X
    Categories: จุติรัก พลิกชะตาร้ายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 91-92

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 91 เอาคืน

 ภายหลังหลี่เจาเกอกับโม่หลินหลางเดินจากมาไกล โม่หลินหลางก็ข่มใจไม่ไหว เอ่ยกับหลี่เจาเกอด้วยความรุ่มร้อน “องค์หญิง ขออภัยด้วย ข้าไม่ควรก่อเรื่องให้ท่าน…”

หลี่เจาเกอไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบก็ตัดบททันที “ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเสียหน่อย เหตุใดเจ้าต้องพูดขออภัย สมน้ำหน้าพวกเลวนั่นแล้ว เพราะไม่มีใครเล่นงานพวกเขา พวกเขาจึงได้คืบจะเอาศอกมากขึ้นทุกที เจ้าทำงานของเจ้าไปตามปกติ ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา ข้าอยากจะดูซิว่าจากนี้ไปใครยังกล้ามือไม้รุ่มร่ามอีก”

ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ โม่หลินหลางทั้งตกตะลึงทั้งสับสนอยู่บ้าง นางถูกตบตีด่าทอมาแต่เล็กจนโต บิดาผู้ให้กำเนิดด่าว่านางเป็นดาวไม้กวาด มารดาเลี้ยงด่าว่านางเป็นตัวผลาญเงิน คนบ้านใกล้เรือนเคียงหาว่านางแปลกแยกพิลึกคน ตลอดมานางตำหนิตนเองว่าเพราะนางชะตาอ่อนถูกสิ่งชั่วร้ายรังควานได้ง่ายจึงพลอยทำร้ายให้มารดาถึงแก่กรรม ต่อมานางส่งบิดาเข้าคุกด้วยมือตนเอง จริงอยู่ได้ล้างแค้นให้มารดาแล้ว แต่สกุลโม่ก็แตกฉานซ่านเซ็นเพราะนาง นางคิดว่านางอาจจะเกิดมาเป็นตัวเสนียดกระมังจึงได้นำหายนะมาให้คนรอบข้างไม่หยุดหย่อน

รวมถึงวันนี้ หากไม่ใช่เพราะนาง หลี่เจาเกอก็จะไม่เกิดเหตุขัดแย้งกับคนสกุลเดิมของชายารัชทายาท นางรู้สึกว่าตนเองอัปมงคล ถึงขั้นรู้สึกว่าตนเองไม่ควรมีใบหน้านี้ หากไม่ใช่เพราะใบหน้านี้ หลูซันหลางคงจะไม่เกิดอารมณ์ และหากไม่ใช่เพราะนางตื่นตูม เรื่องก็จะไม่บานปลายใหญ่โต ตอนแรกที่เขาลูบคลำใบหน้านาง นางควรจะอดทนไว้ใช่หรือไม่

ขณะในใจนางกำลังตำหนิตนเองพลันได้ยินหลี่เจาเกอพูดว่าไม่ใช่ความผิดของนาง นางจึงทึ่มทื่อไปทันที นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่มีคนบอกนางเช่นนี้…งดงามไม่ใช่ความผิดของเจ้า อ่อนแอไม่ใช่ความผิดของเจ้า คนที่ผิดคือพวกที่เห็นคนงามแล้วคิดไม่ซื่อ วางอำนาจข่มเหงผู้อ่อนแอกว่า

ไป๋เชียนเฮ่อใช้วิชาตัวเบาทิ้งตัวลงข้างกายหลี่เจาเกอโดยไร้เสียง ก่อนถามด้วยเสียงที่กดให้เบาลง “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นหรือ”

ไป๋เชียนเฮ่อกับโม่หลินหลางแยกกันตรวจค้น เมื่อครู่ตอนโม่หลินหลางเกิดเหตุขัดแย้งกับหลูซันหลาง ไป๋เชียนเฮ่ออยู่อีกฟากของอุทยานพอดี โม่หลินหลางได้ยินเขาถามก็เม้มปากก้มหน้าเงียบ ในสถานการณ์เช่นนี้หลี่เจาเกอไม่อยากพูดมาก จึงตอบเพียงว่า “มีสุนัขไม่ดูตาม้าตาเรือ ถูกข้าสั่งสอนไปแล้ว เจ้าสุนัขนั่นเป็นน้องชายของชายารัชทายาท ประเดี๋ยวเริ่มงานเลี้ยงพวกเจ้าระวังตัวหน่อย อย่าเคลื่อนไหวตามลำพังอีก”

หากเมื่อครู่โม่หลินหลางมีไป๋เชียนเฮ่ออยู่ข้างกาย ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ไป๋เชียนเฮ่อฟังแล้วหน้าเปลี่ยนสีทันที “อะไรนะ”

โม่หลินหลางรีบดึงไป๋เชียนเฮ่อไว้พลางส่ายศีรษะสุดชีวิต “หมดเรื่องแล้ว นี่อยู่ในวังนะ อย่าได้ก่อเรื่อง ต่อไปข้าระวังมากหน่อยเป็นอันใช้ได้”

ไป๋เชียนเฮ่อมีประสบการณ์ในยุทธภพโชกโชน เห็นเช่นนี้มีหรือจะเดาไม่ออกว่าเมื่อครู่เกิดอันใดขึ้น แต่เห็นแก่หน้าหลี่เจาเกอเขาจึงฝืนข่มความโกรธลงไป แต่ในใจเริ่มขบคิดแล้วว่าจะลอบเอาคืนอย่างไรดี

ชื่อเสียงเทพขโมยของเขาไม่ใช่ได้มาเปล่าๆ เวรยามที่ตระกูลชนชั้นสูงภาคภูมิใจนักหนา ในสายตาเขาไม่ต่างจากไร้ตัวตน เขาไม่ได้ถูกคุณธรรมอันใดผูกมัดเสียหน่อย หากอยากเล่นงานคนผู้หนึ่งจริงๆ รับรองว่าทำให้บ้านอีกฝ่ายอยู่ไม่เป็นสุขจนชั่วชีวิตได้แน่นอน

หลี่เจาเกอมองดูสีท้องฟ้าแวบหนึ่งก่อนกล่าว “งานเลี้ยงจะเริ่มต้นแล้ว ไปกันเถิด”

ฮ่องเต้จัดเลี้ยงคณะทูตถู่ปัวที่วังซั่งหยาง ประจวบกับวันนี้คือวันที่สิบสี่เดือนเจ็ด พระองค์จึงให้จัดเตรียมระบำไจกู ไว้ด้วย ครั้นสีท้องฟ้าเริ่มมืดเล็กน้อย เหล่านางกำนัลก็มาที่ริมตลิ่งลอยโคมลงทะเลสาบ พาให้ระลอกน้ำระยิบระยับ ผู้ร่วมงานพากันนั่งประจำที่ในศาลาริมน้ำท่ามกลางโคมดารดาษ

วันที่สิบห้าเดือนเจ็ดคือเทศกาลจงหยวน เดือนเจ็ดยังถูกราษฎรเรียกว่าเดือนผี ตามคำกล่าวของสำนักเต๋า…ซ้ำแนวทางเดิม เจ็ดวันเริ่มฟื้น เหมาะเดินหน้าต่อ ‘เจ็ด’ ถูกมองเป็นเลขแห่งการฟื้นคืน พลังธาตุหยางเสื่อมสูญไปเจ็ดวันจะฟื้นคืนมาใหม่ วันที่สิบสี่เดือนเจ็ดยิ่งเป็นวันเลขเจ็ดคู่ วันนี้ราษฎรจึงเผากระดาษเซ่นไหว้บรรพชน ในวังก็มีการจัดพิธีเซ่นไหว้เช่นกัน

ไจกูคือการทำทานอาหารเจแก่ผีไร้ญาติวิญญาณเร่ร่อนเพื่อขอให้หนึ่งปีนี้ราบรื่นร่มเย็นเป็นสุข ระบำไจกูที่ฮ่องเต้ให้จัดแสดงนั้นเป็นระบำเซ่นไหว้ ต้องร่ายรำในสถานที่ที่มีพลังธาตุอินเข้มข้น พระองค์จึงละทิ้งโถงพิธีอันหรูหรา นำพาผู้คนมาจัดเลี้ยงที่ศาลาริมน้ำ

ศาลาที่จะทำการร่ายรำหลังนั้นอยู่กึ่งกลางสุด โอบล้อมด้วยน้ำทะเลสาบ มีศาลาริมน้ำขนาดต่างๆ รายรอบทั้งสี่ทิศไปตามสภาพพื้นที่ เชื่อมต่อถึงกันด้วยทางระเบียง แขกเหรื่อจะนั่งอยู่ในศาลาริมฝั่งน้ำ ชมการร่ายรำข้ามห้วงน้ำใส ศาลาหลักซึ่งตรงกับเวทีแสดงและตกแต่งวิจิตรโอฬารก็คือตำแหน่งที่นั่งของฮ่องเต้ เทียนโฮ่ว และทูตถู่ปัว ที่นั่งแขกอื่นด้านหลังของฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วจะจัดลำดับไปตามอำนาจและความโปรดปรานที่ได้รับ รอจนศาลาหลักนั่งเต็ม ค่อยไล่ลำดับไปถึงศาลาสองฟากที่รองลงไป

ในโอกาสเช่นนี้…ตำแหน่งที่นั่งก็คือเครื่องสะท้อนถึงฐานะ ผู้ใดนั่งใกล้ฮ่องเต้ ผู้ใดลำดับที่นั่งอยู่หน้ากว่าผู้อื่น เท่านี้ก็มองออกได้ว่าช่วงนี้ผู้ใดทำตัวได้เข้าตาที่สุด ที่นั่งของหลี่เจาเกอนับว่าไม่เลว อยู่ไม่ไกลจากฮ่องเต้กับเทียนโฮ่ว ทั้งชิดราวกั้นติดกับฝั่งน้ำ มองเวทีแสดงได้อย่างสบาย ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกคนด้านหน้าบัง รอจนคนทั้งหมดนั่งตามลำดับเรียบร้อย การร่ายรำจึงเริ่มขึ้น

เหล่านักร่ายรำจากกองสังคีตสวมชุดใยกระดาษสีเขียว สวมหน้ากากสีขาว ปากท่องคำอธิษฐานต่อภูตผีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ทิศให้ปีที่จะมาถึงแคล้วคลาดปลอดภัย หลี่เจาเกอชมดูครู่หนึ่ง หางตาเหลือบผาดๆ พบว่าชายารัชทายาทเดินย่องกลับมาจากด้านนอก ยกชายกระโปรงนั่งลง อากัปกิริยาแผ่วเบายิ่ง ไม่ได้รบกวนฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วที่อยู่ด้านหน้า ทว่าไม่อาจรอดสายตาหลี่เจาเกอ

ชายารัชทายาทอำพรางสุดกำลัง กระนั้นยังคงมองออกว่าสีหน้าไม่สู้ดี ปิ่นบนศีรษะยุ่งเหยิงเล็กน้อย คล้ายเพิ่งบันดาลโทสะมา ฉุกคิดถึงหลูซันหลางที่ถูกถีบจนเหลือเพียงครึ่งชีวิต หลี่เจาเกอก็หัวเราะเบาๆ

เมื่อครู่คนสกุลหลูคงมาหาชายารัชทายาท หลี่เจาเกอไม่รู้หรอกว่าคนสกุลหลูบรรยายเรื่องราววันนี้อย่างไร แต่ดูจากสีหน้าชายารัชทายาทแล้วคงตีไข่ใส่สีให้หลี่เจาเกอไม่น้อย

ตามมุมมองของชายารัชทายาท น้องชายมาร่วมงานเลี้ยงในวังอย่างมีหน้ามีตา ปรากฏว่าพริบตาเดียวกลับกลายเป็นมีลมหายใจออกมากกว่าลมหายใจเข้า หากเป็นเพราะเรื่องใหญ่อันใดก็แล้วไปเถิด นี่ต้นเหตุกลับเป็นแค่สาวใช้นางหนึ่ง ผู้เป็นพี่สาวคนใดกันจะยอมรับได้ว่าน้องชายถูกทำร้ายจนกึ่งพิการเพียงเพราะลูบคลำสาวใช้ไปหนึ่งที

เกรงว่าชายารัชทายาทคงเคียดแค้นหลี่เจาเกอแทบตายแล้ว

หลี่เจาเกอไม่ได้ไยดีนัก นั่งตัวตรงอยู่หลังโต๊ะสำรับ กระโปรงแดงกองระพื้น ชายแขนเสื้อทับบนชายกระโปรง ทั้งดูภูมิฐานทั้งตระการตา ปิ่นระย้าบนมวยผมไม่สั่นไหวแม้สักนิด รูปโฉมงามสะกด ทว่าในดวงตาฉายความคมกริบเฉียบขาด แลมองจากระยะไกลประดุจดอกหมู่ตานแห่งแคว้น สะคราญเหนือบุปผาทั้งปวง

หญิงงามในงานนี้มีไม่น้อย บางคนมีเสน่ห์นุ่มนวลดั่งดอกท้อดอกหลี่ บางคนอ่อนช้อยดั่งดอกบัวขาว บางคนงามหวานดั่งดอกเบญจมาศป่า หลี่เจาเกอกลับคล้ายดอกหมู่ตาน ไม่ว่าผู้อื่นชอบนางหรือไม่ นางล้วนไม่ชายตาแลผู้ใด บานสะพรั่งลำพังอย่างงดงามและอหังการ

นี่ต่างหากท่วงทีซึ่งองค์หญิงแห่งแคว้นพึงมี เบ่งบานด้วยพลังอำนาจ ไม่จำเป็นต้องเหมือนสตรีอื่นที่ช่วงชิงความโปรดปรานจากผู้มีอำนาจด้วยการทำทีอ่อนหวานไร้เดียงสา เพราะ…นางเองก็คือผู้มีอำนาจ

ผู้ร่วมงานเลี้ยงไม่มากก็น้อยต่างมองไปยังที่นั่งของนาง ทั่วร่างนางทั้งบนล่างแผ่กลิ่นอายที่บ่งชัดว่า ‘ยากตอแย’ พวกเขาอุทานในความงามของนาง ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าบังอาจล่วงเกิน

สหายขุนนางสังเกตเห็นท่าทางของกู้หมิงเค่อจึงรีบยื่นหน้ามาถามเย้า “รองตุลาการ องค์หญิงเซิ่งหยวนน่ามองมากสินะ”

กู้หมิงเค่อถอนสายตาคืนมา ก่อนตอบเรียบเฉย “ข้าไม่ได้มอง”

เขาไม่ได้กำลังมองรูปโฉมภายนอกของนาง หากแต่กำลังใช้พลังวิเศษตรวจสอบอาการบาดเจ็บของนางว่าหายแล้วใช่หรือไม่ กล่าวในแง่มุมนี้เขาไม่ได้มองนางอยู่จริงๆ

สหายขุนนางจุปาก เผยแววตาที่บ่งบอกว่า…ข้าเข้าใจน่ะ “ได้ๆ รองตุลาการใจคอหนักแน่นเปิดเผย ไม่เคยหวั่นไหวต่ออิสตรี ทว่าก็ไม่แปลกหรอก หญิงงามใครไม่ชอบมองบ้างเล่า ท่านไม่ได้เห็น ชาวถู่ปัวหลายคนนั้นตาค้างไปทีเดียว นี่สิความแกร่งสง่าของไข่มุกสกาวแห่งต้าถัง”

สหายขุนนางกล่าวจบเนิ่นนานยังคงไม่ได้ยินกู้หมิงเค่อเอ่ยคล้อยตาม ครั้นหันไปเหลือบมองแล้วเห็นกู้หมิงเค่อสีหน้าราบเรียบ ทว่าแววตาดูไม่ค่อยพอใจจึงนึกไปว่ากู้หมิงเค่อถูกเขาเปิดโปงความคิด กำลังเสียหน้าจนหัวเสีย เขาไม่เก็บมาใส่ใจ อุทานต่อไปว่า “น่าเสียดายไข่มุกสกาวแม้งดงาม แต่ก็ต้องมีชีวิตรอดไปเสพรับ ได้ยินว่าวันนี้คุณชายสามสกุลหลูแค่หยอกเอินสาวใช้ข้างกายองค์หญิงเซิ่งหยวนประโยคสองประโยคก็ถูกนางเตะกระดูกหัก จุๆ อารมณ์ร้ายเช่นนี้ ต่อไปใครจะไปกล้าเป็นราชบุตรเขยของนาง”

กู้หมิงเค่อไม่ได้เปล่งเสียง สหายขุนนางชินแล้วจึงมองไปทางเวทีเพื่อชมการร่ายรำ มุมมองของพวกเขาตรงนี้เฉียงไปบ้าง ต้องชะโงกออกไปครึ่งตัวถึงจะเห็นทั่วเวทีได้ชัดเจน ชมดูไปครู่เดียวก็ได้ยินเสียงพูดของกู้หมิงเค่อแว่วมา “ไม่เคารพขุนนางที่ราชสำนักแต่งตั้ง พึงโบย ในฐานะผู้บัญชาการแม้นางใช้กำลังในวังส่งผลกระทบไม่ดีนัก แต่ก็ไม่มีสิ่งใดให้ติเตียน”

สหายขุนนางอึ้งงัน หันกลับมาอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ “รองตุลาการ ท่านว่าอันใดนะ”

“ไม่มีอันใด” กู้หมิงเค่อปรายมองมาอย่างแสนเรียบเย็น พาให้สหายขุนนางรู้สึกถึงไอหนาวที่แผ่ลามทั่วกายในพริบตา ขณะตระหนกกระวนกระวายอยู่นั้น ได้ยินกู้หมิงเค่อเอ่ยเสริมว่า “วิจารณ์พระญาติพระวงศ์เท่ากับลบหลู่เบื้องสูง หนนี้ข้าจะถือว่าไม่ได้ยิน ต่อไป…อย่าได้วิจารณ์เรื่องส่วนตัวขององค์หญิงอีก”

สหายขุนนางตกใจจนพูดไม่ออก รู้สึกโดยสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างแปลกๆ ทว่าเห็นใบหน้าด้านข้างที่แลดูสูงส่งเคร่งขรึมของรองตุลาการกู้ก็รู้สึกว่าตนเองกำลังเอาความคิดของคนต่ำทรามไปวัดจิตใจของวิญญูชน เขาเกามือแก้เก้อ คิดในใจว่าตนน่าจะคิดลึกไปเอง ตำหนิรองตุลาการกู้ผิดไปจึงยักไหล่อย่างห่อเหี่ยว ไม่เอ่ยถึงเรื่องของพวกองค์ชายองค์หญิงอีก ทอดสายตากลับไปที่เวทีดังเดิม

ระบำไจกูในศาลากลางน้ำดำเนินต่อไป เนื่องจากนี่เป็นระบำเซ่นไหว้ เสียงดนตรีจึงแปลกพิศวง ทั้งเหล่านักร่ายรำก็สวมหน้ากาก เห็นโฉมหน้าไม่ชัดเจน ดูคล้ายหุ่นกระบอกที่ทำท่วงท่าประหลาดต่างๆ ไปตามจังหวะกลอง ขณะชมระบำเทียนโฮ่วพลันถามอู๋อ๋องหลี่สวี่ว่า “อู๋อ๋อง เจ้ารู้สึกว่าระบำชุดนี้เป็นอย่างไร”

หลี่สวี่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เทียนโฮ่วจะเรียกเขา จึงนิ่งไปวูบหนึ่งก่อนตอบ “ระบำที่กองสังคีตฝึกแสดงย่อมยอดเยี่ยม”

เทียนโฮ่วคลี่ยิ้มเอ่ยอย่างเย็นใจ “ระบำชุดนี้มีชื่อว่าไจกู หมายถึงทำทานเซ่นไหว้ผีไร้ญาติวิญญาณเร่ร่อน ผีไร้ญาติต่างจากผีเรือนที่มีบุตรหลานชนรุ่นหลังคอยเซ่นไหว้ พวกเขาไม่อาจเสพรับควันธูป ได้แต่พเนจรขอส่วนบุญในโลกมนุษย์ ฝ่าบาททรงเวทนาที่พวกเขาน่าสงสารจึงทำการเซ่นไหว้หมู่แก่พวกเขา อย่างน้อยพวกเขาก็มีของเซ่นไหว้ให้กิน มานึกๆ ดูเซียวซูเฟยก็จากไปนานมากแล้ว หลายปีมานี้ไม่รู้ว่าอู๋อ๋องกับชายาได้เซ่นไหว้มารดาผู้ให้กำเนิดบ้างหรือไม่”

จบคำของเทียนโฮ่ว ในศาลาริมน้ำเงียบกริบทันตา หลี่สวี่กำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ก้มหน้าครู่หนึ่งค่อยเอ่ยอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ ‘เซียวซื่อ’ ใช้คุณไสยก่อกวนตำหนักใน ให้ร้ายผู้ภักดี เคราะห์ยังดีได้เทียนโฮ่วฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย ลูกแค้นเสียจนไม่อยากมีความเกี่ยวพันใดกับ ‘เซียวซื่อ’ มีหรือจะเผาของเซ่นไหว้ไปให้นาง”

เทียนโฮ่วอาฆาตแรงยิ่งยวด ภายหลังอดีตหวังฮองเฮากับเซียวซูเฟยถูกนางเอาชีวิต นางก็ยังคงไม่หายแค้น ยังเปลี่ยนแซ่ให้อดีตหวังฮองเฮาเป็น ‘หมั่ง-งูเหลือม’ เปลี่ยนแซ่ให้เซียวซูเฟยเป็น ‘เซียว-นกแสก’ หลี่สวี่ยอมรับชื่อเรียกดูหมิ่นมารดาบังเกิดเกล้าต่อหน้าผู้คน ทั้งบอกว่าไม่เคยเซ่นไหว้นาง การกระทำนี้ของเขากลับทำให้หลี่เจาเกอไม่รู้ว่าควรสะท้อนใจในความเหี้ยมของเทียนโฮ่วหรือของเขาดี

เพียงแต่…เรื่องนี้ทำให้เห็นพลังของเทียนโฮ่วที่สยบขวัญผู้คนได้อย่างชัดเจน ผู้คนเอ่ยถึงเทียนโฮ่วต่างรู้สึกหวาดกลัวกว่าเอ่ยถึงฮ่องเต้มาก

เทียนโฮ่วหัวเราะเบาๆ ไม่รู้ว่าน้ำเสียงแฝงความเศร้าหมองหรือความเสียดาย “อู๋อ๋องถึงกับไม่ได้เซ่นไหว้เซียวซูเฟยเชียวหรือ เช่นนี้ก็วุ่นวายแล้ว หลายปีมานี้อี้อันพำนักในวัง นอกจากวัยสิบห้าครั้งนั้น ต่อมาก็ไม่เคยได้เผากระดาษเงินกระดาษทองแก่เซียวซูเฟยอีก หากอู๋อ๋องก็ไม่ได้เผาให้ เซียวซูเฟยไยมิกลายเป็นวิญญาณอนาถาที่ไม่มีบุตรหลานเซ่นไหว้ เคราะห์ยังดีวังหลวงทำทานแก่ผีไร้ญาติทุกปี หาไม่…ถึงอย่างไรนางก็ปรนนิบัติฝ่าบาทมาช่วงเวลาหนึ่ง มีทั้งบุตรชายทั้งบุตรสาวแท้ๆ หากสุดท้ายลงเอยโดยไร้คนจุดธูปเซ่นไหว้ เช่นนั้นก็อเนจอนาถเกินไปแล้ว”

เทียนโฮ่วกล่าวจบ หลี่เจินก็หน้าถอดสี ปีที่หลี่เจินอายุสิบห้าทนคิดถึงมารดาไม่ไหวจึงลอบเผากระดาษเงินกระดาษทองให้มารดาโดยไม่สนใจคำสั่งห้าม จากนั้นไม่ทันไรนางก็ถูกกักบริเวณในเรือนเยี่ยถิง ไม่อาจหาโอกาสเซ่นไหว้ได้อีก จำต้องเลิกล้มด้วยความปวดใจ นางนึกไปเองว่าเรื่องนี้เป็นความลับ แท้ที่จริง…เทียนโฮ่วถึงกับล่วงรู้ทั้งหมด

ถึงขั้นบอกได้อย่างแม่นยำด้วยว่าเป็นปีใด

หลี่เจินริมฝีปากสิ้นสีเลือด พลันเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดไม่นานหลังจากนางลอบเผากระดาษเงินกระดาษทองให้มารดาจึงถูกกักตัวในเรือนเยี่ยถิง ที่แท้…เทียนโฮ่วล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง

หูตาของเทียนโฮ่วในตำหนักในช่างน่ากลัวถึงขั้นนี้

หลี่เจินรู้สึกพรั่นพรึง ขณะเดียวกันก็รันทดใจ พี่ชายเอ่ยจบ เทียนโฮ่วไม่ได้เอ่ยแย้ง เห็นชัดว่าพี่ชายไม่เคยเซ่นไหว้เลยจริงๆ นั่นคือมารดาแท้ๆ ของพวกตนเชียวนะ เห็นกันอยู่ว่ามีทั้งบุตรชายทั้งบุตรสาว กลับต้องลงเอยโดยไร้คนเซ่นไหว้ น่าสังเวชใจถึงเพียงใด

ยุคนี้ให้ความสำคัญกับการเซ่นไหว้ยิ่งยวด หากตายแล้วไม่มีใครจุดธูปเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ นั่นถือเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่ง ร้ายแรงกว่าฐานะสูญสิ้นเกียรติภูมิย่อยยับเสียอีก ผู้คนได้ยินถ้อยคำของหลี่สวี่ต่างลอบถอนใจโดยไร้เสียง เซียวซูเฟยชั่วดีอย่างไรก็เป็นสตรีตระกูลลือนาม ให้กำเนิดบุตรชายคนโตกับบุตรสาวคนโตแก่ฮ่องเต้ ขณะเป็นที่โปรดปรานสูงสุดยังกล่าวได้ว่าภัยคุกคามถึงตำแหน่งของหวังฮองเฮา ทว่าตอนนี้กลับตกอยู่ในสภาพวิญญาณอนาถา ชะตาชีวิตของคนเราชวนให้ทอดถอนใจโดยแท้

บรรยากาศของงานเลี้ยงราวถูกผนึกแข็ง ทูตถู่ปัวไม่เข้าใจเหตุการณ์ เพียงรู้สึกว่าสีหน้าของคนรอบข้างคล้ายผิดปกติ เทียนโฮ่วเอ่ยถึงเซียวซูเฟยต่อหน้าทูตต่างแคว้นไม่ใช่ความคิดชั่วแล่น หากแต่จงใจ นางปรบมือเป็นสัญญาณให้นางกำนัลอุ้มแมวตัวหนึ่งเข้ามา แมวหลีฮวา ตัวนั้นเพิ่งอายุได้สามเดือน เมื่อถูกเทียนโฮ่วหนีบคอจึงรู้จักแต่ร้องเมี้ยวๆ เสียงเบา

ในศาลาริมน้ำเงียบกริบชนิดเข็มหล่นสักเล่มก็ต้องได้ยิน ขณะนี้มีเพียงเสียงดนตรีเซ่นไหว้อันเก่าแก่และให้อารมณ์เวิ้งว้างดังมาจากเวที คนทั้งหมดมองไปทางเทียนโฮ่ว ไม่กล้าบุ่มบ่ามเคลื่อนไหว เทียนโฮ่วลูบขนบนแผ่นหลังของลูกแมว ลูกแมวคล้ายสัมผัสได้ถึงอันตรายจึงเกร็งสันหลัง เปล่งเสียงขู่คำรามในลำคอ

ทว่ามันยังฟันขึ้นไม่ครบด้วยซ้ำจะไปมีพลังข่มขู่อันใดได้ เทียนโฮ่วลูบสันหลังอันผอมบางของลูกแมวช้าๆ พลางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “เมื่อก่อนข้ารำคาญว่าแมวหนวกหู ไม่ชอบให้ในวังเลี้ยงแมว นานวันเข้าทุกคนจึงลืมไป หลงนึกว่าข้ากลัวแมว แค่เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้นมีอะไรน่ากลัวเล่า อู๋อ๋องเดินทางมาไกล ข้าไม่มีอะไรจะกำนัลให้ ขอมอบแมวตัวหนึ่งให้เจ้าแล้วกัน ได้ยินว่าก่อนเซียวซูเฟยจะเสียชีวิตเคยอธิษฐานให้ชาติหน้าเกิดมาเป็นแมว เจ้าต้องเลี้ยงแมวตัวนี้ให้ดีเชียว ไม่แน่ว่ามันอาจมีความเกี่ยวพันกับเจ้ามากก็เป็นได้”

ขาดคำเทียนโฮ่วก็คลี่ยิ้มหิ้วลูกแมวส่งให้นางกำนัล สั่งให้พวกนางมอบแก่อู๋อ๋อง นอกจากทูตถู่ปัวแล้วผู้คนในที่นี้ล้วนรู้แจ้งแก่ใจเกี่ยวกับคำสาปแช่งของเซียวซูเฟยก่อนจะเสียชีวิต แต่เทียนโฮ่วต้องการจะบอกคนทั้งหมดว่านางไม่กลัวคำโจษจันเหล่านั้นสักนิด ตอนมีชีวิตอยู่เซียวซูเฟยยังสู้นางไม่ได้ ตายแล้วกลายเป็นแมว คิดว่าจะเล่นลูกไม้แสร้งเป็นผีหรือไร

เห็นทีสุราในถังที่แช่เซียวซูเฟยยังไม่แรงพอ หลายปีป่านนี้จึงยังฝันเลื่อนลอยอยู่อีก

หลี่สวี่ถูกเทียนโฮ่วหยามหมิ่นต่อหน้าผู้คนมากปานนี้กลับไม่อาจพูดอันใดได้ ซ้ำยังต้องรับลูกแมวมาอย่างพินอบพิเทา “ลูกขอบพระทัยเทียนโฮ่ว”

เทียนโฮ่วยื่นมือออกไป นางกำนัลรีบคุกเข่าลงด้านข้าง ใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดนิ้วมือเทียนโฮ่วอย่างละเอียด เทียนโฮ่วมองไปทางหลี่เจินก่อนเอ่ยเนิบนาบ “เกือบลืมอี้อันไปเสียนี่ อี้อัน เจ้าอยากเลี้ยงแมวบ้างหรือไม่”

หลี่เจินหน้าเผือดสีจนขาวสนิท เพียรกลบเกลื่อนความชิงชังของตนไว้ ทว่าควบคุมไม่อยู่โดยสิ้นเชิง นางก้มหน้าลง ขบริมฝีปากตอบ “เทียนโฮ่วเพิ่งพระราชทานสมรสแก่ลูก ลูกยังปรับตัวกับชีวิตใหม่ไม่ได้ ไม่มีแรงใจจะเลี้ยงแมวเพคะ”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง” นิ้วมือเทียนโฮ่วเช็ดสะอาดแล้วค่อยชักมือคืนมาอย่างเย่อหยิ่ง “ไม่เป็นไร อู๋อ๋องอยู่ไกลถึงโซ่วโจว อี้อันกลับต้องรั้งอยู่ลั่วหยาง ต่อไปยังมีเวลาให้อี้อันเข้าวังมาอีกมาก หากอี้อันเปลี่ยนใจเมื่อไร จำไว้ให้บอกข้า ข้าจะเลือกแมวสายเลือดสูงส่งสักตัวให้เจ้าเองกับมือ”

หลี่สวี่กับหลี่เจินต่างก็สีหน้าย่ำแย่ยิ่ง เทียนโฮ่วกำลังข่มขู่พวกเขาอยู่ หลี่สวี่ไปต่างเมืองได้ หลี่เจินกลับต้องรั้งอยู่ในราชธานีตะวันออกตลอดไป หากหลี่สวี่กล้าทำอันใด เทียนโฮ่วก็จะถลกหนังดึงเส้นเอ็นของหลี่เจินออกมาทันที

ขณะเทียนโฮ่วสนทนากับหลี่สวี่และหลี่เจิน คนอื่นๆ ล้วนเงียบปานจักจั่นในวันหนาว แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่อยากจะสอดมือ สายตาของหลี่เจาเกอมองดูเวทีโดยตลอด ในใจกลับส่ายหน้าเบาๆ…ล่วงเกินเทียนโฮ่วเป็นเรื่องน่ากลัวจริงๆ กล่าวว่าอยู่มิสู้ตายก็ไม่เกินไปสักนิด

ยังดีหลี่เจาเกอเป็นบุตรีของเทียนโฮ่ว หากมาเกิดเป็นบุตรีของสนมชายาอื่น ตำแหน่งองค์หญิงนี่ไม่เป็นเสียก็ได้

หลี่ฉังเล่อกับหลี่ไหวต่างรู้สึกเช่นเดียวกันอย่างลึกซึ้ง ผิดกับรัชทายาทหลี่ซั่นที่เผยสีหน้าไม่อาจแข็งใจ ทว่านี่อยู่ในงานเลี้ยงเขาไม่เหมาะจะเอ่ยปากจึงได้แต่หลุบตาอำพรางสีหน้าไว้ ในใจยังคงรู้สึกว่ามารดากระทำโหดร้ายเหลือเกิน หลี่สวี่กับหลี่เจินไม่ได้ทำอันใดผิดเสียหน่อย ไยต้องดูหมิ่นพวกเขาเช่นนี้ เดิมทีหลี่ซั่นเจตนาดีจึงเสนอให้หลี่เจินออกเรือน ตอนนี้ดูแล้วไม่รู้ว่าช่วยเหลือนางหรือทำร้ายนางกันแน่

เหนือผิวน้ำได้ยินแต่เสียงดนตรีเซ่นไหว้สะท้อนก้อง นักร่ายรำเต้นกระโดดมาถึงแท่นเซ่นไหว้ จับคู่ระบำพัวพันกัน ท่วงท่าพิสดารกว่าเดิม ชั่วขณะนั้นผู้ชมทั้งในนอกศาลาหลักล้วนเงียบสนิท จับจ้องไปที่เวที ไม่มีใครดื่มสุราและไม่มีใครพูดจา ต้าก้งลุ่นไม่รู้ว่าเหตุใดคนฝ่ายฮ่องเต้ต้าถังจึงพลันไม่พูดจา ครั้นนึกถึงจุดประสงค์ที่เดินทางมาหนนี้ เขาก็เป็นฝ่ายชูจอกสุราเอ่ยกับฮ่องเต้ว่า “จั้นผู่เลื่อมใสในการวางตัวของฮ่องเต้ต้าถัง ยินดีน้อมตนเป็นเขย สู่ขอองค์หญิงต้าถัง หวังว่าจากนี้ไปแผ่นดินสองแคว้นจะเสมือนหนึ่งเดียว เป็นทองแผ่นเดียวกัน”

หัวหน้าคณะทูตถู่ปัวหนนี้ยังคงเป็นต้าก้งลุ่นเช่นเดียวกับหนก่อน ต้าก้งลุ่นในภาษาถู่ปัวหมายถึงเสนาบดีใหญ่ เทียบเท่ากับหัวหน้าของเหล่าเสนาบดีในราชสำนักต้าถัง หนนี้เขานำทองคำห้าพันตำลึงกับอัญมณีมากมายมาทำการสู่ขอแทนจั้นผู่เจ้าเหนือหัวของชาวถู่ปัว ประมุขแห่งแว่นแคว้นหนึ่งเป็นฝ่ายเสนอตนขอเป็นเขย ทว่าฮ่องเต้ต้าถังยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย “แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เป็นเรื่องใหญ่พัวพันวงกว้าง เอาไว้ค่อยมาหารือกัน”

ต้าถังเป็นแคว้นมหาอำนาจ ทุกปีมีแคว้นเล็กมาขอเข้าเฝ้ามากมาย จะสู่ขอองค์หญิงสกุลหลี่ไปง่ายๆ ได้อย่างไร อีกอย่างดูจากท่าทางของต้าก้งลุ่น หนนี้ฝ่ายถู่ปัวหมายจะขอแต่งกับองค์หญิงที่เป็นบุตรีฮ่องเต้ต้าถังจริงๆ เท่านั้น

แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์แม้แค่จากเป็น ทว่าก็ไม่ต่างอันใดกับจากตาย เมื่อใดองค์หญิงไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ นับแต่นั้นก็ต้องออกเรือนไปไกลถึงต่างแดน ทอดตาไร้ซึ่งญาติมิตร ความเป็นอยู่เทียบกับนครฉางอันนครลั่วหยางไม่ได้โดยสิ้นเชิง ซ้ำต้องสู้ทนความเหน็บหนาวและการโจมตีของพายุทรายทุกวี่วัน ฮ่องเต้มีบุตรีทั้งสิ้นเพียงสามคน พระองค์มีหรือจะยอมตอบรับเรื่องพรรค์นี้

เห็นฮ่องเต้มีท่าทีจะปฏิเสธ ต้าก้งลุ่นก็ยกมือหมายจะพูดต่อ เนื่องจากเหตุแทรกซ้อนเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ความสนใจของทุกคนที่นี่จึงไปรวมอยู่ที่ฮ่องเต้กับทูตถู่ปัว หลี่เจาเกอก็ไม่ยกเว้น รอจนนางปรายมองเวทีผ่านๆ ค่อยหน้าเปลี่ยนสีชักกระบี่ออกมาทันใด “ฝ่าบาท เทียนโฮ่ว ระวังเพคะ!”

เทียนโฮ่วกำลังฟังคำแปลจากล่ามของกองงานการทูต จู่ๆ ได้ยินด้านข้างมีคนตะโกนว่าระวัง นางเงยหน้าขึ้นโดยสัญชาตญาณและเห็นเงาดำสายหนึ่งพุ่งมาหานาง

นั่นคือแมวดำตัวหนึ่ง เส้นขนสีดำสนิท ดวงตาสีเขียวเข้ม กรงเล็บแหลมคม ไม่รู้เพราะเหตุใดนางถึงกับมองเห็นอารมณ์ของมนุษย์จากดวงตาแมวตัวนี้ได้

นั่นคืออารมณ์แค้นอันเข้มข้น นางสติล่องลอยไปพริบตาหนึ่ง นึกถึงตอนเซียวซูเฟยจะสิ้นใจก็ใช้แววตาเช่นนี้จับจ้องนางอย่างอาฆาตพยาบาท

เห็นอยู่ว่าความตายกรายมาถึงศีรษะแล้ว เซียวซูเฟยกลับยังเค้นเสียงที่แหบพร่าตวาดโหยหวน ‘อาอู่นางมารปลิ้นปล้อน ชั่วช้าจนถึงขั้นนี้! ขอให้ชาติหน้าข้าเกิดเป็นแมว อาอู่เป็นหนู ได้เค้นคอมันทั้งเป็น!’

เหล่านางกำนัลสองฟากร้องแตกตื่น ทุกแห่งระงมไปด้วยเสียงตะโกนคำว่า ‘ถวายอารักขา’ ทว่าแมวดำท่าร่างปานสายฟ้า ไม่มีใครขึ้นหน้าไปช่วยเทียนโฮ่วได้ทัน แมวดำเล็งเป้าตรงมายังลำคอของเทียนโฮ่ว แม้แต่เทียนโฮ่วก็นึกว่าตนจะต้องจบชีวิตตรงนี้แล้ว ทันใดนั้นเองสายลมหอบหนึ่งได้วาบผ่านเบื้องหน้าสายตา เห็นอาภรณ์ท่อนหนึ่งพลิ้วลงมา ท่วงท่าของหลี่เจาเกอแสนปราดเปรียวตรงข้ามกับชายกระโปรงที่ทิ้งตัวเนิบช้า นางชักกระบี่ธาราเร้นออกจากฝัก ขวางกระบี่ต้านรับกรงเล็บของแมวดำบังเกิดเสียงเคร้งสนั่นหนึ่งที

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่จวนองค์หญิงอี้อัน หลี่เจาเกอเคยถูกแมวดำตัวนี้ตะปบทำร้าย หลังเกิดเหตุนางส่งคนตามหามันอยู่นาน ทว่าจนแล้วจนรอดกลับไม่พบร่องรอยของมันเลย วันนี้นางพากำลังคนมาที่วังซั่งหยางก็เพราะหมายจะป้องกันมัน นึกไม่ถึงว่าตนคาดเดาไม่ผิด มันหลบซ่อนอยู่ในวังมาตลอดจริงเสียด้วย

ต่อให้หลี่เจาเกอพลิกราชธานีตะวันออกค้นหา แต่ใครจะกล้าตรวจค้นวังเล่า แมวดำหลบซ่อนอยู่ที่นี่ เจ้าเล่ห์เพทุบายโดยแท้

นางสกัดการจู่โจมที่มุ่งปลิดชีพ พละกำลังของมันไม่ใช่เล่นๆ จริงอยู่นางสกัดไม้ตายสังหารของมันไว้ได้ แต่แขนนางก็ถูกกระเทือนจนเจ็บแปลบ แขนขวาบริเวณที่ถูกตะปบบาดเจ็บคราวก่อนเริ่มปวดตุบๆ อีกครา

นางนึกว่าขับพิษปีศาจไปหมดแล้ว ตอนนี้เห็นทีว่าพิษชนิดนี้ไม่ได้เรียบง่ายเช่นนั้น

แมวดำโจมตีไม่สำเร็จจึงคำรามอย่างดุดันแล้วกระโจนเข้าสู่ความมืด วันนี้ฮ่องเต้นำพาผู้ร่วมงานมาชมระบำที่ริมน้ำ ไฟส่องสว่างไม่ทั่วถึง ซ้ำปีศาจแมวมีขนสีดำทั้งร่าง พื้นที่โดยรอบมองเห็นได้เพียงตะคุ่มๆ หาไม่พบจริงๆ ว่ามันไปซ่อนตัวอยู่ที่ใด

หลี่เจาเกอข่มทนความเจ็บปวดบนแขนขวา หมุนตัวกลับมาไถ่ถาม “เทียนโฮ่วเพคะ ไม่ทรงเป็นไรกระมัง”

เทียนโฮ่วพรูลมหายใจ ตอนนี้ค่อยรู้สึกขยาด ส่วนคนอื่นๆ ช้าไปครึ่งจังหวะกว่าจะตอบสนองได้ เพิ่งจะกรูกันมาตะโกนโหวกเหวกไม่หยุด “ถวายอารักขา มีผู้ลอบสังหาร รีบมาถวายอารักขา!”

สถานที่จัดเลี้ยงซึ่งเมื่อครู่ยังมีระบำดนตรีพลันโกลาหลไปทั่ว นักร่ายรำที่แสดงระบำอยู่ในศาลากลางน้ำเกาะกลุ่มกอดกันตัวสั่น บนพื้นมีชุดระบำสีเขียวชุดหนึ่งกับหน้ากากประดับรอยยิ้มพิกลอันหนึ่งตกอยู่

พวกนางไม่รู้เช่นกันว่าที่แท้เป็นเรื่องใด จู่ๆ พี่น้องที่ระบำอยู่ด้วยกันพลันกลายเป็นแมวตัวหนึ่ง โถมปราดไปทางศาลาริมน้ำ ซ้ำเป้าหมายยังมุ่งไปที่เทียนโฮ่ว ตอนนี้ทั่วศาลาริมน้ำมีแต่เสียงตะโกนคำว่าถวายอารักขา บางคนวุ่นกับการหนีภัย บางคนวุ่นกับการคุ้มกันฮ่องเต้ ทุกสิ่งทุกอย่างชุลมุนถึงขีดสุด ใครเล่ายังจะมีแก่ใจชมระบำอีก

หลี่ฉังเล่อโผไปถึงข้างกายเทียนโฮ่วด้วยความเป็นห่วง น้ำตาปริ่มคลอหน่วย “เสด็จแม่เพคะ ทรงไม่ได้รับบาดเจ็บกระมัง เมื่อครู่ลูกตกใจแทบตาย”

ยามนี้ต่อให้เป็นเทียนโฮ่วก็ยังหน้าซีดขาว นางส่ายศีรษะตอบว่า “ข้าไม่เป็นไร”

หลี่ไหวกับหลี่ซั่นรีบวิ่งมาไถ่ถามเช่นกัน หลี่ซั่นถูกความวิตกรุ่มร้อนจู่โจมใจ เพิ่งจะพูดจาก็ไอจนทนไม่ไหว หลี่ไหวกังวลจึงรีบสั่งการว่า “ที่นี่อันตราย คุ้มกันฝ่าบาทกับเทียนโฮ่วกลับวังหลวงจื่อเวยเร็วเข้า”

เหล่าองครักษ์รายล้อมฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วไว้ หลี่ไหวกับหลี่ฉังเล่อยืนอยู่กลางวงล้อมชั้นในสุดร่วมกับเทียนโฮ่ว ทางหนึ่งตะโกนให้ถวายอารักขา อีกทางหนึ่งดูแลรัชทายาท แลดูทั้งภักดีกตัญญูทั้งกล้าหาญ ทว่าหลี่เจาเกอกลับจากศาลาอันอึกทึกนั้นมาเงียบๆ ยืนอยู่ท่ามกลางความมืด ในมือกุมกระบี่ธาราเร้น เพ่งสมาธิฟังเสียงความเคลื่อนไหวรอบทิศ

นางสังหรณ์ใจว่าแมวดำตัวนั้นไม่ได้จากไป หากไม่กำจัดมันเสีย ส่งองครักษ์มากเท่าใดไปอารักขาฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วก็เปล่าประโยชน์

แมวดำเคลื่อนไหวไร้เสียง ซ้ำตอนนี้ด้านนอกหนวกหูยิ่งยวด เสียงฝีเท้ากับเสียงร้องแตกตื่นของผู้คนกลบความเคลื่อนไหวทุกสิ่ง นางจดจ่อสดับฟังก็ยังคงถูกขัดจังหวะอยู่ร่ำไป ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงบางอย่างได้จึงรีบใช้กระบี่จู่โจม แต่น่าเสียดายยังคงสายเกินการณ์ แมวดำอาศัยเสียงอื้ออึงกับความมืดมิดกำบังตัว เหินพุ่งออกมาราวภูตผี ตะปบกรงเล็บมายังแขนนางโดยไม่ไว้ไมตรี นางรู้ตัวว่าช้าไปหนึ่งก้าวจึงไม่หลบเสียเลย และพลิกมือโจมตีกลับไปโดยตรง

นางใช้วิธีต่อสู้แบบทำร้ายศัตรูหนึ่งพันบ่อนทำลายตนเองแปดร้อย แมวดำสัมผัสได้ว่าไอสังหารมาถึงแผ่นหลัง จำต้องถอยหลบ กรงเล็บจึงถากแขนของนางไป แม้ไม่อาจทำให้แขนนางพิการดังที่วางแผนไว้ แต่ก็ตะปบเป็นแผลบนตัวนางได้ ไป๋เชียนเฮ่อกับโม่หลินหลางวิ่งมาหมายจะช่วยเหลือ ทว่าในความมืดสายตาถูกจำกัด ประกอบกับแมวดำผลุบๆ โผล่ๆ จุดเด่นของคนทั้งสองไม่อาจสำแดงได้เลย ทำได้แต่ถอยหลบอย่างทุลักทุเล

หลี่เจาเกอกุมกระบี่แน่น เอ่ยเสียงเย็นว่า “ปีศาจแมวตนนี้ไม่ใช่ปีศาจธรรมดาทั่วไป พวกเจ้าช่วยข้าไม่ได้ รีบหนีไปเสีย”

ไม่ทันขาดคำแมวดำก็กระโจนมาหานางอีกครา สิ่งเดียวที่นางลอบยินดีคือแมวดำชิงชังนางมากกว่าไป๋เชียนเฮ่อกับโม่หลินหลาง ดังนั้นการโจมตีเกือบทั้งหมดจึงพุ่งเป้ามาที่นาง หากมันไปโจมตีสองคนนั้น เกรงว่าพวกเขาคงไม่มีปัญญาจะหลบพ้น

นางกลัวว่ามันจะทำร้ายผู้อื่นจึงเหินร่างขึ้นไปบนหลังคาของศาลาริมน้ำ ขณะนี้แสงไฟในศาลาดับเกินครึ่งค่อน จอกสุรากับโต๊ะสำรับถูกผู้คนเตะล้มเกลื่อนกลาดเต็มพื้น เมื่อยืนสูงบนชายคาก็ดึงระยะห่างจากโลกด้านล่างอันวุ่นวายได้ในพริบตา วันนี้เป็นวันที่สิบสี่ของเดือน จันทรากลมเกลี้ยงดวงหนึ่งแขวนตัวอยู่บนผืนฟ้า ริมศาลาคือระลอกน้ำไหวระยับ แสงสะท้อนบนผิวน้ำถักทอกับรัศมีจันทร์ฉายต้องใบหน้านาง แสงวับวาวที่สั่นไหวเล็กน้อยนั้นทำให้ใบหน้านางแลดูไม่จริงแท้ยากจะจับต้อง

ท่ามกลางแสงที่อ่อนจาง แว่วเสียงกระเบื้องขยับแผ่วเบามาจากบริเวณหนึ่ง หลี่เจาเกอไม่ลังเลสักนิด จู่โจมไปยังทิศทางนั้นทันที

แมวดำอาศัยสีรัตติกาลพรางตัว ได้เปรียบอย่างมาก นางประมือกับมันไปหลายกระบวนท่า หวิดจะถูกตะปบบาดเจ็บหลายหน ตอนนี้เองมีกระแสลมพัดมาระลอกหนึ่ง แสงสว่างที่ใต้ฝ่าเท้าจ้าขึ้นทันตา โคมบนผิวน้ำราวถูกบางสิ่งดึงดูด ถึงกับลอยขึ้นกลางอากาศ ลอยตัวสูงๆ ต่ำๆ อยู่ข้างชายคาที่นางสู้ศึกกับแมวดำ

สถานการณ์ที่ตกเป็นรองพลันพลิกผัน นางมองเห็นท่าร่างของแมวดำได้ถนัดชัดเจนแล้ว จึงพลิกมือควงกระบี่โจมตีใส่มันโดยไม่รั้งรอ

บทที่ 92 แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์

 ไกลออกไปเสียงเรียกถวายอารักขาของหลี่ไหวกับหลี่ฉังเล่อดังกังวานชัด ผู้คนต่างรีบวิ่งไปทางนั้น ไม่มีใครสังเกตว่าในความมืดกำลังเกิดการศึกที่อันตรายศึกหนึ่ง เผยจี้อันเองก็ล้อมช่วยอยู่ข้างกายฮ่องเต้ นึกว่าตนเองกำลังถวายอารักขา ครั้นหันไปพบว่าหลี่เจาเกอไม่อยู่ เขาก็ใจสั่นอย่างน่าประหลาด รีบสอบถามว่า “องค์หญิงเซิ่งหยวนเล่า”

ผู้คนออกันอยู่ในจุดที่มีแสงไฟสว่าง ด้านนอกมีทหารรายล้อมเป็นชั้นๆ บางคนร้องเรียกบางคนตะโกนสั่ง ยังจะมีผู้ใดจดจำหลี่เจาเกอได้ เขาหน้าขรึมลง เบียดฝ่าฝูงชนอย่างกินแรง หมายจะกลับไปค้นหานาง หลี่ฉังเล่อที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้เห็นเช่นนั้นจึงรีบตะโกนเสียงดัง “พี่เผย ท่านทำอะไรน่ะ”

จ่างซุนเหยียนดึงตัวญาติผู้น้องไว้ได้ในคราวเดียว ตวาดด้วยเสียงที่กดให้เบาลง “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ตอนนี้ทุกคนถวายอารักขาอยู่ที่นี่ หากเจ้าไม่อยู่ หลังจากนี้จะชี้แจงอย่างไร”

“แต่องค์หญิงเซิ่งหยวนหายไป…”

จ่างซุนเหยียนไม่อาจเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย มองอีกฝ่ายอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ “นางอยู่หรือไม่อยู่ เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย คู่หมั้นของเจ้าคือองค์หญิงก่วงหนิง!”

เผยจี้อันดึงดันจะไป แต่จ่างซุนเหยียนยุดไว้ไม่ปล่อย ขณะสองคนยื้อกันอยู่นั้น ศาลาริมน้ำที่ด้านหลังพลันเรืองแสงจ้า กระแสลมระลอกหนึ่งพัดมาพาให้ไส้เทียนซึ่งเดิมทีจะล้มแหล่มิล้มแหล่เปลี่ยนเป็นตั้งตรงในพริบตา โคมบนผิวทะเลสาบราวถูกบางสิ่งเรียกตัว พากันลอยขึ้นไปอยู่กลางอากาศช้าๆ

โคมลอยตัวสูงๆ ต่ำๆ อยู่เหนือศาลาริมน้ำหลังหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงเห็นได้ชัดเจนว่าบนหลังคามีหนึ่งสตรีหนึ่งแมวต่อสู้กันอยู่ เนื่องจากแสงเปลี่ยนเป็นสว่างไสว ท่าร่างของแมวดำจึงถูกเปิดโปงจนสิ้น ไม่เหลือความได้เปรียบอยู่อีก ไม่ช้าการศึกก็พลิกผัน แมวดำกระโจนใส่หลี่เจาเกอหลายครั้งแต่ล้วนถูกนางใช้กระบี่สกัดได้ หนึ่งสตรีหนึ่งแมวรบพัวพันอยู่บนหลังคา พื้นหลังมีจันทร์แจ่มดวงหนึ่งแขวนตัวสูงกับโคมสำหรับลอยน้ำขนาดใหญ่น้อยลอยตัวอยู่กลางอากาศ ภาพฉากนี้ดูแสนพิศวง ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกว่างดงามยากจะพรรณนา

ปีศาจแมวโก่งตัว ออกแรงพุ่งมาหาหลี่เจาเกออย่างฉับไว หลี่เจาเกอก็พลิกแพลงท่ากระบี่ คมอาวุธพลิกพลิ้วฉายสะท้อนแสงจันทร์อันเย็นเยือกออกมาลำหนึ่ง สองฝ่ายต่างจู่โจมกระบวนท่านี้สุดแรง ส่งผลให้แขนนางถูกตะปบหนึ่งที มันเองก็ถูกแทงอย่างจังหนึ่งกระบี่

ขณะนี้ฝูงชนที่เมื่อครู่ยังวุ่นอยู่กับการลี้ภัยล้วนแหงนหน้ามองหลังคาศาลา ลืมตอบสนองไปโดยสิ้นเชิง แม้แต่ฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วก็เหลียวมองอย่างห้ามไม่อยู่ หลี่เจาเกอกับแมวดำโฉบสลับที่กัน แมวดำร้องอย่างเจ็บปวด เปล่งเสียงกรอดๆ ในลำคอ ครูดกรงเล็บกับชายคา ดูท่าอยากจะแก้แค้น ทว่าโคมที่ลอยตัวอยู่รอบทิศส่องสว่างหลังคาจนไร้มุมอับ แมวดำสูญเสียข้อได้เปรียบในการพรางตัวได้แต่คำรามอย่างดุดัน ก่อนจะกระโดดลงจากชายคาหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

เดิมทีหลี่เจาเกอคิดจะไล่ตาม ทว่าเพิ่งขยับตัวความเจ็บปวดสาหัสก็แล่นมาจากแขนทำให้ฝีเท้านางชะงักไปพริบตาหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ นางฝืนข่มทน ตั้งใจว่าจะประคองตัวอีกสักพัก รอจนจับกุมแมวดำกลับมาได้ค่อยทำแผล ทว่าตอนนี้เองโคมที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศคล้ายสูญเสียแรงหนุน หล่นลงไปทีละดวง กระทบผิวทะเลสาบจนน้ำกระเซ็นดังซ่าๆ

เมื่อไม่มีแสงโคมฉายส่อง บนหลังคาก็คืนสู่ความมืดมิดอีกครั้ง นางจนถ้อยคำ รู้ว่าไล่ตามไปทั้งอย่างนี้ไม่สำเร็จแน่ จึงได้แต่กระโดดลงจากหลังคาอย่างเสียดาย นางเพิ่งลงสัมผัสพื้น ไป๋เชียนเฮ่อกับโม่หลินหลางก็รีบล้อมเข้ามาถามไถ่ “องค์หญิง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

“ไม่เป็นไรหรอก” หลี่เจาเกอขยับข้อมือ สอดกระบี่ธาราเร้นคืนฝักดังฉับ ท่าทางของนางดูเป็นปกติ โม่หลินหลางจำได้ว่าเมื่อครู่เห็นแมวดำตะปบหลี่เจาเกอหนึ่งที จึงถามอย่างเร่งร้อน “องค์หญิง ท่านบาดเจ็บหรือไม่ อาการหนักหนาหรือไม่”

หลี่เจาเกอส่ายศีรษะตอบเรียบๆ “แผลแมวข่วนเท่านั้น ไม่กี่วันก็หายแล้ว ฝ่าบาทกับเทียนโฮ่วทรงรออยู่ด้านหน้า ไปถวายรายงานกันก่อนเถิด”

เมื่อครู่ฮ่องเต้ถูกผู้ลอบสังหารทำให้เสียขวัญ รีบร้อนจะกลับวังหลวง ทว่ารอจนเห็นการศึกระหว่างหลี่เจาเกอกับแมวดำ พระองค์กลับรู้สึกอย่างน่าประหลาดว่าตนเองปลอดภัยแล้ว พลันไม่รีบร้อนจะจากไปอีก พระองค์มองไปหานางพลางถาม “เจาเกอ แมวดำตัวนั้นเล่า”

“หนีไปแล้วเพคะ” หลี่เจาเกอน้ำเสียงเยือกเย็น “แต่มันถูกลูกแทงบาดเจ็บ รอจนฟ้าสางตามรอยเลือดไปก็จะจับมันได้ในไม่ช้า”

ฮ่องเต้พรูลมหายใจยาว นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ได้เห็นเมื่อครู่จึงถามอีกว่า “ตัวเจ้าได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่”

“ไม่เพคะ” หลี่เจาเกอตอบหน้าไม่เปลี่ยนสี เพิ่งขาดคำข้างกายก็พลันมีคนผู้หนึ่งใช้พัดเคาะแขนนาง เขาเคาะหนนี้ถูกแผลนางพอดิบพอดี ทำให้หว่างคิ้วนางเต้นตุบ กลั้นไม่อยู่เผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา

หลี่เจาเกอมองไปด้านข้างแล้วด่าอย่างเหลืออด “ท่านสติมีปัญหาหรือไร”

ไม่รู้กู้หมิงเค่อมาปรากฏตัวข้างกายนางตั้งแต่เมื่อใด ในมือเขาถือพัดจีบ ปรายตามองนางอย่างใจเย็น “ไหนท่านบอกว่าไม่บาดเจ็บ”

หลี่เจาเกอฝืนข่มใจ ตอบไปว่า “แผลแมวข่วนเท่านั้น ไม่นับว่าบาดเจ็บเสียหน่อย หรือท่านถูกแมวข่วนหนึ่งทีก็ต้องเรียกหมอหลวงด้วย”

กู้หมิงเค่อใช้พัดจีบเคาะบริเวณใกล้หัวไหล่นางโดยไม่พูดพร่ำ นี่คือตำแหน่งที่นางถูกแมวดำตะปบคราวก่อน นางรีบหลบ ทว่ายังคงถูกเขาเคาะอย่างถนัดถนี่ ไม่รู้เขาใช้ลูกไม้อันใด เคาะเจ็บยิ่งยวด นางร้องซี้ดอย่างห้ามไม่อยู่ คิดจะชักกระบี่สู้กับเขาให้ตายกันไปข้างหนึ่งเดี๋ยวนั้นเลย ไป๋เชียนเฮ่อเห็นท่าจะไม่ดี รีบยุดหลี่เจาเกอไว้ “องค์หญิง ใจเย็นก่อน! รองตุลาการกู้หวังดีต่อท่านนะ”

ต่อให้ไป๋เชียนเฮ่อด้อยความรู้ก็เดาออกว่าเมื่อแรกสุดนางฝืนสู้กับปีศาจแมวในความมืด ต่อมาโคมบนผิวทะเลสาบพลันลอยขึ้นกลางอากาศถึงค่อยพลิกสถานการณ์ศึกได้ หากโคมเหล่านี้เป็นฝีมือของนาง เมื่อแรกนางก็ไม่จำเป็นต้องยอมเสียเปรียบ ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าการลอยขึ้นของโคมนางไม่ได้เป็นผู้ทำ

ไม่ใช่นาง เช่นนั้นก็เป็นกู้หมิงเค่อได้เท่านั้น ไป๋เชียนเฮ่อไม่มีหลักฐาน ทว่าเขากริ่งเกรงกู้หมิงเค่ออย่างบอกไม่ถูก

เขารู้สึกอยู่ตลอดว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา

เขายับยั้งหลี่เจาเกอที่กำลังจะบันดาลโทสะ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดพลันรู้สึกว่ามีไอหนาวยะเยือกวาบผ่านมือของตน เขาคลายมือที่ยุดนางไว้ออกโดยจิตใต้สำนึก ยังดีนางใจเย็นลงแล้ว ไม่คิดจะแลกชีวิตกับกู้หมิงเค่ออีก เขาเงยหน้ากวาดมองแวบหนึ่ง เห็นฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วถูกผู้คนห้อมล้อม องครักษ์เคร่งเครียดราวประจันหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจ นางกำนัลเนื้อตัวสั่นเทา กู้หมิงเค่อลดแขนเสื้อยืนอยู่อีกด้าน สีหน้าสงบนิ่ง ท่วงทีภูมิฐาน มองไม่ออกถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์

คล้ายไอหนาวยะเยือกที่ตนสัมผัสได้เมื่อครู่นี้เป็นเพียงความรู้สึกลวง ไป๋เชียนเฮ่อคิดในใจว่าแปลกแท้ จากนั้นก็เอามือทบซ้อนกัน สวมบทเป็นขันทีผู้หนึ่ง หดตัวกลับไปอยู่ด้านหลังหลี่เจาเกอดังเดิม

ในใจฮ่องเต้ยุ่งเหยิงอยู่บ้าง มีหรือพระองค์จะมองไม่ออกว่าไป๋เชียนเฮ่อไม่ใช่ขันที เมื่อครู่ไป๋เชียนเฮ่อใช้มือยุดหลี่เจาเกอไว้ พระองค์ไม่ติดใจ กลับกันกู้หมิงเค่อเคาะนางสองครั้งนั้น พระองค์รู้สึกว่าร้ายแรงกว่า

หลี่เจาเกอไม่ชอบให้ผู้อื่นเข้าใกล้มากเกินไป บางครั้งแตะถูกนาง นางก็ยังหลบ ได้ยินว่ากู้หมิงเค่อเองก็มีอุปนิสัยเฉยเมย ไม่ชอบเสียงอึกทึกไม่ชอบความวุ่นวาย ทว่าเมื่อครู่…พอนางบอกว่าตนเองไม่บาดเจ็บ เขากลับใช้พัดเปิดโปงนางโดยตรง ซ้ำนางก็ไม่ได้หลบ นี่เป็นอาการตอบสนองโดยสัญชาตญาณ ไม่อาจแสร้งทำได้

ไป๋เชียนเฮ่อแม้ยื่นมือดึงนางไว้ ทว่านี่เป็นการประสานงานกันระหว่างสหายร่วมกลุ่ม ไม่ใช่สัมผัสระหว่างชายหญิง ผิดกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างกู้หมิงเค่อกับนางที่ดูมีปัญหาอย่างมาก

จำนวนครั้งที่พระองค์ได้เห็นกู้หมิงเค่อพร้อมกับนางไม่บ่อยนัก ทว่าทุกครั้งที่ได้เห็น ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ล้วนรุดหน้ากว่าครั้งก่อนมาก พระองค์อดขมวดคิ้วไม่ได้ หรือ…หัวใจนางหวั่นไหวแล้วจริงๆ

แม้แต่ฮ่องเต้ยังมองออก เทียนโฮ่วจะมองพลาดได้อย่างไร คิ้วตาของเทียนโฮ่วซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางแสงไฟวูบไหว ขณะกล่าววาจาจึงไม่อาจมองสีหน้าออก “เอาล่ะ วันนี้วุ่นวายพักใหญ่ ฝ่าบาทกับรัชทายาทเหนื่อยแล้ว กลับกันเถิด เจาเกอ”

หลี่เจาเกอรีบประสานมือขานตอบ “ลูกอยู่นี่เพคะ”

“ปีศาจแมวชั้นต่ำนั่นถึงกับกล้าก่อกวนในงานเลี้ยง เรื่องปีศาจแมวขอมอบอำนาจเต็มแก่เจ้า หลายวันนี้องครักษ์กับทหารหลวงทั้งสิบหกหน่วยสุดแต่เจ้าจะใช้สอย จงสังหารปีศาจแมวให้ได้โดยเร็ว”

หลี่เจาเกอรับคำสั่งโดยไม่อิดออด “ลูกรับพระราชเสาวนีย์ จะไม่ทำให้ฝ่าบาทกับเทียนโฮ่วทรงผิดหวังแน่นอน”

เทียนโฮ่วมอบองครักษ์ประตูวังกับทหารหลวงไว้ในมือหลี่เจาเกอทั้งหมด ขุนนางหลายคนหน้าเปลี่ยนสีทันที นับแต่โบราณมาในมือผู้ใดคุมประตูวัง ผู้นั้นก็คือผู้ชนะในศึกยึดอำนาจการปกครอง เทียนโฮ่วถึงกับมอบกำลังทหารสองกลุ่มใหญ่ไว้ในมือหลี่เจาเกอผู้เดียว ถอยหลังสามารถควบคุมวังหลวง รุกหน้าสามารถออกจากเมืองฆ่าศัตรู อำนาจนี้ใหญ่โตเกินไปจริงๆ

ต่อให้เป็นรัชทายาทก็ไม่เคยกุมอำนาจทหารมากเท่านี้ เทียนโฮ่วไว้ใจให้ท้ายองค์หญิงเซิ่งหยวนเกินเหตุเกินการไปแล้ว

หลายปีที่ผ่านมาขุนนางใหญ่ชนชั้นสูงล้วนเกี่ยวดองกัน ความสัมพันธ์หยั่งรากซับซ้อนแต่แรก ในเจ้ามีข้า ในข้ามีเจ้า ขณะนี้เหล่าขุนนางต่างลอบมองไปทางผู้สืบทอดที่ตรงใจตน ในความเงียบบังเกิดคลื่นใต้น้ำซัดโหม

ฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วล้วนได้รับความตื่นตระหนก ถูกผู้คนคุ้มกันกลับไปพักที่วังหลวงจื่อเวย หลี่เจาเกอกับองค์ชายองค์หญิงที่เหลือส่งฮ่องเต้และเทียนโฮ่วจนถึงตำหนักเหวินเฉิง ฮ่องเต้นั่งพิงบนตั่ง นางกำนัลนำผ้าห่อน้ำแข็งมาประคบหน้าผากฮ่องเต้บรรเทาความปวด เทียนโฮ่วนั่งลงข้างตั่ง มองท่าทางของฮ่องเต้แล้วมุ่นคิ้วแน่น “ฝ่าบาท ต้องตามหมอหลวงมาหรือไม่”

ฮ่องเต้หลับตาอย่างอ่อนล้า โบกมืออย่างอ่อนแรง “ไม่ต้องหรอก หมอหลวงไปๆ มาๆ ล้วนพูดแบบเดิมนั่น เราฟังจนเบื่อเต็มที ฝังเข็ม รมยา ดื่มยา ล้วนเคยลองแล้ว ไม่ได้ผลเลยสักอย่าง สุดท้ายยังคงต้องฝืนอดทนไป เราเหนื่อย ให้เราพักผ่อนสงบๆ สักครู่เถิด”

เทียนโฮ่วรับคำ รัชทายาทสองสามีภรรยา หลี่เจาเกอ หลี่ไหว และหลี่ฉังเล่อยืนอยู่ในโถงตำหนัก สีหน้าหนักอึ้ง หลี่สวี่กับหลี่เจินสองพี่น้องยังไม่จากไป ขณะนี้ต่างมองฮ่องเต้ด้วยความกังวล ถัดออกไปด้านนอกก็มีขุนนางใกล้ชิดยืนอยู่อีกหลายคน

ฮ่องเต้ได้เอนนอนสักพัก รู้สึกว่าความเจ็บปวดในศีรษะพอจะทุเลาแล้วจึงกล่าวว่า “วันนี้สีท้องฟ้าค่ำมืดมากแล้ว ในเมืองยังมีปีศาจแมวอาละวาด พวกเจ้าออกจากวังไม่ปลอดภัย วันนี้รั้งอยู่ในวังทุกคนเถิด”

นอกจากรัชทายาทกับหลี่ฉังเล่อ พวกหลี่เจาเกอล้วนมีจวนอยู่นอกวัง ปกติไม่พำนักในวังหลวง แต่เมื่อฮ่องเต้ลั่นวาจา พวกเขาเหล่าบุตรธิดาไม่พึงโต้แย้งจึงพากันขานรับ “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

หลี่เจาเกอไม่เห็นแย้งในเรื่องนี้ ถึงอย่างไรคืนนี้นางก็ต้องค้นหาปีศาจแมว คงไม่ได้นอนอยู่แล้ว อยู่ที่ใดก็เหมือนกัน

ในวังหลวงมีที่ทางมากมาย พำนักกี่คนล้วนไม่เป็นปัญหา เพียงแต่การจัดเตรียมตำหนักให้องค์ชายองค์หญิงมากมายกะทันหัน ซ้ำในจำนวนนี้มีสามีภรรยาหลายคู่ ยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก ฮ่องเต้ไม่สบายถือเป็นโอกาสงามที่จะแสดงความกตัญญู หลี่สวี่กับหลี่ไหวต่างบอกว่าคืนนี้จะอยู่เฝ้าพระอาการ เดิมนี่ควรเป็นหน้าที่ของรัชทายาท ทว่ารัชทายาทเพิ่งจะเอ่ยปากก็กลั้นไอไม่อยู่ ฮ่องเต้ฟังแล้วอึดอัดใจจึงกล่าวว่า “เราทางนี้มีเทียนโฮ่วดูแล ไม่จำเป็นต้องให้พวกเจ้าอยู่ พวกเจ้าล้วนแยกย้ายไปเถิด รัชทายาทร่างกายอ่อนแอ ไม่อาจตรากตรำ ชายารัชทายาทเจ้ากลับไปแล้วดูแลเขาให้ดี อย่าให้เขาป่วยไข้”

ชายารัชทายาทรีบขานรับ ในใจนางเสียดายอยู่บ้าง ฮ่องเต้ไม่สบาย เดิมทีนี่เป็นโอกาสงามที่จะสร้างชื่อเสียงด้านความกตัญญู แต่ช่วยไม่ได้ที่ร่างกายของรัชทายาทไม่เอาไหน ยังดีฮ่องเต้ไม่ได้ให้รัชทายาทอยู่เฝ้าและก็ไม่ได้รั้งให้ผู้อื่นอยู่แทน ไม่มีใครเก็บได้ผลประโยชน์ก็นับว่าเสมอกัน

บางทีอาจไม่เสมอกันหรอก จริงอยู่องค์ชายทั้งสามไม่มีใครเก็บได้ผลประโยชน์ ทว่าหลี่เจาเกอกลับได้อำนาจทหาร หากหลี่เจาเกอไม่ใช่สตรี ชายารัชทายาทคงจะสงสัยว่าอีกฝ่ายก็หมายชิงชัยในบัลลังก์นี้

ฮ่องเต้ออกคำสั่งไล่แขกแล้ว รัชทายาทจึงนำองค์ชายองค์หญิงที่เหลือทูลลาอย่างระมัดระวัง ครั้นออกจากประตูตำหนัก หลี่เจาเกอก็ประสานมือให้พี่น้องคนอื่นๆ “พวกท่านค่อยๆ เดิน ข้ายังต้องไปค้นหาปีศาจแมว ไม่ร่วมทางกับพวกท่าน ขอปลีกตัวไปก่อน”

รัชทายาทกับอู๋อ๋องย่อมจำได้ว่าเทียนโฮ่วมอบองครักษ์กับทหารหลวงแก่หลี่เจาเกอ ซึ่งฮ่องเต้ก็อนุญาตโดยนัยแล้ว ขณะนี้พวกเขาสองคนมองดูน้องสาวที่คึกคักกระฉับกระเฉง ความรู้สึกในใจพวกเขาให้ซับซ้อนยิ่งนัก

รัชทายาทไอสองสามที ก่อนตอบหลี่เจาเกอเสียงเบา “ลำบากน้องหญิงรองแล้ว พี่ชายคนนี้ไม่อาจค้ำจุนส่วนรวม ซ้ำต้องอาศัยน้องสาวปกป้อง ละอายใจจริงๆ”

หลี่เจาเกอยิ้มกล่าว “รัชทายาทเป็นรากฐานของแคว้น ไม่อาจให้เหตุพลาดพลั้งแม้น้อยนิดเกิดขึ้นกับท่าน งานหยาบอย่างการฆ่าฟันมอบให้ข้าทำเป็นอันใช้ได้ รัชทายาทมุ่งบริหารบ้านเมืองอย่างเดียวก็เพียงพอ”

องค์ชายทั้งสามได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ก็แย้มยิ้มด้วยสีหน้าที่ต่างกันไป

จบคำหลี่เจาเกอแยกทางกับคนที่เหลือรุดไปที่ประตูวังเพื่อโยกย้ายทหารและจัดกำลังลาดตระเวน โม่หลินหลางกับไป๋เชียนเฮ่อรออยู่หน้าประตูวัง พอเห็นหลี่เจาเกอ โม่หลินหลางก็รีบเดินตรงไปเอ่ยเสียงเบา “องค์หญิง ก่อนที่รองตุลาการกู้จะออกจากวังบอกข้าไว้ว่าคืนนี้ปีศาจแมวจะไม่ปรากฏตัวอีก องค์หญิงไม่จำเป็นต้องอดนอน กลับไปรักษาอาการบาดเจ็บก็พอ”

หลี่เจาเกอคิดในใจ…เขาถือสิทธิ์อะไรบอกให้ข้ากลับไปข้าก็ต้องกลับไป นางเอ่ยหน้าไม่เปลี่ยนสี “ไม่ต้องสนใจเขา ลาดตระเวนค้นหาแมวดำก่อน”

โม่หลินหลางยังจะโน้มน้าวต่อ ไป๋เชียนเฮ่อกลับดึงนางไว้แล้วแอบส่ายหน้า

ฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วสั่งให้หลี่เจาเกอจับกุมปีศาจแมว หลี่เจาเกอย่อมไม่อาจตรงกลับไปนอนสบายโดยไม่ทำอันใดเลย ต่อให้คืนนี้ปีศาจแมวไม่ปรากฏตัวอีกจริงๆ นางก็ต้องค้นหาให้พอเป็นพิธี

จริงดังที่คาดไว้ หลังจากหลี่เจาเกอลาดตระเวนไปเกือบหนึ่งรอบก็ทำทีกลับวังไปพักผ่อนอย่างเสียไม่ได้ ตำหนักบรรทมของนางยังคงเป็นตำหนักเต๋อชาง นางไปเปลี่ยนเสื้อแช่ชำระกายอย่างคุ้นเคยสถานที่ จากนั้นก็สั่งให้นางกำนัลออกไป ตนเองไปนั่งบนตั่งเริ่มเยียวยาอาการ

วันนี้นางกลับมาตำหนักไม่ใช่เพื่อนอนพัก ยิ่งไม่ใช่เพราะถ้อยคำที่กู้หมิงเค่อฝากไว้ หากแต่เพื่อจะขับพิษ

เดิมนางนึกว่าคราวก่อนจัดการพิษของปีศาจแมวเรียบร้อยแล้ว ไม่คาดว่าพิษชนิดนี้ดื้อด้านกว่าที่นางคิดไว้มาก ดูคล้ายพิษถูกขจัด แต่ทันทีที่โคจรปราณแท้พิษกลับกำเริบขึ้นมาอีก

ในใจหลี่เจาเกออดสงสัยไม่ได้ นี่คือพิษอันใดกันแน่ ปีศาจแมวธรรมดาหากไม่มีเวลาสักร้อยสักพันปีจะฝึกปรือจนมีพิษปีศาจที่ร้ายกาจเช่นนี้ได้จริงๆ น่ะหรือ

เดิมทีนางนึกว่าต้องสิ้นเปลืองเวลาไม่น้อย น่าแปลกตอนที่นางโคจรปราณแท้กลับค้นพบว่าในเส้นลมปราณโปร่งโล่งไม่มีติดขัด พิษปีศาจที่ตกค้างอยู่ก่อนหน้านี้ก็สลายไปเกินครึ่งค่อน ทีแรกนางประมาณไว้ว่าต้องใช้เวลาสามชั่วยาม ทว่าตอนนี้ไม่ถึงครึ่งเค่อนางก็วางมือลงได้ จึงประหลาดใจอย่างยิ่ง

พิษในตัวนางเล่า ใครกันขจัดให้นาง

นางขบคิดร้อยตลบก็ยังขบไม่แตก เนื่องจากเวลาขับพิษหดสั้นลงอย่างมากทำให้นางมีเวลาเพิ่มมามากมาย นางมองสีรัตติกาลที่เบื้องนอก ไม่มีอันใดให้ทำจึงได้แต่เข้านอน

ไม่รู้เพราะเหตุใดการนอนหนนี้จึงหลับได้สนิทเป็นพิเศษ ในห้วงฝันคล้ายมีกระเรียนเซียนกู่ร้องยาว มีภูเขาเมฆทะเลหมอก นางเดินอยู่ท่ามกลางหมอกขาวสุดลูกหูลูกตา ทุกลมหายใจล้วนได้ปราณวิเศษอันหมดจดชะล้าง จวบจนรู้สึกตัวตื่น ความรู้สึกกระจ่างหมดจดชนิดนั้นก็ยังคงตกค้างอยู่ในร่างกาย

นางลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ กำลังคิดจะไปเข้าประชุมขุนนาง นางกำนัลผู้ส่งสารก็วิ่งมายอบกายกล่าว “ทูลองค์หญิงเซิ่งหยวน เทียนโฮ่วมีพระราชเสาวนีย์ วันนี้ฝ่าบาทประชวร ยกเลิกการประชุมเช้าเพคะ”

วันที่สิบสี่เดือนเจ็ด ฮ่องเต้จัดเลี้ยงต้อนรับคณะทูตถู่ปัวที่วังซั่งหยาง ไม่นึกว่าจะเผชิญกับปีศาจแมว ฮ่องเต้ได้รับความตื่นตระหนก ต้องนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงจึงให้หยุดประชุมขุนนางสามวัน

ภายในเขตวังชั้นนอก ผู้คนถกเรื่องอาการป่วยของฮ่องเต้กันไปต่างๆ นานา สุขภาพของพระองค์ทรุดโทรมเด่นชัดขึ้นทุกที เมื่อปีกลายพระองค์ยังพยายามกลบเกลื่อนได้ บัดนี้แม้แต่เรี่ยวแรงจะกลบเกลื่อนก็ไม่มีแล้ว ทุกคนรู้แจ้งแก่ใจ ราชอำนาจกำลังจะเปลี่ยนมือในไม่ช้า

 

ภายในตำหนักบูรพา หลี่ซั่นดื่มยาหมดถ้วยแล้วยื่นส่งให้ชายารัชทายาท ขันทีที่คอยอยู่อีกด้านหนึ่งรีบยกน้ำเดินขึ้นหน้ามาให้รัชทายาทล้างมือ

ผู้ช่วยพระอาจารย์รัชทายาทถามว่า “กระหม่อมไม่ได้มาเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทเสียนาน พักนี้พระพลานามัยดีขึ้นบ้างหรือไม่”

หลี่ซั่นอมพุทราเคลือบน้ำผึ้งลูกหนึ่ง ข่มรสขมที่ติดปลายลิ้น เมื่อได้ยินคำถามนี้จึงตอบปนยิ้มขื่น “ยังเหมือนเก่านั่นล่ะ รบกวนให้ท่านต้องเป็นห่วงข้า เสียแรงข้าได้เสนาบดีที่เก่งกาจสอนสั่ง กลับไม่มีความสามารถจัดการงานบ้านเมือง ละอายใจต่อพระอาจารย์ทุกท่านโดยแท้”

ยุคนี้ตำแหน่งไท่ฟู่ ไท่ซือ และไท่เป่าถูกเรียกรวมว่าสามพระอาจารย์ ตำแหน่งเซ่าฟู่ เซ่าซือ และเซ่าเป่าเป็นตำแหน่งผู้ช่วย ถูกเรียกรวมว่าสามผู้ช่วยพระอาจารย์ ล้วนมีหน้าที่สอนชี้แนะรัชทายาท ต่อมาสามพระอาจารย์และสามผู้ช่วยพระอาจารย์ค่อยๆ กลายมาเป็นตำแหน่งลอย หลี่ซั่นถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาทมาช้านาน ต่อให้สามพระอาจารย์ไม่เคยมาสอนรัชทายาทจริง อย่างไรเสียหลายปีมานี้ก็สั่งสมไมตรีในหมู่ขุนนางร่วมราชสำนักไว้ให้รัชทายาทจำนวนหนึ่ง

หลี่ซั่นซื่อตรงจิตใจดี ให้เกียรติผู้มีความสามารถ ฮ่องเต้ไม่ชอบที่หลี่ซั่นอ่อนแอไม่เด็ดขาด แต่ขุนนางเก่าแก่หลายคนกลับชอบอุปนิสัยเช่นนี้ของเขามาก ในบรรดาขุนนางเก่าแก่เหล่านี้พระอาจารย์เฉาและผู้ช่วยพระอาจารย์สวีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหลี่ซั่นมากที่สุด เข้าออกตำหนักบูรพาเป็นประจำ หลี่ซั่นถามว่า “ปีนี้ข้าป่วยซ้ำซาก ออกจากวังน้อยครั้งยิ่ง ไม่รู้พระอาจารย์เฉาสุขภาพเป็นเช่นไร ขาที่บาดเจ็บฟื้นตัวแล้วใช่หรือไม่”

เมื่อปีกลายตอนผีฝูจีอาละวาด บุตรหลานสกุลเฉาอกตัญญูนำผีร้ายกลับเข้าจวน ทีแรกโรคเก่าของพระอาจารย์เฉาหายเป็นปลิดทิ้งในวันเดียวอย่างน่าประหลาด พระอาจารย์เฉาดีใจออกไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ ไม่คาดว่าจะหกล้มขาหัก คนหนุ่มสาวหกล้มขาหัก เอนนอนไม่กี่เดือนก็หายได้ ทว่าพระอาจารย์เฉาสูงวัยแล้ว อายุปูนนี้หกล้มขาหักไม่ใช่ข่าวดีเลยจริงๆ

ผู้ช่วยพระอาจารย์สวีเผยสีหน้าสะท้อนใจ ไม่บอกรายละเอียด เพียงตอบผ่านๆ “พระอาจารย์เฉาสงบใจพักฟื้นอยู่ในจวน คราวก่อนกระหม่อมไปเยี่ยมเขา เขาบอกว่าชีวิตนี้ได้ถวายการสอนองค์รัชทายาท ไม่มีความเสียดายใดแล้ว เพียงแต่วางใจเรื่องท่านไม่ลง ท่านจะผิดต่อความคาดหวังของพระอาจารย์เฉาไม่ได้เชียว ต้องหายดีให้ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่ซั่นเห็นอีกฝ่ายเลี่ยงไม่เอ่ยลงลึก ในใจก็พอจะรู้อาการของพระอาจารย์เฉาแล้ว พระอาจารย์เฉาเคยมีบุญคุณสอนสั่งเขามาจริง เขาจึงรู้สึกเศร้าใจอย่างยิ่ง เอ่ยปนสะอื้น “ได้เป็นศิษย์ของท่านเฉาก็เป็นความโชคดีของข้าเช่นกัน”

หลี่ซั่นกล่าวจบ อารมณ์ดิ่งฮวบ เนิ่นนานไม่อาจทำใจได้ ผู้ช่วยพระอาจารย์สวีเห็นหลี่ซั่นอารมณ์เปราะบางเพียงนี้ก็อดลอบถอนใจไม่ได้

จริงอยู่รัชทายาทหลี่ซั่นเป็นคนจริงใจมีเมตตา ทว่าอารมณ์เปราะบางเกินไป อุปนิสัยเช่นนี้ไม่เป็นที่ชื่นชอบของฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วก็ไม่แปลก

ผู้ช่วยพระอาจารย์สวีพลันเปลี่ยนน้ำเสียง เอ่ยกระซิบว่า “องค์รัชทายาท กระหม่อมมีบางคำพูดอยากทูลตามลำพัง ทรงให้คนรอบข้างออกไปก่อนได้หรือไม่”

หลี่ซั่นเห็นสีหน้าอีกฝ่ายจริงจัง คาดเดาได้ว่ามีเรื่องสำคัญบางอย่างจะกล่าว จึงแสดงท่าทีให้บ่าวรับใช้ทั้งหมดออกไป ชายารัชทายาทมองซ้ายขวา คิดจะออกไปเช่นกัน แต่ถูกหลี่ซั่นยับยั้งไว้ “ชายารัชทายาทไม่ใช่คนนอก ท่านสวีพูดตามตรงได้อย่างเต็มที่”

เมื่อขึ้นนั่งตำแหน่งชายารัชทายาท นางย่อมมีส่วนได้ส่วนเสียร่วมกับตำหนักบูรพา แม้แต่คนทั้งตระกูลของนางก็ผูกโยงกับรัชทายาทอย่างลึกซึ้ง ขอเพียงนางเป็นผู้มีสมองปกติจะไม่คิดคดเป็นอันขาด ผู้ช่วยพระอาจารย์สวีไม่ได้เห็นแย้ง เพียงเหลือบมองนางแวบหนึ่งก่อนเอ่ย “องค์รัชทายาท ฝ่าบาททรงยกเลิกการประชุมขุนนางไปสามวันแล้ว สามวันมานี้งานทุกอย่างในราชสำนักล้วนได้เทียนโฮ่วเป็นผู้ชี้ขาด กระทั่งตราหยกแผ่นดินยังมอบให้นางเก็บรักษา ส่วนตราคำสั่งทหารก็อยู่ในมือองค์หญิงเซิ่งหยวน ไม่กี่วันนี้นางโยกย้ายองครักษ์กับทหารหลวงสิบหกหน่วยตั้งหลายครั้ง ออกจับกุมปีศาจแมวไปทั่วเมือง องค์รัชทายาท เรื่องนี้ทรงคิดเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”

พักนี้หลี่ซั่นแม้เจ็บป่วย แต่ก็ใช่ว่าไม่ไถ่ถามเรื่องภายนอก เขาเป็นรัชทายาทมาสิบปี ทำงานไม่ค่อยเด็ดขาด แต่ใช่ว่าไม่มีสัมผัสอันเฉียบคมต่อทิศทางการเมือง ตอนนี้ฮ่องเต้ป่วยหนัก เทียนโฮ่วกุมอำนาจปกครอง ผู้บัญชาการกองทัพเปลี่ยนคน ทุกสิ่งล้วนแผ่กลิ่นอายเข้มชัดว่ามรสุมกำลังจะกระหน่ำ

หากหลี่เจาเกอเป็นองค์ชาย ตอนนี้หลี่ซั่นคงนั่งอยู่ในตำหนักบูรพาไม่ติดแล้ว ทว่านางเป็นเพียงองค์หญิง แม้เขารู้สึกถึงอันตราย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นกระสับกระส่ายทั้งกลางวันกลางคืน ฮ่องเต้ไม่ได้มอบอำนาจทหารแก่องค์ชายอื่น พระองค์มอบให้หลี่เจาเกอก็พิสูจน์ได้ว่ายังคงสนับสนุนตำหนักบูรพา หาไม่…ขอเพียงพระองค์ชมเชยหลี่ไหวต่อหน้าผู้คนสองสามประโยค แล้วให้หลี่ไหวรับหน้าที่ตรวจตราประตูวังแทนชั่วคราว เท่านี้ทิศทางลมในราชสำนักก็จะเปลี่ยนทันที

ทว่าพระองค์เลือกหลี่เจาเกอ ทางหนึ่งเพื่อจับกุมปีศาจแมว อีกทางหนึ่งเพื่อบอกชัดว่าพระองค์ไม่อยากให้บุตรชายที่เหลือมีบารมีกลบรัชทายาท หลี่ซั่นต่างจากองค์ชายทั่วไป เขาคือว่าที่ประมุขแผ่นดิน คือผู้สืบทอดโดยชอบธรรม ขอเพียงฮ่องเต้ไม่ปลดรัชทายาท เขาไม่ต้องแก่งแย่งอันใดทั้งสิ้นก็จะรับมอบบัลลังก์ได้อย่างถูกต้อง

หลี่ซั่นกล่าว “นี่คือพระราชโองการของฝ่าบาท ในเมื่อฝ่าบาททรงไว้ใจเซิ่งหยวน ข้าย่อมสนับสนุนเต็มที่”

ชายารัชทายาทฟังอยู่ด้านข้าง อดขมวดคิ้วไม่ได้ ผู้ช่วยพระอาจารย์สวีถอนใจยาว กล่าวอย่างแค้นใจที่เหล็กมิอาจกลายเป็นเหล็กกล้า “องค์รัชทายาท นี่ไม่ใช่พระราชโองการฝ่าบาท หากแต่เป็นเทียนโฮ่ว ปัจจุบันฝ่าบาททรงอยู่ข้างตำหนักบูรพาก็จริง แต่เทียนโฮ่วกลับไม่แน่ ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่านางคิดเช่นไร นางรวบอำนาจทั้งหมดไว้ในกำมือตนเอง ไม่มีทีท่าจะปูทางให้ท่านขึ้นครองราชย์ ตำแหน่งรัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาแต่งตั้งมาสิบปีแล้ว ท่านไร้ความผิดใหญ่ ไม่อาจปลดท่านได้ เหตุที่เทียนโฮ่วมอบทหารหลวงแก่องค์หญิงเซิ่งหยวนโดยไม่มอบให้จ้าวอ๋องนั้นอาจเพราะเกรงว่าจะสนับสนุนจ้าวอ๋องชัดเจนเกินไปจึงได้ถอยมายังตัวเลือกที่สอง เปลี่ยนมาสนับสนุนองค์หญิงเซิ่งหยวนแทน ในราชสำนักมีใครไม่รู้บ้างว่าองค์หญิงเซิ่งหยวนอยู่ฝ่ายเดียวกันกับเทียนโฮ่ว ขอเพียงเทียนโฮ่วสนับสนุนจ้าวอ๋อง องค์หญิงเซิ่งหยวนย่อมนำทหารหลวงเบิกทางแก่จ้าวอ๋อง ถึงตอนนั้นอำนาจทหารไม่เท่ากับอยู่ในมือจ้าวอ๋องหรือไร องค์รัชทายาท ท่านจะยอมถอยให้ไม่ได้อีกแล้ว”

หลี่ซั่นขมวดคิ้วกล่าว “อาจไม่ถึงขั้นนั้นก็ได้ แต่เล็กมาจ้าวอ๋องไม่สนใจการเมือง หลังจากเขาย้ายออกจากวัง วันๆ เพียงแต่งกาพย์ขับกลอน ไม่เคยสอดมือมาในวงราชการ เขาน่าจะ…ไม่ได้อยากชิงตำแหน่ง”

ผู้ช่วยพระอาจารย์สวีถูกยั่วโมโหจนสำลัก ชายารัชทายาทที่อยู่ด้านข้างจึงต่อคำสนทนาเนิบๆ “องค์รัชทายาทเพคะ ทรงรู้ได้อย่างไรว่าจ้าวอ๋องไม่สนใจจริงๆ ไม่ใช่แสดงละครตบตาผู้อื่นอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้จ้าวอ๋องไม่ประสงค์ในบัลลังก์ แล้วขุนนางคนสนิทของเขาเล่า”

“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ” ผู้ช่วยพระอาจารย์สวีเอ่ยรับช่วง “จ้าวอ๋องไม่ชอบงานปกครอง นี่อาจตรงพระทัยเทียนโฮ่วพอดี ข้อแรกจ้าวอ๋องสุขภาพแข็งแรง ข้อสองขุมกำลังอ่อนด้อย ข้อสามอยู่ในโอวาทของเทียนโฮ่ว หากเขาขึ้นครองราชย์ เทียนโฮ่วจะควบคุมราชสำนักได้เช่นเดิม เขาไม่มีคนให้ใช้สอยสักเท่าไร ไม่พ้นต้องพึ่งพาเทียนโฮ่วกับองค์หญิงเซิ่งหยวนต่อไป สำหรับจ้าวอ๋อง เทียนโฮ่ว และองค์หญิงเซิ่งหยวนแล้ว รูปการณ์นี้ได้ประโยชน์ทั้งสามคน องค์รัชทายาทไม่ทรงป้องกันมิได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

สีหน้าหลี่ซั่นเคร่งขรึมขึ้น ตำหนักบูรพาคือราชสำนักเล็กแห่งหนึ่ง ทุกสิ่งล้วนจัดตามอย่างฮ่องเต้เพียงแต่ลดขนาดลง ฮ่องเต้มีสามฝ่ายหกกรม รัชทายาทก็มีฝ่ายราชเลขาธิการกับฝ่ายตรวจสอบเป็นของตนเอง เพียงแต่เปลี่ยนชื่อเรียกและมีขนาดเล็กลงอย่างมาก ฮ่องเต้ออกเดินทางมีทหารหลวง รัชทายาทก็มีองครักษ์เช่นเดียวกัน

ขุมกำลังทางการเมืองที่หลี่ซั่นสั่งสมมาสิบปีมิอาจดูเบา ยิ่งไปกว่านั้นถึงอย่างไรตำแหน่งรัชทายาทก็ชอบด้วยจารีตประเพณี สอดรับกับความต้องการของปวงชน หากหลี่ซั่นขึ้นครองราชย์ ขุนนางในราชสำนักเล็กกลุ่มนี้ย่อมไม่ยอมยกอำนาจให้เทียนโฮ่วเด็ดขาด อีกทั้งแนวคิดด้านการปกครองของหลี่ซั่นต่างจากเทียนโฮ่ว เรื่องใหญ่ของบ้านเมืองอาจได้ข้อสรุปไม่ตรงกัน ถึงตอนนั้นหลี่ซั่นมีจารีตประเพณีกับขุนนางราชสำนักให้พึ่งพิงถึงสองชั้น เทียนโฮ่วงัดข้อกับหลี่ซั่นก็ไม่แน่ว่าจะชนะ

เปรียบกันแล้วหลี่ไหวบงการได้ง่ายกว่ามาก อีกอย่างแค่สุขภาพแข็งแรงข้อเดียวนี้ก็เป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้หลี่ไหวเหนือกว่าหลี่ซั่นแล้ว ไหนๆ ผู้ที่จะขึ้นนั่งบัลลังก์เป็นบุตรชายของเทียนโฮ่วทั้งคู่ เหตุใดเทียนโฮ่วจะไม่เลือกคนที่เชื่อฟังกว่าเล่า

หลี่ซั่นเงียบงัน ที่ผ่านมาเขามีน้ำใจดีต่อผู้คน หากเป็นองค์ชายสายอื่น เขาเชื่อมั่นว่าน้องๆ จะสนับสนุนเขา ไม่แปรพักตร์ไปอยู่ข้างคนนอก ทว่าหากคู่แข่งผู้นั้นคือน้องชายแท้ๆ ของเขาเองเล่า

หลี่ฉังเล่อ หลี่เจาเกอ รวมถึงเทียนโฮ่ว…จะสนับสนุนใคร

ในใจหลี่ซั่นมีคำตอบแล้ว หลี่ฉังเล่อโตมากับหลี่ไหว สองคนเล่นกันมาแต่เล็ก ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา หากต้องเลือกพี่ชายหนึ่งในสองคนให้ได้ หลี่ฉังเล่อจะเอนเอียงไปทางหลี่ไหวอย่างแน่นอน ในด้านของความรู้สึกเทียนโฮ่วรักถนอมบุตรชายคนเล็กมากกว่า ในด้านของการเมืองนางยิ่งโน้มเอียงไปทางหลี่ไหวที่ไม่มีขุมกำลัง นางจะเลือกใครจึงไม่ต้องสงสัยเลย ตัวแปรหนึ่งเดียวในนี้ก็คือหลี่เจาเกอ

หลี่ซั่นเอ่ยอย่างลังเล “เซิ่งหยวนเพิ่งหวนคืนราชวงศ์ ไม่สนิทกับพี่น้องคนใด นางหลักแหลมเสมอมา อาจจะไม่ร่วมย่ำน้ำครำบ่อนี้”

ชายารัชทายาทส่ายศีรษะ มองหลี่ซั่นอย่างเข้าใจปรุโปร่ง “องค์รัชทายาทวาจานี้ผิดแล้ว หากเซิ่งหยวนโน้มเอียงมาทางตำหนักบูรพา เหตุใดช่วงนี้จึงไม่เคยมาเยี่ยมท่านที่นี่เลย ต่อให้นางหมายจะเลี่ยงคำครหา เช่นนั้นในงานเลี้ยงที่วังซั่งหยางเมื่อสามวันก่อน นางมาหาพี่สะใภ้คนนี้สะสางเรื่องของซันหลางกันเป็นการส่วนตัวก็ได้ เหตุใดต้องฉีกหน้าสกุลหลูอย่างรุนแรงต่อหน้าผู้คนด้วย องค์รัชทายาทเพคะ ใจคนยากหยั่งคาด จะพระทัยดียั้งมือไม่ได้เชียว”

หลี่ซั่นแสนไม่ยินดีจะเชื่อเรื่องนี้ แต่ก็รู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดให้โต้แย้งได้ นั่นสินะ หากหลี่เจาเกอยืนอยู่ฝ่ายเขาจริง งานเลี้ยงวันที่สิบสี่เดือนเจ็ดนั้นคงจะไม่ทำร้ายหลูซันหลางจนสาหัสหรอก นี่ไม่ใช่การกระทำที่อยากจะจับมืออยู่ฝ่ายเดียวกันเลย

สกุลจ่างซุนกับสกุลเผยเองก็ไม่ได้แสดงท่าที สำหรับสกุลจ่างซุนแล้ว ไม่ว่าผู้นั่งบัลลังก์จะเป็นหลี่ซั่นหรือหลี่ไหว ล้วนแต่เกี่ยวพันเป็นญาติกับสกุลจ่างซุน สกุลจ่างซุนจึงไม่จำเป็นต้องย่ำน้ำครำบ่อนี้ ส่วนสกุลเผยก็หมั้นหมายกับหลี่ฉังเล่อแล้ว ดูเหมือนว่าตัวเลือกของสกุลเผยจะชัดแจ้งยิ่ง

ชั่วขณะนั้นหลี่ซั่นจมอยู่กับความห่อเหี่ยว บิดาสนับสนุนเขาเพียงเพราะเขาคือบุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก ส่วนมารดา น้องสาว กับท่านปู่ใหญ่จ่างซุนล้วนชอบน้องชายของเขามากกว่า อันที่จริงเขาเองก็รู้สึกว่าหลี่ไหวดียิ่ง อย่างน้อยก็มีคุณสมบัติสมเป็นบุตรชายมากกว่าเขา

เห็นหลี่ซั่นอารมณ์หดหู่ ผู้ช่วยพระอาจารย์สวีก็รีบโน้มน้าว “องค์รัชทายาทอย่าได้ทรงท้อแท้ ท่านต่างหากคือผู้สืบทอดโดยชอบตามจารีตประเพณี ขุนนางราชสำนักล้วนยืนอยู่ฝ่ายท่าน ตราบวันใดที่ฝ่าบาทไม่เปลี่ยนพระทัย ตราบวันนั้นท่านก็คือว่าที่ประมุขแผ่นดิน สิ่งกีดขวางหนึ่งเดียวในเวลานี้…คือเทียนโฮ่ว”

ความขัดแย้งทั้งหลายทั้งปวงนี้ กล่าวอย่างชัดแจ้งไม่ใช่การแก่งแย่งระหว่างหลี่ซั่นกับหลี่ไหวสองพี่น้อง หากแต่เป็นการงัดข้อระหว่างตำหนักบูรพากับเทียนโฮ่วสองกลุ่มผลประโยชน์

เรื่องนี้หลี่ซั่นมีหรือจะไม่รู้ แต่…นั่นคือมารดาของเขา เขาจะทำเช่นไรได้

หลี่ซั่นถอนใจหนักๆ เอนหลังไปพิงตั่งก่อนถาม “เช่นนั้นตามความเห็นของท่านสวี ตำหนักบูรพาควรรับมืออย่างไร”

เมื่อครู่ผู้ช่วยพระอาจารย์สวีแสดงความเห็นอย่างห้าวหาญ ถ้อยคำแหลมคม รอจนได้ยินคำถามของหลี่ซั่นกลับนิ่งเงียบไปทันที

ตอนนี้การต่อสู้ระหว่างตำหนักบูรพากับเทียนโฮ่วยื้อกันอยู่ที่ตัวรัชทายาท เทียนโฮ่วไม่ชอบที่หลี่ซั่นร่างกายอ่อนแอ อุปนิสัยโอนอ่อน ทว่าขุนนางกลับชอบอย่างยิ่ง อธิบายด้วยประโยคที่ผิดทำนองคลองธรรมว่า…ขุนนางแบ่งเบาความกลัดกลุ้มให้เจ้าเหนือหัว แต่ใช่ว่าจะยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับเจ้าเหนือหัว

เจ้าเหนือหัวอ่อนแอขุนนางจะแข็งแกร่ง เจ้าเหนือหัวแข็งแกร่งขุนนางจะสามัญ แต่ไรมาล้วนไม่พ้นเช่นนี้ เจ้าเหนือหัวที่อ่อนแอผู้หนึ่งจึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับขุนนาง ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ในราชสำนักยังคงมองแง่ดีที่หลี่ซั่นจะขึ้นครองราชย์ แม้เทียนโฮ่วมีความสามารถด้านการปกครอง ทว่าอำนาจของนางได้มาจากฮ่องเต้ หากไม่มีฮ่องเต้สนับสนุน อาศัยนางผู้เดียวไม่มีทางจะต่อต้านทั้งราชสำนักได้ นางมีสถานะเป็นพระมารดา ส่วนหลี่ซั่นมีจารีตประเพณีสนับสนุน กระดานนี้ต่างฝ่ายต่างมีแพ้ชนะ ตอนนี้เทียนโฮ่วกุมอำนาจสำเร็จราชการ แต่ฝีมือของขุนนางเก่าแก่หลายคนก็ไม่ด้อย ตำหนักบูรพามีหัวใจผู้คนเป็นพลังหนุน ไม่แน่ว่าจะแพ้เทียนโฮ่ว สิ่งที่ขณะนี้ตำหนักบูรพาขาดอย่างแท้จริง…คืออำนาจทหาร

รัชทายาทไม่อาจคุมกองทัพ ตำหนักบูรพามีแต่กลุ่มขุนนางบุ๋น ไม่มีสักคนมีอำนาจในกองทัพ หนึ่งปีมานี้หลี่เจาเกอคือขุมกำลังใหม่ที่ผงาดขึ้นกะทันหัน มีชื่อเสียงบารมียิ่งยวดทั้งในกองทัพและหมู่ราษฎร ซ้ำตอนนี้ยังคุมทหารหลวง เดิมทีตัวแปรเล็กๆ ไม่อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวม ทว่าปัจจุบันตำหนักบูรพากับเทียนโฮ่วสู้เสมอกันอยู่ หลี่เจาเกอลูกตุ้มน้ำหนักลูกนี้จึงกลายเป็นตัวแปรที่เพียงพอจะพลิกการศึกสู่ชัยชนะได้

ผู้ช่วยพระอาจารย์สวีเงียบไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวช้าๆ “องค์หญิงเซิ่งหยวนจู่โจมคุณชายสามสกุลหลู เห็นชัดว่าจิตใจไม่อยู่กับตำหนักบูรพา เบี้ยเดิมพันไม่วางอยู่ฝ่ายเราก็จะไปวางอยู่ฝ่ายศัตรู ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่ชิงทำลายทิ้งก่อน”

สีหน้าหลี่ซั่นค่อยๆ ขึงเกร็ง ถามหน้าเครียดขรึม “ท่านสวีวาจานี้หมายความเช่นไร”

“จั้นผู่แห่งถู่ปัวส่งทูตมาต้าถังเพื่อสู่ขอเจ้าสาว พวกเขาอยากได้องค์หญิงที่แท้จริงมาโดยตลอด” ผู้ช่วยพระอาจารย์สวีลูบเครามองไปทางหลี่ซั่น ในดวงตาที่ไม่หนุ่มแน่นแล้วคู่นั้นฉายความเย็นเฉียบที่ชวนให้ใจสั่น “ไยองค์รัชทายาทไม่ทรงเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทให้ส่งองค์หญิงเซิ่งหยวนไปถู่ปัวแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เล่า เช่นนี้ข้อแรกได้ตัดแขนซ้ายแขนขวาของเทียนโฮ่ว ข้อสองได้ดึงชาวถู่ปัวมาเป็นพวก เรียกว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกถึงสองตัว”

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ธันวาคม 2567)

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: