บทที่ 67
ถึงจะเป็นช่วงพักกลางวัน ทว่าหวาหยางกลับไม่อาจข่มตาหลับ นางนอนอยู่บนเตียงร่วมกับชีฮองเฮา ประเดี๋ยวก็พูดจาอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นมารดา ประเดี๋ยวก็นอนหงายอยู่อีกด้านคล้ายจะนอนแล้ว แต่เพียงไม่นานก็หันหน้ามา สองตาเป็นประกายเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
ชีฮองเฮาเอ่ยอย่างอับจน “เจ้านะเจ้า เหตุใดถึงยังทำตัวราวกับเด็กน้อยเช่นนี้”
“แต่ไหนแต่ไรลูกก็เป็นเด็กน้อยของเสด็จแม่”
อยู่ข้างนอกหวาหยางเป็นองค์หญิงที่ผู้คนต่างเคารพและเกรงกลัว ถึงนางจะมีความสุขกับความรู้สึกเช่นนั้น แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยการรักษาท่วงทีน่าเกรงขามขององค์หญิงไว้อยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนอย่างที่นางเองก็อยากไปเดินเล่นอยู่กลางธารน้ำเล็กๆ หลังบ้านเก่าสกุลเฉินนั่น แต่กลับยังต้องวางท่าคล้ายไม่นึกแยแส แต่เพราะถูกเฉินจิ้งจง ‘บังคับ’ เลยได้แต่ต้องยอมทำตามเล่นน้ำอยู่ครู่หนึ่ง จะมีก็แต่ยามอยู่ข้างกายเสด็จพ่อเสด็จแม่เท่านั้น นางถึงสามารถทำตามใจ ไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้ท่าทีน่าเกรงขามขององค์หญิงต้องเสียหายแต่อย่างใด
ชีฮองเฮาลูบเส้นผมยาวสลวยของผู้เป็นบุตรสาวก่อนจะเอ่ยถาม “ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับราชบุตรเขยเป็นเช่นไรบ้าง ตลอดระยะเวลาสองไปที่ไปอยู่บ้านเก่าสกุลเฉิน เขาเคยทำอันใดให้เจ้าน้อยเนื้อต่ำใจบ้างหรือไม่”
สกุลเฉินคนอื่นๆ นางไม่นึกเป็นห่วง ทั้งนี้ก็ด้วยเพราะบุตรสาวของตนไม่จำเป็นต้องคลุกคลีตีโมงอยู่กับคนเหล่านั้นทั้งเช้าค่ำ เว้นก็แต่เฉินจิ้งจงที่อยู่ร่วมเตียงเคียงหมอนด้วยเท่านั้น ระหว่างสามีภรรยามีเรื่องขัดแย้งเกิดขึ้นได้ง่ายที่สุด
ชีฮองเฮายังจำได้ว่าหลังหวาหยางแต่งงานออกเรือนไปไม่นาน ตอนกลับวังมาฟ้องเรื่องเฉินจิ้งจงนั้น นัยน์ตาของบุตรสาวเต็มไปด้วยความรู้สึกรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด
หวาหยางคิดอย่างละเอียดรอบคอบครู่หนึ่ง เฉินจิ้งจงทำนางโมโหอยู่เป็นประจำก็จริง แต่หากจะบอกว่าจงใจทำให้นางน้อยเนื้อต่ำใจ เขาไม่เคยทำเช่นนั้นมาก่อน
เขายอมนอนบนพื้นอย่างว่าง่ายเพื่อกันหนอนบังแมลงสัตว์เลื้อยคลานให้กับนาง ตอนกินอาหารมังสวิรัติเขายังลอบออกไปซื้อเนื้อมาให้นางกิน ยิ่งไปกว่านั้นตอนเผชิญหน้ากับน้ำท่วมเขายังยินดีแบกนางขึ้นเขาอีกต่างหาก
“ไม่มีเพคะ เขาไหนเลยจะกล้าทำลูกน้อยเนื้อต่ำใจ” หวาหยางพูดพลางม้วนเส้นผมเล่น สีหน้าท่าทางคล้ายได้อกได้ใจอยู่เล็กน้อย
ชีฮองเฮาแย้มยิ้ม “กล้าหรือไม่กล้าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คิดหรือไม่คิดก็เป็นอีกเรื่อง ราชบุตรเขยบางคนเกรงพระราชอำนาจไม่กล้าทุบตีด่าทอองค์หญิง ทว่าในใจกลับลงมือทำไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ท้ายที่สุดก็ขึ้นอยู่กับว่าเขามีใจให้เจ้าหรือไม่ต่างหาก”
หวาหยางนิ่งเงียบ
ความรักความรู้สึกอะไรพวกนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องของพวกนักปราชญ์นักกวีเสียมากกว่า หรือไม่ก็เป็นการเขียนจดหมายรักหวานซึ้ง ส่งความในใจผ่านภาพวาดบทกวี หรือแม้แต่เสียงพิณเสียงขลุ่ยต่างก็สามารถใช้แทนคำพูดจากหัวใจได้ทั้งนั้น ทว่ากับคนอย่างเฉินจิ้งจง เขาทำดีกับนางก็จริง แต่ไม่เคยพูดจาหวานหูอันใดกับนางแม้เพียงครั้ง ตรงกันข้ามกลับมีแต่คำพูดสองแง่สองง่าม หยาบโลนเป็นกระบุง ถึงขนาดเคยบอกว่าต่อให้ปลดเขาออกจากตำแหน่งราชบุตรเขย เขาก็จะไม่มีวันไปแตะต้องสตรีอื่น ต่อให้นางตายก็ยินดีเป็นสามีภรรยากับนาง คำพูดเหล่านี้สำหรับหวาหยางแล้วเป็นเพียงคำพูดเหลวไหลบนเตียงทั้งนั้น นางไม่เคยยึดถือเป็นจริงเป็นจังแต่อย่างใด
หวาหยางมั่นใจว่าเฉินจิ้งจงหลงใหลในเรือนร่างของนาง ชอบถึงขั้นที่เรียกว่าหัวปักหัวปำ แต่ความปรารถนาระหว่างชายหญิงนี้เรียกว่าความรักได้กระนั้นหรือ
นางเชื่อมากกว่าว่าหากมีวันใดสักวันที่นางกับเขาแยกทางกัน ขอเพียงจับโฉมสะคราญผิวขาวราวกับหิมะสักคนโยนเข้าไปในห้องของเฉินจิ้งจง เขาต้องกระโจนเข้าใส่ทันทีเป็นแน่
แน่นอนว่าตราบใดที่ยังไม่แยกจากกัน มีองค์หญิงเช่นนางอยู่ในครอบครอง เฉินจิ้งจงย่อมไม่ชายตามองสตรีอื่น
“ลูกไม่สนใจว่าเขาคิดเช่นไร ขอแค่เขาไม่กล้าเท่านั้นก็พอเพคะ” หวาหยางพูดอย่างไม่ใส่ใจ
ชีฮองเฮาพินิจพิเคราะห์ดูผู้เป็นบุตรสาว “แล้วเจ้าเล่า ชอบเขาหรือไม่”
“คงไม่อาจบอกว่าชอบมากได้ แต่ตอนนี้ไม่ขัดหูขัดตาเหมือนเมื่อก่อนแล้วเพคะ”
ความรู้สึกที่นางมีต่อเฉินจิ้งจงนั้นเป็นเพียงความพึงพอใจอย่างหนึ่ง หากนางต้องการอะไรบางอย่างเช่นต้องการให้ใครสักคนแบกขึ้นหลัง หรือต้องการให้เฉินจิ้งจงไปแสดงละครที่จวนเซียงอ๋อง เฉินจิ้งจงก็ล้วนพร้อมตอบสนองความต้องการของนางทันควัน โดยเฉพาะกับเรื่องสำคัญๆ เขาไม่เคยทำให้นางผิดหวังมาก่อน เมื่อนางพึงพอใจ พอตกกลางคืนเขาก็จะมาออดอ้อนขอร่วมหลับนอน ขอแค่ไม่ใช่ว่าคืนนั้นนางไม่มีอารมณ์จริงๆ นางล้วนยินดีตอบสนอง เรียกได้ว่านางกับเขาสองคนล้วนมีความสุขด้วยกันทั้งคู่
ชีฮองเฮาแย้มยิ้มอ่อนโยนมองดูใบหน้างดงามราวบุปผาของผู้เป็นบุตรสาว
งานแต่งงานที่บิดามารดาเป็นคนเตรียมการให้นี้ ขอเพียงผู้เป็นบุตรสาวไม่เห็นสามีขวางหูขวางตาก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เลวแล้ว ดีกว่าทั้งๆ ที่ไม่ชอบหน้ากันแต่กลับยังต้องฝืนร่วมเตียงเคียงหมอนอยู่ด้วยกัน
เพราะนั่งรถม้ามาเป็นเวลานาน หลังจากพูดคุยอยู่ครู่หนึ่งความง่วงก็เข้าจู่โจม หวาหยางจึงผล็อยหลับไป
ชีฮองเฮาพลิกกายเปลี่ยนมานอนหงาย
เห็นบุตรสาวที่เพิ่งออกเรือนไปหมาดๆ ชีฮองเฮาก็อดหวนนึกถึงตนเองตอนยังสาวไม่ได้
นางหน้าตางดงาม ฐานะชาติกำเนิดหรือก็ไม่เลว ตอนอายุสิบสามสิบสี่ในช่วงวัยที่เพิ่งรู้จักคำว่ารัก นางเองก็เคยหวังว่าจะได้แต่งงานกับบุรุษที่ถูกตาต้องใจเช่นกัน
ทว่าสุดท้ายนางก็ถูกคัดเลือกเข้าวังไปในฐานะซิ่วหนี่ว์* ก่อนจะกลายเป็นสตรีของจิ่งซุ่นฮ่องเต้
จิ่งซุ่นฮ่องเต้โปรดปรานนางเป็นที่สุด แต่เป็นสตรีที่ฮ่องเต้โปรดปรานแล้วเช่นไร คืนวานเขาคลอเคลียอยู่กับนาง แต่พอคืนที่สองก็ไปใช้เวลาตลอดค่ำคืนอยู่กับสนมชายาคนอื่นแล้ว
ชีฮองเฮายังไม่ทันได้มีความรู้สึกอันใดกับจิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็ถูกความมักมากของอีกฝ่ายทำจิตใจด้านชาหมดสิ้น จนถึงยามนี้จิ่งซุ่นฮ่องเต้อายุห้าสิบกว่าแล้ว ชีฮองเฮาก็ยังหวังว่าเขาจะไม่แวะเวียนมาหานางอีก
เทียบกับนางแล้ว หวาหยางนับว่ามีความสุขกว่ามาก เฉินจิ้งจงอายุยังน้อย องอาจหล่อเหลา ร่างกายแข็งแรงกำยำ ตรงไปตรงมา ที่สำคัญที่สุดคือเฉินจิ้งจงรวมถึงสกุลเฉินทั้งตระกูลล้วนไม่กล้าล่วงเกินบุตรสาวของนางผู้นี้
ด้วยเหตุนี้นางจึงชอบที่จะเป็นฮองเฮา อย่างน้อยตำแหน่งฮองเฮาก็มอบอำนาจให้นาง สามารถใช้ปกป้องบุตร ให้บุตรสาวของตนสามารถอยู่ในบ้านของผู้เป็นสามีได้ไม่ต่างอะไรกับปลาได้น้ำ*
เมื่อมีผลประโยชน์เช่นนี้ ความรักและน้ำใจเลื่อนลอยพวกนั้นจะมีหรือไม่มีก็หาได้เป็นไรไม่
หวาหยางนอนพักกลางวันอย่างมีความสุขก่อนจะตื่นขึ้นมาพบว่าผู้เป็นน้องชายเรียนช่วงบ่ายจบนานแล้ว ยามนี้กำลังรอนางอยู่
นางรีบลุกจากเตียงขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัวก่อนจะเดินออกไปอย่างสดชื่นแจ่มใส
“เสด็จแม่ เสด็จพี่ไม่ได้กลับมานานแล้ว ลูกอยากพานางไปเดินเล่นที่อุทยานหลวง” องค์รัชทายาทเอ่ยปากขออนุญาต
ชีฮองเฮายิ้มตอบ “ไปเถอะ แต่อย่าเถลไถลนานนัก อย่างมากแค่ครึ่งชั่วยามก็พอ ถึงตอนนั้นเสด็จพ่อของพวกเจ้าน่าจะกลับมาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้ว”
สองพี่น้องพยักหน้าจูงมือกันเดินจากไป
ชีฮองเฮามองมือของพวกเขาสองพี่น้องแล้วส่ายศีรษะเล็กน้อย บุตรชายไม่ชอบถูกคนเห็นเป็นเด็กตัวเล็กๆ แต่ยามถูกผู้เป็นพี่สาวจูงมือ เขากลับไม่แสร้งวางท่าเป็นผู้ใหญ่อีกต่อไป
เรื่องที่องค์รัชทายาทต้องการจะคุยกับผู้เป็นพี่สาวย่อมไม่ใช่เรื่องเดียวกับที่ชีฮองเฮาประสงค์จะพูดกับธิดา
สองพี่น้องมาถึงศาลารับลมริมทะเลสาบ หวาหยางไม่ต่างอะไรกับนักเล่านิทาน นางเล่าเรื่องราวน่าสนใจมากมายที่เกิดขึ้นที่หลิงโจวให้ผู้เป็นน้องชายฟัง
องค์รัชทายาทสนอกสนใจหลิงโจวที่อยู่ไกลออกไปสองพันกว่าหลี่ ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบต้งถิง เขาอู่ตังและอื่นๆ ปรารถนาจะออกไปเที่ยวชมพวกมันดูสักครั้ง และหมายจะลงมือจับขุนนางชั่วมาลงโทษ ส่งเสริมขุนนางที่กระทำความดีด้วยตนเองสักครา
หวาหยางกินเมล็ดแตง เอ่ยปากคล้ายพูดไปเรื่อยเปื่อย “เจ้าเป็นองค์รัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์ เพื่อความปลอดภัยของเจ้า เสด็จพ่อเสด็จแม่ไหนเลยจะวางใจให้เจ้าออกจากวังหลวงไปเที่ยวเล่น เรื่องออกไปเที่ยวชมทัศนียภาพภายนอกยามนี้ย่อมไม่อาจทำได้ แต่เรื่องที่เจ้าต้องการจับขุนนางชั่วมาลงโทษ ส่งเสริมขุนนางน้ำดีนั้นไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด อย่างแรกเจ้าต้องเรียนรู้วิถีแห่งฮ่องเต้ผู้ประเสริฐเสียก่อน ภายภาคหน้าราษฎรทั่วทั้งแผ่นดินยังหวังให้เสด็จพ่อกับเจ้าช่วยให้พวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์พูนสุข ไม่มีอันใดเดือดร้อนขาดแคลนอีก”
นางถือโอกาสใช้คำพูดของน้องชายชักจูงเขาเข้าสู่หัวข้อสนทนาที่เป็นจริงเป็นจัง
องค์รัชทายาทถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ความเป็นอยู่ของราษฎรยากลำบากเช่นนั้น?”
หากเป็นเมื่อชาติที่แล้ว หวาหยางย่อมไม่อาจเข้าใจ ทว่าชาตินี้นางได้ยินชาวบ้านที่หลิงโจวร้องเรียนเซียงอ๋องเองกับหู มีเฉินจิ้งจงช่วยให้นางเข้าใจถึงสถานการณ์ในกององครักษ์หลิงโจว ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางย่อมสามารถอธิบายให้ผู้เป็นน้องชายฟังได้อย่างละเอียด
องค์รัชทายาทไม่ว่าเช่นไรก็คือองค์รัชทายาท เขามีทั้งความเอาแต่ใจและความหุนหันตามวัย ขณะเดียวกันก็มีความใส่ใจและครุ่นคิดในราชกิจบ้านเมืองในฐานะองค์รัชทายาทผู้จะสืบทอดบัลลังก์
ในเมื่อทั่วหล้าคือกิจการของครอบครัวที่ต้องรับช่วงต่อในภายภาคหน้า มีองค์รัชทายาทองค์ใดบ้างเล่าที่ไม่อยากรับช่วงต่อแผ่นดินอันมั่งคั่ง มีกองทัพเข้มแข็ง แล้วจะมีองค์รัชทายาทองค์ใดบ้างอยากรับช่วงต่อแผ่นดินที่เต็มไปด้วยขุนนางโกงกินและทหารไร้ระเบียบ
ทุกข์ของราษฎรอาจเป็นเรื่องยากเกินกว่าจะเข้าอกเข้าใจได้ แต่ครั้นได้ยินว่าทหารในกององครักษ์หลิงโจวจำนวนมากร่างกายผ่ายผอมจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก อาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลายล้วนผุผังหมดสิ้น องค์รัชทายาทก็เดือดดาลขึ้นมาทันที
“โชคดีที่ราชบุตรเขยไม่ได้ล่มหัวจมท้ายกับคนโฉดพวกนั้น ไม่อย่างนั้นกององครักษ์หลิงโจวไม่แคล้วต้องตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ต่อไปไม่รู้จบรู้สิ้น เบี้ยหวัดเสบียงอาหารยุทโธปกรณ์ที่ราชสำนักส่งไปล้วนตกอยู่ในท้องขุนนางละโมบพวกนั้นหมดไม่มีเหลือ สุดท้ายก็เหลือแต่ต้องส่งทหารอ่อนแอไร้ฝีมือออกไปอวดว่าเป็นกองทัพ!”
หวาหยางตบไหล่ปลอบใจผู้เป็นน้องชาย “เอาล่ะ เหตุการณ์คลี่คลายแล้ว เจ้าก็อย่าได้โมโหอีกเลย จำไว้ว่ากององครักษ์ในท้องที่ต่างๆ บางทีอาจมีปัญหาอะไรซุกซ่อนอยู่ วันหน้าอย่าได้ถูกคำพูดลมปากของขุนนางทหารพวกนั้นหลอกลวงเอาได้ก็เป็นพอ เฮ้อ หลังได้ออกมาดูโลกภายนอกคราวนี้ในที่สุดพี่ก็เข้าใจ ขุนนางบางคนตอนถวายฎีกาต่อเสด็จพ่อท่าทีช่างนอบน้อมเสียเหลือเกิน ทว่าแท้ที่จริงแล้วกลับถือโอกาสที่เสด็จพ่ออยู่ไกลไม่เห็นราชสำนักอยู่ในสายตา ก็เหมือนอย่างเซียงอ๋องผู้นั้น หากวันที่พี่ออกไปท่องเที่ยวไม่ได้พาทหารองครักษ์ไปมากพอ ไม่แน่ว่าอาจถูกเขาฉุดคร่าไปแล้วก็เป็นได้!” พูดถึงตรงนี้นางก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน สีหน้าคลื่นไส้ยามเห็นเซียงอ๋องปรากฏขึ้นอีกครั้ง “บุรุษมักมาก หาดีไม่ได้สักคน!”
ขณะที่องค์รัชทายาทกำลังจะพยักหน้า จู่ๆ เขาก็สะดุ้ง สายตากวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะส่งสายตาให้กับผู้เป็นพี่สาว
หวาหยางคล้ายตระหนักขึ้นมาได้ นางขยับศีรษะเข้าไปใกล้น้องชาย ขมวดคิ้วถาม “ตอนพี่ไม่อยู่ในเมืองหลวง เสด็จพ่อยังเป็นเช่นนั้นอยู่หรือไม่”
องค์รัชทายาทเองก็มีสีหน้ากลัดกลุ้ม
กับเขาเสด็จพ่อมีพระทัยกว้างขวาง เพียงแต่พระทัยส่วนใหญ่กลับจดจ่ออยู่บนตัวอิสตรี บางทีแม้แต่ตอนที่กำลังพูดคุยอยู่กับเขานั้น หากมีสนมชายาคนใดแกล้งป่วย เสด็จพ่อล้วนพร้อมจะถูกพวกนางลากไปได้ทันที
แต่เสด็จแม่ไม่ได้เหลวไหลเช่นนั้น นอกจากจะใส่ใจบุตรสาวแล้ว ความคิดอ่านทั้งหมดล้วนอยู่บนตัวเขา เพียงแต่เพราะเข้มงวดเกินไปจึงกวดขันเขาหนักหนาสาหัสเหลือกำลัง
องค์รัชทายาทบอกไม่ถูกว่าตนเองแท้แล้วชอบเสด็จพ่อหรือเสด็จแม่มากกว่ากัน
โชคดีที่เขายังมีพี่สาวร่วมอุทรอยู่อีกคน พี่สาวมีทั้งด้านที่อ่อนโยนของเสด็จพ่อเสด็จแม่ อีกทั้งยังสามารถเล่นเป็นเพื่อนเขาได้ ดังนั้นเขาจึงโปรดพี่สาวผู้นี้ที่สุด
หวาหยางอาศัยจังหวะนี้สั่งสอนผู้เป็นน้องชายเล็กน้อย “ในเมื่อเจ้าเองก็รู้สึกว่าเสด็จพ่อทำเช่นนี้ไม่ดี เมื่อเจ้าเติบใหญ่ก็อย่าได้ปล่อยให้ตนเองถูกสตรีตำหนักในล่อลวงเอาเสียเล่า เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ขอแค่เจ้ารู้จักดูแลสุขภาพของตนเองให้ดีก็พอ ชีวิตนี้ของพี่ยังหวังพึ่งพิงเจ้าอยู่ ไว้พี่จากไปแล้ว เจ้ายังพลานามัยแข็งแรง อายุเจ็ดสิบแปดสิบแล้วยังเหมือนคนหนุ่มอายุสามสิบสี่สิบ เพียงเท่านี้พี่ก็ดีใจแล้ว”
องค์รัชทายาทหัวเราะแล้วเอ่ยบอก “จะเป็นไปได้อย่างไร คนเราไม่ว่าเช่นไรก็ต้องมีวันเฒ่าชรา”
“คนธรรมดาแก่เฒ่าไว ทว่าคนที่ฝึกยุทธ์ร่างกายกลับแข็งแรง ดูอย่างหมอหลวงหลี่ที่พี่พบเจอเข้าก็ได้ เขาอายุเกือบหกสิบแล้ว แต่ยังสามารถแบกชะลอมเดินทางเก็บยาสมุนไพรไปตามภูเขาทุ่งหญ้าต่างๆ ได้ พี่อายุยังน้อย ทว่าปีนยอดเขาเทียนจู้กลับต้องให้ราชบุตรเขยช่วยแบก เห็นได้ชัดว่าร่างกายแข็งแรงหรือไม่ ใช่ว่าจะเกี่ยวกับอายุสักเท่าไร”
องค์รัชทายาทถามอย่างประหลาดใจ “ราชบุตรเขยแบกเสด็จพี่แต่ยังสามารถปีนขึ้นยอดเขาเทียนจู้ได้อย่างนั้นหรือ”
หวาหยาแย้มยิ้ม กระซิบบอกกับผู้เป็นน้องชาย “ข้อดีของราชบุตรเขยก็คือร่างกายแข็งแรง มีอยู่ครั้งหนึ่งพวกเราปีนเขาสูงร้อยจั้งขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ตลอดทางเขาแบกพี่ขึ้นหลังไม่ปล่อย ถึงจะหอบหายใจหนักหน่วง แต่ก็นับว่าเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปอยู่หลายขุม”
เงาร่างสูงใหญ่กำยำของเฉินจิ้งจงปรากฏอยู่ในหัวสมองขององค์รัชทายาท
องค์รัชทายาทมองดูแขนเรียวเล็กของตนเองอีกคราว เขาเองก็เรียนการต่อสู้เช่นกัน แต่เพราะรู้สึกว่ายากลำบาก จึงไม่ได้ตั้งใจเล่าเรียนอะไร เสด็จพ่อเองก็ไม่ได้เรียกร้องให้เขาต้องฝึกฝน เสด็จแม่หรือก็คล้ายจะชอบให้เขาเรียนหนังสือมากกว่า ไม่ได้ก้าวก่ายเรื่องการฝึกยุทธ์อะไรมากนัก
แต่ในเวลานี้เขานึกสนใจเรื่องฝึกฝนการต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว ทั้งนี้เพราะเขาต้องการแข็งแกร่งเฉกเช่นเดียวกับราชบุตรเขย ตอนอายุหกสิบกว่ายังสามารถปีนขึ้นเขาอู่ตังได้
“ใช่แล้ว แล้วสุขภาพของเฉินเก๋อเหล่าเล่าเป็นเช่นไร” จู่ๆ องค์รัชทายาทก็ถามขึ้น
หวาหยางคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ตั้งแต่หมอหลวงหลี่รักษาเขาจนหายป่วย ดูเผินๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ทว่าเฉินเก๋อเหล่าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ไม่เหมือนกับราชบุตรเขย อย่างคราวที่ต้องหนีน้ำท่วมราชบุตรเขยแบกข้าขึ้นเขาได้ราวกับอยู่บนพื้นราบ ส่วนเฉินเก๋อเหล่ากลับต้องให้พวกบ่าวรับใช้ช่วยพยุงขึ้นไป พี่ชายสองคนของราชบุตรเขยเองก็ดูแลตนเองแทบไม่ไหว ดูทุลักทุเลไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าขุนนางบุ๋นบู๊ล้วนมีจุดอ่อนจุดแข็งต่างกันไป บุรุษที่เก่งทั้งบุ๋นบู๊ใต้หล้านี้มีเพียงนับนิ้ว”
องค์รัชทายาทเหยียดยืดหลังไหล่ รอดูเถอะ อีกไม่กี่ปีข้าจะกลายเป็นหนึ่งในบุรุษที่ยอดเยี่ยมทั้งบู๊บุ๋นที่มีเพียงนับนิ้วที่เสด็จพี่พูดถึงให้จงได้
สองพี่น้องไม่ได้พบหน้ากันเนิ่นนาน พอได้พูดคุยกันก็ลืมเวลาไปจนสิ้น ดีที่ยังมีนางกำนัลข้างกายคอยช่วยเตือนว่าได้เวลากลับตำหนักเฟิ่งอี๋แล้ว
หลังกินอาหารเย็นเสร็จ ในที่สุดหวาหยางก็มีเวลามอบของขวัญที่นำมาด้วยให้กับคนในครอบครัว
ตั้งแต่เช้าพักอยู่ในตำหนักเฟิ่งอี๋ ยามนี้ฟ้ามืดแล้ว นางพาเฉาอวิ๋นกลับไปยังตำหนักชีเฟิ่งอันเป็นที่พักเดิมก่อนแต่งงานของนาง
เพราะนี่เป็นชื่อตำหนักที่จิ่งซุ่นฮ่องเต้ตั้งให้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นที่พักของนางในจวนองค์หญิงที่อยู่ในเมืองหลวง หรือในคฤหาสน์หนิงหยวนต่างก็ใช้ชื่อตามนี้
ตำหนักชีเฟิ่งยังคงมีสภาพไม่ต่างอะไรกับตอนก่อนนางออกเรือน เพียงแต่ตอนนอนลงบนเตียงที่คุ้นเคยใหม่อีกครั้ง หวาหยางกลับไม่อาจนอนหลับไร้กังวลได้เหมือนตอนเป็นองค์หญิงตัวน้อยในอดีตได้อีก
นางครุ่นคิดว่าเสด็จพ่อสามารถสลับผลัดเปลี่ยนโปรดปรานโฉมสะคราญในตำหนักในได้ เสด็จแม่หรือก็ใส่ใจอยู่กับการใหญ่ของผู้เป็นน้องชาย น้องชายยามนี้เองต้องเรียนหนังสือ วันหน้าหลังแต่งงานก็จะมีครอบครัวเป็นของตนเอง
ต่อให้นางกลับมาพำนักอาศัยอยู่ในวังหลวงได้ ทว่าสุดท้ายนางก็จะค่อยๆ กลายเป็นส่วนเกิน ส่วนคนที่สามารถอยู่ข้างกายนางไปได้ตลอด ร่วมเป็นครอบครัวเดียวกันกับนางเหมือนจะมีก็แต่สามีของนางเท่านั้น
จวนสกุลเฉิน
ลานเรือนของเฉินจิ้งจงกับหวาหยางชื่อเรือนซื่ออี๋ถัง แต่จวนสกุลเฉินในเมืองหลวงที่ฮ่องเต้พระราชทานให้นั้นมีขนาดใหญ่โตกว้างขวาง เรือนซื่ออี๋ถังที่เมืองหลวงนี้จึงเป็นเรือนคั่นสาม กว้างขวางโอ่อ่ากว่ามากนัก
ก่อนไปจากเมืองหลวง เฉินจิ้งจงพำนักอยู่ในเรือนหน้า หวาหยางพักอยู่เรือนหลัง
ตอนนี้หวาหยางอยู่ในวังหลวง พอเฉินจิ้งจงกินอาหารเย็นเพียงลำพังเสร็จ เขาก็นั่งครุ่นคิดคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินมุ่งหน้าหมายเข้าไปพักยังเรือนหลัง
ที่นี่มีสาวใช้รุ่นใหญ่ที่คอยดูแลปรนนิบัติรับใช้หวาหยางอยู่อีกสองคน คนหนึ่งชื่อเฉาลู่ อีกคนชื่อเฉาหลาน
เฉาลู่กับเฉาหลานต่างไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงกับราชบุตรเขยคืบหน้าไปถึงขั้นใดแล้ว ในความทรงจำของพวกนาง ความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยายังคงหยุดนิ่งอยู่ที่ราชบุตรเขยหัวแข็งดื้อรั้น องค์หญิงรังเกียจชิงชัง
องค์หญิงไม่อยู่ ราชบุตรเขยกลับมา พวกนางทั้งสองต่างมีสีหน้าระแวดระวัง
“พวกเจ้าถอยไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องอยู่ปรนนิบัติรับใช้”
เฉินจิ้งจงยืนอยู่หน้าเตียงห้องที่ไม่คุ้นตาหลังนั้น หันหลังบอกกับสาวใช้ทั้งสอง
เฉาลู่กับเฉาหลานสบตากัน พวกนางตัดสินใจว่าควรไว้หน้าราชบุตรเขย จึงก้มหน้าถอยไปจากพื้นที่ที่เป็นอาณาเขตขององค์หญิงเพียงผู้เดียวนี้
เฉินจิ้งจงถอดเสื้อนอกออกแล้วนั่งลงบนเตียง
เตียงปราศจากกลิ่นอายของหวาหยางนานแล้ว ทว่าเขากลับคล้ายยังคงเห็นนางนั่งอยู่ที่ข้างเตียง มองดูเขาด้วยสายตาเดียดฉันท์หวาดระแวง
นางในเวลานั้นไม่เต็มใจเลยแม้แต่น้อย
ครั้นนึกถึงภาพเหตุการณ์ในโรงน้ำชาคืนนั้น เฉินจิ้งจงก็นอนลงด้วยใจอันสงบ
บทที่ 68
แค่วันที่สองของการกลับมาอยู่ในวังหลวง เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่อยู่นอกวังหลวงก็ทยอยกันเข้ามาขอพบหวาหยางแล้ว
คนแรกที่มาถึงคืออันเล่อจ่างกงจู่ อาหญิงของหวาหยาง ‘ของดี’ ในอ่างดอกบัวที่นางกับเฉินจิ้งจงใช้อยู่เป็นประจำล้วนเป็นของที่อันเล่อจ่างกงจู่ประทานให้
เพราะอันเล่อจ่างกงจู่เลี้ยงดูชายบำเรอจึงได้ชื่อว่าเป็นองค์หญิงที่ประพฤติตนนอกรีตผิดธรรมเนียม ต่างกับชีฮองเฮาผู้ถูกยกย่องให้เป็นตัวอย่างของสตรีผู้ทรงธรรมทั่วหล้า ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาส่วนตัวนิสัยก็เข้ากันไม่ได้ หรือจะเป็นเพราะต้องรักษาภาพลักษณ์ต่อหน้าขุนนางและราษฎร ความสัมพันธ์ของพวกนางทั้งสองก็ล้วนไม่สู้ดีนัก แม้จะเป็นเพียงการพบปะกันธรรมดาชีฮองเฮาก็จะให้หวาหยางไปต้อนรับจ่างกงจู่ผู้นี้ที่ตำหนักซีเฟิ่ง
อันเล่อจ่างกงจู่อายุมากกว่าหวาหยางเพียงสิบปีเท่านั้น พวกนางสองคนถึงจะมีฐานะเป็นอาหลานกัน แต่ทางด้านความรู้สึกแล้วพวกนางคล้ายเป็นพี่สาวน้องสาวกันมากกว่า
พอมาถึงตำหนักซีเฟิ่ง หลังนั่งลงอันเล่อจ่างกงจู่ก็ยิ้มพินิจพิจารณาหลานสาวโดยละเอียด
หวาหยางควบคุมใบหน้าของตนเองไม่อยู่ รู้สึกร้อนผ่าวดั่งถูกไฟสุม
อันเล่อจ่างกงจู่ยิ้มกล่าว “ออกเรือนไปสองปีกว่าแล้ว เหตุใดหน้ายังบางเช่นนี้เล่า แล้วข้าจะพูดคุยเรื่องที่มิอาจพูดคุยตอนเจ้ายังเป็นดรุณีน้อยได้เช่นไร”
หวาหยางมองค้อนอีกฝ่ายคราหนึ่ง “ตอนนี้ข้าก็ยังคงเป็นดรุณีน้อยในเวลานั้น เรื่องพวกนั้นท่านอาเก็บมันไว้กับตัวเถิด อย่าเอามาพูดกับข้าเลย”
“เจ้าไม่รู้สักหน่อยว่าข้าต้องการพูดอะไร แล้วเหตุใดถึงรีบร้อนบอกให้ข้าปิดปากเล่า”
หวาหยางผินหน้าไปทางอื่น ทำท่าเหมือนกำลังโกรธขึ้ง
อันเล่อจ่างกงจู่ชอบแกล้งหลานสาวคนงามผู้นี้ยิ่งนัก ขยับเข้าไปนั่งชิดอีกฝ่าย เบียดไหล่นางเบาๆ พลางหยอกกระเซ้าเสียงแผ่ว
“เป็นเช่นไร ของดีที่อาหญิงมอบให้เจ้าไปก่อนหน้านี้ ใช้หมดแล้วหรือไม่”
หวาหยางก้มหน้า กุมแขนเสื้อพลางกล่าวว่า “ไหนเลยจะรวดเร็วเช่นนั้น ยังเหลืออยู่อีกไม่น้อย”
อันเล่อจ่างกงจู่ถามคาดคั้น “ทั้งหมดมีห้าสิบอัน ที่ว่าเหลืออยู่ไม่น้อยคือเท่าไร”
หวาหยางย้อนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างไม่มั่นใจนัก “คงสิบหกสิบเจ็ดอันได้ ข้าไม่ได้เป็นคนนับ แต่คาดว่าน่าจะเหลืออยู่ประมาณนั้น”
อันเล่อจ่างกงจู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตากลอกกลิ้งไปมา คิดคำนวณอย่างรวดเร็ว “เอาเป็นว่าใช้ไปแล้วสามสิบสี่อันก็แล้วกัน หนึ่งอันใช้ได้สิบครั้ง นั่นก็หมายความว่านับตั้งแต่เดือนหนึ่งปีที่แล้วมาถึงตอนนี้ระยะเวลาหนึ่งปีครึ่ง หลานสาวกับหลานเขย…”
ยังไม่ทันคำนวณเสร็จ หวาหยางก็เดาได้ทันทีว่าท่านอาหญิงของนางกำลังทำอะไรอยู่ ความรู้สึกขัดเขินกลับกลายเป็นโกรธขึ้งทันควัน นางจักจี้รักแร้ของผู้เป็นอาหญิง ห้ามไม่ให้อีกฝ่ายคิดอีก
ถูกผู้เป็นหลานขัดจังหวะเช่นนั้น อันเล่อจ่างกงจู่ก็ถึงกับคิดอะไรไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคงเดาได้ว่าหลานสาวกับหลานเขยน่าจะรักใคร่กันไม่ใช่น้อย
“รักใคร่กันก็ดีแล้ว ตอนเจ้าออกเรือนใหม่ๆ ครั้งแรกที่ข้าเห็นคุณชายสี่สกุลเฉินก็รู้สึกว่าเขาหน้าตาหล่อเหลา ดูใช้การได้มากกว่าเฉินเก๋อเหล่า”
หวาหยาง “…”
คำว่า ‘ใช้การได้’ ที่ออกมาจากปากท่านอาหญิงคงหมายถึงเรื่องการงานในราชสำนักกระมัง
นางรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา หันมาถามถึงชีวิตความเป็นอยู่ตลอดสองปีนี้ของอีกฝ่ายแทน
อันเล่อจ่างกงจู่ถอนหายใจ “ก็ไม่มีอะไร คนในจวนไม่ว่าจะหน้าตาหล่อเหลาสักเพียงใด เห็นอยู่ทุกวันย่อมเบื่อหน่ายเป็นเรื่องธรรมดา จะออกไปหาคนใหม่จากข้างนอกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกที่มีความสามารถไหนเลยจะยินดีลดตัวมาปรนนิบัติรับใช้ข้า ส่วนพวกไร้สามารถก็ยากจะมีหน้าตาหล่อเหลา…พูดถึงเรื่องนี้แล้วข้าก็อดโมโหไม่ได้ บุรุษบางคนเห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นพวกแตงเบี้ยวพุทราฉีก แต่กลับมั่นหน้าคิดว่าข้าต้องตาเขา!”
หวาหยาง “…”
ความกลัดกลุ้มของท่านอาหญิงเหมือนกับสตรีทั่วไปเสียที่ไหน!
ทว่าท่านอาหญิงเพิ่งจะอายุสามสิบเท่านั้น หน้าตาหรือก็งดงามดั่งบุปผาเยี่ยงแขไข บุรุษธรรมดาทั่วไปไหนเล่าจะอยู่ในสายตานาง
“พวกเจ้าเล่า ตอนนี้กลับเมืองหลวงแล้ว ตั้งใจจะมีทายาททันทีหรือว่าจะรออีกสักสองสามปี” อันเล่อจ่างกงจู่ขยับไปนั่งลงบนเก้าอี้ของตนเองอีกครั้ง จิบชาพลางพูดสัพเพเหระ “หากเป็นอย่างหลัง อาหญิงจะได้มอบของวิเศษนั่นให้เจ้าอีกกล่อง”
หวาหยางจิตใจสะท้านไหว
ของวิเศษที่ว่านั่น สำหรับเฉินจิ้งจงแล้วมันใช้การได้เพียงเจ็ดแปดครั้งเท่านั้น แน่นอนว่าครั้งแรกตอนมันฉีกขาดเขารู้สึกขุ่นข้องไม่ใช่น้อย ส่วนหวาหยางเองก็ไม่ได้สนใจนับว่าแต่ละอันใช้การได้กี่ครั้ง
เอาเป็นว่าที่เหลืออยู่สิบกว่าอันนี้น่าจะพอให้ใช้ไปได้จนถึงปลายปี
หวาหยางพยักหน้าด้วยใบหน้าแดงก่ำ
อันเล่อจ่างกงจู่เข้าใจแล้ว “ข้าจะจำไว้ หลังจากรวบรวมได้มากพอข้าจะให้คนส่งเข้าไป หวาหยางเจ้าเป็นคนฉลาด ลองดูหนานคังเป็นตัวอย่างก็ได้ นางออกเรือนก่อนเจ้าปีหนึ่ง ปีถัดมาให้กำเนิดบุตรสาว ตอนนี้กลับตั้งครรภ์อีกแล้ว วันๆ ได้แต่ป้องกันไม่ให้สามีของนางออกไปข้องแวะกับสตรีข้างนอก แค่ได้ยินข้าก็เหนื่อยแทนแล้ว สามีของนางไม่ได้หล่อเหลาวิเศษวิโสตรงที่ใด อยากทำตัวเหลวไหลเช่นไรปล่อยไปเสียก็หมดเรื่อง ไว้คลอดลูกเสร็จถึงตอนนั้นเลี้ยงองครักษ์ดูดีสักสองคน สองสามีภรรยาต่างแยกย้ายกันหาความสุขของตนเอง ดีออกจะตาย”
หวาหยางได้แต่ยิ้มไม่พูดอันใด
อันเล่อจ่างกงจู่พิจารณาดูหลานสาวอยู่สองคราว ก่อนจะถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “เจ้าไม่อยากมีทายาท คุณชายสี่สกุลเฉินเห็นพ้องด้วยอย่างนั้นหรือ หากข้าเป็นเขา คงให้เจ้าตั้งครรภ์ไปนานแล้ว มีก็แต่เจ้าตั้งครรภ์ให้กำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ตำแหน่งราชบุตรเขยนี้ถึงจะมั่นคง”
หวาหยางแย้มยิ้ม “เรื่องนี้ข้าเป็นคนตัดสินใจ เขาไม่ยินยอมก็ไม่มีประโยชน์”
“อืม แบบนี้สิถึงจะเหมือนองค์หญิง เช่นนั้นเขาลอบไปกินคาวข้างนอกบ้างหรือไม่”
“เขามีหรือจะกล้า ไม่ต้องพูดถึงข้าก็ได้ บ้านสกุลเฉินเคร่งครัดในขนบธรรมเนียม หากเขากล้าทำตัวเหลวไหล เฉินเก๋อเหล่าต้องออกมาเอาเรื่องเป็นคนแรกแน่นอน”
อันเล่อจ่างกงจู่มีหรือจะไม่เคยได้ยินเรื่องบ้านสกุลเฉินมาก่อน นางพยักหน้ากล่าว “เสด็จแม่ของเจ้าถึงจะเด็ดขาดไปสักหน่อย แต่งานแต่งงานนี้ของเจ้านางนับว่าเลือกลูกเขยได้ไม่เลว ต่อให้ข้าเป็นคนเลือกก็คงเลือกหาตัวเลือกที่ดีกว่านี้ไม่ได้ อันที่จริงญาติผู้พี่ของเจ้าคนนั้นก็ไม่เลว ต้นไม้หยกรับลม น่าเสียดายที่หมั้นหมายไปเสียก่อน”
หวาหยางตกตะลึง พูดอย่างอับจน “ท่านพูดอะไรของท่าน ข้ากับญาติผู้พี่รักกันเยี่ยงพี่น้องเท่านั้น คำพูดนี้หยอกกระเซ้าข้าคนเดียวก็ช่างเถอะ แต่ท่านห้ามเอาไปพูดเหลวไหลข้างนอกเด็ดขาด”
อันเล่อจ่างกงจู่เลิกคิ้ว “มีอะไร หรือเจ้ากลัวราชบุตรเขยจะหึงหวงเอา?”
“เขาเป็นพวกหยาบกระด้าง ไหนเลยจะสนใจเรื่องพวกนี้ ข้าแค่กลัวพี่สะใภ้จะเข้าใจผิด ทำลายความรักของนางกับญาติผู้พี่ก็เท่านั้น”
“พวกเขามีความรักให้แก่กันเสียที่ไหน เจอกันในงานเลี้ยงรับรองทีไร พี่สะใภ้ของเจ้าก็ล้วนทำหน้างอ เห็นชัดว่าพวกเขาสามีภรรยาไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”
หวาหยางรู้สึกประหลาดใจ
เพราะถูกเลี้ยงดูอยู่ในวังหลวง โอกาสที่นางจะได้พบเจอกับชีจิ่นญาติผู้พี่จึงมีไม่บ่อยนัก ยิ่งอีกฝ่ายแต่งงาน ทั้งปีโอกาสที่นางจะพบหน้าพวกเขาสองสามีภรรยาก็ยิ่งเหลือแค่ไม่กี่ครั้ง ความทรงจำที่มีต่อพี่สะใภ้สกุลเถียนผู้นั้นคืออีกฝ่ายหน้าตางดงามอ่อนโยน คล้ายคบหาได้ง่าย ส่วนด้านอื่นนางไม่ได้รู้จักกันมากนัก
หรือว่าสองปีมานี้ทางพี่สะใภ้เกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ว่าจะเกิดหรือไม่เกิดเรื่องก็ไม่มีทางพัวพันมาถึงนางที่อยู่ไกลถึงหลิงโจวได้ ต่อให้เป็นก่อนหน้านี้ญาติผู้พี่ก็ไม่เคยมีท่าทีเกินเลยไปกว่าความเป็นพี่น้องกับนางเลยสักครั้ง
สองอาหลานเพิ่งพูดถึงญาติฝ่ายมารดาได้ไม่ทันไร ชีฮองเฮาก็ให้คนมาแจ้งข่าวว่าฮูหยินผู้เฒ่า โหวฮูหยิน ฮูหยินซื่อจื่อจากจวนอู่ชิงโหวยามนี้ล้วนอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งอี๋ ให้หวาหยางไปต้อนรับพวกเขา
อู่ชิงโหวชีเหวินหย่วนเป็นท่านลุงแท้ๆ ของหวาหยาง ส่วนฮูหยินทั้งสามรุ่นที่มาในวันนี้แบ่งเป็นท่านยายของนาง ป้าสะใภ้ และพี่สะใภ้เถียนซื่อ
“ในเมื่อพวกเขามาแล้ว ผานผานเจ้าก็ไปต้อนรับพวกเขาเถิด ข้าจะออกจากวังไปก่อน ไว้วันใดเจ้ามีเวลา ค่อยไปหาข้าที่จวนร่วมดื่มน้ำชากัน”
หวาหยางพยักหน้า หลังส่งท่านอาหญิงจากไป นางก็รีบตรงไปยังตำหนักเฟิ่งอี๋
ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลชีท่านยายของหวาหยางยามนี้อายุห้าสิบเก้าแล้ว ทว่าเส้นผมยังดำขลับ ท่าทางกระปรี้กระเปร่า สวมเสื้อคลุมแขนยาวผ้าต่วนสีน้ำเงิน สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ใบหน้าถึงจะมีริ้วรอยยับย่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมองออกถึงความงามในยามสาว
“อา ในที่สุดองค์หญิงผานผานของพวกเราก็กลับมาแล้ว ยายคิดถึงเจ้ายิ่งนัก!”
พอเห็นหวาหยางเดินเข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลชีก็ลุกขึ้นยิ้มตาหยี
หวาหยางรีบวิ่งเข้าไปโอบกอดหญิงชราที่เตี้ยกว่านางครึ่งศีรษะ เสด็จแม่กับท่านยายรูปร่างหน้าตาคล้ายกันยิ่งนัก และเพราะเหตุนี้ถึงพบเจอกันไม่บ่อย แต่หวาหยางกลับรู้สึกสนิทชิดเชื้อกับอีกฝ่ายยิ่ง บางทีอาจเพราะสายสัมพันธ์ลึกล้ำทางสายเลือดเป็นเหตุ
หลังจากออดอ้อนผู้เป็นยายเสร็จ หวาหยางก็หันไปทักทายโหวฮูหยินที่ยืนอยู่อีกด้าน “ท่านป้าสะใภ้”
โหวฮูหยินสีหน้านอบน้อม เอ่ยปากชื่นชมนางด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม “สองปีไม่พบกัน องค์หญิงเหมือนจะงดงามมากยิ่งขึ้น ไม่ต่างอะไรกับเทพธิดาแดนสรวง”
หวาหยางแย้มยิ้ม สายตาเปลี่ยนไปจับจ้องอยู่บนใบหน้าของเถียนซื่อพี่สะใภ้ที่ยืนอยู่ทางด้านหลังป้าสะใภ้
ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายหวาหยางก็ให้รู้สึกตกใจ ไม่ผิดอะไรจากที่ท่านอาหญิงว่าไว้จริงๆ เถียนซื่อใบหน้าซูบผอม แม้แต่แป้งชาดก็ยังไม่อาจปิดบังอำพรางริ้วรอยอ่อนล้าซีดเซียวนั้นได้ นางในยามนี้ไม่ต่างอะไรกับคนที่ล้มป่วยหนักเลยแม้แต่น้อย
หวาหยางตกตะลึงกับสีหน้าท่าทีไร้ชีวิตชีวาของเถียนซื่อ เถียนซื่อกลับถูกความงามขององค์หญิงทิ่มแทงสายตา นางยิ้มอย่างอึดอัดออกมาคราหนึ่งก่อนจะก้มหน้าคล้ายน้อยเนื้อต่ำใจ อับอายที่ไม่อาจเทียบอีกฝ่ายได้
โหวฮูหยินอธิบายให้หวาหยางฟัง “นางวาสนาน้อย ปีที่แล้วกว่าจะตั้งครรภ์ได้ก็มิใช่ง่าย แต่สุดท้ายกลับแท้งบุตร เป็นทุกข์เสียใจเหลือประมาณ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น”
พอได้ยินเช่นนั้นหวาหยางก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าชาติที่แล้วเหมือนจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ เพียงแต่เพราะไม่ได้ใส่ใจญาติผู้พี่กับพี่สะใภ้สักเท่าไรนัก นางจึงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
“พี่สะใภ้ได้โปรดระงับความโศกเศร้า ท่านอายุยังน้อย ดูแลร่างกายให้ดี ถึงตอนนั้นย่อมต้องสามารถมีทายาทได้อีก” หวาหยางเอ่ยปากปลอบใจอีกฝ่ายเสียงแผ่ว
เถียนซื่อพยักหน้าด้วยสีหน้าขมขื่น
ชีฮองเฮานั่งอยู่บนที่นั่งประธาน สายตากวาดมองไปทางเถียนซื่ออย่างไม่ใส่ใจนัก
เพราะบุตรสาวของนางเติบใหญ่อยู่ในวังหลวงจึงไม่มีโอกาสคบหากับบุรุษภายนอก ยิ่งเรื่องความรักด้วยแล้วก็ยิ่งไร้เดียงสา อายุสิบสี่สิบห้าก็ยังไม่รู้ตัวว่าสายตาของชีจิ่นญาติผู้พี่ที่มองมานั้นแฝงไว้ซึ่งสิเน่หา
บุตรสาวดูไม่ออก แต่นางกลับรับรู้ได้แต่แรก
ชีจิ่นเป็นหลานชายฝั่งตระกูลของชีฮองเฮา สง่าผ่าเผยและเชี่ยวชาญทั้งบู๊บุ๋น นางมีหรือจะไม่นิยมชมชอบหลานชายผู้นี้ เพียงแต่หลานก็คือหลาน ไม่เหมาะที่จะเป็นเขย
สกุลชีเป็นกำลังสำคัญของนางกับองค์รัชทายาทอยู่แต่เดิม ไม่จำเป็นต้องสานสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานอีก คนที่จะมาเป็นเขยของนางนอกจากจะต้องมีหน้าตาและความสามารถที่คู่ควรกับบุตรสาวแล้ว ชาติตระกูลก็ต้องเป็นประโยชน์ต่อการใหญ่ในภายภาคหน้าด้วยเช่นกัน
เพื่อไม่ให้ชีจิ่นตกบ่วงสิเน่หาเกินถอนตัวแล้วทำบุตรสาวของนางหวั่นไหว ทันทีที่ชีฮองเฮารับรู้ถึงเรื่องนี้ก็ขอให้ผู้เป็นมารดารีบจัดแจงเรื่องงานแต่งงานให้กับชีจิ่นทันที
เพราะเข้าใจถึงความคิดอ่านนี้ดี มารดาของนางจึงลงมือสู่ขอเถียนซื่อให้ชีจิ่นโดยเร็ว
สิ่งที่ทำให้ชีฮองเฮาพึงพอใจคือทั้งๆ ที่ชีจิ่นชอบหวาหยาง แต่ก็ไม่ได้บุ่มบ่ามมาพบนางเพื่อขอสมรสพระราชทาน กลับยอมรับเถียนซื่อเป็นภรรยาแต่โดยดี
น่าเสียดายที่ถึงนางกับมารดาจะสามารถจัดการให้ชีจิ่นแต่งงานกับเถียนซื่อได้ แต่กลับไม่อาจบังคับชีจิ่นให้รักเถียนซื่อได้ หลังจากแต่งงานกันมาสี่ห้าปี เถียนซื่อเพิ่งตั้งครรภ์แค่ครั้งเดียว มิหนำซ้ำยังรักษาไว้ไม่อยู่อีกต่างหาก
ชีฮองเฮาหลุบตา ยกถ้วยชาขึ้นจิบคำหนึ่ง
หลังจากนั่งอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งอี๋ราวๆ ครึ่งชั่วยาม พวกฮูหยินผู้เฒ่าสกุลชีก็ขอตัวกลับ
ทันทีที่พวกนางจากไป ยังไม่ทันที่ชีฮองเฮาจะทันได้พูดอะไรกับหวาหยาง หลินกุ้ยเฟยก็พาองค์หญิงหนานคังผู้เป็นบุตรสาวมาเข้าเฝ้าต่อ
องค์หญิงหนานคังโตกว่าหวาหยางเพียงปีเดียวเท่านั้น ก็เหมือนกับหลินกุ้ยเฟยที่แย่งชิงความโปรดปรานกับชีฮองเฮามาตลอดระยะเวลาหลายปี ก่อนองค์หญิงหนานคังจะอภิเษกสมรสก็เคยพยายามกดหวาหยางให้อยู่ใต้นางเช่นกัน เพื่อจะได้เป็นองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดในวังหลวง
น่าเสียดายที่แผนการของหลินกุ้ยเฟยกับองค์หญิงหนานคังล้วนล้มเหลว ไม่มีใครสมดั่งปรารถนา แม้แต่อวี้อ๋องที่เป็นความหวังสูงสุดของหลินกุ้ยเฟยก็ยังช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทไม่สำเร็จ สุดท้ายได้แต่ต้องไปเป็นอ๋องเจ้าศักดินาอยู่ที่ลั่วหยาง
หลินกุ้ยเฟยไม่มีอะไรน่ามอง ตอนหวาหยางมองไปทางองค์หญิงหนานคัง นางสังเกตเห็นท้องของอีกฝ่ายก่อน ดูคล้ายยามนี้ตั้งครรภ์ได้หกเจ็ดเดือนแล้ว
องค์หญิงหนานคังเองก็สังเกตเห็นสายตาของหวาหยาง นางยิ้มพลางลูบท้องของตนเองก่อนจะมองไปทางหวาหยางอีกคราวแล้วเอ่ยปากอย่างประหลาดใจ
“น้องหญิงกับราชบุตรเขยแต่งงานกันได้สามปีแล้ว ออกทุกข์หรือก็ตั้งแต่ปีที่แล้ว ข้ายังคิดว่าจะได้ยินข่าวดีจากน้องหญิงเสียอีก”
หวาหยางยิ้มน้อยๆ “อากาศร้อนอบอ้าว ข้าอยากสบายเนื้อสบายตัวมากกว่า ว่าแต่ท่านพี่เถิด อากาศร้อนเช่นนี้ยังเข้าวังมาพบข้าอีก ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
ท่านอาหญิงรีบมาพบนางด้วยเพราะคิดถึง ส่วนฝ่ายท่านยายทั้งคิดถึงทั้งมีเรื่องของมารยาทและลำดับชั้นที่ต้องคำนึง จวนโหวจำต้องแสดงความเคารพต่อนาง
ส่วนองค์หญิงหนานคัง ระหว่างพวกนางสองคนไม่มีมิตรภาพระหว่างพี่น้องอันใด แต่เพื่อแสดงให้เสด็จพ่อได้เห็นว่าพี่สาวอย่างนางห่วงใยน้องสาว หนานคังต่อให้ในใจไม่ปรารถนา อย่างไรก็ต้องฝ่าอากาศร้อนมา
หากหนานคังได้รับความโปรดปรานมากกว่าหวาหยาง มีเกียรติยศในฐานะองค์หญิงสูงส่งกว่า นางไหนเลยจะเหน็ดเหนื่อยถ่อสังขารมาถึงนี่
องค์หญิงหนานคังเข้าใจเหตุผลนี้ยิ่งกว่าใครทั้งหมด ดังนั้นคำพูดเรียบง่ายของหวาหยางนี้จึงแทงใจดำของนางเข้าเต็มๆ!
นางลอบกัดฟัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเค้นรอยยิ้มออกมา “ซาบซึ้งอันใดกัน พี่เอ็นดูเจ้ายิ่งนัก เจ้าถูกประคบประหงมอยู่ในวังนับแต่เล็ก แต่กลับต้องเดินทางไกลไปไว้ทุกข์ร่วมกับเฉินเก๋อเหล่าทั้งตระกูลถึงหลิงโจว อีกทั้งยังต้องแบกรับความอยุติธรรมใหญ่หลวงอยู่ที่นั่น เกือบถูกเซียงอ๋องฉุดคร่า”
พอพูดถึงตอนสุดท้าย องค์หญิงหนานคังก็แสดงท่าทีมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของผู้อื่นออกมาให้เห็น
หวาหยางยังคงแย้มยิ้ม “ไว้ทุกข์ข้ายินดีเอง ส่วนเรื่องเซียงอ๋องทำให้ข้าต้องแบกรับความอยุติธรรมนั้น เสด็จพ่อได้พระราชทานแส้โบยอ๋องให้กับข้าแล้ว ข้าถือว่านั่นเป็นโชคในคราวเคราะห์ เรื่องเหลวไหลอันใดล้วนโยนออกจากสมองไปนานแล้ว ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องจดจำมันแทนข้า”
องค์หญิงหนานคัง “…”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 ต.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.