X
    Categories: จุติรัก พลิกชะตาร้ายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 89-90

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ 89 ปีศาจแมว

เผยจี้อันหน้าเปลี่ยนสีทันตา มองไปทางกู้หมิงเค่ออย่างไม่อาจเชื่อ กู้หมิงเค่อยังคงส่งยิ้มมาให้ ในดวงตาลุ่มลึกเย็นเยียบ พลังกดดันเปี่ยมล้น “ข้าเห็นแก่ที่เจ้าเรียกข้าเป็นพี่ชาย แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะอดกลั้นต่อเจ้าเรื่อยไป จงทำตามหน้าที่ของเจ้าเองให้ดี อย่าได้ล้ำเส้น”

เสียงดนตรีฉลองที่เบื้องนอกกังวานขึ้นตามลำดับ ขบวนบ่าวสาวเข้ามาในจวนแล้ว กู้หมิงเค่อเดินเลยเผยจี้อัน มุ่งสู่โถงหน้าไปด้วยย่างก้าวอันแช่มช้า

เผยจี้อันอึ้งงันอยู่ครู่ใหญ่ อดไม่ได้ต้องหันไปเพ่งมองเงาหลังที่เคลื่อนไปไกลของกู้หมิงเค่อนานสองนาน แววตาเริ่มเข้มขรึม กรามล่างเกร็งแน่น

เขา…ใช่ญาติผู้พี่ของข้าจริงๆ น่ะหรือ

หลังบ่าวสาวคำนับศาลบรรพกษัตริย์ อำลาฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วในวังหลวงจื่อเวยเสร็จสิ้น เฉวียนต๋าขี่ม้านำหน้าสุด พาขบวนเกียรติยศขององค์หญิงวนรอบเมืองครึ่งรอบแล้ววกสู่จวนองค์หญิงอี้อัน ภายในจวนคับคั่งด้วยแขกเหรื่อแต่แรก ท่ามกลางหมู่มวลสีแดงอันพร่าตานั้นเฉวียนต๋าทำพิธีไหว้ฟ้าดินอย่างมึนงง รับคำอวยพรจากผู้คนอย่างมึนงง และถูกผู้คนหยอกล้อส่งเข้ากระโจมชิงหลู ไปอย่างมึนงง

หลี่เจาเกอยืนชมพิธีการในโถงพิธี แท้ที่จริงในหัวยังคงคิดเรื่องคดีอยู่ รอจนบ่าวสาวเสร็จพิธีไหว้ฟ้าดิน ผู้คนแห่แหนไปยังกระโจมชิงหลู นางจึงฝืนใจตามไป คิดว่าไปโผล่หน้าในกระโจมชิงหลูสักแวบหนึ่งก็จะกลับ

กระโจมชิงหลูคือห้องหอที่สร้างขึ้นสำหรับบ่าวสาวโดยเฉพาะ ทั้งคู่จะต้องใช้เวลาคืนแรกกันที่นี่ วันรุ่งขึ้นจึงจะย้ายเข้าห้องนอนของสามีภรรยาได้ ในกระโจมชิงหลูถูกตกแต่งให้มีบรรยากาศอันเป็นมงคล ขณะนี้เหล่านางข้าหลวงถือพัดกลมบดบังดวงหน้ากับเรือนร่างของหลี่เจินไว้ เฉวียนต๋านำเพื่อนเจ้าบ่าวมายืนอยู่นอกกลุ่มพัด ร่ายกลอนเปิดพัด ไปบทแล้วบทเล่า ส่วนแขกเหรื่อล้อมอยู่สองฟากคอยเอ่ยกระเซ้าเย้าหยอกไม่หยุด

โคลงกลอนเป็นที่นิยมแพร่หลายในต้าถัง แม้แต่เด็กน้อยข้างทางก็ท่องกลอนห้า ได้สองวรรคโดยไม่ต้องหยุดคิด การสอบเคอจวี่ต้องแต่งกลอน เป็นขุนนางต้องแต่งกลอน ในงานเลี้ยงต้องแต่งกลอน แม้กระทั่งแต่งภรรยาก็ต้องแต่งกลอน

ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวนับแต่ก้าวพ้นประตูบ้านก็จะถูกกลั่นแกล้งไม่หยุดหย่อน ไปรับเจ้าสาวจะต้องผ่านบททดสอบโหดจากลุงป้าน้าอาของฝ่ายหญิง ระหว่างทางถูกผู้คนบนถนนกั้นทางขวางรถ* ต่อให้กลับเข้ามาในบ้านตนเองแล้วก็ยังต้องแต่งกลอนเปิดพัดต่อหน้าแขกเหรื่อ หากกลอนที่แต่งไม่อาจทำให้ญาติฝ่ายหญิงกับแขกเหรื่อพึงพอใจก็จะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าสาวเป็นอันขาด

ด้วยเหตุนี้จ้วงหยวนของทุกปีจึงเป็นตัวเลือกเพื่อนเจ้าบ่าวที่ได้รับความนิยมสูงสุด บททดสอบทั้งวันเช่นนี้หากไม่มีความรู้ติดตัวอยู่บ้างก็รับไม่ไหวจริงๆ เฉวียนต๋าไม่ไหวแต่แรก ตอนนี้จึงอาศัยจิ้นซื่อที่เชิญมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวช่วยแต่งกลอนร่ายบทกวี กู้หมิงเค่อมองดูอยู่ด้านข้าง คิดในใจว่ามนุษย์แต่งงานช่างยุ่งยากโดยแท้

เขายังไม่ทันคิดจบ หลี่ฉังเล่อที่อยู่ด้านข้างก็งึมงำขึ้นมาพอดี “แต่งงานยุ่งยากยิ่งนัก ไหว้ฟ้าดินกันแล้วก็ยังไม่อาจพบหน้า”

จบคำหลี่ฉังเล่อค่อยตระหนักได้ว่าตนเองพลั้งหลุดปากจึงรีบป้องปากทันที ทว่าคนรอบข้างล้วนได้ยินจนสิ้น องค์หญิงท่านหญิงหลายคนที่แต่งงานแล้วต่างหัวเราะร่วน ตงหยางจ่างกงจู่สัพยอกว่า “พี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ จะกลัดกลุ้มก็ช่างเถิด ก่วงหนิงเจ้าต้องกังวลอันใด คุณชายเผยขึ้นชื่อว่าเป็นคุณชายหน้าหยกแห่งราชธานีตะวันออก เพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ ความสามารถเปี่ยมล้น ยังจะกลัวแต่งกลอนเปิดพัดไม่กี่บทไม่ได้หรือ”

เผยจี้อันยืนอยู่ไม่ไกลนี่เอง สายตาของเหล่าสตรีจึงตระเวนไปมาบนร่างหนุ่มสาวทั้งสองแล้วหัวเราะพร้อมเพรียงอย่างรู้ใจกัน นี่ทำให้หลี่ฉังเล่อแก้มแดงก่ำ ขวยเขินจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าป้องใบหน้าไว้ไม่ยอมเผยโฉม เหล่าสตรีเห็นเช่นนี้ยิ่งหัวเราะเบิกบานกว่าเดิม

เห็นเผยจี้อันยืนอยู่ท่ามกลางสายตาหยอกเย้าจากรอบทิศได้อย่างหนักแน่น ผู้คนต่างลอบชมว่าเขาทระนงสมเป็นทายาทตระกูลขุนนางใหญ่ ทั้งที่ความจริงเขาไม่เคอะเขินใดๆ เลย ไม่รู้สึกว่าน่าหัวเราะ กำลังข่มทนความอึดอัดอยู่ด้วยซ้ำ

ขณะเสียงหัวเราะหยอกล้อดังไปทั่ว เผยจี้อันลอบมองไปทางหลี่เจาเกอ วันนี้นางสวมชุดหรูฉวินสีแดง ทับด้วยเสื้อนอกสีเงินปักลายสีน้ำหมึก ยืนอยู่ในฝูงชนอันพลุกพล่าน แลประดุจคนงามเดียวดาย โดดเด่นออกมาในพริบตา ผู้คนเย้าแหย่หลี่ฉังเล่อกลับไม่มีใครกล้าพูดล้อเล่นกับหลี่เจาเกอ ทั้งที่เห็นชัดว่านางอยู่ในวัยออกเรือนมากกว่าน้องสาว

ทุกหนแห่งในกระโจมชิงหลูมีแต่เสียงสรวลเสเฮฮา ผู้คนสนุกสนานกับการก่อกวนห้องหออย่างเต็มที่ หลี่เจาเกอกลับรู้สึกว่าวุ่นวาย คนเหล่านี้รู้จักจบจักสิ้นบ้างหรือไม่ ยังจะต้องแต่งกลอนอีกกี่บทกันแน่ นางรีบจะกลับไปทำคดีนะ

ในที่สุดสี่เหนียง ก็พึงพอใจ เอ่ยหน้าชื่นว่า “เห็นแก่ความจริงใจของราชบุตรเขย การทดสอบเชิงบุ๋นนับว่าผ่านแล้ว…”

หลี่เจาเกอพรูลมหายใจหมุนตัวออกเดินทันทีที่ได้ยิน ท่าทางของนางเด็ดขาดเหลือเกิน กู้หมิงเค่อที่ยืนอยู่อีกด้านถูกนางดึงดูดสายตาโดยไม่รู้ตัว รอจนตั้งตัวได้ก็รู้สึกทั้งคาดไม่ถึงทั้งขบขัน

เกาจื่อฮั่นตกใจรีบดึงหลี่เจาเกอไว้ “เซิ่งหยวน เจ้าทำอะไรน่ะ”

หลี่เจาเกอที่ถูกรั้งก็งุนงงมากเช่นกัน “จบแล้วไม่ใช่หรือ”

“ยังเสียหน่อย” เห็นหลายคนมองมาทางพวกนาง เกาจื่อฮั่นก็แสนกระอักกระอ่วน ตอบเสียงเบาว่า “แค่จบการทดสอบเชิงบุ๋น ยังมีการทดสอบเชิงบู๊อีกนะ”

หลี่เจาเกอเบิกตาโตอย่างอับจนถ้อยคำ คิดในใจว่าคนเหล่านี้ลีลามากเกินไปแล้ว หากเจ้าสาวคือนาง งานนี้ไม่แต่งก็ได้ เมื่อครู่คนทั้งหมดกำลังรอสี่เหนียงออกโจทย์ มีหลี่เจาเกอผู้เดียวเดินมุ่งออกไปจึงดูสะดุดตาไม่ธรรมดา สี่เหนียงเห็นท่าทางจะจากไปของหลี่เจาเกอจึงคลี่ยิ้มเอ่ยกู้สถานการณ์ “เห็นทีว่าราชบุตรเขยหมายยลโฉมเจ้าสาวคนงาม องค์หญิงเซิ่งหยวนคือคนแรกที่ไม่เห็นพ้อง องค์หญิงเซิ่งหยวน การทดสอบเชิงบู๊ท่านมาออกโจทย์เป็นอย่างไร”

หลี่เจาเกอยืนอยู่กับที่ในอาการงงงวย เกาจื่อฮั่นเห็นเช่นนั้นรีบเอ่ยกลั้วหัวเราะฮ่าๆ “เมื่อครู่เป็นเพราะเซิ่งหยวนดีใจมากเหลือเกิน วันมงคลอย่าให้เสียความปรองดอง เอาอย่างนี้เถิด ใช้ธนูมงคลสามดอก ผู้ใดยิงดอกไม้แพรแดงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามลงมาได้ก่อน ผู้นั้นชนะ เช่นนี้ดีหรือไม่เล่า”

เห็นผู้ออกโจทย์เชิงบู๊คือหลี่เจาเกอ เฉวียนต๋าพลันรู้สึกว่าเขาผู้นี้คงจะเป็นราชบุตรเขยไม่ได้แล้ว องค์หญิงเซิ่งหยวนคือผู้ใดกัน นางฆ่าภูตหมีดำโดยลำพัง จับอาชาเพลิงในเทศกาลซั่งหยวน ยิงสังหารปีศาจนกหลัวช่าด้วยคันธนูเพียงคันเดียว ให้เขาเฉวียนต๋าประลองยิงธนูกับนางเช่นนั้นหรือ

มิสู้เขาไปเกิดใหม่ ชั่วดีอย่างไรยังมีความหวังมากกว่า

ทว่าผู้อื่นกลับผสมโรงโดยไม่สนว่าเรื่องใหญ่หรือเล็ก พร้อมใจกันปรบมือโห่ร้องว่าดี อีกด้านหนึ่งหลี่เจาเกอขมวดคิ้วลอบถามเกาจื่อฮั่นว่า “ธนูสามดอกยิงเข้าเป้าหรือยิงไม่เข้าเป้าดี”

เกาจื่อฮั่นปั้นรอยยิ้มไว้ แย้มขยับริมฝีปากเพียงเล็กน้อย “หากเจ้าอยากให้พิธีแต่งงานนี้ดำเนินต่อไป เช่นนั้นก็ต้องยิงไม่เข้าเป้า”

หลี่เจาเกอขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ยิงธนูพลาดเป้าติดกันทั้งสามดอก? นี่แกล้งกันเกินไปกระมัง

ตั้งแต่นางแปดขวบน้าวคันธนูได้ก็ยังไม่เคยยิงพลาดเป้า ขณะนี้นางข้าหลวงนำเกาทัณฑ์คันธนูที่พันด้วยผ้าไหมแดงยื่นส่งมาตรงหน้านางแล้ว นางถือมันไว้พร้อมสีหน้าอมทุกข์

กู้หมิงเค่อได้ยินคำสนทนาของพวกนางอย่างครบถ้วนจึงอมยิ้มที่มุมปาก นัยน์ตาทอประกายจางๆ ชำเลืองมองหลี่เจาเกอด้วยความขบขัน

เกาจื่อฮั่นทางหนึ่งส่งสายตาให้หลี่เจาเกอ อีกทางหนึ่งเอ่ยเสียงกังวาน “เอาล่ะ องค์หญิงเซิ่งหยวนจะยิงธนูดอกแรกก่อน ราชบุตรเขยเฉวียน ท่านเตรียมตัวให้พร้อม”

คนทั้งหมดมองมาทางหลี่เจาเกอ นางฝืนใจง้างคันธนู น้าวมันจนสุดได้อย่างง่ายดาย บรรดาเด็กหนุ่มที่มาก่อกวนห้องหอเห็นเช่นนี้ก็พลันเปล่งเสียงโห่ร้องชื่นชม ทำเอาเกาจื่อฮั่นหนังศีรษะชาหนึบ ต้องรีบกระแอมหนึ่งที กระซิบบอกหลี่เจาเกอว่า “เบามือหน่อย”

หลี่เจาเกอจำต้องพยายามผ่อนคันธนู เผยจี้อันเห็นสีหน้านางเพียรข่มกลั้น แววตาค่อยๆ อ่อนลง พาให้ในใจเขาเกิดความรู้สึกเลื่อนลอยอย่างอธิบายไม่ถูก

ชาติก่อนนางมักเย็นชาอยู่เสมอ ราวกับในชีวิตของนางนอกจากราชสำนักก็คือการฝึกยุทธ์ เขาเคยเห็นนางเผยท่าทางเปี่ยมสีสันชีวิตเช่นนี้เมื่อไรกัน เปรียบกับชาติก่อนแล้ว นางในตอนนี้สิคล้ายแม่นางน้อยวัยสิบเจ็ดยิ่งกว่า

ยามนี้หวนทบทวนดูเพิ่งตระหนักได้ว่าในภาพจำชาติก่อนของเขา ดูเหมือนนางไม่เคยยิ้มสักเท่าใด เขาตะลึงงัน จมอยู่กับความคลางแคลงอย่างห้ามไม่อยู่…ชาติก่อนนางแต่งงานกับเขามีความสุขจริงๆ หรือไม่

หลี่เจาเกอกำลังง้างคันธนู แสนลำบากใจว่าควรอ่อนข้อเช่นไรให้แลดูไม่จงใจถึงเพียงนั้น ขณะกลัดกลุ้มหางตานางกวาดเห็นเงาดำวาบขึ้นที่ด้านข้าง สัญชาตญาณบอกให้นางระวังป้องกัน ทว่าในมือนางถือเกาทัณฑ์คันธนูอยู่ เมื่อถูกถ่วงเช่นนี้ท่วงท่าของนางจึงช้าลง

เผยจี้อันที่ใจลอยอยู่กับความทรงจำในชาติก่อนพลันเห็นแมวดำตัวหนึ่งกระโจนไปหาหลี่เจาเกอ แมวดำตัวนั้นท่าร่างปราดเปรียวยิ่งยวด อุ้งเท้ากางกรงเล็บสีเขียวเข้ม เพียงมองปราดก็รู้ว่าไม่ใช่สิ่งปกติ เขาตื่นตกใจจะพุ่งไปบังข้างกายนางโดยจิตใต้สำนึก “ระวัง!”

ทว่าทันทีที่เผยจี้อันเพิ่งขยับตัวกลับมีเงาคนผู้หนึ่งวาบผ่านเบื้องหน้าสายตาไป คนผู้นั้นสวมชุดผ้าดิ้นสีฟ้าเมฆ ท่ามกลางพื้นหลังสีฉูดฉาดของงานแต่งนี้แลดูอ่อนจางดุจแสงจันทร์ริ้วหนึ่ง เป็นกู้หมิงเค่อไปโอบไหล่หลี่เจาเกอไว้ เขาพานางไปอยู่ด้านหลังของตนเอง มืออีกข้างถือพัดจีบ ใช้สันพัดสกัดการโจมตีของแมวดำไว้ได้ กรงเล็บแมวครูดกับสันพัดซึ่งทำจากไม้บังเกิดเสียงบาดหู ตอนนี้หลี่เจาเกอตอบสนองได้แล้ว นางโยนเกาทัณฑ์คันธนูทิ้งหมายจะชักกระบี่ ทว่าเพิ่งขยับแขนเล็กน้อยกลับร้องซี้ดด้วยความเจ็บปวด

เดิมทีกู้หมิงเค่อคิดจะตอบโต้แมวดำตัวนั้น แต่พอได้ยินเสียงของหลี่เจาเกอ เขาก็รีบเหวี่ยงแมวดำออกห่าง แล้วก้มหน้าลงมองนาง “เป็นอะไรไป”

หลี่เจาเกอกุมต้นแขนไว้ ส่ายหน้าตอบว่า “ข้าไม่ได้เป็นอะไร”

เห็นนางทำหน้าราวไม่หนักหนา เขาก็หน้าขรึมกุมข้อมือนางไว้ นางอยากจะปัดป้อง ทว่ายังไม่ทันขัดขืนก็ถูกเขาดึงมือออกเสียแล้ว เขาเห็นได้ในปราดเดียวว่าเสื้อนางมีรอยเลือดซึม บนแขนปรากฏรอยตะปบสามริ้วเด่นชัด

นางดึงแขนเสื้อเบาๆ ใช้แขนกว้างของเสื้อนอกบดบังบาดแผลก่อนกล่าว “แค่รอยแมวข่วนเท่านั้น อีกสองวันก็ดีขึ้นเอง”

กู้หมิงเค่อยังคงกุมข้อมือนาง ไม่รู้ควรว่ากล่าวนางเช่นไรดี นางถือดีเช่นนี้เสมอ ไม่ว่าบาดเจ็บหรือป่วยไข้ล้วนไม่พูดออกมา มักคิดจะแก้ไขด้วยตนเอง เมื่อก่อนเขารู้สึกว่าอุปนิสัยเช่นนี้ไม่เรื่องมาก แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าน่าโมโห

หากไม่ใช่เพราะเมื่อครู่ตอนจะชักกระบี่นางพลั้งกระเทือนถูกบาดแผล กลบเกลื่อนไม่ทัน นางคงไม่บอกผู้อื่นแน่นอนว่าตนเองถูกแมวตะปบบาดเจ็บ เขาข่มความโกรธไว้พลางถาม “บาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง แมวตัวนี้ไม่ใช่แมวสามัญ กรงเล็บอาจมีพิษปีศาจ”

“ข้ารู้” หลี่เจาเกองึมงำเสียงเบา แมวที่กระโจนมาถึงตัวนางได้จะเป็นแมวสามัญได้อย่างไร เกรงว่าพลังปีศาจของมันจะไม่ใช่น้อย นางขยับข้อมือพบว่าเขายังกุมข้อมือนางอยู่จึงเงยหน้าขึงตาใส่อย่างอดไม่ได้

กู้หมิงเค่อพลันตระหนักได้ว่าตอนนี้อยู่ในที่ชุมนุมชน รอบด้านห้อมล้อมด้วยแขกเหรื่อมากมาย ต่อให้เขาอยากช่วยดูแผลให้นางก็ไม่อาจทำได้ อันที่จริงเขาเพียงต้องการขับพิษปีศาจให้นางเท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่น ทว่ามนุษย์คิดอ่านซับซ้อน เกรงว่าอาจจะไม่เชื่อ

เขาจึงได้แต่คลายมือ นางชักมือตนเองคืนมา รีบหมุนข้อมือยืดเส้นสาย คิดในใจว่าเขายังอุตส่าห์แสร้งทำเป็นบัณฑิตอ่อนแออยู่อีก คนป่วยที่จับแต่ด้ามพู่กันชั่วนาตาปีผู้หนึ่งจะมีพละกำลังแบบเมื่อครู่ได้หรือ

บรรดาแขกเหรื่อถูกเหตุพลิกผันเมื่อครู่ทำให้ตะลึงค้าง ห้องหออันรื่นเริงเงียบกริบในพริบตา เกาจื่อฮั่นอยู่ใกล้หลี่เจาเกอ ตอนแมวดำกระโจนมานางเองก็มองเห็น แต่กลับไม่ทันสังเกตว่ากู้หมิงเค่อปรากฏตัวเมื่อใด นางตกใจจนตัวโยน เดิมอยากตรงรี่ไปไถ่ถาม ทว่าเขายืนอยู่ข้างกายหลี่เจาเกอ ท่าทางบ่งชัดว่าห้ามผู้อื่นเข้าใกล้ สยบขวัญจนนางไม่กล้าพูดจา

รอจนเขากับหลี่เจาเกอสนทนาจบ นางค่อยเดินไปถามหยั่งเชิง “เซิ่งหยวน เจ้าไม่เป็นไรกระมัง ต้องตามหมอหลวงหรือไม่”

“ไม่ต้อง”

“ต้อง”

เสียงตอบของหลี่เจาเกอกับกู้หมิงเค่อดังขึ้นพร้อมกัน หลี่เจาเกอไม่ชอบใจ แหงนหน้าถลึงตากล่าว “แค่แผลถูกแมวข่วน ไม่แน่ว่ารอจนหมอหลวงมาถึง แผลอาจจะสมานแล้ว แผลเล็กๆ จะต้องวุ่นวายเช่นนี้ทำอะไร”

“บนนั้นมีพิษปีศาจ” เสียงของกู้หมิงเค่อราบเรียบ แต่ความหมายเด็ดขาดอย่างยิ่ง “ซ่อนอาการเพราะกลัวหมอ เป็นข้อห้ามที่สำคัญ บาดเจ็บก็ต้องไปรักษา ถ่วงไว้จนร้ายแรงจะทำเช่นไร”

“พิษปีศาจนะ ตามหมอหลวงมามีประโยชน์อะไรเล่า”

สองคนนี้พอเอ่ยปากต่างก็ออกอาการเป็นผู้สูงส่งที่พูดคำใดต้องเป็นไปตามนั้น เกาจื่อฮั่นถูกกระหนาบอยู่ตรงกลาง ลำบากใจทั้งสองทาง จึงลอบยกมือขึ้นก่อนเอ่ยแทรก “เซิ่งหยวน รองตุลาการ ขอขัดจังหวะสักครู่ หากเซิ่งหยวนไม่อยากเชิญหมอหลวง ข้างตัวข้ามีสาวใช้ที่รู้วิชาแพทย์ มิสู้ให้สาวใช้ข้าพันแผลให้เจ้า”

หลี่เจาเกอกับกู้หมิงเค่อไม่พูดจา ต่างยอมถอยคนละก้าวเห็นพ้องกับข้อเสนอนี้ เกาจื่อฮั่นทั้งที่เป็นผู้ลงแรง ขณะนี้กลับพรูลมหายใจยาวราวได้รับบุญคุณบางอย่าง “จิงโม่ จงไปทำแผลให้องค์หญิงเซิ่งหยวน องค์หญิงอี้อัน ผู้น้อยขอยืมห้องว่างที่เงียบสงบสักห้องได้หรือไม่”

เพราะเหตุแทรกซ้อนเรื่องแมวดำ บรรยากาศการก่อกวนห้องหอถูกกวาดหายไปสิ้น ผู้คนไม่มีแก่ใจจะชมพิธีเปิดพัดอีก หลี่เจินจึงให้สาวใช้ขยับพัดกลมออกแล้วลุกขึ้นกล่าว “เป็นความผิดของข้าพี่หญิงคนนี้ ถึงกับทำให้น้องหญิงรองบาดเจ็บในจวน มู่จิ่น รีบพาน้องหญิงรองของข้าไปใส่ยาที่ห้องพักแขกเร็วเข้า”

“เพคะ”

สาวใช้ของหลี่เจินก้มศีรษะ วิ่งเหยาะมาถึงตรงหน้าหลี่เจาเกอ แล้วทำความเคารพ “เชิญองค์หญิงเซิ่งหยวนเสด็จตามหม่อมฉันมาเพคะ”

หลี่เจาเกอบาดเจ็บแต่กลับคล้ายคนไม่เป็นอันใด นางกระชับเสื้อผ้าก่อนเดินไปกับสาวใช้ผู้นั้น โม่หลินหลางเร่งฝีเท้าตามหลังหลี่เจาเกอ รอจนพวกนางจากไปแล้ว คนในกระโจมชิงหลูจึงมองหน้ากันไปมาอย่างประดักประเดิด

ในที่สุดก็มีคนเอ่ยปากขึ้นเป็นคนแรก “แมวจรนั่นโผล่มาจากที่ใดกัน ถึงกับตะปบคน”

เมื่อมีคนเริ่มเปิดประเด็น คนอื่นๆ ก็ต่อบทสนทนากันโขมงโฉงเฉง “ไม่รู้สิ จวนองค์หญิงอี้อันเป็นจวนสร้างใหม่ ตามหลักไม่ควรมีแมวจร”

“น่ากลัวว่านั่นไม่ใช่แมวจรน่ะสิ พวกเจ้าไม่เห็นท่าทางของมันเมื่อครู่หรือ เร็วปานสายฟ้า ข้ายังไม่ทันเห็นชัด องค์หญิงเซิ่งหยวนก็ถูกตะปบบาดเจ็บไปแล้ว โชคยังดีมีรองตุลาการกู้อยู่ด้วย หาไม่…หากพลาดตะปบถูกใบหน้าขององค์หญิง เช่นนั้นก็เดือดร้อนแล้ว”

หากหลี่เจาเกอถูกทำร้ายใบหน้าในจวนองค์หญิงอี้อัน เกรงว่าแม้แต่ธรณีก็ถูกเทียนโฮ่วพลิกตลบได้ หัวข้อสนทนาของผู้คนวนเวียนอยู่ที่กู้หมิงเค่อ กู้หมิงเค่อล้วนไม่ต่อคำสนทนา ท่าทางของเขาที่นิ่งเฉยไม่พูดจานั้นแลประดุจเทพสวรรค์มาจุติ ไม่มีใครกล้าผลีผลามเข้าไปถาม นานเข้าผู้คนก็พากันเอ่ยถึงเรื่องอื่นแทน

“ฝีมือขององค์หญิงเซิ่งหยวนเป็นที่ประจักษ์ชัด แมวตัวนั้นยังตะปบทำร้ายนางได้ หรือมันเป็นปีศาจ?”

“ต้องใช้แน่ๆ เจ้าไม่ได้ยินคำพูดขององค์หญิงเซิ่งหยวนเมื่อครู่หรือ บนกรงเล็บแมวมีพิษปีศาจ”

ในฝูงชนบังเกิดเสียงร้องแตกตื่นของสตรีบ้างดังบ้างเบา ผู้คนอุทานกันว่า “ไฉนมีปีศาจอีกแล้ว ต้นปีเพิ่งถูกชาวถู่ปัวก่อกวนไปหนึ่งยก ข้านึกว่าในที่สุดจะได้ผ่านปีที่สงบสุข ผลปรากฏว่าเกิดมรสุมขึ้นอีกแล้ว”

เผยจี้อันยืนอยู่กลางฝูงชน อดหันไปมองกู้หมิงเค่อไม่ได้ ท่าร่างของกู้หมิงเค่อเมื่อครู่รวดเร็วเหลือเกิน ตนเพิ่งคิดจะขยับ อีกฝ่ายก็ไปยืนอยู่ข้างกายหลี่เจาเกอแล้ว หลี่เจาเกอเองยังหลบไม่พ้น อีกฝ่ายกลับสกัดแมวดำได้อย่างผ่อนคลายด้วยพัดเดียว เผยจี้อันผุดความรู้สึกประหลาดบางอย่าง…หากไม่ใช่เพราะหลี่เจาเกอบาดเจ็บ เหนี่ยวรั้งฝีเท้ากู้หมิงเค่อไว้ แมวดำตัวนั้นตกอยู่ใต้เงื้อมมือของกู้หมิงเค่อคงไม่มีเรี่ยวแรงตอบโต้โดยสิ้นเชิง

เผยจี้อันกำลังมองกู้หมิงเค่ออย่างครุ่นคิด ไม่ได้สังเกตว่าหลี่ฉังเล่อเองก็เงยหน้ามองดูเขาอยู่ นางรอพักใหญ่ค่อยเอ่ยเบาๆ ขัดจังหวะอาการใจลอยของเขา “พี่เผย ราชธานีตะวันออกมีปีศาจอีกแล้ว”

เผยจี้อันดึงสติคืนมา หลุบตาอำพรางอาการว่อกแว่กของตน อันที่จริงเขาไม่ทันใส่ใจว่านางพูดอันใด จึงตอบไปเรื่อยเปื่อยว่า “ไม่เป็นไรหรอก ฝ่าบาทกับเทียนโฮ่วทรงไม่มีทางปล่อยให้ปีศาจทำร้ายท่าน”

หลี่ฉังเล่ออ้าปาก พริบตานั้นอยากจะถามเขาว่าเหตุใดจึงเป็นฝ่าบาทกับเทียนโฮ่ว ไม่ใช่ตัวเขาเองเล่า ความจริงเมื่อครู่ขณะก่อกวนห้องหอ นางลอบสังเกตเขาโดยตลอด ตอนหลี่เจาเกอพี่หญิงของนางถูกจู่โจม นางเห็นฝีเท้าของเขาที่ย่างไปเบื้องหน้าก้าวนั้นแล้ว

เหล่าสตรีมัวบ่นเรื่องปีศาจกันเจ้าประโยคข้าประโยค หลี่เจินผู้เป็นเจ้าสาวยืนอยู่หน้าเตียงมงคล รู้สึกไร้ตัวตนไม่น้อย ปกติในพิธีแต่งงานเจ้าสาวล้วนเล่นตัวสารพัด เจ้าสาวคนใดบ้างมิใช่ถูกผู้คนเรียกร้องแล้วเรียกร้องเล่าเชื้อเชิญแล้วเชื้อเชิญเล่าค่อยออกมา ปรากฏว่าหลี่เจินกลับต้องเดินออกมาเอง พิธีแต่งงานซึ่งสำคัญที่สุดในชีวิตสตรีไม่เพียงถูกขัดจังหวะ ถัดจากนี้อาจยังต้องเผชิญกับเพลิงโทสะของเทียนโฮ่วด้วย

ใครใช้ให้องค์หญิงเซิ่งหยวนบาดเจ็บในจวนองค์หญิงอี้อันเล่า ไม่ว่าเป็นความรับผิดชอบของนางหรือไม่ เทียนโฮ่วไม่พอใจก็จะเล่นงานนางอยู่ดี

ครั้นเห็นองค์หญิงผู้งามจับตามายืนอยู่ตรงหน้า ชั่วขณะนั้นเฉวียนต๋าทึ่มทื่ออยู่บ้าง ตื่นเต้นจนฝ่ามือหลั่งเหงื่อ กำลังจะเดินหน้าไป นางกลับถอยหลบอย่างเย็นชา สีหน้านางดูฝืนข่มความรังเกียจ เขาอึ้งงันอยู่กับที่ พลันไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี

สี่เหนียงเห็นสถานการณ์ไม่ถูกต้องจึงรีบตะเบ็งเสียงกล่าว “ราชบุตรเขยอย่าได้คิดจะแอบอู้ พิธียังไม่เสร็จสิ้นนะเจ้าคะ นำสุราเหอจิ่นมาซิ ขออวยพรให้องค์หญิงกับราชบุตรเขยครองคู่กันยืนยาว ตราบจนเส้นผมหงอกขาว!”

สิ้นเสียงของสี่เหนียงที่จงใจพูดให้ดังเกินเหตุ แขกเหรื่อคนอื่นๆ ก็พากันหมุนตัวมา คลี่ยิ้มชมดูพิธีแต่งงานกันต่อ พวกเขาล้วนเป็นผู้ที่คลุกคลีกับงานสังคมจนช่ำชอง มีหรือสีหน้าท่าทางแค่เท่านี้จะแสดงออกมาไม่ได้ ทว่าจังหวะล่วงเลยไปแล้วก็คือล่วงเลยไปแล้ว ต่อให้ทุกคนแสร้งทำเสมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้นก็เปล่าประโยชน์ สุดท้ายพิธีครึ่งหลังในกระโจมชิงหลูจึงสิ้นสุดลงท่ามกลางแขกเหรื่อที่ฝืนรื่นเริง สี่เหนียงที่หน้าตาตื่น และบ่าวสาวที่เฉยชาต่อกัน

 

ภายในห้องพักแขก หลี่เจาเกอนั่งอยู่หลังฉากบังลม สาวใช้คุกเข่าอยู่ข้างกายนาง ใส่ยาให้นางอย่างเบามือ ทีแรกสาวใช้คิดจะพูดว่าตอนใช้สุราเช็ดทำความสะอาดแผลอาจรู้สึกเจ็บ ทว่าจวบจนพันแผลเรียบร้อย สีหน้าของหลี่เจาเกอกลับไม่เคยแปรเปลี่ยนแม้สักนิด

สาวใช้ทำแผลเสร็จก็ลดมือลงถอยออกไป จากนั้นนางข้าหลวงประจำจวนองค์หญิงอี้อันซึ่งรอคอยอยู่นอกฉากบังลมจึงประคองถาดเดินขึ้นหน้ามา “วันนี้องค์หญิงเซิ่งหยวนทรงถูกจู่โจมที่นี่ องค์หญิงของพวกหม่อมฉันรู้สึกไม่ดีอย่างยิ่ง เครื่องแต่งกายของท่านถูกแมวข่วนเสียหาย นางจึงสั่งให้พวกหม่อมฉันนำเครื่องแต่งกายชุดใหม่มาจากคลังเก็บสิ่งของ ขอองค์หญิงเซิ่งหยวนโปรดวางพระทัย นี่เป็นอาภรณ์ฤดูคิมหันต์ชุดใหม่เอี่ยม ไม่เคยสวมใส่มาก่อนเพคะ”

หลี่เจาเกอเพียงกวาดตามอง ไม่ได้รับมาสวมใส่ ในใจนางเป็นโรครักสะอาด ไม่อยากจะสัมผัสถูกสิ่งของของผู้ใด ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้สิ่งของของนางก็ห้ามผู้อื่นสัมผัสถูกเช่นกัน นางปฏิเสธด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย “รบกวนองค์หญิงอี้อันแล้ว แต่ว่าไม่ต้องหรอก ข้าพกเสื้อคลุมกันลมมาด้วย ตอนนี้อากาศไม่หนาว ข้าสวมเสื้อคลุมกันลมก็เพียงพอ”

หลี่เจาเกอสวมชุดหรูฉวินไว้ชั้นในทับด้วยเสื้อนอกตัวใหญ่ เสื้อนอกแขนกว้างประเภทนี้ใช้เป็นเครื่องตกแต่งเสียมากกว่า ไม่มีก็หาเป็นไรไม่ น้ำเสียงหลี่เจาเกอแสนเรียบเฉยเสียจนนางข้าหลวงประจำจวนองค์หญิงอี้อันกระอักกระอ่วนไม่น้อย ทว่านางไม่ใช่กำลังขอความเห็นจากนางข้าหลวง กล่าวจบจึงลุกขึ้นเดินมุ่งออกไปทันที

มีหลายคนรออยู่ที่ห้องชั้นนอก เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของนางก็พากันลุกขึ้นยืน “เซิ่งหยวน”

พวกอู๋อ๋องสามีภรรยา ตงหยางจ่างกงจู่ และเกาจื่อฮั่นล้วนอยู่ด้วย หลี่เจาเกอคารวะคนเหล่านี้ “รบกวนให้อู๋อ๋องกับท่านป้าต้องเป็นห่วง แผลเล็กแค่นี้ทำให้ผู้ใหญ่หลายท่านแตกตื่น ข้าไม่สบายใจจริงๆ”

“เด็กคนนี้นี่ เจ้าพูดอะไรของเจ้า” ตงหยางจ่างกงจู่เอ่ยปนแง่งอน “แผลของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

หลี่เจาเกอตอบหน้าไม่เปลี่ยนสี “ไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณทุกท่านที่ห่วงใย”

สาวใช้เพียงจัดการแผลภายนอกให้หลี่เจาเกอ รอยแผลเป็นแค่เรื่องรอง จุดสำคัญของรอยตะปบสามริ้วนี้มีพิษปีศาจแฝงอยู่ พิษปีศาจไม่อาจรักษาด้วยยาของหมอ หลี่เจาเกอจึงตั้งใจว่ากลับจวนแล้วจะใช้ปราณแท้ขจัดพิษด้วยตนเอง นี่คือสาเหตุที่เมื่อครู่นางคร้านจะเรียกหมอหลวง

ในเมื่อหมอหลวงมาก็ป่วยการ เช่นนั้นไยต้องเปลืองแรงทำเรื่องยุ่งยากให้ฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วแตกตื่นด้วยเล่า

“น้องหญิงรองไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” บุรุษที่ยืนอยู่อีกด้านของตงหยางจ่างกงจู่กล่าว “น้องหญิงรองบาดเจ็บในจวนของอี้อัน เป็นความบกพร่องของพวกเราจริงๆ โชคยังดีน้องหญิงรองไม่เป็นไร ไม่เช่นนั้นข้าก็สมควรจบชีวิตตนเองขอขมาต่อเทียนโฮ่ว”

บุรุษผู้กล่าววาจาอายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหก รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าขาวเกลี้ยง นัยน์ตาตันเฟิ่ง ชี้เฉียงจรดจอน เขามีรูปโฉมไม่เลว ทว่าราศีทั่วร่างอึมครึมบั่นทอนรูปโฉมลงสามส่วนเสียเปล่า

จุดนี้คล้ายคลึงหลี่เจินอย่างยิ่ง พี่ชายน้องสาวคู่นี้สมแล้วที่เกิดจากมารดาเดียวกัน

เขาผู้นี้ก็คืออู๋อ๋องหลี่สวี่ หลี่เจาเกอบาดเจ็บในจวนองค์หญิงอี้อัน หลี่เจินในฐานะเจ้าสาวไม่สะดวกจะตามมา หลี่สวี่ผู้เป็นพี่ชายจึงรับหน้าที่มาแทนน้องสาว ชายาของเขาเป็นสตรีหน้ากลมผู้หนึ่ง ผิวผ่องอวบอัด แลดูซื่อตรงจิตใจดี นางยืนอยู่ข้างกายหลี่สวี่ กล่าวทักทายหลี่เจาเกอต่อจากผู้เป็นสามี “เซิ่งหยวน”

“อู๋อ๋อง พระชายา” หลี่เจาเกอคารวะตอบเรียบๆ “อู๋อ๋องกล่าวเช่นนี้ข้าไหนเลยจะรับไหว ท่านดั้นด้นทางไกลมาเมืองหลวง ฝ่าบาทกับขุนนางราชสำนักกำลังให้ความสำคัญต่อท่านยิ่งยวด หากเป็นเพราะข้าบาดเจ็บ พลอยเดือดร้อนไปถึงท่าน เกรงว่าฝ่าบาทกับขุนนางเก่าแก่คงจะต้องด่าว่าข้า”

ถ้อยคำนี้ของหลี่เจาเกอไม่เป็นมิตรแต่อย่างใด ก็ถูกของนาง มีความบาดหมางระหว่างเทียนโฮ่วกับเซียวซูเฟยอยู่ก่อน ทายาทสองสายนี้ไม่มีทางจะอยู่ร่วมกันโดยสันติไปได้ เพียงแต่ผู้อื่นเช่นหลี่ฉังเล่อกับหลี่ไหวอย่างน้อยยังรักษาท่าที

ผิดกับหลี่เจาเกอที่คร้านกระทั่งจะสร้างภาพความปรองดองระหว่างพี่น้อง

หลี่สวี่ราวกับฟังไม่ออกว่าหลี่เจาเกอพูดจาเพ่งเล็งเขา ยังคงคลี่ยิ้มอย่างสุภาพอ่อนแอขาดชีวิตชีวา “น้องหญิงรองคือไข่มุกงามกลางพระหัตถ์ฝ่าบาทกับเทียนโฮ่ว หากข้าเอาตัวเข้าแลกแล้วทำให้เจ้าแคล้วคลาดได้ เช่นนั้นข้าก็ยินดีเป็นที่สุด เพียงเสียดายที่ตอนนั้นข้าตอบสนองช้าเกินไป ไม่ได้เข้าขวางแมวดำไว้ หากรู้เช่นนี้แต่แรกตอนจะยิงธนูทดสอบเชิงบู๊ก็ควรให้ข้าทำแทน”

เห็นหลี่สวี่คลี่ยิ้ม หลี่เจาเกอก็จัดแต่งแขนเสื้อ พูดอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “เป้าหมายของแมวดำคือข้า ไม่ว่าเป็นผู้ใดยิงธนูล้วนไม่ต่างกัน เพียงแต่ข้ามายืนอยู่นอกวงจึงเปิดโอกาสให้มันลงมือก็เท่านั้น อู๋อ๋อง ท่านว่าแมวดำตัวนี้ติดตามจากวังหลวงเรื่อยมาจนถึงจวนองค์หญิงอี้อันได้ มันมีที่มาอย่างไรกันแน่”

หลี่สวี่ยิ้มกล่าวแบบบุรุษที่ล้มเหลวและถูกกักตัวมานานเสียจนถูกลบคมกับปณิธานไปจนสิ้น “แขนขาข้าไม่ได้ออกกำลัง ไม่เหมือนน้องหญิงรองที่มีฝีมือเป็นเลิศ เรื่องนี้ข้าจะรู้ได้อย่างไร”

ชายาอู๋อ๋องอยู่ด้านข้างเอ่ยคล้อยตามเสียงเบา “นั่นสิ พวกเราสามีภรรยาเพิ่งมาถึงลั่วหยาง รู้จักคนแค่ไม่กี่คน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงผู้มีวิชาอาคม”

หลี่เจาเกอผงกศีรษะ สายตาเพ่งมองสามีภรรยาคู่นี้พลางเอ่ยเนิบๆ “เป็นเช่นนี้นี่เอง แมวดำตัวนี้ชอบกลยิ่งนัก มีความเกี่ยวพันกับมันไม่ใช่เรื่องดีอันใด อู๋อ๋องกับพระชายาไม่รู้เรื่องนั้นดีที่สุด”

บรรยากาศในห้องค่อยๆ หนักอึ้ง หลี่สวี่กับชายาสีหน้าแข็งทื่ออยู่บ้าง หลี่เจาเกอจับจ้องคนทั้งสองก่อนแย้มยิ้ม ประกายระยับฉายในดวงตา “พี่ชายกับพี่สะใภ้ไฉนสีหน้าจึงแข็งเกร็ง ข้าเพียงถามดูเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าสงสัยในตัวท่านทั้งสองเสียหน่อย”

หลี่สวี่กับชายาฝืนยิ้ม ไม่รู้สึกขบขันคำล้อเล่นนี้สักนิด ตงหยางจ่างกงจู่อยู่ด้านข้างฟังจนหลั่งเหงื่อโซมกาย ค้นพบว่าหลี่เจาเกอคล้ายเทียนโฮ่วมากขึ้นทุกที อารมณ์จับทางไม่ถูกเอาแน่ไม่ได้เช่นนี้ เหมือนองค์หญิงผู้หนึ่งที่ใดกัน คล้ายเจ้าเหนือหัวที่ยึดกุมความเป็นความตายของผู้คนเอาไว้มากกว่า

ตงหยางจ่างกงจู่เพียงอยากใช้ชีวิตสุขสงบในราชธานีตะวันออก ไม่อยากข้องเกี่ยวการต่อสู้ภายในเหล่านี้ ตามความคิดของนาง…หลี่เจาเกอมีเทียนโฮ่วยืนอยู่เบื้องหลัง ไม่อาจล่วงเกิน ส่วนหลี่สวี่กับหลี่เจินถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฮ่องเต้ ชักจูงมาเป็นพรรคพวกได้ ไม่ว่าฝ่ายใดนางล้วนไม่อยากปล่อยมือ จึงหาช่องพูดเอาใจทั้งสองฝ่าย “เอาล่ะ วันนี้เป็นวันมงคลของอี้อัน อย่าเอ่ยถึงภูตผีปีศาจที่ชวนผวาเหล่านี้เลย งานเลี้ยงข้างนอกยังคึกคัก เซิ่งหยวน เจ้าจะออกไปดูหน่อยหรือไม่”

หลี่เจาเกอส่ายศีรษะ เรื่องมาถึงขั้นนี้ใครกันยังจะมีแก่ใจละเล่นบทพี่น้องเป็นเพื่อนพวกเขาอีก นางตอบอย่างเรียบเฉย “ข้ายังมีธุระ ขออภัยที่ไม่อาจรั้งอยู่ต่อ รบกวนท่านป้าตงหยางกับท่านพี่อู๋อ๋องทักทายพี่หญิงอี้อันแทนข้าด้วย ร่างกายข้าไม่สะดวก ต้องขอกลับก่อน”

หลี่สวี่กับชายาย่อมตอบรับ “น้องหญิงรองบาดเจ็บ รีบกลับไปพักผ่อนเถิด ทางด้านอี้อันมีพวกเราดูแลอยู่”

หลี่เจาเกอพยักหน้า รวบแขนเสื้อยาว นางข้าหลวงประจำจวนองค์หญิงอี้อันเข้าใจ รีบเดินมานำทางหลี่เจาเกอออกไป คนทั้งหมดติดตามอยู่ด้านหลังหลี่เจาเกอ ตอนจะก้าวออกจากประตูห้อง หลี่เจาเกอพลันหันหลังขวับ มองมาทางหลี่สวี่พร้อมรอยยิ้ม “อู๋อ๋อง ท่านเคยไปหลูโจวหรือไม่”

หลี่สวี่ชะงักกึก ก่อนปฏิเสธโดยจิตใต้สำนึก “ไม่เคย น้องหญิงรองเจ้าถามเรื่องนี้ด้วยเหตุใด”

“ไม่มีอันใดหรอก” หลี่เจาเกออมยิ้มมองเขา “หลูโจวมีสิ่งของหายไปอย่างหนึ่ง ฝ่าบาททรงค้นหาอยู่ ข้าคิดว่าโซ่วโจวอยู่ใกล้กับหลูโจวจึงลองถามท่านดู ในเมื่อท่านไม่รู้ ข้าก็จะกลับไปทูลรายงานฝ่าบาท”

หลี่สวี่ถูกการกระทำที่เอาแน่ไม่ได้ของนางทำเอาเกือบสติแตก เกร็งสีหน้าไว้แทบตาย ส่วนนางคลี่ยิ้มสดใสมองเขาก่อนหมุนตัวเดินออกไป

หนนี้…นางค่อยจากไปอย่างแท้จริง

 

ภายหลังออกจากจวนองค์หญิงอี้อัน หลี่เจาเกอให้ผู้ติดตามคนหนึ่งส่งโม่หลินหลางกลับบ้าน ตนเองบังคับม้าย่างเหยาะไปทางย่านเฉิงฝูฟาง ครั้นกลับถึงจวนองค์หญิงเซิ่งหยวน พวกสาวใช้ได้ยินว่านางได้รับบาดเจ็บต่างก็ร้องแตกตื่น ตัวนางเองกลับนิ่งสงบยิ่ง สั่งให้พวกสาวใช้ออกไป นั่งอยู่ที่ห้องชั้นในตามลำพังแล้วใช้ปราณแท้ขจัดพิษปีศาจบนปากแผลช้าๆ

ปีศาจแมวตนนั้นท่าร่างว่องไวจนน่าตระหนก เดิมทีนางนึกว่าเค้นพิษไปรวมกันจะต้องใช้เวลาพักใหญ่ คาดไม่ถึงว่าสามารถปิดสกัดพิษได้อย่างง่ายดาย นางลดมือลง รู้สึกเหนือความคาดหมายไม่น้อย

ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องดี นางปิดผนึกประสาททั้งห้าขณะโคจรปราณแท้จึงไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าฟ้ามืดแล้ว นางลงจากเตียง มองไปยังม่านราตรีนอกหน้าต่าง ยามนี้คือช่วงต้นเดือน จันทร์เสี้ยวแขวนตัวอยู่บนยอดกิ่งดูเงียบเชียบและลึกลับ

นางอดนึกถึงภาพเหตุการณ์วันนี้ไม่ได้ ตอนแมวดำกระโจนใส่นางในจวนองค์หญิงอี้อัน เดิมทีกรงเล็บของมันพุ่งเป้ามาที่ใบหน้านาง หากไม่ใช่กู้หมิงเค่อดึงพานางไปก็ไม่แน่ว่านางจะหลบได้พ้น นางมองไปที่ข้อมือของตนเองอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเย็นเขากุมตรงนี้

กล่าวตามจริงตอนเขาเข้ามาใกล้ นางไม่ทันจะตอบสนองด้วยซ้ำ หากเขาคิดจะทำอันใด ความจริงแล้วง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ รวมถึงวันนี้นางหมายจะอำพรางบาดแผล แต่กลับถูกเขาดึงข้อมือไปโดยตรง ใช่ว่านางไม่ได้ออกแรง นางไม่มีกำลังจะต่อต้านเลยต่างหาก

นางหลุบตาพิศมองข้อมือตนเอง แสงจันทร์ฉายส่องเข้ามาในห้อง กระหวัดบนข้อมือนางอย่างแช่มช้า เพิ่มพูนอารมณ์ผูกพันอันละมุนละไมโดยไม่รู้สาเหตุ นางพิงกรอบหน้าต่าง ระบายลมหายใจยาว

ที่แท้เขาเป็นใครกันแน่นะ

บทที่ 90 เหตุขัดแย้ง

ไม่ทันไรข่าวหลี่เจาเกอถูกจู่โจมก็แพร่สะพัดไปทั่ว วันรุ่งขึ้นระหว่างนางไปยังที่ทำการจึงถูกผู้คนรายทางจับจ้อง คนเหล่านี้อยากจะดูก็ดูอย่างผ่าเผยสิ กลับกระมิดกระเมี้ยนจะแอบก็ไม่ใช่ ไม่แอบก็ไม่เชิง ตลอดทางนางฝืนข่มอารมณ์วู่วามเอาไว้ รอจนเข้ามาในกองงานปราบปีศาจจึงไม่อำพรางความหงุดหงิดอีก

เดิมทีคนของกองงานปราบปีศาจกลั้นความอยากรู้อยากเห็นไว้เต็มท้อง อยากจะสืบข่าว แต่พอนางเข้าประตูมา เห็นบนร่างนางแผ่ไอยะเยือกดุจคมดาบ พวกเขาก็ไม่มัวพูดพร่ำพากันวิ่งหายไปทั้งหมด หลี่เจาเกอได้อยู่สงบๆ ครึ่งวันอย่างหาได้ยาก จวบจนยามบ่ายนางได้ยินคนในเขตวังชั้นนอกโจษกันว่าทูตถู่ปัวกำลังจะมา

กล่าวให้ถูกต้องคือ…กำลังจะมาอีกแล้ว

ปีนี้คณะทูตถู่ปัวเพิ่งอำลาราชธานีตะวันออกไปเมื่อเดือนสอง รอจนกลับถึงถู่ปัว ต้าก้งลุ่นเล่าการเดินทางเยือนต้าถังให้จั้นผู่ฟัง จั้นผู่ได้ฟังแล้วแสนจะใฝ่ฝันถึงจึงส่งคณะทูตมาต้าถังอีกครา ว่ากันว่าทูตถู่ปัวมาหนนี้หมายจะสู่ขอองค์หญิงต้าถังองค์หนึ่งกลับถู่ปัวไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์

หลี่เจาเกอฟังจบก็เพียงหัวเราะเยาะเบาๆ ฝันไปเถอะ นับแต่ต้าถังสถาปนาแคว้นไม่เคยให้องค์หญิงที่แท้จริงไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ กระทั่งช่วงยากเข็ญที่สุดต้นรัชศกอู่เต๋อ ยังไม่มีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เลย นับประสาอะไรกับตอนนี้

ชาวถู่ปัวออกจะคิดฝันเก่งเกินไปแล้ว

ทว่าดูแคลนส่วนดูแคลน ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ฮ่องเต้ไม่มีประสงค์จะก่อศึก ชาวถู่ปัวมาถึงราชสำนัก อย่างไรก็ต้องต้อนรับขับสู้ให้ดี วันที่สิบสองเดือนเจ็ดคณะทูตถู่ปัวเข้าสู่ราชธานีตะวันออก สองวันต่อมาฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงที่วังซั่งหยาง ต้อนรับคณะทูตถู่ปัวที่เดินทางมาไกล

ปีนี้สุขภาพของฮ่องเต้ยิ่งย่ำแย่ ฤดูคิมหันต์ปีก่อนๆ ล้วนไปหลบร้อนที่วังตากอากาศ ทว่าตอนนี้ร่างกายของพระองค์ไม่อาจตรากตรำ คนทั้งหมดจึงรั้งอยู่รับฤดูคิมหันต์ที่ราชธานีตะวันออก ฤดูคิมหันต์ของราชธานีตะวันออกแสนร้อนอบอ้าว เพื่อให้ทนทุกข์น้อยลงฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วจึงให้จัดงานเลี้ยงในช่วงบ่ายคล้อย

ยามเซิน เหล่าขุนนางเลิกงานตรงไปยังวังซั่งหยางเลย หลี่เจาเกอต้องกลับจวนองค์หญิงไปเปลี่ยนชุดก่อน ต่อให้ย่านเฉิงฝูฟางใกล้วังสักเพียงใดไปกลับก็ต้องเสียเวลา รอจนนางมาถึงวังซั่งหยาง ผู้ร่วมงานเลี้ยงจึงมากันเกินครึ่งแล้ว

ขันทีที่ประตูวังซั่งหยางเห็นรถม้าของนางก็รีบตรงมาต้อนรับ สาวใช้ผู้หนึ่งดึงเปิดประตูรถให้ หลี่เจาเกอยกชายกระโปรงยาว ออกจากตัวรถมาปรากฏสู่สายตาผู้คนโดยไม่รีบร้อน ก้าวมาถึงข้างเครื่องเทียมม้ากำลังจะเหยียบม้านั่งเดินลงไป ขันทีของจวนองค์หญิงผิวหน้าขาวเกลี้ยงเกลาที่อยู่ข้างรถม้าผู้หนึ่งก็รีบเดินขึ้นหน้า ตั้งแขนยื่นมาหานาง มองอย่างละเอียดพบว่านิ้วมือของเขาจับจีบเสียด้วย

นางจนถ้อยคำในพริบตา กลั้นอาการคลื่นเหียน ยึดจับแขนของขันทีหน้าขาวผู้นี้แล้วเดินลงจากรถม้า ขันทีของวังซั่งหยางเอ่ยทักทายเสียงระรัว “กระหม่อมขอเข้าเฝ้า ถวายคำนับองค์หญิงเซิ่งหยวน องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทกับเทียนโฮ่วทรงคอยอยู่ด้านในแล้ว เชิญองค์หญิงเสด็จตามกระหม่อมมา”

หลี่เจาเกอพยักหน้า พาให้ระย้าของดอกไม้มุกบนศีรษะกระทบกันเบาๆ เดินลากเสื้อคลุมไหล่แขนกว้างระไปบนทางเดินที่ประดับบุปผาละลานตา บรรดาผู้ติดตามของจวนองค์หญิงย่อมตามหลังหลี่เจาเกอไป สาวใช้ที่เมื่อครู่เปิดประตูรถให้เจ้านายก้มหน้าลอบเอ่ยกับขันทีหน้าขาวผู้นั้น “เจ้าจำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้เชียวหรือ”

“เจ้าจะเข้าใจอะไร” ไป๋เชียนเฮ่อในชุดขันทีค้อนใส่โม่หลินหลางด้วยท่วงทีทรงเสน่ห์ “นี่เรียกว่าวิชาแปลงโฉม เจ้าดู ข้าเหมือนกงกงหรือไม่”

การบีบเสียงของเขาคล้ายน้ำเสียงของกงกงมากทีเดียว โม่หลินหลางผงกศีรษะกล่าว “วันหน้าหากเจ้าวิ่งไม่ไหวแล้ว ลองมาหาเลี้ยงชีพในวังหลวงดูได้ ด้วยจริตท่วงทีของเจ้าอย่างน้อยต้องได้เป็นหัวหน้าสำนักราชวัง”

ไป๋เชียนเฮ่อเข้าถึงบทบาทยิ่งยวด กรีดนิ้วดีดใส่แขนโม่หลินหลางหนึ่งทีในอาการเหนียมอาย “หมั่นไส้”

โม่หลินหลางรู้ซึ้งเสียที ที่แท้คำว่า ‘ร่างกายชาไปครึ่งซีก’ ในบทละครนั้นมีอยู่จริง ไม่เพียงแต่ชา นางถึงกับอยากสลัดแขนทิ้งไปตรงนี้เลย

หลี่เจาเกอเดินอยู่ด้านหน้า หลีกเลี่ยงสุดชีวิตกลับยังคงได้ยินถ้อยคำของไป๋เชียนเฮ่อถนัดชัดเจน หว่างคิ้วนางเต้นตุบๆ ฝืนสะกดอารมณ์วู่วามที่จะหันขวับไปทุบเจ้าคนน่าสะอิดสะเอียนนี่ให้ตาย

ให้เขาตายอย่างสงบไปเสียก็ยังดีกว่าย่ำยีเกียรติภูมิของกองงานปราบปีศาจอยู่ตรงนี้ หลี่เจาเกอถึงกับเริ่มเสียใจภายหลัง นางควรให้โจวเซ่าปลอมตัวเป็นขันทีปะปนเข้ามามากกว่า

โจวเซ่ารูปกายสูงบึกบึน เพียงลำแขนก็หนากว่าท่อนขาของผู้อื่น บุรุษทั่วไปยืนอยู่ข้างกายเขาล้วนดูไม่ต่างจากลูกไก่ เขาไม่คล้ายขันทีผู้หนึ่งเลยจริงๆ ทีแรกนางประเมินดูแล้วจึงให้เขากลับไปก่อน วันนี้พาแค่โม่หลินหลางกับไป๋เชียนเฮ่อมาสำรวจสถานที่

ทว่าตอนนี้…นางรู้สึกว่าตนเองตัดสินใจพลาดไป

ไป๋เชียนเฮ่อเดินยักย้ายส่ายสะโพกตามหลังหลี่เจาเกอพลางบีบเสียงถาม “องค์หญิง ประเดี๋ยวพวกเราควรทำอะไรบ้าง”

“โม่หลินหลางสวมบทสาวใช้ ตระเวนในสถานที่จัดงานรอบหนึ่ง ดูว่ามีสิ่งแปลกปลอมปะปนเข้ามาหรือไม่ ส่วนเจ้า…” หลี่เจาเกอเหลือบมองไป๋เชียนเฮ่ออย่างเย็นชา เสียงดุจน้ำแข็งในฤดูเหมันต์อันเหน็บหนาว “จงอย่าพูด นี่ก็คือภารกิจสำคัญที่สุดของเจ้าในวันนี้”

ไป๋เชียนเฮ่อสะเทือนใจคร่ำครวญหนึ่งที หลี่เจาเกอข่มใจเอ่ยต่อ “ข้าจะไปรายงานตัวกับฮ่องเต้ พวกเจ้าล่วงหน้าไปก่อน ประเดี๋ยวข้าออกมาแล้วจะตามไปสมทบ”

โม่หลินหลางผงกศีรษะ เมื่อหลี่เจาเกอติดตามขันทีวังซั่งหยางเดินมุ่งไปยังตำหนักที่ฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วประทับอยู่ ไป๋เชียนเฮ่อก็เบาเสียงเอ่ยกับโม่หลินหลางว่า “แยกย้ายกันเคลื่อนไหว เจ้าตรวจค้นทางตะวันตก ข้าตรวจค้นทางตะวันออก เจ้าระวังตัวด้วย มีอะไรผิดปกติรีบส่งสัญญาณเลยนะ”

โม่หลินหลางขานรับ “ข้าเข้าใจแล้ว”

ขณะนี้ฮ่องเต้กำลังชมทัศนียภาพของทะเลสาบร่วมกับทูตถู่ปัว เพียงแต่พระองค์ไม่ค่อยกระฉับกระเฉง เวลาส่วนใหญ่ล้วนเป็นเทียนโฮ่วเอ่ยวาจา ขันทีพาหลี่เจาเกอมาถึงก็เดินซอยเท้าขึ้นหน้าไปค้อมกายรายงาน “ทูลฝ่าบาท ทูลเทียนโฮ่ว องค์หญิงเซิ่งหยวนเสด็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“รีบเชิญเข้ามา” ฮ่องเต้ยิ้มเอ่ยกับต้าก้งลุ่น “นี่คือบุตรีคนโตของเรากับเทียนโฮ่ว ฉลาดเฉียบแหลมอย่างยิ่ง”

ต้าก้งลุ่นรู้สึกว่าองค์หญิงเซิ่งหยวนชื่อตำแหน่งนี้คุ้นหูไม่น้อย รอจนเห็นหลี่เจาเกอ เขาก็ตระหนักได้ในพริบตา เอ่ยเสียงดังว่า “ที่แท้เป็นองค์หญิงองค์นี้ พวกเราเคยพบกันมาก่อน โชคดีที่มีองค์หญิงเซิ่งหยวน ภาพเฟยเทียนจึงกลับมาครบสมบูรณ์”

หลี่เจาเกอกำลังถวายบังคม พอได้ยินถ้อยคำนี้ก็รีบเอ่ยปฏิเสธ “มิกล้ารับ ต้าก้งลุ่นเป็นแขกจากแดนไกล ภาพเฟยเทียนเกิดเรื่องขึ้นในราชธานีตะวันออก การตามหาเฟยเทียนกลับคืนมาเป็นหน้าที่ของพวกข้าอยู่แล้ว”

ต้าก้งลุ่นยังคงกล่าวชมด้วยไมตรีอันร้อนแรง “องค์หญิงมิต้องถ่อมตนไป วันนั้นท่วงทีอันองอาจยามจับกุมอาชาเพลิงทำให้ข้าประทับใจอย่างลึกซึ้ง ข้าได้ยินมาช้านานว่าต้าถังเจริญรุ่งเรือง จวบจนได้ชมเทศกาลซั่งหยวนค่อยรู้ว่าสมคำเล่าลือ ราชธานีต้าถังรับคำสดุดีอันดีงามทั้งปวงได้อย่างเต็มภาคภูมิ ฮ่องเต้ต้าถังปกครองแคว้นได้ดี อบรมบุตรีได้ดีโดยแท้”

แม้ฮ่องเต้ฟังคำพูดของต้าก้งลุ่นไม่เข้าใจ ทว่าคิ้วตาของอีกฝ่ายถ่ายทอดอารมณ์ สีหน้าบ่งชัด อีกทั้งภาษาถู่ปัวมีจังหวะจะโคน สร้างอารมณ์ร่วมได้ดีเยี่ยม ฮ่องเต้จึงถูกปลุกเร้าให้เบิกบานตามไปด้วย รอจนฟังล่ามของกองงานการทูตถอดความจบ พระองค์ก็เอ่ยกลั้วหัวเราะฮ่าๆ “จั้นผู่เป็นเจ้าแคว้นที่เก่งกาจห้าวหาญเช่นกัน หากพวกเราสองแคว้นผูกไมตรีอันดีต่อกันตลอดไปจะสร้างประโยชน์สุขแก่ทวยราษฎร์อย่างแท้จริง”

ต้าก้งลุ่นพูดโฉงเฉงถ่ายทอดวาจาของจั้นผู่อีกยกใหญ่ ระหว่างนั้นล่ามของกองงานการทูตก็ถอดความอย่างรอบคอบ นี่คือบทสนทนาระหว่างผู้นำของสองแคว้น นอกจากเทียนโฮ่วแล้วผู้อื่นล้วนเงียบฟัง ไม่กล้าสอดปาก หลี่เจาเกอไปยืนรวมกับกลุ่มคน กวาดมองคร่าวๆ พบว่าวันนี้ในวังซั่งหยางคึกคักเป็นประวัติการณ์

เนื่องจากเกี่ยวพันถึงแคว้นถู่ปัว หลี่ซั่นจึงฝืนประคองร่างกายที่เจ็บป่วยมาออกงาน โดยมีชายารัชทายาทเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้าง หลี่ฉังเล่อติดตามอยู่ด้านหลังของเทียนโฮ่วอย่างแสนเบื่อหน่าย กำลังพูดซุบซิบอยู่กับหลี่ไหว อู๋อ๋องกับชายาติดตามฮ่องเต้ต้อยๆ องค์หญิงอี้อันกับราชบุตรเขยหมาดๆ ติดสอยห้อยตามอยู่ท้ายสุด หลี่เจินก้มหน้างุด ไม่มีความชื่นมื่นของคู่แต่งงานใหม่ให้เห็นสักนิดเดียว เฉวียนต๋าไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์เช่นนี้จึงกลั้นใจโดยตลอด กลัวแต่ว่าตนเองจะก่อเรื่องน่าอายต่อหน้าชาวถู่ปัว

นี่น่าจะเป็นครั้งที่คนในราชวงศ์มารวมตัวกันมากที่สุดในรอบครึ่งปีที่ผ่านมา หลี่เจาเกอถอนสายตา ฉวยจังหวะที่ฮ่องเต้กับต้าก้งลุ่นเดินชมทิวทัศน์ลอบเดินไปถึงข้างกายเทียนโฮ่วแล้วเอ่ยเสียงเบา “เทียนโฮ่ว ลูกจะไปตรวจสอบกำลังคนที่ด้านนอก ขอตัวก่อนนะเพคะ”

เทียนโฮ่วผงกศีรษะนิดๆ หลี่เจาเกอโผล่หน้าให้ฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วเห็นแล้วก็ปลีกตัวมาอย่างรวดเร็ว

 

อีกด้านหนึ่งโม่หลินหลางปลอมตัวเป็นสาวใช้ลาดตระเวนในสถานที่จัดเลี้ยง ค้นหาดูว่ามีปีศาจสวมรอยเป็นมนุษย์ปะปนเข้ามาหรือไม่

ฆาตกรของสามคดีนั้นยังคงจับกุมไม่ได้ ความคืบหน้าคดีมืดแปดด้าน เดิมทีหลี่เจาเกอจะเปลี่ยนทิศทางการสืบหาแล้ว แต่ฉุกคิดได้ว่าวันนี้คือวันจื่ออีกครา เพื่อความแน่ใจจึงพาโม่หลินหลางกับไป๋เชียนเฮ่อเข้าวังซั่งหยางมาด้วยกัน

โม่หลินหลางใช้เนตรอินหยางกวาดมองกลุ่มคนรอบแล้วรอบเล่า มองจดจ่อเสียจนพลั้งชนถูกนางกำนัลผู้หนึ่ง ในมืออีกฝ่ายประคองสุราอยู่ เมื่อถูกชนเช่นนี้สุราจึงสาดไปบนเสื้อผ้าของคนด้านข้างทันที

นางกำนัลเห็นแล้วลนลานคุกเข่าลง โขกศีรษะเอ่ยขอขมา “คุณชายโปรดอภัย บ่าวมิได้เจตนาเจ้าค่ะ”

คุณชายหลายคนกำลังคุยฟุ้ง หนึ่งในนั้นพลันถูกนางกำนัลสาดสุราจึงยืนพรวดอย่างโกรธเกรี้ยว สะบัดเสื้อตวาดกร้าว “บัดซบ! เจ้ารู้หรือไม่ข้าเป็นใคร เสื้อผ้าชุดนี้ยังมีค่ามากกว่าชีวิตของเจ้า เจ้าควรรับโทษสถานใด”

นางกำนัลตัวสั่นขดร่างลงพื้น โม่หลินหลางไม่อยากให้อีกฝ่ายพลอยเดือดร้อนจึงรีบชี้แจง “ขออภัยด้วย เป็นข้าเองสะเพร่าชนถูกนาง นางจึงถือสุราได้ไม่มั่นคง คุณชายจะลงโทษก็ลงโทษข้าแล้วกัน ไม่ใช่ความผิดของนาง”

หลูซันหลางนึกไม่ถึงว่าจะมีบ่าวโผล่มาอีกคน เขามองพิจารณาโม่หลินหลางอย่างถี่ถ้วนก่อนถาม “เจ้าเป็นใครกัน ไฉนดูไม่คล้ายนางกำนัลเลย”

โม่หลินหลางเคร่งเครียดจนนิ้วมือกำแน่น ก้มหน้า ฝืนเอ่ยประคองสถานการณ์ “บ่าวเป็นสาวใช้ในจวนองค์หญิงเซิ่งหยวน วันนี้ติดตามองค์หญิงมางานเลี้ยง คุณชายจึงไม่เคยเห็นบ่าวเจ้าค่ะ”

คุณชายที่เหลือกำลังรอชมเรื่องขบขัน ครั้นได้ยินคำว่าองค์หญิงเซิ่งหยวนก็มีบางคนหน้าหุบ โน้มน้าวหลูซันหลางว่า “หลูซันหลาง ให้แล้วกันไปดีกว่า หากเกิดนางเป็นคนของจวนองค์หญิงเซิ่งหยวนจริงๆ ไปตอแยท่านผู้นั้นเข้า เกรงว่าจะปิดฉากไม่ง่าย”

สำหรับพวกเขาเหล่าคุณชายชนชั้นสูง เสื้อผ้าแค่ชุดเดียวไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึง ความจริงสิ่งที่หลูซันหลางโกรธคือการที่นางกำนัลสาดสุรามาถูกตัวเขาทำให้เขาอับอายต่อหน้าสหาย

บ่าวต่ำต้อยผู้หนึ่งไฉนจึงได้กล้าบังอาจ

โม่หลินหลางไม่รู้ความเกี่ยวพันในหมู่พระญาติพระวงศ์ ไม่เช่นนั้นตอนนางได้ยินแซ่หลูก็ควรนึกโยงถึงชายารัชทายาทหลูซื่อแล้ว ทว่าโม่หลินหลางไม่รู้สักนิด นางรู้แต่ว่าไม่อยากสร้างความยุ่งยากให้หลี่เจาเกอ ทั้งไม่อยากให้นางกำนัลเดือดร้อนจากความพลาดพลั้งของนาง จึงเอ่ยขออภัยหลูซันหลางไม่หยุด หมายให้เขาคลายโทสะ

หลูซันหลางมองข่มโม่หลินหลางอย่างผู้มีฐานะสูงกว่า นี่คืองานเลี้ยงในวัง เดิมเขาไม่ควรขัดแย้งกับบ่าว ไม่ว่าที่แท้สตรีนางนี้ใช่คนของจวนองค์หญิงหรือไม่ แต่การมาปรากฏตัวที่วังซั่งหยางได้ก็บ่งชัดว่าเจ้านายของนางต้องมีฐานะไม่ด้อย ทว่านางดันเอ่ยถึงจวนองค์หญิงเซิ่งหยวนเสียนี่

พักก่อนหลูซันหลางติดตามมารดาไปเยี่ยมพี่สาว เคยได้ยินพี่สาวบ่นถึงเรื่องในวัง บอกว่าเทียนโฮ่วเผด็จการ ฮ่องเต้ลำเอียง ซ้ำรัชทายาทยังร่างกายอ่อนแอขี้โรค หลูซื่อพี่สาวของเขาแม้เป็นถึงชายารัชทายาท กลับไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสบายอกสบายใจ โดยเฉพาะยังมีหลี่เจาเกอน้องสาวสามีที่ไม่รู้จักขอบเขตอันควร ชิงเสนอหน้าก่อนในทุกเรื่อง ไม่คิดจะเลี่ยงคำครหาแม้แต่น้อย พี่สาวของเขาคับแค้นต่อเทียนโฮ่วกับหลี่เจาเกอสองแม่ลูกนี้จนอัดแน่นเต็มท้องทีเดียว

ชายารัชทายาทคือบุตรีสกุลหลูสายเลือดภรรยาเอก เป็นทั้งหน้าตาทั้งที่พึ่งพาของสกุลหลู สกุลหลูย่อมยืนอยู่ฝ่ายตำหนักบูรพาเป็นธรรมดา นับแต่ได้ยินนางระบายความคับแค้น หลูซันหลางก็ยิ่งไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อองค์หญิงเซิ่งหยวนกับคนสกุลอู่ของเทียนโฮ่ว

ตอนนี้ได้ยินว่าสาวใช้คนนี้เป็นคนในจวนของหลี่เจาเกอ หลูซันหลางก็เยาะหยันในใจ คิดว่าขี้ข้าเอาอย่างเจ้านายดังคาด หลี่เจาเกอไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ บ่าวของนางก็เลอะเลือนไม่แพ้กัน เขามีใจจะระบายโทสะแทนพี่สาวจึงกล่าวว่า “นั่นแล้วอย่างไร ก็แค่บ่าวผู้หนึ่ง องค์หญิงเซิ่งหยวนจะเป็นอริกับสกุลหลูเพื่อสาวใช้คนเดียวหรือไร”

เขาพูดพลางพินิจพิจารณาโม่หลินหลางหลายหน จากนั้นก็เอ่ยปนยิ้มกริ่ม “เจ้าเป็นสาวใช้ที่มือไม้งุ่มง่าม หน้าตากลับไม่ขี้ริ้ว เจ้าทำให้ข้าเสียอารมณ์จะร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ ไหนว่ามาซิ เจ้าควรชดใช้เช่นไร”

แววตาของหลูซันหลางแสนกรุ้มกริ่มแสนเหิมเกริม แม้เป็นประโยคคำถาม ทว่าเจตนาแทะโลมชัดแจ้งในน้ำเสียง คุณชายที่เหลือล้วนผ่านสนามรักมาจนคุ้นชิน ได้ยินเช่นนี้จึงเข้าใจทันที

โม่หลินหลางพลันหน้าซีด นางถูกบิดาบังเกิดเกล้าทารุณมาแต่เล็ก ส่งผลให้นางทั้งหวาดกลัวทั้งมองบุรุษเป็นศัตรู ภายหลังเข้ากองงานปราบปีศาจโจวเซ่ากับไป๋เชียนเฮ่อเห็นนางเป็นสหายร่วมกลุ่ม ปราศจากท่าทีรุ่มร่ามดูหมิ่น ปมในใจนางจึงคลายออกทีละน้อย ไม่ค่อยหวาดกลัวที่จะติดต่อกับคนแปลกหน้าถึงเพียงนั้นแล้ว ทว่าตอนนี้หลูซันหลางใช้แววตาราวประเมินราคามองจรดบนร่างนาง ความพรั่นพรึงในวัยเด็กก็ย้อนกลับมาตะครุบตัวนางในพริบตา

โม่หลินหลางคล้ายหวนคืนสู่ช่วงเวลาที่โม่ต้าหลางยังมีชีวิตอยู่ เขาประเคนหมัดเท้าใส่นาง โม่หลิวซื่อถากถางแดกดันนาง ส่วนบุตรชายของโม่หลิวซื่อปรบมือวิ่งวนข้างตัวนาง วิ่งไปตะโกนไปว่า ‘นางตัวผลาญเงิน’

หลูซันหลางเห็นโม่หลินหลางหน้าซีดก็หัวเราะเยาะ ใช้พัดเชยคางนางแล้วเอ่ยหยาม “ข้าเห็นเจ้าเข้าตา อุตส่าห์ให้ค่าเจ้า เจ้ายังทำเป็นกล้ำกลืน? บอกเจ้าให้นะ อย่ามาเล่นตัวกับข้า ข้าไม่ชอบไม้นี้”

โม่หลินหลางถูกเชยคาง รูขุมขนทั่วร่างก็ลุกซู่จนเป็นตุ่มดุจหนังไก่ นางออกแรงปัดพัดจีบของเขาออกห่าง กำหมัดแน่นจนเนื้อตัวสั่นเทา “ข้าเป็นคนที่องค์หญิงเซิ่งหยวนพามา หากท่านกล้าทำอะไรข้า องค์หญิงจะไม่ปล่อยท่านไปแน่”

มีคุณชายบางคนทนดูต่อไปไม่ได้จึงไกล่เกลี่ยเสียงเบา “หลูซันหลาง ที่นี่คือวังซั่งหยางนะ ชาวถู่ปัวก็ยังอยู่ เรื่องใหญ่ต้องมาก่อน อย่าให้บานปลายจนไม่น่าดูชม”

หลูซันหลางพ่นลมขึ้นจมูกอย่างไม่ยี่หระ “พี่สาวข้าคือชายารัชทายาท องค์หญิงเซิ่งหยวนจะไม่ไว้หน้าข้าเชียวหรือ บ่าวผู้หนึ่งเท่านั้น หากข้าชอบ บอกพี่สาวคำเดียวก็เอาตัวมาได้ ไม่แน่องค์หญิงเซิ่งหยวนอาจจะยินดีมากด้วยซ้ำ”

ตามความคิดของหลูซันหลาง พี่สาวเขาคือชายารัชทายาท ว่าที่มารดาของแผ่นดิน ต่อให้หลี่เจาเกอเป็นที่โปรดปรานสักเพียงใด ฐานะก็ไม่อาจเปรียบกับบุตรสะใภ้ฮ่องเต้ ตอนนี้มอบโอกาสให้หลี่เจาเกอได้เอาใจคนในสกุลเดิมของชายารัชทายาท ไม่แน่หลี่เจาเกออาจกำลังต้องการเป็นอย่างยิ่ง

คุณชายที่เอ่ยไกล่เกลี่ยก็เพียงแต่เตือนหนึ่งประโยค เขาไม่อยากให้หลูซันหลางก่อเรื่องบานปลายในงานเลี้ยงจนเดือดร้อนมาถึงเขาด้วย หากบอกว่าเขามีใจรักหยกถนอมบุปผามากมาย นั่นกลับไม่ถึงขั้นนั้น

ว่ากันถึงที่สุดโม่หลินหลางเป็นแค่บ่าว เป็นเรื่องปกติหากแขกในงานเลี้ยงถูกตาต้องใจสาวใช้แล้วลากกลับไปหลับนอน แม้กระทั่งถูกใจอนุของเจ้าภาพ เจ้าภาพก็ใจกว้างสละของรักให้แขกได้ ภรรยาคือสตรีที่แต่งเข้ามาตามประเพณีครบถ้วน ต่างจากอนุที่เป็นทรัพย์สินได้มาผ่านการซื้อขาย ไยจะต้องทำให้แขกเสียหน้าเพียงเพราะของเล่นชิ้นหนึ่งด้วยเล่า ในเมื่ออนุยังเป็นเช่นนี้ แล้วนับประสาอะไรกับสาวใช้

ท่ามกลางสายตาหยอกเอินของคนรอบด้าน โม่หลินหลางตัวสั่นรุนแรงขึ้นทุกที เดิมหลูซันหลางเจตนาจะระบายแค้น ตอนนี้เห็นดวงหน้าน้อยๆ ของนางซีดเผือด เนื้อตัวสั่นสะท้าน กลับกลายเป็นเสน่ห์ชวนให้รักถนอม เขาบังเกิดอารมณ์ขึ้นมาจึงยื่นมือไปจะฉุดดึงนาง “มีหน้าที่ปรนนิบัติคนยังจะถือดีเล่นตัวทำอะไร ข้าคือคุณชายสกุลหลูเชียวนะ เจ้าได้มาเจอข้าเป็นวาสนาที่บรรพชนแปดรุ่นของเจ้าสั่งสมมา”

พอถูกหลูซันหลางสัมผัสแขน โม่หลินหลางก็ราวถูกระเบิดทั้งร่าง ปัดมือเขาออกอย่างแรงแล้วผละถอยต่อเนื่อง “อย่าถูกตัวข้านะ”

ทว่าโม่หลินหลางเป็นเพียงแม่นางน้อยวัยสิบหก แม้หนึ่งปีที่ผ่านมาได้กินอาหารครบมื้อ ได้พักผ่อนเป็นเวลา บำรุงร่างกายดีขึ้นไม่น้อย ถึงอย่างไรก็ไม่อาจเปรียบกับบุรุษวัยฉกรรจ์ได้อยู่ดี หลูซันหลางเห็นนางกล้าขัดขืน ทำราวกับเขาเป็นสิ่งสกปรกสักอย่าง จึงไม่พอใจถึงขีดสุด ฉุดนางไว้ได้ในคราวเดียว ขณะจะเอ่ยวาจา ความเจ็บปวดสาหัสกลับแล่นมาจากง่ามมือกะทันหัน

เขาก้มมองก็พบว่านางถึงกับกัดมือเขาจนเลือดออก

หลูซันหลางเดือดจัด ตบหนึ่งฉาดจนโม่หลินหลางกระเด็นไป เดิมคุณชายที่เหลือกำลังชมเรื่องสนุก จู่ๆ เห็นโม่หลินหลางกัดหลูซันหลางบาดเจ็บ ต่างก็มีสีหน้าขรึมลง

โม่หลินหลางปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าจนหลูซันหลางเสียอารมณ์มากพออยู่แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่านางยังกล้ากัดคน สาวใช้ทำร้ายชนชั้นเจ้านาย ตีนางตายก็ไม่เกินเลย

ความเคลื่อนไหวของพวกเขาทำให้ผู้คนไม่น้อยแตกตื่น หลายคนพากันมองมาทางนี้ ขันทีผู้คุมงานจึงรีบวิ่งตรงมาถามเสียงแหลมบาดหู “คุณชายสามหลู นี่เกิดอันใดขึ้น”

หลูซันหลางกดปากแผลด้วยความเจ็บปวด เลือดยังคงไหลพรากลงมาตามร่องนิ้วมือ สตรีนางนี้ลงมือโหดยิ่งยวด กัดง่ามมือเขาจนเกือบจะทะลุ เขาเงยหน้าจ้องนางอย่างดุร้าย “นางบ่าวชั้นต่ำนี่ถึงกับบังอาจทำร้ายคน”

ขันทีผู้คุมงานได้ยินเช่นนั้นก็รีบกล่าวขออภัย ท่านผู้นี้คือน้องชายของชายารัชทายาท ตนไม่กล้าล่วงเกินเขาหรอก ทางหนึ่งจึงยิ้มประจบ อีกทางหนึ่งสั่งผู้ใต้บัญชาเสียงอึมครึม “จับตัวบ่าวชั้นต่ำนี่ไว้”

บรรดาขันทีชั้นผู้น้อยรีบเดินขึ้นหน้าไปจับกุมโม่หลินหลาง พวกเขาลงมือคว้าตัวนางอย่างมุทะลุ แต่ขณะจะคว้าถูกแขนเสื้อนาง ใบไม้ใบหนึ่งพลันปลิวถากเรือนผมของพวกเขาไปปักเข้าเสาด้านข้างดังฉึก

หนังศีรษะของพวกเขาเย็นวะวาบ พริบตานั้นรับรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าศีรษะตนเองไปป้วนเปี้ยนหน้าประตูผีมารอบหนึ่งแล้ว แต่ละคนผวาไม่เบา หัวเข่าอ่อนระทวยแทบจะยืนไม่อยู่

ขันทีผู้คุมงานหันขวับไป เห็นสตรีชุดแดงผู้หนึ่งเดินมุ่งตรงมาทางนี้ ฝูงชนสองฟากมองเห็นนางต่างหลีกทางให้โดยไม่รู้ตัว

โม่หลินหลางหมดแรงทรุดลงพื้น ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้า เงยหน้าขึ้นแลเห็นสตรีผู้นั้น เสียงเรียกของนางก็ปนสะอื้นอย่างห้ามไม่อยู่ “องค์หญิง”

หลี่เจาเกอใบหน้าสงบเรียบเฉย ดวงตาทั้งคู่หมดจดทอประกาย หากมิใช่นิ้วมือนางหนีบใบไม้เขียวอยู่ใบหนึ่งก็มองอารมณ์ของนางไม่ออกเลย ผู้คนในศาลามองเห็นหลี่เจาเกอต่างหน้าเจื่อน ขันทีผู้คุมงานรีบปั้นยิ้มประจบ เดินลงบันไดศาลามาคารวะนาง “องค์หญิงเซิ่งหยวน”

เสียงของเขาเอาอกเอาใจเต็มที่ ทว่านางไม่แม้แต่จะแล เดินตรงไปถามโม่หลินหลางว่า “บาดเจ็บหรือไม่”

โม่หลินหลางยึดจับราวกั้นพยุงตัวลุกขึ้น ส่ายหน้านิดๆ “ไม่เป็นไรเพคะ”

นางไม่มีบาดแผลภายนอก เพียงแต่ถูกข่มเหงรังแก ทว่าใครใช้ให้อีกฝ่ายเป็นคนในครอบครัวของชายารัชทายาทเล่า นางกล้ำกลืนไว้เงียบๆ คิดในใจว่าตอนนี้องค์หญิงมาแล้ว ตนหลุดพ้นจากที่นี่ได้เสียที หวังว่าเรื่องเมื่อครู่ไม่ได้สร้างความยุ่งยากแก่องค์หญิง

หลี่เจาเกอผงกศีรษะเรียบๆ ก่อนเหลียวไปมองคนที่เหลือ “นี่มันเรื่องอะไรกัน”

พอหลี่เจาเกอเอ่ยปากก็คือการเค้นถาม ไม่แม้แต่คิดจะทักทาย หลูซันหลางนึกไม่ถึงว่าสตรีนางนี้เป็นสาวใช้ของหลี่เจาเกอจริงๆ ถูกเจ้านายของนางจี้ถามซึ่งหน้า พาให้เขากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่ก็แค่กระอักกระอ่วนเท่านั้น เขาเป็นถึงน้องชายของชายารัชทายาท นับอ้อมๆ ก็เป็นญาติกับหลี่เจาเกอ หลี่เจาเกอจะทำอะไรเขาได้หรือ

หลูซันหลางคลี่ยิ้ม พูดอย่างไม่อินังขังขอบ “ที่แท้นี่เป็นสาวใช้ขององค์หญิงเซิ่งหยวนหรอกหรือ นางมือไม้งุ่มง่าม ทำเสื้อข้าเปื้อนเลอะ แล้วยังล่วงเกินเบื้องสูงกัดมือข้าเป็นแผลอีก เห็นแก่หน้าองค์หญิง ข้าจะไม่ถือสาหาความกับนางแล้วกัน ช่างเถอะ ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อใหม่”

หลูซันหลางพูดพลางจะเดินออกไป คุณชายที่เหลือจึงคารวะหลี่เจาเกอ ตั้งใจจะรีบล่าถอยไปเช่นกัน พวกเขาไม่เก็บโม่หลินหลางมาใส่ใจ ทว่าเจ้านายของโม่หลินหลางมาแล้วย่อมไม่อาจทำเกินเลยนัก เหล่าคุณชายลอบคิดว่าโชคไม่ดี บ่าวนางนี้ไม่รู้จักรักดีเอาเสียเลย หลูซันหลางเห็นนางเข้าตา ต่อให้นางไม่ยินดีก็ควรจะยิ้มรับ ปรากฏว่านางดึงดันปฏิเสธ ทำให้ทุกคนเสียหน้า

เสียอารมณ์จริงๆ

หลูซันหลางเดินไปไม่ถึงสองก้าวก็ได้ยินเสียงเย็นเฉียบดุจน้ำแข็งของหลี่เจาเกอดังมาทางด้านหลัง “เมื่อครู่ข้าเห็นหลูซันหลางมือไม้รุ่มร่ามกับนาง หลูซันหลาง คำอธิบายของเจ้าเล่า”

หลูซันหลางคาดไม่ถึงว่าบ่าวไม่รู้จักรักดี ผู้เป็นนายยังไม่รู้จักดูสถานการณ์อีก เขาหันหลังไปยิ้มกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่มีอะไร แค่ล้อเล่นเท่านั้น ออกมาร่วมงานเลี้ยง สิ่งสำคัญที่สุดก็คือสำราญใจ ข้าไม่ได้ทำอะไรนางเสียหน่อย นางคงไม่ถึงกับล้อเล่นด้วยไม่ได้กระมัง”

“ล้อเล่น…” หลี่เจาเกอพูดทวนจบพลันถีบหนึ่งเท้าใส่หน้าอกหลูซันหลาง ส่งเขาลงบันไดศาลาไปโดยตรง หลูซันหลางไม่ทันตั้งตัว กระเด็นจากขั้นบันไดกลิ้งกลุกๆ ไปบนพื้นไปสองรอบจึงค่อยๆ หยุดนิ่ง อ้าปากกระอักเลือดสดๆ ดังอั้กหนึ่งคำ

ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยรวดร้าวเช่นนี้ ราวอวัยวะภายในล้วนย้ายที่ เขาฝืนเงยหน้าขึ้นอย่างกินแรง เห็นหลี่เจาเกอยืนอยู่บนขั้นบันได ก้มมองจากที่สูง น่าเกรงขามสุดจะล่วงเกิน รูปโฉมของนางหลอมรวมจุดเด่นของเชื้อพระวงศ์สกุลหลี่กับสกุลอู่เข้าไว้ด้วยกัน ทั้งสะคราญผ่าเผยทั้งพราวเสน่ห์ขาวราวกระเบื้อง เดิมทีไฝน้ำตาที่ใต้หางตาเม็ดนั้นบ่งบอกลักษณะของสตรีรันทด ทว่าอยู่บนใบหน้าของนางกลับฉายรัศมีพิฆาตออกมาขุมหนึ่ง

หลูซันหลางแหงนหน้ามองนาง จากมุมมองนี้นางยิ่งดูงามเจิดจรัสชวนตะลึง ประดุจเทพธิดามัจจุราชในภาพวาด งดงามทว่าอันตราย

คนรอบด้านล้วนถูกเหตุพลิกผันนี้ทำให้ตะลึงค้าง ขันทีผู้คุมงานอึ้งงันไปครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างตื่นตกใจ “องค์หญิง นี่ทรงทำอันใดพ่ะย่ะค่ะ”

บ่าวสกุลหลูได้สติแล้วเช่นกันจึงตะลีตะลานไปพยุงหลูซันหลางลุกขึ้น เหล่าคุณชายที่สนิทกันรายล้อมข้างกายหลูซันหลาง เพียงมองเห็นเหตุการณ์ก็ใจสั่น มีบางคนเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “นั่นสิ องค์หญิงเซิ่งหยวนจู่โจมผู้อื่นโดยไร้สาเหตุ นี่หมายความเช่นไร”

หลี่เจาเกอใบหน้าเรียบสงบ เพียงแววตาแปรเปลี่ยนก็ฉายรัศมีพิฆาตออกมาทั่วทิศ “ทำอะไรน่ะหรือ ข้าล้อเล่นกับเขาอย่างไรเล่า เป็นอะไรกัน ไม่น่าขบขันหรือไร”

ความเคลื่อนไหวของพวกเขาตรงนี้สร้างความแตกตื่นแก่ผู้คนจำนวนมากแล้ว เผยจี้อันได้ยินเสียงการต่อสู้จากอีกฟากของอุทยาน ตอนเขารุดมาถึง พอดีเห็นคุณชายตระกูลขุนนางกลุ่มหนึ่งล้อมวงกัน ท่าทางเป็นเดือดเป็นแค้น หลูซันหลางที่อยู่ใจกลางสุดถูกคนพยุงอยู่ ใบหน้าอมเหลืองดุจกระดาษทอง ลมหายใจรวยริน เห็นชัดว่าบาดเจ็บสาหัส

ส่วนอีกด้านหนึ่งหลี่เจาเกอยืนอยู่บนขั้นบันไดผู้เดียว ด้านหลังนางมีแม่นางน้อยที่แต่งกายเป็นบ่าวยืนอยู่ผู้หนึ่ง แม่นางน้อยผู้นั้นกระอึกกระอักดูร้อนใจไม่น้อย

เผยจี้อันกวาดมองปราดเดียวก็คาดเดาออกคร่าวๆ ว่าเกิดอันใดขึ้น ขณะเหล่าคุณชายกำลังโกรธเกรี้ยว มีคนเห็นเผยจี้อันมาถึง จึงรีบร้องเรียกเขา “คุณชายเผย มาได้ประจวบเหมาะเลย ท่านมาตัดสินที หลูซันหลางเพียงล้อเล่นกับสาวใช้ขององค์หญิงเซิ่งหยวน องค์หญิงกลับลงมือทำร้ายคนทันที เหตุผลอยู่ที่ใด”

หลี่เจาเกอปัดแขนเสื้ออย่างไม่อนาทรร้อนใจ ค่อยๆ เดินลงจากบันไดมากล่าว “พวกเจ้าเรียกการกระทำรุ่มร่ามกับสตรีผู้หนึ่งว่าล้อเล่น? ดี เขาล้อเล่นกับโม่หลินหลาง เช่นนั้นข้าก็ล้อเล่นกับเขา นี่ก็คือวิธีล้อเล่นของข้า อะไรกัน ล้อเล่นด้วยไม่ได้หรือ”

คุณชายที่ถามหาเหตุผลเมื่อครู่แย้งด้วยโทสะ “หลูซันหลางเป็นน้องชายแท้ๆ ของชายารัชทายาท หากองค์หญิงเซิ่งหยวนจะทวงความเป็นธรรมให้สาวใช้ บอกชายารัชทายาทก็ได้ สกุลหลูกับชายารัชทายาทย่อมจะอบรมบุตรหลานเอง องค์หญิงทำเช่นนี้ไม่กลัวล่วงเกินชายารัชทายาทหรือไร”

หลี่เจาเกอฟังแล้วพ่นลมขึ้นจมูกเบาๆ ก่อนเอ่ย “ข้อแรกนางไม่ใช่สาวใช้ของข้า นางเป็นนายกองของกองงานปราบปีศาจ เป็นขุนนางขั้นเก้าที่ราชสำนักแต่งตั้ง เขาไม่เคารพต่อขุนนางที่ราชสำนักแต่งตั้ง ข้าไม่ได้เอาชีวิตเขาก็เพราะไว้หน้าสกุลหลู ข้อสองข้าหลี่เจาเกอกระทำการเพียงดูที่ความถูกผิด ไม่เคยดูที่ตัวบุคคล ถ้าพวกเจ้ารู้สึกไม่เป็นธรรมก็จงไปฟ้องชายารัชทายาท หากฝ่าบาทกับเทียนโฮ่วทรงรู้สึกว่าข้าผิด ข้ายินดีจะรับโทษทั้งหมด”

จบคำนางจ้องมองคนกลุ่มนั้นแล้วแย้มริมฝีปากเอ่ยเสียงเย็นชา “ไสหัวไป”

คนสกุลหลูได้รับความอัปยศครั้งใหญ่ คุณชายที่พูดจาแทนหลูซันหลางเองก็เสียหน้า รู้สึกว่าหลี่เจาเกอคือคนเสียสติที่ไม่คำนึงถึงอันใดทั้งสิ้น ตอนนี้เผยจี้อันออกหน้ามากู้สถานการณ์อย่างทันท่วงที “เอาล่ะ หลูซันหลางบาดเจ็บอยู่ รีบไปเยียวยาเถิด ฝ่าบาททรงชมทิวทัศน์อยู่กับทูตถู่ปัว อย่าให้รบกวนไปถึงพระองค์ได้”

ประโยคแรกของเขาพูดกับคนสกุลหลู ประโยคที่สองแม้มองไปทางหลูซันหลาง แท้ที่จริงกลับพูดกับหลี่เจาเกอ หลี่เจาเกอเหลือบมองคนเหล่านี้อย่างเย็นชา ก่อนพาโม่หลินหลางหมุนตัวจากไป

หลี่เจาเกอจากไปแล้ว คนสกุลหลูไม่มีหน้าจะอยู่ต่อ รอจนหลูซันหลางถูกคนหามออกไป จ่างซุนเหยียนจึงเดินช้าๆ มาจุปากกล่าวที่ข้างกายเผยจี้อัน “เดิมข้านึกว่าองค์หญิงเซิ่งหยวนเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง แต่เหตุการณ์วันนี้กลับทำให้ข้าอ่านนางไม่ขาด”

หลูซันหลางเป็นน้องชายของชายารัชทายาท ทำให้หลูซันหลางอับอายต่อหน้าผู้คนก็เท่ากับทำให้ชายารัชทายาทรวมถึงตำหนักบูรพาอับอาย สุขภาพฮ่องเต้ทรุดลงทุกวัน ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อหลี่เจาเกอกลับทำเรื่องเช่นนี้ จ่างซุนเหยียนไม่อาจแน่ใจ ที่แท้นางวางโตอย่างไร้เดียงสาหรือคิดจะฉวยโอกาสไปเข้ากับจ้าวอ๋องกันแน่

เผยจี้อันส่ายหน้าไม่พูดจา มองดูเงาหลังของนางที่จากไป ในใจเขารู้กระจ่างแจ้ง นางไม่ใช่ถือดีว่าเป็นคนโปรดแล้วหาเรื่องผู้อื่น ยิ่งไม่ใช่เล่นเล่ห์สนับสนุนฝ่ายหนึ่งด้วยการเหยียบย่ำอีกฝ่ายหนึ่ง นางเพียงแต่ทนดูไม่ได้

วิธีปฏิบัติของนางคล้ายคนเลว ทว่าบางครั้งกลับเที่ยงธรรมยิ่งกว่าบรรดาสุภาพชนคนดีเสียอีก

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: