.2

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 153-1 สุสานฮ่องเต้

หลี่เจาเกอเปลี่ยนชุดเสร็จก็ออกจากประตูห้อง ยามนี้ผู้คนที่โถงจัดเลี้ยงด้านหน้ากำลังฉลองชัย ในโถงเสียงดนตรีก้องฟ้า เปรียบกันแล้วเรือนหลังของจวนว่าการเงียบวังเวงจนน่าสงสาร ตลอดทางหลี่เจาเกอแทบไม่พบเจอคน ครั้นเดินผ่านโถงหน้าค่อยพบว่าบนต้นไม้คล้ายมีคนอยู่ผู้หนึ่ง ดูลับๆ ล่อๆ ไม่รู้ว่ากำลังทำอันใด

หลี่เจาเกอหรี่ตา ก่อนก้มเก็บหินก้อนหนึ่งดีดใส่มือของอีกฝ่ายโดยแรง “ท่านทำอะไรอยู่”

โจวฉางเกิงมือสั่นวูบ หวิดจะทำไหสุราร่วงตกพื้น รีบประคองสายเบ็ดให้นิ่ง ส่งเสียงชู่ว์ใส่หลี่เจาเกอก่อนสาวสายเบ็ดต่ออย่างระมัดระวัง คนในโถงดื่มสุราจนเมาหัวราน้ำ ไม่มีใครสังเกตว่ามุมกำแพงลานมีสุราไหหนึ่งกำลังโคลงเคลง ลอยตัวขึ้นช้าๆ ด้วยการชักพาของสายเบ็ดเรียวเล็ก กระทั่งสุดท้ายหายลับเข้าดงไม้ไป

โจวฉางเกิงคว้าไหสุราหมับ สูดดมฟอดหนึ่งอย่างพึงพอใจก่อนกล่าว “สุราดี อย่างน้อยต้องอายุยี่สิบปี เจ้าศิษย์เนรคุณ ไม่เห็นหรือว่าข้ายุ่งอยู่”

หลี่เจาเกอยืนกอดอกเยาะหยันอยู่ใต้ต้นไม้ “ท่านมีฝีมือแค่ขโมยสุราดื่มสินะ”

“เรื่องดื่มสุราเรียกว่าขโมยได้หรือ” โจวฉางเกิงไม่ยี่หระ “ขุนนางสุนัขพวกนั้นพูดเองว่าผู้มาเยือนล้วนเป็นแขก คืนนี้ดื่มกันให้เต็มที่ ในเมื่อตรงนี้วางสุราไว้ตั้งมาก ข้าหยิบไปสักไหจะเป็นไรไป”

“ท่านอยากจะดื่ม ไม่มีคนห้ามท่านเสียหน่อย เข้าไปหยิบสุราอย่างผ่าเผยก็สิ้นเรื่อง”

โจวฉางเกิงยังคงแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา “ชาวยุทธ์ผู้กล้า…ไม่ร่วมโต๊ะอาหารกับคนของราชสำนัก”

หลี่เจาเกอลอบเหลือกตา ตาเฒ่าโจวนี่ทั้งอยากดื่มสุราของผู้อื่นทั้งไม่อยากจะเสียหน้า นางคร้านจะไยดีคนบ้าสุราผู้นี้ “ท่านน่ะพอสมควรได้แล้ว อย่าดื่มสุราหนักมากนัก ดื่มมากทำลายสมอง เดิมทีท่านก็มีอยู่ไม่เท่าไร”

จบคำนางตั้งใจจะเดินออกไปแล้ว พอดีโจวฉางเกิงดึงจุกไหสุราออก แหงนคอกรอกลงไปอึกใหญ่แล้วทำปากแจ๊บๆ ช้าๆ “เอ๋? ไฉนรสสุรานี่ทะแม่งๆ ชั่วดีอย่างไรขุนนางหยางโจวก็นับเป็นคนมีหน้ามีตา คงไม่ถึงขั้นเอาสุราปลอมมาให้แขกดื่มกระมัง”

ผู้พูดไม่มีเจตนา ผู้ฟังกลับคิดไปไกลแล้ว หลี่เจาเกอชะงักฝีเท้ารู้สึกว่าชอบกลไม่น้อย ขุนนางหยางโจวกลัวจะถูกเอาผิด หลายวันนี้ต้องงัดกำลังทรัพย์ทั้งหมดมาเอาใจคนของราชสำนักแน่ เมืองหยางโจวอุดมสมบูรณ์มาแต่ไหนแต่ไร ขนสุราดีในห้องเก็บใต้ดินออกมาสักสามสี่แห่งก็ไม่เป็นปัญหา ขุนนางหยางโจวมีหรือจะนำสุราชั้นรองมาขึ้นโต๊ะเลี้ยงแขก

หลี่เจาเกอหน้าขรึมบอกโจวฉางเกิง “ตาเฒ่าโจว โยนสุราไหนั้นลงมา”

“จะทำอะไร” โจวฉางเกิงบ่นอย่างไม่ชอบใจ “ถ้าเจ้าอยากจะดื่มก็เข้าไปเอาเองสิ”

แม้ปากพูดเช่นนี้ แต่โจวฉางเกิงก็ยังคงโยนไหสุราไปให้หลี่เจาเกอ นางรับมาสูดดมกลิ่นสุราในไหอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะมุ่นคิ้วทันที “แย่แล้ว ในสุรามีสิ่งแปลกปลอม”

หลี่เจาเกอชักเท้าวิ่งไปยังโถงจัดเลี้ยง ขณะนี้ในโถงมีแต่เสียงดนตรีกับผู้คนที่เมาเคลิ้ม ทันทีที่นางพรวดพราดเข้ามาก็ปลุกให้คนเมาหลายคนได้สติ

นายทัพพลทหารเหล่านั้นตัวโงนเงนพูดลิ้นพันว่า “องค์หญิงเซิ่งหยวน ไฉนองค์หญิงเสด็จมาได้”

ครั้นเห็นท่าทางของพวกเขา ส่วนลึกในใจหลี่เจาเกอยิ่งรู้สึกหนาววาบ เท้าก้าวปราดมุ่งไปยังที่นั่งประธาน ระหว่างนั้นมีคนเมาขวางทางอยู่ล้วนถูกนางผลักออกในคราวเดียว พอนางย่ำเท้าลงบนโต๊ะสุรา มือก็คว้าคอเสื้อของที่ปรึกษาเจ้าเมืองหยางโจวแล้วหิ้วตัวเขาขึ้นมาโดยตรง “เจ้าใส่อะไรลงในสุรา”

ที่ปรึกษาเจ้าเมืองหยางโจวเมามายมองหลี่เจาเกอด้วยนัยน์ตาพร่ามัว “หา?”

หลี่เจาเกอขมวดคิ้ว เดิมทีนางนึกว่าเป็นขุนนางหยางโจวพวกนี้ใช้เล่ห์เพทุบาย ทว่าดูจากท่าทางของที่ปรึกษาเจ้าเมืองคล้ายดื่มจนเมาหนักเช่นกัน นางจึงกวาดตาสำรวจบนโต๊ะก็พบจอกสุราวางอยู่ตรงมุมหนึ่ง สุราในนั้นถูกดื่มไปครึ่งหนึ่งแล้ว

นางออกแรงโยนที่ปรึกษาเจ้าเมืองลงพื้น รีบฉวยสุราจอกนั้นขึ้นมาดมกลิ่น ประกายตานางขรึมลงทันใด

แย่แล้ว ยานี้ถูกวางโดยฝ่ายที่สาม นอกจากฝ่ายราชสำนักกับฝ่ายกบฏหลี่สวี่ ในตัวเมืองหยางโจวยังมีฝ่ายของผู้ใดอยู่อีก

ขณะนางไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว พลันมีรัศมีเย็นเยือกแผ่มาถึงแผ่นหลัง นางไม่ได้หันไปก็เบี่ยงกายหลบพ้นด้วยสัญชาตญาณ หมุนตัวไปค่อยพบว่าโคมหน้าประตูโถงดับลงไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด บางสิ่งรูปลักษณ์พิสดารเฝ้าอยู่หน้าประตู ดวงตาของพวกมันทอแสงสีแดงเรื่อ

นางเงยหน้าค้นพบว่าบนหน้าต่างกับคานห้องมีสิ่งที่คล้ายแมงมุมไต่ขึ้นมาหลายตัว แต่จะบอกว่าเป็นแมงมุมก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ขาของพวกมันคล้ายแมงมุมทว่ายาวกว่าและเรียวกว่า ยืดตัวยืนบนพื้นจะสูงพอๆ กับคนหนึ่งคน เหนือขาคือลำตัวที่อวบใหญ่ ส่วนหางมีลักษณะป่องๆ ละม้ายถุงน้ำพิษที่ก้นผึ้งอยู่บ้าง ส่วนหน้าท้องยังมีเคียวคมหนึ่งคู่ คล้ายตะขอที่ปลายขาหน้าของตั๊กแตนตำข้าวยิ่งนัก

พวกมันไม่เพียงเหมือนแมลงหลายชนิดประกอบเข้าด้วยกัน สิ่งที่พิสดารที่สุดคือส่วนหัวถึงกับเป็นใบหน้ามนุษย์ พวกมันจับจ้องหลี่เจาเกอไม่ไหวติง ก่อนจะพลันฉีกปากส่งยิ้มให้นาง

นางชักกระบี่สกัดแมงมุมหน้าคนที่พุ่งตัวลงมาจากคานห้อง แล้วเตะกลับหลังใส่แมงมุมหน้าคนอีกตัวที่จะลอบกัดนาง แมงมุมหน้าคนตัวหลังนี้ถูกถีบกระเด็นไปไกลลิบ ขาเรียวยาวของมันยืนขึ้นอีกครั้งอย่างยากเย็น จากนั้นก็อ้อมเปลี่ยนตำแหน่งใหม่ หาช่องโจมตีนางอย่างระมัดระวัง

นางใช้กระบี่สกัดคมเคียวของแมงมุมหน้าคนตัวที่อยู่ตรงหน้า สัตว์ประหลาดนี่รวบรวมจุดเด่นของแมลงหลายชนิดไว้จริงเสียด้วย คมเคียวของมันแข็งแกร่งยิ่งยวด พอขาทุกข้างออกแรงก็ถึงกับเจาะทะลุพื้นโถง จากนั้นทุ่มแรงจะกดคมเคียวที่หน้าท้องลงมาหานาง นางใช้กระบี่ต้านรับอยู่ดีๆ ก็เบี่ยงออกไปด้านข้างกะทันหัน คมเคียวสูญเสียแรงต้านจึงคะมำลงมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ นางตาไวมือไวออกแรงฟันฉับตรงข้อต่อ เคียวคู่ที่ไร้เทียมทานของมันถูกสะบั้นร่วงทันตา

แมงมุมหน้าคนตัวหลังสบช่องชูหางขนาดใหญ่แล้วฟาดลงมา พร้อมกันนั้นส่วนปลายพลันมีเงี่ยงเหยียดยื่นแทงลงมาหาแผ่นหลังของนางโดยตรง นางไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง พลิกมือตวัดกระบี่ไปขัดเงี่ยงที่ปลายหางของมันไว้ มืออีกข้างซัดมีดบินออกไปหนึ่งเล่ม มีดบินหมุนคว้างหนึ่งวงตัดขาทั้งแปดข้างของแมงมุมหน้าคนตัวแรกได้อย่างหมดจดเฉียบขาด

นางจัดการตัวแรกที่อยู่ตรงหน้าเสร็จแล้วจึงหันหลังไปเล่นงานตัวที่หมายจะใช้หางลอบทำร้าย นางเปลี่ยนมากุมกระบี่อีกท่าแล้วเกี่ยวกระชากอย่างแรง เงี่ยงพิษที่ปลายหางก็ถูกถอนรากถอนโคน ปลิวไปไกลแล้วร่วงตกพื้นพร้อมเลือดที่เปื้อนติดอยู่ นางสะบัดคมกระบี่อีกที หัวของแมงมุมหน้าคนตัวนั้นก็ถูกบั่นลงมาในกระบี่เดียว

หัวที่มีใบหน้าคนกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้น พอดีไปหยุดแทบเท้าของที่ปรึกษาเจ้าเมืองหยางโจวซึ่งเมาพับอยู่ตรงนั้น หลี่เจาเกอจับจ้องซากที่ไม่สมบูรณ์กองนี้พลางเยาะหยัน “ลำพังฝีมือแค่เท่านี้ของพวกเจ้า ยังริอ่านจะลอบทำร้ายข้า”

เห็นกันอยู่ว่าหัวบนพื้นนั้นสิ้นชีพไปแล้ว ชั่วขณะนี้มันกลับเริ่มหันหน้ามาทีละนิดๆ ซ้ำยังแสยะยิ้มอันวิปริตให้นาง นางสังเกตได้ถึงความผิดปกติ ค้นพบว่าบนพื้นมีเส้นใยเรืองแสงสีแดงเคลื่อนผ่าน เส้นใยสีแดงนั้นพรั่งพรูมาดุจมีชีวิต เชื่อมต่อชิ้นส่วนศพที่เพิ่งจะถูกนางชำแหละไป ไม่ทันไรหัวนั้นก็หวนคืนมาอยู่บนร่างเจ้าของ ขาแปดข้างของอีกตัวหนึ่งก็ต่อติดดังเดิมแล้วเช่นกัน

หลี่เจาเกอเลิกคิ้วเบาๆ…นี่มันตัวอะไรกัน ถึงกับฆ่าไม่ตาย

ในโถงเต็มไปด้วยนายทัพพลทหารที่ระทวยโงนเงน พวกเขาดื่มสุราที่มีสิ่งแปลกปลอม ต่อให้มีใจจะสู้ก็ไม่มีเรี่ยวแรง ได้แต่มองดูสัตว์ประหลาดเข่นฆ่าภายในโถงโดยช่วยเหลือตนเองไม่ได้ เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ก็มีหลายคนประสบกับฝีมืออำมหิต หลี่เจาเกอกุมกระบี่ธาราเร้นไว้แน่น จิตใจหนักอึ้งมองดูแมงมุมหน้าคนรุมล้อมเข้าหานางอีกครา

ครานี้หลี่เจาเกอถูกแมงมุมหน้าคนโอบล้อมถึงสิบกว่าตัว นางจึงรีบดีดร่างขึ้นกำจัดแมงมุมหน้าคนที่อยู่บนคานห้องทิ้งในกระบี่เดียว จากนั้นก็วิ่งฉิวบนเสาคานมุ่งหน้าไปทางประตู ระหว่างนั้นแมงมุมหน้าคนที่อยู่ด้านล่างไล่ตามมาไม่ลดละ ทว่าบนเสาคานมีพื้นที่จำกัด ข้อได้เปรียบด้านจำนวนของพวกมันจึงไม่อาจแสดงออกมาได้ นางอาศัยสภาพพื้นที่บนเสาคานเลี้ยวหลอกล่อพลางโจมตีอย่างหาตัวจับได้ยาก โดยรวมทุกกระบี่ล้วนฟันตายได้หนึ่งตัว

เสียงการต่อสู้ดังมาจากนอกโถงเช่นกัน แมงมุมหน้าคนไล่ล่านางพลางแสยะยิ้มที่ทั้งวิปริตทั้งชั่วร้าย นางถูกรอยยิ้มชนิดนั้นทำให้สะอิดสะเอียนจึงแทงกระบี่ใส่หว่างคิ้วมันอย่างดุดันจนทะลุหัวออกไปในคราวเดียว แสงสีแดงในดวงตามันสลายวับ ร่างส่ายโคลงร่วงตกจากเสาคาน ตอนร่างมันกระแทกพื้นบังเกิดเสียงสนั่นดังกร๊อบ เดิมทีนางนึกว่ามันจะคืนชีพในไม่ช้า ทว่าหนนี้มันแน่นิ่งอยู่บนพื้น ชิ้นส่วนที่หักท่อนแล้วไม่ได้เชื่อมต่อกันอีก

นางมองดูพื้นด้านล่าง มองดูสัตว์ประหลาดชั่วร้ายที่อยู่บนเสาคานแล้วพลันเผยสีหน้าตระหนักได้

ที่แท้พวกมันไม่ใช่ฆ่าไม่ตาย หากแต่อาศัยเส้นใยพิลึกสีแดงกลุ่มนั้นคืนชีพได้ นางไม่รู้หรอกว่าเส้นใยสีแดงคือสิ่งใด แต่คาดคะเนได้ว่าเก็บซ่อนอยู่ในหัวของพวกมัน ฉะนั้นขอเพียงทำลายหัวของพวกมันเสีย สัตว์ประหลาดโขยงนี้ก็จะคืนชีพไม่ได้อีกต่อไป

นอกหน้าต่างแว่วเสียงบ่นอุบของโจวฉางเกิง “นี่มันตัวอะไรกัน มารดามันเถอะ น่าขยะแขยงจริงๆ” หลี่เจาเกออยู่บนเสาคาน เห็นแมงมุมหน้าคนตัวหนึ่งไต่มาตามเส้นใยแล้วพลันโถมร่างเข้าใส่นาง นางจึงกระโดดหลบลงจากเสาคาน อาศัยแรงดิ่งย่ำลงบนหัวของแมงมุมหน้าคนอีกตัวกดตรึงหัวมันกับพื้น ขยี้เท้าซ้ายขวาจนแหลก เตะศพมันออกไปค่อยตะเบ็งเสียงบอกคนข้างนอก “โจมตีหัวของพวกมัน”

ไม่จำเป็นต้องพูดมาก ประโยคเดียวนี้ก็เพียงพอ นางหมุนข้อมือเล็กน้อย มองเห็นน้ำเมือกบนพื้นก็เบนสายตาอย่างข่มกลั้น “น่าขยะแขยงจริงๆ”

หลี่เจาเกอเกรงว่าแมงมุมหน้าคนพวกนี้รั้งอยู่ในโถงจะทำร้ายคน นางจึงเข่นฆ่าพลางใช้ตนเองค่อยๆ ล่อพวกมันออกมาข้างนอก ผลปรากฏว่าทันทีที่ออกมาจากโถง นางก็ถูกภาพข้างนอกทำให้คลื่นเหียน…ชายคา หลังคา ยอดไม้ ทุกแห่งหนมีแต่แมงมุมหน้าคนตาแดงปักหลักรออยู่ ขาเรียวยาวของพวกมันเหยียบกระเบื้องหลังคาช้าๆ สองตาจับจ้องคนบนพื้นไม่กะพริบ มองหาช่องโหว่อยู่ตลอดเวลา ภาพเหตุการณ์นี้หากคนทั่วไปพบเห็นเข้าจะต้องฝันร้ายไปครึ่งปีแน่นอน

เมื่อสังเกตได้ว่าหลี่เจาเกอออกมา ดวงตาหลายคู่ก็มองมาหานางทันใด นางกำกระบี่แน่น เปิดศึกโดยไม่มัวพูดพร่ำทำเพลง

บทที่ 153-2 สุสานฮ่องเต้

หลี่เจาเกอเหินข้ามทางระเบียงอย่างว่องไว อาศัยหัวเลี้ยวทิ้งห่างจากผู้ไล่ล่าแล้วพลันหันขวับกลับมาแทงทะลุหัวมัน ทว่าถึงอย่างไรแมงมุมหน้าคนก็มีมากมายเหลือเกิน กระบี่นางยังเสียบติดอยู่ในหัวไม่ทันจะชักออกมา แมงมุมหน้าคนอีกตัวที่อยู่มุมด้านข้างก็พลันพ่นใยสายหนึ่งมาติดแขนเสื้อนางพอดี นางชักกระบี่ออกมาจนได้ แม้จะสะบัดมือฟันเส้นใยขาด แต่เส้นใยสีแดงชนิดนี้ไม่รู้มีส่วนประกอบใดกันแน่จึงได้หนืดเหนียวยิ่งยวด ต่อให้ตัดเส้นใยบนแขนเสื้อขาดก็ยังเหนียวติดไปบนกระบี่ต่อ

เพียงชั่ววูบที่ล่าช้าแมงมุมหน้าคนที่อยู่ด้านหลังก็ตามมาโอบล้อมนางไว้ได้ มีตัวหนึ่งเงื้อเคียวคู่พุ่งเข้าใส่นางโดยไม่รั้งรอ กระบี่ธาราเร้นยังถูกใยแมงมุมพัวพัน นางจึงได้แต่ชักมีดสั้นในแขนเสื้อมาต้านรับ เมื่อเป็นเช่นนี้สองมือของนางล้วนถูกตรึงแล้ว แมงมุมหน้าคนอีกตัวสบช่องรีบชูเงี่ยงพิษฉีดพ่นน้ำพิษใส่นางทันที

นางค่อยรู้เอาป่านนี้ว่าเงี่ยงพิษของพวกมันไม่เพียงใช้ทิ่มแทง ยังพ่นน้ำพิษได้ไม่ต่างจากงู นางเห็นว่าหลบไม่ทันแน่แล้ว กำลังคิดจะใช้แขนฝืนรับตรงๆ เบื้องหน้าก็พลันผุดโล่แสงมากำบังนาง น้ำพิษที่กระทบโล่แสงถึงกับถูกแช่เย็นเป็นลูกปัดน้ำแข็งร่วงลงพื้นดังติ๊งๆ พริบตานั้นแมงมุมหน้าคนสามตัวที่อยู่ใกล้นางล้วนถูกเคลือบด้วยน้ำแข็ง ลำคอของพวกมันถูกแช่เย็นจนหักสะบั้นโดยพร้อมเพรียง หัวกลิ้งขลุกๆ ลงพื้นแล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ใยแมงมุมบนกระบี่ของนางละลายไปทันตา ครั้นเก็บกระบี่กลับคืนก็เห็นกู้หมิงเค่อกำลังเดินทอดน่องมาหานาง

อาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ รูปโฉมสูงส่งเป็นเอก ทั่วร่างหมดจดดุจเดิม ไม่ได้รับผลกระทบจากแมงมุมประหลาดที่น่าสะอิดสะเอียนพวกนี้สักนิด แม้แต่สังหารพวกมันเขาก็ใช้วิธีแช่แข็งอันสุภาพ ควบคุมจากระยะไกลตลอดกระบวนการ ไม่เหมือนนางที่ตะลุมบอนระยะประชิด บนเสื้อผ้าไม่แคล้วเปื้อนดินโคลนปนน้ำเลือด นางปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอก่อนถาม “พวกที่อยู่ด้านหลังจัดการหมดแล้ว?”

“อืม” กู้หมิงเค่อกล่าว “ด้านหลังไม่มากเท่าไร ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ตรงนี้”

โจวฉางเกิงกระโดดจากหลังคาลงมายืนข้างกายหลี่เจาเกอ แล้วจะใช้กระบี่เคาะแขนนางตามความเคยชิน “แม้แต่กระบี่ยังถูกผู้อื่นตรึงได้ เมื่อแรกเคยสอนเจ้าไว้อย่างไร”

โจวฉางเกิงสังหารแมงมุมหน้าคนไปไม่น้อยเช่นกัน บนกระบี่ของเขายังมีเลือดสดๆ กับน้ำเมือกหยดติ๋งๆ กระบี่เลอะเทอะนั้นยังไม่ทันจะได้แตะถูกหลี่เจาเกอก็พลันถูกกระบี่น้ำแข็งสีฟ้าเล่มหนึ่งสกัดไว้ก่อน โจวฉางเกิงเห็นแล้วตะลึงงัน ตอนอยู่ในราชสำนักสวรรค์เขาเคยได้ยินผู้อื่นกล่าว อย่าเห็นว่าซีขุยเทียนจุนแห่งฟ้าประจิมควบคุมการเข่นฆ่า ส่วนเป่ยเฉินเทียนจุนแห่งฟ้าอุดรอยู่กับงานกระดาษตำราทั้งวี่วัน อันที่จริงผู้ที่ต่อยตีเก่งกาจที่สุดในราชสำนักสวรรค์คือเป่ยเฉินเทียนจุนฉินเค่อนี่เอง ความจริงก็เข้าใจได้ ไม่ว่ากฎระเบียบใดล้วนต้องอาศัยแสนยานุภาพในการพิทักษ์รักษา หากไม่ใช่ฉินเค่อมีพลังยุทธ์แข็งแกร่งมากพอ เหล่าเทพเซียนที่กระทำผิดจะยอมรับโทษแต่โดยดีได้อย่างไรกันเล่า

ฉินเค่อสันทัดกระบี่เป็นพิเศษ ทว่าในราชสำนักสวรรค์ไม่มีสักคนเคยเห็นฉินเค่อใช้กระบี่ ได้ยินว่าก่อนที่ฉินเค่อจะบรรลุเป็นเทพเซียนมีเรื่องแสลงใจบางอย่างกับกระบี่จึงไม่ใช้มันโดยง่าย ตอนอยู่แดนสวรรค์เขาอยากจะประลองกับฉินเค่อสักสองสามกระบวนท่ามาตลอด น่าเสียดายที่ไม่อาจเป็นจริง

นึกไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะได้เห็นกระบี่ประจำกายของเป่ยเฉินเทียนจุน ขณะเขายังตะลึงค้างก็ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวว่า “นี่หนที่สองแล้วนะ”

หนที่สองอะไรกัน โจวฉางเกิงหันมาพร้อมความงุนงงก็เห็นอีกฝ่ายมองเขาด้วยสายตาเย็นเฉียบ “ทุกเรื่องไม่ควรถึงสามครา* แก้นิสัยเสียๆ นี้ทิ้งจะเป็นการดีที่สุด”

โจวฉางเกิงแค่นเสียงฮึ อดไม่ได้ต้องหักข้อนิ้ว “ตัวนางเองยังไม่พูด เป็นธุระกงการอะไรของผู้อื่น”

“พอที” หลี่เจาเกอปรามสองคนนี้ไว้อย่างเหลืออด “แมงมุมมาอีกแล้ว ทำเรื่องสำคัญก่อน!”

กู้หมิงเค่อเก็บกระบี่กลับคืน หมุนตัวจากไปโดยไม่ได้มองโจวฉางเกิง โจวฉางเกิงกลั้นโทสะไว้เต็มท้อง ไม่รู้ว่าควรระบายเช่นไรดี “ศิษย์ที่ข้าสอนออกมา แค่เคาะแขนจะไม่ได้เชียวหรือ”

สามคนแม้ไม่ได้สื่อสารกัน กลับเฝ้าคุมคนละทิศทางกันโดยไม่ต้องนัดแนะ หลี่เจาเกอสังหารแมงมุมหน้าคนไปก็ขบคิดไป คืนนี้กองทัพฉลองชัย หลายคนดื่มสุราจนไม่ได้สติ จริงอยู่ลอบโจมตีในห้วงเวลานี้เป็นโอกาสงาม ทว่าหลี่สวี่ตายไปแล้ว คนหลังม่านมาลงมือเอาป่านนี้เพราะเหตุใดกัน

ขณะนางขบคิดอยู่นั้นบังเอิญเหลือบเห็นแมงมุมหน้าคนตัวหนึ่งเดินเตร่อยู่ข้างผู้ที่เมาไม่ได้สติ มันไม่ได้เคลื่อนไหวประเปรียวมีสีสดเข้มเช่นแมงมุมหน้าคนตัวอื่น ทั่วร่างมันเป็นสีเทาอ่อน อุ้ยอ้ายอืดอาด พุงใหญ่ย้วยจนลากพื้น เดินไต่บนพื้นไปอย่างเชื่องช้าพลางใช้ปากแมงมุมสูบลมหายใจจากปากคน แม้มองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงด้วยตาเปล่า แต่สัมผัสได้ว่ามีพลังที่ไร้สภาพขุมหนึ่งถูกสูบกลืนลงท้องแมงมุมเทาตัวนั้น แมงมุมเทาพออกพอใจแล้วจึงไต่ไปหาคนถัดไป ร่างกายของคนที่ถูกสูบพลังยังคงเดิม ทว่าใบหน้าหมองลงอย่างรวดเร็ว

ราวกับแหล่งพลังชีพที่สำคัญที่สุดถูกสูบกลืนไปแล้ว

หลี่เจาเกอตอบสนองได้ทันที นั่นคือพลังที่ติดตัวมนุษย์แต่กำเนิด พลังขุมนี้ได้มาจากครรภ์มารดาคือของขวัญอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่สวรรค์เบื้องบนมอบแก่มนุษย์ มีพลังขุมนี้อยู่ภูตผีปีศาจจึงจะไม่กล้ากล้ำกราย เช่นนี้เองมนุษย์ที่บรรลุเป็นเทพเซียนจึงได้เป็นใหญ่ในหมู่เทพเซียนทั้งปวง พลังแต่กำเนิดนี้ส่งผลกระทบต่อทุกด้าน บางคนมีพลังขุมนี้แข็งแกร่งก็จะเฉลียวฉลาด แข็งแรง ดวงดีแต่เกิด บางคนมีพลังขุมนี้อ่อนแอก็จะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดชั่วชีวิต ดังเช่นภาษิตว่าไว้…โรคที่พกมาจากครรภ์มารดารักษาไม่หาย

เมื่อทารกเติบใหญ่พลังแต่กำเนิดนี้จะเบาบางลงตามลำดับ เชาวน์ปัญญากับตาทิพย์ของเด็กเล็กจะค่อยๆ ปิดตัวลงจนไม่อาจสื่อสารกับฟ้าดินได้อีก นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่การบำเพ็ญเต๋าและการฝึกยุทธ์ล้วนต้องเริ่มฝึกตั้งแต่เป็นเด็กน้อย มนุษย์เมื่อเติบใหญ่จะเปลี่ยนเป็นทึ่มทื่อ ไม่อาจเรียนรู้ได้ไวเช่นวัยเด็ก หากโตแล้วค่อยมาร่ำเรียน ไม่ว่าจะร่ำเรียนสิ่งใดล้วนก้าวหน้าได้จำกัด

หากพลังแต่กำเนิดนี้หมดสิ้นไป มนุษย์ก็จะใกล้สิ้นอายุขัย ร่างกายจะทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว พลังนี้ล้ำค่าทว่ามีปริมาณจำกัด ผู้บำเพ็ญเต๋าเห็นมันเป็นสมบัติที่ประเมินค่ามิได้ น่าเสียดายนอกจากครรภ์มารดากลับไม่มีแหล่งกำเนิดอื่นอีก นึกไม่ถึงว่าแมงมุมเทาตัวนี้จะชั่วร้ายถึงขั้นปล้นชิงพลังแต่กำเนิดของผู้อื่นไป

หลี่เจาเกอมองสำรวจรอบหนึ่ง แมงมุมหน้าคนทุกตัวในระยะสายตาล้วนมีสีสดแลดูเหี้ยมหาญ เว้นแต่ตัวนี้สีซีดหม่นอัปลักษณ์แลดูไม่สะดุดตา นางตระหนักได้ว่ามันก็คือตัวนางพญา จึงรั้งกระบี่รุดไปหามันทันที

ครั้นฝูงแมงมุมหน้าคนค้นพบว่าหลี่เจาเกอคิดร้ายต่อนางพญาของพวกมันก็พากันพ่นน้ำพิษยับยั้ง นางถูกพวกมันสกัดกั้นชั้นแล้วชั้นเล่า กว่าจะกำจัดตัวผู้เหล่านี้เสร็จ ตัวนางพญาก็หนีไปไกลแล้ว

นางไล่ตามไปโดยไม่รั้งรอ

ระหว่างทางมีตัวผู้มาขัดขวางนางไม่หยุดหย่อน นางสังหารไปพลางไล่ล่าไปพลาง กระทั่งมาถึงลานเปลี่ยวในคฤหาสน์แห่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว นางเหินข้ามราวกั้น คมกระบี่ดุจแสงจันทร์พาดผ่านสาดรอยเลือดหนึ่งสายกระเด็นไปเปรอะกระดาษกรุหน้าต่างสีขาวหิมะ หัวที่มีใบหน้าคนถูกบั่นจากลำตัว กลิ้งลงขั้นบันไดไปติดคาอยู่ข้างกระถางดอกไม้ ขณะที่นางกลับหลังหันไปกำจัดแมงมุมหน้าคนอีกสองตัว เส้นใยสีแดงก็ชักพาหัวที่อยู่ข้างกระถางดอกไม้ให้ค่อยๆ หมุนกลิ้งไปหาส่วนลำตัวโดยไร้เสียง ยามที่มันกำลังจะต่อติดกับรอยขาด กระบี่เล่มหนึ่งก็แทงปราดลงมาจากด้านบน ทะลุขมับของมันออกไป เสียบลึกลงพื้นดิน

หลี่เจาเกอชักกระบี่กลับคืน สะบัดเพียงเบาๆ คราบเลือดบนกระบี่ก็อันตรธานไร้ร่องรอย นางหมุนตัวมองพิจารณารอบด้าน มีศาลาหอเก๋งอันงามประณีต มีสวนตกแต่งภูเขาจำลองซึ่งทำให้ทัศนียภาพดูเปลี่ยนไปในทุกย่างก้าว ตลอดจนมีแถบปิดผนึกของทางการปิดอยู่บนบานหน้าต่าง…นางทายออกแล้วว่านี่คือที่ใด

ในเมื่อมาถึงแล้วนางก็ไม่มัวเกรงใจ ผลักประตูเรือนดูทันที ภายในเรือนตกแต่งหรูหรางามกระจ่างตา คล้ายไม่นานก่อนหน้านี้ยังมีคนพำนักอยู่ ทว่านอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกอันฟุ้งเฟ้อต่างๆ ก็ไม่มีสิ่งอื่นที่เป็นประโยชน์

นางรื้อค้นชั้นหนังสือก่อนเดินออกจากเรือน ตลอดทางนางไล่ตามนางพญาอย่างกระชั้นชิด ทว่ามันไต่เข้ามาในนี้แล้วกลับหายตัวไป ตรงนี้มีพื้นที่แค่เท่านี้ มันจะหลบซ่อนที่ใดได้

หลี่เจาเกอเดินลัดเลาะกระถางดอกไม้ รู้สึกคลับคล้ายแผ่นหินใต้ฝ่าเท้าผิดปกติจึงใช้กระบี่เคาะดูทีละแผ่น มีบางบริเวณกลวงจริงเสียด้วย

นางบรรจุปราณแท้ลงในกระบี่ก่อนกระทุ้งแผ่นหินโดยแรง แผ่นหินบังเกิดรอยแตกทันตา นางก้าวปราดถอยหลัง เพิ่งจะยืนมั่นคงบริเวณเมื่อครู่นี้ก็ยุบตัว หน้าดินทลายลึกลงไปเรื่อยๆ ปากโพรงหยุดตรงหน้าเท้านางพอดิบพอดี

สุดท้ายเบื้องหน้านางปรากฏโพรงอันดำมืด ขนาดเพียงพอที่สองคนจะผ่านเข้าไปได้ นางมองดูครู่เดียวก็กุมกระบี่กระโดดลงไป

อีกฝ่ายอุตส่าห์ใช้ทุกวิถีทางล่อนางมาที่นี่ ในเมื่อมาถึงแล้วมีเหตุผลใดจะผ่านเลยประตูไปโดยไม่แวะเข้า

 

ขณะเดียวกันภายในจวนว่าการ แมงมุมหน้าคนยังคงแห่แหนมาหากู้หมิงเค่อกับโจวฉางเกิงไม่ขาดสายราวไม่มีวันจะฆ่าได้หมดสิ้น โจวฉางเกิงกุมกระบี่สับหัวแมงมุมหน้าคนตัวหนึ่งแบะเป็นสองซีกแล้วปาดเลือดบนหน้าตนเองลวกๆ ก่อนเอ่ย “ตรงนี้มอบให้ข้า ท่านตามนางไป”

กู้หมิงเค่อตบแมงมุมหน้าคนตัวหนึ่งแหลกในฝ่ามือเดียว แล้วเปลี่ยนทิศทางรุดจากไปโดยไม่ขานตอบ

หลี่เจาเกอทิ้งตัวลงมาจากปากโพรง พอเท้าสัมผัสพื้นก็ไม่หยุดนิ่ง ดีดร่างขึ้นในทันที รอบทิศมีห่าเกาทัณฑ์ยิงออกมาระลอกใหญ่ ปักบริเวณที่นางยืนเมื่อครู่จนพรุนดังคาด นางกระโดดลงจากผนัง เป่าไต้ให้เกิดไฟแล้วคลำทางมุ่งหน้าไปช้าๆ

เบื้องหน้าคือทางอุโมงค์อันมืดทึมคดเคี้ยว บนพื้นชื้นแฉะ ผนังมีหยดน้ำเล็กๆ ผุดพราย บนผนังทุกระยะหนึ่งจะปรากฏไข่มุกราตรีหนึ่งเม็ดกำจายแสงนวลเย็นตา

ครั้งแรกที่เห็นไข่มุกราตรีนางไม่ได้ใส่ใจ กระทั่งเดินไปพักใหญ่จึงอุทานในใจอย่างห้ามไม่อยู่ ประดับไข่มุกราตรีขนาดเท่าผลลำไยทุกระยะหนึ่งจั้ง ดูจากความยาวของทางอุโมงค์สายนี้ วังใต้ดินทั้งหลังคงไม่เล็กแน่ ประดับเช่นนี้เรื่อยไปจะต้องหมดเปลืองทุนทรัพย์มากเพียงใด

ระหว่างทางปรากฏทางแยกหลายสาย หลี่เจาเกอพลาดเลือกประตูผิดไปบานหนึ่งจึงต้องตะลุยฝ่าผนังตะปู เกาทัณฑ์ กับไอพิษกว่าจะรอดตัวมาได้ ยังดีด้านหน้าเข้าเขตตำหนักบรรทมแล้ว ในที่สุดกลไกก็หยุดพัก ในนี้ไม่ชื้นแฉะเหมือนตรงทางอุโมงค์ เพดานยกสูงเป็นทรงโค้งกลม มีทางระเบียงวนกับสะพานโค้งเชื่อมต่อถึงกัน แผ่นหินใต้ฝ่าเท้าล้วนถูกขัดจนเรียบเกลี้ยงดุจหยก ทอดตามองไปให้ความรู้สึกสง่าโอ่อ่ากลางความมืดสลัว นางถือไต้เดินผ่านไปห้องแล้วห้องเล่า ในห้องเหล่านั้นเนืองแน่นด้วยกองเงินกองทอง อัญมณี และแพรพรรณ ระดับความแยงตานี้แม้แต่หลี่เจาเกอยังตกตะลึงจนพูดไม่ออก ทว่านางไม่ได้รั้งฝีเท้า เดินหน้าต่อโดยไม่มีลังเล

ห้องด้านหน้าค่อยๆ ลดความฟุ้งเฟ้อลง แลดูสงบเรียบง่ายแบบโบราณ เครื่องตกแต่งก็สง่างามอย่างยิ่ง นางค้นพบว่ามีห้องหนึ่งเรียงรายไปด้วยหนังสือไม้ไผ่ ฝีก้าวจึงชะงักเล็กน้อย สุดท้ายยังคงก้าวเข้าไปในห้องนั้น

นางชักหนังสือไม้ไผ่ม้วนที่อยู่บนสุดลงมา ในนั้นเป็นตัวอักษรโบราณ นางจำแนกไม่ค่อยจะออก ได้แต่อาศัยการเดาสุ่ม อ่านไปอย่างตะกุกตะกัก ครั้นอ่านไปสองม้วนก็พอจะคาดคะเนได้ว่าเล่าเรื่องราวของปราชญ์ผู้หนึ่ง แต่เนื้อความมีชื่อคนกับชื่อสถานที่เยอะเหลือเกิน ซ้ำนางก็ไม่เข้าใจความหมาย

นางจึงเลิกล้มที่จะอ่านม้วนหนังสือเหล่านั้น หันไปดูภาพวาดแทน ตัวอักษรนางอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง ภาพวาดคงจะดูออกได้กระมัง นางเพิ่งรื้อภาพมาดูสองม้วนก็พบว่าทิศตะวันออกของห้องขึงผ้าม่านไว้ หลังม่านคลับคล้ายมีของบางอย่าง

นางบังเกิดความอยากรู้อยากเห็น นั่นคือสิ่งใดกันนะ เหตุใดต้องซ่อนไว้หลังม่านด้วย นางวางม้วนภาพในมือลง เดินตรงไปทางผ้าม่านโดยไม่รั้งรอ

ครั้นดึงผ้าม่านออกก็พบว่าตรงหน้าเป็นผนัง บนผนังแขวนภาพบุคคลอยู่เจ็ดภาพ ภาพเหล่านี้แม้ถูกซุกซ่อนอยู่หลังม่าน ทว่าดูจากเนื้อกระดาษ การเข้ากรอบ และลายเส้นพู่กันแล้ว เห็นชัดว่าเจ็ดภาพนี้ต่างหากล้ำค่าที่สุด

หลี่เจาเกอไล่ดูไปทีละภาพตามลำดับ ในวังหลวงมักมีความเคยชินที่จะวาดภาพเหมือนแก่เจ้าเหนือหัวและสตรีตำหนักใน ผู้ถูกวาดจะสวมเครื่องแต่งกายที่ทรงเกียรติที่สุด นั่งนิ่งหลายชั่วยามเพื่อให้จิตรกรวาดรูปลักษณ์ที่ดูน่าเกรงขามที่สุดออกมา ภาพทั้งเจ็ดนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ภาพแรกๆ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีล้วนนั่งตัวตรง ความเคร่งขรึมเกลื่อนใบหน้า ส่วนล่างของภาพเป็นความเรียงยาวเหยียดโดยประโยคทุกคู่มีจำนวนตัวอักษรเท่ากัน เนื้อความนั้นนางอ่านไม่ค่อยจะเข้าใจ เพียงแยกแยะได้เลาๆ ว่าเป็นชีวประวัติกับคำสรรเสริญบุคคลในภาพ

หลี่เจาเกอไม่รู้จักสมัญญานามของพวกเขา ได้แต่คาดคะเนด้วยสัญชาตญาณว่าสามภาพแรกคือผู้เป็นปู่ทวด ปู่ และย่าตามลำดับ อีกสองภาพถัดมาเป็นบุรุษวัยกลางคนกับหญิงงามที่ออกเรือนแล้ว พอหลี่เจาเกอเห็นหญิงงามผู้นั้นก็อุทานออกมาทันที “เป็นนาง”

ตอนอยู่ที่วังตากอากาศหลี่เจาเกอเข้าสู่ห้วงฝันโดยไม่เจตนา ได้เห็นฮองเฮาผู้หนึ่งให้กำเนิดทารกแฝด แต่เพราะฮองเฮากลัวว่าจะไม่ตรงตามคำทำนายของโหรหลวงจึงหมายจะทำให้ทารกคนหลังจมน้ำตาย ตอนนั้นหลี่เจาเกอยังเคยสะท้อนใจ ฮองเฮาผู้นี้มีรูปโฉมดีงาม แต่จิตใจกลับโหดเหี้ยมตรงข้ามกับรูปโฉม

ในห้วงฝันฮองเฮาเพิ่งคลอดเสร็จ เรือนผมเปียกรุ่ยร่าย ใบหน้าเผือดขาว แต่ยังคงมองออกว่าเหมือนสตรีในภาพไม่ผิดเพี้ยน

ที่แท้นี่ก็คือภาพบิดามารดาของเขากับแฝดผู้พี่ หลี่เจาเกอสังเกตบิดาเป็นพิเศษ เจ้าเหนือหัวผู้นี้เปี่ยมสง่าราศี จมูกโด่งนัยน์ตาลุ่มลึก โครงหน้าเฉียบคมองอาจ เป็นรูปโฉมที่มีเสน่ห์บุรุษอย่างล้นเหลือ บิดามารดาล้วนเป็นคนงาม มิน่าเล่าบุตรชายจึงโดดเด่นเพียงนี้

หลี่เจาเกอเดินไปยังภาพถัดไป นางหยุดยืนเบื้องหน้าภาพเหมือน จำแนกตัวอักษรใต้ภาพอย่างถี่ถ้วน “ฉินเหวย?”

ที่แท้องค์ชายใหญ่มีนามว่าฉินเหวย นางเงยหน้ามองดูภาพ นี่น่าจะเป็นภาพหลังจากเติบใหญ่ มิอาจไม่กล่าวว่าพี่น้องคู่นี้เลือกมาแต่จุดเด่นของบุพการี โครงหน้าสืบทอดความสง่าองอาจของบิดา ราศีสืบทอดความงามประณีตของมารดา ผนวกรวมกันยิ่งเหนือล้ำกว่าคนรุ่นก่อน

นางมองดูเพียงสองแวบก็เดินหน้าต่อ สิ่งที่นางสนใจอย่างแท้จริงคือภาพอีกใบต่างหาก นางมายืนหน้าภาพใบสุดท้ายดังที่ใจปรารถนา ไม่ผิดจากที่คาดไว้รูปโฉมของเขาเมื่อเติบโตขึ้นยิ่งหล่อเหลากว่าวัยเยาว์ คิ้วกระบี่ เนตรดารา สันจมูกเรียวยาว ริมฝีปากบางได้รูป แนวกรามพิถีพิถัน ลำคอระหง เรือนกายสูงผึ่งผาย พกพาซึ่งความห้าวหาญของคนหนุ่ม

แม้สองพี่น้องมีรูปโฉมเดียวกัน แต่มองออกได้อย่างชัดเจนว่าบุคลิกแตกต่างโดยสิ้นเชิง อีกทั้งเขาดูอ่อนเยาว์กว่าพี่ชายมาก

เดี๋ยวนะ อ่อนเยาว์?

หลี่เจาเกอรีบเลื่อนสายตาไปอ่านอักษรใต้ภาพ บนสุดของแถวอักษรเขียนนามของเขาว่าฉินเค่อ ทว่าข้อมูลของเขาถัดจากอักษรจ้วนที่งดงามสองตัวนั้นกลับมีอยู่เพียงไม่กี่ตัว นางจำแนกตัวอักษรเหล่านั้นอย่างยากเย็น “ฉินเค่อ บุตรคนรองของขุยเซียงหวัง น้องชายฝาแฝดของฉินเหวย ภายหลังศึกที่ฉางหลิง แคว้นต่างๆ จับมือกันบุกตีแคว้นขุย ในห้วงวิกฤตฉินเค่อสละตนเพื่อคุณธรรม เซ่นกระบี่ธาราเร้นด้วยวิธีเจ็ดเจ็ดสังเวยชีพ ถึงแก่กรรมในวัยสิบแปด”

ดวงตาของหลี่เจาเกอพลันเบิกโพลง

 

 

(ติดตามต่อได้ในรูปแบบ E-book ฉบับเต็มวันที่ 27 มีนาคม 2568)

 

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: