บทที่ 136
เพราะด้านนอกแสงแดดแผดเผา หวาหยางจึงไม่มีอารมณ์จะเดินเล่นต่อ ในใจปรารถนาเพียงอยากกลับไปพักกลางวันที่จวน เดินเล่นอยู่ในสวนกว้างใหญ่งดงามภายในจวนจ่างกงจู่ร่วมกับเฉินจิ้งจง ให้เขาได้พักผ่อนสบายๆ มีความสุขกับวันหยุด
พวกสาวใช้เก็บข้าวของ เฉินจิ้งจงนั่งรออยู่เป็นเพื่อนนางใต้ต้นอวี้หลันที่อยู่ในลาน
ต้นอวี้หลันสองต้นพุ่มใบเขียวชอุ่ม เงาของมันทอดอยู่บนพื้นกินบริเวณกว้าง
บนโต๊ะเตี้ยมีน้ำชากับองุ่นแดงวางอยู่ เพราะหวาหยางไม่ชอบกินเปลือกองุ่น เฉินจิ้งจงจึงรับผิดชอบช่วยลอกเปลือกองุ่นให้นาง
เนื้อองุ่นชุ่มฉ่ำ ท้องนิ้วของเฉินจิ้งจงเปื้อนน้ำองุ่นไปหมด เขาส่งองุ่นที่ลอกเปลือกออกแล้วไปตรงหน้าหญิงสาว
หวาหยางยกพัดกลมขึ้นบังหน้าของตนเองไว้ครึ่งหนึ่ง ไม่ให้พวกสาวใช้ได้เห็น หลังจากนั้นก็ก้มหน้ารับ ‘การปรนนิบัติรับใช้’ ของเฉินจิ้งจง
รอบๆ แสงอาทิตย์เจิดจ้า ขับดุนให้ใบหน้าของจ่างกงจู่ยิ่งขาวละเอียดมากขึ้น เว้นก็แต่ริมฝีปากแดงราวกับทาชาดมาคู่นั้น
ทว่าเฉินจิ้งจงรู้ นางเกิดมาก็งดงามเช่นนี้แล้ว
“ตอนนี้อากาศร้อนอบอ้าว ไว้อากาศเย็นกว่านี้อีกสักหน่อย พวกเราค่อยออกไปขี่ม้าเที่ยว ถึงตอนนั้นยังพอเที่ยวเล่นได้อีกสองสามที่”
หวาหยางเอ่ยถาม “ท่านตะลอนขี่ม้ากลับไปกลับมาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่นึกเบื่อบ้างหรือไร”
“เคยชินแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นขี่ม้าเป็นเพื่อนองค์หญิงกับขี่ม้าไปทำงานนั้นคนละเรื่องกัน”
หวาหยางไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ พอเห็นเฉินจิ้งจงวุ่นอยู่กับการลอกเปลือกองุ่น ตัวเขาไม่ได้กิน นางก็หยิบองุ่นลูกหนึ่งขึ้นมายัดใส่ปากเขา
เฉินจิ้งจงมองดูปลายนิ้วเรียวยาวงดงามของอีกฝ่าย เพราะเผลอกินเข้าไปทั้งเปลือกจึงถูกนางมองด้วยสายตารังเกียจชิงชังคราหนึ่ง
“องค์หญิงเติบใหญ่อยู่ในกระปุกน้ำผึ้ง จึงไม่รู้ว่ามีชาวบ้านเท่าไรที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะกินองุ่นสักลูก อย่าว่าแต่พวกเขาไม่รังเกียจเปลือกองุ่นหนาๆ เลย บางคนแม้แต่เมล็ดองุ่นก็ยังกลืนลงท้อง”
“ท่านก็เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่งเหมือนกันไม่ใช่หรือไร ต่อให้เป็นช่วงที่อยู่หลิงโจวก็คงไม่ถึงกับแม้แต่องุ่นสักจานก็ไม่มีให้กินกระมัง”
“ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้กินองุ่นที่จ่างกงจู่ป้อน”
หวาหยางถลึงตาใส่เขา
เฉาอวิ๋นกับเฉาเยวี่ยและขันทีน้อยอีกสองสามคนย้ายข้าวของเข้าๆ ออกๆ ลานเรือนเล็กๆ นี้ไม่หยุด พวกขันทีน้อยไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้ามอง เฉาอวิ๋นกับเฉาเยวี่ยกลับเห็นจ่างกงจู่กับราชบุตรเขยนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามของกันและกัน ถึงราชบุตรเขยจะถูกจ่างกงจู่ถลึงตาใส่อยู่หลายครั้งหลายหน ทว่าระหว่างพวกเขากลับมีความสนิทสนมที่สามารถตระหนักรับรู้แต่มิอาจถ่ายทอดเป็นคำพูดได้ ก็เหมือนนกกระจอกที่อยู่บนกิ่งต้นอวี้หลันคู่นั้น ที่ประเดี๋ยวก็วิ่งเล่นไล่จับกัน ประเดี๋ยวก็ใช้หัวกลมๆ ของมันอิงแอบอยู่กับอีกฝ่าย
กล่องลังที่นำออกมาล้วนนำขึ้นรถม้าไปหมดสิ้น เฉินจิ้งจงถือร่มดูแลคุ้มครองหวาหยางที่ยามนี้สวมหมวกม่านเดินลงเขาไป
มีเหล่าทหารองครักษ์เปิดทางอยู่ด้านหน้า พวกชาวบ้านที่มาจุดธูปไหว้พระขอพรจึงต่างพากันหลบไปอีกด้าน มองดูหวาหยางจ่างกงจู่กับราชบุตรเขยคู่รักที่ราวกับเทพอุ้มสมในตำนานค่อยๆ เดินจากไปไกลด้วยสายตานอบน้อมอยากรู้อยากเห็น
ในที่สุดก็มาถึงเชิงเขา รถม้าของหวาหยางจอดรออยู่ที่นั่นนานแล้ว ข้างๆ มีทหารองครักษ์นายหนึ่งยืนอยู่ ในมือถือเชือกจูงม้าของเฉินจิ้งจง เมื่อคืนเพราะเฉินจิ้งจงผูกม้าไว้ที่ตีนเขา เช้าตรู่เขาจึงสั่งให้โจวจี๋จัดเตรียมทหารองครักษ์ไปดูแล ป้องกันไม่ให้ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาจูงมันไป
สายตาของหวาหยางจับจ้องอยู่บนตัวม้าคราหนึ่งก่อนจะขึ้นรถม้าไป
ตอนเฉินจิ้งจงเดินมา เขาเห็นนางปลดหมวกม่านออกแล้ว ใบหน้าของนางยามนี้แดงระเรื่อเพราะตอนลงเขาถูกแสงอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผา
เขาคลายกระดุมคอเสื้อแล้วนั่งลงข้างนางก่อนจะช่วยโบกพัดให้
พอรถม้าเริ่มเคลื่อนตัว สายลมเย็นก็พัดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา หวาหยางรู้สึกสบายตัวขึ้น
“ม้าตัวนี้ท่านเลี้ยงมันมานานเพียงใดแล้ว” หวาหยางถาม
เฉินจิ้งจงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ม้าตัวนี้พี่ใหญ่มอบให้ตอนข้าเข้าเมืองหลวงมา เวลานั้นข้าอายุสิบแปด”
หวาหยางอดพูดไม่ได้ “พี่ใหญ่ดีต่อท่านจริงๆ”
“คนเป็นพี่ใหญ่ล้วนสมควรเป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือไร หากข้าเป็นพี่ใหญ่ ย่อมต้องดูแลน้องชายเฉกเดียวกัน”
“อย่าดีกว่า หากท่านเป็นพี่ใหญ่จริง คงมีแต่พาน้องๆ เสียคนหมดสิ้น”
“พูดเรื่องม้าต่อเถอะ พูดถึงพี่ใหญ่ข้าให้น้อยๆ หน่อย”
กลิ่นความริษยาจางๆ โผล่ออกมาอีกแล้ว หวาหยางคร้านเกินกว่าจะถลึงตาใส่เขา นางวกกลับไปพูดเรื่องม้า
“ปีนี้ท่านอายุยี่สิบห้าแล้ว เท่ากับว่าเลี้ยงม้าตัวนั้นมาเจ็ดปี มันคงใกล้แก่แล้วกระมัง”
“แก่อะไรกัน มันเพิ่งจะอายุสิบสาม ยังจัดอยู่ในวัยฉกรรจ์”
หวาหยางพอจะรู้เรื่องม้าอยู่บ้าง ปกติม้าอายุยี่สิบก็นับว่าแก่แล้ว ยิ่งกับม้าของพวกลูกเศรษฐีมีเงินทั้งหลาย แค่อายุสิบหกก็ถูกปลดระวางหมดสิ้นไม่นำมาขี่อีก
ฐานะของเฉินจิ้งจงแม้จะไม่ธรรมดา แต่เขากลับมีม้าใช้แค่ตัวเดียวเท่านั้น นับว่าประหยัดมัธยัสถ์อย่างยิ่ง หวาหยางถึงจะขี่ม้าน้อยครั้ง แต่ในโรงม้าของนางกลับมีม้าขาวงดงามเลี้ยงไว้ถึงสามตัว
เฉินจิ้งจงเอ่ยถาม “มีอะไร หรือองค์หญิงคิดจะมอบม้าชั้นเลิศให้ข้า?”
หวาหยางถามกลับ “แล้วท่านต้องการหรือไม่”
“เลิกพูดถึงเรื่องนี้เถอะ ม้าที่องค์หญิงมอบให้เชื่อว่าย่อมต้องเป็นม้าชั้นเลิศ หากข้าขี่ออกไป ตาเฒ่าเห็นเข้ามีหวังได้ตำหนิว่าข้าโอ้อวดแน่”
หวาหยางนับถือพ่อสามีเป็นเรื่องจริง แต่หากนางอยากมอบข้าวของดีๆ ให้เฉินจิ้งจง นางไหนเลยจะสนใจว่าพ่อสามีจะพูดจะคิดเช่นไร
ม้าของเฉินจิ้งจงน่าจะมีราคาค่างวดหลายสิบตำลึง เฉินป๋อจงยามนั้นไม่ว่าจะเอ็นดูน้องชายเพียงใดก็ไม่มีทางจ่ายเงินเพื่อซื้อม้าชั้นเลิศหลายร้อยตำลึงให้น้องชายได้ หนึ่งอาจเป็นเพราะเขาไม่มีเงินเก็บมากเพียงนั้น สองมีบิดาจับจ้อง มิหนำซ้ำเฉินป๋อจงยังกตัญญูว่านอนสอนง่าย ไหนเลยจะกล้าใช้เงินมากมายแลกกับการถูกบิดาผู้เข้มงวดตำหนิ
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาหวาหยางไม่เคยมีโอกาสได้เห็นเฉินจิ้งจงขี่ม้า ทั้งนี้ก็ด้วยเพราะใจนางจดจ่ออยู่กับเรื่องสำคัญถึงได้มองข้ามเรื่องนี้ไป
ทว่ายามนี้นางเห็นแล้ว ดังนั้นถึงได้คิดจะมอบม้าดีๆ ให้เขาสักตัว ให้เหมาะสมกับฐานะราชบุตรเขยของเขา ม้าหากวิ่งเร็วได้มากกว่าเดิมสักหน่อย เขาย่อมประหยัดเวลาเดินทางได้มากขึ้น
เฉินจิ้งจงปากบอกว่าไม่ต้องการ หวาหยางเองก็ไม่ได้ยืนกรานที่จะทำเช่นนั้นต่อ คล้ายไม่สนใจไยดีเท่าไรนัก
หลังกลับถึงจวนจ่างกงจู่ เฉินจิ้งจงก็นอนลงอยู่อีกด้านอย่างว่าง่ายแล้วบอกกับนาง “ข้าสั่งอู๋รุ่นให้เตรียมเรือเอาไว้แล้ว ตอนกลางคืนอากาศเย็นสบาย ข้าอยากล่องทะเลสาบ”
ทะเลสาบในจวนจ่างกงจู่ใหญ่โตไม่ใช่น้อย กว้างขวางมากพอจะให้นำเรือไปล่องเล่น
หวาหยางหันหลังให้เขา ส่งเสียงอืมคล้ายมีคล้ายไม่มีออกมาคำหนึ่ง แต่นางรู้ว่าเฉินจิ้งจงในใจกำลังคิดเรื่องอะไร เมื่อเช้าเขาอดทนอดกลั้นถึงเพียงนั้น จำต้องคิดวิธีการอะไรใหม่ๆ ถึงจะสามารถปลดปล่อยไฟปรารถนาในกายได้
ครั้นตกค่ำเฉินจิ้งจงก็ถ่อเรือประทุนพาหวาหยางไปกลางทะเลสาบ
ในประทุนจ่างกงจู่ที่นั่งอยู่บนตั่งอ่านหนังสือนั้นเขาเป็นคนอุ้มเข้ามาด้วยตนเอง อ่างดอกบัวกับข้าวของอีกจำนวนไม่น้อยก็ล้วนเป็นเขาย้ายมาตอนค่ำ
แสงจันทร์กระจ่างอาบไล้อยู่บนผิวน้ำสงบนิ่ง ครั้นราชบุตรเขยที่เป็นคนพายเรือวางไม้ถ่อเรือลงแล้วมุดเข้ามาในประทุน ระลอกคลื่นที่เกิดจากหัวเรือแล่นแหวกผ่านสายน้ำก็ค่อยๆ สงบลง
ทว่าเพียงไม่นานระลอกคลื่นลูกใหม่ก็กระเพื่อมไหวออกจากศูนย์กลางเรืออีกครั้ง ประเดี๋ยวเร็วประเดี๋ยวช้า ตัวเรือไม่ต่างอะไรกับถูกลมพายุไร้รูปร่างโถมถาเข้าใส่ ช้ายขวาแกว่งไกวหนักหน่วง
นับตั้งแต่เริ่มจนจบมีเพียงแสงจันทร์อ่อนละมุน
จนกระทั่งใกล้ยามไฮ่ในที่สุดเฉินจิ้งจงก็ปล่อยหวาหยาง
หวาหยางใช้เรี่ยวแรงกำลังที่เหลือพาตนเองกลับขึ้นตั่งอีกครั้ง นอนอยู่ข้างหน้าต่าง
เฉินจิ้งจงดึงม่านขึ้น เหลือเพียงม่านโปร่งบางๆ ชั้นหนึ่ง เรือลำน้อยแกว่งไกวไปมา หน้าต่างทางด้านนี้ยามนี้อยู่ฝั่งเดียวกับพระจันทร์บนท้องฟ้าพอดี บนพระจันทร์ครึ่งดวงมีเงามืดอยู่เล็กน้อยคล้ายหูยาวๆ ของกระต่ายหยก
หวาหยางหยิบผ้าห่มผืนบางที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาห่มคลุมตามสัญชาตญาณ
เฉินจิ้งจงโอบกอดนางจากทางด้านหลัง ยิ้มอยู่ข้างหูนาง “กลัวฉางเอ๋อร์จะเห็นเข้าอย่างนั้นหรือ”
“ข้าเพียงรู้สึกหนาวนิดหน่อยเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นฉางเอ๋อร์เองก็ไม่ใช่ท่าน เหตุใดนางต้องมองข้าด้วย”
เฉินจิ้งจงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงผ้าห่มครึ่งหนึ่งไปปิดร่างกายของตนเอง “เช่นนั้นข้าก็คงต้องกันไม่ให้นางลอบมองข้าแล้ว”
หวาหยางนึกอยากสั่งให้เขาปิดปาก
เฉินจิ้งจงนอนเป็นเพื่อนนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสวมกางเกงตัวใน นั่งยองๆ อยู่หน้าอ่างสำริดสองใบ ล้างทำความสะอาดของสิ่งนั้นอยู่ใต้แสงตะเกียงด้วยท่าทีจริงจัง
หวาหยางหันกลับมา พอเห็นเขาเอาจริงเอาจังเช่นนั้นก็อดถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ “ท่านไม่รู้สึกว่ามันยุ่งยากเกินไปหน่อยหรือไร”
เฉินจิ้งจงมองนางปราดหนึ่ง “มีอะไรยุ่งยาก พวกมันล้วนเป็นของวิเศษล้ำค่า ข้าไม่ใช่พวกข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน* เป็นคนลืมบุญคุณคน”
หวาหยางชะงักไปชั่วขณะ “ข้าหมายความว่าตอนนี้ท่านข้าไม่ได้อยู่ในช่วงแสดงความกตัญญูแล้ว หรือท่านไม่คิดที่จะเลิกใช้มัน?”
“องค์หญิงคิดเช่นไร”
หวาหยางพูดออกมาตามตรง “ข้ารู้สึกว่าหลังจากของที่ท่านอาหญิงส่งมาให้ถูกใช้หมด พวกเราย่อมสามารถปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติได้ นึกไม่ถึงว่าท่านกลับไปสั่งมาเพิ่มอีก”
เดิมของที่ท่านอาหญิงมอบให้ปีหน้าก็ใช้หมดแล้ว แต่เพราะเสด็จพ่อสิ้นทำให้นางต้องไว้ทุกข์หนึ่งปี ดังนั้นของที่อยู่ในจวนจึงสามารถใช้ยาวไปได้ถึงปีรัชศกหยวนโย่วที่สาม
ถึงยามนั้นหวาหยางก็อายุยี่สิบสี่แล้ว หากพ่อสามียังแข็งแรงดี น้องชายนางก็ไม่ได้คิดแค้นอะไรอีกฝ่าย หวาหยางย่อมไม่มีเรื่องอันใดให้ต้องครุ่นคิดวิตกกังวลอีก
ที่นางประหลาดใจก็คือเฉินจิ้งจงไม่ห่วงเรื่องมีลูกเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังไปหาหนทางป้องกันการตั้งครรภ์เองอีก
ดวงตาของหวาหยางสบอยู่กับดวงตาดำขลับสะท้อนแสงไฟของเฉินจิ้งจง นางพูดอย่างสงสัย “พี่ใหญ่พี่สามล้วนมีบุตรชายบุตรสาวแล้ว ท่านไม่นึกอิจฉาพวกเขาจริงหรือ”
“อิจฉา แต่ไม่รีบร้อน องค์หญิงกับข้าถึงจะแต่งกันมาสี่ปีกว่าแล้ว แต่ในช่วงระยะเวลาสองปีแรก ปีที่หนึ่งพวกเราไว้ทุกข์ให้กับฮูหยินผู้เฒ่านานหนึ่งปีเต็ม หลังจากนั้นยังต้องไว้ทุกข์ให้กับอดีตฮ่องเต้อีกหนึ่งปี วันเวลาที่พวกเราอยู่กันอย่างมีความสุข คิดมาคิดไปอย่างมากก็แค่หนึ่งปีครึ่งเท่านั้น ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีครึ่งนี้ข้าส่วนใหญ่ล้วนออกจากบ้านแต่เช้า กว่าจะกลับมาก็มืดค่ำแล้ว ไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนองค์หญิงเท่าไรนัก กระทั่งเวลาอยู่เป็นเพื่อนองค์หญิงก็ยังไม่มี แล้วจะเอากะจิตกะใจจากที่ใดไปอบรมเลี้ยงดูบุตร”
หวาหยางไม่เข้าใจนัก เขากับนางตอนกลางวันอยู่ด้วยกันน้อยก็จริง ทว่าตอนกลางคืนกลับตัวติดกันตลอด พบหน้ากันแทบทุกคืน เช่นนี้ยังเรียกว่าน้อยอีกหรือ
ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ ทว่าสองตากลับใสกระจ่าง ความรู้สึกงุนงงสงสัยก่อนหน้านี้จางหายไปหมดสิ้น
เฉินจิ้งจงยกยิ้ม จัดการล้างของที่อยู่ในมือจนสะอาด สุดท้ายก็ตรวจสอบดูอีกรอบว่ามีอะไรรั่วซึมหรือไม่ หลังจากนั้นก็เอาไปตากไว้บนชั้นที่อยู่ด้านข้าง
เขาล้างมืออีกรอบก่อนจะจุ่มผ้าลงไปในน้ำ ย้ายมาปรนนิบัติรับใช้บรรพบุรุษตัวน้อยช่วยอีกฝ่ายเช็ดเหงื่ออยู่ที่ข้างตั่ง
หวาหยางรู้สึกสบายเนื้อสบายตัว นางทำเพียงหลับตาลง
จ่างกงจู่ทั้งสูงส่งทั้งมั่นใจในตนเอง ดังนั้นจึงมักสำรวมท่าที จะมีเพียงยามนี้ที่นางเกียจคร้านเรียกให้เขาปรนนิบัติรับใช้เท่านั้นถึงจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่สะทกสะท้านเช่นนี้
แสงจันทร์กระจ่างใสดุจน้ำลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาจับอยู่บนเรือนร่างที่ปราศจากตำหนิของจ่างกงจู่
เฉินจิ้งจงหลุบตา ช่วยนางเช็ดเนื้อเช็ดตัวพลางถาม “องค์หญิงคิดว่าสามีภรรยาเป็นเช่นไร”
นิ้วมือของหวาหยางกุมผ้าปูที่นอนแพรไหมที่ปูอยู่บนตั่งอย่างยากจะสังเกตเห็น นางตอบว่า “หนึ่งหญิงหนึ่งชาย แต่งงานกันย่อมกลายเป็นสามีภรรยา”
“การแต่งงานก็เป็นแค่เพียงพิธีการ ทำให้คนสองคนได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันอย่างเป็นทางการเท่านั้น แต่พอเกิดเรื่องอะไรขึ้นสามีภรรยาในนามเหล่านั้นก็ล้วนแยกทางเดินกันง่ายดาย”
หวาหยางเบิกตาขึ้นอย่างรวดเร็ว มองดูเขาอย่างไม่นึกเชื่อ “ท่านยังกลัวว่าข้าจะปลดท่านออกจากตำแหน่งราชบุตรเขย?”
เขามักจะพูดคำนี้ออกมา หวาหยางทำได้เพียงถือเสียว่าเขาปากไม่มีหูรูด
เฉินจิ้งจงพูดอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง “รุ่งเพราะเซียวเหอ ดับเพราะเซียวเหอ”
หวาหยางขมวดคิ้ว “ท่านหมายความเช่นไร”
“เพราะตาเฒ่า ข้าถึงสามารถแต่งงานกับองค์หญิง แต่หากวันใดตาเฒ่าล้ม ท่านข้าจะเป็นเช่นไร”
หวาหยางสะท้านไปทั้งใจ เผลอคิดไปว่าเฉินจิ้งจงรู้อะไรเข้าให้แล้วเสียอีก!
ทั้งหมดเป็นเพราะสีหน้าท่าทางของเขาราบเรียบเกินไป ผนวกกับการแสดงออกทั้งหลายทั้งปวงของเขา หวาหยางจึงเข้าใจผิดคิดไปว่าเขารู้อะไรบางอย่างเข้าให้แล้ว แต่อันที่จริงเขาไม่รู้เรื่องอันใดแม้แต่น้อย เพราะหากเขาล่วงรู้ถึงจุดจบของบิดารวมถึงจุดจบของบ้านสกุลเฉินเมื่อชาติที่แล้วล่ะก็ เขาย่อมไม่มีทางปฏิบัติต่อนางเช่นนี้แน่นอน
“พอเถอะ เหตุใดต้องพูดเรื่องไม่เป็นมงคลเช่นนี้ด้วย” หวาหยางนึกโมโหขึ้นมาเล็กน้อย “ต่อให้ท่านเป็นลูกแท้ๆ ของท่านพ่อ อย่างไรก็ไม่ควรสาปแช่งเขาตลอดเวลา”
“ข้าไม่ได้แช่งเขา เพียงแต่เขายามนี้ล่วงเกินผู้คนมากเกินไป คนที่คัดค้านเขาหรือก็มีมากยิ่งนัก ไม่แน่ว่าอาจมีวันใดสักวันที่คนพวกนั้นสามารถล้มคว่ำเขาได้”
หวาหยางนิ่งเงียบ
นางเหมือนจะไม่เคยพูดคุยถึงสถานการณ์ในราชสำนักกับเฉินจิ้งจงอย่างจริงจังเช่นนี้มาก่อน
ขณะที่นางคิดจะพูดปลอบใจเขาด้วยคำพูดที่นางเองก็ไม่มั่นใจอย่างเสด็จแม่และน้องชายของนางต้องสนับสนุนพ่อสามีตลอดแน่ออกมา เฉินจิ้งจงก็เอ่ยปากขึ้นก่อน
“องค์หญิงไม่อยากให้ข้าตาย แต่หากวันนั้นมาถึงจริง ตาเฒ่าไร้สิ้นยศถา ข้ากลายเป็นบุตรชายของชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่ง หรือไม่ก็ตาเฒ่าต้องโทษ ข้ากลายเป็นลูกของขุนนางนักโทษ ท่านจะทำเช่นไร”
หวาหยางไม่เคยคิดถึงปัญหาข้อนี้มาก่อน
เพราะชาตินี้เรื่องราวที่ว่ายังไม่เกิดขึ้น ส่วนชาติที่แล้วถึงคำพูดจากปากเขาพวกนั้นจะเกิดขึ้นจริง แต่เขาก็ชิงตายจากไปเสียก่อน บ้านสกุลเฉินถูกเนรเทศไปชายแดน นางก็ยังคงเป็นจ่างกงจู่ผู้สูงศักดิ์
เฉินจิ้งจงลูบใบหน้าของนาง “ข้าไม่ปรารถนาจะใช้ลูกของเราผูกมัดองค์หญิงไว้”
บทที่ 137
หวาหยางนึกไม่ถึงว่าหลังเฉินจิ้งจงล้างของสิ่งนั้นเสร็จไม่ทันไร เขาจะเปลี่ยนมาพูดคุยจริงจังหนักแน่นได้เช่นนี้
นอกเหนือความคาดหมายมากจนนางไม่รู้ว่าตนเองควรตอบกลับเช่นไร
เฉินจิ้งจงช่วยนางสวมเสื้อผ้า ก่อนจะหยิบเสื้อนอกของตนเองขึ้นมาห่อคลุมร่างแล้วเดินออกไปถ่อเรือต่อ
เรือส่ายไหวไปมา หวาหยางนอนหนุนหมอน มองดูพระจันทร์ที่แขวนตัวอยู่บนท้องฟ้าห่างไกลผ่านม่านโปร่งที่บังขวางอยู่เบื้องหน้า
อันที่จริงเฉินจิ้งจงก็เพียงชอบทำตัวปากไม่มีหูรูดเท่านั้น เวลาต้องจริงจังขึ้นมาเขาล้วนจริงจังกว่าผู้ใด
เขาสามารถตะลอนไปมาอยู่บนเขาท่ามกลางพายุฝน ช่วยพวกชาวบ้านลี้ภัยโดยไม่ปริปากบ่น ไม่นึกอิจฉาพี่ชายที่เป็นขุนนางบุ๋นทั้งสองว่าได้ทำงานสบายกว่าตนเอง
เขาสามารถปรับปรุงกององครักษ์หลิงโจวอยู่ท่ามกลางขุนนางละโมบ ช่วยเหล่าทหารแย่งชิงไร่นาของกององครักษ์กลับมา ไม่อยากได้ใคร่มีประสงค์ในทรัพย์ ลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับขุนนางละโมบพวกนั้น
จริงอยู่ที่เขาอาศัยฐานะบุตรชายของเก๋อเหล่า อาศัยฐานะราชบุตรเขยเลื่อนขั้นขึ้นเป็นขุนนาง เป็นผู้บัญชาการขั้นสามได้อย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อาศัยความสามารถส่วนตัวนำพากององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงครองอันดับหนึ่งในการแข่งขัน อีกทั้งยังสร้างความดีความชอบในการปราบกบฏอวี้อ๋องอีกด้วย
การที่บุรุษซึ่งฉลาดปราดเปรื่องซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาเช่นนี้จะดูวิกฤตที่ซ่อนแฝงอยู่ภายใต้ความรุ่งโรจน์ของบ้านสกุลเฉินออก มีอันใดนอกเหนือความคาดหมายอย่างนั้นหรือ
บางทีหากหวาหยางเป็นเพียงสตรีธรรมดาทั่วไป เฉินจิ้งจงอาจบอกเล่าถึงความวิตกกังวลที่เขามีต่อครอบครัวให้นางฟังนานแล้ว เพียงแต่เพราะนางเป็นจ่างกงจู่ เป็นคนของราชสำนัก เขาถึงไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับนาง ป้องกันไม่ให้นางเข้าใจผิดแล้วเผลอหลุดปากพูดอะไรต่อฮ่องเต้กับไทเฮา ทำให้เรื่องพูดคุยยามว่างระหว่างสามีภรรยากลายเป็นเรื่องใหญ่พัวพันถึงราชสำนัก
เขารู้ว่าการปฏิรูปของผู้เป็นบิดานั้นไม่ใช่ง่าย แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะเตือนบิดาของตนมาก่อน ทำเพียงเตรียมการรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับบ้านสกุลเฉินอยู่เงียบๆ
การเตรียมการนี้ยังรวมถึงการไม่ใช้ลูกมาผูกมัดนาง
ผูกมัดไม่ผูกมัดอะไรกัน หากนางเห็นเขาไม่เข้าตา ต่อให้นางมีลูก นางก็ไม่มีทางคล้อยตามเขา
แต่เป็นตัวเฉินจิ้งจงเองต่างหาก เขาไม่เชื่อว่าชาตินี้นางไม่มีทางปลดเขาออกจากตำแหน่งราชบุตรเขย และยิ่งกลัวว่าเพราะมีลูก นางถึงต้องยอมล่มหัวจมท้ายอยู่กับราชบุตรเขยที่ทั้งตระกูลกำลังจมอยู่ในบ่อโคลน
เฉินจิ้งจงถามนางว่าเข้าใจหรือไม่ว่าสามีภรรยาคืออะไร
หวาหยางเข้าใจ เพราะนางเคยเห็นมาก่อน
สามีภรรยาที่แท้จริงจะยินดีร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่ด้วยกัน ก็เหมือนหลัวอวี้เยี่ยนกับเฉินเซี่ยวจง คุณหนูจวนโหวบอบบาง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าหลังเกิดเรื่องขึ้นกับบ้านสกุลเฉินนางสามารถเขียนหนังสือหย่าขาดตัดสัมพันธ์กับพวกเขาได้ แต่แทนที่หลัวอวี้เยี่ยนจะทำเช่นนั้น นางกลับยอมถูกตีตรวนตามเฉินเซี่ยวจงไปเผชิญหน้ากับความยากลำบากที่ชายแดนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ
เฉินจิ้งจงไม่ปรารถนาให้หวาหยางผู้เป็นภรรยาต้องเป็นเช่นนั้น ดังนั้นจึงเลือกยินดีเป็นฝ่ายปล่อยวางเอง เพราะเขาเป็นบุรุษหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี หากเกิดอันใดกับบ้านสกุลเฉินจริง เขาย่อมยินดีร่วมเป็นร่วมตายกับบ้านสกุลเฉิน แต่เขาไม่หวังให้หวาหยางต้องมาตกทุกข์ได้ยาก ล่มหัวจมท้ายกับเขาเพียงเพราะลูกๆ ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อนมีทายาท และยิ่งปรารถนาจะถนอมวันเวลาแห่งความสุขของพวกเขาสองคนนี้ไว้
“ใกล้ถึงฝั่งแล้ว”
หลังเฉินจิ้งจงเอ่ยปากเตือนออกมาสั้นๆ เรือก็สั่นสะท้านเบาๆ ก่อนจะหยุดนิ่งอีกคราว
หวาหยางลุกขึ้นนั่ง
ม่านตรงทางเข้าประทุนเรือถูกเลิกเปิด เฉินจิ้งจงเดินเข้ามาพลางมองดูนางแล้วเอ่ยปากหยอกเย้า “บรรพบุรุษตัวน้อย ท่านเดินเองได้หรือไม่”
หวาหยางถลึงตาใส่เขา
เฉินจิ้งจงเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าตั่ง หวาหยางหมอบลงบนแผ่นหลังของเขา
ขณะที่เฉินจิ้งจงเตรียมจะเดินออกไปข้างนอก หวาหยางก็โอบคอของเขาแล้วกระซิบลงที่ข้างหูแผ่วเบา “เรื่องการแต่งงานระหว่างท่านกับข้า แน่นอนว่าเกิดขึ้นได้เพราะท่านพ่อ แต่ไม่ว่าวันหน้าท่านพ่อจะเป็นเก๋อเหล่าหรือเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่ว่าบ้านสกุลเฉินจะเป็นตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงหรือตกต่ำเป็นเพียงชาวบ้านตัวเล็กๆ ข้าล้วนไม่ปลดท่าน ข้าจะปลดท่านมีเพียงเพราะท่านทำเรื่องผิดต่อข้า”
เฉินจิ้งจงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกล่าว “ต่อให้มอบความกล้าให้ข้าอีกนับร้อย ข้าก็ไม่มีทางกล้าทำเรื่องผิดต่อองค์หญิง”
เขายังพูดจาเหลวไหลออกมาอีก หวาหยางฮึดฮัดแล้วเอ่ยว่า “วันหน้าห้ามท่านพูดจาอัปมงคลเช่นนี้อีก”
เฉินจิ้งจงเริ่มเดินออกไป “องค์หญิงถามข้าเรื่องลูกก่อน ข้าเพียงตอบตามความจริงเท่านั้น ไม่ได้หรือไร”
หวาหยางหยิกคอของเขาไปหลายที
เฉินจิ้งจงหยุดอยู่หน้าทางเข้าออก รอจนหวาหยางหยุดมือเขาถึงหันหน้ากลับไปถาม “องค์หญิงถามว่าข้าร้อนใจอยากเป็นพ่อคนหรือไม่ หากข้าตอบว่าใช่ องค์หญิงยินดีจะให้กำเนิดทายาทกับข้าอย่างนั้นหรือ”
หวาหยางไม่ยินดี พ่อสามียังมีโทษอีกสามประการที่ยังไม่ได้แก้ไข การตั้งครรภ์จะกินแรงกายแรงใจของนางนานเป็นปี ถึงตอนนั้นนางไหนเลยจะสบายอกสบายใจตั้งครรภ์ได้
นางย้อนถาม “ตอนนี้ท่านอยากเป็นพ่อคนแล้วจริงๆ?”
“หากองค์หญิงรีบร้อนจะเป็นแม่คน คืนนี้ข้าย่อมสามารถมอบให้องค์หญิงได้ แต่หากองค์หญิงไม่รีบร้อน พวกเราก็รอต่อไป ไว้สถานการณ์ภายนอกมั่นคงแล้ว ข้าย่อมสามารถตั้งอกตั้งใจดูแลบรรพบุรุษน้อยใหญ่ทั้งสองได้”
“แล้วเมื่อไรถึงจะเรียกว่ามั่นคง”
เฉินจิ้งจงพูดเสียงแผ่วเบา “คงเป็นตอนที่ฝ่าบาทสามารถบริหารราชกิจได้ด้วยตนเองกระมัง ตอนนี้เรื่องใหญ่ทั้งหลายล้วนอาศัยไทเฮากับทางสภาขุนนางเป็นคนตัดสิน ฮ่องเต้อายุยังน้อย ยังดูท่าทีของเขาไม่ออก ไว้เขาดูแลปกครองบ้านเมืองด้วยตนเองก่อน ถึงตอนนั้นทุกอย่างย่อมกระจ่าง”
หวาหยางนิ่งเงียบ
เฉินจิ้งจงจึงเอ่ยต่อ “องค์หญิงคงไม่นำคำพูดนี้ของข้าไปบอกกับฝ่าบาทกระมัง”
“ข้าไม่ได้โง่เสียหน่อย”
“องค์หญิงไม่โง่ แต่องค์หญิงกับฝ่าบาทสนิทสนมกัน ข้ากลัวจริงๆ ว่าท่านจะหักหลังข้า กลับไปหากฝ่าบาทเห็นข้าขวางหูขวางตา ตาเฒ่าตำหนิว่าข้าปากมากเผลอพูดอะไรไม่ควรออกมา สุดท้ายข้าคงไม่เป็นที่พอใจของใครเลย”
“หากท่านกลัวจริงก็คงไม่พูดกับข้าแล้ว”
เป็นสามีภรรยากันมาสี่ปีกว่า ต่อให้ยังไม่อาจเข้าใจซึ่งกันและกันได้ทุกเรื่อง แต่ก็ต่างรู้ว่าอีกฝ่ายนิสัยเป็นเช่นไร เหมือนอย่างที่นางมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเฉินจิ้งจงที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่วงทีหน้าด้านไร้ยางอายนั่น เฉินจิ้งจงเองก็รู้อยู่นานแล้วว่านางไม่มีทางเอาเรื่องของสามีภรรยาเข้าไปปะปนกับเรื่องการบ้านการเมือง
เฉินจิ้งจงเดินขึ้นฝั่ง กวาดตามองไปรอบๆ ครั้นมั่นใจว่าไม่มีคนเขาก็ยิ้มออกมา มองดูหวาหยางพลางกล่าว “ข้ายังคิดว่าองค์หญิงจะบอกว่าในใจของท่าน ข้ากับฝ่าบาทล้วนเป็นคนสนิท หรือไม่ก็ข้าสนิทสนมยิ่งกว่าเสียอีก”
หวาหยางเองก็แย้มยิ้ม “ท่านฝันหวานจริงๆ”
เช้าวันต่อมาเฉินจิ้งจงขี่ม้าตัวเดิมของตนไปกององครักษ์
หลังหวาหยางกินอาหารเช้าเสร็จ นางก็เรียกอู๋รุ่นมาพบแล้วบอกให้เขาไปตลาดม้า ดูว่ามีม้าชั้นยอดบ้างหรือไม่
ม้าดีที่สามารถเอามาขายที่เมืองหลวงได้โดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นม้าเหมิงกู่ ทว่าม้าเหมิงกู่เองก็มีแบ่งแยกดีเลว ม้าชั้นยอดที่นานทีปีหนถึงจะพบเห็นได้สักครั้ง พวกพ่อค้าล้วนส่งข่าวแจ้งต่อตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงก่อนเป็นอันดับแรกแล้ว อีกทั้งยังขายพวกมันออกไปจนสิ้น ถึงม้าที่เหลือจะจัดว่าเป็นม้าชั้นยอด แต่สำหรับหวาหยางแล้วพวกมันยังคงดีไม่พอที่จะนำไปส่งมอบเป็นของขวัญได้
อู๋รุ่นรู้จักสายตาของจ่างกงจู่ดีที่สุด หลังจากวิ่งตะลอนอยู่ด้านนอกเป็นนาน เขาก็กลับมารายงาน “ทูลจ่างกงจู่ ในตลาดม้ายามนี้ไม่มีม้าชั้นเลิศที่ทำให้คนตาลุกวาวได้ ทว่ากระหม่อมได้แจ้งต่อพ่อค้าม้าเหล่านั้นแล้ว หากพวกเขามีม้าฝูงใหม่เข้ามา ให้ส่งข่าวมาที่จวนของพวกเราก่อน”
ต่อให้เมืองหลวงมีขุนนางเดินกันอยู่เต็มไปหมด นอกวังหลวงก็ไม่มีบ้านไหนตระกูลใดที่จะมีอำนาจบารมีมากไปกว่าจวนจ่างกงจู่ของหวาหยางนี้
หวาหยางเอ่ยถาม “ต้องรอนานเท่าไร”
“ก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์น่าจะมีม้าฝูงใหม่ส่งเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ”
นับวันเวลาดู ยังต้องรออีกประมาณเดือนกว่า
หวาหยางบอกให้อู๋รุ่นคอยติดตามเรื่องนี้ นางตัดสินใจวางเรื่องซื้อม้าลงก่อนชั่วคราว
พอถึงวันที่หนึ่งเดือนแปด หวาหยางเข้าวังไปพบเสด็จแม่เหมือนเช่นเคย
ชีไทเฮาเห็นบุตรสาวหน้าตาอิ่มเอิบมีสง่าราศีเช่นนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าบุตรสาวอยู่นอกวังมีอิสรเสรีมากกว่าอยู่ในวังหลวง ทว่าออกเรือนไปก็เกือบจะห้าปีแล้ว ชีไทเฮาเกรงว่านางจะทำตัวเป็นอิสระมากไปจนราชบุตรเขยเข้าใจว่าในใจนางไม่มีเขา เป็นเหตุให้สองสามีภรรยาห่างเหินกัน
“เจ้าอายุยี่สิบสองแล้ว จะว่าไปก็ควรมีทายาทได้แล้ว” ชีไทเฮาเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ชีไทเฮาเป็นมารดาผู้เข้มงวด ชาติที่แล้วอีกฝ่ายว่าอย่างไรหวาหยางล้วนไม่กล้าขัด ทว่าชาตินี้นางกลับไม่ได้หวาดเกรงถึงเพียงนั้น ตรงกันข้ามกลับจีบปากตอบ
“หากเสด็จแม่ยังเร่งรัดลูกอีก วันหน้าลูกจะไม่เข้าวังมาแล้วนะเพคะ”
ชีไทเฮา “…ที่แม่พูดก็เพราะหวังดีต่อเจ้า”
“ที่ลูกพูดก็เพราะหวังดีต่อเสด็จแม่เช่นกันเพคะ หากครั้งหน้าลูกยังคงดื้อรั้น เสด็จแม่จะได้ไม่ต้องกริ้วอีก”
ชีไทเฮารู้สึกว่านับวันเหตุผลข้างๆ คูๆ ของบุตรสาวเหมือนจะยิ่งมากขึ้นทุกขณะ เพียงแต่ตอนบุตรสาวยังเล็กนางสามารถให้หมัวมัวช่วยจับตาดู สั่งให้บุตรสาวตั้งอกตั้งใจศึกษาจริยวัตรได้ ทว่ายามนี้นางไหนเลยจะสามารถเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องราวในห้องหอของบุตรสาวกับราชบุตรเขยได้
ขณะที่พวกนางสองแม่ลูกต่างไม่มีใครยอมใคร หยวนโย่วฮ่องเต้ก็มาถึงพอดี
หลังผู้เป็นน้องชายแสดงคารวะเสร็จ หวาหยางก็หาข้ออ้างพาเขาไป สองพี่น้องเปลี่ยนสถานที่พูดคุยกัน
“เสด็จพี่ทำเสด็จแม่กริ้วกระนั้นหรือ” หยวนโย่วฮ่องเต้รู้จักสังเกตวาจาและสีหน้าคน โดยเฉพาะกับสีหน้าของผู้เป็นมารดา
หวาหยางนั่งอยู่ในศาลารับลม บอกพวกเฉาหลี่กับเฉาอวิ๋นให้ถอยออกไปก่อน หลังจากนั้นถึงพูดคุยเรื่องราวส่วนตัวกับผู้เป็นน้องชาย
“เสด็จแม่เร่งให้พี่มีลูก พี่ไม่พอใจ”
สายตาของหยวนโย่วฮ่องเต้กวาดมองไปที่ท้องน้อยของผู้เป็นพี่สาวอย่างรวดเร็ว ติ่งหูพลันแดงระเรื่อ
หวาหยางไม่ได้ตั้งใจคุยเรื่องนี้กับผู้เป็นน้องชาย นางเพียงต้องการยกย่องเฉินจิ้งจงกับบ้านสกุลเฉินอ้อมๆ เท่านั้น
“บ้านอื่นมักเป็นพ่อแม่สามีกับสามีที่ร้อนอกร้อนใจเรื่องนี้ แต่ครอบครัวสามีของพี่กลับไม่ร้อนใจ มารดาแท้ๆ กลับร้อนใจที่สุด”
หยวนโย่วฮ่องเต้ถึงวันๆ จะถูกเสด็จแม่กับเหล่าขุนนางกรอกหูเรื่องจริยธรรมข้อบัญญัติสารพัด แต่กระนั้นเขาก็ยังคงเข้าใจความหมายของผู้เป็นมารดาได้
“เสด็จแม่เพียงเป็นห่วงกลัวว่าหากเสด็จพี่ยังไม่ตั้งครรภ์อีกจะถูกชาวบ้านครหาเอาได้ก็เท่านั้น”
“แล้วอย่างไร หรือเจ้าเองก็เข้าข้างเสด็จแม่ด้วย?”
คิ้วเรียวของนางเลิกสูง ราวกับหากหยวนโย่วฮ่องเต้กล้าพยักหน้า นางก็จะระเบิดโทสะใส่เขา
หยวนโย่วฮ่องเต้ไหนเลยจะกล้าล่วงเกินผู้เป็นพี่สาว หากอีกฝ่ายแค่โกรธก็ยังพอว่า ถ้านางคิดว่าแม้แต่คนในครอบครัวก็ยังไม่ช่วย ถึงตอนนั้นนางคงต้องเป็นทุกข์แน่
หยวนโย่วฮ่องเต้รีบตอบ “ข้าย่อมต้องสนับสนุนเสด็จพี่ เสด็จพี่อยากมีบุตรเมื่อไรก็เมื่อนั้น ผู้ใดกล้านินทาท่านลับหลัง ข้าจะให้องครักษ์เสื้อแพรจับมันผู้นั้นเสีย”
หวาหยางแย้มยิ้ม “เพียงน้ำใจนี้ของเจ้า พี่ก็พอใจแล้ว อย่าให้ถึงขนาดต้องไปวุ่นวายกับเหล่าองครักษ์เสื้อแพรเลย”
สองพี่น้องตัดสินใจเลิกพูดเรื่องนี้ชั่วคราว เปลี่ยนไปพูดคุยถึงเรื่องราวใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในวังนอกวังตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
ที่หวาหยางพูดถึงคือการเดินทางไปยังวัดหงฝูของนางกับเฉินจิ้งจง “เขานับว่าโชคดีที่เดินทางไปจริงๆ ไม่อย่างนั้นข้าจะลงโทษให้เขาโกนผมบวชอยู่ที่วัดหงฝู”
หยวนโย่วฮ่องเต้ลอบปาดเหงื่อแทนเฉินจิ้งจง ฝนตกหนักถึงเพียงนั้น หากเป็นเขา คาดว่าคงไม่ออกจากบ้านไปที่ใดแน่ โชคดีที่เฉินจิ้งจงเป็นคนสัตย์ซื่อตรงไปตรงมา อีกทั้งยังเห็นผู้เป็นพี่สาวของเขาเป็นคนสำคัญ ถึงรักษาเส้นผมของตนเองเอาไว้ได้
หลังหวาหยางเล่าจบก็เปลี่ยนมาถึงคราวของหยวนโย่วฮ่องเต้บ้าง อ่านตำราดูงานราชกิจล้วนเป็นเรื่องน่าเบื่อ เขารู้สึกว่าผู้เป็นพี่สาวไม่น่าจะชอบฟังเรื่องพวกนั้น จึงเลือกเอาฎีกาที่น่าสนใจขึ้นมาพูด อย่างเช่นขุนนางท้องถิ่นบางคนเพราะปล่อยให้อนุรังแกภรรยาหลวง ดังนั้นจึงถูกพ่อตาที่เป็นขุนนางเช่นเดียวกันถวายฎีกาเล่นงาน
“ใช่แล้ว ทูตจากทางต๋าต๋า ที่นำม้าชั้นเลิศมาถวายเป็นบรรณาการให้กับทางราชสำนักตอนนี้มาถึงจี้โจวแล้ว คาดว่าอีกสองสามวันน่าจะมาถึงเมืองหลวง ราชบุตรเขยองอาจห้าวหาญ ข้าตั้งใจว่าจะคัดเลือกม้าชั้นดีที่พวกเขานำมามอบให้กับทางราชสำนักสักตัวให้เป็นของขวัญกับราชบุตรเขย”
หวาหยางตกใจ สินค้าเลื่องชื่อของต๋าต๋าคือม้าชั้นเลิศ ทว่าม้าจัดเป็นยุทธปัจจัยสำคัญ พ่อค้าม้าคิดจะเอาม้าจากทุ่งหญ้าส่งเข้ามาขายที่จงหยวน ล้วนต้องผ่านการเห็นชอบจากขุนนางของทางต๋าต๋าก่อน จำนวนม้าและระดับของมันล้วนมีขีดจำกัด พูดได้ว่าม้าในมือของเหล่าพ่อค้าม้าที่ถูกยกย่องส่งเดชว่าเป็น ‘อาชาพันหลี่’ นั้น หากนำไปเทียบกับม้าจากทุ่งหญ้าพวกนั้นบางทีอาจเป็นเพียงม้าชั้นกลางเท่านั้น
ต่างกับม้าบรรณาการที่ทางต๋าต๋ามอบให้ราชสำนัก ม้าชั้นดีห้าร้อยตัว ไม่ว่าเช่นไรก็ต้องมีสุดยอดม้าปะปนอยู่บ้างสักสองสามตัวแน่ หาไม่แล้วย่อมทำท่านข่านแห่งต๋าต๋าเสียหน้า
“เหตุใดจู่ๆ ถึงคิดจะตกรางวัลให้เขา” หวาหยางถามคล้ายไม่ใส่ใจ
“เขาเป็นสามีของเสด็จพี่ เขาดีต่อท่าน ข้าตกรางวัลให้เขาเป็นม้าตัวหนึ่งไม่อาจนับเป็นอะไรได้”
“เอาล่ะ ประเดี๋ยวพี่จะไปทูลกับเสด็จแม่ บอกว่านี่เป็นของรางวัลที่พี่จงใจขอเจ้าเอาไปมอบให้ราชบุตรเขยก็แล้วกัน เสด็จแม่จะได้ไม่เที่ยวสงสัยว่าพี่รังแกราชบุตรเขยอยู่ตลอด อีกอย่างตอนเจ้ามอบมันให้กับเขา อย่าลืมบอกให้เขารู้ว่านี่เป็นความดีความชอบของพี่ ให้เขารับน้ำใจของพี่ไว้”
หยวนโย่วฮ่องเต้ “…”
พี่สาวของเขา ‘ดี’ ต่อราชบุตรเขยจริงๆ!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 พ.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.