บทที่ 87 ข้อห้าม
กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกองงานปราบปีศาจ ศพผู้ตายนำไปไว้ที่ห้องเก็บศพ เก็บรักษาให้ดี”
ผู้ใต้บัญชาประสานมือขานรับ ฮ่องเต้แบ่งทหารหลวงกองกำลังอุดรมาให้หลี่เจาเกอหนึ่งพันนาย ปัจจุบันนางมีบริวารเหลือเฟืออย่างที่ไม่เคยเป็น ขณะทหารเข้าๆ ออกๆ ขนสิ่งของ นางจับตามองอยู่บนทางระเบียง เฮ่อหลันชิงเดินช้าๆ มาจนถึงข้างกายนางแล้วยิ้มถาม “น้องสาวคล้ายสนิทกับรองตุลาการกู้มาก เหตุใดวันนี้จงใจยั่วโมโหเขาเล่า”
สายตาหลี่เจาเกอจับจ้องกลุ่มคนที่กำลังเดินไปมา เอ่ยเย็นชาโดยไม่แม้แต่จะเอียงหน้าไป “ข้อแรก…ในเวลางานท่านควรเรียกข้าว่าผู้บัญชาการ ข้อสอง…ข้ากับเขาสนิทกันหรือไม่ เป็นธุระกงการอะไรของท่าน”
ถ้อยคำเหล่านี้ของนางไม่ไว้หน้ากันแม้แต่น้อย รอยยิ้มของเฮ่อหลันชิงค่อยๆ หุบลง “ไม่ว่ากับผู้ใดองค์หญิงเซิ่งหยวนล้วนเฉยเมย เว้นแต่กับรองตุลาการกู้ที่ปฏิบัติต่างไป ข้ายังนึกว่าในใจขององค์หญิงเขาไม่เหมือนผู้อื่นเสียอีก”
เดิมเฮ่อหลันชิงเอ่ยเช่นนี้เจตนาจะยั่วยุหลี่เจาเกอ นึกไม่ถึงว่านางกลับหัวเราะ เหลียวมาจ้องเขาด้วยแววตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ก็ไม่เหมือนน่ะสิ ถึงอย่างไรรูปโฉม ท่วงที วาจา และความรู้ของเขาล้วนแต่เลิศล้ำเหนือสามัญ มี ‘ไข่มุกหยก’ เช่นนี้เป็นตัวเปรียบเทียบ ผู้ใดยังจะเหลือบแล ‘ลูกตาปลา’ เล่า บุรุษพื้นๆ มายั่วยุต่อหน้าข้าล้วนป่วยการเปล่า ท่านว่าถูกต้องหรือไม่พี่เฮ่อหลัน”
เฮ่อหลันชิงฝืนหยักยกริมฝีปาก ปั้นหน้ายิ้มแต่ใจไม่ยิ้ม “ในสายตาของคนรักย่อมแลเห็นซีซือ องค์หญิงเซิ่งหยวนกล่าวถูกต้อง”
หลังหลี่เจาเกอพูดกระทบกระเทียบเฮ่อหลันชิงด้วยวาจาติดหอกพกกระบอง ไปหนึ่งยกก็ถอนสายตาคืนมา คร้านกระทั่งจะเจือจานหางตาให้ สำหรับบุรุษพื้นๆ ชวนเอียนแต่กลับเชื่อมั่นในตนเองสุดขีดพรรค์นี้อย่าไปไว้หน้า ที่เฮ่อหลันชิงรุ่มร่ามจนถึงขั้นนี้ก็เพราะสตรีรอบข้างคอยตามใจ
หานกั๋วฟูเหรินมีบุตรชายเพียงคนเดียว ประกอบกับเฮ่อหลันชิงมีรูปโฉมดี ตั้งแต่วัยเด็กก็ปากแดงฟันขาว เป็นที่เอ็นดูของหานกั๋วฟูเหรินกับหยางฮูหยินอย่างยิ่ง ผู้อาวุโสสตรีในสกุลอู่ตามใจเขา สาวใช้ในจวนสกุลเฮ่อหลันตามใจเขา แม้แต่คณิกาข้างนอกก็โอนอ่อนต่อเขาทุกอย่าง นานวันเข้าจึงบ่มเพาะเป็นนิสัยหยิบโหย่งแล้งน้ำใจ แต่เฮ่อหลันชิงเองไม่เห็นว่าน่าอดสู กลับมองเป็นเกียรติยศเสียอีก
สตรีข้างนอกตามใจเขา หลี่เจาเกอกลับไม่ เฮ่อหลันชิงเสียท่าให้หลี่เจาเกอหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดก็ไม่กล้าตอแยนางอีกและเดินฮึดฮัดจากไป นางแค่นเสียงฮึในใจเบาๆ ก่อนสั่งการผู้ใต้บัญชาของกองงานปราบปีศาจ “พวกเจ้าขนย้ายต่อ ประเดี๋ยวไม่ต้องรอข้า นำกลับกองงานปราบปีศาจไปได้เลย ไม่ช้าข้าจะตามไป”
“รับทราบ”
หลี่เจาเกอมาสืบคดีในบ้านหานกั๋วฟูเหรินย่อมไม่อาจมาแล้วกลับเลย ก่อนจากจะอย่างไรก็ต้องไปคารวะท่านป้าสักหน่อย นางเดินไปถึงเรือนหลัก หานกั๋วฟูเหรินกับเฮ่อหลันหมิ่นคอยอยู่ในห้องนานแล้ว เมื่อสาวใช้เข้ามาแจ้ง หานกั๋วฟูเหรินจึงวางช้อนน้ำแกงลง ถอนใจเนิบช้า “มาได้เสียที”
เฮ่อหลันหมิ่นยืนขึ้นจะพยุงผู้เป็นมารดาให้ลุก หลี่เจาเกอเข้าประตูมาเห็นจึงเอ่ยยับยั้ง “ท่านป้าช้าก่อน ท่านไม่ค่อยสบาย สงบใจพักเถิด ข้าจะกล้ารบกวนท่านป้าลุกขึ้นได้อย่างไร”
หานกั๋วฟูเหรินลุกพอเป็นพิธีก็นั่งกลับไปบนตั่งช้าๆ เฮ่อหลันหมิ่นจัดสาบเสื้อ ก่อนยอบกายคำนับหลี่เจาเกอ “องค์หญิงเซิ่งหยวน”
“น้องเฮ่อหลัน”
หานกั๋วฟูเหรินเอนตะแคงบนตั่งคนงาม มีสาวใช้คุกเข่าอยู่สองข้างคอยโบกพัดให้นางเบาๆ นางใช้มือหนึ่งหนุนแก้ม อีกมือป้องปากหาว แขนเสื้อจึงเลื่อนร่นจากท่อนแขนเผยให้เห็นผิวผ่องอิ่มเอิบแถบใหญ่
หลี่เจาเกอเห็นแล้วถามว่า “ท่านป้าเป็นอันใดไป เมื่อคืนหลับไม่สนิทหรือ”
หานกั๋วฟูเหรินลดมือลงก่อนบ่นอุบ “ไม่รู้เกิดอันใดขึ้น พักนี้กลางวันข้ามักเหนื่อยเพลียยิ่ง กลางคืนอยากจะนอนก็นอนไม่หลับ พอถึงกลางวันก็ง่วงไม่เลิกราอีก น่ารำคาญใจจริงๆ”
เสียงบ่นของหานกั๋วฟูเหรินทั้งบอบบางทั้งหยาดเยิ้ม นุ่มนวลดุจสายน้ำ ราวแมวน้อยกำลังออดอ้อน หลี่เจาเกอไม่ใช่บุรุษ แต่เล็กก็ไม่ค่อยจะเข้าใจว่าการออดอ้อนมีจุดน่าเอ็นดูอยู่ตรงที่ใด เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้จึงเสนอแนะอีกฝ่ายไปอย่างจริงจังยิ่ง “ท่านป้ากลางวันง่วงเพลีย กลางคืนนอนไม่หลับ น่าจะเพราะขาดการออกกำลัง ร่างกายจึงอ่อนแอไม่มีเรี่ยวแรง มิสู้ท่านป้ายืดเส้นสายมากหน่อย จะขี่ม้ายิงธนู วิ่ง หรือเดินเล่นสัมผัสธรรมชาติก็ได้”
หลี่เจาเกอกล่าวจบ ในห้องก็ตกสู่ความเงียบช่วงสั้นๆ ชั่วครู่ให้หลังหานกั๋วฟูเหรินป้องหน้ากึ่งหนึ่ง เอ่ยปนยิ้มหวาน “ขอบใจเซิ่งหยวนยิ่งนักที่เตือน เพียงแต่ข้าอายุมากแล้ว เทียบกับสาวๆ อย่างพวกเจ้าไม่ไหว คร้านจะขยับตัว”
หลี่เจาเกอคิดในใจ…อีกฝ่ายบ่นชัดๆ ว่าง่วงเพลีย ตนเสนอวิธีแก้ให้กลับบอกว่าคร้านจะขยับ ตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่ หลี่เจาเกอไม่อยากพูดเรื่องนี้อีกจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ท่านป้าจัดการเองตามที่เห็นควรเถิด พี่เฮ่อหลันกับน้องสาวล้วนกตัญญู จะต้องแบ่งเบาความกลัดกลุ้มให้ท่านได้แน่”
หานกั๋วฟูเหรินฟังถึงตรงนี้นัยน์ตาก็สั่นไหว มือยันตั่งอันงามประณีต ลุกขึ้นนั่งช้าๆ แล้วถอนใจกล่าว “ข้าเหน็ดเหนื่อยมาครึ่งค่อนชีวิต บัดนี้อยากจะพักผ่อนเสพสุขอยู่หรอก แต่จนใจที่พวกเขาพี่ชายกับน้องสาวก่อกวนเก่งไม่แพ้กัน จะให้ข้าสบายใจได้อย่างไร หมิ่นเอ๋อร์ยังดีหน่อย ปีนี้นางครบสิบเจ็ดพอดี ข้าจะคัดสรรสามีดีๆ ให้นาง ชั่วชีวิตนี้ของนางก็นับว่ามั่นคงแล้ว ทว่าเจ้าใหญ่นี่สิใจไม่นิ่งเสียที ข้าพูดตั้งหลายครั้งว่าจะสู่ขอสตรีให้ เขากลับบอกอยู่เรื่อยว่าตนเองอายุยังน้อย ไม่อยากถูกสตรีผูกมัด เฮ้อ ไม่รู้เมื่อไรข้าจึงจะได้อุ้มหลาน”
เฮ่อหลันหมิ่นโบกพัดให้มารดา ได้ยินเช่นนี้ก็ปรายตามองหลี่เจาเกอเบาๆ ก่อนเอ่ย “ท่านแม่ ท่านอย่าร้อนใจไปเลย ที่พี่ใหญ่ไม่อยากแต่งงาน เพียงเพราะยังไม่พบเจอคนที่ชอบ รอจนเขาได้พบเจอ ใจก็จะนิ่งเอง”
หานกั๋วฟูเหรินหัวเราะคิก “แม่หวังจะให้ใจเขานิ่งไวๆ ไม่รู้ว่าแม่นางบ้านใดหนอจะทำให้เขาเก็บจิตเก็บใจเลิกว่อกแว่กได้”
หลี่เจาเกอไม่ชอบเล่นปริศนาคำทายกับสตรี แต่ไม่ได้หมายความว่านางฟังไม่เข้าใจ นับรวมสองชาตินางเคยเจอผู้คนมาตั้งเท่าไร สตรีในเรือนหลังอย่างพวกหานกั๋วฟูเหรินหรือจะมีฝีมือในการสังเกตสีหน้าวาจาของผู้อื่นเทียบนางได้ นางสังเกตเห็นแววตาของเฮ่อหลันหมิ่น พิจารณาร่วมกับความนัยที่คล้ายมีคล้ายไม่มีในคำพูดของหานกั๋วฟูเหรินกับท่าทีคลุมเครือของเฮ่อหลันชิง มีหรือจะไม่เข้าใจว่าสามแม่ลูกนี้หมายทำอันใด
ที่แท้หานกั๋วฟูเหรินเขียนจดหมายถึงเทียนโฮ่วให้หลี่เจาเกอรับช่วงคดีสาวใช้จวนสกุลเฮ่อหลัน เปลือกนอกเพื่อจะขับไล่คนศาลต้าหลี่ แต่แท้จริงต้องการจับคู่หลี่เจาเกอกับเฮ่อหลันชิงต่างหาก สายตาของหานกั๋วฟูเหรินมองสูงลิ่ว เลือกเฟ้นไปมารู้สึกว่าสตรีตระกูลใหญ่ในราชธานีตะวันออกไม่มีใครคู่ควรกับบุตรชายที่รักของนางเลย จึงหันไปหมายตาองค์หญิงแทน
ด้วยอุปนิสัยของหานกั๋วฟูเหรินกับหยางฮูหยิน ไม่มีทางจะยอมให้เฮ่อหลันชิงแต่งกับองค์หญิงที่เกิดจากสนมชายา ทว่าหลี่ฉังเล่อสนิทกับสกุลเผยมาแต่เล็ก ต่อให้หานกั๋วฟูเหรินเข้าข้างบุตรชายตนเองถึงเพียงใด นางก็แจ้งใจว่าเขาทาบเผยจี้อันไม่ติด เดิมทีจึงดับความคิดหวังในตัวองค์หญิงไปแล้ว กระทั่งหลี่เจาเกอหวนคืนมา
หลี่เจาเกออ่อนกว่าเฮ่อหลันชิงสี่ปี มีที่ศักดินามั่งคั่ง รูปโฉมงดงาม ทั้งยังเป็นบุตรีคนโตที่เกิดจากฮองเฮา ดูจากการเปลี่ยนแปลงทิศทางลมในวังหลวงช่วงหนึ่งปีมานี้ ฮ่องเต้สนับสนุนหลี่เจาเกอยิ่งยวด โปรดปรานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหลี่ฉังเล่อไข่มุกน้อยแห่งราชธานีตะวันออก หานกั๋วฟูเหรินค่อยๆ ตรึกตรอง เห็นว่าหลี่เจาเกอถึงวัยแต่งงานแล้ว ขืนไม่ออกเรือนก็จะไม่มีคนต้องการอีก มิสู้มาเป็นภรรยาเฮ่อหลันชิง ลูกพี่ลูกน้องเกี่ยวดองกันอีกชั้น เหมาะเจาะพอดีไม่ใช่หรือไร
ส่วนเรื่องที่หลี่เจาเกอเผยหน้าเผยตาอยู่ข้างนอกทั้งวี่วันนั้น หานกั๋วฟูเหรินสามารถเปิดใจกว้างไม่ถือสา เฮ่อหลันชิงไม่อาจทนลำบาก ต้องเป็นผู้มีทรัพย์จึงจะเลี้ยงดูเขาไหว แม้หลี่เจาเกอมีจริตโอนอ่อนในฐานะภรรยาไม่เพียงพอ ทว่าอย่างน้อยยังหาเงินทองได้ หานกั๋วฟูเหรินกับเฮ่อหลันชิงย่อมสามารถกล้อมแกล้มยอมรับไว้
หานกั๋วฟูเหรินนึกว่าแววตามองสำรวจของตนเก็บงำดียิ่ง ทั้งที่จริงแล้วหลี่เจาเกอทำเป็นมองไม่เห็น
หลี่เจาเกอเงียบไปครู่หนึ่ง ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี นางเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก บุรุษที่เกาะสตรีกินแต่กลับยังช่างเลือกช่างติรู้สึกว่าตนเองสูงส่งเสียเต็มประดา นางไม่ถือสาที่จะหาเลี้ยงครอบครัว แต่ปัญหาคือเหตุใดนางจะต้องเลือกเฮ่อหลันชิงเล่า
ด้วยฐานะอำนาจของนาง เพียงกระดิกนิ้วก็มีบุรุษถมเถปรี่เข้าหา เป็นหนุ่มหน้าขาวพรรค์เดียวกัน นางมิสู้เลือกไป๋เชียนเฮ่อยังดีกว่า อย่างน้อยไป๋เชียนเฮ่อก็มีวิชาตัวเบาต่อยตีได้ เฮ่อหลันชิงนั่นทำอะไรเป็นบ้าง
หลี่เจาเกอไม่อยากนั่งอยู่ต่อไป ถึงขั้นเสียใจภายหลังไม่น้อย เมื่อครู่นางไม่น่ายั่วโมโหกู้หมิงเค่อจนเขาจากไปเลย คดีนี้สมควรมอบให้ศาลต้าหลี่ทำ
หานกั๋วฟูเหรินกับสาวใช้จวนสกุลเฮ่อหลันล้วนมองหลี่เจาเกอด้วยแววตายิ้มเย้า พวกนางนึกว่าจะได้เห็นแม่นางน้อยวัยกำดัดขวยเขินหน้าแดง ทว่ากลับเห็นหลี่เจาเกอเพียงยืนขึ้นอย่างเย็นชา สายตานิ่งกระจ่าง ใบหน้าดุจฉาบเกล็ดน้ำแข็ง “พี่เฮ่อหลันอายุอานามไม่น้อย ถึงเวลาเร่งหาพี่สะใภ้แล้วจริงๆ เพียงแต่เขาประพฤติตนไม่สำรวม คบหาสตรีผู้รู้ใจไปทั่วทุกแห่ง คิดจะหาพี่สะใภ้ที่ใจกว้างสักคนเกรงว่าคงไม่ง่าย ท่านป้าต้องเร่งมือหน่อยแล้ว”
หานกั๋วฟูเหรินสีหน้าแข็งค้าง ยืดกายขึ้นกำลังจะพูดจากลับถูกหลี่เจาเกอชิงกล่าวก่อน “ข้ายังมีธุระที่กองงานปราบปีศาจ ต้องกลับแล้ว ภายหน้าวันมงคลของพี่เฮ่อหลัน ข้าจะพาราชบุตรเขยมาร่วมแสดงความยินดีถึงจวนแน่นอน ท่านป้ามิต้องส่ง ข้าขอตัว”
จบคำหลี่เจาเกอก็หมุนตัวจากไปทันที คร้านกระทั่งจะมองท่าทีตอบสนองของหานกั๋วฟูเหริน เดิมหานกั๋วฟูเหรินดุจแมวเรื่อยเฉื่อยขดร่างอยู่บนตั่ง ยามนี้สีหน้าสบายอารมณ์ถูกกวาดหาย หน้าเนียนเปลี่ยนสีจากแดงเป็นขาว สุดท้ายกลายเป็นเขียวคล้ำ
เฮ่อหลันหมิ่นไม่รู้ว่าควรจะออกไปส่งหลี่เจาเกอหรือควรจะรั้งอยู่ที่นี่ปลอบโยนมารดา ครั้นเหลือบเห็นสีหน้ามารดาจึงกล่าวว่า “ท่านแม่ องค์หญิงเซิ่งหยวนถือดีเอาแต่ใจ ท่านอย่าได้นำพา ต่อให้นางเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้สักเพียงใด เรื่องแต่งงานก็ยังคงต้องฟังคำสั่งของบิดามารดาอยู่ดี”
รอยโทสะบนใบหน้าหานกั๋วฟูเหรินยากจะสลาย นับแต่น้องสาวนางขึ้นเป็นเทียนโฮ่ว ทุกคนล้วนประจบนาง น้อยนักจะมีคนกล้าชักสีหน้าให้นางดู นางนึกว่าเกี่ยวดองกันอีกชั้นจะชื่นมื่นด้วยกันทุกฝ่าย ผลกลับกลายเป็นถูกผู้เยาว์ถากถางซึ่งหน้า นางจะกล้ำกลืนโทสะนี้ได้อย่างไรกัน
ใบหน้าที่ทาแป้งเนียนยังคงกรุ่นโทสะขณะนางปาผ้าเช็ดหน้าอย่างฉุนเฉียว “ข้าอุตส่าห์เจตนาดี นางไม่รับน้ำใจก็ช่าง ถึงกับยกคำว่าราชบุตรเขยมายั่วโมโหข้า นี่ใช่สิ่งที่สตรียังไม่ออกเรือนผู้หนึ่งสมควรจะพูดหรือ”
ด่าจบหานกั๋วฟูเหรินนั่งสักพักก็ยังคงโกรธไม่หาย “มีใครไปพูดอะไรกับนางใช่หรือไม่ ไฉนอยู่ดีๆ นางพูดว่า ‘จะพาราชบุตรเขยมาร่วมแสดงความยินดีถึงจวน’ ”
สาวใช้ที่กำลังทุบขาให้หานกั๋วฟูเหรินอยู่ข้างตั่งก้มหน้างุด ไม่กล้าระบายลมหายใจแรง หญิงรับใช้อาวุโสผู้หนึ่งกระอึกกระอัก สุดท้ายยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูหานกั๋วฟูเหริน “ฮูหยิน ในวังมีข่าวลือว่าองค์หญิงเซิ่งหยวนชมชอบคุณชายตระกูลเขยของสกุลเผยยิ่งยวด แม้แต่ฝ่าบาทกับเทียนโฮ่วก็ทรงรับรู้”
“หืม?” หานกั๋วฟูเหรินเลิกคิ้ว คุณชายตระกูลเขยที่ต้องอาศัยชายคาสกุลเผยมีหรือจะเผยอมาเทียบบุตรชายนางได้ นางยิ้มเยาะถามอย่างดูแคลน “คนตกอับจากที่ใดกัน”
“ทายาทคนเดียวของสกุลกู้แห่งก่วงหยวนเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้อาวุโสกล่าว “ก็คือรองตุลาการกู้แห่งศาลต้าหลี่ที่มาเยือนจวนในวันนี้”
“คือเขา?” หานกั๋วฟูเหรินเบิกตาโตอย่างตกใจ ต่อให้นางไม่ไถ่ถามเรื่องภายนอก พักนี้ก็ยังได้ยินว่าฮ่องเต้เห็นคนหนุ่มผู้หนึ่งสำคัญมากจนเลื่อนตำแหน่งข้ามขั้นให้ นึกไม่ถึงเลยว่าบุรุษที่หลี่เจาเกอพึงใจก็คือเขา
หานกั๋วฟูเหรินมุ่นคิ้ว หน้าขรึมลง เช่นนี้จัดการค่อนข้างยากแล้ว
หลี่เจาเกอออกจากประตูใหญ่จวนสกุลเฮ่อหลันยังคงรู้สึกสะอิดสะเอียนแทบแย่ รอจนกลับถึงกองงานปราบปีศาจจิตใจนางสงบดังเดิมแล้ว นางไม่ใช่แม่นางทั่วไปในเรือนหลัง หากเป็นแม่นางอื่นถูกบิดามารดาบีบคั้นให้แต่งกับคนที่ไม่ชมชอบอาจจะร่ำไห้ยอมรับชะตา ทว่านางไม่
เรื่องที่นางไม่ยินยอมทำจะไม่มีใครบังคับใจนางได้ เทียนโฮ่วก็ไม่ได้
นางไม่คิดจะสืบสาวว่าเทียนโฮ่วรับรู้ความตั้งใจของหานกั๋วฟูเหรินหรือไม่กันแน่ ในเมื่อเทียนโฮ่วส่งนางไปสกุลเฮ่อหลันสืบคดี สิ่งที่นางจะทำก็คือสืบคดีเท่านั้น
ครั้นนางเดินเข้ามาในกองงานปราบปีศาจ ผู้ใต้บัญชาก็รายงานว่า “ผู้บัญชาการ ศาลต้าหลี่ส่งเอกสารคดีมาแล้ว ท่านเห็นว่าวางไว้ที่ใดดีขอรับ”
หลี่เจาเกอตอบ “วางไว้บนโต๊ะข้า”
“ขอรับ”
หลี่เจาเกอไปสั่งงานที่โถงตะวันออก รอจนกลับมาที่โถงหลัก เอกสารคดีก็จัดวางบนโต๊ะของนางอย่างเป็นระเบียบแล้ว นางหยิบเอกสารคดีขึ้นมาม้วนหนึ่ง ลายมือบนนั้นงามหมดจด ม้วนเอกสารสะอาดตา เบาะแสจดบันทึกเป็นลำดับขั้นตอน มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นงานเขียนของกู้หมิงเค่อ
นางไม่มีความละอายที่ยึดครองผลสำเร็จจากแรงงานผู้อื่นแม้แต่น้อย เปลี่ยนอิริยาบถแล้วอ่านต่ออย่างสบายใจ
คุณหนูของบ้านคหบดี…ภรรยาของรองหัวหน้าหน่วยน้ำจัณฑ์…กับสาวใช้ของจวนสกุลเฮ่อหลัน หากนี่เป็นคดีฆ่าต่อเนื่อง ฆาตกรจะต้องมีความแค้นลึกล้ำต่อพวกนาง ขณะเดียวกันยังต้องติดต่อกับสตรีที่อยู่ต่างชนชั้นกันทั้งสามคนนี้ได้ หลี่เจาเกอนึกถึงสภาพการตายของสามคนนี้…ปวดท้อง กระอักเลือก ปวดบิดจนถึงแก่ความตาย ฟังคล้ายถูกพิษบางอย่าง ทว่าเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพตรวจไม่พบพิษในศพเลย
นางรู้ว่าถูกพิษเป็นสิ่งที่ตรวจได้ยากที่สุด เพราะได้แต่อาศัยการตรวจเทียบกับพิษที่มีอยู่ในปัจจุบัน หากไม่ใช่สารพิษซึ่งเป็นที่รู้จัก เช่นนั้นก็ไม่ต่างกับงมเข็มในมหาสมุทร ต้องไล่ตรวจสอบไปทีละอย่างๆ สิ่งมีพิษในใต้หล้ามากมายปานนี้ ใครจะรู้ได้ว่าผู้ตายถูกสิ่งใดคร่าชีวิตกันแน่
สำหรับคดีวางยาพิษฆ่าต่อเนื่อง…วิธีหนึ่งคือสืบหาสิ่งที่ผู้ตายเคยสัมผัสก่อนเสียชีวิต อีกวิธีหนึ่งคือสืบความเชื่อมโยงระหว่างบุคคล หากสามคนนี้ตายด้วยฝีมือฆาตกรต่อเนื่องจริง สามบ้านนี้ก็ต้องมีจุดที่เกี่ยวโยงทับซ้อนกันอยู่
หลี่เจาเกออ่านบันทึกคดีอย่างละเอียด…คหบดีผู้นั้นค้าขายต่วนแพร เป็นคนอ่อนน้อม กำไรเล็กน้อยก็พอใจแล้ว ปกติไม่เคยบาดหมางกับผู้อื่น นึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีใครปองร้ายบุตรสาวของเขา ส่วนรองหัวหน้าหน่วยน้ำจัณฑ์กองงานสมโภชเป็นขุนนางขั้นเก้าผู้หนึ่ง ในราชธานีตะวันออกถือว่าตำแหน่งธรรมดาเสียไม่มี ฮูหยินของเขาก็เช่นกัน เพียงเลี้ยงดอกไม้เลี้ยงนก วันอากาศดีออกไปชมทิวทัศน์กับสตรีชนชั้นเดียวกัน แนวการใช้ชีวิตล้วนไม่มีอันใดต่างไปจากภรรยาขุนนางเล็กๆ ทั่วๆ ไป ธรรมดาเสียจนไม่มีกระทั่งศัตรูคู่แค้น ส่วนหวั่นเซียงสาวใช้คนโปรดของเฮ่อหลันชิงแม้มีศัตรูไม่น้อย ทว่าล้วนเป็นสาวใช้ในเรือนหลัง ปกติแก่งแย่งผลประโยชน์ ชิงรักหักสวาทต่างเป็นยอดฝีมือ แต่ถ้าให้ลงมือจริงสตรีเหล่านั้นไม่มีปัญญาแม้แต่จะฆ่าไก่ ไม่น่าจะก่อคดีที่ชาญฉลาดวางยาพิษต่อเนื่องเช่นนี้ได้
หลี่เจาเกอยิ่งอ่านยิ่งปวดศีรษะ ค้นดูภูมิหลังวงศ์ตระกูลของคนทั้งสาม พบว่าคหบดี รองหัวหน้าหน่วยน้ำจัณฑ์ กับจวนสกุลเฮ่อหลันหาความเกี่ยวข้องกันไม่ได้เลย ผู้ตายทั้งสามต่างไม่รู้จักกัน แต่ไรมาไม่เคยไปมาหาสู่ ยากจะคิดได้จริงๆ ว่าที่แท้เป็นสิ่งใดเชื่อมโยงสามบ้านนี้เข้าด้วยกันได้
หลี่เจาเกอค้นคว้าตลอดบ่าย จวบจนเลิกงานก็ยังคิดอยู่ บัดนี้นางย้ายออกจากวังหลวงจื่อเวยไปพำนักในจวนองค์หญิงของตนเองแล้ว ครั้นขี่ม้ากลับถึงจวน ผู้เฝ้าประตูมองเห็นนางก็รีบวิ่งมาจูงม้า “คำนับองค์หญิง”
หลี่เจาเกอลงจากม้า ส่งเชือกบังเหียนให้ผู้เฝ้าประตู “จูงไปป้อนหญ้า ดูแลให้ดี”
“บ่าวทราบแล้ว”
หลี่เจาเกอสั่งการเรื่องม้าพาหนะเสร็จก็กลับเรือนหลักไปแช่ชำระกาย จวนองค์หญิงเซิ่งหยวนแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ย่านเฉิงฝูฟาง ติดกับเขตวังชั้นนอก ออกจากประตูมาก็คือแม่น้ำลั่ว ทัศนียภาพงามตา ทำเลที่ตั้งดีเยี่ยม เดิมคฤหาสน์นี้จะเป็นสินเจ้าสาวของหลี่ฉังเล่อ เมื่อห้าปีก่อนเริ่มทยอยสร้าง ปัจจุบันเป็นสิ่งปลูกสร้างที่วิจิตรหรูหรา โอฬารภูมิฐานยิ่ง หลี่เจาเกอเข้าพำนักอย่างผ่าเผย ไม่รู้สึกสักนิดว่าตนเองแย่งสิ่งของของหลี่ฉังเล่อมา จวนองค์หญิงเป็นทรัพย์สินของราชสำนัก ฮ่องเต้พระราชทานแก่ผู้ใดก็เป็นของผู้นั้น ชาติก่อนมันเป็นของหลี่เจาเกอ ชาตินี้ก็เช่นกัน ทั้งสองชาติภพหลี่ฉังเล่อล้วนไม่อาจชิงไป หากจะตัดพ้อก็ตัดพ้อฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วแล้วกัน
ภายหลังแช่ชำระกาย หลี่เจาเกอมุ่นเรือนผมยาวที่เปียกชื้นขึ้นลวกๆ ไปห้องหนังสืออ่านเอกสารคดีต่อ หน้าต่างของห้องหนังสือเปิดออกกึ่งหนึ่ง พู่มู่ลี่ไกวตัวแผ่วเบา ครั้นอ่านไปได้สักพักนางได้ยินเสียงตวาดของสาวใช้แว่วมาจากด้านนอก
นางลุกเดินไปม้วนมู่ลี่ขึ้น มองจากหน้าต่างไปยังลานสวนเห็นพวกสาวใช้ของจวนองค์หญิงถือลำไม้ไผ่กำลังขับไล่บางอย่างในดงไม้ นางมองครู่หนึ่งก่อนถาม “พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่”
พวกสาวใช้เหลียวหลังมาเห็นว่าเป็นหลี่เจาเกอต่างรีบทำความเคารพ “คำนับองค์หญิง พวกหม่อมฉันเสียงดังรบกวนองค์หญิงแล้วใช่หรือไม่”
“ไม่เป็นไร” หลี่เจาเกอโบกมือผ่านๆ “พวกเจ้ากำลังหาอะไรน่ะ”
“แมวดำตัวหนึ่งเพคะ” พวกสาวใช้ตอบ “ทางวังหลวงไม่อนุญาตให้เลี้ยงแมว ไม่รู้แมวดำตัวนี้วิ่งมาจากที่ใด วันนี้วนเวียนอยู่ทั้งวัน ไล่ตีอย่างไรก็ไม่ยอมไปเสียที พวกหม่อมฉันกลัวว่ากลางคืนมันจะส่งเสียงร้องรบกวนองค์หญิง ดังนั้นจึงออกมาขับไล่”
“แมว?” หลี่เจาเกอคาดไม่ถึงอยู่บ้าง ทางวังหลวงห้ามเลี้ยงแมวนางเองก็รู้ นี่เป็นกฎลับที่ไม่ถูกเขียนไว้ นับแต่เซียวซูเฟยตายในวังก็มีแมวไม่ได้อีก
สภาพการตายของอดีตหวังฮองเฮากับเซียวซูเฟยแสนอเนจอนาถ ถูกตัดมือเท้า ยัดร่างใส่ถัง สุดท้ายให้ขาดอากาศตายทั้งเป็น เทียนโฮ่วอำมหิตยิ่ง ถึงกับแช่คนทั้งสองนี้ในถังสุราแขวนโสมคน ทรมานอยู่หลายวันค่อยยอมเอาชีวิต
เทียนโฮ่วเคียดแค้นถึงขั้นนี้เพราะมีสาเหตุ หลังจากเซียวซูเฟยกับหวังฮองเฮาถูกปลด ทั้งสองถูกขังในตำหนักเย็นด้วยกัน มีครั้งหนึ่งฮ่องเต้แข็งใจไม่ไหว ลอบไปเยี่ยมพวกนาง เห็นอดีตภรรยารักกับอนุคนงามตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ พระองค์ก็ปวดใจยิ่งยวด ครั้นเรื่องนี้แพร่ไปถึงหูเทียนโฮ่ว เทียนโฮ่วก็โกรธมาก ไปหาฮ่องเต้อย่างดุดัน ฮ่องเต้ทั้งรักทั้งกลัวเทียนโฮ่ว ยามนางแข็งขึ้น พระองค์จะอ่อนลง สุดท้ายพระองค์ถูกนางเกลี้ยกล่อม มอบอำนาจเต็มให้นางลงโทษอดีตหวังฮองเฮากับเซียวซูเฟย
พระองค์รู้ตั้งแต่ตัดสินใจนี้แล้วว่าพวกนางจะเผชิญกับสถานการณ์ใด ทว่าพระองค์ไม่ถามไถ่ไยดี ปล่อยให้เทียนโฮ่วออกหน้าเป็นนางร้าย เทียนโฮ่วจับสตรีทั้งสองแช่ในถังสุราเพื่อจะถากถางที่พวกนางเพ้อฝัน หมายพลิกฟื้นคืนมาด้วยการแสดงความอ่อนแอต่อฮ่องเต้ ในเมื่อพวกนางเคลิ้มฝันเก่งนัก เช่นนั้นก็จงแช่ในถังสุราให้เต็มที่ ให้พวกนางเคลิ้มเมาไปถึงในกระดูก
ว่ากันว่าก่อนตายเซียวซูเฟยเคยแผดตะโกนราวคลุ้มคลั่งว่า ‘อาอู่นางมารปลิ้นปล้อน ชั่วช้าจนถึงขั้นนี้! ขอให้ชาติหน้าข้าเกิดเป็นแมว อาอู่เป็นหนู ได้เค้นคอมันทั้งเป็น!’
เสียงครวญครางของอดีตหวังฮองเฮากับเซียวซูเฟยก้องวนเวียนในตำหนักเย็นสามวัน นางกำนัลขันทีทุกคนที่ได้ยินเสียงคร่ำครวญหวนไห้นี้ล้วนตัวสั่นงันงก ฝันร้ายติดกันถึงครึ่งปี ต่อมาในวังจึงไม่มีใครกล้าเลี้ยงแมวอีก
เซียวซูเฟยบอกว่าชาติหน้าจะขอเกิดเป็นแมวมาล้างแค้นเทียนโฮ่ว ขืนคนในวังยังเลี้ยงแมว ไม่ใช่ติว่าตนเองอายุยืนไปหรือไร ต่อมาฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วย้ายราชธานีมานครลั่วหยาง พำนักหลายปีเข้าเรื่องราวของอดีตหวังฮองเฮากับเซียวซูเฟยก็ค่อยๆ เลือนรางลง ทว่าข้อห้ามเลี้ยงแมวในวังยังคงสืบทอดต่อมา
หลี่เจาเกอไม่ยี่หระกับคำกล่าวเรื่องภูตผีปีศาจเหล่านี้ แต่ในเมื่อเทียนโฮ่วไม่อยากเห็นแมว หลี่เจาเกอก็ไม่มีความจำเป็นต้องขัดใจเทียนโฮ่ว นางมองไปทางพงหญ้าก่อนเอ่ย “ไปหาส้มมาจำนวนหนึ่ง รมด้วยกลิ่นเปลือกส้ม แมวจรก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้แล้ว”
พวกสาวใช้ขานรับ รีบไปหาส้มที่โรงครัว หลี่เจาเกอปล่อยมู่ลี่ลง หันกลับมาเห็นม้วนเอกสารก็เริ่มยุ่งยากใจอีกครา
นางถอนใจยาว หลับตาขบคิดช้าๆ “วันที่สามสิบเดือนสอง วันที่สิบสองเดือนสาม วันที่ยี่สิบสี่เดือนสาม…ที่แท้มีอะไรเกี่ยวข้องกันนะ”
สาวใช้เข้ามาเปลี่ยนน้ำชา ได้ยินเสียงหลี่เจาเกอจึงกล่าวว่า “องค์หญิงเพคะ ทรงหาความเกี่ยวข้องของวันเหล่านี้อยู่หรือ นั่นง่ายดายยิ่ง วันเหล่านี้ล้วนห่างกันสิบสองวัน”
หลี่เจาเกอลืมตาทันใด สาวใช้ถูกสายตาของเจ้านายมองจนสะดุ้ง พูดจาติดขัด “องค์หญิง หม่อมฉันพูดผิดไปหรือ…”
หลี่เจาเกอจ้องอีกฝ่ายอยู่เป็นนานคล้ายครุ่นคิดอันใดอยู่ “นี่ก็เป็นวิธีคิดอย่างหนึ่ง หรือจะเกี่ยวข้องกับสิบสอง?”
สาวใช้ถือกาน้ำร้อน คุกเข่าอยู่ข้างตั่งในอาการตัวสั่น ไม่รู้จะทำเช่นไรดี จวบจนหลี่เจาเกอดึงสติคืนมา โบกมือบอกสาวใช้ที่ตกใจแทบแย่นั้นว่า “หมดเรื่องแล้ว เจ้าออกไปได้ เดี๋ยวก่อน หยิบปฏิทินมา”
เช้าวันรุ่งขึ้น สีท้องฟ้าเพิ่งฉาบแสงอรุณอ่อนๆ ขุนนางเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ทยอยเข้าประตูที่ทำการแล้ว ขณะพวกเขากล่าวทักทายกันยามเช้าก็พลันเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งเดินปราดเข้ามา ถามแสกหน้าว่า “กู้หมิงเค่อเล่า”
บรรดาขุนนางเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่อึ้งงันไปชั่วครู่ จากนั้นขุนนางผู้หนึ่งจึงชี้มือตอบ “รองตุลาการอยู่ที่เรือนฉงกวงพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เจาเกอไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกชายชุดเดินรี่ไปยังเรือนฉงกวงทันที คนศาลต้าหลี่ตะลึงมองเงาหลังของนางพลางถามกันไปมา “องค์หญิงเซิ่งหยวนทรงเป็นอะไรน่ะ เหตุใดเสด็จมาหารองตุลาการตั้งแต่เช้าตรู่”
“ไม่รู้สิ เมื่อวานกองงานปราบปีศาจเพิ่งแย่งคดีของศาลต้าหลี่ไป รองตุลาการอารมณ์เย็น ไม่ได้ถือสาหาความ ไฉนวันนี้องค์หญิงเซิ่งหยวนยังเสด็จมาหาเรื่องกันอีก”
หลี่เจาเกอสาวเท้าวิ่งมาถึงหน้าเรือนประจำตำแหน่งรองตุลาการ แล้วผลักเปิดประตูโถงด้วยฝ่ามือเดียว “กู้หมิงเค่อ!”
ประตูโถงกระแทกกับผนังบังเกิดเสียงปังดังสนั่น กู้หมิงเค่อกำลังเขียนอักษร เสียงดังเพียงนี้ยากนักที่นิ้วมือของเขาจะไม่สั่นแม้แต่น้อย
ข้อมือเขาตั้งตรงยกค้างอยู่ ปากถามโดยไม่เงยหน้า “เป็นอะไรไป”
หลี่เจาเกอไม่รู้สึกสักนิดว่าอยู่ในถิ่นของผู้อื่นต้องสำรวม นางเดินฉับๆ เข้าไปในโถง นั่งพรวดแล้วโพล่งว่า “ข้ารู้แล้วสามคดีนี้มีความเกี่ยวพันอะไรกัน”
กู้หมิงเค่อถามหน้านิ่ง “ท่านหมายถึงคดีที่จวนของหานกั๋วฟูเหรินเมื่อวานหรือ คดีนี้โอนย้ายไปที่กองงานปราบปีศาจแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับศาลต้าหลี่ ท่านมาหาข้าเพื่อพูดอันใดเล่า”
หลี่เจาเกอเชิดคิ้ว ความอดทนค่อยๆ ถูกใช้หมดสิ้น “ท่านจะฟังหรือไม่ฟัง”
กู้หมิงเค่อวางพู่กันลง จัดแต่งแขนเสื้อก่อนตอบ “ว่ามาสิ”
หลี่เจาเกอรีบปลุกพลังเล่าสิ่งที่นางค้นพบ “ที่แท้…สามคดีนี้มีความลับอีกอย่าง ผู้ตายทั้งสามคนดูคล้ายไม่มีความเกี่ยวพันกันเลย ความจริงวันตายของพวกนางล้วนห่างกันสิบสองวัน เมื่อวานข้าตรวจปฏิทินแล้ว ค้นพบว่าสามวันนี้ล้วนเป็นวันจื่อ”
นางกล่าวจบก็มองเขาอย่างเฝ้ารอ เขาสบตานาง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามว่า “ท่านคิดมาทั้งคืน คิดออกแค่เรื่องนี้?”
หลี่เจาเกอสีหน้าไม่ชอบใจ “ท่านรู้แต่แรกแล้ว?”
“เรื่องที่เด่นชัดเพียงนี้ข้านึกว่าท่านเดาออกตั้งแต่ได้ยินวันที่เสียอีก” กู้หมิงเค่อถอนใจ “วันหน้าหมั่นอ่านตำรา ฟังพวกเรื่องเลอะเทอะให้น้อย”
หลี่เจาเกอชะงักไปพริบตาเดียวก็ถูกกระตุ้นโทสะ ลุกพรวดอย่างโกรธเกรี้ยว ไม่อยากกระทั่งจะพูดกับกู้หมิงเค่ออีก น่าแค้นนัก ดูถูกใครน่ะ นางจะไขคดีนี้ให้เขาดูให้ได้!
เจ้าหน้าที่จากด้านนอกวิ่งเหยาะมาเพื่อแจ้งข่าวแก่กู้หมิงเค่อ ตอนใกล้ถึงโถงพลันเห็นองค์หญิงเซิ่งหยวนออกมาในอาการดุดัน เขาจึงสะดุ้งโหยง หยุดฝีเท้าทันใด ทว่ายังคงหวิดจะชนถูกตัวนาง โชคดีนางถอยหลังหนึ่งก้าวหลบเขาได้ทันท่วงที เขาเพิ่งจะยืนได้มั่นคงก็รีบกล่าวขอขมานาง “องค์หญิงทรงอภัยด้วย กระหม่อมไม่รู้ว่าประทับอยู่ในโถง”
เขาใจสั่นขวัญผวากลัวจะล่วงเกินองค์หญิงที่ตอแยไม่ได้ผู้นี้เข้า ทว่านางยังไม่ได้พูดอันใดเลย กลับเป็นรองตุลาการกู้ออกจากโถงมามองเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าทำอันใด ไยจึงแตกตื่น”
เจ้าหน้าที่ถูกสายตาของรองตุลาการกู้ทำให้หนาวสั่น ก่อนดึงสติคืนมา รีบทำความเคารพก่อนตอบ “เรียนรองตุลาการ ทูลองค์หญิง ในวังเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
ความจริงหลี่เจาเกอไม่ได้ถือสาที่เจ้าหน้าที่ล่วงเกิน แต่พอนางได้ยินถ้อยคำนี้ก็เลิกคิ้วถาม “เกิดอะไรขึ้น”
“เทียนโฮ่วจะพระราชทานคู่ครองแก่องค์หญิงอี้อัน กำหนดเป็นองครักษ์ประตูวังนามเฉวียนต๋า”
นัยน์ตาของหลี่เจาเกอสั่นไหวนิดๆ ถามทั้งที่รู้แก่ใจ “องค์หญิงอี้อันเป็นผู้ใดกัน”
“บุตรีของเซียวซูเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
บทที่ 88 องค์หญิงอี้อัน
สองวันนี้ข่าวเกี่ยวกับรัชทายาทและเทียนโฮ่วแพร่สะพัดไปทั่ว ทุกแห่งในราชสำนักล้วนถกกันเรื่องรัชทายาทออกหน้าให้หลี่เจินบุตรีของเซียวซูเฟยจนยั่วโทสะเทียนโฮ่วและถูกนางก่นด่า
คำนินทาเฉกเช่นลูกหิมะที่ยิ่งกลิ้งยิ่งโต เทียนโฮ่วกดหัวบุตรีคนโตของฮ่องเต้ ไม่แต่งตั้งตำแหน่ง ไม่ให้แต่งงาน เรื่องนี้เป็นที่ครหาในหมู่ขุนนางราชสำนักแต่แรก เพียงแต่เมื่อก่อนไม่มีคนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ผู้คนจึงค่อยๆ ลืมเลือนไป บัดนี้ในเมื่อรัชทายาทออกหน้า เหล่าขุนนางย่อมไม่นิ่งดูดาย
ไม่ช้าทางฮ่องเต้ก็ทราบเรื่อง เทียนโฮ่วชิงชังบุตรธิดาของเซียวซูเฟย ทว่าสำหรับฮ่องเต้แล้วนี่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์เช่นกัน ในอดีตพระองค์มีบุตรธิดากับเซียวซูเฟยถึงสองคน เห็นได้ว่าเคยโปรดปรานนางจากใจจริง
ยามนี้เทียนโฮ่วข่มเหงบุตรชายหญิงของพระองค์อย่างโจ่งแจ้ง พระองค์ย่อมไม่อาจแสร้งหูหนวกเป็นใบ้ต่อไป ปรากฏว่าขุนนางราชสำนักยังไม่ทันมาประท้วงต่อหน้าพระองค์ เทียนโฮ่วก็ชิงสยบผู้คนก่อน
เช้าตรู่เทียนโฮ่วเรียกประชุม บอกว่าเฉวียนต๋าองครักษ์หน่วยอี้เว่ย ประจำประตูหมิงเต๋อจงรักภักดี ห้าวหาญเที่ยงธรรม รูปโฉมองอาจ มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ชนชั้นสามัญ เทียนโฮ่วสอบถามได้ความว่าบรรพชนของเฉวียนต๋าก็เป็นตระกูลขุนนาง รุ่นปู่เคยเป็นผู้ว่าการมณฑลฉีโจวปลายราชวงศ์เหนือใต้ เทียนโฮ่วชื่นชมคนผู้นี้อย่างยิ่ง ประจวบกับเฉวียนต๋ายังไม่ได้แต่งงานจึงยกหลี่เจินบุตรีคนโตของฮ่องเต้แก่เฉวียนต๋า สั่งให้ฝ่ายราชเลขาธิการร่างพระราชโองการพระราชทานสมรสทันที ให้เข้าพิธีในเร็ววัน
หลี่เจินอยากออกเรือนนักไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเทียนโฮ่วก็ขอตอบสนองนาง ให้นางได้ออกเรือนไปกับองครักษ์เฝ้าประตูวังเสียเลย
เมื่อพระราชโองการฉบับนี้ออกมา คนมากมายล้วนไม่รู้ว่าควรแสดงท่าทีเช่นไรดี เทียนโฮ่วในฐานะมารดาใหญ่ของหลี่เจินย่อมมีสิทธิ์จัดการงานแต่ง เฉวียนต๋าเข้าหน่วยอี้เว่ยได้ ภูมิหลังของบรรพชนต้องไม่เลวแน่ แต่งองค์หญิงไม่นับว่าขาดคุณสมบัติ แต่…หากบอกว่าหลี่เจินได้แต่คู่กับองครักษ์เท่านั้น นั่นก็เป็นวาจาเหลวไหลแล้ว
ไม่พูดอื่นไกล เพียงพูดถึงหลี่ฉังเล่อบุตรีของเทียนโฮ่วเอง ว่าที่สามีเผยจี้อันเป็นบุตรสายตรงคนโตของตระกูลขุนนางใหญ่ มารดาเป็นบุตรีสายตรงของสกุลจ่างซุนที่เรืองอำนาจ ตัวเขาเองอยู่ในเมืองหลวงก็ได้รับสมญานามคุณชายหน้าหยก เฉวียนต๋าเปรียบกับเผยจี้อัน ไม่ว่าด้านภูมิหลังวงศ์ตระกูลหรือความสามารถส่วนตัวล้วนเทียบกันไม่ได้เลย
เทียนโฮ่วเลือกเฟ้นคัดสรรเผยจี้อันให้บุตรีของตนเอง แต่กลับชี้นิ้วส่งๆ เลือกองครักษ์หน้าประตูให้บุตรีของเซียวซูเฟย หากบอกว่าเทียนโฮ่วไม่ได้เจตนาระบายแค้น อย่าว่าแต่ขุนนางใหญ่เลย แม้แต่หลี่เจาเกอเองก็ไม่เชื่อ
ทว่าความเหนือชั้นของเทียนโฮ่วอยู่ตรงที่…ผู้คนรู้ทั้งรู้ว่านางใช้อำนาจโดยมิชอบ แต่กลับหาประเด็นโจมตีไม่พบทั้งสิ้น ถึงอย่างไรเฉวียนต๋าก็เพียงฐานะไม่สูงเท่าราชบุตรเขยอื่นเท่านั้น แต่งองค์หญิงใช่ว่าทำไม่ได้
เทียนโฮ่วคลี่คลายวิกฤตที่ตนจะถูกกล่าวโทษลงได้อย่างง่ายดาย ทั้งทำให้สายเซียวซูเฟยกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและยังเป็นการสั่งสอนรัชทายาทอย่างหนักหน่วง เรียกได้ว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกถึงสามตัว ตอนหลี่เจาเกอเข้าไปถึงวังชั้นในมีหลายคนยืนอยู่ในตำหนักเหวินเฉิงแล้ว ฮ่องเต้ รัชทายาทกับชายา หลี่ฉังเล่อ หลี่ไหว รวมถึงหลี่เจินล้วนอยู่ที่นั่น
หลี่เจาเกอแสดงท่าทีให้บ่าวหน้าตำหนักไม่ต้องรายงาน จากนั้นก็ก้าวเข้าประตูไปยืนข้างผนังเงียบๆ ฟังเทียนโฮ่วเอ่ยกับหลี่เจินปนยิ้มละไม “แต่แรกมาข้าก็ห่วงพะวงเรื่องสำคัญชั่วชีวิตของเจ้า ทว่าจนใจนัก พักก่อนราชสำนักงานยุ่งจนเจียดเวลาไม่ได้เรื่อยมา วันนี้คนอยู่กันครบพอดี ข้าจะกำหนดเรื่องมงคลกับชื่อตำแหน่งของเจ้าต่อหน้าทุกคนเสียเลย คนเราสำคัญที่สุดก็คือสงบเสงี่ยมรู้จักประมาณตน เจ้าอาวุโสที่สุดในหมู่บุตรีของฝ่าบาท ยิ่งพึงตระหนักในหลักเหตุผลข้อนี้ ข้าจะประทานชื่อตำแหน่งแก่เจ้าว่าอี้อันแล้วกัน”
ชื่อตำแหน่งนี้เต็มไปด้วยการประชดประชันโดยแท้ อักษร ‘อี้-คุณธรรม’ คือคำประชดว่าหลี่เจินเสี้ยมสอนรัชทายาท ไร้คุณธรรมไม่ภักดี อักษร ‘อัน-สงบ’ คือคำประชดว่าหลี่เจินคิดการเพ้อฝัน ไม่สงบเสงี่ยมเจียมตัว
หลี่เจินคุกเข่าอยู่กลางโถงตำหนัก หลุบตาโขกศีรษะให้เทียนโฮ่ว “ขอบพระทัยเทียนโฮ่วเพคะ”
“เจ้าเป็นบุตรีข้า กล่าวขอบคุณอะไรกับข้าเล่า” เทียนโฮ่วคลี่ยิ้มน้อยๆ มองไปทางหลี่เจิน “ก่อนนี้ข้าหักใจให้เจ้าออกเรือนไปไม่ได้ มัวคิดว่าจะรั้งเจ้าไว้อีกสักปีสองปี เกือบละเลยไปว่าบุตรีเติบใหญ่ไม่เหมาะจะรั้งไว้ รั้งไปรั้งมาจะกลายเป็นเคืองแค้นกันได้ ช่างเถิด บุตรีโตแล้วอย่างไรก็ต้องจากบ้านไป ข้าเห็นว่าเฉวียนต๋ารูปโฉมองอาจสมกับเจ้ายิ่งนัก จึงเรียกเจ้ามาสอบถามความเห็น หลี่เจิน ให้เฉวียนต๋าเป็นราชบุตรเขยของเจ้า เจ้ายินดีหรือไม่”
นับแต่ถูกเทียนโฮ่วเรียกตัวมา เฉวียนต๋าก็มึนงงโดยตลอด กระทั่งได้ยินเทียนโฮ่วเอ่ยนาม เขาจึงสะดุ้งสุดตัว คุกเข่าลงโดยจิตใต้สำนึก บังเกิดเสียงทุ้มทึบดังตุ้บ ได้ยินชัดเป็นพิเศษในโถงที่กว้างใหญ่ หลี่ฉังเล่อทนดูไม่ได้ต้องเบนสายตาด้วยความรังเกียจ
หยาบกระด้างเช่นนี้จะสมเป็นราชบุตรเขยได้อย่างไร หากให้หลี่ฉังเล่อแต่งกับคนพรรค์นี้ นางมิสู้ตายไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
หลี่เจินก้มหน้างุด นิ้วมือขยุ้มกระโปรงแน่น ผ่านไปชั่วครู่ค่อยยกมือเสมอหน้าผาก หมอบคำนับอย่างนอบน้อม “ลูกยินดี ขอบพระทัยเทียนโฮ่วเพคะ”
หลี่เจาเกอลอบถอนใจ เทียนโฮ่วแสดงชัดว่ากำลังหยามหมิ่นหลี่เจิน หลี่เจินฝืนกล้ำกลืนได้ นับว่าไม่ง่ายดาย เพียงแต่หัวจิตหัวใจแค่เท่านี้ยังคงห่างชั้นกับเทียนโฮ่วอีกไกล
เทียนโฮ่วนั่งสูงอยู่บนเก้าอี้หงส์ แย้มยิ้มเอ่ยว่า “เจ้ายินดีก็ดีแล้ว แม้การแต่งงานขึ้นอยู่กับคำสั่งของบิดามารดาและวาจาของแม่สื่อ แต่สุดท้ายก็ต้องให้พวกเจ้ายินยอมเองจึงจะได้ ข้าเสาะหาคู่ครองให้เจ้าในเวลากระชั้นชิดไปสักหน่อย จริงอยู่เฉวียนต๋าเป็นคนเก่งผู้หนึ่ง ทว่าหากเสาะหาเพิ่มอย่างละเอียดอาจจะพบตัวเลือกที่เหมาะสมยิ่งกว่าก็เป็นได้ ทีแรกข้ายังกังวลว่าเจ้าจะขัดเคืองจึงคิดว่าหากเจ้าไม่ยินดี เช่นนั้นก็ชะลอการแต่งงานออกไปชั่วคราว ค่อยๆ คัดสรรบุรุษที่ดีอีกสักหลายๆ คน ตอนนี้ในเมื่อเจ้าพึงใจเองก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว เลือกวันทำพิธีมงคลเถอะ”
เทียนโฮ่วกำลังใช้วาจาฆ่าคนอย่างแท้จริง ไม่เพียงเล่นงานหลี่เจิน แต่ยังต้องการฝังความแสลงใจไว้ให้สามีภรรยาคู่นี้ทั้งชีวิต แต่ไรมาเทียนโฮ่วไม่ใช่ผู้ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำ ไม่ว่าทำสิ่งใดล้วนเตรียมการมาเสมอ ขุนนางราชสำนักหมายจะกล่าวโทษว่านางเผด็จการไม่ใช่หรือไร นางก็จะให้หลี่เจินได้แต่งงาน หากหลี่เจินเห็นพ้อง เช่นนั้นธนูดอกนี้จะยิงได้นกถึงสามตัว อุดปากฮ่องเต้ ขุนนาง และรัชทายาทได้พร้อมกัน แต่หากหลี่เจินไม่เห็นพ้อง นางก็ยิ่งมีพื้นที่ให้สำแดงฝีมือ นางปล่อยหลี่เจินให้แต่งงานแล้ว เป็นหลี่เจินไม่ยินยอมเอง ในฐานะมารดาใหญ่ผู้ ‘หวงแหนบุตรี’ ย่อมต้องคัดกรองตัวเลือกราชบุตรเขยคนถัดไปอย่างถี่ถ้วน เฟ้นหาสักสามปีห้าปีก็ไม่ใช่ปัญหา ถึงตอนนั้นจริงๆ หลี่เจินอย่าคิดหวังว่าจะได้ไปจากเรือนเยี่ยถิงเลย
หลี่เจาเกอได้สัมผัสความโหดร้ายของเทียนโฮ่วจึงลอบหลุบตา ไม่ชายสายตาไปทางหลี่เจินแม้น้อยนิด ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากระบวนท่านี้ของเทียนโฮ่วมีพลานุภาพเหี้ยมเฉียบสยบผู้คน นางกำนัลขันทีต่างเงียบปานจักจั่นในวันหนาว หลี่ฉังเล่อกับหลี่ไหวรู้ว่ามารดามีโทสะ ไหนเลยจะกล้าเปล่งเสียงใดๆ หลี่ซั่นใบหน้าซีดเผือด ก้มหน้าไม่เอ่ยคำ ชายารัชทายาทยืนอยู่หลังหลี่ซั่น เสียขวัญจนหนาวไปทั้งร่างอย่างห้ามไม่อยู่ ขณะฟังเทียนโฮ่วบนแท่นสูงใช้เสียงอันนุ่มนวลปนรอยยิ้มนั้นเป็นอาวุธ แล่เนื้อเถือหนังหลี่เจินไปทีละมีดๆ
แม้แต่ฮ่องเต้บนแท่นสูงก็มองบุตรีกับบุตรเขยที่คุกเข่าอยู่ด้านล่างโดยไม่สะทกสะท้าน พระองค์ไม่ได้พบหลี่เจินมาเจ็ดแปดปีแล้ว บัดนี้มีหลี่เจาเกอกับหลี่ฉังเล่อเป็นตัวเปรียบเทียบอยู่ก่อน พระองค์ดูหลี่เจินอย่างไรก็ดูคล้ายคนแปลกหน้าผู้หนึ่ง จึงเอ่ยปากพูดเพียงว่า “ในเมื่อเทียนโฮ่วประทานสมรสแก่พวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าก็คำนับขอบคุณเถิด วันหน้าใช้ชีวิตร่วมกันให้ดีๆ อย่าได้ผิดต่อน้ำใจของเทียนโฮ่ว”
อย่าได้ผิดต่อน้ำใจของเทียนโฮ่ว? หลี่เจินฟังแล้วแสนจะเสียดแทงใจ แต่เปลือกนอกยังคงหลุบคิ้วขานรับโดยดี เทียนโฮ่วต่อบทสนทนาเนิบๆ “อี้อันอายุมากแล้ว ไม่เพียงตนเองร้อนใจ ขุนนางข้างนอกต่างก็ร้อนใจกับการแต่งงานของอี้อัน ตามความเห็นของข้า…เลือกวันมิสู้วันสะดวก สั่งสำนักดาราศาสตร์คำนวณหาวันมงคลที่ใกล้ที่สุด ให้อี้อันเร่งเข้าพิธีเถิด อี้อันออกเรือนในฐานะองค์หญิงชั้นกงจู่ เกียรติที่พึงมีห้ามขาดตกบกพร่อง ไม่ให้ผู้อื่นพูดได้ว่าข้าลำเอียงรักแต่บุตรีที่ตนเองให้กำเนิด ข้าจำได้ว่าภูมิลำเนาของเฉวียนต๋าอยู่ที่อำเภอเลวี่ยหยางเมืองเทียนสุ่ย เช่นนั้นก็ยกอำเภอเลวี่ยหยางเป็นที่ศักดินาของอี้อันแล้วกัน เป็นการสานวาสนาของพวกเจ้าสามีภรรยาพอดี”
หลี่เจาเกอฟังไปก็รู้สึกว่าความเจ้าคิดเจ้าแค้นของเทียนโฮ่วช่างสุดยอดยิ่งนัก ที่ศักดินาของหลี่เจาเกอคือเมืองจิ้นโจวแหล่งกำเนิดราชวงศ์ ของหลี่ฉังเล่อก็เป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ องค์หญิงอื่นต่อให้ไม่เป็นที่โปรดปรานก็ล้วนได้แบ่งพื้นที่ไปหนึ่งเมือง หลี่เจินกลับดีแท้ ได้แบ่งพื้นที่ไปเพียงหนึ่งอำเภอ นี่ใช่องค์หญิงชั้นกงจู่ที่ใดกัน เทียบกับเซี่ยนจู่บุตรีของจวิ้นอ๋อง ยังไม่ได้เลย
มิหนำซ้ำอำเภอเลวี่ยหยางอยู่ที่มณฑลหล่งซีกันดารห่างไกล ที่ศักดินาอยู่ตรงนั้น โดยรวมชั่วชีวิตคงไม่อาจเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ใดแล้ว
ทว่า…เหล่านี้เกี่ยวอันใดกับหลี่เจาเกอเล่า นางยืนอยู่ท้ายโถงไม่พูดจา เทียนโฮ่วเห็นนางมาแล้วจึงถามว่า “เจาเกอ เจ้ากลับมาแล้วหรือ”
“เพคะ” หลี่เจาเกอเดินขึ้นหน้าไปคำนับฮ่องเต้กับเทียนโฮ่ว “ได้ยินว่างานมงคลของพี่หญิงอี้อันกำหนดแล้ว ลูกจึงเข้าวังมาดู”
จบคำนางประสานมือคารวะหลี่เจินแล้วเอ่ยเรียบๆ “ยินดีกับงานมงคลของพี่หญิงอี้อัน”
หลี่เจินได้นางกำนัลพยุงขึ้นจากพื้น หมุนตัวมาคารวะตอบหลี่เจาเกอ เฉวียนต๋ายืนอยู่ในโถงตำหนัก เผชิญหน้าองค์ชายองค์หญิงเต็มโถงไม่รู้ว่าควรตอบสนองเช่นไรดี
หลี่เจาเกอต้องเข้าออกประตูวังทุกวัน ไม่นานนี้เองเฉวียนต๋ายังทำความเคารพหลี่เจาเกอที่หน้าประตูวังอยู่เลย พริบตาเดียวก็กลายมาเป็นพี่เขยของหลี่เจาเกอแล้ว ฐานะเปลี่ยนไวเสียจนเฉวียนต๋าวิงเวียนตาลาย
หลังจากหลี่เจาเกอทักทายเขาเป็นคนแรก คนอื่นๆ เห็นว่าหลี่เจินจะต้องแต่งกับองครักษ์เป็นที่แน่นอนแล้วจึงพากันเดินขึ้นหน้ามากล่าวแสดงความยินดี พวกหลี่ฉังเล่อกับหลี่ไหวไม่รู้สึกเท่าไร เพราะไม่ว่าพี่เขยจะเป็นใครล้วนไม่กระทบต่อฐานะของพวกตน ทว่าตอนชายารัชทายาทกล่าวทักทายเฉวียนต๋า ในใจยังเกิดความรู้สึกอันซับซ้อนอยู่บ้าง
นางเป็นถึงบุตรสาวสกุลหลู เป็นชายารัชทายาทผู้สูงศักดิ์เกินใคร ถึงกับจะต้องกลายเป็นญาติกับองครักษ์เฝ้าประตูวังผู้หนึ่ง ซ้ำร้ายหลี่เจินโตกว่าหลี่ซั่น ตนยังจะต้องเรียกเฉวียนต๋าว่า ‘พี่เขย’ เพียงคิดถึงภาพเหตุการณ์นี้ ในใจก็รู้สึกเหมือนกลืนแมลงวันลงไปไม่มีผิด
หลังเหล่าองค์ชายองค์หญิงกล่าวทักทายจบ ฐานะของเฉวียนต๋าก็นับว่าผ่านการยอมรับจากเชื้อพระวงศ์แล้ว เทียนโฮ่วอมยิ้มมองฉากเหตุการณ์ด้านล่างก่อนเอ่ย “คนครอบครัวเดียวกันสุขสันต์กลมเกลียว เห็นแล้วพาให้เบิกบานใจ เรื่องน่ายินดีเช่นนี้สมควรแบ่งปันแก่เหล่าขุนนางด้วยจริงๆ นางข้าหลวง! จงแจ้งต่อราชสำนักให้ร่วมยินดีกับการครองคู่กันขององค์หญิงอี้อันและองครักษ์หน่วยอี้เว่ยเฉวียนต๋า ไปแจ้งกรมพิธีการด้วย ให้พวกเขาเริ่มเตรียมงานแต่งขององค์หญิงอี้อันทันที”
นี่เทียนโฮ่วกำลังแจ้งข่าวดีอยู่เสียเมื่อไร กำลังสำแดงบารมีอยู่ชัดๆ พวกขุนนางยกเรื่ององค์หญิงอี้อันมาถึงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ เปลือกนอกเพื่อจะทวงความเป็นธรรมให้บุตรีของพระองค์ แท้ที่จริงเพื่อจะต่อต้านการรวบอำนาจของเทียนโฮ่วต่างหาก เทียนโฮ่วจึงใช้การแต่งงานนี้ตบหน้าขุนนางเหล่านั้นเสียเลย ให้คนทั้งหมดได้เห็นว่าเป็นอริกับนางจะมีผลลงเอยเช่นนี้
เทียนโฮ่วลั่นวาจา ไม่มีใครกล้าชักช้า นางข้าหลวงรีบยอบกายขานรับ เดินชดช้อยมุ่งไปนอกประตู ตอนนี้เองหลี่เจินที่ยืนก้มหน้าโดยตลอดพลันเปล่งเสียงขอร้องฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วว่า “ลูกขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทกับเทียนโฮ่ว ทว่าลูกไม่ได้พบพี่ชายสิบปีแล้ว ขอฝ่าบาทโปรดทรงเมตตาให้พี่ชายกลับมาร่วมงานแต่งของลูกกับราชบุตรเขยได้หรือไม่เพคะ”
บุตรธิดาในโถงนี้หลี่เจินมีอาวุโสสูงสุด พี่ชายที่นางกล่าวถึงคืออู๋อ๋องหลี่สวี่ สิ้นเสียงของนางตำหนักเหวินเฉิงทั้งหลังก็ตกอยู่ในความเงียบ ฮ่องเต้นิ่งครุ่นคิด หลี่เจินเห็นเช่นนั้นจึงรีบคุกเข่าลง “ในชีวิตของลูกคงได้จัดงานแต่งเพียงหนเดียวนี้ สตรียามออกเรือนล้วนมีพี่ชายเป็นผู้ส่ง ลูกเพียงอยากพบเขาในพิธีแต่งงาน ขอฝ่าบาทโปรดทรงเห็นใจลูกสองคนพี่น้องที่ไม่ได้พบกันถึงสิบปี ส่งเสริมลูกหนนี้ด้วยเถิดเพคะ”
หลี่เจินคำนับติดกันสามครั้ง ทุกครั้งหน้าผากล้วนจรดพื้น จริงใจยิ่งยวด ฮ่องเต้ไม่ตอบคำ หันไปมองเทียนโฮ่ว หลี่เจินสัมผัสได้ถึงการกระทำของฮ่องเต้ พาให้หัวใจเย็นเฉียบ
มีแค่หลี่เจาเกอกับหลี่ฉังเล่อหรือที่เป็นบุตรีของพระองค์ หลี่เจินผู้นี้ไม่ใช่หรือไรกัน หลี่ฉังเล่ออยู่กับฮ่องเต้มาแต่เล็ก หลี่เจินรู้ตัวว่าเทียบกับหลี่ฉังเล่อไม่ได้ แต่หลี่เจาเกอเล่า หลี่เจาเกอเพิ่งตามหาคืนมา เอ่ยถึงความสนิทสนมเกรงว่าคงไม่เหนือกว่าหลี่เจินสักเท่าไร เหตุใดแม้แต่ข้อเรียกร้องจะเป็นขุนนางในราชสำนักฮ่องเต้ยังอนุญาตหลี่เจาเกอได้ หลี่เจินเพียงแค่อยากให้พี่ชายมาร่วมงานแต่ง ไฉนฮ่องเต้กลับลังเลแล้วลังเลอีก
ฮ่องเต้ไม่เอ่ยวาจา หน้าผากของหลี่เจินยังคงก้มจรดพื้น บรรยากาศในโถงค่อยๆ ผนึกค้าง เทียนโฮ่วรออย่างเย็นใจครู่หนึ่ง ชื่นชมสภาพอับจนของหลี่เจินจนพอใจค่อยเอ่ยราวสงเคราะห์เจือจาน “ข้าเป็นมารดาที่ใจดี มององค์ชายองค์หญิงทั้งหมดในวังดุจเดียวกันกับบุตรที่ให้กำเนิดเอง พวกเจ้ามีข้อเรียกร้อง ข้าเคยปฏิเสธเมื่อใดกัน ในเมื่ออี้อันอยากพบอู๋อ๋อง เช่นนั้นก็ให้อู๋อ๋องพาชายาของเขากลับมาราชธานีตะวันออกสักเที่ยวแล้วกัน”
หลี่เจินพรูลมหายใจยาว โขกศีรษะให้เทียนโฮ่วเสร็จค่อยลุกขึ้นช้าๆ การสั่งสอนของเทียนโฮ่วหนนี้สยบขวัญคนทั้งในนอก เฉวียนต๋าผวาจนไม่กล้าพูดจา หลี่เจาเกอก้มหน้ามองเสื้อผ้าของตน ส่วนหลี่ฉังเล่อตัวลีบอย่างหวาดกลัว ไม่กล้าขัดขืนมารดาอีกแล้ว
น่ากลัวเหลือเกิน หากนางไม่เชื่อฟังมารดาจะถูกยกให้องครักษ์สักหน่วยส่งเดชเช่นกันหรือไม่
หลี่ฉังเล่อเพียงคิดถึงเหตุการณ์เช่นนั้นก็ตื่นกลัวจนตัวสั่น
ชายารัชทายาทอยู่หลังหลี่ซั่นรู้สึกว่าภาพจำที่ตนมีต่อวังหลวงพลิกคว่ำโดยสิ้นเชิง หากวันนี้จุดประสงค์ที่เทียนโฮ่วเรียกทุกคนมาคือเชือดไก่ให้ลิงดู ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเทียนโฮ่วประสบผลสำเร็จอย่างงาม
เมื่อก่อนชายารัชทายาทรู้เพียงว่าเทียนโฮ่วเผด็จการ แต่ไม่เคยคาดคิดว่ามารดาสามีของตนจะอำมหิตได้ถึงขั้นนี้
ชายารัชทายาทรู้สึกเคว้งคว้างไม่น้อย เดิมทีนึกว่าอดทนจนหลี่ซั่นขึ้นครองราชย์ ตนได้เป็นฮองเฮาแล้วจะเสพสุขได้อย่างเต็มที่ ทว่าปัจจุบันฮ่องเต้เจ็บป่วยออดแอด ส่วนเทียนโฮ่วกลับเห็นชัดว่าไม่มีเค้าของคนอายุสั้นเลย ต่อให้หลี่ซั่นได้ขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่นจริงๆ เบื้องบนมีไทเฮาเช่นนี้อยู่ผู้หนึ่ง ตนจะมีชีวิตอยู่ดีได้จริงๆ หรือ
ในโถงไม่มีใครพูดจา เงียบกริบกระทั่งเข็มหล่นสักเล่มก็ต้องได้ยิน ตอนนี้เองพลันมีเสียงอุทานตกใจของนางกำนัลผู้หนึ่งดังมาจากเบื้องนอก นางกำนัลผู้นั้นรีบป้องปากตนเองทว่ายังคงสายเกินการณ์ ผู้คนในโถงล้วนมองมาทางประตูแล้ว หลี่เจาเกอมองผ่านบานหน้าต่างที่แง้มอยู่ เห็นแมวดำตัวหนึ่งกระโจนจากมุมกำแพงขึ้นไปบนชายคา หนีหายไปอย่างรวดเร็ว
บรรดานางกำนัลรู้ว่าเทียนโฮ่วไม่ชอบแมว บ่าวรับใช้ทั้งหมดต่างก็ตกใจจนหน้าซีด ขันทีที่เป็นหัวหน้าตัวสั่นเทิ้มคุกเข่าลงกล่าวขออภัย “ขอเทียนโฮ่วโปรดอย่ากริ้ว กระหม่อมเองก็ไม่รู้ว่าแมวจรวิ่งเข้ามาจากที่ใด กระหม่อมจะไปตีมันให้ตายประเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เทียนโฮ่วปรายตาผ่านๆ มองไปยังทิศทางที่แมวดำหลบหนี “สัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น นึกว่าข้าจะเก็บมาใส่ใจจริงๆ น่ะหรือ คนบางคนมีชีวิตอยู่ยังไม่มีปัญญาสู้กับข้า นับประสาอะไรกับตายไปแล้ว ไม่ต้องไล่มันหรอก ปล่อยไปเถอะ”
ขันทีไม่รู้ว่าในน้ำเต้าของเทียนโฮ่วขายยาอะไร จึงขานรับอย่างกล้าๆ กลัวๆ วาจาครึ่งหลังของเทียนโฮ่วชี้ชัดอย่างยิ่ง หลี่เจินยืนอยู่ในโถงตำหนักเหวินเฉิงสัมผัสได้ถึงสายตาลอบพิจารณาจากรอบทิศ ทำให้แทบต้องแทรกแผ่นดินหนี หลี่เจาเกอจุปากอยู่ในใจ ก่อนประสานมือกล่าวก่อนใคร “เทียนโฮ่วทรงรู้แจ้งในเหตุผล เป็นแบบอย่างของลูกโดยแท้ กองงานปราบปีศาจมีคดีปองร้ายอีกหลายคดีที่ยังไม่คลี่คลาย ในเมื่อฝ่าบาทกับเทียนโฮ่วไม่มีสิ่งใดแล้ว ลูกขอตัวออกไปก่อนเพคะ”
ฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วพยักหน้า ปล่อยหลี่เจาเกอออกจากตำหนัก พวกหลี่ไหวเห็นเช่นนั้นก็พากันขอตัวบ้าง หลี่เจาเกอก้าวออกจากประตูโถง ยกชายชุดเดินลงบันไดหน้าตำหนักไปภายใต้แสงแดดอำไพ ก่อนจากยังกวาดตามองทิศทางที่แมวดำหายลับนั้นเงียบๆ
เมื่อวานในจวนองค์หญิงของนางก็มีแมวดำผลุบโผล่ วันนี้ยังพบเห็นแมวดำในวังชั้นในอีก เป็นแค่ความบังเอิญแน่หรือ
นับจากค้นพบว่าคดีคนตายต่อเนื่องนั้นจะเกิดเหตุทุกๆ สิบสองวัน หลี่เจาเกอก็ระมัดระวังยิ่งยวด สั่งให้พวกไป๋เชียนเฮ่อจับตาความเคลื่อนไหวในเมืองอย่างใกล้ชิด แต่ที่น่าแปลกคือ…รอจนถึงวันจื่อครั้งถัดไปนครลั่วหยางกลับไม่มีคนเจ็บตาย
นางนึกว่าฆาตกรกำลังหลบซ่อน ทว่ารอจนวันจื่อผ่านไปอีกหลายครั้งเหตุการณ์ก็ยังสงบเรื่อยมา นางนั่งอยู่ในโถงหลักของกองงานปราบปีศาจ มองเอกสารคดีที่อยู่ตรงหน้า พึมพำเสียงเบา “หรือคนตายทุกสิบสองวันเป็นแค่ความเข้าใจผิดของข้าเอง ฆาตกรไม่ได้เจาะจงเลือกวันแต่อย่างใด สามคนนี้วันตรงกัน เป็นความบังเอิญล้วนๆ”
หลี่เจาเกอกดคลึงหว่างคิ้ว แสนจะปวดหัว นางคิดจะลองเปลี่ยนแนวทางไขคดี ทว่าลึกๆ กลับมีลางสังหรณ์บางอย่าง รู้สึกอยู่ตลอดว่าเบื้องหลังวันที่เหล่านี้มีเลศนัย
ขณะคดีทางนี้ไม่คืบหน้าแม้แต่น้อย เวลากลับผ่านไปไวดุจสายน้ำไหล พริบตาก็ถึงวันแต่งงานของหลี่เจินกับเฉวียนต๋าแล้ว เทียนโฮ่วพระราชทานสมรสให้ตอนปลายเดือนสาม จากนั้นก็เร่งรัดกรมพิธีการให้จัดงานโดยเร็ว ดูจากท่าทีของเทียนโฮ่วแทบจะยัดเยียดหลี่เจินออกเรือนไปในวันรุ่งขึ้นเลยด้วยซ้ำ
เทียนโฮ่วหมายจะให้หลี่เจินไสหัวออกไปจากเรือนเยี่ยถิงอย่างไม่สมฐานะองค์หญิง ทว่ากรมพิธีการไม่อาจจัดการเช่นนั้น เจ้ากรมพิธีการแบกรับแรงกดดันมหาศาล ยื้อเวลาไปมาจนสุดท้ายกำหนดงานแต่งเป็นวันที่สองเดือนเจ็ด
ความจริงเดือนเจ็ดฉุกละหุกอย่างยิ่ง แม้แต่บุตรสาวชาวบ้านทั่วไปจะออกเรือน ขั้นตอนก่อนงานแต่งก็ยังต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี หลี่เจินในฐานะองค์หญิงกลับใช้เวลาเพียงสามเดือนก็ถึงวันแต่งแล้ว นับเป็นกรณีตัวอย่างโดยแท้
หลี่เจินแต่งงาน หลี่เจาเกอในฐานะน้องสาวจะอย่างไรก็ต้องไปร่วมงาน ส่วนอู๋อ๋องผู้แสนรุ่มร้อนใจก็รุดมาถึงราชธานีตะวันออกเมื่อไม่กี่วันก่อน ทันงานแต่งของหลี่เจินจนได้ ในวันที่สองเดือนเจ็ดหลี่เจาเกอมอบหมายงานแก่พวกไป๋เชียนเฮ่อแล้วออกจากกองงานปราบปีศาจมาแต่เนิ่นๆ
นางกลับมาจวนองค์หญิงของตนก่อน เปลี่ยนสวมชุดหรูฉวินสีแดงคลุมทับด้วยเสื้อนอกแขนกว้างสีเงินปักลายสีน้ำหมึก แขนคล้องผ้าคลุมไหล่สีเหลือง จากนั้นจะมุ่งหน้าไปยังจวนองค์หญิงอี้อัน ทว่าเครื่องแต่งกายนี้ไม่เหมาะจะขี่ม้า นางจึงสั่งให้ผู้เฝ้าประตูนำรถม้ามาคันหนึ่ง
หลี่เจาเกอต่างจากคนว่างงานอย่างหลี่ฉังเล่อและหลี่ไหว นางกลับจากที่ทำงานค่อยออกเดินทาง ต่อให้ปลีกตัวจากกองงานปราบปีศาจเร็วกว่ายามปกติมาก ตอนมาถึงจวนองค์หญิงอี้อันก็ไม่เช้าแล้ว ขณะนี้ในจวนประดับประดาด้วยโคมไฟกับแถบแพร ผู้ดูแลจวนกำลังต้อนรับแขกอยู่หน้าประตู หลี่เจาเกอกวาดมองคร่าวๆ แม้จวนจะตกแต่งงามหรูยิ่งยวด แต่ในรายละเอียดยังคงมองออกถึงความฉุกละหุก
อย่างไรเสียก็มีเวลาเพียงสามเดือน แม้แต่สินเจ้าสาวยังเตรียมไม่ครบถ้วน จัดงานแต่งเลยสุกเอาเผากินเกินไปจริงๆ เมื่อหลี่เจาเกอเข้าจวนไป คนในโถงจัดเลี้ยงได้ยินว่านางมาแล้วต่างพากันลุกขึ้นต้อนรับ “องค์หญิงเซิ่งหยวน”
หลี่ไหวกับหลี่ฉังเล่อล้วนอยู่ในโถงใหญ่ หลี่ซั่นไม่สบาย ชายารัชทายาทต้องรั้งอยู่ตำหนักบูรพาดูแลหลี่ซั่น วันนี้ไม่อาจมาด้วยตนเองจึงสั่งให้คนของสำนักการกิจมาส่งของกำนัลแทน หลี่ไหวกับหลี่ฉังเล่อคารวะหลี่เจาเกอ หลี่เจาเกอก้มศีรษะให้เล็กน้อย “จ้าวอ๋อง ก่วงหนิง ไม่ต้องมากพิธี นั่งลงเถิด”
ตามธรรมเนียมปกติสตรีก่อนออกเรือนจะต้องคำนับลาบิดามารดา จากนั้นให้พี่ชายแบกออกจากบ้านเดิม พิธีแต่งงานขององค์หญิงมีความแตกต่างหลายอย่าง ทว่าหลักใหญ่ไม่ต่างกัน พิธีการครึ่งแรกทำในวังหลวง อู๋อ๋องหลี่สวี่จะต้องแบกหลี่เจินออกจากวัง ตอนนี้อู๋อ๋องกับชายาจึงอยู่ในวังร่วมเป็นสักขีพยาน ส่วนพวกหลี่เจาเกอเป็นน้องมารอร่วมพิธีการครึ่งหลังที่จวนองค์หญิงอี้อันได้เลย
วันนี้เป็นพิธีแต่งงานขององค์หญิงชั้นกงจู่ครั้งแรกในรอบหลายปี นอกจากพวกหลี่เจาเกอที่เป็นน้องต่างมารดา ชายาอ๋องกับเซี่ยนจู่เชื้อพระวงศ์สายอื่นก็มากันด้วย แต่เทียนโฮ่วแสดงชัดว่าไม่ชอบองค์หญิงอี้อัน ทุกคนที่มาร่วมงานเลี้ยงจึงสำรวมอย่างยิ่ง เครื่องแต่งกายไม่กล้าสวมหรูหราเกินไป แม้แต่สีหน้าก็ไม่กล้าเผยเกินพอดี
นอกจากเชื้อพระวงศ์สกุลหลี่ แขกเหรื่ออื่นๆ ต่างทยอยมาถึงแล้ว เห็นพวกหลี่เจาเกอองค์ชายองค์หญิงกลุ่มนี้นั่งอยู่รวมกัน คนทางบ้านเฉวียนต๋าไม่กล้าเข้ามาใกล้โดยสิ้นเชิง ต่างจากเผยจี้อันกับกู้หมิงเค่อที่เดินหนึ่งหน้าหนึ่งหลังเข้าประตูตรงมาคารวะคนกลุ่มนี้ “คำนับองค์หญิงเซิ่งหยวน จ้าวอ๋อง องค์หญิงก่วงหนิง”
นับแต่หลี่เจาเกอมาถึง หลี่ฉังเล่อก็ไม่อยากจะพูดจา ขณะกำลังแสนเบื่อหน่ายพลันแลเห็นเผยจี้อัน พาให้ดวงตานางสว่างวาว “พี่เผย!”
ชายาของจวิ้นอ๋องผู้หนึ่งเห็นแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะทันที “องค์หญิงก่วงหนิงไม่ตื่นเต้นต่อพวกเรา แต่พอเห็นคุณชายเผยกลับเรียกพี่เสียงหวาน ช่างน่าน้อยใจจริงๆ”
ชายาอ๋องกับฮูหยินจำนวนมากร่วมกันหัวเราะ หลี่ฉังเล่อค้อนใส่พวกนางอย่างขุ่นเคือง เบ้ปากกระตุกแขนเสื้อของหลี่ไหว “พี่ชายสาม ท่านดูสิพวกนางรังแกข้า”
หลี่ไหวยิ้มเอ่ย “ชายาอู่หลิงอ๋องรังแกเจ้า เจ้าฟ้องข้าก็ไม่มีประโยชน์ มิสู้เจ้าไปหาท่านอาอู่หลิงอ๋อง ให้ท่านอาออกหน้าให้เจ้า”
อู่หลิงอ๋องเป็นคนรุ่นเดียวกับฮ่องเต้ ชายาอู่หลิงอ๋องนับเป็นอาสะใภ้ของพวกหลี่ไหว คำกล่าวของหลี่ไหวไม่นับว่าผิด พอดีตงหยางจ่างกงจู่เข้ามาจากด้านนอก ได้ฟังคำกล่าวนี้ก็หัวเราะเสียงดัง “จ้าวอ๋องไม่กล้าออกหน้า แต่ข้ากล้า ก่วงหนิง เป็นใครกันรังแกเจ้า เจ้าบอกป้ามา ป้าจะไปทวงคำอธิบายจากคนเหล่านั้นประเดี๋ยวนี้”
ในโถงจัดเลี้ยงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ชายาอู่หลิงอ๋องทำท่าขอให้ตงหยางจ่างกงจู่ละเว้น ตงหยางจ่างกงจู่โชกโชนในวงสังคม เมื่อมีนางอยู่วาจาเพียงไม่กี่คำก็ทำให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นได้
ตงหยางจ่างกงจู่ดูคล้ายพูดเล่น แท้ที่จริงให้การดูแลครบทุกคน ไม่ยอมให้คนโปรดคนใดถูกละเลย นางเอ่ยถึงทีละคนไปหนึ่งรอบพลันพบว่าขาดไปอีกผู้หนึ่ง จึงเอ่ยถาม “เซิ่งหยวนเล่า นางยังไม่มาหรือ”
เมื่อตงหยางจ่างกงจู่ทักขึ้นมา คนอื่นๆ ก็พากันหันหลังมอง “จริงด้วย องค์หญิงเซิ่งหยวนเล่า เมื่อครู่นางเข้ามาแล้วชัดๆ”
เกาจื่อฮั่นขันอาสาไปค้นหา หลังจากค้นหาไประยะทางหนึ่งบังเอิญมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นหลี่เจาเกอกับบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหัวเลี้ยวของทางระเบียงคล้ายพูดคุยอันใดกันอยู่ ผู้คนพบว่าเกาจื่อฮั่นหยุดนิ่ง ครั้นเดินไปใกล้ๆ มองเห็นภาพเหตุการณ์ด้านนอกก็พากันเอ่ยเย้า “โอ๊ะ นี่องค์หญิงเซิ่งหยวนมีวาจาใดต้องพูดคุยกับรองตุลาการกู้กันนะ แม้แต่ในงานแต่งของพี่สาวก็ไม่ยอมเพลาลง”
เกาจื่อฮั่นลดม่านลง ก่อนเอ่ยปนยิ้ม “กองงานปราบปีศาจกับศาลต้าหลี่อยู่ติดกัน อาจมีงานของทางการอันใดต้องสนทนากันก็เป็นได้”
คนทั้งหมดได้ยินพากันหัวเราะครืน สนทนางานของทางการในงานแต่ง เกาจื่อฮั่นช่างพูดเล่นได้เก่งยิ่งนัก ขณะบรรยากาศในโถงจัดเลี้ยงกำลังครื้นเครง หลี่ฉังเล่อลอบปลีกตัวจากหลี่ไหว เดินหน้าระรื่นไปถึงข้างกายเผยจี้อัน ทว่านางยินดีล้นใจ เผยจี้อันกลับดูใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เนิ่นนานยังคงไม่แยแสนางเสียที เอาแต่มองไปข้างนอก นางชักไม่พอใจจึงถามอย่างหัวเสีย “พี่เผย ท่านมองอะไรอยู่น่ะ”
เผยจี้อันถอนสายตาคืนมา ทั้งที่เขายืนเป็นจุดสนใจในงาน แต่กลับรู้สึกว่าตนเองเข้ากับรอบข้างไม่ได้เลย “ไม่มีอันใดหรอก”
ขณะนี้ที่นอกโถง หลี่เจาเกอกำลังระบายทุกข์กับกู้หมิงเค่อ “ข้าให้คนจับตามาตั้งสามเดือน ไป๋เชียนเฮ่อกับโจวเซ่าจ้องจนตาลายก็ยังไม่พบความผิดปกติใดๆ หากฆาตกรก่อคดีในวันจื่อ เช่นนั้นเหตุใดผ่านวันจื่อไปตั้งหลายหนกลับไม่เคลื่อนไหวเลยเล่า ท่านแน่ใจนะว่าสามคดีนี้เป็นคดีฆ่าต่อเนื่อง”
“ไม่แน่ใจนัก ข้าก็บอกแล้วว่าเป็นการคาดเดา” กู้หมิงเค่อมองหลี่เจาเกอพลางเอ่ยอย่างเย็นใจ “เมื่อแรกเป็นท่านที่ดึงดันจะแย่งชิงคดีนี้ไป ตอนนี้ไม่มีเบาะแสกลับมาคาดคั้นข้า องค์หญิง หลักเหตุผลอยู่ที่ใดกัน”
หลี่เจาเกอหน้าบึ้ง ไม่อยากจะพูดจาอีก โม่หลินหลางปลอมตัวเป็นสาวใช้ติดตามอยู่ด้านหลังหลี่เจาเกอ ฟังมาถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ต้องพูดเสียงเบา “องค์หญิง ที่นี่คืองานแต่งของผู้อื่น พวกท่านคุยกันเรื่องคดีคนตาย…” จะไม่มีปัญหาจริงๆ น่ะหรือ
หากเป็นเมื่อก่อนโม่หลินหลางไม่เชื่อเด็ดขาดว่าหนุ่มสาวรูปงามคู่หนึ่งจงใจหลบหลีกฝูงชนเพียงเพื่อมาคุยงานของทางการ ทว่าตอนนี้นางเชื่อแล้ว
องค์หญิงกับรองตุลาการกู้…ล้วนไม่ใช่คนทั่วไปนี่นา
กู้หมิงเค่อแม้ปากพูดเสียงแข็ง ทว่ายังคงช่วยสางเบาะแสเป็นเพื่อนหลี่เจาเกอ ด้วยสัญชาตญาณที่เขาทำคดีมานานปี มีคนตายในวันจื่อติดกันสามคดีรวดจะต้องมีเลศนัยแน่นอน แต่ไฉนสามเดือนมานี้อีกฝ่ายจึงไม่ลงมืออีกเลย
ขณะคนทั้งสองถกกันอย่างจริงจัง เสียงอันคุ้นเคยของคนผู้หนึ่งก็พลันดังมาจากด้านข้าง
“พี่ชาย” เผยจี้อันยืนอยู่ใต้ชายคา นิ่งมองมาทางนี้ “ขบวนรับเจ้าสาวใกล้มาถึงแล้ว”
ตอนนี้หลี่เจาเกอค่อยหันมองรอบด้าน พบว่าทุกคนกำลังเดินมุ่งไปด้านนอก อีกทั้งแว่วเสียงดนตรีมาจากทิศทางของประตูจวนแล้ว หลี่ฉังเล่อติดตามลูกพี่ลูกน้องสตรีไปชมความครึกครื้นเช่นกัน เดินไปได้สักพักพลันพบว่าเผยจี้อันหายไป ในใจนางกระวนกระวายโดยไม่รู้สาเหตุ เหลียวไปก็เห็นเขายืนอยู่ด้านหลัง กำลังมองประจันกับกู้หมิงเค่อและหลี่เจาเกอข้ามทางระเบียง
ฉับพลันนั้นหัวใจของหลี่ฉังเล่อเต้นขาดไปหลายจังหวะ รีบยกชายกระโปรงวิ่งกลับไปคล้องแขนเผยจี้อันดุจตอนเด็กเล่นกันแล้วถามแง่งอน “พี่เผย พวกท่านคุยอะไรกันน่ะ”
โม่หลินหลางยืนอยู่หลังหลี่เจาเกอ รู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างสี่คนนี้อ่อนไหวอย่างน่าประหลาด ขณะที่กำลังคิดว่าตนเองควรหาข้ออ้างบางอย่างหลบฉากไปใช่หรือไม่ ก็ได้ยินหลี่เจาเกอเอ่ยขึ้น “หลินหลาง ขบวนบ่าวสาวมาแล้ว พวกเราไปชมพิธีที่ด้านหน้ากัน”
โม่หลินหลางชะงักไปวูบเดียวก็รีบขานรับ หลี่เจาเกอใบหน้าไร้อารมณ์ เดินผ่านเผยจี้อันกับหลี่ฉังเล่อไปโดยไม่แลแม้แต่หางตา ทำเสมือนสองคนนี้ไร้ตัวตนโดยสิ้นเชิง เดินห่างไปชั่วระยะทางหนึ่งจึงหันมาบอกกู้หมิงเค่อว่า “คำพูดที่เหลือรอพรุ่งนี้ข้าค่อยพูดกับท่าน”
ภายหลังหลี่เจาเกอจากไปไกลโดยไร้ความอาวรณ์ มีเสียงตะโกนเรียกหลี่ฉังเล่อดังมาจากด้านหน้า หลี่ฉังเล่อเหลือบมองเผยจี้อันปราดหนึ่ง คลายมือที่กอดแขนเขาอยู่ออกอย่างเสียอารมณ์ เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านป้ากำลังเรียกข้า ข้าไปก่อนนะ”
นางจากไปแบบเดินหนึ่งก้าวเหลียวหลังสามครา ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบเผยจี้อันไม่ได้หันมองนางสักแวบเดียว รอจนผู้อื่นล้วนจากไปไกลแล้ว เผยจี้อันก็ไม่ปิดบังอีกต่อไป จับจ้องกู้หมิงเค่อด้วยท่าทางที่เกือบเรียกได้ว่าก้าวร้าว “พี่ชาย ท่านมีคำพูดอะไรกันแน่ จึงต้องพูดกับองค์หญิงตามลำพังตำตาพระญาติพระวงศ์ทั้งหลายให้ได้”
เผยจี้อันระแวง หรือกล่าวได้ว่าไม่ใช่ระแวง แต่แน่ใจเลยว่ากู้หมิงเค่อเจตนา วันนี้ผู้มาร่วมชมพิธีล้วนเป็นผู้ที่ติดต่อใกล้ชิดกับวังหลวง ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้กู้หมิงเค่อเรียกหลี่เจาเกอไปสนทนาคิดหวังอันใดกันแน่
กู้หมิงเค่อยิ้มเรียบๆ สะบัดแขนเสื้อเดินเนิบนาบมาจากทางระเบียง ยามเดินเฉียดไหล่เผยจี้อัน เสียงกระจ่างหมดจดของกู้หมิงเค่อก็ดังขึ้น “ไม่ว่าข้ามีเป้าประสงค์ใด เกี่ยวอะไรกับเจ้าเล่า”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 พ.ย. 67
Comments
comments
No tags for this post.