X
    Categories: ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มากทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 71-72

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 71

กององครักษ์หลวงทั้งยี่สิบหกหน่วยโอบล้อมอยู่รอบเมืองหลวง จากกององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงมาถึงเมืองหลวง หากขี่ม้าเร็วก็ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยาม

ก่อนแสงสายัณห์สุดท้ายจะลับลา เงากำแพงเมืองสูงตระหง่านหนาหนักมหึมาทอดยาวอยู่บนพื้น

ผู้คนเข้าแถวยาวเหยียดอยู่หน้ากำแพงเมือง บ้างก็เป็นพวกชาวบ้านที่ออกจากเมืองไปเมื่อตอนกลางวันยามนี้ต้องการกลับเข้ามา บ้างก็เป็นพ่อค้าวาณิชที่เดินทางไกลมาเพื่อทำการค้า ที่นี่ไม่ว่าเช่นไรก็เป็นเมืองหลวง ย่อมเจริญรุ่งเรืองกว่าที่อื่นๆ

เฉินจิ้งจงนั่งอยู่บนหลังม้า ต่อแถวอยู่หลังสุด

ฟู่กุ้ยตามอยู่ข้างๆ เอ่ยพึมพำเสียงแผ่ว “ด้วยฐานะของนายน้อย ไม่ว่าจะราชบุตรเขยหรือผู้บัญชาการ ขอแค่บอกกับทหารเฝ้าประตูเมือง พวกเขาย่อมพร้อมให้ท่านผ่านเข้าไปโดยง่าย ไม่เห็นจำเป็นต้องรอเช่นนี้”

นอกจากนี้นายน้อยของตนเองยังเป็นบุตรชายคนที่สี่ของราชเลขาธิการแห่งสภาขุนนางอีก แน่นอนว่าสถานะนี้ย่อมใช้การได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ฟู่กุ้ยรู้ว่านายน้อยไม่ถูกกับนายท่าน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เอ่ยปากพูดออกมา

เฉินจิ้งจงชำเลืองมองอีกฝ่ายปราดหนึ่ง “เจ้าวางท่าใหญ่โตเช่นนี้ หรือว่าปกติแล้วมักหยิบยืมฐานะของข้าไปวางก้ามใหญ่โตอยู่ข้างนอก?”

ฟู่กุ้ยหดหัวรีบเอ่ยปากอธิบาย “บ่าวไหนเลยจะกล้า ยิ่งไปกว่านั้นวันๆ บ่าวก็ได้แต่ติดตามนายน้อย ไหนเลยจะมีเวล่ำเวลา”

“ทางที่ดีเจ้าจงวางตัวอยู่ในกรอบ ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งเจ้าไปเป็นทหารอยู่ที่ด่านชายแดน”

ฟู่กุ้ยรีบเอ่ยปากรับรอง แล้วสองนายบ่าวก็ไม่พูดอะไรอีก

 

ถึงเฉินจิ้งจงจะเปลี่ยนเสื้อผ้ามาอยู่ในอาภรณ์ลำลองแล้วก็ตาม แต่สง่าราศีบนตัวที่แผ่ซ่านออกมานั้นทำให้เขาที่เพียงนั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้าสามารถดึงดูดสายตาผู้คนได้ไม่ยาก พวกชาวบ้านที่ต่อแถวอยู่ทั้งหน้าหลังยามนี้ต่างหันมองมาทางเขา คนที่อยู่ทางด้านหลังเห็นก็แต่แผ่นหลังของเขา ส่วนคนที่อยู่ด้านหน้ากลับมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาได้ชัดแจ้ง

ในรถม้าคันหนึ่งคุณหนูตระกูลขุนนางซึ่งมาเยี่ยมญาติที่เมืองหลวงถูกสาวใช้สะกิด จึงอดไม่ได้ที่จะลอบพิจารณาดูเฉินจิ้งจงผ่านทางหน้าต่างบานเล็กที่อยู่ทางด้านหลังคราหนึ่ง

“ท่าทางเช่นนี้ต้องเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ที่ใดสักแห่งแน่ หากยังไม่ได้แต่งงาน เขานับว่าเหมาะสมกับคุณหนูยิ่งนัก”

“ห้ามพูดจาเหลวไหล พวกเราไม่ได้รู้จักเขา”

“เรื่องนี้ไม่ยากเจ้าค่ะ พวกเขาอยู่ห่างออกไปไม่ไกล อีกครู่บ่าวจะให้สาวใช้ติดตามเงี่ยหูฟังดีๆ ถึงตอนนั้นพวกเราย่อมรู้ถึงฐานะชาติกำเนิดของเขาได้เองเจ้าค่ะ”

เพียงไม่นานก็ถึงคราวของรถม้าคันดังกล่าวเข้าเมือง หลังจากรถม้าผ่านไปแล้ว สาวใช้คนหนึ่งกลับจงใจเดินช้าลงแล้วเอียงศีรษะมองย้อนกลับไปข้างหลัง

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเฉินจิ้งจงกับฟู่กุ้ยก็ขี่ม้าผ่านข้างกายเขาไป

สาวใช้คนนั้นได้สติขึ้นมาทันที รีบวิ่งกลับไปรายงานต่อคุณหนูของตนเอง “คุณหนู บ่าวได้ยินชัดแจ้ง ทหารเฝ้าประตูเมืองเรียกคุณชายผู้นั้นว่าราชบุตรเขย!”

คุณหนูกับสาวใช้ในรถม้า “…”

มิน่าเล่าพวกนางถึงได้รู้สึกว่าบุรุษผู้นี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ที่แท้ก็เป็นสามีขององค์หญิงองค์ใดองค์หนึ่งนี่เอง!

จวนสกุลเฉิน

หลังเลิกงานเฉินถิงเจี้ยนก็ยังอยู่ในสภาขุนนางต่ออีกหนึ่งชั่วยามถึงจะเดินออกมา หลังจากนั้นเขาก็เดินไปตามถนนยาวเหยียดออกจากวังหลวงเพื่อมาขึ้นรถม้ากลับจวน

ตอนที่เพิ่งลงจากรถม้าเขาก็บังเอิญเห็นม้าสองตัววิ่งเลี้ยวเข้ามาจากปากตรอก คนที่อยู่บนหลังม้าตัวแรกหากไม่ใช่เจ้าสี่ยังจะเป็นผู้ใดได้อีก

เฉินถิงเจี้ยนส่งเสียงประชดหนักๆ ออกมาคราหนึ่ง

นับตั้งแต่เจ้าสี่ใจกล้า ทูลขอตำแหน่งผู้บัญชาการกององครักษ์หลวงกับจิ่งซุ่นฮ่องเต้ เฉินถิงเจี้ยนก็นึกอยากพูดคุยกับผู้เป็นบุตรชายสักหน่อย แต่วันนั้นเจ้าสี่กลับย้ายไปอยู่ที่กององครักษ์เสียดื้อๆ แม้จะผ่านไปแล้วสิบกว่าวันอีกฝ่ายก็ไม่แม้แต่จะกลับบ้านสักหน หากคำพูดเหล่านั้นเป็นเมล็ดพืช ป่านนี้คงแตกต้นอ่อนอยู่ในท้องของเขานานแล้ว!

เฉินถิงเจี้ยนสะบัดแขนเสื้อ เดินเข้าจวนไปก่อน

ส่วนทางด้านเฉินจิ้งจง ถึงตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ในเวลานี้จะยังห่างจากเฉินถิงเจี้ยนอยู่สองสามหลังคาเรือนคั่น ทว่าฟู่กุ้ยก็ยังคงรับรู้ได้ถึงสายตาเย็นเยียบของอีกฝ่ายจนรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งร่าง ทว่าเฉินจิ้งจงกลับมีสีหน้าท่าทางเป็นปกติ

ครั้นมาถึงหน้าประตูจวน ฟู่กุ้ยก็จูงม้าสองตัวไปที่โรงเลี้ยงม้า เฉินจิ้งจงกำลังจะมุ่งหน้าไปที่เรือนซื่ออี๋ถัง แต่กลับถูกพ่อบ้านที่เฝ้าอยู่หน้าประตูยิ้มกล่าวขัดขึ้นก่อน

“ราชบุตรเขย ฮูหยินรู้ว่าเย็นนี้ท่านจะกลับมาจึงได้กำชับผู้น้อยให้เชิญท่านไปกินข้าวที่เรือนชุนเหอถัง เก๋อเหล่าเองก็เพิ่งจะกลับมาถึงเช่นเดียวกันขอรับ”

เฉินจิ้งจงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเรือนหลัก

ราชบุตรเขยหนุ่มแน่นกำยำ ฝีเท้าคล่องแคล่วว่องไว พอเดินมาถึงระเบียงทางเดินของเรือนชุนเหอถัง เขาก็พบว่าบิดาของตนเพิ่งย่างเท้าเข้าโถงกลาง ส่วนผู้เป็นมารดากำลังยืนอยู่ข้างๆ พูดคุยอะไรบางอย่างกับอีกฝ่าย

ซุนซื่อกำลังปรึกษากับสามีว่าให้รอสักครู่ ให้เจ้าสี่กลับมาก่อนแล้วค่อยกินข้าวพร้อมหน้ากันสามคนพ่อแม่ลูก ทว่ายังไม่ทันพูดจบ เงาร่างของบุตรชายคนที่สี่ก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาเสียก่อน

ซุนซื่อยิ้มดีใจ เอ่ยปากบอกกับผู้เป็นสามี “เอาล่ะ ท่านก็รีบไปล้างมือเถอะ ข้าจะบอกทางโรงครัวให้จัดอาหารขึ้นโต๊ะเดี๋ยวนี้”

เฉินถิงเจี้ยน “…”

เขายุ่งอยู่ในสภาขุนนางมาตลอดทั้งวัน กว่าจะกลับบ้านได้ก็ไม่ใช่ง่าย แทนที่จะสามารถกินอาหารร้อนๆ ได้ทันที กลับยังต้องรอเจ้าสี่ก่อนอย่างนั้นหรือ ภรรยาของเขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ตอนนางยังสาวเขาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ ทว่าในตอนนี้เขากลับเทียบเจ้าสี่ไม่ได้แล้ว!

เฉินถิงเจี้ยนอารมณ์ไม่ดีนัก

ซุนซื่อเอ่ยปากทักทายผู้เป็นบุตรชายด้วยรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า

เฉินจิ้งจงเอ่ยถาม “เพราะรอข้า ท่านแม่จึงยังไม่กินข้าว?”

“รอเจ้า? เจ้าคิดว่าตนเองหน้าตาหล่อเหลามากหรือไรกัน ระยะนี้ท่านพ่อของเจ้าล้วนกลับมาเวลานี้ ข้าแค่เพราะรอเขา เลยถือโอกาสรอเจ้าไปด้วยต่างหาก”

เฉินถิงเจี้ยนที่กำลังจะไปล้างมือในห้องรองส่งเสียงประชดออกมาคราหนึ่ง

“แล้วท่านแม่รู้ได้เช่นไรว่าวันนี้ข้าจะกลับมา”

“องค์หญิงทรงส่งข่าวมา บอกว่าจะกลับจวนวันพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นข้าเลยเดาได้ว่าเย็นนี้เจ้าต้องกลับมาแน่ เจ้าเป็นลูกของข้า แล้วข้ามีหรือจะไม่รู้ บิดามารดาจะไม่ใส่ใจก็ช่างเถอะ แต่ภรรยาของตนเองไหนเลยจะไม่เอ็นดูได้”

เฉินจิ้งจง “…”

ซุนซื่อผลักผู้เป็นบุตรชายไปที่ห้องรองเช่นเดียวกัน มองดูพ่อลูกสองคนล้างหน้าล้างมือ

ที่หน้าชั้นล้างหน้ามีอ่างสำริดวางอยู่ใบหนึ่ง เฉินถิงเจี้ยนเริ่มจากใช้ผ้าเช็ดหน้าเปียกๆ เช็ดหน้า ก่อนจะจุ่มผ้ากลับลงไปในน้ำแล้วขยี้สองสามคราว หลังจากนั้นก็เช็ดมือ

ซุนซื่อหยิบผ้ามาอีกผืน ขณะจุ่มผ้าลงในน้ำ เฉินจิ้งจงก็พูดอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ออกมา

“ข้าไม่ใช้น้ำร่วมกับผู้อื่น”

เฉินถิงเจี้ยนสีหน้าบึ้งตึง

ซุนซื่อถลึงตาใส่ผู้เป็นบุตรชาย “คำพูดนี้พี่ใหญ่พี่สามของเจ้าอาจพอพูดได้ แต่ต่อหน้าข้าเจ้าคิดจะแสร้งทำเป็นพิถีพิถันอย่างนั้นหรือ ตอนเล็กๆ ใครกันที่วันๆ เอาแต่กระโดดโลดเต้นอยู่ในบ่อโคลน อีกอย่างท่านพ่อของเจ้าวันทั้งวันได้แต่นั่งทำงานอยู่ในสภาขุนนาง เนื้อตัวแปดเปื้อนฝุ่นสักเท่าไรกันเชียว ต่อให้เช็ดถูทำความสะอาดทั่วทั้งตัว น้ำที่ใช้อย่างไรก็สะอาดกว่าน้ำที่เจ้าใช้ล้างหน้า!”

เฉินจิ้งจงจงใจมองไปทางด้านหลังของตาเฒ่า “วันๆ เอาแต่นั่ง ระวังจะกลับมาป่วยซ้ำ”

เฉินถิงเจี้ยน “…”

ซุนซื่อกะพริบตาปริบๆ หันกลับมาเตือนผู้เป็นสามี “ท่านเองก็เหมือนกัน อย่าได้แผลหายแล้วลืมเจ็บเล่า ท่านหมอหลวงหลี่ยามนี้ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง”

เฉินถิงเจี้ยนโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งก่อนจะเดินตรงไปที่โถงกลาง

ซุนซื่อตะโกนเรียกสาวใช้ให้มาเปลี่ยนน้ำใหม่ เฉินจิ้งจงถึงยอมล้างมือ

บนโต๊ะอาหาร ซุนซื่อคีบกับข้าวให้บุตรชายไม่หยุด บุรุษหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปี ทั้งยังเป็นขุนนางบู๊ ใช้แรงมาทั้งวันย่อมหิวได้ง่าย

เฉินถิงเจี้ยนเพราะคาดคะเนได้ว่าหลังจากผู้เป็นบุตรชายกินไปได้สักแปดส่วนคงเตรียมเผ่นแน่ ดังนั้นจึงพูดตักเตือนบนโต๊ะอาหารเสียเลย

“ในเมื่อฝ่าบาทให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการกององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงแล้ว เจ้าก็ตั้งอกตั้งใจทำงานให้ดี หากสามารถฝึกทหารเหล่านั้นให้แข็งแกร่งขึ้นมาได้ นั่นก็หมายความว่าเจ้ามีฝีมืออยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าได้ยโสโอหังและยิ่งห้ามทำตัวได้คืบจะเอาศอก คิดจะไปขอรับตำแหน่งอื่นจากฝ่าบาทอีกล่ะ”

ว่ากันตามผลงานของบุตรชายที่กององครักษ์หลิงโจว เฉินถิงเจี้ยนเชื่อว่าเจ้าสี่สามารถนำพากององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงให้เข้มแข็งขึ้นได้ สิ่งที่เขากลัวก็คือหลังจากที่กององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงกลับกลายเป็นแข็งแกร่งขึ้นมา บุตรชายจะไม่รู้ว่าอะไรคือฟ้าสูงแผ่นดินหนา* อยากไปแสดงฝีมือในกององครักษ์หน่วยอื่นอีก

แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีการรับตำแหน่งขุนนางเช่นนี้ ต่อให้เป็นบุตรชายของเขาก็นับว่าไม่ถูกต้อง การที่ฝ่าบาทยอมให้เจ้าสี่เป็นผู้บัญชาการเช่นนี้ก็นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นแล้ว

เจ้าใหญ่นับว่าไม่เลว รู้จักสะกดกลั้นอารมณ์ความรู้สึก ต่อให้เขามีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่จะไปฝึกฝนสั่งสมประสบการณ์และโอกาสที่หกกรม แต่ก็ยังรู้จักควบคุมตนเองไม่บุ่มบ่าม

สองพ่อลูกทำงานอยู่ในสภาขุนนางด้วยกันย่อมเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล ขณะเดียวกันก็อันตรายไม่ใช่น้อย ผู้อื่นอาจจะอิจฉา แต่เฉินถิงเจี้ยนกลับไม่สนใจ

เขาทำงานอยู่ในสภาขุนนาง ไว้วันหน้าเขาเฒ่าชราเกษียณออกจากตำแหน่ง หากราชสำนักมีขุนนางฝีมือดี เจ้าใหญ่จะทำงานอยู่ในศาลต้าหลี่ต่อไปก็ไม่เป็นไร หากราชสำนักไม่มีผู้มีความสามารถหลงเหลือ เจ้าใหญ่ย่อมสามารถแสดงความสามารถของตนออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ ไม่จำเป็นต้องอาศัยผู้เป็นบิดาเช่นเขาเข้าไปทำงานอยู่ในสภาขุนนาง

เจ้าใหญ่กับเจ้าสามล้วนเชื่อฟังคำเขา อีกทั้งยังรู้จักให้ความสำคัญกับการใหญ่ มีก็แต่เจ้าสี่เท่านั้นที่ไม่ยอมรับฟังคำชี้แนะของเขา ทั้งยังชอบทำอะไรบุ่มบ่าม ทำเอาเขาถึงกับตั้งตัวไม่ทัน

ก็เหมือนอย่างเรื่องไปฝึกทหารที่กององครักษ์หลวง ดีที่ฝ่าบาทไม่นึกระแวงบ้านสกุลเฉิน หากเป็นฮ่องเต้พระองค์อื่นที่ขี้ระแวงอาจสงสัยว่าเขาเฉินถิงเจี้ยนสั่งให้บุตรชายพูดเช่นนั้น มีใจหมายแทรกแซงกององครักษ์หลวงทั้งยี่สิบหกหน่วย

ตอนนี้พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น เฉินถิงเจี้ยนก็ยังคงนึกประหวั่น

เฉินจิ้งจงก้มหน้ากินข้าว

เมื่อผู้เป็นบุตรชายไม่ได้ตอบโต้ เฉินถิงเจี้ยนจึงถือว่าอีกฝ่ายรับรู้แล้ว ครั้นสังเกตเห็นใบหน้าของเจ้าสี่เหมือนจะคล้ำแดดขึ้นมาเล็กน้อยก็อดเอ่ยปากถามไม่ได้

“องครักษ์หลวงไม่เหมือนกับทหารท้องถิ่น มีทหารจำนวนไม่น้อยที่มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงหรือตระกูลขุนนางเก่าแก่ หลังจากเข้าไปรับตำแหน่ง คนพวกนั้นยินดีเชื่อฟังเจ้าหรือไม่”

“ข้าเป็นบุตรชายของเก๋อเหล่าและยังเป็นราชบุตรเขย ผู้ใดบ้างกล้าไม่ฟังคำ ต่อให้กลับไปฟ้องที่บ้าน บิดามารดาของพวกเขาก็มีแต่จะสั่งให้พวกเขาปิดปากอดทน”

เรื่องนี้เฉินถิงเจี้ยนเองก็พอเดาได้อยู่ บุตรหลานของตระกูลขุนนางผู้มีอำนาจนั้น หากเป็นพวกมีหัวคิดมีความสามารถจริง หากไม่เดินอยู่บนเส้นทางของการสอบเป็นขุนนางก็ต้องฝึกการต่อสู้จนมีฝีไม้ลายมือเก่งกาจได้เป็นขุนนางบู๊คนสำคัญ จะมีก็แต่พวกลูกหลานตระกูลชั้นสูงที่เหลวแหลก ครอบครัวมักจะหาทางดันเข้ากององครักษ์สักแห่ง อย่างน้อยก็ยังมีเบี้ยหวัดไว้ใช้ส่วนหนึ่ง ดีกว่าปล่อยให้เที่ยวเตร่ไร้สาระไปวันๆ

“ไม่กลัวล่วงเกินสุภาพชน กลัวก็แต่ล่วงเกินคนถ่อย บางคนดูเผินๆ อาจเหมือนเชื่อฟังเจ้า ทว่าในใจกลับรอโอกาสล้างแค้น ถึงเจ้าจะเป็นราชบุตรเขย แต่หากตนเองกระทำความผิดถูกผู้อื่นจับได้ ฝ่าบาทไหนเลยจะยอมออกหน้าปกป้องเจ้า ดังนั้นจะพูดจะจาจะทำอะไรก็ระวังตัวให้มากๆ ใช่แล้ว สุราก็ดื่มให้น้อยๆ ลงสักหน่อย ไม่อย่างนั้นวันใดดื่มสุราเมาขึ้นมา ผู้อื่นจะฉวยโอกาสเล่นงานเจ้าได้”

พอนึกถึงพฤติกรรมของเหล่าลูกหลานตระกูลชั้นสูงที่เหลวแหลกพวกนั้น เฉินถิงเจี้ยนก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

สองพ่อลูกพูดคุยกัน ซุนซื่อทำเพียงนิ่งฟังอยู่เงียบๆ ยามนี้นางอดพยักหน้าไม่ได้ เตือนผู้เป็นบุตรชายตามสามีออกมาสองประโยค

เฉินจิ้งจงส่งเสียงอืมออกมาคำหนึ่ง ไม่รู้ว่าตอบรับหรือเพียงตอบส่งๆ

หลังจากผู้เป็นบุตรชายจากไป ซุนซื่อก็หันไปพูดอย่างแปลกใจกับผู้เป็นสามี “วันนี้ท่านแปลกคนจริงๆ ไม่เที่ยวสั่งสอนลูก มิหนำซ้ำยังพูดจาอ่อนโยนไม่น้อย”

“สั่งสอนไปแล้วมีประโยชน์อันใด ข้ากล้าด่าเขา เขาก็กล้าวางตะเกียบเดินจากไป ไม่กลับบ้านสิบวันครึ่งเดือน ถึงตอนนั้นแม้แต่โอกาสจะเตือนก็ไม่มีแล้ว ข้าไม่อยากเห็นวันใดเขากลับบ้านมาพร้อมเภทภัยใหญ่หลวงจนเดือดร้อนกันไปทั้งตระกูล”

ซุนซื่อยิ้มกล่าว “วางใจเถอะ ทันทีที่องค์หญิงเสด็จกลับมา เขาต้องวันๆ วิ่งกลับบ้านแน่ ถึงตอนนั้นท่านอยากสั่งสอนเขาเมื่อไรก็ได้ทั้งนั้น”

เฉินถิงเจี้ยนเม้มริมฝีปาก

เจ้าสี่ลุ่มหลงในความงามขององค์หญิง เรื่องนี้ไม่ยุติธรรมต่อองค์หญิงเลยแม้แต่น้อย สตรีสูงศักดิ์เช่นนั้นกลับต้องเผชิญหน้ากับคนหยาบกระด้างอย่างเจ้าสี่ทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้!

เรือนซื่ออี๋ถัง

เฉินจิ้งจงยังคงพักผ่อนอยู่ที่เรือนหลัง

เขาไม่ต้องการสาวใช้คอยเฝ้าตอนกลางคืน คืนนี้เฉาลู่กับเฉาหลานยังคงนอนอยู่ในเรือนเล็กด้านข้างที่จัดเตรียมไว้ให้พวกนางสาวใช้พักโดยเฉพาะ หนึ่งห้องนอนกันสองคน ทว่าเพิ่งเอนหลังลงนอนได้ไม่ทันไร พวกนางก็อดกระซิบกระซาบพูดคุยกันไม่ได้

“ราชบุตรเขยนี่ก็เหลือเกิน องค์หญิงจะกลับมาแล้วแท้ๆ ส่วนเขาเองก็กลับมาด้วย เขาดูไม่ออกเลยหรือว่าองค์หญิงไม่อยากให้เขาเข้ามาในเรือนหลังเลยแม้แต่น้อย”

“เรื่องนี้นั้นไม่แน่ บางทีตอนอยู่ที่หลิงโจว องค์หญิงกับราชบุตรเขยอาจรักกันแล้วก็ได้”

“ข้าไม่เชื่อ แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยเห็นองค์หญิงรังเกียจใครเช่นเขามาก่อน ดูอย่างหลินกุ้ยเฟยกับองค์หญิงหนานคังก็ได้ องค์หญิงอย่างมากก็แค่ไม่คบหา ไม่ไปมาหาสู่กับพวกนางเท่านั้น”

“น่าเสียดายที่เจินเอ๋อร์กับจูเอ๋อร์ต่างอยู่ในวังหลวง ไม่อย่างนั้นพวกเราคงพอสอบถามพวกนางได้”

“ช่างเถอะ พรุ่งนี้องค์หญิงก็กลับมาแล้ว อา จะว่าไปข้าคิดถึงองค์หญิงจริงๆ น่าเสียดายที่บ้านเก่าสกุลเฉินเล็กเกินไป องค์หญิงเลยพาพวกเราไปด้วยไม่ได้”

คืนนี้สาวใช้ทั้งสองที่ตั้งหน้าตั้งตารอองค์หญิงผู้เป็นนายต่างนอนไม่หลับด้วยกันทั้งคู่

ในห้องหลักเฉินจิ้งจงพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง กว่าจะข่มตาหลับได้สำเร็จเวลาก็เกือบจะล่วงเลยเข้ายามจื่อ

 

เช้าวันรุ่งขึ้นเฉินจิ้งจงกินอาหารเช้าอยู่ที่เรือนซื่ออี๋ถัง หลังจากจัดการกับเสื้อผ้าหน้าผมเสร็จเขาก็ออกเดินทางทันที

ในวังหลวงจิ่งซุ่นฮ่องเต้ ฮองเฮา องค์หญิงหวาหยาง และองค์รัชทายาทล้วนอยู่ในตำหนักเฟิ่งอี๋

องค์รัชทายาทมีท่าทีไม่ค่อยพอใจ “เหตุใดเสด็จพี่ถึงไม่อยู่ที่วังหลวงต่ออีกสักหลายๆ วันเล่า”

หวาหยางเอ่ยว่า “อยู่ต่อแล้วเช่นไร เจ้าต้องเรียนหนังสือฝึกยุทธ์ทุกวัน มีแต่ตอนกินอาหารเย็นเท่านั้นถึงจะพออยู่เป็นเพื่อนพี่ได้ ไม่เหมือนออกไปอยู่นอกวัง ตอนเช้าพี่ยังไปพอเดินเล่นอยู่ในเมืองได้บ้าง”

องค์รัชทายาทนึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย

หวาหยางยิ้มพูด “ตอนนี้อากาศยังร้อน ไว้อากาศเย็นลงอีกสักหน่อยแล้วพี่จะพาเจ้าออกจากวังไปเที่ยวเล่นสักวัน” พูดจบนางก็มองขออนุญาตไปทางชีฮองเฮา

จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็มองไปทางชีฮองเฮาเช่นกัน เรื่องอบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทนี้ เขาเองก็ฟังนางเช่นกัน

ชีฮองเฮาขมวดคิ้ว ขณะกำลังจะเอ่ยปาก หวาหยางก็ขยับเข้ามาพูดจาออดอ้อน “เสด็จแม่ ช่วงนี้น้องชายทั้งขยันหมั่นเพียรทั้งตั้งใจฝึกยุทธ์ เสด็จแม่ก็ถือเสียว่าประทานรางวัลให้เขาสักครั้งเถอะเพคะ ยิ่งไปกว่านั้นลูกเองก็จะให้ราชบุตรเขยคอยอยู่เป็นเพื่อนให้องครักษ์คอยติดตาม เช่นนี้แล้วยังทรงมีอะไรไม่วางพระทัยอีกหรือเพคะ”

ชีฮองเฮามองดูผู้เป็นบุตรสาว รู้สึกว่าอีกฝ่ายจากเมืองหลวงไปสองปีกว่า ยามนี้มีความรู้มีประสบการณ์ มีความคิดอ่านเป็นของตนเองมากขึ้น เมื่อก่อนบุตรสาวไม่เคยก้าวก่ายเรื่องที่นางอบรมบุตรชายเลยสักครั้ง

ครั้นนึกว่าครึ่งเดือนมานี้บุตรชายรู้ประสีประสาขึ้นมาก ชีฮองเฮาก็พยักหน้าตอบรับ

ไม่ต้องพูดถึงว่าองค์รัชทายาทดีใจเพียงใด เขาอายุสิบสองแล้ว นอกจากได้ตามเสด็จพ่อเสด็จแม่ออกจากวังก็ไม่เคยมีสักครั้งที่ได้ออกไปโดยปราศจากการจับตามองของบุพการีทั้งสอง!

คราวนี้เขาไม่คัดค้านการออกจากวังของผู้เป็นพี่สาวแล้ว อาจรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างก็ตรงที่ไม่อาจกำหนดวันที่ตนเองจะออกจากวังได้ทันที

ตอนเฉินจิ้งจงเดินตามขันทีนำทางเข้ามา ภาพแรกที่เขามองเห็นคือจิ่งซุ่นฮ่องเต้กับชีฮองเฮากำลังมองมาด้วยสายตาอ่อนโยน องค์รัชทายาทที่พินิจพิจารณาดูเขาด้วยท่าทีลิงโลดตื่นเต้น ตรงกันข้ามกับสีหน้าท่าทางของหวาหยางที่แลดูจืดจางที่สุด ถึงจะมีรอยยิ้มน้อยๆ แต่ก็เป็นรอยยิ้มเกรงอกเกรงใจอะไรทำนองนั้น ดูไม่ออกถึงความสนิทสนมรักใคร่ระหว่างสามีภรรยา

ความจริงแล้วก็ไม่มีอะไรแปลก นอกจากตอนอยู่บนเตียงแล้ว ไม่ว่าช่วงเวลาใด ต่อหน้าเขาหวาหยางล้วนวางท่าทีเยี่ยงองค์หญิงเสมอ

เฉินจิ้งจงถวายพระพรจิ่งซุ่นฮ่องเต้ ชีฮองเฮา และองค์รัชทายาทตามลำดับ

จิ่งซุ่นฮ่องเต้ยิ้มกล่าว “เอาล่ะ ผานผานพำนักอยู่ในวังนานแล้ว พวกเจ้าสองคนกลับไปกันเถอะ อีกครู่อากาศก็จะร้อนแล้ว”

เฉินจิ้งจง “…”

ผานผาน…นี่เป็นชื่อเล่นของนางอย่างนั้นหรือ

แต่งงานกันมานานเพียงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้ยินพ่อตาแม่ยายผู้สูงส่งเรียกนางด้วยชื่อเล่นอย่างใกล้ชิด

บทที่ 72

จากตำหนักเฉียนชิงไปจนถึงนอกเขตวังหลวงนั้นจำเป็นต้องเดินอยู่บนถนนยาวเหยียดอีกระยะหนึ่ง

ปลายเดือนหกสภาพอากาศยังคงร้อนอบอ้าว จิ่งซุ่นฮ่องเต้ไม่อาจทนดูบุตรสาวต้องตากแดดเหนื่อยยาก ดังนั้นจึงมีรับสั่งให้คนจัดเตรียมเสลี่ยงไว้ก่อนล่วงหน้า

ส่วนราชบุตรเขย เพราะเป็นขุนนางบู๊อีกทั้งยังหนุ่มแน่นสูงใหญ่กำยำ เดินไปเองย่อมไม่มีปัญหา!

แน่นอนว่าหวาหยางเองก็ไม่ได้เกรงอกเกรงใจบิดาแต่อย่างใด พอออกจากตำหนักเฉียนชิงมานางก็ขึ้นไปนั่งอยู่บนเสลี่ยงทันที

ขันทีน้อยสี่คนช่วยกันหามเสลี่ยงหน้าหลัง มีขันทีน้อยอีกสองคนซ้ายขวายกร่มขนาดใหญ่สองคันที่มีลักษณะคล้ายพัดใบลาน เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีแสงแดดอันใดแผดเผาผิวขาวราวกับหิมะขององค์หญิง

เพราะมีขันทีเหล่านั้นกั้นขวาง เฉินจิ้งจงจึงอยู่ห่างออกมาสองสามก้าว ส่วนพวกอู๋รุ่น เฉาอวิ๋น เฉาเยวี่ยนั้นเดินตามอยู่อีกด้าน

วังหลวงทุกหนแห่งเต็มไปด้วยขันที นางกำนัล องครักษ์ หวาหยางจำเป็นต้องรักษาท่วงที ไม่อาจเอียงคอผินหน้าไปพิจารณาดูเฉินจิ้งจงหรือพูดคุยกับเขาได้ ทำได้เพียงโบกพัดกลมในมือช้าๆ

เฉินจิ้งจงมองตรงไปข้างหน้า ชำเลืองดูเงาบนพื้นเป็นครั้งคราว

ใต้หล้านี้วังหลวงเป็นสถานที่สูงส่งเปี่ยมอำนาจบารมีที่สุด หวาหยางเป็นเชื้อพระวงศ์ที่เติบใหญ่อยู่ในวังหลวงแห่งนี้

ตอนอยู่ข้างนอกฐานะองค์หญิงของหวาหยางอันที่จริงก็นับว่าสูงส่งยิ่งใหญ่พอแล้ว ยิ่งมาอยู่ในวังหลวงโดยเฉพาะเช่นในเวลานี้ แม้ทั้งสองจะอยู่ใกล้กันเพียงใด แต่กลับราวกับมีเหวลึกที่ไม่อาจข้ามคั่นกลางอยู่ ห่างไกลเสียยิ่งกว่าระยะทางสองพันกว่าหลี่จากหลิงโจวถึงเมืองหลวงเสียอีก

บุรุษอื่นบางทีอายุเพียงสิบห้าก็ถวิลหาอิสตรี เฝ้านึกถึงการได้หลับใหลกับพวกนางอย่างไร้เงื่อนไข ทว่าเฉินจิ้งจงกลับไม่เคยเป็นเช่นนั้นมาก่อน หากไม่ฝึกฝนการต่อสู้ เขาก็ขึ้นเขาล่าสัตว์ หรือไม่ก็มองดูคนอื่นๆ ในหน่วยองครักษ์เสื้อแพรว่าทำงานกันเช่นไร ไม่ก็แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ใส่ตาเฒ่า ใส่พวกพี่ชาย

แต่ใครใช้ให้เขามีชะตาชีวิตประเสริฐเลิศล้ำเล่า ไม่ได้ทำอะไรสักนิด ฮ่องเต้กับฮองเฮาก็มอบองค์หญิงที่งดงามที่สุดให้วังหลวงให้แต่งงานกับเขาแล้ว!

เหวลึกสองพันกว่าหลี่อะไรกัน คืนค่ำเตียงห้องปิดสนิท ทั่วหล้านี้ไม่มีผู้ใดสามารถแนบสนิทชิดเชื้อ อยู่ใกล้ชิดนางได้มากกว่าเขาแล้ว

เฉินจิ้งจงเดินอยู่ข้างเสลี่ยงของหวาหยางด้วยท่าทีเยือกเย็น ตอบรับสายตาพินิจพิจารณาของเหล่าองครักษ์และขันทีที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน

นอกเขตวังหลวง รถม้าขององค์หญิงหวาหยางจอดรออยู่ที่นั่นก่อนหน้าแล้ว

เหล่าขันทีน้อยวางเสลี่ยงลงอย่างมั่นคง เฉาอวิ๋นกับเฉาเยวี่ยประคององค์หญิงผู้เป็นนายลงมาอย่างระมัดระวัง

หวาหยางมองไปทางอู๋รุ่น “ท่านกลับจวนองค์หญิงก่อนเถิด มีเรื่องอะไรข้าจะให้คนไปส่งข่าวบอกเอง”

องค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานสักหน่อย หลังออกเรือนจะได้รับพระราชทานจวนองค์หญิงเป็นของตนเอง แต่องค์หญิงสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตหลังแต่งงานอยู่ที่ใด

ชาติที่แล้วตอนหวาหยางแต่งงาน เสด็จแม่หวังว่านางจะพำนักอยู่ที่จวนสกุลเฉิน หวาหยางรู้ดีว่าเสด็จแม่ต้องการชักจูงพ่อสามีให้ร่วมปกป้องน้องชาย แต่งก็แต่งแล้ว แน่นอนว่านางย่อมยินดีให้ความร่วมมือ จนกระทั่งเฉินจิ้งจงตายอยู่ในสนามรบ หวาหยางถึงได้ย้ายมาพำนักอยู่ที่จวนองค์หญิง อาจกลับไปเยี่ยมพ่อสามีแม่สามีบ้างเป็นครั้งคราวแต่ไม่พักค้าง

ชาตินี้หวาหยางตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ว่าเช่นไรตนเองต้องกลับไปพักอยู่ที่จวนองค์หญิงแน่ ส่วนที่ว่าจะเป็นเมื่อไรนั้นนางเองก็ยังบอกไม่ได้แน่ชัด เอาเป็นว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ก็แล้วกัน

“พ่ะย่ะค่ะ”

อู่รุ่นยืนนอบน้อมอยู่ข้างรถม้า มองดูองค์หญิงขึ้นรถม้าไป ราชบุตรเขยก็ตามขึ้นไปเช่นกัน เขาขยับหลบไปยืนอยู่ข้างรถม้าอีกคราว

ในรถม้า

ไม่ว่ารถม้าของหวาหยางจะใหญ่โตกว้างขวางเพียงใด เมื่อบุรุษผึ่งผายอย่างเฉินจิ้งจงนั่งลงข้างๆ ในรถม้าก็กลับกลายเป็นคับแคบเบียดเสียดขึ้นมาทันที

หวาหยางแทบจะรับรู้ได้ถึงไอร้อนอันเป็นเอกลักษณ์พิเศษของบุรุษรูปร่างกำยำล่ำสันที่แผ่ซ่านออกมาจากกายของอีกฝ่าย รอบตัวนางคล้ายมีเปลวเพลิงไร้รูปลักษณ์ห่อหุ้ม

นางออกแรงโบกพัดเล็กๆ เฉินจิ้งจงทำเพียงนั่งนิ่งอยู่ข้างนาง

หวาหยางชำเลืองมองเขาปราดหนึ่ง ก่อนจะสั่งให้สารถีเคลื่อนรถม้า

รถม้าเคลื่อนขึ้นหน้าไปอย่างมั่นคง

หวาหยางสีหน้าเรียบเฉย ทว่าในใจกลับระแวดระวังเล็กน้อย วิตกกังวลเกรงว่าไม่ได้เจอกันนานเช่นนี้ เฉินจิ้งจงอาจคิดทำอะไรเหลวไหลในรถม้าขึ้นมาอีก

ทว่ารถม้าเคลื่อนตัวมาได้ราวๆ หนึ่งถ้วยชาแล้ว แต่เฉินจิ้งจงกลับนั่งนิ่งไม่ขยับราวกับภิกษุเฒ่าชรา หวาหยางระงับความสงสัยไม่อยู่ นางผินหน้ามองไปทางเขา

ประหลาดจริงๆ นางเพิ่งจะผินหน้าไปได้ไม่ทันไร เฉินจิ้งจงก็หันหน้ามาเช่นกัน นัยน์ตาดำขลับจ้องดวงตาของนางเขม็ง

หวาหยางสับสน ความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นชัดเจนมากขึ้นทุกที นางขมวดคิ้วน้อยๆ ถามเขา “ท่านเป็นอะไรไป เหตุใดถึงไม่พูดไม่จา ปกติข้าต้องสั่งให้ท่านปิดปากถึงจะได้ หรือว่าช่วงที่ข้าอยู่ในวังหลวง ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

เฉินจิ้งจงจ้องตานางก่อนจะเลื่อนลงมามองริมฝีปาก หลังจากนั้นก็เอ่ยปากกล่าวว่า “ไม่ได้เจอหน้ากันนาน ข้ารู้สึกว่าองค์หญิงกลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว เกรงจะพูดอะไรผิดล่วงเกินองค์หญิงเข้า”

หวาหยาง “…”

วาจาพิลึกพิลั่นเช่นนี้เหตุใดนางถึงได้คุ้นเคยนัก

นางถลึงตามองไป ทันใดนั้นเฉินจิ้งจงก็ยิ้มพลางยื่นมือมาทางนาง หมายช้อนนางขึ้นไปวางบนตัก

หวาหยางตาไวมือไว รีบใช้ด้ามพัดเคาะหลังมือของเขาแล้วเอ่ยปากตำหนิเสียงแผ่ว “อากาศร้อนอบอ้าว อย่าทำข้าหงุดหงิด”

จวนสกุลเฉินในเมืองหลวงเป็นเสด็จพ่อของนางพระราชทานให้หลังเฉินถิงเจี้ยนเข้ามาทำงานในสภาขุนนางได้ไม่นาน อยู่ใกล้เขตวังหลวง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งรถม้าก็แล่นมาถึง หวาหยางต่อให้ไม่กลัวเสียเวลาจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ นางก็กลัวจะปิดบังสีหน้าหลังแอบมีอะไรกันไม่มิด

เฉินจิ้งจงช้อนตาขึ้นมอง พอเห็นใบหน้าขาวสล้างของอีกฝ่ายแดงระเรื่อทั้งๆ ที่เขายังไม่ทันได้ทำอะไรแบบนั้น เขาก็ได้แต่ล้มเลิกความตั้งใจ นั่งนิ่งอยู่บนที่นั่งของตนเองแต่โดยดี

เฉินจิ้งจงผู้นี้ยังพอว่านอนสอนง่ายอยู่ ใจของหวาหยางค่อยๆ กลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติอีกครั้ง ใบหน้าไม่ได้ร้อนผ่าวเช่นก่อนหน้านี้แล้ว

นางโยนพัดไปให้เฉินจิ้งจง ให้เขาช่วยพัดให้นางแทน ตอนเดินทางกลับเมืองหลวง ขอเพียงเฉินจิ้งจงอยู่ในรถม้า หน้าที่นี้ล้วนเป็นของเขา

เฉินจิ้งจงนั่งเบี่ยงกาย ลงมือพัดให้นางพลางถามออกมาส่งๆ “องค์หญิงฐานะสูงส่งเช่นนี้ เหตุใดชื่อเล่นถึงได้ธรรมดาเช่นนั้น”

เพลิงโทสะของหวาหยางคุโชนขึ้นอีกรอบ นางถลึงตาใส่เขา “ธรรมดาตรงที่ใด”

“ก็ฟังดูเหมือนของใช้ในครัว จะไม่ธรรมดาอีกหรือ”

หวาหยางยังคงคาดคั้น “เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามันเป็นคำว่าจานที่มาจากประโยค ‘ยามเล็กมิรู้จันทร์ จึงขานจานหยกขาว’ คำว่าจานนี้หมายถึงพระจันทร์ มันธรรมดาตรงที่ใด”

“ในเมื่ออยากเปรียบองค์หญิงเป็นเหมือนพระจันทร์ เช่นนั้นเรียกเยวี่ยเยวี่ย* ก็ได้แล้ว ไม่เห็นจะต้องใช้คำว่าผานที่หมายถึงจาน”

หวาหยาง “…”

นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้นก็หันหน้าไป ไม่อยากอธิบายความงามในวรรณศิลป์กับคนหยาบเช่นเขาอีก

เฉินจิ้งจงขยับปากพูดคำสองคำนั้นอยู่เงียบๆ ถึงจะไม่ออกเสียง แต่ก็ทำเอาเขาขนลุกตั้งชัน ชื่อเล่นตุ้งติ้งชวนกระอักกระอ่วนเช่นนั้น ไม่รู้ว่าบุรุษอย่างจิ่งซุ่นฮ่องเต้พูดออกจากปากได้อย่างไร

“มิสู้ข้าตั้งชื่อเพราะๆ ให้องค์หญิงสักชื่อ” เฉินจิ้งจงพูดเองเออเอง

“หุบปาก”

เฉินจิ้งจงยกยิ้ม ไม่แหย่นางอีก

ครั้นมาถึงจวนสกุลเฉิน หวาหยางก็ไปเรือนชุนเหอถังพบแม่สามีรวมถึงพ่อสามีที่หยุดงานอยู่บ้านก่อนเป็นอันดับแรก

“ตอนอยู่ในวังข้าได้เห็นหนังสือที่ท่านพ่อมอบให้กับน้องชายแล้ว เขาชอบมาก ขอบคุณท่านพ่อที่ลำบากเอาใจใส่”

หลังจากนั่งลง หวาหยางก็ยิ้มพูดกับพ่อสามี

เฉินถิงเจี้ยนเอ่ยปากถ่อมตน “กระหม่อมเพียงเขียนมันขึ้นมาตอนอยู่ว่างๆ เท่านั้น น่าขายหน้ายิ่งนัก”

ซุนซื่อรู้เรื่องหนังสือเล่มนั้น พอเห็นว่าผู้เป็นบุตรชายไม่เข้าใจ นางก็อธิบายให้เขาฟังสั้นๆ

เฉินจิ้งจงไม่นึกอิจฉาองค์รัชทายาทตัวน้อยที่อยู่ในวังนั่นแม้แต่น้อย ใครเป็นศิษย์ตาเฒ่าคนนั้นถึงคราวเคราะห์เห็นๆ หนังสือเล่มนั้นไม่ว่าจะดีเลิศสักเพียงใด ก็เป็นเพียงความหวานช่วงต้นเท่านั้น อีกไม่นานก็จะถูกใบหน้าเย็นชาราวกับน้ำแข็งและวาจาเยี่ยงยาพิษของตาเฒ่าทำให้รันทดยิ่งยวด

หลังจากนั่งอยู่ที่เรือนชุนเหอถังอยู่ครู่หนึ่ง หวาหยางกับเฉินจิ้งจงสองสามีภรรยาก็กลับไปที่เรือนซื่ออี๋ถัง

“องค์หญิง! ในที่สุดพระองค์ก็เสด็จกลับมาแล้ว!”

เฉาลู่กับเฉาหลานชะเง้อชะแง้คอมองอยู่นอกเรือนซื่ออี๋ถังนานแล้ว ยามนี้ในที่สุดก็ได้เห็นเงาร่างขององค์หญิง สาวใช้ทั้งสองวิ่งอย่างตื่นเต้นเข้ามา เฉาลู่น้ำตาเอ่อคลอ นางยิ้มพลางปาดเช็ดน้ำตา

เฉินจิ้งจงยืนมองอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชา พอนึกถึงตอนที่สาวใช้สองคนเห็นเขาเข้า ต่างก็ทำตัวราวกับระวังขโมยอย่างไรอย่างนั้น ท่าทีราวกับพวกคุณหนูตระกูลขุนนางทั้งหลาย

เขาเดินเข้าไปในห้องก่อน ทิ้งพวกนางนายบ่าวพูดคุยระลึกความหลังกัน

หวาหยางเองก็คิดถึงสาวใช้สองคนนี้ของตนเช่นกัน สาวใช้ที่ชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่าเฉาทั้งสี่นี้เติบใหญ่มาพร้อมกับนาง ตอนเล็กๆ เป็นเพื่อนเล่น พอโตขึ้นมาถึงได้เป็นผู้ช่วยคนสำคัญ

พวกนางพูดคุยสนุกสนานกันอยู่ที่โถงกลาง คล้ายนกกระจอกสี่ตัวห้อมล้อมอยู่รอบๆ หงส์ทองตัวหนึ่ง เฉินจิ้งจงรอแล้วรออีกอยู่ที่ห้องด้านใน ทันใดนั้นเขาก็เรียกเฉาอวิ๋นเข้าไป

เพียงชั่วระยะเวลาสองสามประโยค เฉาอวิ๋นก็เดินออกมา ใบหน้าแดงก่ำ

พอหวาหยางกับเฉาเยวี่ยเห็นก็เดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เฉาลู่ไม่เข้าใจจึงกระซิบถาม “ราชบุตรเขยให้เจ้าทำอะไร”

เฉาอวิ๋นชำเลืองมององค์หญิงแล้วส่ายหน้า ก่อนจะตรงไปยังห้องเก็บของ

หีบบรรจุสัมภาระขององค์หญิงที่เอากลับมาจากหลิงโจวถูกส่งมายังจวนสกุลเฉินพร้อมกับข้าวของของคนอื่นๆ นานแล้ว เฉาลู่และเฉาหลานจัดการกับข้าวของที่องค์หญิงใช้เป็นประจำเรียบร้อย ส่วนของอื่นๆ ล้วนทิ้งไว้ในห้องเก็บของ รอจนกระทั่งองค์หญิงต้องการใช้สิ่งใด พวกนางค่อยไปเอามา

เพียงไม่นานเฉาอวิ๋นก็หากล่องเล็กๆ ที่ถูกผนึกไว้ว่าห้ามเปิดออกโดยพลการพบ นางเปิดมันออก ด้านในคืออ่างดอกบัวที่คุ้นตาเสียยิ่งกว่าคุ้น ที่อยู่ด้านล่างคือกล่องไม้บรรจุสิ่งของที่เอาไว้ใช้เฉพาะกาลนั่น

หลังจากมั่นใจว่าไม่มีใครแตะต้องของสิ่งนั้นมาก่อน เฉาอวิ๋นก็อุ้มกล่องทั้งกล่องไปที่ห้องประธาน ก่อนจะเข้าไปในห้องนอน หยิบมันออกมาอันหนึ่งแล้วแช่ลงไปในน้ำอย่างคุ้นชิน

ยามกลางวันองค์หญิงกับราชบุตรเขยพักผ่อนอยู่ด้วยกัน เฉาอวิ๋นกับเฉาเยวี่ยถึงมีโอกาสบอกเล่าชีวิตความเป็นอยู่ขององค์หญิงที่หลิงโจวให้เฉาลู่กับเฉาหลานฟัง ที่สำคัญคือความสัมพันธ์ที่ก้าวหน้าขึ้นระหว่างองค์หญิงกับราชบุตรเขย

เฉาลู่สองตาเบิกกว้าง เฉาหลานปากอ้าค้าง

“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าองค์หญิงกับราชบุตรเขยรักกันแล้ว?”

เฉาอวิ๋นชะงักไปครู่หนึ่ง “ดูเหมือนจะยังไม่ถึงขั้นนั้น เวลาองค์หญิงรังเกียจราชบุตรเขยก็เหมือนจะยังรังเกียจอยู่ไม่ใช่น้อย ใช่หรือไม่” นางมองอย่างขอคำยืนยันไปทางเฉาเยวี่ย

เฉาเยวี่ยพยักหน้า “ใช่ ตอนกลางวันก็ยังมีทะเลาะกันอยู่ เพียงแต่ตอนกลางคืน…” จู่ๆ นางก็รู้สึกขัดเขินไม่กล้าเอ่ยต่อ

เฉาลู่กับเฉาหลานยังคงนึกอยากฟังต่อ พอเห็นอีกฝ่ายพูดได้เพียงครึ่งก็หยุดเอาเสียดื้อๆ เช่นนั้นก็พากันขนาบข้างแล้วเขย่าตัวพวกนางทันที

เฉาเยวี่ยให้เฉาอวิ๋นเล่า เฉาอวิ๋นหน้าแดงไม่ต่างอะไรกับก้นลิง ขวยเขินเกินกว่าจะพูดออกมา

“เอาล่ะๆ คืนนี้เฉาลู่อยู่เวรค่ำ พรุ่งนี้ค่อยเปลี่ยนให้เฉาหลานเฝ้า พวกเจ้าเฝ้าดูสักคืน ถึงตอนนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะรู้ได้เอง”

เฉินจิ้งจงไม่รู้ว่าสาวใช้เหล่านั้นกำลังพูดถึงตนเองเรื่องอะไร แต่ต่อให้รู้เขาก็ไม่นึกใส่ใจ

บางทีอาจเพราะอากาศร้อนเป็นเหตุ หลังเที่ยงหวาหยางยังคงนอนพัก เฉินจิ้งจงไปดูอ่างดอกบัว ลองใช้มือสัมผัสก็ดูเหมือนของสิ่งนั้นจะใช้การได้แล้ว

เขาเดินไปปิดประตูห้องนอน ปิดหน้าต่างทางทิศใต้ ในห้องมีน้ำเตรียมไว้อ่างหนึ่ง เฉินจิ้งจงจุ่มผ้าลงไปในน้ำ ลงมือเช็ดเนื้อเช็ดตัว

อันที่จริงหวาหยางนอนกลางวันนานพอสมควรแล้ว พอได้ยินเสียงน้ำนางก็สะลึมสะลือลืมตา มองผ่านม่านโปร่งที่ห้อยอยู่ครึ่งหนึ่งกับฉากบังลมปักลายดอกโบตั๋นและผีเสื้อ เห็นเฉินจิ้งจงกำลังยืนอยู่ข้างชั้นล้างหน้า

ไม่ว่าจะเพราะเพิ่งตื่นนอนหรือเพราะมีของบังขวางอยู่สองชั้น สายตาของนางยังคงพร่ามัว นางขยี้ตาอีกครั้งเพื่อดูให้ชัด ในที่สุดนางก็มั่นใจ เฉินจิ้งจงไม่ได้สวมเสื้อผ้าจริงๆ!

เขาคิดจะทำอะไรหลังจากนี้ นี่มันชัดเจนเสียยิ่งกว่าชัดอีก

เพียงแต่พอนึกได้ขึ้นมา เรี่ยวแรงบนตัวของหวาหยางก็ลับหายไปหมดสิ้น หลังจากตื่นตระหนกสับสนอยู่ครู่หนึ่งนางก็หลับตา แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

หลังจากนั้นไม่นานเสียงฝีเท้านอกม่านก็ดังลอยเข้ามา ตามติดด้วยเสียงเฉินจิ้งจงช้อนของสิ่งนั้นออกมาจากอ่างดอกบัว

ครั้นเฉินจิ้งจงเลิกม่านโปร่งเดินเข้ามา เห็นหญิงสาวนอนตะแคงอยู่บนเตียง ท่าทางคล้ายกำลังหลับสนิท เว้นก็แต่ใบหน้าที่แดงระเรื่อ คล้ายกำลังเมาสุราอยู่ในฝัน เขาก็ยกยิ้ม พลิกร่างองค์หญิงที่กำลัง ‘หลับสบาย’ ให้กลับมานอนหงายก่อนจะค้อมตัวลงไป

หวาหยางแสร้งหลับอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวเปล่งเสียงออกมา

เฉินจิ้งจงเงยหน้า เห็นนางยังคงหลับตา ทว่าขนตาเรียวยาวกลับเปียกชื้น ปลายจมูกเองก็มีเม็ดเหงื่อเล็กละเอียดผุดพราย

เขาสอดแขนข้างหนึ่งเข้าไปใต้หลังคอหญิงสาว ให้นางอิงแอบอยู่กับท่อนแขนของเขา มือข้างหนึ่งแหวกเส้นผมยาวสยายที่ระอยู่ข้างหูออก ก่อนจะขยับเข้าไปจุมพิตติ่งหูของนาง

หวาหยางครางออกมาอีกสองคราว

เฉินจิ้งจงยกยิ้มอีกครั้ง พ่นลมหายใจร้อนผ่าวลงที่ข้างหูนาง “ยอมตื่นแล้วหรือ บรรพบุรุษตัวน้อยของข้า”

หวาหยางกัดริมฝีปาก ยื่นมือมาปิดปากเขาไว้

เฉินจิ้งจงตรึงข้อมือนางไว้ “จานชามอะไรก็ไม่น่าฟังไม่สูงส่งเท่าบรรพบุรุษตัวน้อยอีกแล้ว จริงหรือไม่ แต่ถ้าองค์หญิงไม่ชอบ เรียกว่าเทพธิดายังจะดีกว่าชื่อนั้นอีก”

หวาหยางใบหน้าราวกับถูกไฟเผา

คืนแรกของการแต่งงาน เฉินจิ้งจงก็ปลอบให้นางร่วมมือด้วยด้วยคำว่า ‘บรรพบุรุษ’ ‘บรรพบุรุษตัวน้อย’ ‘บรรพบุรุษที่แสนดี’ เรียกออกมารวดเดียวถึงเจ็ดแปดครั้ง!

ไม่ว่าบุตรกตัญญูหลานผู้มีคุณธรรมบ้านอื่นจะแสดงความเคารพเลื่อมใสต่อบรรพบุรุษเช่นไร สิ่งที่เฉินจิ้งจงทำกับบรรพบุรุษต่างแซ่อย่างหวาหยางกลับเป็นการรังแกกันไม่มียั้ง ราวกับมีความแค้นใหญ่หลวงหมายเอาชีวิตนางให้ได้ก็ไม่ปาน!

เฉินจิ้งจงชอบเรียกนางเช่นนั้น

“ตาเฒ่านี่มองการณ์ไกลจริงๆ ถึงได้ตั้งชื่อข้าให้เหมาะสมกับองค์หญิงเช่นนี้ จิ้งจง*ๆ คนที่ข้าเคารพก็คือท่านนี่ล่ะ บรรพบุรุษที่แสนดีของข้า!”

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: