X
    Categories: ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มากทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 138-140

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 138

วันที่หกเดือนแปด คณะทูตที่เดินทางมายังจงหยวนเพื่อถวายม้าบรรณาการได้เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว

ราชสำนักส่งขุนนางกรมพิธีการไปต้อนรับเหล่าทูตยังเรือนรับรอง รอจนกระทั่งวันที่เก้าหยวนโย่วฮ่องเต้ออกว่าราชกิจค่อยพาคณะทูตจากต๋าต๋าไปเข้าเฝ้า

บ่ายวันที่แปดหวาหยางเข้าวัง

ชีไทเฮาเอ่ยขึ้น “เดือนหกเดือนเจ็ดเจ้าล้วนเข้าวังมาตอนต้นเดือน การมาในครั้งนี้คงไม่ใช่เพราะวันพรุ่งนี้คณะทูตจากต๋าต๋าจะเข้าวังมาถวายม้าบรรณาการชั้นเลิศกระมัง”

“ม้าเหม็นๆ หลายร้อยตัวมีอะไรน่าดูเพคะ เมื่อครู่ตอนพักกลางวันลูกฝันเห็นเสด็จแม่ พอตื่นขึ้นจึงคิดถึงเสด็จแม่ยิ่งยวด นั่นต่างหากเป็นเหตุผลที่ทำให้ลูกเข้าวังมาในครั้งนี้”

“ผานผานคิดถึงแม่เช่นนี้ แม่รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก”

สายตาที่มองดูบุตรสาวของนางบอกชัดว่านางคาดเดาความคิดอ่านในใจของอีกฝ่ายได้อยู่ก่อนแล้ว

หวาหยางแย้มยิ้ม ใบหน้าแนบซบเข้ากับไหล่ของผู้เป็นมารดา “เสด็จแม่ พรุ่งนี้คณะทูตนำม้ามาถวาย เสด็จแม่จะไปร่วมชมความคึกคักด้วยหรือไม่เพคะ”

“หลังประชุมราชกิจเสร็จ แม่จะแวะไปที่สนามม้า”

“ถ้าเช่นนั้นลูกจะไปเป็นเพื่อนเสด็จแม่นะเพคะ”

ชีไทเฮาเอ่ยถาม “เจ้าคิดจะเลือกม้าให้ตนเองสักตัว?”

นางจำได้ว่าบุตรสาวชื่นชอบม้าชั้นเลิศขนขาวราวกับหิมะเป็นพิเศษ ตอนอดีตฮ่องเต้ยังมีชีวิตทางต๋าต๋าเคยมอบม้าชั้นเลิศให้หลายต่อหลายครั้ง อดีตฮ่องเต้ล้วนคัดเลือกม้าขาวที่งดงามที่สุดพระราชทานให้ผู้เป็นบุตรสาว

อย่าคิดว่าชีไทเฮาจะเห็นเพียงข้อเสียมากมายของอดีตฮ่องเต้ ทุกครั้งที่นึกถึงความรักที่อดีตฮ่องเต้มอบให้กับบุตรธิดาทั้งสองของตน ใจของนางก็อดรวดร้าวขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้

หวาหยางเอ่ยตอบว่า “ลูกไม่ต้องการแล้วเพคะ แต่เป็นราชบุตรเขยที่แสนดีของเสด็จแม่ต่างหากที่ต้องการ หลายปีมานี้เขาขี่แต่ม้าแก่ๆ ที่พี่ใหญ่ของเขามอบให้เมื่อหลายปีก่อน เขาไม่อายแต่ลูกอายเพคะ ยามนี้โอกาสประจวบเหมาะ ลูกเลยตั้งใจจะขอน้องชายให้มอบม้าให้เขาสักตัว”

ชีไทเฮาย่อมปรารถนาจะเห็นบุตรสาวกับราชบุตรเขยรักใคร่ปรองดอง ปกติบุตรสาวมักใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่บ่อยนักที่จะทำดีต่อราชบุตรเขยสักครั้ง ด้วยเหตุนี้ชีไทเฮาจึงยินดีสนับสนุน

พลบค่ำพวกเขาสามคนอยู่กินอาหารเย็นด้วยกัน หวาหยางขอม้ากับน้องชายต่อหน้าผู้เป็นมารดา

หยวนโย่วฮ่องเต้นึกขัน เขาร่วมมือแสดงละครกับพี่สาวต่อหน้าเสด็จแม่

 

วันรุ่งขึ้นหยวนโหย่วฮ่องเต้ออกว่าราชกิจแต่เช้า

ตลอดระยะเวลาสองสามปีมานี้ต๋าต๋าเพิ่งจะยอมกลับมาสวามิภักดิ์ต่อราชสำนักอีกครั้ง หากในเวลานี้คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรเป็นอดีตฮ่องเต้ ต่อให้ชื่อเสียงเรื่องมักมากในกามของเขาแพร่สะพัดไปทั้งไกลใกล้ แต่ด้วยอายุแล้วทูตแห่งต๋าต๋าเหล่านั้นย่อมต้องพูดจานอบน้อมแน่ ทว่าหยวนโย่วฮ่องเต้ที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้เพิ่งจะอายุสิบสี่ ร่างกายเดิมก็ผอมบางอยู่เป็นทุน ยิ่งถูกขับดุนด้วยบัลลังก์มังกรใหญ่กว้างก็ยิ่งทำให้เขาแลดูไม่ต่างอะไรกับเด็กที่ขนยังขึ้นไม่ทั่ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจะให้เหล่าบุรุษจากทุ่งหญ้าที่ร่างกายกำยำทั้งหกยอมศิโรราบได้เช่นไร

เมื่อพูดถึงม้าบรรณาการในครั้งนี้ หัวหน้าทูตแห่งต๋าต๋ากล่าวเสียงดังฟังชัด “ฝ่าบาท ปีนี้เป็นปีรัชศกแรกของพระองค์ ท่านข่านของพวกกระหม่อมเพื่อแสดงความยินดี นอกจากจัดเตรียมม้าชั้นเลิศห้าร้อยตัวมามอบให้พระองค์ตามที่เคยตกลงกันไว้แล้ว ท่านข่านยังให้กระหม่อมนำเอาม้าวิเศษที่พันปีจะพบได้สักครั้งมามอบให้ด้วย ไว้อีกสักครู่พอพระองค์ได้ทอดพระเนตรก็จะทรงตระหนักได้เอง”

หยวนโย่วฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรสบตากับเฉินถิงเจี้ยนคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มน้อยๆ ให้กับทูตแห่งต๋าต๋าพลางกล่าว “ในเมื่อเป็นม้าวิเศษ เราย่อมไม่ปรารถนาที่จะทำให้ท่านข่านต้องลำบากใจ”

ทูตแห่งต๋าต๋ายิ้มก่อนจะกล่าวเสียงดังกว่าเดิม “ฝ่าบาทมิต้องเกรงพระทัย หากม้าตัวนั้นยินดีฟังคำสั่งของท่านข่านของพวกกระหม่อม ท่านข่านย่อมไม่อาจตัดสินใจมอบมันให้พระองค์แน่ ทว่าม้าตัวนี้นิสัยดื้อรั้นดึงดันยิ่งนัก ท่านข่านพยายามปราบพยศมันหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ล้วนล้มเหลว ท่านข่านบอกว่าม้าตัวนี้คงมีเพียงโอรสมังกรสวรรค์ในดินแดนจงหยวนเท่านั้นที่จะปราบมันได้ ดังนั้นจึงให้พวกกระหม่อมนำมันมาถวายให้กับพระองค์”

หยวนโย่วฮ่องเต้เม้มมุมปากเล็กน้อยอย่างยากจะสังเกตเห็น

ต่อให้ไม่พอใจเพียงใด หยวนโย่วฮ่องเต้ก็รู้ดีว่าตนเองเพิ่งจะอายุสิบสี่เท่านั้น ร่างกายย่อมไม่อาจเทียบกับข่านแห่งต๋าต๋าได้ ทูตแห่งต๋าต๋าพูดเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าคิดจะทำให้เขาต้องอับอายขายหน้า

ในตอนนั้นเองชีจิ่นก็เดินออกจากแถวมายิ้มกล่าวกับทูตแห่งต๋าต๋า “ไม่ทราบว่าท่านข่านยินยอมให้ผู้กล้าแห่งทุ่งหญ้าคนอื่นๆ ได้ทดลองปราบพยศม้าตัวนั้นดูบ้างหรือไม่”

ชีจิ่นใบหน้าขาวดุจหยก ต่อให้เขาสวมอาภรณ์ขุนนางบู๊ ทูตแห่งต๋าต๋าก็ไม่เห็นหัวเด็กหนุ่มหน้าขาวเช่นนี้ อีกฝ่ายกล่าวหยามเหยียด

“ม้าวิเศษไหนเลยจะให้คนธรรมดาสามัญมาทำให้แปดเปื้อนได้”

“กลัวเพียงม้าตัวนั้นจะเป็นแค่ม้าดีธรรมดาตัวหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่ท่านข่านอายุมากแล้ว เรี่ยวแรงกำลังไม่พอควบคุม”

แค่คำพูดสั้นๆ เพียงไม่กี่ประโยคก็ทำเอาทูตแห่งต๋าต๋าทั้งหกเดือดดาลได้แล้ว พวกเขาต่างพากันถลกแขนเสื้อเตรียมลงมือลงไม้กับชีจิ่น

หยวนโย่วฮ่องเต้พูดตำหนิเขา “ห้ามทำตัวไร้มารยาทต่อท่านข่าน”

ชีจิ่นแสดงคารวะขออภัยที่ล่วงเกินต่อทูตแห่งต๋าต๋า

คนหน้าตาหล่อเหลา ยิ่งประสานมือขออภัยด้วยท่าทีสุภาพอ่อนโยนก็ยิ่งแลดูงามสง่า

ทูตทั้งหกของต๋าต๋ารู้ถึงมารยาทของจงหยวน ชีจิ่นยอมทำเช่นนี้แล้ว หากพวกเขายังก่อเรื่องอีก นั่นย่อมเป็นการบอกให้รู้ว่าพวกเขาใจคอคับแคบนิสัยหยาบกระด้าง

ทูตแห่งต๋าต๋าส่งเสียงประชดออกมาคราหนึ่งก่อนจะพูดคอตั้ง “นี่เป็นม้าวิเศษ หาใช่ม้าธรรมดาๆ พวกท่านแวะไปที่สนามม้าก็จะรู้ได้เอง”

หลังจากนั้นไม่ต้องพูดอะไรมาก หยวนโย่วฮ่องเต้ให้คนไปเชิญเสด็จชีไทเฮา ก่อนจะนำร้อยขุนนางบุ๋นบู๊รวมถึงทูตแห่งต๋าต๋ามุ่งหน้าไปยังสนามม้า

ชีไทเฮากับหวาหยางมาถึงช้ากว่าคนอื่นราวๆ หนึ่งถ้วยชา

หยวนโหย่วฮ่องเต้เดินขึ้นหน้าไปถวายพระพรชีไทเฮาด้วยท่าทีนอบน้อม ร้อยขุนนางบุ๋นบู๊เองก็ก้มหน้าค้อมกาย

ทูตแห่งต๋าต๋าถึงจะแสดงคารวะตาม ทว่าสายตากลับกวาดมองใบหน้าของชีไทเฮากับหวาหยางอย่างจาบจ้วง พวกเขาไม่เห็นบุรุษหน้าขาวแห่งจงหยวนอยู่ในสายตา ทว่ายามมองดูสตรีสูงศักดิ์สองแม่ลูกกลับตกตะลึงราวกับได้พบนางฟ้านางสวรรค์

หลังแสดงคารวะเสร็จ หวาหยางสองพี่น้องก็คนหนึ่งซ้ายคนหนึ่งขวาเฝ้าอยู่ข้างกายชีไทเฮา นำพาทุกคนไปยังแท่นที่ประทับตรงสนามม้า ส่วนทูตแห่งต๋าต๋าทั้งหกได้แต่เดินตามพวกเฉินถิงเจี้ยนอยู่ทางด้านหลังด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ

บนแท่นที่ประทับมีการจัดเตรียมที่นั่งไว้อยู่ก่อนแล้ว เชื้อพระวงศ์ทั้งสามนั่งอยู่ตรงกลาง เก๋อเหล่ากับทูตแห่งต๋าต๋าทั้งหกแยกนั่งถัดลงมาทางด้านล่างซ้ายขวา ส่วนขุนนางบุ๋นบู๊คนอื่นๆ ล้วนยืน

หยวนโย่วฮ่องเต้เอ่ยขึ้นว่า “เริ่มได้”

เฉาหลี่ก็ตะโกนว่า “ถวายม้า” เสียงดัง ขันทีคนอื่นๆ ต่างพากันถ่ายทอดคำสั่งลงไป

เพียงไม่นานขุนนางดูแลม้าของราชสำนักกับของต๋าต๋าก็จูงม้าชั้นยอดห้าร้อยหนึ่งตัวเข้ามา

ทันทีที่มองไปก็จะพบว่าม้าทั้งห้าร้อยตัวนั้นล้วนแข็งแรงกำยำ ทว่าหากพิจารณาดูดีๆ ก็จะพบว่าม้าทั้งห้าร้อยตัวนั้นมีทั้งดีเลวปะปนกันไป มีอยู่สิบตัวจัดเป็นม้าชั้นยอด ที่เหลือล้วนเป็นม้าเหมิงกู่ธรรมดาๆ ถึงจะขายอยู่ในจงหยวนกันร้อยกว่าตำลึง แต่ก็ไม่ดีพอที่จะทำให้เหล่าขุนนางผู้ทรงเกียรติทั้งหลายตื่นตะลึงได้

ทว่ามีม้าขนสีพุทราแดงปลอดอยู่ตัวหนึ่งถูกจูงออกจากฝูงมาเพียงลำพัง

แม้ม้าตัวนี้จะอยู่ท่ามกลางม้าทั้งห้าร้อยตัว ทว่ามันกลับยังคงเป็นเสมือนกระเรียนในฝูงไก่ สายตาของทุกคนรวมถึงหวาหยางต่างจับจ้องอยู่บนม้าสีพุทราแดงตัวนั้นแทบจะในทันที

ทูตแห่งต๋าต๋าลูบหนวดเครารุงรัง พูดวาจาหยิ่งทะนง “ม้าสีพุทราแดงตัวนี้เป็นม้าวิเศษที่ท่านข่านของพวกกระหม่อมตั้งใจถวายให้ฝ่าบาทเป็นการเฉพาะ”

ยิ่งเป็นเด็กหนุ่มก็ยิ่งถูกข้าวของที่แฝงไว้ซึ่งอำนาจบารมีอย่างม้าวิเศษกระบี่วิเศษดึงดูดได้ง่าย หยวนโย่วฮ่องเต้ก็เช่นกัน เขาเรียกได้ว่าพึงใจม้าขนสีพุทราแดงตัวนั้นตั้งแต่แรกเห็น

ถึงจะรู้ว่าทูตแห่งต๋าต๋าพวกนั้นมีเจตนาชั่วร้ายซ่อนแฝง ทว่าหยวนโย่วฮ่องเต้ก็ยังคงยิ้มเอ่ยปากชื่นชมม้าตัวนั้น “อาชาชื่อทู่ในตำนานซานกั๋วก็คงเป็นเช่นนี้”

ได้ยินแบบนั้นเฉินจิ้งจงก็หันมองไปทางหวาหยาง

พวกนางสองพี่น้องคนหนึ่งชอบโจวหลางแห่งสามก๊ก อีกคนชอบม้าชื่อทู่ในสามก๊ก ตอนยังเด็กทั้งคู่คงฟังสามก๊กอยู่ด้วยกันกระมัง

หวาหยางไม่ได้สนใจสายตาของเฉินจิ้งจง นางยังคงมองอาชาสีพุทราแดงตัวนั้น

ยามนี้เมื่อชาติที่แล้ว ถึงนางจะออกทุกข์แล้วและไม่จำเป็นต้องไว้ทุกข์ให้กับเฉินจิ้งจง แต่นางก็ไม่ได้มีอารมณ์วิ่งมาดูการถวายม้าของทูตแห่งต๋าต๋าถึงในวังหลวง ทว่านางพอจะจำเรื่องนี้ได้อยู่ รวมถึงข่าวที่แพร่สะพัดออกจากวังหลวงไป อู๋รุ่นเป็นคนไปสืบข่าวก่อนจะนำมารายงานให้นางฟังอีกที

ในเมื่อม้านี้ต้องการมอบให้กับฮ่องเต้ น้องชายของนางย่อมต้องลองขี่ดู แต่ม้าพยศเช่นนี้ เหล่าขุนนางใหญ่ไหนเลยจะกล้าให้เขาเสี่ยงอันตรายเข้าใกล้ ดังนั้นจึงให้ทหารองครักษ์ทดลองดูก่อน

ทหารองครักษ์ข้างพระวรกายสามนายถูกม้าพยศสะบัดตกจากหลังม้า ได้รับบาดเจ็บต่างกันออกไป

หลังจากนั้นพ่อสามีขององค์หญิงหนานคังจิ้งอันโหวก็ขันอาสาขอลองดู

จิ้งอันโหวเป็นแม่ทัพใหญ่ของราชสำนัก แต่เพราะเหตุอวี้อ๋องก่อกบฏจึงทำให้เขาถูกเมินเฉยนานถึงหนึ่งปีเต็ม ถึงเขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่สุดท้ายก็โชคไม่เข้าข้างถูกสลัดตกจากหลังม้าเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นเพราะอายุใกล้จะหกสิบแล้ว ภายหลังต้องพักรักษาตัวอยู่เป็นนานกว่าจะกลับมาเดินเหินได้เป็นปกติ

จิ้งอันโหวขันอาสาแต่กลับล้มเหลว ขุนนางบู๊คนอื่นๆ ไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามขันอาสาอีก

ในตอนนั้นเองชีจิ่นก็เอ่ยปากแนะนำตนเอง บอกว่าเขาเป็นญาติผู้พี่ของหยวนโย่วฮ่องเต้ มักติดตามไปไหนมาไหนด้วยอยู่บ่อยๆ บนตัวมีกลิ่นอายของโอรสสวรรค์แฝงอยู่ ไม่แน่ว่าอาจทำสำเร็จ

ชีจิ่นมีความสามารถอย่างแท้จริง สุดท้ายก็สยบม้าพยศตัวนั้นได้สำเร็จ ทว่ากว่าจะสำเร็จกระดูกซี่โครงก็หักไปถึงสามซี่ แขนทั้งสองข้างเกือบใช้การไม่ได้

ม้าพยศที่ถูกปราบตัวนั้นเองก็เหนื่อยไม่ใช่น้อย ยามนี้ท่าทางของมันไม่ได้ดูเย่อหยิ่งจองหองเหมือนก่อนแล้ว ดังนั้นหากน้องชายของนางจะเข้าไปทดลองขี่ ทุกอย่างก็น่าจะเป็นไปอย่างราบรื่น สอดคล้องกับคำพูดของทูตแห่งต๋าต๋าก่อนหน้านี้ที่บอกว่าม้าตัวนี้จะยอมรับใช้เพียงโอรสสวรรค์แห่งจงหยวนเท่านั้น

เดิมเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้หวาหยางกังวลอะไร ทว่า…

นางลอบมองไปทางเฉินจิ้งจง

ต่อหน้าผู้เป็นน้องชายนางมักจะเอ่ยปากชมว่าเฉินจิ้งจงแข็งแกร่งกำยำ ชาติที่แล้วเฉินจิ้งจงตายไปก่อนแล้ว ทว่าชาตินี้เขากลับยืนเป็นปกติอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าอีกสักครู่น้องชายนางจะเรียกให้เขาออกไปปราบพยศม้าตัวนี้หรือไม่

ชีจิ่นล้มกระดูกซี่โครงหัก หวาหยางไม่ได้นึกใส่ใจอะไร แต่หากเป็นเฉินจิ้งจง นางคงทำใจไม่ได้และยิ่งกลัวว่าหากเฉินจิ้งจงตกม้า ที่หักน่าจะไม่ใช่แค่กระดูกซี่โครง

พอนึกเช่นนั้นนางก็เหงื่อซึมเต็มสองอุ้งมือ

เพียงไม่นานทูตแห่งต๋าต๋าก็จูงม้าสีพุทราแดงตัวนั้นเข้ามา เชิญให้หยวนโย่วฮ่องเต้ลองขี่ดู

หยวนโย่วฮ่องเต้ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด ขณะกำลังจะทดลองขี่ เฉินถิงเจี้ยนกับขุนนางในสภาขุนนางทั้งหลายก็พากันทัดทาน ปากของขุนนางบุ๋นเดิมก็ร้ายกาจอยู่แล้ว ยิ่งกับเก๋อเหล่าที่แทบจะกลายเป็นปีศาจไปแล้วเหล่านั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาต่างหยิบยกเอาคำพูดในตำราออกมาทั้งปรามทั้งช่วยรักษาหน้าให้หยวนโย่วฮ่องเต้ ทูตแห่งต๋าต๋าเหล่านั้นไม่มีใครฟังออกว่าตาเฒ่าเหล่านั้นกำลังพล่ามบ่นเรื่องอะไร เอาเป็นว่าที่พวกเขากำลังรอดูก็คือเรื่องน่าขันของเหล่าขุนนางจงหยวน

หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่คาด หยวนโย่วฮ่องเต้จัดเตรียมเหล่าทหารองครักษ์ให้ไปทดลองขี่

จู่ๆ หวาหยางก็เอ่ยปากถามทูตแห่งต๋าต๋า “คนในทุ่งหญ้าเช่นพวกท่านล้วนฝึกม้าเช่นนี้?”

ทุกคนต่างมองไปทางหวาหยาง

ทูตแห่งต๋าต๋าชื่นชอบในความงามของจ่างกงจู่ ยามตอบจึงเกรงอกเกรงใจไม่ใช่น้อย เอ่ยปากบอกถึงวิธีการฝึกม้าสองสามอย่างให้นางฟัง หนึ่งในนั้นคือวิธีการจัดการกับม้าพยศที่จับมาได้จากข้างนอกที่ปกติมักใช้วิธีการสยบมันด้วยกำลัง

“ได้ยินว่าชาวจงหยวนมักใช้แส้เหล็กลงโทษม้าที่ไม่เชื่อฟัง บุรุษแห่งทุ่งหญ้าอย่างพวกกระหม่อมไม่ได้ทำเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะม้ามีจิตวิญญาณ เป็นสหายที่ดีของพวกกระหม่อม เช่นนั้นแล้วไหนเลยจะจัดการกับมันเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานทั่วไปได้”

หวาหยางพยักหน้ากล่าว “ม้าเป็นสัตว์ที่มีจิตวิญญาณจริงๆ ม้าสีพุทราแดงที่ถูกพวกท่านเรียกว่าเป็นม้าวิเศษตัวนี้ จิตวิญญาณของมันเกรงว่าคงไม่ด้อยกว่ามนุษย์”

ทูตแห่งต๋าต๋ายิ้มยโส “มันฉลาดเฉลียวยิ่งนัก อ่อนแข็งล้วนไม่ยอมกิน ไม่ว่าทำเช่นไรมันก็ไม่ยอมให้ท่านข่านของพวกเราขี่”

“มันยินดีปรากฏกายต่อหน้าท่านข่าน นั่นก็แปลว่าตอนแรกมันยังต้องการรับใช้ท่านข่าน เพียงแต่ต่อมามันพบว่าท่านข่านมิใช่ผู้นำที่ประเสริฐสุดในแดนมนุษย์ สุดท้ายจึงไม่ยอมก้มหัวให้”

รอยยิ้มบนใบหน้าของทูตแห่งต๋าต๋ากลับกลายเป็นแข็งขืนขึ้นมาทันที

หวาหยางมองไปทางน้องชายของตนเองอีกคราว “ม้าวิเศษพันปียากพบเจอ ก็เหมือนกับบุคคลผู้มีคุณธรรมและเพียบพร้อมด้วยสติปัญญาที่สามารถปกครองแผ่นดินที่ร้อยปียากจะพบพาน นับแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบันผู้มีความสามารถล้วนมีนิสัยใจคอที่ต่างกันไป บ้างก็กระตือรือร้นเข้าสู่วงสังคม บ้างก็ปลีกวิเวกรอให้มีคนอย่างป๋อเล่อมาค้นพบ ก็เหมือนอย่างปฐมฮ่องเต้แห่งสู่ฮั่นที่ไปเยือนกระท่อมสามครั้งเพื่อเชิญจูเก่อ ให้มาทำงานให้ ฝ่าบาท ม้าตัวนี้ต้องการรับใช้ฮ่องเต้ผู้ประเสริฐ กระทั่งบุรุษผู้องอาจห้าวหาญเยี่ยงท่านข่านก็ยังไม่อาจทำให้มันยอมศิโรราบด้วยใจ เห็นได้ชัดว่าที่มันมองหาไม่ใช่ผู้นำที่กรีธาทัพทำศึกไปทั่วทุกหัวระแหง แต่เป็นประมุขผู้ทรงคุณธรรมและห่วงใยใต้หล้าอย่างแท้จริง

ประมุขผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรมให้ความเคารพและให้เกียรติผู้มีความสามารถ ทำให้ชาวบ้านทั่วทุกแห่งหนสวามิภักดิ์ ดังนั้นหม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทเองก็สามารถปฏิบัติต่อม้าตัวนั้นแบบเดียวกัน มาดูแลเยี่ยมเยือนมันบ่อยๆ ใช้น้ำพระทัยอันกว้างขวางของพระองค์ทำให้มันซาบซึ้ง มีแต่การกระทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะสามารถแสดงให้เห็นถึงวิธีการปกครองแผ่นดินของประมุขผู้ประเสริฐของราชสำนักเรา”

หยวนโย่วฮ่องเต้ “…”

เขายังคงตกตะลึงไปกับคำพูดของผู้เป็นพี่สาว พวกเฉินถิงเจี้ยนกับขุนนางบุ๋นคนอื่นๆ ต่างคุกเข่าลงเป็นกลุ่มแรก ตะโกนเสียงดังว่าจ่างกงจู่ทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก

ขุนนางบุ๋นคุกเข่าแล้ว ขุนนางบู๊เองก็ย่อมต้องคุกเข่าตาม

ชีไทเฮาแย้มยิ้ม มองดูบุตรสาวด้วยสายตายกย่องชื่นชมก่อนจะกล่าวกับหยวนโย่วฮ่องเต้ “คำพูดของจ่างกงจู่นับว่ามีเหตุผล ม้าตัวนี้เดินทางรอนแรมนับพันหลี่กว่าจะมาถึงดินแดนจงหยวนของพวกเรา ฝ่าบาทมิควรต้อนรับมันด้วยความรุนแรง เพราะนั่นมิใช่วิถีแห่งการต้อนรับแขกต้อนรับผู้มีความสามารถของพวกเรา”

หยวนโย่วฮ่องเต้ชอบม้าตัวนั้นยิ่งยวด ชอบจนถึงขนาดไม่อยากให้ใครช่วยฝึกฝนมัน ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็รู้ดีว่าฝึกม้าพยศไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จได้ง่ายดาย ต้องให้เขาค่อยๆ ทำความคุ้นเคยกับมัน มีขุนนางฝึกม้าค่อยๆ ลดความพยศของมันลงทีละน้อย บางทีอาจต้องรอสามสี่เดือน ม้าถึงจะยอมเชื่อฟังคำสั่งของเขา

หยวนโย่วฮ่องเต้อาศัยคำพูดเรื่องประมุขผู้มีเมตตากรุณารับมือกับทูตแห่งต๋าต๋า

ทูตแห่งต๋าต๋าได้แต่กล้ำกลืนฝืนข่มความรู้สึก ว่ากันด้วยเรื่องเหตุผลแล้ว ปากของพวกเขาทั้งหกเทียบไม่ได้แม้แต่สตรีงดงามหยาดเยิ้มอย่างจ่างกงจู่ผู้นั้น!

บทที่ 139

หยวนโย่วฮ่องเต้เดินนำทุกคนลงจากแท่นที่ประทับมาหยุดอยู่ข้างม้าสีพุทราแดงตัวนั้น

ม้าตัวนี้พยศไม่น้อยเลยจริงๆ ทว่าเพราะถูกชาวต๋าต๋าจับมาหลายเดือนแล้ว นิสัยพยศดื้อรั้นจึงลดลงไปบ้าง ถึงจะไม่ยอมให้คนขี่ แต่หากลูบเพียงทีสองทีก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

หยวนโย่วฮ่องเต้ยิ่งดูก็ยิ่งพึงพอใจ

ทูตแห่งต๋าต๋ายังพยายามยุให้หยวนโย่วฮ่องเต้ขึ้นไปลองขี่ ทว่าหยวนโย่วฮ่องเต้กลับหนักแน่น แค่ยิ้มกล่าว “ให้เกียรติแก่ปราชญ์ราชบัณฑิต” เพียงเท่านี้ก็ปิดปากอีกฝ่ายได้แล้ว

หลังชื่นชมม้าวิเศษที่ยามนี้ยังไม่ยอมให้ผู้ใดได้ขี่เสร็จ หยวนโย่วฮ่องเต้ก็เรียกคนจูงม้าชั้นเลิศสิบตัวมา

ม้าชั้นเลิศทั้งสิบตัวนี้เป็นหน้าเป็นตาของชาวต๋าต๋า ไม่ว่าจะตัวใดก็ล้วนมีค่าพันตำลึงทอง

หยวนโย่วฮ่องเต้มองดูพวกมันอยู่รอบหนึ่ง ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ข้างกายหวาหยางแล้วเอ่ยถาม “เสด็จพี่ชอบหรือไม่”

หวาหยางพูดถ่อมตน “ม้าวิเศษมอบแก่ผู้กล้า ตกอยู่ในมือพี่ย่อมเป็นการเสียเปล่า”

หยวนโย่วฮ่องเต้เอ่ยปากกระเซ้า “เสด็จพี่ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ ถึงตอนนั้นเสด็จพี่ค่อยมอบมันให้กับผู้กล้าข้างกายก็ได้” พูดจบเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมองไปทางเฉินจิ้งจงซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางขุนนางบู๊ทั้งหลาย

เฉินจิ้งจง “…”

มีเสียงหัวเราะเล็กน้อยดังขึ้นข้างกาย เฉินจิ้งจงมองไปทางหวาหยาง

หวาหยางแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงที่ดังอยู่ทางนั้น หลังกล่าวขอบใจในความปรารถนาดีของผู้เป็นน้องชายเสร็จ นางก็ตั้งอกตั้งใจเลือก

ม้าสิบตัวนี้ยากจะแยกดีเลวได้ พวกมันล้วนสูงพอๆ กัน แข็งแรงกำยำเปี่ยมพละกำลังไม่ต่างกัน เว้นก็แต่ขนกับใบหน้าเท่านั้น

หวาหยางถูกชะตากับม้าสีดำปลอดทว่าบริเวณหน้าผากมีขนสีขาวอยู่กระจุกหนึ่ง ขนสีขาวนั้นจับอยู่ด้วยกันเป็นก้อนกลม ขอบหยักคล้ายระลอกคลื่น ขณะเดียวกันก็คล้ายดอกโบตั๋นกลีบขาวที่ยังไม่บานเต็มที่

อาศัยแค่ ‘โบตั๋น’ ดอกนี้ หวาหยางก็ชอบมันแล้ว

นิ้วมือขาวเรียวลูบไล้อยู่บนหัวของมัน หวาหยางหันหน้ากลับไป ยิ้มแย้มงดงามให้กับหยวนโย่วฮ่องเต้ “ม้าตัวนี้ก็แล้วกัน พี่รู้สึกต้องชะตากับมัน”

หยวนโย่วฮ่องเต้มีหรือจะปฏิเสธ

 

ราชสำนักได้เตรียมจัดงานเลี้ยงต้อนรับทูตแห่งต๋าต๋าไว้ หลังชมม้าเสร็จ หยวนโย่วฮ่องเต้ก็พาทุกคนจากไป

หวาหยางคล้องแขนผู้เป็นมารดา พวกนางสองคนมุ่งหน้าตรงไปยังตำหนักเฉียนชิง

ชีไทเฮาเอ่ยถาม “ผานผาน เหตุใดเจ้าถึงนึกคำพูดเช่นนั้นออกมาได้”

“ขนาดองครักษ์พวกนั้นยังไม่อาจปราบพยศม้าตัวนั้น หากให้น้องชายไปทดลองด้วยตนเอง ลูกเชื่อว่าย่อมอันตรายยิ่ง แต่หากไม่ลองพวกเราก็ย่อมตกเป็นที่หยันเย้ยของทูตต๋าต๋า ที่นึกออกมาได้ก็ด้วยเพราะร้อนใจเพคะ”

ชีไทเฮาตบหลังมือของผู้เป็นบุตรสาวด้วยความปลื้มปีติ “แต่ก่อนแม่ดูเบาเจ้าเกินไป นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีวาทศิลป์เช่นนี้”

หวาหยางยิ้มกล่าว “เป็นเพียงไหวพริบชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นเพคะ เสด็จแม่ต่างหากที่ฉลาดเฉลียวมีความคิดกว้างไกลอย่างแท้จริง”

ชีไทเฮาอารมณ์ดีเป็นที่สุด

ผู้เป็นบิดามารดาทั้งหลายล้วนหวังว่าบุตรธิดาจะเป็นผู้มีความสามารถ บุตรทั้งสองของนาง คนหนึ่งเป็นฮ่องเต้ อีกคนเป็นจ่างกงจู่ ถูกผิดดีเลวของฝ่ายแรกมีอนุชนรุ่นหลังตัดสินตามบันทึกของเหล่าอาลักษณ์ ส่วนบุตรสาว แค่อาศัยความดีความชอบในการติดตามทัพเมื่อปีที่แล้วกับวาจาบอกเล่าถึงหลักประมุขผู้เมตตาที่นางกล่าวตอนอยู่สนามม้าในวันนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นผู้ปราดเปรื่อง บุตรสาวถูกผู้คนเล่าขานว่าปราดเปรื่อง ผู้เป็นมารดาเช่นนางย่อมภาคภูมิใจ

หลังกินอาหารกลางวันร่วมกับมารดาเสร็จ หวาหยางก็พาม้าพระราชทานมูลค่าเท่าทองคำพันตำลึงตัวนั้นกลับจวนจ่างกงจู่

หวาหยางชอบม้าตัวนี้จริงๆ นางให้คนจูงมันไปที่ตำหนักชีเฟิ่ง ชื่นชมแล้วชื่นชมอีก ก่อนจะไปรออยู่ในห้องหนังสือ เขียนๆ วาดๆ ครุ่นคิดเรื่องสั่งทำอานม้าที่คู่ควรกับท่วงท่าสง่างามของมัน

ถ้าหวาหยางขี่มันเอง นางต้องสั่งทำอานม้าฝังเครื่องประดับล้ำค่าแน่ แต่ม้าตัวนี้นางหมายจะส่งมอบให้เฉินจิ้งจง เขาไม่น่าจะชอบอะไรที่หรูหราโอ่อ่าเช่นนั้น

หลังจากแก้แบบไปมา ก่อนพระอาทิตย์ตก ในที่สุดหวาหยางก็วาดเสร็จ นางมอบให้อู๋รุ่น บอกให้เขาไปหาช่างฝีมือทำมันขึ้นมา

หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ขณะนั่งอยู่ในลานปล่อยให้สายลมฤดูใบไม้ผลิเย็นสบายพัดเส้นผมให้แห้ง หวาหยางก็เห็นเฉินจิ้งจงเดินผ่านระเบียงทางเดินเข้ามา อีกฝ่ายสวมใส่อาภรณ์ลำลองสีแดง เส้นผมเปียกชื้นอยู่เล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตำหนักหลิวอวิ๋นเสร็จ

นางเอ่ยถาม “วันนี้เหตุใดถึงกลับมาเร็วเช่นนี้”

“ตอนบ่ายอยู่ต้อนรับทูตแห่งต๋าต๋าร่วมกับฝ่าบาท หลังงานเลี้ยงเลิกคนพวกนั้นต้องการลากพวกเราขุนนางบู๊ไปยิงธนูแข่งมวยปล้ำกัน ตอนบ่ายข้าเลยไม่ได้ไปกององครักษ์”

หวาหยางพิจารณาดูไหล่ของเขา “ท่านกับพวกเขาประลองมวยปล้ำกันอย่างนั้นหรือ”

เฉินจิ้งจงพยักหน้า

หวาหยางรู้ว่าเขาเคยฝึกยุทธ์มาก่อน รูปร่างสูงใหญ่เช่นนี้ถึงในจงหยวนยากจะพบเจอ แต่ครั้นเทียบกับทูตแห่งต๋าต๋าเหล่านั้น เฉินจิ้งจงอย่างไรก็ยังกำยำน้อยกว่า ไม่ต่างอะไรกับกระบี่กับดาบใหญ่

“เสียเปรียบหรือไม่”

“หากว่ากันด้วยเรื่องเรี่ยวแรงข้าย่อมเทียบพวกเขาไม่ได้ แขนถูกพวกเขาจับยึดเป็นจ้ำอยู่หลายรอย ทว่าข้าใช้วิธีการชาญฉลาด ชนะพวกเขาได้สองรอบ”

หวาหยางลองจับแขนของเฉินจิ้งจงดู

เฉินจิ้งจงนิ่งมองนาง ทว่าตอนหวาหยางเคลื่อนมือขึ้นบน คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยพลางสูดลมหายใจเข้าคราหนึ่ง

หวาหยางพาเขาเข้าไปในห้องนอน บอกให้เขาถอดเสื้อออก

เฉินจิ้งจงทำตาม แขนของเขาเพราะขาวมาก รอยนิ้วม่วงเขียวพวกนั้นจึงยิ่งกระจ่างชัด

หวาหยางสั่งให้เฉาเยวี่ยไปเอายาสลายเลือดคั่งมา

เฉินจิ้งจงหยิบเสื้อขึ้นมาห่อคลุมร่างไว้หลวมๆ พอเฉาเยวี่ยออกไปเขาถึงได้เผยไหล่ออกมาอีกครั้งพลางมองหวาหยาง หลังจากนั้นก็มองดูขวดกระเบื้องที่เฉาเยวี่ยวางไว้อีกด้าน

หวาหยางเอ่ยว่า “ท่านก็ทาเอาเองสิ แค่ฟกช้ำเท่านั้น ใช่ว่าจะขยับตัวไม่ได้เสียหน่อย”

เฉินจิ้งจงทำตามคำสั่ง เปิดขวดกระเบื้องควักยาออกมาพลางจ้องมองนาง “ย้อนคิดกลับไป ภาพตอนองค์หญิงอยู่ในกระโจมเมื่อปีที่แล้วนั่นไม่ต่างอะไรกับฝันจริงๆ”

“อย่างไรก็ยังดีกว่าไม่เคยฝัน ยิ่งไปกว่านั้นข้าเองก็ไม่ชอบกลิ่นยาด้วย”

เฉินจิ้งจงกำลังจะทายาลงบนแขน แต่พอได้ยินเช่นนั้นการเคลื่อนไหวของเขาก็หยุดชะงัก “เช่นนั้นข้าไม่ทาแล้ว ข้าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่บุรุษบอบบาง ตอนกลางคืนหากกลิ่นยารบกวนองค์หญิงเข้าเกรงว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย”

“ถ้าไม่ทายา คืนนี้ก็อย่าหวังว่าจะมีโอกาสได้เข้าใกล้ข้า”

เฉินจิ้งจงยกยิ้ม ยอมทายาแต่โดยดี

หวาหยางถามอย่างอยากรู้ “ม้าที่ทูตต๋าต๋าถวายให้ฮ่องเต้ตัวนั้น หากให้ท่านไปปราบพยศมัน ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าจะทำได้สำเร็จ”

“เรื่องนี้มีแต่ต้องลองดูก่อนเท่านั้น แต่งานนี้ไม่ว่าสำหรับใครก็ล้วนไม่ใช่งานง่าย โชคดีที่องค์หญิงฉลาดปราดเปรื่อง สามารถช่วยจัดการเรื่องยุ่งยากนี้แทนฝ่าบาทรวมถึงเหล่าขุนนางบู๊อย่างพวกข้า”

ชาวต๋าต๋าจิตใจชั่วช้า มิหนำซ้ำยังรู้จักพูดจา บอกว่ามีแต่โอรสมังกรสวรรค์แห่งจงหยวนเท่านั้นถึงจะปราบพยศมันได้

เปิดฉากด้วยคำพูดเช่นนี้ ขุนนางบู๊หากปราบพยศมันไม่ได้นั่นย่อมหมายความว่าพวกเขาไร้ความสามารถ ทำราชสำนักขายหน้า แต่ถ้าทำสำเร็จ พวกเขามิเท่ากับเป็น ‘โอรสมังกรสวรรค์’ แทน แล้วฝ่าบาทเล่าจะเอาไปอยู่ที่ใด

หากไม่ใช่สถานการณ์บีบบังคับจริงๆ เฉินจิ้งจงไม่มีทางเสนอหน้าเข้าไปรับงานนี้แน่ ถ้าต้องทำ เขาก็ต้องสละกว่าครึ่งชีวิตเพื่อสยบมัน จะได้ยืนยันว่าเขาไม่ใช่โอรสมังกรสวรรค์อะไร

หวาหยางพูดประชด “ข้าเพียงไม่อยากเห็นทูตต๋าต๋าพวกนั้นทำตัวโอหังอวดดีก็เท่านั้น ถวายม้าก็ถวายม้า ยังคิดจะก่อเรื่องสร้างปัญหาโน่นนั่นนี่อีก”

เฉินจิ้งจงปั้นหน้าประจบสอพลอ “ตอนนี้พวกเขารู้ถึงความร้ายกาจของจ่างกงจู่แห่งราชสำนักแล้ว เชื่อว่าวันหน้าต้องทำตัวว่านอนสอนง่ายแน่นอน”

หวาหยางปรายตามองเขาทีหนึ่ง

เฉินจิ้งจงเอ่ยประจบต่อ “ฝ่าบาทเองก็ยอมรับแล้วว่าองค์หญิงสร้างความดีความชอบใหญ่หลวง ขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วราชสำนักไม่มีใครได้รับพระราชทานม้าแม้แต่คนเดียว เว้นก็แต่องค์หญิง”

หวาหยางยิ้มบอก “ม้านั่นเป็นม้าชั้นเลิศจริงๆ”

เฉินจิ้งจงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “องค์หญิงลองขี่มันดูแล้ว?”

ถึงม้าดำตัวนี้จะไม่ได้พยศเหมือนม้าสีพุทราแดงตัวนั้น แต่ม้าที่มาจากทุ่งหญ้า มิหนำซ้ำยังไม่รู้ว่าได้รับการฝึกฝนมาครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่ หากยัง สตรีรูปร่างแบบบางอย่างหวาหยางเกิดถูกมันสะบัดตกลงมา…

หวาหยางเอ่ยว่า “ยัง ไว้อีกสักครู่ค่อยให้โจวจี๋ลองดูก่อน”

“มีข้าอยู่ เหตุใดต้องให้เขาลองด้วย”

“ท่านเป็นสามีของข้า จะดีจะชั่วอย่างไรก็เป็นเจ้านายครึ่งหนึ่งของจวนจ่างกงจู่ แล้วจะให้ไปเสี่ยงลองม้าได้อย่างไร”

“เพื่อแบ่งปันความวิตกกังวลของบรรพบุรุษตัวน้อย ต่อให้บุกน้ำลุยไฟข้าก็ไม่ขอปฏิเสธ”

เขาปั้นหน้าจริงจัง หวาหยางทนไม่ไหว ลุกเดินออกไป

เฉินจิ้งจงไล่ตามไปกอดนางจากทางด้านหลัง ก้มหน้าจูบซอกคอติ่งหูของนาง จนกระทั่งหวาหยางเนื้อตัวอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขน เขาถึงกระซิบถามลงที่ข้างหู

“องค์หญิงเลือกจะมอบมันให้กับข้าใช่หรือไม่”

“ม้าของท่านยังอยู่ในวัยหนุ่มมิใช่หรือไร อีกทั้งยังเป็นม้าที่พี่ใหญ่มอบให้ ไหนเลยต้องเปลี่ยนด้วย”

“ม้าที่เขามอบให้มีหรือจะเทียบกับม้าที่องค์หญิงมอบให้ได้ ข้าก็แค่ไม่อยากถังแตกจ่ายเงินหลายร้อยตำลึงซื้อเองก็เท่านั้น ม้าตัวนี้ได้มาเปล่าๆ ขอเพียงองค์หญิงมอบให้ ข้าย่อมกล้ารับไว้”

หวาหยางนึกอยากหัวเราะ เฉินจิ้งจงปกติเย่อหยิ่งจองหอง นอกเสียจากเพื่อหลับนอนแล้ว เขาน้อยครั้งนักที่จะยอมอ่อนข้อให้นาง นึกไม่ถึงว่าตอนนี้กลับเอ่ยปากขอม้ากับนางอย่างไม่อ้อมค้อม

“ไปลองดูก่อนเถิด บางทีมันอาจไม่ถูกชะตากับท่าน ไม่ยอมให้ท่านขี่ก็เป็นได้”

เฉินจิ้งจงไม่พูดอะไรทั้งนั้น ทำเพียงรั้งร่างนางให้หันกลับมาแล้วจูบอย่างดุดันดูดดื่มคราหนึ่ง

 

สองเค่อต่อมาสองสามีภรรยาก็มาถึงสนามม้าจวนจ่างกงจู่

สนามม้าก็คือพื้นที่ด้านหลังของคอกม้า หากเหล่าผู้เป็นนายอยากขี่ม้าย่อมแวะมาที่นี่ได้ แต่ถ้าผู้เป็นนายไม่นึกสนใจ ขันทีน้อยที่ทำหน้าที่เลี้ยงม้าก็ต้องพาพวกมันมาเดินเล่นที่นี่บ่อยๆ ไม่อย่างนั้นหากขังม้าไว้ในคอกตลอดเวลา ม้าย่อมล้มป่วย

ขันทีน้อยกำลังสวมอานม้าให้กับม้าดำพระราชทาน

หวาหยางยืนอยู่อีกด้าน มองเฉินจิ้งจงลูบไล้ม้าตัวนั้นตั้งแต่หัวจรดหาง สุดท้ายก็โอบคอแนบแก้มกับมัน อีกทั้งยังคล้ายพึมพำพูดอะไรบางอย่าง

“ข้าจะลองดูก่อน หากมันว่านอนสอนง่าย ข้าค่อยพาองค์หญิงไปด้วยกัน”

หลังทำความคุ้นเคยกับม้าเสร็จ เฉินจิ้งจงก็พลิกกายขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังม้า เอ่ยปากทักทายหวาหยางคราหนึ่ง หลังจากนั้นก็ควบม้าออกวิ่ง

ม้าตัวนี้แข็งแรงกำยำ วิ่งไกลออกไปอย่างรวดเร็วไม่ต่างอะไรกับสายลมสีดำ เพียงไม่นานก็วิ่งกลับมาจากอีกฟากของสนาม

แสงสายัณห์สีเหลืองทองอาบใบหน้าของเฉินจิ้งจงที่อยู่บนหลังม้า จนกระทั่งเขาดึงสายบังเหียนหยุดม้าห่างจากหวาหยางไปสองสามก้าว นางถึงมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาอิ่มเอิบมีชีวิตชีวาของเขาได้ชัดแจ้ง

เฉินจิ้งจงยื่นมือมา หวาหยางกลับไม่ขยับ เขาจึงบังคับม้ามาหยุดอยู่ข้างกายนางก่อนจะยื่นมือออกไปอีกคราว

หวาหยางถึงได้วางมือลงบนฝ่ามือใหญ่หนาของเขา

เฉินจิ้งจงค้อมตัว มือข้างหนึ่งกุมมือของนางไว้ มืออีกข้างประคองใต้รักแร้ หลังจากนั้นชายกระโปรงรุ่มร่ามของจ่างกงจู่ก็สะบัดพลิ้วไม่ต่างอะไรกับกลีบบุปผา คนหมุนขึ้นมาตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา

หวาหยางนั่งตะแคงอยู่บนหลังม้า โอบกอดเอวของชายหนุ่มไว้ตามสัญชาตญาณ

เฉินจิ้งจงจูบเส้นผมของนาง ครั้นนางคุ้นชิน เขาก็บังคับม้าให้เริ่มวิ่งเหยาะๆ

ตอนมันวิ่งตามอาทิตย์อัสดง หวาหยางรู้สึกได้ถึงลมผ่านกาย ที่นางมองเห็นคือท้องฟ้าสีฟ้าครามที่อยู่ไกลออกไป

ครั้นวิ่งย้อนแสงกลับมา เพราะแสงอาทิตย์เจิดจ้าหวาหยางจึงทำได้เพียงหลุบเปลือกตาลง ที่นางมองเห็นคือแขนเรียวยาวที่โอบนางไว้

“ร้อยขุนนางบุ๋นบู๊ต่างรู้ว่านี่เป็นม้าที่ฝ่าบาทพระราชทานให้องค์หญิง หากข้าได้ขี่ย่อมเป็นที่เชิดหน้าชูตา กลัวเพียงพวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ว่าองค์หญิงเอ็นดูข้าเกินไป”

ตอนหันหลังให้ตะวันตกดิน เฉินจิ้งจงก็จุมพิตใบหน้านางอีกคราว

หวาหยางเอ่ยว่า “วิพากษ์วิจารณ์ก็วิพากษ์วิจารณ์ไป นี่เป็นข้าวของส่วนตัวของข้ากับท่าน เกี่ยวอันใดกับพวกเขาด้วย”

“ได้ เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าท่านกลับบ้านกับข้าสักครั้งก่อน บอกกับท่านพ่อท่านแม่ให้กระจ่างว่าม้าตัวนี้ท่านมอบให้ข้าแล้ว พวกเขาจะได้ไม่เข้าใจผิดคิดว่าข้าลอบขโมยม้าของท่านมาใช้”

“เสื้อคลุมหนังสุนัขจิ้งจอกเมื่อครั้งที่แล้วยังให้ท่านอวดโอ้ไม่พอ?”

“ไม่ว่าองค์หญิงจะมอบอะไรให้ข้า มอบให้ครั้งหนึ่งข้าก็จะอวดมันครั้งหนึ่ง”

หวาหยางคร้านจะใส่ใจเขา

หลังจากขี่ม้าพอแล้ว เฉินจิ้งจงก็อุ้มนางลงจากหลังม้า

หวาหยางลูบคอม้าพลางพูดกับเฉินจิ้งจง “ม้าดีเช่นนี้ ตั้งชื่อให้มันเถอะ”

เฉินจิ้งจงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าดำเป็นอย่างไร ฟังดูสนิทสนมดี แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นเพื่อนตายในสนามรบ ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไม่ทอดทิ้งกัน”

หวาหยาง “…”

คำว่ารังเกียจปรากฏชัดอยู่บนใบหน้าของนาง เฉินจิ้งจงให้นางช่วยตั้งชื่อ

หวาหยางมองไปยังจุดขาวบนหน้าผากม้าแล้วตัดสินใจ “ไป๋เสวี่ยถ่า”

‘โบตั๋น’ ฟังดูอ่อนช้อยเกินไป เขาไหนเลยจะออกปากเรียกได้ ไป๋เสวี่ยถ่าถึงจะเป็นชื่อดอกโบตั๋นชนิดหนึ่ง แต่ฟังดูมีความเยือกเย็นและสง่างามราวกับหิมะที่โปรยปรายลงมา

เฉินจิ้งจงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอนมองนางอีกคราว จู่ๆ สายตาก็กลับกลายเป็นแฝงความหมายลึกล้ำ

บทที่ 140

สำหรับเหล่าขุนนางแล้ว วันหยุดอย่างวันที่สิบนี้นับว่าเป็นโอกาสนอนเกียจคร้านที่หาได้ยากยิ่ง ขุนนางทั้งหลายต่อให้ต้องออกจากบ้านไปเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก หากไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ แล้วล่ะก็ พวกเขาอย่างไรก็ต้องขอนอนต่อจนเต็มอิ่มเสียก่อนถึงจะลุกขึ้น

ผิงเจียงป๋อที่บ้านอยู่ติดกับจวนจ่างกงจู่ก็เช่นนี้

ผิงเจียงป๋ออายุใกล้จะห้าสิบแล้ว บรรดาศักดิ์ติดตัวกับคฤหาสน์ล้วนตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ทว่าครั้นมาถึงรุ่นของเขาทุกอย่างก็ตกต่ำหมดสิ้น หากเขาตายไปบรรดาศักดิ์อะไรทั้งหลายก็ไม่มีอีกต่อไป ผิงเจียงป๋อพรสวรรค์ไม่สูง แต่ก็ขยันขันแข็งพอตัวอยู่ นับตั้งแต่เล็กทุ่มเทตั้งอกตั้งใจเล่าเรียน สอบชุนเหวยอยู่สามครั้งกว่าจะผ่านขึ้นไปถึงระดับจิ้นซื่อ ต่อมาก็ตั้งอกตั้งใจทำงาน ก่อนจะได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นขุนนางขั้นสี่ในวัยนี้

ฤดูใบไม้ร่วงอากาศเย็นสบาย ผิงเจียงป๋อเตรียมพาบุตรชายทั้งสองไปขี่ม้าที่นอกเมืองเพื่อยืดเส้นยืดสาย

กว่าเขาจะตื่นพระอาทิตย์ก็ขึ้นสูงสามลำไผ่แล้ว หลังกินอาหารเก็บของเสร็จพวกเขาจึงออกเดินทาง

สามพ่อลูกเพิ่งย่างเท้าออกจากบ้านได้ไม่ทันไร หางตาก็ชำเลืองเห็นรถม้าจากในตรอกกำลังแล่นตรงมาทางนี้ พวกเขาสามคนต่างผินหน้ามองไป ที่เห็นก่อนเป็นลำดับแรกคือเฉินจิ้งจงราชบุตรเขยที่ควบม้าตามรถม้าของจ่างกงจู่อยู่อีกด้านหนึ่ง

สำหรับเฉินจิ้งจงนั้นพวกเขาคุ้นตาอยู่นานแล้ว หน้าตาของอีกฝ่ายถึงจะหล่อเหลาแต่ก็เท่านั้น ที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงแกมอิจฉาคือม้าชั้นดีสีดำน่าเกรงขามที่เฉินจิ้งจงขี่อยู่ตัวนั้นต่างหาก

“ท่านป๋อจะออกไปข้างนอกหรือ”

ครั้นเข้าไปใกล้ เฉินจิ้งจงก็เอ่ยปากทักทายอีกฝ่ายจากบนหลังม้า ยิ้มเผยให้เห็นฟันขาวเป็นแนว

กล้ามเนื้อบริเวณหางตาของผิงเจียงป๋อกระตุก เจ้าเด็กบ้านี่ ขนาดจิ้งจอกเฒ่าอย่างเฉินถิงเจี้ยนเป็นขุนนางมาสามสิบปียังไม่เคยเอ่ยวาจาทักทายเขาเช่นนี้ แล้วเหตุใดลูกที่เกิดมาถึงมีนิสัยเช่นนี้ได้

“ใช่แล้ว ราชบุตรเขยกับจ่างกงจู่จะไปที่ใดหรือ”

ในใจนึกริษยาแทบแย่ แต่ผิงเจียงป๋อก็ยังคงยิ้มนอบน้อมยิ่งยวด

เฉินจิ้งจงมองไปยังหน้าต่างรถม้าก่อนจะพูดออกมาช้าๆ “ข้าว่าจะกลับไปนั่งเล่นที่จวนสกุลเฉินสักหน่อย”

ผิงเจียงป๋อหัวเราะพลางพยักหน้า รอยยิ้มยังคงแขวนค้างอยู่บนใบหน้าจนกระทั่งรถม้าของจ่างกงจู่เคลื่อนจากไปไกล

บุตรชายคนโตของเขายามนี้กล้าเอ่ยปากแล้ว “ท่านพ่อ ราชบุตรเขยมีม้าดีเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเขาขี่แต่ม้าดำธรรมดาๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น”

ผิงเจียงป๋อพูดด้วยความอิจฉา “เมื่อวานราชทูตต๋าต๋าถวายม้า ฝ่าบาทพระราชทานให้จ่างกงจู่ตัวหนึ่ง”

บุตรชายคนรองของเขาเอ่ยว่า “หลังจากนั้นจ่างกงจู่ก็มอบมันให้กับราชบุตรเขย? จะดีจะชั่วอย่างไรนั่นก็เป็นของพระราชทาน จ่างกงจู่ไม่กลัวฮ่องเต้จะเอาเรื่องอย่างนั้นหรือ”

ผิงเจียงป๋อเอ่ยต่อ “เจ้าจะไปรู้อะไร ตอนนั้นจ่างกงจู่บอกว่านางไม่มีทางใช้ม้าชั้นดีเช่นนี้ ฝ่าบาทบอกนางว่าเอาไปให้ผู้กล้าคนอื่นก็ได้ จ่างกงจู่ทำเช่นนี้เห็นอยู่ชัดๆ ว่าขอพระราชทานม้าแทนราชบุตรเขย”

บุตรชายทั้งสองของเขามองหน้ากันไปมา รู้สึกอิจฉาที่เฉินจิ้งจงมีบิดาดีเช่นนั้น หากตาเฒ่าของบ้านพวกเขามีความสามารถเหมือนเฉินเก๋อเหล่า ไม่แน่ว่าบุรุษที่เป็นที่โปรดปรานขององค์หญิงอาจเป็นพวกเขา!

 

จากจวนจ่างกงจู่มาถึงจวนสกุลเฉิน ตลอดทางล้วนผ่านคฤหาสน์ของเหล่าขุนนางผู้สูงศักดิ์ ยามพบเจอกับเฉินจิ้งจงทุกคนล้วนเอ่ยปากทักทายโอภาปราศรัยกับเขาอยู่สองสามประโยค

หวาหยางถึงจะนั่งอยู่ในรถม้า แต่ก็พอจะนึกภาพถึงท่าทีได้อกได้ใจของเฉินจิ้งจงออก

ไม่ต้องพูดถึงอื่นใด วันหยุดก่อนหน้านี้นางไปที่ใดเฉินจิ้งจงล้วนนั่งรถม้าร่วมกับนาง แต่วันนี้กลับยืนกรานจะขี่ม้าให้ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการอวดโอ้แล้วยังจะมีเหตุผลอื่นใดอีกเล่า

เพียงแต่หวาหยางเองก็ไม่มั่นใจว่าที่เขาต้องการอวดคือม้า หรือต้องการอวดว่านาง ‘เอ็นดู’ เขากันแน่

หลังจากนั้นไม่นานพวกนางก็มาถึงจวนสกุลเฉิน

นับตั้งแต่เฉินถิงเจี้ยนขึ้นเป็นราชเลขาธิการ เขาก็ตั้งกฎกับบ่าวเฝ้าประตูจวนว่าจะอนุญาตเพียงขุนนางที่มีงานหลวงเร่งด่วนต้องการปรึกษาหารือกับเขา หรือไม่ก็ชาวบ้านที่มีเรื่องต้องการร้องเรียนเท่านั้นถึงจะเข้าพบได้ รวมถึงเหล่าสตรีที่ต้องการมาเยี่ยมเยือนซุนซื่อผู้เป็นภรรยากับบรรดาลูกสะใภ้เท่านั้น แขกบุรุษที่เหลือล้วนไม่ให้เข้าพบ

ด้วยเหตุนี้ขุนนางที่คิดผูกสัมพันธ์กับราชเลขาธิการทั้งหลายจึงไม่มาแวะเวียนไม่มารบกวน ประตูหน้าของจวนสกุลเฉินจึงเงียบสงัด

เมื่อคืนตอนพลบค่ำเฉินจิ้งจงสั่งให้ฟู่กุ้ยแวะมาครั้งหนึ่ง แจ้งให้คนในบ้านรู้ว่าวันนี้พวกเขาจะกลับมา ดังนั้นสมาชิกบ้านสกุลเฉินทั้งหมดจึงออกมารวมตัวอยู่ด้วยกันแต่เช้า รอต้อนรับจ่างกงจู่

ครั้นบ่าวเฝ้าประตูให้คนมารายงานข่าว บอกว่ารถม้าของจ่างกงจู่เลี้ยวเข้าตรอกมาแล้ว เฉินถิงเจี้ยนกับซุนซื่อก็พาลูกๆ กับสะใภ้รวมถึงพวกหลานๆ ออกมาต้อนรับโดยพร้อมเพรียง

พอออกมาจากจวน สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นก็คือเฉินจิ้งจงที่นั่งอยู่บนหลังม้า

เฉินถิงเจี้ยน เฉินป๋อจง เฉินเซี่ยวจงที่เคยเห็นจ่างกงจู่เลือกม้าเองกับตา “…”

ส่วนทางซุนซื่อกับลูกสะใภ้ คนที่ตามีแววที่สุดคือหลัวอวี้เยี่ยน พอเห็นม้าของเฉินจิ้งจง นางก็กระซิบลงที่ข้างหูแม่สามีทันที

“ท่านแม่ ม้าของน้องสี่นั่นมิใช่ม้าธรรมดาๆ ไม่ถึงพันตำลึงซื้อมันไม่ได้แน่!”

ซุนซื่อที่กำลังรู้สึกว่าบุตรชายของตนเองวันนี้องอาจผึ่งผายเป็นพิเศษสองขาสั่นระริก หยัดยืนแทบไม่อยู่!

พันตำลึงอย่างนั้นหรือ นางกับตาเฒ่ามีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ เงินหมื่นตำลึงแน่นอนว่าย่อมต้องเคยพบเห็น ทว่าคนในตระกูลไม่ว่าจะหัวดำหรือหัวหงอกใครบ้างที่เคยใช้ของที่มีมูลค่าพันตำลึง งานนี้บุตรชายสุ่มสี่สุ่มห้าใช้เบี้ยหวัดราชบุตรเขย หรือว่าจ่างกงจู่ยอมล่มจมเพื่อบุตรชายของนางกันแน่

ซุนซื่อลอบชำเลืองไปทางผู้เป็นสามี

เฉินถิงเจี้ยนเม้มปาก

เฉินป๋อจงฝืนยิ้มยินดี อธิบายให้ผู้เป็นมารดาฟัง “ท่านแม่ เมื่อวานทูตต๋าต๋านำม้ามาถวาย ฝ่าบาทประสงค์จะตกรางวัลแก่จ่างกงจู่ จ่างกงจู่บอกว่านางเองคงไม่ได้ใช้ จึงเลือกม้าตัวนี้ให้น้องสี่”

ซุนซื่อคลายกังวล บุตรชายกับจ่างกงจู่ไม่ได้ควักเงินเองเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร!

รถม้าเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ เฉินจิ้งจงเองก็ขี่ม้าตามช้าๆ เช่นกัน พอมาถึงหน้าประตูจวนสกุลเฉิน เฉินจิ้งจงก็ลงจากหลังม้าด้วยท่าทีไม่อินังขังขอบ ทักทายผู้เป็นมารดาเหมือนไม่มีอะไรผิดแผกไปจากเดิม

เฉินถิงเจี้ยนมองดูบุตรชายด้วยสายตาเย็นชา

เฉินจิ้งจงเดินไปประคองหวาหยางลงจากรถม้า

ท่าทางของเฉินถิงเจี้ยนกลับกลายเป็นสุขุมลุ่มลึกนอบน้อมขึ้นมาทันที

เขาไม่อาจพูดอันใด พอซุนซื่อเห็นจ่างกงจู่ผู้เป็นสะใภ้ นางก็พูดอย่างประหลาดใจขึ้นมาทันที “ม้าวิเศษเช่นนี้ จ่างกงจู่ใช้เองเหมาะสมกว่านะเพคะ ให้คนหยาบกระด้างอย่างเจ้าสี่ใช้เท่ากับเสียของโดยแท้ เขาไหนเลยจะคู่ควร”

เฉินจิ้งจงทำเพียงมองหวาหยาง

หวาหยางยิ้มให้แม่สามีแล้วกล่าวว่า “ม้าดีคู่วีรบุรุษ ราชบุตรเขยเป็นแม่ทัพบู๊ที่สร้างความดีความชอบในสงคราม ขี่ม้าตัวนี้นับว่าคู่ควรแล้ว ท่านแม่อย่าได้ช่วยเขาถ่อมตนเลย”

ซุนซื่อพูดกึ่งจริงจังกึ่งล้อเล่น “ตอนกลับหลิงโจวมีเพื่อนบ้านบอกว่าเห็นสุสานบรรพชนสกุลเฉินมีควันลอยละล่อง ควันนั่นคงไม่แคล้วเป็นโชควาสนาที่เหล่าบรรพบุรุษสั่งสมให้เจ้าสี่ ดูเอาเถิด เพราะเขาได้ติดตามจ่างกงจู่โดยแท้ถึงมีโชคลาภวาสนาเช่นนี้”

หวาหยางยิ้มมองไปทางพ่อสามี

เฉินถิงเจี้ยนพูดอย่างอับจน “จ่างกงจู่ประทานรางวัลให้ราชบุตรเขยนับเป็นโชควาสนาของเขา เพียงแต่เจ้าสี่ไม่รู้จักถ่อมตนเป็นที่สุด จ่างกงจู่ก็อย่าได้ทรงเอ็นดูเขาเกินไปนัก”

หวาหยางเอ่ยว่า “ท่านพ่อกับท่านแม่พูดเช่นนี้ ทว่าเสด็จแม่กลับมักบอกให้ข้าดีกับราชบุตรเขยให้มากหน่อย พวกท่านต่างเป็นผู้อาวุโส ข้ายามนี้เริ่มสับสนแล้ว ไม่รู้ว่าจะฟังผู้ใดดี”

เฉินถิงเจี้ยนกับซุนซื่อ “…”

หว่านอี๋ยิ้มพลางเดินเข้าไปคล้องแขนท่านอาสะใภ้สี่ “ไทเฮาเป็นใหญ่ที่สุด ท่านอาสะใภ้สี่ย่อมต้องเชื่อฟังไทเฮา”

หวาหยางลูบศีรษะของเด็กสาวตัวน้อยก่อนจะเดินนำเข้าไปในจวนสกุลเฉิน

เพียงไม่นานชายหญิงก็แยกย้ายกันไป ต้าหลาง เอ้อร์หลาง และซานหลางเกาะแกะท่านอาสี่ขอให้พาพวกเขาไปขี่ม้า ส่วนเฉินถิงเจี้ยน เฉินป๋อจง และเฉินเซี่ยวจงเองก็ตามไปที่สนามม้าด้วยเช่นกัน

สนามม้าจวนสกุลเฉินถึงจะมีขนาดเล็กกว่าที่จวนจ่างกงจู่ แต่อย่างน้อยก็ยังพอมีที่ให้ม้าวิ่ง

เฉินจิ้งจงพาพวกหลานๆ ขี่ม้ากันคนละรอบ

เฉินถิงเจี้ยนกระแอม ต้าหลางพาน้องทั้งสองจากไปแต่โดยดี

พอพวกเด็กๆ พ้นออกไป เฉินถิงเจี้ยนก็สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที เขาจ้องบุตรชายคนที่สี่เขม็งพลางบอก “เจ้าช่างอวดดียิ่งนัก!”

เฉินจิ้งจงกลับเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเกือบจะประกาศพระราชทานม้าตัวนี้ให้ข้าต่อหน้าทุกคนแล้ว ในเมื่อได้รับพระเมตตา ข้าก็ควรให้ฝ่าบาทได้รู้ว่าข้าชอบของพระราชทานชิ้นนี้ยิ่ง หากเก็บไว้ไม่ใช้ ฝ่าบาทอาจสงสัยว่าข้าไม่ชอบม้าตัวนี้ ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้าเองก็หัดมาจากท่าน ก่อนหน้านี้อดีตฮ่องเต้พระราชทานเสื้อคลุมให้ท่าน พอถึงตอนหน้าหนาวท่านก็รีบหยิบมันออกมาห่อคลุมร่างตลอดไม่ใช่หรือไร”

เฉินถิงเจี้ยน “…”

เฉินป๋อจงเอ่ยปากเกลี้ยกล่อม “ท่านพ่อ ที่น้องสี่พูดมาก็มีเหตุผลอยู่ ท่านอย่าได้ถือสาหาความเขาเลย”

ที่สำคัญคือถือสาหาความไปจะมีประโยชน์อะไร สุดท้ายก็ได้แต่ถูกน้องสี่ทำให้โมโห ส่วนอีกฝ่ายกลับไม่สะทกสะท้านราวกับฟันแทงไม่เข้า

เฉินถิงเจี้ยนส่งเสียงประชดออกมาคราหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป

ครั้นเงาร่างของผู้เป็นบิดาหายลับไป เฉินเซี่ยวจงก็เดินตรงไปยังม้าพระราชทานตัวนั้น สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกชื่นชม

ขณะที่เขากำลังจะยื่นมือออกไปลูบมัน เฉินจิ้งจงก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว จับกุมข้อมือของเขาเอาไว้

เฉินเซี่ยวจงไม่นึกอยากเชื่อ “น้องสี่ อย่าให้มันเกินไปนัก!”

“จ่างกงจู่มอบมันให้ข้า ท่านเป็นพี่ชายจะแตะต้องมัน ไม่นึกละอายใจบ้างหรือไร”

“ก็แค่ม้าตัวหนึ่งเท่านั้น เหตุใดข้าต้องละอายใจไม่ละอายใจอะไรด้วย”

“จ่างกงจู่ประทานชื่อให้มันว่าไป๋เสวี่ยถ่า ไป๋เสวี่ยถ่าก็คือดอกโบตั๋น ม้าตัวนี้เท่ากับเป็นดอกโบตั๋นที่นางมอบให้กับข้า พวกเด็กๆ ยังเล็ก ชอบก็ไม่เป็นไร แต่ท่านเป็นบุรุษอายุใกล้สามสิบแล้ว สมควรละอายแก่ใจ”

เฉินเซี่ยวจง “…”

เฉินป๋อจงที่อายุมากกว่า “…”

เฉินจิ้งจงไม่สนใจพวกเขา สั่งให้ฟู่กุ้ยจูงไป๋เสวี่ยถ่าไปที่คอกม้า

ฟู่กุ้ยที่รู้ความหมายของไป๋เสวี่ยถ่าก็ไม่กล้าแตะถูกตัวของมันเช่นกัน ได้แต่จูงสายบังเหียนไปอย่างระมัดระวัง ท่าทีนอบน้อมไม่ต่างอะไรกับอู๋กงกงประคองจ่างกงจู่

ในที่สุดเฉินเซี่ยวจงก็หัวเราะหยันออกมาคราหนึ่ง “แต่ก่อนตอนวันหยุดเจ้ามักจะพาจ่างกงจู่ไปเที่ยวเล่นที่นี่ที่โน่น เมื่อวานข้ายังรู้สึกประหลาดใจว่าเหตุใดเจ้าถึงเลือกที่จะกลับมาเยี่ยมบ้าน ที่แท้ก็ต้องการกลับมาอวดม้านี่เอง”

เฉินจิ้งจงเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าพวกท่านห่วงใยกังวลว่าข้าอยู่ที่จวนจ่างกงจู่จะสบายดีหรือไม่ ดังนั้นจึงมีแต่ต้องให้พวกท่านเห็นกับตาว่าข้ามีชีวิตความเป็นอยู่ดีเพียงใด พวกท่านถึงจะวางใจ”

เฉินเซี่ยวจงยังคงพูดต่อ “หนังหน้าของเจ้านับวันก็ยิ่งหนามากขึ้นทุกที ดูท่าปีนี้ข้าคงไม่ต้องมอบขี้ผึ้งทาผิวให้เจ้า ใบหน้าของเจ้าน่าจะหนาพอต้านลมต้านอากาศหนาวได้แล้ว”

“ถ้าท่านกล้าไม่ให้ ข้าจะบอกพี่สะใภ้สามว่าที่ตำบลของพวกเรามีสตรีนางหนึ่งเฝ้าคิดถึงท่านอยู่ตลอด”

เฉินป๋อจงหัวคิ้วขมวดเข้าหากัน “สตรีผู้ใด”

เฉินเซี่ยวจงร้อนรน “พี่ใหญ่ท่านก็เชื่อที่เขาพูดด้วยหรือไร เขากำลังข่มขู่ข้าชัดๆ รู้ก็รู้อยู่ว่าพี่สะใภ้สามของเขาเป็นคนขี้หึง”

เฉินป๋อจงเปิดฉากสั่งสอนน้องชายทั้งสอง “เรื่องเช่นนี้ไม่ควรนำมาพูด ต่อให้ล้อเล่นก็ไม่ได้”

เฉินจิ้งจงเอ่ยว่า “พี่ใหญ่วางใจ ข้าไม่ใช่พี่สามที่ไม่ว่าใครก็ยิ้มให้ ไปที่ใดก็ทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิดได้ตลอด”

เฉินเซี่ยวจง “…”

เช้าวันรุ่งขึ้นเฉินจิ้งจงควบม้าวิเศษอย่างไป๋เสวี่ยถ่ามาที่กององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงเร็วปานสายฟ้าแลบ น่าสงสารก็แต่ฟู่กุ้ยที่ถูกทิ้งไว้ไกลลิบ มองไม่เห็นแม้แต่เงา

พอทหารที่เฝ้าอยู่หน้าค่ายเห็นม้าของราชบุตรเขยก็ต่างสองตาลุกวาว และเพราะรู้ว่าราชบุตรเขยเข้าถึงได้ง่าย หนึ่งในนั้นก็เอ่ยปากพูดอย่างอิจฉาขึ้นมา

“ใต้เท้าซื้อม้าตัวใหม่มาหรือขอรับ”

เฉินจิ้งจงยิ้มพลางลูบคอม้า พูดอย่างไม่อินังขังขอบ “ฝ่าบาทพระราชทานให้จ่างกงจู่ จ่างกงจู่ส่งต่อให้ข้า”

บรรดาทหารเฝ้าค่าย “…”

ครั้นเฉินจิ้งจงเข้าไปในกององครักษ์ เพียงไม่นานทหารใหม่ทหารเก่าทั้งห้าพันกว่านายในกององครักษ์ก็ต่างพากันกรูไปที่คอกม้า หมายดูให้เห็นกับตาถึงท่วงทีงามสง่าของม้าวิเศษนั่น

ฟู่กุ้ยเฝ้าอยู่นอกรั้ว เขาตวาดเสียงดัง “ดูน่ะได้ แต่ห้ามลูบจับเด็ดขาด ราชบุตรเขยบอกแล้ว ใครกล้าลูบแม้แต่ขนของมัน เขาจะลงมือโบยคนผู้นั้นด้วยตนเอง!”

บรรดาทหารแม่ทัพนายกองต่างหัวเราะเสียงดังลั่น

หัวเราะก็ส่วนหัวเราะ พวกเขารู้ดีว่าผู้บัญชาการของตนเองนั้นให้ความสำคัญกับจ่างกงจู่ที่สุด รวมถึงม้าวิเศษที่จ่างกงจู่ประทานให้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำตามกฎอย่างว่าง่าย

 

เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงวันที่สิบสามเดือนแปดแล้ว ในวังเปิดประชุมราชกิจอีกครั้ง

ฟ้ายังคงมืดมิด เฉินจิ้งจงขี่ไป๋เสวี่ยถ่ามุ่งหน้ามาที่เขตพระราชฐาน เลี้ยวผ่านตรอกตรอกหนึ่งก่อนจะพบกับม้าอีกตัว คนที่นั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้าคือชีจิ่น

เฉินจิ้งจงทำเหมือนไม่เห็น ยังคงขึ้นหน้าไปด้วยความเร็วดังเก่า

ชีจิ่นถูกอีกฝ่ายทิ้งห่างไปราวๆ สองช่วงตัวม้า ที่เขามองเห็นคือแผ่นหลังเหยียดตรงของเฉินจิ้งจงรวมถึงบั้นท้ายกลมๆ กำยำของม้าวิเศษตัวนั้นที่ขยับซ้ายขวาไปมาเป็นจังหวะ

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าท่าทางการเคลื่อนไหวของม้าทุกตัวล้วนเป็นเช่นนี้ แต่ไม่รู้เหตุใดม้าที่เฉินจิ้งจงขี่ถึงได้ดูคล้ายกำลังหยันเย้ยดูแคลนเขาอยู่ตลอดเวลา

ชีจิ่นกุมสายบังเหียนม้าแน่น

 

 

(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนธันวาคม 2568)

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: