X
    Categories: ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มากทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 69-70

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 69

เช้าวันที่สามนับตั้งแต่หวาหยางกลับเข้าวังหลวงมา ยามนี้นางยังคงนอนอยู่ที่ตำหนักซีเฟิ่ง แต่จิ่งซุ่นฮ่องเต้ออกว่าราชกิจเช้าแล้ว

ขุนนางบุ๋นบู๊แยกยืนซ้ายขวาคนละฝั่งอยู่ในโถงตำหนัก

เฉินถิงเจี้ยนสวมอาภรณ์ขุนนางเก๋อเหล่าสีแดง ยืนอยู่ฝั่งขุนนางบุ๋น ส่วนที่อยู่ข้างๆ เขาคือเกาเก๋อเหล่าราชเลขาธิการคนปัจจุบัน

เกาเก๋อเหล่าอายุหกสิบสี่แล้ว เส้นผมหนวดเคราขาวโพลน ทว่าหลังเอวกลับยังคงเหยียดตรง ท่าทีคล้ายต่อให้เป็นราชเลขาธิการไปอีกสิบปีก็ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด

เฉินถิงเจี้ยนกับเกาเก๋อเหล่าล้วนเป็นขุนนางคนสำคัญที่จิ่งซุ่นฮ่องเต้ไว้วางใจเป็นที่สุด พวกเขาทั้งสองเคยร่วมมือกับอดีตราชเลขาธิการจัดการกับการทุจริตครั้งใหญ่ หลังจากการทุจริตดังกล่าวผ่านพ้น พวกเขาสองคนก็ร่วมแรงร่วมใจกันอีกครั้ง จัดการ ‘เชิญ’ อดีตราชเลขาธิการที่ไม่ลงรอยกันให้กลับไปใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายที่บ้านเกิด

ยามมี ‘ศัตรูทางการเมือง’ ร่วมกัน พวกเขาย่อมอยู่บนเรือลำเดียวกัน แต่ทันทีที่ ‘ศัตรูทางการเมือง’ ที่ขวางอยู่เบื้องหน้าลับหาย ความขัดแย้งในด้านการจัดการบริหารบ้านเมืองระหว่างเฉินถิงเจี้ยนกับเกาเก๋อเหล่าก็ปรากฏชัดมากขึ้นทุกที ทั้งคู่ต่างก็หวังทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แท้จริงแก่ราชสำนักและราษฎร ต่างก็มีอุดมการณ์อยากเห็นบ้านเมืองสงบสุขรุ่งเรือง ทว่าคนหนึ่งอยากไปทางตะวันออก อีกคนกลับเห็นว่าทางตะวันตกถูกต้องกว่า ต่างปรารถนาจะเป็นหัวหน้าของสภาขุนนาง เพื่อให้ผู้อื่นทำตามแนวทางของตนเอง

ในช่วงต้นๆ จิ่งซุ่นฮ่องเต้พึ่งพาเกาเก๋อเหล่ามากกว่า ต่อมาเฉินถิงเจี้ยนอาศัยความสามารถของเขาค่อยๆ ชนะใจจิ่งซุ่นฮ่องเต้ ยิ่งตอนหวาหยางแต่งงานกับเฉินจิ้งจง จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็มีแผนที่จะให้เกาเก๋อเหล่าเกษียณอายุราชการ เลื่อนขั้นเฉินถิงเจี้ยนขึ้นมาเป็นราชเลขาธิการแทนแล้ว

น่าเสียดายที่ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเฉินมาจากไปเสียก่อน ทำให้เฉินถิงเจี้ยนจำต้องกลับบ้านเก่าเพื่อไว้ทุกข์ให้ผู้เป็นมารดา ด้วยเหตุนี้เกาเก๋อเหล่าจึงเป็นราชเลขาธิการต่ออีกสองปี

ทว่ายามนี้เฉินถิงเจี้ยนกลับมาแล้ว ขุนนางใหญ่ทั่วทั้งราชสำนักต่างรอดูว่าจิ่งซุ่นฮ่องเต้จะเลือกทำเช่นไร

จิ่งซุ่นฮ่องเต้ไม่ค่อยเข้ามายุ่งวุ่นวายกับงานบริหารสักเท่าไรนัก ทุกสิ่งอย่างล้วนมอบหมายให้กับสภาขุนนางที่พระองค์ไว้วางใจจัดการ หากไม่ใช่เพราะทางสภาขุนนางต้องการให้พระองค์เข้าร่วมรับฟัง จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็ปรารถนาจะนอนกลางวันกกกอดเหล่านางสนมมากกว่า

ทว่าวันนี้พระองค์มีเรื่องบางอย่างที่ต้องประกาศ

จิ่งซุ่นฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร มองดูเก๋อเหล่าทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าสุด

เกาเก๋อเหล่าเข้าใจความคิดอ่านของจิ่งซุ่นฮ่องเต้ดี ในเวลานี้พอเห็นฝ่าบาทชำเลืองมาทางตนก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันควัน สองตาหลุบลง ใบหน้าชราเฒ่าขมวดตึง มุมปากเม้มแน่น เอวหลังเหยียดตรง เผยความรู้สึกไม่พอใจออกมาหมดสิ้น คนอื่นไม่กล้าชักสีหน้าใส่ฮ่องเต้ แต่เขากล้า เขาเคยเป็นอาจารย์ของฮ่องเต้มาก่อน ตอนที่จิ่งซุ่นฮ่องเต้ยังเป็นอ๋อง เขาเคยวางแผนออกอุบายช่วยเหลืออีกฝ่ายไม่น้อย จิ่งซุ่นฮ่องเต้ในเวลานั้นพบเจอเรื่องอะไรล้วนมาขอคำชี้แนะจากเขา

ฮ่องเต้เลอะเลือนผู้นี้คงครองบัลลังก์นานเกินไปแล้วจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องราวในนอกราชสำนักตลอดสองปีนี้ก็ไม่ได้มีปัญหายุ่งยากมากมายอะไร ผนวกกับถูกเฉินถิงเจี้ยนตบตาจนยกองค์หญิงหวาหยางให้อภิเษกสมรสกับบุตรชายคนที่สี่ที่ไม่เคยมีความดีความชอบใดๆ มิหนำซ้ำยังคิดจะไล่เขากลับบ้านแล้วตั้งเฉินถิงเจี้ยนขึ้นมาเป็นราชเลขาธิการแทน!

เกาเก๋อเหล่าเดือดดาล เพียงแต่อีกฝ่ายอย่างไรก็เป็นฮ่องเต้ เขาไม่อาจผรุสวาทด่าทอ

เขาหวังเพียงแค่จิ่งซุ่นฮ่องเต้จะเบิกตากว้าง ระลึกถึงความดีความชอบที่เขาสร้างสมมาตลอดสองปีนี้ ไม่ถูกชีฮองเฮากับเฉินถิงเจี้ยนตบตาอีกต่อไป!

เพียงไม่นานสายตาของจิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็ไปหยุดอยู่บนตัวเฉินถิงเจี้ยนที่ยืนอยู่ข้างเกาเก๋อเหล่า

เฉินถิงเจี้ยนหลังเอวเหยียดตรงขึ้นเช่นกัน อาภรณ์สีแดงขับดุนใบหน้าของเขาให้งดงามดั่งหยก หนวดเครายาวจรดอกเรียบลื่นงามสง่า ไม่ต่างอะไรกับเซียนเทพลัทธิเต๋าในภาพวาด

ถึงจิ่งซุ่นฮ่องเต้จะไม่ได้พบเจอเฉินถิงเจี้ยนนานถึงสองปีกว่า ทว่าข่าวคราวจากทางหลิงโจวกลับไม่เคยขาด

บุตรสาวเขียนจดหมายชื่นชมเฉินถิงเจี้ยน บอกว่าอีกฝ่ายไม่เกรงกลัวอันตรายนำชาวบ้านในท้องที่อพยพหนีน้ำท่วม อีกทั้งยังกล้าจัดการกับน้องชายน้องสะใภ้ที่ละโมบโลภมากกับหลานชายของตนเองที่ทำตัวเป็นอันธพาลรังแกชาวบ้านอย่างไม่เห็นแก่คำว่าญาติพี่น้อง

เฉินจิ้งจงเองก็มีความกล้าที่จะพลิกโฉมกององครักษ์หลิงโจวเสียใหม่ นอกจากอำนาจบารมีของพ่อตาผู้เป็นฮ่องเต้อย่างเขาแล้ว ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งมาจากการอบรมสั่งสอนบุตรชายของเฉินถิงเจี้ยน

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยเพราะบุตรสาวต้องตามเฉินถิงเจี้ยนไปไว้ทุกข์ที่หลิงโจว ถึงทำให้นางจับพลัดจับผลูสามารถกำจัดหนอนโง่ตัวโตอย่างเซียงอ๋องได้สำเร็จ ช่วยให้มีเงินเข้าท้องพระคลังเพิ่มขึ้นหลายหมื่นตำลึง

เรื่องเหล่านี้บ่งบอกถึงสิ่งใด นี่แสดงให้เห็นว่าเฉินถิงเจี้ยนไม่เพียงมีความสามารถด้านการบริหาร แต่ดวงชะตาของเขายังรุ่งเรืองเป็นพิเศษอีกด้วย!

อีกอย่างก่อนเฉินถิงเจี้ยนจะไปจากเมืองหลวง จิ่งซุ่นฮ่องเต้เองก็เคยบอกอีกฝ่ายเป็นนัยๆ ว่าจะเก็บตำแหน่งราชเลขาธิการนี้ไว้ให้ ตอนนี้คนกลับมาแล้ว ฮ่องเต้อย่างเขาย่อมไม่อาจคืนคำ

ด้านหนึ่งเพราะรู้สึกขัดหูขัดตาเกาเก๋อเหล่าที่มักชักสีหน้าต่อหน้าตนเองอยู่เสมอ อีกด้านหนึ่งเพราะชื่นชมเฉินถิงเจี้ยน ดังนั้นเพียงไม่นานจิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็ตัดสินใจได้

จิ่งซุ่นฮ่องเต้บอกว่าเกาเก๋อเหล่าอายุมากแล้ว หูตาฝ้าฟางไม่มีเรี่ยวแรงกำลังช่วยเขาบริหารบ้านเมืองอีกต่อไป แล้วเช่นนี้เกาเก๋อเหล่ายังจะพูดอะไรได้อีก

จิ่งซุ่นฮ่องเต้ยืนกรานต้องการให้เขาไป ตอนนี้อย่างน้อยก็ยังยกเหตุผลขึ้นมาช่วยรักษาหน้าให้ หากเกาเก๋อเหล่ายังทำคอแข็งไม่เห็นด้วย ถึงตอนนั้นจิ่งซุ่นฮ่องเต้คงได้มอบผ้าแพรให้เขาสำเร็จโทษตนเองเป็นแน่!

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา!”

เกาเก๋อเหล่าคุกเข่าลงกับพื้น ย้อนคิดถึงเรื่องราวต่างๆ นานาในอดีต น้ำตาก็หลั่งรินออกจากหางตา

เฉินถิงเจี้ยนค้อมกายประคองอีกฝ่ายขึ้น

เกาเก๋อเหล่าส่งเสียงประชดเย็นชาออกมาคราหนึ่งก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป ตอนผ่านพวกเฉินจิ้งจงที่อยู่ตรงกลาง เกาเก๋อเหล่าก็ส่งเสียงประชดหนักหน่วงออกมาอีกคราว

อันที่จริงเฉินป๋อจงซึ่งดำรงตำแหน่งขุนนางบุ๋นขั้นสี่ก็กำลังยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเฉินจิ้งจงผู้เป็นน้องชาย

แน่นอนว่าเกาเก๋อเหล่าต้องมองเห็นเขาด้วยเช่นกัน เพียงแต่เพราะรู้ว่าเฉินป๋อจงอาศัยความสามารถของตนเองสอบเป็นจ้วงหยวน มีความรู้ความสามารถแท้จริง จึงไม่ได้ส่งเสียงประชดหยันเย้ยใส่อีกฝ่าย

เฉินป๋อจงไม่รับน้ำใจของเกาเก๋อเหล่า เขาชำเลืองมองไปทางน้องสี่เงียบๆ

เฉินจิ้งจงยืนอยู่ทางนั้นสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม ร่างกายสูงตระหง่านดั่งต้นสน เพราะไม่มีเรื่องอันใดให้พูด ดังนั้นเขาจึงหลุบตาลง ตามองจมูกจมูกมองใจ ดูสงบนิ่งและสำรวมเป็นอย่างยิ่ง

พอเกาเก๋อเหล่าจากไป จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็ประกาศเรื่องที่สองซึ่งก็คือการตั้งเฉินถิงเจี้ยนขึ้นเป็นราชเลขาธิการสภาขุนนาง

หลังจากนั้นจิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็ยัดงานบริหารบ้านเมืองใส่มือของเฉินถิงเจี้ยน ส่วนพระองค์ก็ทำเพียงนั่งมอง

ครั้นการประชุมราชกิจเช้าเสร็จสิ้น จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็เรียกตัวเฉินถิงเจี้ยน เฉินป๋อจง และเฉินจิ้งจงไปพบที่ห้องทรงพระอักษร

จิ่งซุ่นฮ่องเต้เชื่อถือไว้วางใจเฉินถิงเจี้ยนยิ่งยวด จึงอนุญาตให้เขาจัดการทุกอย่างตามที่เห็นสมควร ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอันใด

ส่วนเฉินป๋อจงที่อยู่ในวัยสามสิบกว่าปี จิ่งซุ่นฮ่องเต้รู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนตำแหน่งให้อีกฝ่ายได้แล้ว หากคอยตัดสินคดีอยู่ในศาลต้าหลี่ไปเรื่อยๆ วันหน้าย่อมไม่เป็นผลดีต่อการเลื่อนตำแหน่ง

เฉินจิ้งจงมักพูดเสมอว่าเพราะหวาหยางชื่นชมเฉินถิ้งเจี้ยนถึงได้ปฏิบัติต่อคนอื่นๆ ในสกุลเฉินเป็นอย่างดีเหมือนกับคำพูดที่ว่าเมื่อรักเรือนย่อมรักอีกาบนหลังคาเรือนด้วย จิ่งซุ่นฮ่องเต้เองก็เช่นกัน

เมื่อตอนเฉินจิ้งจงวัยสิบแปดปีกลับมาจากหลิงโจว เฉินถิงเจี้ยนยังไม่ทันคิดว่าจะจัดการกับผู้เป็นบุตรเช่นไร พอจิ่งซุ่นฮ่องเต้ได้ยินข่าวก็จัดการจับเฉินจิ้งจงโยนเข้าไปยังหน่วยองครักษ์เสื้อแพร มอบตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการขั้นสี่ให้ ทั้งหมดนี้ก็เพราะต้องการให้เกียรติเฉินถิงเจี้ยน

ขนาดยังไม่รู้ชัดถึงความสามารถของเฉินจิ้งจง จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็ลำเอียงเช่นนี้แล้ว กับเฉินป๋อจงนั้นจิ่งซุ่นฮ่องเต้ยิ่งนึกอยากบ่มเพาะปลูกฝังให้เขาเข้าไปทำงานอยู่ในสภาขุนนาง ส่วนทั่นฮวาเฉินเซี่ยวจงอายุยังน้อย ยังสามารถฝึกฝนต่ออีกสักสองสามปีก่อน

ความคิดเรื่องเลื่อนตำแหน่งของจิ่งซุ่นฮ่องเต้นี้เรียกได้ว่าสามารถเห็นได้ชัดแจ้ง เหตุผลของการเลื่อนตำแหน่งหรือก็เพียบพร้อม ชั่วระยะเวลาหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา ความดีความชอบของเฉินป๋อจงในฐานะเจ้าเมืองหลิงโจวเรียกได้ว่าโดดเด่นเกริกก้อง

ทว่าเฉินป๋อจงกลับคุกเข่าพูดอย่างนอบน้อม “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา เพียงแต่กระหม่อมปณิธานตั้งมั่นอยู่ที่การตัดสินคดี มุ่งมั่นที่จะไม่ให้มีคดีความใดในใต้หล้าที่ถูกตัดสินอย่างผิดพลาด ไม่ปล่อยให้คดีความใดคลุมเครือไม่กระจ่าง ขอฝ่าบาททรงเมตตาให้กระหม่อมได้สมปรารถนาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

จิ่งซุ่นฮ่องเต้ยกยิ้ม ทอดตามองไปทางเฉินถิงเจี้ยนแล้วถามอย่างใคร่รู้ “แต่ไหนแต่ไรมีก็แต่ขุนนางคิดหาทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เลื่อนขั้น แต่เจ้ากลับอยากจะอยู่ในศาลต้าหลี่ต่อ หรือว่าชาตินี้ไม่อาจนึกเปลี่ยนตำแหน่ง?”

เฉินป๋อจงเงยหน้า สบตากับจิ่งซุ่นฮ่องเต้พลางกล่าว “หากสามารถทำงานอยู่ในศาลต้าหลี่ได้จนเฒ่าชรา เช่นนั้นก็นับเป็นวาสนาของกระหม่อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เฉินถิงเจี้ยนเอ่ยต่อ “ทูลฝ่าบาท บุตรชายคนโตของกระหม่อมนิสัยตรงไปตรงมา ไม่ถนัดคบหาผู้คน ไปทำงานอยู่ในหกกรมเกรงว่าจะพลั้งปากล่วงเกินผู้อื่น มิสู้ปล่อยให้เขาได้แสดงความสามารถในศาลต้าหลี่จะเหมาะสมกว่า”

จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็เข้าใจอุปนิสัยของเฉินป๋อจงดีเช่นกัน รู้ว่าที่สองพ่อลูกพูดนั้นเป็นความจริงจึงตกลงรับปาก ครั้นนึกขึ้นได้ว่าสมัยก่อนเคยมีเรื่องพ่อลูกกุมอำนาจในสภาขุนนางมาก่อน พระองค์ก็ยิ่งชื่นชมในตัวเฉินถิงเจี้ยนสองพ่อลูกมากขึ้นไปอีก

สุดท้ายจิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็มองไปทางเฉินจิ้งจงราชบุตรเขยแล้วยิ้มกล่าว “อยู่ที่หลิงโจวราชบุตรเขยได้สร้างความดีความชอบไว้ไม่น้อย เราย่อมต้องตกรางวัลให้ เจ้าคิดเห็นเช่นไร”

เฉินถิงเจี้ยนกับเฉินป๋อจงต่างนึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย

คนหนึ่งเป็นบิดา คนหนึ่งเป็นพี่ชายผู้เปรียบเสมือนบิดา ทั้งสองต่างเป็นกังวลกลัวเฉินจิ้งจงที่ ‘เพิ่งเข้าสู่แวดวงขุนนาง‘ จะพูดอะไรผิดออกมา

เฉินจิ้งจงมองจิ่งซุ่นฮ่องเต้ พูดอย่างนอบน้อม “กระหม่อมเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ หาได้เข้าใจเรื่องบริหารบ้านเมืองไม่ ปรารถนาก็เพียงแค่ฝึกทหารให้ฝ่าบาทเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

ขณะที่จิ่งซุ่นฮ่องเต้ยังคงครุ่นคิดถึงความหมายของเฉินจิ้งจง เฉินถิงเจี้ยนกลับหันมาตำหนิบุตรชายเสียงแข็ง

“ขุนนางบู๊ในราชสำนักมีอยู่มากมาย ไหนเลยต้องให้เจ้าฝึกฝนทหารให้ฝ่าบาท กล้าพูดจาเหลวไหลเบื้องพระพักตร์เช่นนี้ ยังไม่คุกเข่าขอพระราชทานอภัยอีก!”

เฉินจิ้งจงคุกเข่า ทว่าสีหน้าท่าทีกลับไม่คล้ายคิดจะขอพระราชทานอภัยแต่อย่างใด สายตาแน่วแน่ยังคงมองไปทางจิ่งซุ่นฮ่องเต้ที่อยู่หลังโต๊ะทรงพระอักษร

จิ่งซุ่นฮ่องเต้โบกมือไปทางเฉินถิงเจี้ยน ก่อนจะบอกให้เฉินจิ้งจงลุกขึ้น ถามเขาด้วยสีหน้าอ่อนโยน “เจ้าคิดจะฝึกทหารอะไร”

เฉินจิ้งจงเอ่ยตอบว่า “หน่วยองครักษ์เสื้อแพรอยู่ในการดูแลของฝ่าบาท ทหารองครักษ์แต่ละนายล้วนเป็นยอดฝีมือ กระหม่อมอยู่ที่นั่นไม่ได้มีประโยชน์อันใด ดังนั้นกระหม่อมจึงใคร่ทูลขอฝ่าบาทให้ย้ายกระหม่อมไปอยู่ที่กององครักษ์หน่วยอื่น ยิ่งเป็นหน่วยที่แย่ที่สุดในกององครักษ์หลวงทั้งยี่สิบหกหน่วยก็ยิ่งดี มีแต่เช่นนี้กระหม่อมถึงจะสามารถแสดงความสามารถได้”

จิ่งซุ่นฮ่องเต้ยกยิ้มมองไปทางเฉินถิงเจี้ยน

เฉินถิงเจี้ยนยังคงมีสีหน้าโกรธขึ้ง แน่นอนว่าเป็นความโกรธที่มีต่อผู้เป็นบุตรชาย “เหลวไหล ทหารกององครักษ์หลวงทั้งยี่สิบหกหน่วยล้วนเป็นบุรุษแข็งแกร่งกำยำที่ได้รับการคัดสรรมาจากทั่วหล้า แต่ละคนฝีมือไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะสุ่มเลือกใครมาก็ใช่ว่าจะด้อยกว่าเจ้า เช่นนี้แล้วเจ้าถือดีอะไรไปบังคับบัญชาพวกเขา หรือเพราะเจ้าคิดว่าตนเองเป็นราชบุตรเขยเลยคิดว่าเหนือกว่าพวกเขา ไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา!”

เฉินจิ้งจงไม่แม้แต่จะมองผู้เป็นบิดา คำพูดทั้งหมดของอีกฝ่ายล้วนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา

ท่าทีของเฉินถิงเจี้ยนทำเอาจิ่งซุ่นฮ่องเต้นึกขำ ขนาดภูเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้าก็ยังทำเฉินเก๋อเหล่าหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้ไม่ใช่หรือไร จิ่งซุ่นฮ่องเต้รู้จักเฉินถิงเจี้ยนมาเกือบจะสามสิบปีแล้ว แต่พระองค์ยังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายถูกขุนนางคนใดทำให้เดือดดาลจนเอ่ยปากตำหนิออกมาตรงๆ แบบนี้มาก่อน

เฉินเก๋อเหล่าวางตนสุขุมลุ่มลึกมาโดยตลอด ขนาดโต้เถียงกับคนก็ยังเต็มไปด้วยเหตุผล คงมีเพียงตอนสั่งสอนบุตรชายเท่านั้นถึงจะพูดจาไร้มารยาท ไม่เกรงอกเกรงใจเช่นนี้

หลังมองดูความสนุกสนานตรงหน้าจบ จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็ลูบเคราพลางกล่าวกับเฉินถิงเจี้ยน “กององครักษ์หลวงทั้งยี่สิบหกหน่วย หน่วยที่อยู่ใต้การควบคุมโดยตรงของเราคือหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ส่วนกององครักษ์อื่นๆ ล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของกรมทหาร รายละเอียดสถานการณ์เป็นเช่นไรเราเองก็ไม่ทราบแน่ชัด เก๋อเหล่าไหนลองบอกให้เราฟังหน่อยสิว่าหน่วยใดที่อ่อนด้อยที่สุด”

เฉินถิงเจี้ยนในใจสั่นสะท้าน

ไท่จู่กับเฉิงจู่กำหนดให้กององครักษ์หลวงทั้งยี่สิบหกหน่วยเป็นกององครักษ์ที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการดูแลหรือโยกย้ายล้วนอยู่ภายใต้การตัดสินใจของฮ่องเต้ เพียงแต่ต่อมาเพราะเคยมีฮ่องเต้กรีธาทัพออกศึกด้วยตนเอง สุดท้ายไม่เพียงถูกศัตรูจับกุมตัวได้ ยังทำเอาเหล่าทหารฝีมือดีจากกององครักษ์หลวงทั้งยี่สิบหกหน่วยพังพินาศไปกว่าครึ่ง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเหล่าขุนนางทั้งหลายจึงไม่กล้าให้ฮ่องเต้ควบคุมกำลังทหารอีก นอกจากองครักษ์เสื้อแพรแล้วกององครักษ์ที่เหลือทั้งยี่สิบห้าหน่วยล้วนทยอยกลับคืนสู่มือของกรมทหาร

คำพูดสบายๆ ของจิ่งซุ่นฮ่องเต้ประโยคนี้ หรือจะมีความหมายแฝงว่าอยากดึงอำนาจการควบคุมกององครักษ์ทั้งยี่สิบหกหน่วยกลับคืนมา?

เป็นเพราะเจ้าสี่แท้ๆ จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยเหตุใด!

ถึงในใจจะเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน ทว่าสีหน้าของเฉินถิงเจี้ยนกลับยังคงสงบนิ่ง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตอบจิ่งซุ่นฮ่องเต้

“ทูลฝ่าบาท นิ้วมือทั้งสิบของคนเรายาวสั้นไม่เท่ากัน กององครักษ์ทั้งยี่สิบห้าหน่วยเองก็ย่อมมีความแข็งแกร่งแตกต่างกันบ้าง หลี่เจิ้งหยวนผู้บัญชาการกององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงยามนี้อายุเลยหกสิบปีแล้ว บางทีอาจเพราะกำลังกายกำลังใจไม่พร้อม ในการแข่งขันประลองยุทธ์ระหว่างกององครักษ์หลายครั้งที่ผ่านมา กององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงมักจะได้คะแนนต่ำสุดอยู่เสมอ”

กององครักษ์หลวงเหล่านี้ทุกๆ เดือนสิบเอ็ดจะมีการแข่งขันประลองความสามารถกัน แต่ละหน่วยจะคัดเลือกตัวแทนออกมาสิบคนเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน อันดับจัดเรียงตามผลการแข่งขัน

น่าสงสารกององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิง ไม่ว่าเมื่อไรก็มักจะรั้งท้ายเป็นประจำ

ได้ยินเฉินถิงเจี้ยนพูดเช่นนั้น จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็นึกขึ้นได้ทันที ขอเพียงได้เป็นที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นอันดับหนึ่งจากหัวหรือจากท้ายก็มักจะทำให้คนจดจำได้ลึกซึ้ง เหมือนอย่างที่จิ่งซุ่นฮ่องเต้ไม่อาจจำได้ว่ากององครักษ์ที่ได้อันดับรองสุดท้ายนั้นอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ใด

“ในเมื่อหลี่เจิ้งหยวนเฒ่าชราแล้ว เช่นนั้นก็ให้ราชบุตรเขยรับตำแหน่งหน้าที่แทนก็แล้วกัน ให้เขาไปเป็นผู้บัญชาการอยู่ที่กององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิง”

จิ่งซุ่นฮ่องเต้รับสั่งอย่างไม่รั้งรอ

เฉินถิงเจี้ยนรีบตอบ “ฝ่าบาท กระหม่อมเกรงว่าทำเช่นนั้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่ากององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงจะอ่อนแอสักเพียงใดก็ยังเป็นกององครักษ์หลวง ผู้บัญชาการต้องเป็นขุนนางขั้นสาม ราชบุตรเขยหาได้มีคุณสมบัติไม่”

“หลี่เจิ้งหยวนมีคุณสมบัติ แล้วดูสิว่ากององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงภายใต้การกำกับดูแลของเขาเป็นเช่นไร แม่ทัพเฒ่าชรารับผิดชอบไม่ไหวก็อย่าตำหนิหากเราจะให้โอกาสคนหนุ่ม ให้ราชบุตรเขยไปลองดูเถิด หากการแข่งขันฤดูหนาวปีนี้กององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงยังคงเป็นอันดับสุดท้ายเหมือนเก่า เราค่อยย้ายราชบุตรเขยไปทำงานอื่น”

พอได้ยินเช่นนั้นเฉินจิ้งจงก็พูดอย่างกระจ่างชัด “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงไว้วางพระทัย กระหม่อมจะไม่ทรยศต่อความไว้วางพระทัยของฝ่าบาทแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”

จิ่งซุ่นฮ่องเต้ยกยิ้ม

เฉินจิ้งจงเป็นบุตรชายของเฉินถิงเจี้ยนก็จริง แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นราชบุตรเขยของพระองค์ด้วยเช่นกัน

ถึงเฉินถิงเจี้ยนจะไม่ชมชอบบุตรชายคนนี้ แต่พระองค์ก็ยังให้ความใส่ใจ ขอเพียงเฉินจิ้งจงรับหน้าที่กำกับดูแลกององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงไว้ได้และยอมฟังคำสั่งของพระองค์ ถึงตอนนั้นกององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงย่อมกลับมาเป็นกององครักษ์ที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้อีกครั้ง

บทที่ 70

เฉินถิงเจี้ยนยังคงอยู่พูดคุยกับจิ่งซุ่นฮ่องเต้ต่อ เฉินป๋อจงกับเฉินจิ้งจงถอยออกจากห้องทรงพระอักษรไปก่อนแล้ว

ในวังไม่ใช่สถานที่สำหรับเปิดอกพูดคุยกัน ถึงเฉินป๋อจงจะมีเรื่องราวต้องการถามน้องชายอยู่เต็มท้อง แต่เขาก็ได้แต่สะกดกลั้นมันไว้ก่อน

หลังเดินออกมาได้ชั่วระยะหนึ่ง เฉินจิ้งจงก็เอ่ยปากพูดกับผู้เป็นพี่ก่อน “ข้าเพิ่งรับพระบัญชาให้ดูแลกององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิง อีกครู่จะย้ายไปพำนักอยู่ที่นั่นเลย อย่างไรท่านก็ช่วยบอกกับท่านแม่แทนข้าด้วย”

เฉินป๋อจงเอ่ยถาม “เหตุใดต้องรีบร้อนเช่นนั้นด้วย พักที่บ้านก่อนสักคืนจะเป็นไร ท่านพ่อต้องมีเรื่องอยากถามเจ้าแน่ๆ”

“ข้ากับเขาไม่มีอะไรให้ต้องคุยกัน ช่างเถอะ ไว้อีกครู่ฟู่กุ้ยไปเก็บของแทนข้า ถึงตอนนั้นข้าจะให้เขาไปบอกกับท่านแม่เอง” พูดจบเขาก็ชักเท้าเดินจากไปอย่างเร็วรี่

ความเร็วของขุนนางบู๊เฉินป๋อจงไหนเลยจะไล่ตามทัน มีก็แต่เขาจะเดินได้องอาจดั่งเสือย่างมังกรทะยานเช่นน้องชายเท่านั้น แต่ในเมื่อเป็นขุนนางบุ๋น เว้นแต่จะเกิดเหตุเร่งด่วน เวลาย่างก้าวก็ต้องรักษาท่วงท่าที่สุขุมไม่เร่งร้อนเอาไว้

เฉินป๋อจงทำได้เพียงมองส่งน้องชายเดินไกลออกไปเรื่อยๆ

 

เฉินถิงเจี้ยนกลับมาที่สภาขุนนางใหม่อีกครั้ง วุ่นวายกับหน้าที่การงานอยู่ตลอดเช้า แต่ไม่ว่าจะยุ่งเพียงใดเขาก็ยังคงควบตำแหน่งอาจารย์ขององค์รัชทายาทอีกตำแหน่ง

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินถิงเจี้ยนได้พบองค์รัชทายาทตามลำพังนับตั้งแต่กลับมายังเมืองหลวง

องค์รัชทายาทนั่งอยู่ในห้องเรียนตำหนักบูรพาอย่างเรียบร้อย พอเห็นเฉินถิงเจี้ยนเข้ามาก็ลุกขึ้นแสดงคารวะ “ศิษย์คารวะอาจารย์”

เฉินถิงเจี้ยนสีหน้าปลาบปลื้มยินดี รู้สึกว่าองค์รัชทายาทในตำหนักบูรพาผู้นี้เทียบกับเจ้าสี่สมัยเด็กแล้วนับว่ารู้ประสีประสากว่ากันมาก

เฉินถิงเจี้ยนมีบุตรชายสี่คน สามคนแรกล้วนเติบใหญ่อยู่ที่บ้านเก่าสกุลเฉินในหลิงโจว เขาไม่มีเวลาควบคุมดูแลด้วยตนเอง กว่าจะยืนหยัดมั่นคงอยู่ในเมืองหลวง ซื้อลานเรือนขนาดใหญ่ให้ทุกคนได้พักอาศัย รับมารดาภรรยาและน้องชายมาอยู่ได้สำเร็จ เจ้าสามก็อายุแปดขวบแล้ว มีแต่เจ้าสี่ที่เพิ่งจะอายุสามขวบ เพราะภายหลังเขารับหน้าที่เป็นอาจารย์ให้กับองค์รัชทายาทน้อยที่อยู่วัยเดียวกับเฉินจิ้งจงในเวลานั้น ดังนั้นเฉินถิงเจี้ยนจึงมักเอาพฤติกรรมของเจ้าสี่ในวัยเด็กมาเปรียบเทียบกับองค์รัชทายาทอยู่เป็นประจำ

เฉินถิงเจี้ยนรู้สึกอยู่ตลอดว่าบุตรชายทั้งสี่ของเขา เจ้าสี่โชคดีที่สุด เพราะตั้งแต่อายุน้อยก็ได้อยู่ข้างกายเขา ได้รับการสั่งสอนจากบิดาตั้งแต่เล็ก ส่วนพี่ชายทั้งสามนั้นกลับพลาดช่วงเวลาสำคัญเหล่านั้นไปอย่างน่าเสียดาย และก็ด้วยเพราะเหตุนี้เฉินถิงเจี้ยนจึงเชื่ออยู่เสมอว่าเจ้าสี่ที่ได้รับการชี้แนะอบรมจากเขามากที่สุดต้องเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาลูกๆ ทั้งหมด!

เฉินถิงเจี้ยนทุ่มเทความรักความใส่ใจของผู้เป็นบิดาที่ไม่อาจมอบให้กับบุตรชายทั้งสามคนแรกลงบนตัวเจ้าสี่หมดสิ้น!

เขาไหนเลยจะล่วงรู้ว่าบุตรชายทั้งสามที่ไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนจากเขามาก่อน แต่ละคนกลับฉลาดเฉลียว มีมารยาทรู้จักขอบเขต ไม่ว่าจะตำแหน่งซิ่วไฉหรือจวี่เหรินล้วนได้มาอย่างง่ายดาย เว้นก็แต่เจ้าสี่ที่ต่างจากชาวบ้าน ยิ่งโตก็ยิ่งไม่ชอบเรียนหนังสือ วันๆ เอาแต่ปีนกำแพงเลาะกระเบื้อง สั่งพวกบ่าวรับใช้ให้จับตาดูก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ปีนกำแพงบ้างก็มุดรูสุนัขลอด เจ้าสี่ล้วนมีวิธีหลบหนี กว่าจะกลับบ้านมาก็ต้องรอให้ฟ้ามืดเสียก่อน!

เฉินถิงเจี้ยนกลางวันยุ่งอยู่กับงานบริหารบ้านเมือง ตอนกลางคืนกลับบ้านมายังถูกบุตรชายทำให้เดือดดาลอีก เหนื่อยล้าทั้งกายใจ ภรรยาเองก็รักใคร่เจ้าสี่ไม่ยอมอบรมสั่งสอนเข้มงวดเช่นเดียวกับเขา ครั้นหมดหนทาง เฉินถิงเจี้ยนก็ได้แต่ปล่อยมือ ยอมให้เจ้าสี่ไปร่ำเรียนฝึกฝนการต่อสู้

เจ้าสี่พาอาจารย์สอนการต่อสู้หนีกลับบ้านเก่าสกุลเฉิน หลังจากนั้นไม่กี่ปีเฉินถิงเจี้ยนก็เริ่มเป็นอาจารย์ให้กับองค์รัชทายาท

ครั้งแรกที่ได้เห็นองค์รัชทายาทซึ่งตอนนั้นอายุสามขวบ เฉินถิงเจี้ยนก็ราวกับมองเห็นเจ้าสี่ในวัยสามขวบที่เพิ่งเข้าเมืองหลวงมา ในเวลานั้นเฉินถิงเจี้ยนสาบานกับตนเองว่าเขาจะต้องสอนองค์รัชทายาทให้ได้ดีให้ได้ จะไม่ปล่อยให้องค์รัชทายาทกลายเป็นเจ้าสี่คนที่สองเด็ดขาด

ยามนี้ท่าทีเปี่ยมมารยาทขององค์รัชทายาทปรากฏให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้ว ไม่ใช่ว่าวิธีการสอนของเขามีปัญหา แต่เป็นตัวของเจ้าสี่เองต่างหากที่ดื้อด้านดึงดัน หัวรั้นเป็นที่สุด!

หลังแสดงคารวะกลับเป็นที่เรียบร้อย เฉินถิงเจี้ยนก็นั่งลง ลูบหนวดเคราพลางถามถึงความคืบหน้าในการเล่าเรียนขององค์รัชทายาทเป็นอันดับแรก

การได้พบกันอีกครั้งหลังจากแยกย้ายกันไปนาน แม้แต่องค์รัชทายาทเองก็ยังรู้สึกไม่คุ้นชิน เขาจึงตอบคำถามของเฉินถิงเจี้ยนอย่างตั้งอกตั้งใจ

คาบเรียนนี้หลักๆ เป็นการอุ่นของเก่า เรียนรู้ของใหม่ ศิษย์อาจารย์เข้ากันได้ดี ตอนเลิกเรียนเฉินถิงเจี้ยนหยิบหนังสือสองเล่มที่ได้รับการเข้าเล่มเป็นอย่างดีออกมาจากหีบหนังสือที่เขานำติดตัวมาได้ แล้วส่งให้องค์รัชทายาทด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“นี่เป็นหนังสือชุดที่กระหม่อมเรียบเรียงไว้ตอนอยู่หลิงโจว ชื่อ ‘วิถีแห่งฮ่องเต้ผู้ประเสริฐ’ ตอนนี้ขอทูลเกล้าฯ ถวายให้กับพระองค์ หวังว่าจะทรงโปรด”

องค์รัชทายาทเดินเข้ามารับหนังสือไว้ จากนั้นก็ส่งเล่มหนึ่งให้เฉาหลี่ต้าปั้นคนสนิท ส่วนตัวเขาก็เปิดดูอีกเล่มหนึ่ง

อ่านๆ ไป สายตาขององค์รัชทายาทก็เป็นประกาย!

เฉินถิงเจี้ยนเอ่ยว่า “นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ทุกวันกระหม่อมจะยกเอาอดีตฮ่องเต้แต่ละพระองค์ขึ้นมาสนทนากับพระองค์”

องค์รัชทายาทตื่นเต้นเป็นที่สุด พอตื่นเต้นก็พลั้งเผลอลืมสำรวมตน เอ่ยปากถามด้วยความใส่ใจ “ได้ยินเสด็จพี่บอกว่าตอนอยู่ที่หลิงโจวท่านอาจารย์ล้มป่วย โชคดีที่ได้ท่านหมอหลวงหลี่ช่วยรักษาถึงพ้นจากอันตราย ไม่ทราบว่าตอนนี้ท่านอาจารย์หายดีแล้วหรือไม่”

รอยยิ้มตรงมุมปากของเฉินถิงเจี้ยนพลันชะงัก แม้จะเพียงชั่ววูบ แต่โชคดีที่เครายาวช่วยปิดบังไว้ไม่ให้ใครเห็นความผิดปกติ

“องค์รัชทายาทไม่ต้องทรงเป็นกังวล ตอนนี้กระหม่อมไม่เป็นอะไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นก็ดี ท่านอาจารย์ต้องดูแลสุขภาพให้มาก เรื่องราวมากมายในสภาขุนนางยังต้องการให้ท่านช่วยเสด็จพ่อแบ่งเบา”

เฉินถิงเจี้ยนพยักหน้า แสดงคารวะก่อนจะถอยจากไป

 

หลังจากพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง องค์รัชทายาทก็ไปฝึกการต่อสู้อีกครึ่งชั่วยาม เสร็จแล้วก็เอาหนังสือ ‘วิถีแห่งฮ่องเต้ผู้ประเสริฐ’ ทั้งสองเล่มไปพบผู้เป็นพี่สาวที่ตำหนักซีเฟิ่ง

ในช่วงกลางฤดูร้อน พอหวาหยางเห็นน้องชายเดินมาท่ามกลางอากาศร้อนเหงื่อท่วมศีรษะ ใบหน้าก็แดงเรื่อเพราะฝึกการต่อสู้เช่นนั้น นางก็รีบสั่งให้เฉาอวิ๋นกับเฉาเยวี่ยนำน้ำมาปรนนิบัติรับใช้เช็ดหน้าเช็ดตาให้อีกฝ่าย

ตอนเช็ดหน้าองค์รัชทายาท หวาหยางพลิกดูหนังสือที่น้องชายพกติดตัวมาด้วย

หนังสือ ‘วิถีแห่งฮ่องเต้ผู้ประเสริฐ’ ชุดนี้เมื่อชาติที่แล้วนางเคยเห็นมาก่อน และน้องชายก็เป็นคนเอามาให้นางดู แต่นางไม่เคยรู้เลยแม้แต่น้อยว่าพ่อสามีของนางได้เขียนเรียบเรียงขึ้นตอนไว้ทุกข์

‘วิถีแห่งฮ่องเต้ผู้ประเสริฐ’ เล่มแรกบันทึกเหตุการณ์อันประเสริฐแปดสิบเอ็ดเรื่องของอดีตฮ่องเต้ยี่สิบสามพระองค์ ส่วนเล่มหลังเขียนถึงความประพฤติต่ำทรามสามสิบหกเรื่องของฮ่องเต้ทรราชยี่สิบพระองค์ ถ้อยความที่เฉินถิงเจี้ยนใช้ล้วนกระชับสั้นเข้าใจได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นแต่ละเรื่องราวยังมีภาพประกอบมีชีวิตชีวาน่าตื่นตาตื่นใจแทรกอยู่ด้วย

ยามนั้นน้องชายและเสด็จพ่อต่างชื่นชอบหนังสือเล่มนี้ มีรับสั่งให้ทางสำนักกิจการฝ่ายในคัดลอกหนังสือชุดนี้ออกมาเป็นจำนวนมาก หวาหยางเองก็มีเก็บไว้ชุดหนึ่ง

“เสด็จพี่ เฉินเก๋อเหล่าเคยให้ท่านอ่านหนังสือเล่มนี้หรือไม่”

ครั้นเนื้อตัวสะอาดสะอ้านแล้ว องค์รัชทายาทก็นั่งลงข้างหวาหยาง เอ่ยปากอย่างตื่นเต้น

เขาชอบภาพประกอบเรียบง่ายเหล่านั้น เทียบกับหนังสือที่เต็มไปด้วยตัวอักษรแล้วเรียกได้ว่าน่าสนใจกว่ากันมาก

หวาหยางยิ้มบอก “หนังสือเล่มนี้เก๋อเหล่าตั้งใจมอบให้เจ้าโดยเฉพาะ พี่ไม่เคยเห็นมาก่อน”

องค์รัชทายาทปลื้มใจกับของขวัญชิ้นใหม่นี้ยิ่งยวด เรียกได้ว่าแทบไม่ปล่อยมันหลุดมือ

หวาหยางอ่านไปพร้อมกับน้องชาย พอเห็นภาพฮ่องเต้ขุนนางที่ราวกับมีชีวิตพวกนั้น นางก็พูดพลางย้อนคิด “วันเกิดของราชบุตรเขยปีที่แล้ว ของขวัญที่เฉินป๋อจงกับเฉินเซี่ยวจงมอบให้ล้วนเป็นอักษรภาพ วันนี้ได้มาเห็นผลงานของเก๋อเหล่าถึงได้รู้ว่าพรสวรรค์ของพวกเขาทั้งสองนั้นมาจากไหน”

องค์รัชทายาทกลับได้เห็นตัวอักษรของเฉินถิงเจี้ยนอยู่เป็นประจำ เขาถามผู้เป็นพี่สาว “แล้ววันเกิดของราชบุตรเขย เฉินเก๋อเหล่ามอบอะไรเป็นของขวัญให้เขา”

สมัยก่อนยามเขาฉลองวันเกิด เฉินเก๋อเหล่าล้วนมอบของขวัญให้

หวาหยางเอ่ยว่า “ไม่มีการมอบของขวัญให้นานแล้ว เฉินเก๋อเหล่าเป็นบิดาผู้เคร่งครัด ราชบุตรเขยกับพวกพี่ๆ พออายุสิบขวบ ในบ้านก็ไม่มีการฉลองวันเกิดอันใดอีก”

องค์รัชทายาทเข้าใจแล้ว เขามองดูหนังสือในมืออีกครั้ง พูดคล้ายกำลังบอกกับตนเอง “ไม่รู้ว่าเขาใช้เวลาเท่าไรกับการเขียนหนังสือเล่มนี้”

“เรื่องนี้พี่เองก็ไม่รู้ชัด แต่คิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะสักหนึ่งปี เฉินเก๋อเหล่าพยายามยิ่งนัก ฤดูหนาวที่หลิงโจวอากาศเย็นและชื้นมาก บ้านเก่าสกุลเฉินหรือก็ไม่มีตี้หลง จดหมายที่พี่เขียนกลับมาล้วนเขียนยามกลางวันที่แสงอาทิตย์กำลังดี เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ จดหมายที่พี่เขียนส่งมาตอนช่วงหน้าหนาวล้วนสั้นมาก นั่นไม่ใช่เพราะพี่เกียจคร้าน แต่เพราะมือพี่เย็นแทบเป็นน้ำแข็งต่างหาก”

องค์รัชทายาทเห็นอกเห็นใจผู้เป็นพี่สาวก่อน หลังจากนั้นในสมองก็ปรากฏภาพเฉินถิงเจี้ยนพ่นลมหายใจใส่ฝ่ามือพลางก้มหน้าก้มตาเขียนหนังสือต่อ

แม้เฉินถิงเจี้ยนจะเข้มงวด แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีกับเขายิ่งนัก

จู่ๆ หวาหยางก็ช่วยน้องชายปิดหนังสือ นางยิ้มกล่าว “หนังสือไว้ค่อยอ่านกันทีหลัง ตอนนี้พวกเราไปกินอาหารกับเสด็จแม่กันก่อนเถอะ”

องค์รัชทายาทหอบของขวัญไปตำหนังเฟิ่งอี๋

จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็ประทับอยู่ที่นั่น พระองค์เคยเห็นหนังสือเล่มนั้นมาก่อน พอเห็นองค์รัชทายาทชื่นชอบ พระองค์ก็ดีใจ

เป็นฮ่องเต้ล้วนถูกเหล่าขุนนางเร่งเร้าให้เป็นฮ่องเต้ผู้ประเสริฐ ความจริงคำพูดเหล่านั้นหากได้ยินมากไป ไม่ว่าฮ่องเต้องค์ใดก็ล้วนเอือมระอาด้วยกันทั้งสิ้น ก็เหมือนอย่างจิ่งซุ่นฮ่องเต้ ถึงรู้ดีว่าการเป็นฮ่องเต้ผู้ประเสริฐจะได้รับการชื่นชมจากขุนนางและราษฎร แต่การที่ต้องออกว่าราชกิจเช้าทุกวัน อ่านตรวจฎีกาด้วยตนเองทุกฉบับ อีกทั้งยังไม่อาจไปตำหนักในติดๆ กัน วันเวลาเช่นนี้ไหนเลยจะเรียกว่าสุขสบายได้ พูดอีกอย่างก็คือถึงจิ่งซุ่นฮ่องเต้จะไม่อยากทำตัวเป็นฮ่องเต้ผู้ประเสริฐ แต่พระองค์ก็หวังว่าบุตรชายของตนเองจะเป็นฮ่องเต้ผู้ประเสริฐ เพราะนั่นหมายความว่าคนที่ลำบากคือบุตรชาย ไม่ใช่พระองค์

หลังจากพูดคุยเรื่องหนังสือจบ จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็หันไปพูดคุยกับผู้เป็นบุตรสาว “ตอนเช้าพ่อได้พบราชบุตรเขย เขาไม่ขอทำงานสบายๆ ในหน่วยองครักษ์เสื้อแพร แต่กลับขอไปทำงานเป็นผู้บัญชาการกององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิง บอกว่าต้องการฝึกทหารให้พ่อ”

เพราะกลัวชีฮองเฮา ธิดา และองค์รัชทายาทไม่เข้าใจ จิ่งซุ่นฮ่องเต้จึงอธิบายเพิ่มเติมให้ทุกคนฟังว่าการแข่งขันของทุกปีกององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงล้วนอยู่อันดับรั้งท้าย

หวาหยางรู้สึกประหลาดใจ

อันที่จริงชาติที่แล้วหลังกลับมาเมืองหลวง เฉินจิ้งจงเองก็ไปทำงานที่กององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงเช่นกัน

ในเวลานั้นพวกเขาสองสามีภรรยาไม่ลงรอยกัน ส่วนใหญ่เฉินจิ้งจงมักไปพักอยู่ที่กององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิง มีก็แต่ช่วงวันหยุดของทุกเดือนกับช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลต่างๆ เท่านั้นเขาถึงจะกลับมาพักอยู่ที่จวนสกุลเฉิน เวลาผ่านผันไปอย่างรวดเร็ว ปีที่สองเดือนที่ห้าเสด็จพ่อสวรรคต เดือนหกอวี้อ๋องก่อกบฏ เฉินจิ้งจงตามกองทัพใหญ่ไปปราบกบฏ หลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย

จู่ๆ หวาหยางก็พบว่านางไม่อาจย้อนคิดถึงเรื่องพวกนี้ ทุกครั้งขอแค่นึกขึ้นได้ว่าเฉินจิ้งจงตายไปตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น นางก็จะรู้สึกรันทด ใจอ่อน และนึกเสียใจอยู่เล็กน้อย

เหตุใดชาติที่แล้วข้าถึงไม่ทำดีกับเขาสักหน่อยนะ

นางรู้สึกเจ็บปวด ความรู้สึกเล็กๆ นั่นปรากฏออกมาให้เห็นบนใบหน้า

องค์รัชทายาทเข้าใจผิด เขาเอ่ยถามว่า “เสด็จพี่กังวลว่าปีนี้กององครักษ์ของราชบุตรเขยจะรั้งท้าย กลัวราชบุตรเขยจะเสียหน้าอย่างนั้นหรือ”

หวาหยาง “…”

นางนึกขันไปกับการคาดคะเนไร้เดียงสาของผู้เป็นน้องชาย เห็นเสด็จพ่อเสด็จแม่ก็ต่างล้วนเข้าใจผิดว่านางกังวลในเรื่องนี้ จึงได้แต่หัวเราะเสียงเจื่อนออกมาคราหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ

“ก็มีอยู่เล็กน้อย”

จิ่งซุ่นฮ่องเต้กลับเอ่ยว่า “เรื่องนี้ง่ายมาก องครักษ์ที่ถูกเลือกให้เข้าร่วมการแข่งขันทุกปีล้วนเป็นพ่อที่สุ่มเลือกออกมาจากหนังสือรายนามทหาร ถึงตอนนั้นเจ้าก็ให้ราชบุตรเขยเขียนรายชื่อองครักษ์ที่ฝีมือโดดเด่นที่สุดในหน่วยสิบคนออกมา มีพ่อคอยช่วยเหลือเบื้องหลังอีกแรง ต่อให้ไม่ใช่สามอันดับแรก แต่ก็ไม่มีทางอยู่รั้งท้ายได้”

หวาหยางยิ้มกล่าว “เสด็จพ่อทรงดีต่อลูกยิ่งนัก เพียงแต่ลูกไม่ปรารถนาจะชนะโดยไม่ประลอง ด้วยนิสัยของราชบุตรเขย เชื่อว่าเขาเองก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการเช่นนี้ ช่างเถอะเพคะ ในเมื่อเขากล้าขอรับตำแหน่งนี้จากเสด็จพ่อ ก็ให้เขาได้ทำอย่างสุดกำลังดีกว่า ถึงตอนนั้นหากกององครักษ์ของเขายังคงรั้งท้าย คนที่ขายหน้าก็เป็นตัวเขาเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับลูก”

“ดูจากผลงานของเขาในกององครักษ์หลิงโจวแล้ว พ่อเชื่อมั่นในตัวราชบุตรเขยอยู่”

ชีฮองเฮาถอนหายใจ “หวังว่าราชบุตรเขยจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง คนอายุยังน้อย ทำอะไรล้วนหุนหันพลันแล่น”

หวาหยางคีบอาหารเงียบๆ

เฉินจิ้งจงไม่ได้หุนหันพลันแล่น เขาไม่อยากทำงานแบบขอไปทีอยู่ในหน่วยองครักษ์เสื้อแพรจริงๆ ขอเพียงสามารถทำอะไรบางอย่างให้กับทางราชสำนักได้ ต่อให้ต้องเสี่ยงถูกคนหยันเย้ยก็ไม่เป็นไร

ขนาดกับองค์หญิงเช่นนางเขาก็ยังไม่ยอมฝืนประจบเอาใจ แล้วมีหรือจะยอมเป็นเพียงบุตรชายคนที่สี่ของเฉินเก๋อเหล่า เป็นราชบุตรเขยขององค์หญิงหวาหยางจอมเกียจคร้านที่ทำอะไรก็ไม่สำเร็จแม้แต่อย่างเดียว

คนอย่างเขาดื้อรั้นดึงดันเสียยิ่งกว่าอะไร!

หวาหยางอยู่ในวังหลวงมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว เช้าวันที่ยี่สิบเก้าเดือนหก นางให้อู๋รุ่นไปกององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิง บอกกับเฉินจิ้งจงว่าพรุ่งนี้นางจะออกจากวังแล้ว ให้เฉินจิ้งจงจำไว้ว่าต้องเข้าวังมาถวายพระพรเสด็จพ่อเสด็จแม่ก่อน หลังจากนั้นค่อยรับนางกลับจวนสกุลเฉิน

อันที่จริงนางกลับไปเองก็ได้ แต่นางต้องการให้เฉินจิ้งจงมารับ เช่นนี้ถึงจะเหมาะสมกับฐานะขององค์หญิงเช่นนาง

ครั้นอู๋รุ่นไปถึงกององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิง เฉินจิ้งจงกำลังเปลือยกายท่อนบนฝึกทหารอยู่ในลานประลอง

ก็เหมือนอย่างที่เฉินถิงเจี้ยนบอก ทหารในกององครักษ์หลวงทั้งยี่สิบหกหน่วยล้วนเป็นบุรุษร่างกายกำยำที่ได้รับการคัดเลือกเป็นอย่างดีจากที่ต่างๆ ต่อให้ทหารเบื้องบนไม่ได้ฝึกฝนพวกเขาจริงจัง ทว่าสมรรถภาพทางกายพื้นฐานของคนพวกนี้ก็ยังมีอยู่ ทุกคนสูงใหญ่และมีรูปร่างที่แข็งแรง ยิ่งอยู่ภายใต้สายตาของโอรสสวรรค์ก็ยิ่งไม่มีขุนนางคนใดกล้าให้พวกเขาไปทำงานยากลำบากเยี่ยงทาส อาหารการกินหรือก็พร้อมสรรพ ทว่าก็ด้วยเพราะเหตุนี้จึงทำให้ทหารบางนายกลับกลายเป็นพวกเกียจคร้าน

เฉินจิ้งจงไม่อยากไปทำความเข้าใจกับพฤติกรรมเฉื่อยชาของผู้บัญชาการคนก่อน ตอนนี้ในเมื่อเขามาแล้ว เขาก็พร้อมที่จะกระชากถอนเอาเอ็นเกียจคร้านของคนพวกนั้นออกมาให้หมด

หลังจากผ่านการฝึกฝนมาสิบกว่าวัน บรรดาทหารหัวโจกที่อาศัยว่าทางบ้านมีญาติที่มีอำนาจทั้งหลายพวกนั้นก็ถูกราชบุตรเขยเล่นงานจนเชื่อง แต่ละคนล้วนยินดีรับฟังคำสั่ง

ฤดูร้อนอากาศร้อนอบอ้าว ทหารแต่ละนายล้วนอยู่ในสภาพเดียวกับเฉินจิ้งจง ต่างถอดเสื้อนอกออก สวมก็แต่กางเกง เผยให้เห็นไหล่กว้าง เหงื่ออาบท่วมแผ่นหลัง

กงกงหน้าหยกเยี่ยงอู๋รุ่นมายังสถานที่เช่นนี้ย่อมไม่ต่างอะไรกับแกะเข้ารังหมาป่า โชคดีที่ทหารเหล่านั้นต่างรู้ดีว่าเขาเป็นคนจากวังหลวงจึงไม่มีใครกล้าดูเบา

เฉินจิ้งจงเดินออกมาจากกลุ่มทหารที่เข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบ แล้วใช้แส้ฟาดใส่ทหารอ่อนแอปวกเปียกนายหนึ่ง ก่อนจะโยนแส้ให้กับฟู่กุ้ยแล้วมุ่งหน้าตรงไปหาอู๋รุ่น

ที่อยู่ด้านหลังของเขาคือนายทหารร่างกายกำยำจำนวนห้าพันกว่านาย ทว่าต่อหน้าทหารร่างกายกำยำทั้งห้าพันกว่านายนี้ เฉินจิ้งจงยังคงเป็นกระเรียนในฝูงไก่*

เหงื่อโตเท่าเมล็ดถั่วไหลย้อยลงมาตามใบหน้าหล่อเหลาของเฉินจิ้งจง ไม่ว่าจะแผ่นอกกำยำหรือเอวเล็กคอดกิ่วล้วนเปียกโชก

อู๋รุ่นไม่อาจนึกภาพได้ว่าองค์หญิงอยู่ร่วมกับราชบุตรเขยเช่นนี้ได้อย่างไร ขณะเดียวกันก็อดนึกชื่นชมบุรุษกระดูกเหล็กผู้นี้อยู่ภายในใจไม่ได้เช่นกัน

ครั้นเฉินจิ้งจงหยุดเท้า สายตาซักไซ้ทอดมองมา อู๋รุ่นก็ค้อมกายน้อยๆ แล้วยิ้มกล่าว “เรียนราชบุตรเขย องค์หญิงให้ผู้น้อยมาบอกกับท่านว่าวันพรุ่งนี้องค์หญิงจะกลับจวนแล้ว ให้ราชบุตรเขยเข้าวังไปถวายพระพรฮ่องเต้ฮองเฮาแต่เช้า”

เฉินจิ้งจงพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้ารู้แล้ว ท่านกลับไปบอกกับองค์หญิงด้วยว่าคืนนี้ข้าจะกลับเข้าเมือง”

อู๋รุ่นไม่มีเรื่องอื่นแล้ว จึงก้มหน้าขอตัว

เฉินจิ้งจงไปลาดตระเวนดูพวกทหารต่อ

จู่ๆ ทหารนายหนึ่งก็คันที่หลังคอ เพราะคันจนทนไม่ไหวจึงลอบเกาทีหนึ่ง พอช้อนตาขึ้นมองก็พบว่าราชบุตรเขยกำลังจ้องดูเขาอยู่

ทหารนายนั้นอดชำเลืองมองแส้ในมือราชบุตรเขยไม่ได้

ขณะที่เขากำลังวิตกกังวลว่าราชบุตรเขยจะหวดมันลงมา จู่ๆ อีกฝ่ายกลับเดินจากไปคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น!

 

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: