บทที่ 134
ตอนเช้าขณะที่เฉาอวิ๋นกำลังสางผมให้จ่างกงจู่ ทันใดนั้นนางก็ชำเลืองเห็นผู้เป็นนายแย้มยิ้ม ขนตายาวหลุบลงบดบังดวงตากระจ่างใส สองมืออ่อนละมุนชดช้อยม้วนปอยผมที่ระอยู่ตรงหน้าอกคล้ายเหม่อลอย
เฉาอวิ๋นยิ้มถาม “จ่างกงจู่กำลังคิดถึงเรื่องดีๆ อันใดอยู่หรือเพคะ”
ตอนที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจ่างกงจู่ หวาหยางคุ้นชินกับการให้คนที่อยู่รายล้อมเรียกนางว่าองค์หญิงเหมือนเก่ามากกว่า ทว่ายามนี้เวลาผ่านไปหนึ่งปีแล้ว คำว่า ‘จ่างกงจู่’ ในที่สุดก็ค่อยๆ เข้ามาแทนที่คำว่า ‘องค์หญิง’
ยามนี้หวาหยางได้ยินจนชินแล้ว นางช้อนตาขึ้นมองเฉาอวิ๋นแต่กลับไม่ได้ตอบอันใด
เฉาอวิ๋นพูดจาซุกซน “หากให้หม่อมฉันทาย หม่อมฉันคิดว่าต้องเกี่ยวกับราชบุตรเขยเป็นแน่”
หวาหยางยิ้มไม่ตอบ
ที่นางคิดเมื่อครู่คือหากวันนี้นางไม่ไปวัดหงฝูตามนัด เฉินจิ้งจงจะออกบวชจริงหรือไม่
บุรุษที่ดื่มสุราเยี่ยงน้ำเต็มเปี่ยมไปด้วยเพลิงปรารถนาอย่างเขา ไหนเลยจะละทางโลกได้ ทว่าเฉินจิ้งจงเองก็ดื้อรั้นหัวแข็งไม่ใช่น้อย ไม่แน่ว่าอาจกล้าโกนศีรษะ ทำพ่อแม่สามีของนางตกอกตกใจ เอ่ยปากด่าทอเขาเพื่อเตือนสติ หลังจากนั้นก็ต้องให้จ่างกงจู่เช่นนางไปรับเขากลับมาด้วยตนเองถึงจะหายโมโห อาศัยสถานะภิกษุปลอมมาทำเรื่องเหลวไหลพูดจาเลื่อนเปื้อนอยู่ในมุ้งของนาง
หวาหยางไม่มีทางเปิดโอกาสเช่นนั้นให้เขาแน่ ถึงเขาไม่กลัวถูกคนหัวเราะเยาะ แต่นางกับบ้านสกุลเฉินอย่างไรก็ยังต้องรักษาหน้าตาอยู่
ทว่ากว่าเฉินจิ้งจงจะมาถึงวัดหงฝูได้ก็คงพลบค่ำ นางไม่จำเป็นต้องออกจากบ้านแต่เช้า
ผลก็คือขณะที่หวาหยางกำลังกินอาหารกลางวัน แสงสว่างจากทางด้านนอกจู่ๆ ก็มืดลง เฉาเยวี่ยวิ่งออกไปดูแล้วกลับมาเอ่ยปากด้วยความตกใจ
“เหตุใดจู่ๆ ฟ้าก็มืดครึ้มเช่นนี้ หรือว่าฝนจะตก!”
หวาหยางขมวดคิ้ว
ครั้นกินอาหารเสร็จ สายฝนขนาดเท่าเมล็ดถั่วก็ตกลงมาจริงๆ มิหนำซ้ำเมฆดำยังปกคลุมอยู่ทั่วท้องฟ้า ฝนนี้ดีไม่ดีอาจตกยาวนานไปถึงกลางคืน พรุ่งนี้ฟ้าก็ใช่ว่าจะแจ้ง
สาวใช้ทั้งสี่ต่างพากันมองไปทางจ่างกงจู่ผู้เป็นนาย
หวาหยางมีทางเลือกเพียงสองทาง ถ้าไม่มุ่งหน้าเดินทางไปยังวัดหงฝูตามแผนที่วางไว้ ก็มีแต่ต้องส่งคนไปบอกเฉินจิ้งจงที่กององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิง ยกเลิกแผนการครั้งนี้
สองเค่อถัดมาโจวจี๋ก็ห่อร่างไว้ใต้เสื้อฟางกันฝน นำพาทหารองครักษ์ที่สวมเสื้อฟางกันฝนแบบเดียวกันห้านายขึ้นม้า คุ้มกันรถม้าของจ่างกงจู่ออกเดินทาง
เม็ดฝนหล่นเปาะแปะกระทบม่านไม้ไผ่ที่อยู่ด้านนอก ทว่าใจของหวาหยางกลับสงบนิ่ง
นางคิด ฝนตกหนักเช่นนี้ หากเลือกที่จะไม่บอกเขา เฉินจิ้งจงจะยังไปวัดหงฝูตามนัดหรือไม่
หากเขาไป นางย่อมไม่ได้เดินทางเสียเที่ยว หากเขาไม่ไป นางย่อมมีวิธีจัดการกับเขา
วัดหงฝู
เมื่อวานอู๋รุ่นให้คนแจ้งกับทางวัดหงฝูก่อนล่วงหน้าแล้ว บอกว่าวันนี้พลบค่ำจ่างกงจู่จะมาพักค้างที่วัดหนึ่งคืนเพื่อรอจุดธูปเช้า ทางวัดหงฝูจัดเตรียมห้องพักรับรองไว้เป็นที่เรียบร้อย สาวใช้กับขันทีของจ่างกงจู่ทำหน้าที่เก็บกวาด ทางวัดไม่จำเป็นต้องขับไล่แขกที่มาจุดธูปคนอื่นๆ แค่ระวังไม่ให้คนที่มีที่ไปไม่ชัดแจ้งเข้ามาปะปนอยู่ในวัดเท่านั้นก็พอ
หลังบ่ายฝนตกหนัก แขกที่มาจุดธูปทั้งหลายต่างพากันวิ่งลงเขา ทิ้งไว้เพียงวัดที่เงียบสงัดท่ามกลางสายฝนโปรยปราย
ตอนหวาหยางมาถึง ควันกลุ่มแล้วกลุ่มเล่ากำลังลอยละล่องออกมาจากปล่องควันของโรงครัวภายในวัด
เพราะหวาหยางไม่ต้องการให้เอิกเกริกจนเกินไป ดังนั้นตอนรถม้าของจ่างกงจู่มาถึงจึงมีเพียงเจ้าอาวาสและพระสมณศักดิ์สูงเปี่ยมคุณธรรมบารมีอีกสองรูปเท่านั้นที่ออกมาต้อนรับ
ตอนอยู่ที่เขาอู่ตังนางเคยสนทนากับเหล่านักพรตเต๋ามาก่อน ยามนี้ให้พูดคุยกับพวกเขา นางจึงทำได้ไม่มีอันใดติดขัด
พระสมณศักดิ์สูงทั้งสามพานางไปพำนักยังเรือนรับรองที่จัดเตรียมไว้ก่อนจะขอตัวลา
หลังมองส่งพวกเขาจากไปไกล หวาหยางก็เดินตรงไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
“จ่างกงจู่ หากราชบุตรเขยเข้าใจว่าพระองค์ไม่เสด็จมาจึงไม่มาเช่นกัน พระองค์คิดจะลงโทษราชบุตรเขยเช่นไรหรือเพคะ”
เฉาอวิ๋นกับเฉาเยวี่ยที่ตามมาด้วยต่างกระหายใคร่รู้
“รอดูก่อน หากเขาไม่มาจริงๆ พวกเราค่อยว่ากันอีกที”
เฉาอวิ๋นแย้มยิ้มก่อนจะช่วยเฉาเยวี่ยหยิบเสื้อผ้าของจ่างกงจู่กับราชบุตรเขยออกมาจากในลังแล้วแขวนเข้าไปในตู้เสื้อผ้า
ฝนตกฟ้าครึ้ม ทำให้ฟ้าดูมืดค่ำเร็วขึ้นไปอีก หลังหวาหยางกินอาหารมังสวิรัติเสร็จ นางก็นั่งพิงอยู่ข้างหน้าต่าง อ่านพระคัมภีร์ที่ทางวัดส่งเข้ามาให้อยู่ภายใต้แสงตะเกียง
อ่านพระคัมภีร์จิตใจย่อมสงบ หวาหยางไม่ได้วิตกกังวลสักเท่าไรว่าเฉินจิ้งจงจะมาหรือไม่
วัดหงฝูตั้งอยู่บนไหล่เขาของเขาหลิงอู้ ขณะที่ความมืดปกคลุมตามสายฝนลงมาเร็วกว่าปกติ ม้าตัวหนึ่งก็ห้อตะบึงตามถนนหลวงมาถึงยังเชิงเขาอย่างรวดเร็ว
เฉินจิ้งจงดึงสายบังเหียน เงยหน้ามองดูไหล่เขา เห็นแสงตะเกียงสีเหลืองจุดหนึ่งเลาๆ
เขาเองก็ไม่รู้ว่าหวาหยางจะมาหรือไม่ เอาเป็นว่าเขาให้ฟู่กุ้ยกลับเข้าเมืองแล้ว หากหวาหยางไม่ได้มา ฟู่กุ้ยย่อมสามารถบอกนางได้ว่ายามนี้เขาอยู่ที่ใด ถึงตอนนั้นกลับไปเขาค่อยคิดบัญชีกับนางอีกที
ขึ้นเขามีแต่ต้องใช้บันไดหิน เฉินจิ้งจงผูกม้าไว้ใต้ต้นไม้ที่พอจะใช้หลบฝนได้ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ แต่มั่นคง พอถึงนอกวัดหงฝูเขาก็พบกับโจวจี๋ที่ออกมาลาดตระเวนพอดี
โจวจี๋ถือโคมไฟไว้ในมือ พอเห็นคนที่อยู่ในเงามืดเดินเข้ามา เขาก็มือหนึ่งกุมด้ามดาบที่เหน็บอยู่บนเอว มืออีกข้างชูโคมไฟขึ้นสูง
เฉินจิ้งจงห่อคลุมร่างอยู่ใต้หมวกฟางกับเสื้อฟางกันฝน ใบหน้าถูกปกปิดไว้ครึ่งหนึ่ง สิ่งแรกที่โจวจี๋มองเห็นกลับเป็นฟันขาวเรียงเป็นแนวยาวที่โผล่ออกมายามอีกฝ่ายแย้มยิ้ม
โจวจี๋ “…”
สามารถให้จ่างกงจู่ฝ่าฝนเดินทางมายังวัดหงฝูตามนัดได้ ราชบุตรเขยสมควรดีใจ
โจวจี๋คลายมือออกจากด้ามดาบ ประสานมือแสดงคารวะอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยคารวะราชบุตรเขย”
“อืม พวกเจ้ามาถึงเมื่อไร”
พวกเขาสองคนพูดคุยอย่างเรียบง่ายกันอยู่สองสามประโยค ครั้นมั่นใจว่าตลอดการเดินทางหวาหยางไม่พบเจออันตรายใดๆ เฉินจิ้งจงก็เดินตามขันทีน้อยเข้าไป ตรงไปยังเรือนรับรองของพวกเขาสองสามีภรรยา
หน้าต่างเรือนรับรองล้วนเป็นหน้าต่างกระดาษ หวาหยางมองไม่เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอก ได้ยินแต่เสียงหัวเราะและเสียงพูดจานอบน้อมต้อนรับราชบุตรเขยของพวกเฉาเยวี่ย แต่ละคนต่างดีอกดีใจ ไม่รู้ว่าดีใจเรื่องอะไร
เพียงไม่นานเฉินจิ้งจงก็เข้ามา หวาหยางเงยหน้า เห็นเสื้อผ้าบนตัวของอีกฝ่ายเปียกชื้นแนบสนิทอยู่กับร่างกายแข็งแกร่งกำยำ ใบหน้าหล่อเหลายังมีน้ำฝนหยดลงมาไม่ได้ขาด ใบหน้าของเขาช่วงนี้ดำคล้ำเพราะตากแดดอยู่ไม่น้อย ตอนนี้ครั้นถูกฝนสาดต้องแสงตะเกียงอันอ่อนโยน คนก็กลับกลายเป็นขาวละมุนขึ้นหลายส่วน ชุ่มชื้นราวกับหยกงาม
หวาหยางตะลอนเดินทางมาถึงที่นี่ แน่นอนนางย่อมหวังว่าเฉินจิ้งจงจะมาเช่นกัน ทว่าพอเห็นเขาเปียกโชกเป็นไก่ตกน้ำแกงเช่นนั้น นางก็อดตำหนิเขาไม่ได้
“ฝนตกหนักเช่นนี้ ท่านไม่ต้องมาก็ได้ หากจะมาเหตุใดถึงไม่ใส่เสื้อฟางกันฝน”
เฉินจิ้งจงดึงประตูปิด ถอดเสื้อพลางมองนาง “ข้าใส่แล้ว เพียงแต่ฝนตกหนักเส้นทางยาวไกล มันจึงใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้”
หวาหยางหันหน้าไปทางหน้าต่าง หันหลังให้เขาก่อนนานแล้ว
ในห้องมีน้ำเตรียมไว้สองถัง เฉินจิ้งจงจุ่มผ้าลงไปในน้ำแล้วเช็ดเนื้อเช็ดตัว สายตาจับจ้องอยู่บนแผ่นหลังเพรียวระหงของนางไม่วางตา
เสียงฝนดังแซกซ่า ลำคอเรียวยาวของหวาหยางขาวสล้างดุจหยก ทว่าติ่งหูทั้งสองข้างกลับแดงระเรื่อ
“หากเป็นหญิงสาวชาวบ้านทั่วไป ยามนี้ไม่แคล้วต้องใส่ใจห้อมล้อมปรนนิบัติรับใช้ผู้เป็นสามีที่เปียกฝน ทว่าองค์หญิงกลับไม่ทำอันใดแม้แต่น้อย”
“พระพุทธองค์ประทับอยู่เบื้องบน ท่านพูดให้น้อยลงสักสองสามประโยคเถอะ”
“ข้าตากฝนมาจุดธูปแสดงความเคารพเลื่อมใสเช่นนี้แล้ว พระพุทธองค์ยังจะคิดเล็กคิดน้อยกับข้าอีกอย่างนั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้นที่ข้าตำหนิคือองค์หญิงหาใช่พระพุทธองค์”
หวาหยางยิ้มหยัน “พระพุทธองค์ทรงเมตตาย่อมไม่ถือสาหาความท่าน แต่หากท่านล่วงเกินข้า ทำข้าโกรธขึ้นมา ถึงตอนนั้นข้าจะให้พวกโจวจี๋จับท่านกล้อนผม ไม่อาจไปร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมจากที่ใดได้”
“จ่างกงจู่น่าเกรงขามยิ่งนัก ข้าตกหลุมพรางตาเฒ่าเห็นๆ หากรู้แต่แรกว่าในเมืองหลวงมีงานแต่งงานเช่นนี้รอข้าอยู่ ข้าคงไม่วิ่งกลับมาแล้ว”
“ท่านวิ่งกลับไปตอนนี้ก็ยังไม่สาย”
เฉินจิ้งจงไม่พูดอะไรอีก
หวาหยางใจลอยขณะพลิกอ่านพระคัมภีร์ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเสียงเช็ดเนื้อเช็ดตัวก็คล้ายจบสิ้นลง ทว่านางกลับไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวอื่น
ขณะที่นางกำลังนึกสงสัยว่าตอนนี้ชายหนุ่มทำอะไรอยู่ ด้านหลังจู่ๆ ก็มีเสียงสายลมแหวกผ่านคล้ายพยัคฆ์โผนหมาป่าทะยาน มือขนาดใหญ่คู่หนึ่งกุมลงบนไหล่ของนาง กดนางลงบนตั่งที่อยู่ข้างๆ
หวาหยางถูกเฉินจิ้งจงกดไว้ด้านล่าง นางตกใจ สองตาจับจ้องอยู่บนใบหน้าที่เพิ่งเช็ดล้างทำความสะอาดมาหมาดๆ เส้นผมดำยาวถูกรวบไว้บนศีรษะ ดวงตาดำขลับเป็นประกายจับจ้องอยู่บนตัวนางไม่วางตา คุโชนไปด้วยแรงปรารถนา
หวาหยางเบือนหน้าหนี เอ่ยปากเอ็ดเขา “เสื้อผ้าของท่านข้าเอามาด้วยแล้ว เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
“นำอ่างมาด้วยหรือไม่”
“ฝันไปเถอะ!”
เฉินจิ้งจงยกยิ้ม “หรือองค์หญิงกลัวข้าจะไม่มา เสียเวลาเตรียมเปล่าๆ?”
“ท่านมาหรือไม่มา ข้าก็ไม่เตรียมทั้งนั้น”
เฉินจิ้งจงนึกถึงช่วงเวลาตอนอยู่บนเขาอู่ตัง นางทำตัวไม่ต่างอะไรกับแม่ชีตัวจริง จิตใจสะอาดสะอ้านไร้ซึ่งแรงปรารถนาความต้องการ
เฉินจิ้งจงในเวลานี้เพียงล้อนางเล่นเท่านั้น หลังจากจูบนางอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตรงไปหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมแต่โดยดี
เรือนรับรองมีห้องครัวขนาดเล็กอยู่ห้องหนึ่ง หลังเฉินจิ้งจงจัดการแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จ เฉาอวิ๋นกับเฉาเยวี่ยก็ยกเอาอาหารมังสวิรัติของเขาเข้ามา
เฉินจิ้งจงลงมือกินอย่างรวดเร็ว หลังบ้วนปากเสร็จเรียบร้อยเขาก็ไปพักผ่อนอยู่กับหวาหยาง
เตียงของที่นี่ไม่ได้ใหม่นัก ขนาดหรือก็ไม่ได้ใหญ่สักเท่าไร เว้นก็แต่ม่านมุ้งกับผ้าห่มที่ล้วนเป็นของที่นำมาจากจวนจ่างกงจู่ ทุกชิ้นต่างงดงามล้ำค่า
เสียงฝนนอกหน้าต่างยังคงดังไม่หยุด สายลมเย็นพัดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา ม่านปักลายโบตั๋นขยับไหวแผ่วเบาอยู่ท่ามกลางแสงตะเกียงสีเหลืองนวล
เพราะอากาศเย็นหวาหยางจึงปล่อยให้เขาโอบกอดนางจากทางด้านหลัง
“ข้าคิดว่าองค์หญิงจะไม่มาเสียอีก” เฉินจิ้งจงกระซิบลงที่ข้างหูนาง
“หากเป็นเช่นนั้นแล้วท่านมาด้วยเหตุใด”
“หากองค์หญิงไม่มา ข้าอย่างมากก็แค่มาเสียเที่ยว แต่หากองค์หญิงมาแล้วข้าไม่มา เกิดท่านโกรธดีไม่ดีข้าอาจถูกปลดออกจากตำแหน่งราชบุตรเขย”
“ปลดท่านเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ หากเรื่องราวแพร่สะพัดออกไปพวกชาวบ้านคงไม่แคล้วได้วิพากษ์วิจารณ์หาว่าข้าใช้อำนาจบาตรใหญ่”
“เช่นนั้นองค์หญิงเตรียมลงโทษข้าเช่นไร”
“คงให้ท่านคุกเข่าอยู่ที่ห้องพระในจวนจ่างกงจู่ กินมังสวิรัติอ่านพระธรรมคัมภีร์สามเดือนกระมัง”
เฉินจิ้งจงเอ่ยว่า “กินมังสวิรัติไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ขอแค่ยอมให้ข้าปรนนิบัติรับใช้ท่านยามวิกาลต่อก็พอ”
“ในเมื่อต้องคุกเข่าอยู่ในห้องพระ ท่านย่อมต้องนอนอยู่ที่นั่น”
“องค์หญิงร้ายกาจกว่าสัมมาสัมพุทธองค์จริงๆ”
หวาหยางแย้มยิ้ม
เฉินจิ้งจงลูบริมฝีปากของนางพลางถาม “พรุ่งนี้หากฝนยังตก องค์หญิงจะนึกเสียใจที่ออกมาหรือไม่”
หวาหยางไม่ตอบอะไร
เฉินจิ้งจงจับไหล่ของนางหันกลับมาแล้วจุมพิตลงบนริมฝีปากที่ราวกับกลีบบุปผานั่น
เช้าวันรุ่งขึ้นตอนหวาหยางตื่นขึ้นมา เฉินจิ้งจงไม่ได้อยู่ข้างกายนางแล้ว นางเงี่ยหูฟัง นอกหน้าต่างมีเพียงเสียงหยดน้ำฝนหล่นร่วงลงมาจากชายคา
พวกสาวใช้เข้ามาปรนนิบัติรับใช้ช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้า
หวาหยางเอ่ยถาม “ราชบุตรเขยเล่า”
เฉาอวิ๋นส่ายหน้า “ออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้วเพคะ ไม่ได้บอกกับพวกหม่อมฉันด้วยว่าจะไปที่ใด”
จนกระทั่งอาหารมังสวิรัติตระเตรียมเสร็จเรียบร้อย เฉินจิ้งจงถึงเพิ่งกลับมา เนื้อตัวท่อนบนยังดีอยู่ ทว่าชายเสื้อกับกางเกงล้วนเปียกปอนหมดสิ้น หน้ารองเท้าขอบรองเท้าเต็มไปด้วยดินโคลน
พวกสาวใช้ต่างถอยออกไปอย่างรู้ความ
หวาหยางถามเขา “ท่านไปขอทานมาหรือไร”
“ข้าไปสำรวจเส้นทางมา ประเดี๋ยวจะพาองค์หญิงไปเดินเล่นที่เขาด้านหลัง หาไม่แล้วพวกเราคงได้มาเสียเที่ยวกันจริงๆ”
หวาหยางชำเลืองมองดินโคลนบนรองเท้าของเขา
เฉินจิ้งจงเอ่ยขึ้นว่า “บรรพบุรุษตัวน้อย ท่านไม่ต้องกังวลไป ข้าจะแบกท่านไปเอง”
หวาหยางนึกอยากเอาฝาถ้วยชาในมือขว้างใส่เขาจริงๆ
หลังกินอาหารเช้าเสร็จ คนทั้งสองก็ไปจุดธูปต่อหน้าพระพุทธองค์ก่อน
ที่หน้าโต๊ะบูชามีเบาะกลมวางอยู่สองอัน เฉินจิ้งจงคุกเข่าอยู่เป็นเพื่อนหวาหยาง
เขาหันไปมองนาง หลังจากสบตากันครู่หนึ่งหวาหยางก็เบนสายตากลับ ตั้งอกตั้งใจอธิษฐาน ก่อนจะปักธูปลงไปในกระถางด้วยตนเอง
หลังออกจากวัดหงฝู เฉินจิ้งจงก็แบกนางขึ้นหลัง เดินตามบันไดหินมุ่งหน้าไปยังภูเขาที่อยู่ทางด้านหลัง
เพราะหมอบอยู่บนหลังของชายหนุ่ม หวาหยางจึงสามารถมองเห็นเมฆหมอกสีขาวที่คล้อยเคลื่อนอยู่ไกลระหว่างภูเขา มองเห็นหยดน้ำใสกระจ่างที่นอนนิ่งอยู่บนใบไม้ของต้นไม้ที่เรียงรายอยู่ตามทางทั้งหลายได้
ดอกไม้ป่าบนพื้นหญ้าถูกสายฝนเมื่อวานราดรดจนนอนแนบติดพื้น แต่ถึงอย่างนั้นกลีบดอกแดงชมพูของพวกมันก็ยังคงสะอาดงดงาม
ฤดูร้อนอากาศสดชื่นเย็นสบายเช่นนี้ใช่ว่าจะหาพบกันได้ง่ายๆ
“เมื่อครู่องค์หญิงอธิษฐานขออะไรกับพระพุทธองค์หรือ” เดินอยู่ดีๆ จู่ๆ เฉินจิ้งจงก็ถามออกมา
“หากพูดออกมา คำอธิษฐานย่อมไม่อาจเป็นจริง”
เฉินจิ้งจงเท้าลื่น ทำเอาหวาหยางตกใจรีบกอดคอเขาไว้แน่น ก่อนจะพบว่าที่แท้เขาเพียงแสร้งทำเท่านั้น
นางหยิกเนื้อบนคอของเขา เฉินจิ้งจงก็ก้มหน้ากัดหลังมือนาง
สองคนประเดี๋ยวก็พูดคุยกัน ประเดี๋ยวก็หาเรื่องกัน สุดท้ายเฉินจิ้งจงก็แบกหวาหยางมาถึงธารน้ำกลางหุบเขาสายหนึ่ง น้ำในลำธารใสกระจ่าง ไหลลู่ลงมาจากผาสูงหลายจั้ง แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องกระทบ สายรุ้งสั้นๆ ปรากฏอยู่ทางด้านบน
“รอแดดแรงขึ้นอีกสักหน่อย พวกเราย่อมเล่นน้ำอยู่ที่นี่ได้” เฉินจิ้งจงหยิบผ้าน้ำมันกันชื้นผืนหนึ่งมาปูลงบนก้อนหินเรียบลื่น นั่งเคียงไหล่อยู่กับหวาหยาง
“ใครอยากเล่นน้ำกับท่านกัน”
เฉินจิ้งจงมองดูนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
หวาหยางผินหน้าไปทางอื่น สายตาจับจ้องอยู่กลางลำธารที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
นอกจากใต้น้ำตกแล้ว ลำธารตรงจุดอื่นล้วนตื้นเขิน ตื้นเสียจนนางสามารถมองเห็นผืนทรายเล็กละเอียดที่อยู่ทางด้านล่างได้ชัดถนัดตา
บทที่ 135
เส้นทางเชื่อมต่อระหว่างวัดหงฝูกับภูเขาที่อยู่ทางด้านหลังถูกโจวจี๋กับทหารองครักษ์จวนจ่างกงจู่ล้อมไว้หมดสิ้น ไม่มีใครสามารถเข้าไปทำลายบรรยากาศการเที่ยวชมทัศนียภาพของจ่างกงจู่กับราชบุตรเขยได้
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น พอเฉินจิ้งจงเสนอให้หวาหยางถอดเสื้อคลุมแขนยาวสีเขียวปักลายดอกโบตั๋น รวมถึงกระโปรงยาวรุ่มร่ามสีหยกอ่อนบนร่างออก สวมเพียงเสื้อรัดอกแขนสั้นสีพื้นกับกางเกงไหมสีขาวเนื้อบาง หวาหยางก็ปั้นหน้าบึ้งตึงเอ่ยปากปฏิเสธทันควัน
เฉินจิ้งจงเอ่ยว่า “หากองค์หญิงไม่ถอด ลงน้ำย่อมต้องตลบม้วนแขนเสื้อชายกระโปรง ถึงตอนนั้นเสื้อผ้าอาภรณ์ตัวนอกย่อมเกิดรอยยับ หากถูกภิกษุในวัดกับชาวบ้านที่มาจุดธูปกราบไหว้พบเห็นเข้า พวกเขาคงไม่แคล้วต้องคิดว่าองค์หญิงกับข้ารวมหัวกันทำเรื่องดูแคลนพระพุทธองค์กันอยู่ที่หลังเขาเป็นแน่”
“ข้าไม่คิดจะลงน้ำแต่แรกแล้ว ท่านอยากเล่นก็เล่นไปคนเดียวเถอะ”
เฉินจิ้งจงมองดูใบหน้าหยิ่งทะนงของอีกฝ่าย ในใจคิดว่าท่านแม่บอกว่าเขาดื้อรั้นหัวแข็ง แต่เทียบกับปากของนางแล้ว กระดูกของเขายังนับว่าอ่อนนัก
นางไม่ถอด เฉินจิ้งจงกลับถอดเสื้อนอกของตนเองออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นแผ่นหลังกำยำล่ำสันก่อนจะค้อมเอวม้วนขากางเกงทั้งสองข้างขึ้น
ใบหน้ากับลำคอของเขาล้วนตากแดดจนดำ ทว่าหลังไหล่ของเขากลับขาวสล้างดุจหยก
จู่ๆ เฉินจิ้งจงก็หันหน้ามา หวาหยางจึงเบนสายตาหนีไปทางอื่น
เฉินจิ้งจงยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเดินไปที่ริมฝั่ง ย่างเท้าเข้าไปในลำธาร
หวาหยางมองกลับไปอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าน้ำในลำธารสูงเพียงตาตุ่มของเขาเท่านั้น
เฉินจิ้งจงไล่จับปลาอยู่ในลำธาร ครั้นเห็นหญิงสาวนั่งอยู่บนก้อนหินยกแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นบังแสงอาทิตย์ เขาก็พูดขึ้น “ใช้เสื้อนอกของข้าบังแดดก็ได้”
หวาหยางคลี่เสื้อนอกของเขาที่วางอยู่อีกด้านออกแล้วคลุมลงบนศีรษะ
เฉินจิ้งจงเดินวนเวียนอยู่ในน้ำต่อ ทุกครั้งที่หันหน้าไปทางหวาหยาง เขาก็จะเห็นนางผินหน้าไปทางอื่น คล้ายแผ่นอกของเขาน่าเกลียดน่าชังยิ่งก็ไม่ปาน
หวาหยางไม่มองเฉินจิ้งจงก็ย่อมไม่อาจรู้ชัดว่าเขากำลังทำอะไร ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเขาตะโกนว่า “ฝนตกแล้ว”
ขณะที่นางกำลังจะเงยหน้ามองท้องฟ้า จู่ๆ ก็มีคนวักน้ำสาดเข้ามา นอกจากเหนือศีรษะที่มีเสื้อนอกของเฉินจิ้งจงบังขวางอยู่แล้ว เสื้อคลุมแขนยาว ชายกระโปรงล้วนเปียกเป็นวงใหญ่
หวาหยางโมโหถลึงตาใส่บุรุษที่อยู่ในลำธาร
เฉินจิ้งจงกลับทำไม่รู้ไม่ชี้ เขาเดินไปหยุดอยู่ข้างก้อนหินอีกก้อนที่อยู่กลางลำธาร นั่งหันหลังให้หวาหยาง ก้มหน้าเล่นทรายละเอียดที่อยู่ในน้ำ
เพราะตะโกนด่าทอไม่เป็น หวาหยางจึงได้แต่เก็บความรู้สึกเดือดดาลไว้ในใจ นางมองดูเสื้อผ้าเปียกปอนบนร่าง มองดูบรรยากาศเงียบสงบรอบๆ อีกคราว สุดท้ายก็ตัดสินใจถอดอาภรณ์งดงามล้ำค่ารุ่มร่ามบนตัวออก บรรจงวางมันลงบนก้อนหินอุ่นร้อนเรียบลื่น
หลังถอดถุงเท้ารองเท้าม้วนขากางเกงขึ้นเป็นที่เรียบร้อย นางก็เดินเท้าเปล่าลงไปในลำธาร ตรงไปทางด้านหลังของเฉินจิ้งจง จากนั้นสองมือก็กอบน้ำราดใส่แผ่นหลังกว้างสะท้อนแสงอาทิตย์ของเขา
เพราะเฉินจิ้งจงกำลังค้อมเอวก้มหน้า น้ำส่วนหนึ่งจึงไหลจากแผ่นหลังของเขาไปที่หัวไหล่ ก่อนจะร่วงไหลกลับลงไปในลำธารไม่ต่างอะไรกับน้ำตก
เฉินจิ้งจงหันมองกลับไป ร่างกายยังคงค้างอยู่ในท่าเดิม
น้ำในลำธารใสกระจ่างประหนึ่งกระจก ส่องสะท้อนอาภรณ์ตัวในสีพื้นของหญิงสาวรวมถึงผิวพรรณขาวสล้างดั่งหิมะนั่น
ในที่สุดเขาก็หันกลับมา กุมสองมือเปียกน้ำของหวาหยางไว้แล้วเงยหน้าขึ้นมองไป
ริมฝีปากสีชมพูของนางเม้มเข้าหากันแน่น นัยน์ตาหงส์สุกสว่างถลึงใส่เขาด้วยความเดือดดาล
เฉินจิ้งจงทำเพียงยิ้ม “เห็นอยู่ชัดๆ ว่าองค์หญิงอยากเล่นน้ำ แต่ที่วางท่าเป็นจ่างกงจู่ผู้สูงส่งก็เพียงเพราะกลัวถูกคนหัวเราะเยาะ เกียรติภูมิถูกทำลายเท่านั้น”
หวาหยางแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ
เฉินจิ้งจงเก็บรอยยิ้มแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ต่อหน้าคนนอกองค์หญิงย่อมควรทำเช่นนี้ ทว่าที่นี่มีเพียงพวกเราสองคนเท่านั้น แล้วเหตุใดท่านถึงยังไม่อาจวางท่าทีสูงส่งเช่นนั้นลง”
ขนตาของหวาหยางขยับไหวน้อยๆ นางหลุบตาลง
นับตั้งแต่จำความได้ คนที่อยู่รอบกายล้วนเฝ้าเตือนนางให้สำรวมกิริยามารยาท จะลืมไม่ได้เป็นอันขาดว่าตนเองเป็นองค์หญิงฐานะสูงส่ง
เฉินจิ้งจงยกมือของนางขึ้นมาจูบคราหนึ่ง “ไม่ว่าองค์หญิงจะประพฤติตนไม่เหมาะสม เสื้อผ้าหลุดลุ่ยยับยู่ยี่ไม่เป็นระเบียบ ข้าล้วนไม่มีวันหัวเราะเยาะ ข้าหวังก็เพียงองค์หญิงจะสามารถทำเรื่องที่ชื่นชอบได้”
หวาหยางมองที่ศีรษะของเขา
ตอนพ่อสามีกับพี่ชายทั้งสองของเขาพักผ่อนอยู่ในบ้านล้วนชอบใช้ปิ่นหยกปักผม ทว่าเฉินจิ้งจงกลับไม่ชอบปิ่นหยก ตรงกันข้ามเขามักใช้ผ้ารัดผมสีดำมัดผมไว้ ถึงจะดูเรียบง่ายธรรมดาๆ แต่ก็องอาจผึ่งผาย
นางกวาดตามองไปรอบๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าหากมีคนมา…”
“ข้าจะไปจับคนผู้นั้นกลับมา ทิ่มตาเขาให้บอด”
หวาหยาง “…”
นางไหนเลยจะโหดร้ายเช่นนั้น หวาหยางถลึงตาใส่เขา “หากมีคนผ่านมา ท่านต้องพาข้าไปจากที่นี่ทันที ทางที่ดีอย่าให้อีกฝ่ายล่วงรู้ถึงฐานะของข้า”
เฉินจิ้งจงพยักหน้า
หวาหยางชี้ไปยังริมฝั่ง “ท่านไปรอข้าที่ริมฝั่ง สวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย คอยจับตาดูรอบๆ ห้ามมองดูข้า”
เพิ่งพูดจบได้ไม่ทันไร สายตาของเฉินจิ้งจงก็หยุดอยู่บนตัวนาง
เสื้อสั้นของหวาหยางนับได้ว่าหนาอยู่ ทว่าเพราะช่วงคอกว้างจึงเผยช่วงไหล่ออกมาให้เห็น ส่วนกางเกงไหมสีขาวของนางนั้นกลับแบบบาง เผยให้เห็นขาเรียวยาวที่ซ่อนอยู่ภายในเลาๆ
เฉินจิ้งจงคล้ายยังดูไม่พอ หวาหยางหยิกหูขวาของเขาส่งคนขึ้นฝั่ง ก่อนจะไปเล่นน้ำอยู่ในลำธารเพียงลำพัง
อย่างไรก็ตามเพราะอยู่กลางแจ้ง หวาหยางยอมปล่อยใจให้สบายได้อย่างยากเย็นเช่นนี้ เฉินจิ้งจงก็ไม่ได้สร้างความวุ่นวายใดๆ หลังจากสวมเสื้อตัวนอกเรียบร้อยก็ตั้งใจคอยเฝ้ายามให้นางอย่างไม่คลาดสายตา
หวาหยางมีชีวิตสองชาติภพ และนี่ก็เป็นครั้งที่สองที่นางมาเล่นน้ำอยู่ข้างนอก
ที่หลิงโจวเพราะแม่น้ำอยู่ด้านหลังของหมู่บ้าน มีชาวบ้านแวะเวียนมาตลอดเวลา นางจึงกล้าเผยแค่ปลีน่อง ทว่ายามนี้ที่นี่ภูเขางามน้ำใส ไกลออกไปมีโจวจี๋กับทหารองครักษ์ ส่วนที่อยู่ใกล้ๆ ก็มีเฉินจิ้งจงคอยยืนยามอยู่ นางจึงสามารถเล่นน้ำได้อย่างสนุกสนานเบิกบาน
แสงอาทิตย์ร้อนแรงมากขึ้นทุกที น้ำในลำธารอุ่นสบายขึ้นเรื่อยๆ
หวาหยางเดินไปยังแอ่งน้ำริมน้ำตก
ที่นี่น้ำลึก ก้อนหินขนาดใหญ่หรือก็มีอยู่หลายก้อน นางเดินไปหยุดอยู่ระหว่างหินก้อนใหญ่สองสามก้อนแล้วหมอบนอนอยู่บนนั้น สายตากวาดมองไปรอบๆ
หวาหยางในสายตาของเฉินจิ้งจงยังคงเป็นเหมือนเทพธิดาที่เพิ่งมาถึงแดนมนุษย์ กำลังรีบร้อนชำระคราบสกปรกที่แปดเปื้อนติดตัวมาระหว่างทางเพราะเกรงว่าจะมีมนุษย์มาพบเห็นเข้า
นางมองไปรอบๆ ที่นี่หากจะมีคนคิดไม่ซื่อเกรงว่าคงมีเพียงเฉินจิ้งจงเท่านั้น
นางเตือนให้เขาระวังรอบๆ อีกคราวก่อนจะเคลื่อนกลับลงไปในน้ำ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเสื้อรัดอกแขนสั้นกับกางเกงไหมสีขาวที่อยู่บนตัวจ่างกงจู่ก็ไปปรากฏอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่ง
หญ้าที่อยู่ข้างตัวเฉินจิ้งจงถูกเขาถอนออกแทบเกลี้ยงแล้ว
หวาหยางดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำระหว่างก้อนหินใหญ่พวกนั้น ประเดี๋ยวก็แหงนหน้าพิงอยู่บนก้อนหินเรียบลื่น ร่างกายครึ่งบนโผล่พ้นน้ำ มองดูน้ำตกที่อยู่ใกล้ๆ มองดูท้องฟ้าสีครามที่อยู่ไกลๆ อย่างครึ้มอกครึ้มใจ
เสียงน้ำดังซู่ซ่า ไม่อาจได้ยินเสียงอื่นใด หวาหยางมองผ่านช่องว่างระหว่างซอกหินไปบนฝั่งเป็นครั้งคราว ก่อนจะพบว่าเฉินจิ้งจงยังคงนั่งอยู่ที่นั่น
ถึงจะลอบชำเลืองมาทางนางอยู่สองสามที แต่เขาก็ไม่ได้ลืมหน้าที่ของตน หวางหยางจึงรู้สึกสบายใจ
หลังจากแช่ร่างกายอยู่ในแอ่งน้ำราวๆ สองเค่อ นางก็โผล่พ้นน้ำขึ้นมา หยิบเสื้อผ้าที่ตากแห้งแล้วขึ้นมาสวม ก่อนจะเหยียดขาตากแดดต่อ
ครั้นกลับขึ้นไปบนฝั่งอีกครั้ง นางก็เหลือแต่เส้นผมเท่านั้นที่ยังไม่แห้ง
หวาหยางยืนอยู่ใต้ร่มไม้ ใช้สายตาเป็นสัญญาณบอกให้เฉินจิ้งจงเข้ามาช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้า
เฉินจิ้งจงหยิบเสื้อคลุมแขนยาวและกระโปรงที่แห้งอยู่นานแล้วอ้อมไปที่หลังต้นไม้
หวาหยางหลับตา เหยียดแขนทั้งสองข้างออก
เฉินจิ้งจงเริ่มด้วยการจัดการกับกระโปรงยาวก่อน หลังจากนั้นค่อยสวมเสื้อคลุมให้นาง เนื้อผ้าเรียบลื่นโปร่งเบาคลุมลงบนเรือนร่างงดงามดั่งเทพธิดาของจ่างกงจู่
ขณะที่หวาหยางลืมตาหมายตรวจสอบดูว่าตนเองแต่งกายถูกต้องเรียบร้อยแล้วหรือไม่ จู่ๆ เฉินจิ้งจงก็ใช้มือข้างหนึ่งกระหวัดเอวแล้วดึงรั้งนางเข้าสู่อ้อมแขน ส่วนมืออีกข้างก็เชิดคางนางขึ้นแล้วจุมพิตอย่างเร่าร้อน
หวาหยางแย้มยิ้ม เพราะเมื่อครู่เขาทำตัวสัตย์ซื่อมากพอ ยามนี้นางจึงยินดีมอบจูบนี้ให้กับเขา
ทว่านางประเมินแรงกระตุ้นที่มีต่อเฉินจิ้งจงต่ำเกินไป มือของเขายามนี้เคลื่อนมาถึงสายรัดเอวของนางแล้ว ทั้งยังหมายจะปลดมันออกอีก หวาหยางตีมือของเขาทันที
เฉินจิ้งจงเปลี่ยนจากกอดมาเป็นอุ้ม หายใจฟืดฟาดอยู่ข้างหูนาง
เขาหอบหายใจอยู่เป็นนาน นานจนหวาหยางกลัวว่าเขาจะทนต่อไปไม่ไหว ทว่าท้ายที่สุดเฉินจิ้งจงก็ยอมคลายมือปล่อยนาง
หวาหยางเห็นแล้วว่าจิตใจของเขายังไม่สงบดี นางถอยห่างออกมาประมาณหนึ่ง นั่งมองดูธารน้ำอยู่บนหินก้อนหนึ่ง
เฉินจิ้งจงพิงร่างอยู่กับต้นไม้ แหงนหน้ามองกิ่งไม้ หลับตารวบรวมสมาธิ
หวาหยางผินหน้าไปมอง เห็นเงาร่างของเขาเหยียดตรงเสียยิ่งกว่าต้นไม้ เห็นลำคอแหงนเงยเป็นวงโค้ง ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงไม่หยุด แล้วนางก็เบนสายตากลับเงียบๆ
ในที่สุดเฉินจิ้งจงก็เดินเข้ามา สีหน้าของเขาเวลานี้กลับเป็นปกติแล้ว เพียงแต่ยามมองดูนาง สายตาคล้ายพยายามควบคุมสะกดกลั้นอะไรบางอย่าง
หวาหยางเอ่ยถาม “พวกเราจะกลับกันแล้วใช่หรือไม่”
เฉินจิ้งจงพยักหน้าแล้วหันหลังให้กับนาง
นางกลับบอกว่า “ข้าเดินเองดีกว่า พื้นถูกแดดเผาจนแห้งแล้ว”
เฉินจิ้งจงยังคงนั่งยองๆ อยู่กับพื้นไม่ขยับ หวาหยางจึงได้แต่ขึ้นไปหมอบอยู่บนหลังของเขา
เสื้อผ้าฤดูร้อนจะหนาได้สักเท่าไรกัน เฉินจิ้งจงเดินอยู่ไม่นาน หวาหยางก็รู้สึกว่าแผ่นหลังของเขาไม่ต่างอะไรกับเตาอุ่นที่เพิ่งเติมน้ำร้อนเข้าไป ไอร้อนแผ่ซ่านมาถึงตัวนาง
ที่น่าแปลกคือตอนเดินทางมาร่างกายของเขาไม่ได้ร้อนเช่นนี้สักหน่อย
หรือเพราะว่าแสงอาทิตย์ร้อนกว่าตอนมา?
ตลอดทางพวกเขาสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน มีเพียงผิวหนังที่แนบสนิทอยู่ด้วยกันเสียดสีไปมาตามจังหวะย่างก้าวของเฉินจิ้งจง
ที่อยู่ทางด้านหน้าคือวัดหงฝู เฉินจิ้งจงสังเกตเห็นเงาร่างของโจวจี๋ที่ถอยฉากออกไปเงียบๆ แล้ว
เขาหันหน้ากลับไป เห็นใบหน้าของหวาหยางแดงระเรื่อจึงเดินไปอยู่ใต้ต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ แล้วปล่อยนางลง “พักสักครู่ก่อนเถอะ สภาพขององค์หญิงตอนนี้ทำคนเข้าใจผิดได้ง่าย”
หวาหยางมองเขาปราดหนึ่ง ขุนนางบู๊ร้ายกาจจริงๆ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเนื้อตัวร้อนผ่าว ทว่าใบหน้ากลับเป็นปกติราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น
จู่ๆ เฉินจิ้งจงก็ปิดตานาง “ห้ามมองข้า”
หวาหยางไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใด”
“แววตาขององค์หญิงเต็มไปด้วยแรงปรารถนาเช่นนั้น ข้ากลัวว่าจะควบคุมตนเองไม่อยู่”
หวาหยาง “…”
ข้าน่ะหรือมองเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยแรงปรารถนา!
หวาหยางปัดมือของเฉินจิ้งจงออก เดินอ้อมหลังต้นไม้ไปครึ่งรอบ พยายามไม่ให้เขาเห็นแม้แต่ชายกระโปรงของตน
เฉินจิ้งจงยกยิ้ม พิงร่างกับลำต้นของต้นไม้พลางบอก “ข้าพักสักครู่ก่อน องค์หญิงใบหน้าหายร้อนเมื่อไรค่อยบอกข้า”
หวาหยางลูบใบหน้าของตนเองพลางพูดประชด “ใบหน้าข้าร้อนเพราะระหว่างทางตากแดดต่างหาก”
“อืม ประเดี๋ยวแดดจะยิ่งแผดเผากว่านี้อีก ตอนออกเดินทางคงต้องถือร่มสักคันแล้ว”
“วันหน้าข้าจะไม่ออกจากเมืองมาตอนหน้าร้อนเช่นนี้อีก”
“ฤดูร้อนถึงอากาศจะร้อน แต่ก็มีข้อดีของมันอยู่เช่นกัน”
น้ำเสียงของเขายามนี้ค่อนข้างแหบพร่า หวาหยางพอเดาได้อยู่เลาๆ ว่าคำว่า ‘ข้อดี’ ของเขานั้นหมายถึงอย่างไร นางจึงไม่ได้เอ่ยปากต่อความ
หลังพุ่มไม้สูงขนาดครึ่งตัวคนที่อยู่ไกลออกไป โจวจี๋ซ่อนตัวอยู่ที่นั่น
เดิมเขาคิดว่าอีกไม่นานจ่างกงจู่กับราชบุตรเขยก็จะเดินผ่านไป ถึงตอนนั้นเขาย่อมสามารถพาทหารองครักษ์ที่อยู่ทางนี้ถอยฉากออกไปด้วยเช่นกัน แต่รอมาตั้งนานแล้ว เขากลับไม่เห็นเงาร่างคุ้นตานั่น
หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
โจวจี๋ลอบชะโงกหน้าออกมา เห็นราชบุตรเขยพิงร่างอยู่ใต้ต้นไม้ ชายกระโปรงขององค์หญิงโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้
พวกเขากำลังทำอะไรกัน ถึงจะไม่เข้าใจแต่โจวจี๋ก็ไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปรบกวน
“เรียบร้อยแล้ว”
หวาหยางท่องบทสวดอยู่ในหัวหลายต่อหลายรอบ ในที่สุดก็สามารถสะกดความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นตลอดทางนั่นได้สำเร็จ
นางเดินออกมาจากหลังต้นไม้ ทว่าเพียงไม่นานก็สบเข้ากับสายตาของเฉินจิ้งจงที่มองมาอีก
หวาหยางรีบหลบ สองตามองตรงเดินผ่านข้างกายเขาไป คางเชิดขึ้นน้อยๆ เดินนำอยู่ทางด้านหน้า
แสงอาทิตย์เจิดจ้า จ่างกงจู่เดินช้าๆ ท่าทางเย่อหยิ่งเย็นชา ใบหน้าท่าทางล้วนงดงาม
เฉินจิ้งจงยกยิ้ม เร่งฝีเท้าอ้อมไปดักอยู่ทางด้านหน้า เงาอันเกิดจากร่างกายสูงตระหง่านของเขาทอดลงบนใบหน้าของนางพอดี
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 พ.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.