บทที่ 73
เรือนซื่ออี๋ถัง
แสงตะวันทางทิศตะวันตกยังคงเจิดจ้า อากาศร้อนอบอ้าว แม้แต่ดอกไม้ใบหญ้าในลานเรือนก็ยังเหี่ยวเฉา พวกนกที่มักมากระโดดโลดเต้นส่งเสียงร้องอยู่บนยอดไม้ต่างพากันลับหายไม่เห็นแม้แต่เงา
จะมีก็แต่เสียงกระจ่างชัดเป็นพิเศษขององค์หญิงที่ดังลอยมาจากห้องนอนไม่ขาดนั่นเท่านั้นที่ฟังดูน่ารักน่าใคร่กว่ายามปกติมากมายนัก
ทั้งๆ ที่พยายามกดเสียงแผ่วคุมไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกมาแล้วแท้ๆ แต่เมื่อต้องเผชิญกับราชบุตรเขยที่แข็งแกร่งกำยำเช่นนั้น หวาหยางก็สิ้นหนทางควบคุม
ตอนที่ผู้เป็นนายเข้าไปพักกลางวันอยู่ในห้อง สาวใช้ทั้งสี่เพราะไม่ได้พบหน้ากันเป็นเวลานานจึงพากันนั่งรวมตัวอยู่บนเก้าอี้เหม่ยเหริน ตรงระเบียงทางเดิน กระซิบกระซาบพูดคุยกันอย่างมีความสุข
ขณะที่พี่สาวน้องสาวทั้งหลายกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จู่ๆ ก็มีเสียงความเคลื่อนไหวจากห้องประธานดังลอยมา
เฉาอวิ๋นกับเฉาเยวี่ยหน้าแดงขึ้นก่อน เฉาลู่กับเฉาหลานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะได้สติ
“เอ่อ มีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยกันตอนพักช่วงค่ำแล้วกัน พวกเจ้าสองคนเฝ้าอยู่ทางนี้ พวกข้าจะกลับไปงีบสักครู่”
เฉาอวิ๋นรีบฉุดเฉาเยวี่ยให้ลุกขึ้น ข้าวของจากในวังอันใดพวกนางล้วนจัดการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้จะว่าไปก็เหนื่อยแล้วจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นทางองค์หญิงอย่างน้อยคงใช้เวลาอีกครึ่งชั่วยาม หากไม่อาศัยจังหวะนี้พักผ่อน หรือจะให้พวกนางลอบฟังอยู่ที่นี่ ลอบฟังอยู่คนเดียวลำพังก็ช่างเถอะ แต่ยามนี้ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ไม่ว่าจะคิดเช่นไรก็ล้วนชวนกระอักกระอ่วน
เฉาเยวี่ยเองก็คิดเช่นนั้น นางรีบตามอีกฝ่ายไป
จนกระทั่งทั้งพวกเฉาเยวี่ยกับเฉาอวิ๋นลับหายไป เฉาลู่ถึงได้ส่งเสียงประชดออกมาเบาๆ “ไม่เห็นจะมีอะไร พวกเราใช่ว่าไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน”
ก่อนองค์หญิงจะตามเก๋อเหล่าทั้งครอบครัวไปหลิงโจว ราชบุตรเขยเองก็เคยใช้ชีวิตเยี่ยงคู่แต่งงานใหม่อยู่ที่นี่เกือบสามเดือน ถึงองค์หญิงจะรังเกียจราชบุตรเขย แต่ก็ใช่ว่าจะทานทนความหน้าหนาของราชบุตรเขยได้ ทุกเดือนมักมีเรื่องอย่างว่าเกิดขึ้นสองสามหนตลอด
เฉาหลานเอ่ยว่า “ใช่ เพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น พวกนางจำเป็นต้องวิ่งหนีด้วยหรือไร”
พวกนางสองคนล้วนไม่นึกแยแส พูดคุยถึงข่าวสารที่เพิ่งได้รับมาจากปากเฉาอวิ๋นกับเฉาเยวี่ยต่อ ในใจยังคงนึกอยากรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างองค์หญิงกับราชบุตรเขย
“ถ้าพวกนางยังอยู่ พวกเราก็คงไม่ต้องสุ่มสี่สุ่มห้าเดาแล้ว” เฉาลู่ยังคงหงุดหงิดโมโห
“หรือว่าเป็นเพราะยามทุกข์ยากจึงเห็นน้ำใจแท้ ข้าได้ยินสาวใช้ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าที่หลิงโจวเกิดน้ำท่วม”
พวกนางสองคนผลัดกันพูดไปมา ไม่ได้สนใจความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในห้องประธานเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งความเคลื่อนไหวนั่นดำเนินอยู่เนิ่นนาน
ไม่รู้ว่าเฉาลู่สังเกตเห็นก่อนหรือเฉาหลานสังเกตเห็นก่อน เอาเป็นว่าพวกนางยามนี้ลืมพูดคุยกันไปจนสิ้น ได้แต่จ้องอีกฝ่ายนิ่ง
หลังจากนั้นหูของเฉาลู่ก็แดงระเรื่อ พยายามพูดคุยสนทนากับอีกฝ่ายเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกกระอักกระอ่วน
“องค์หญิงทรงดีต่อราชบุตรเขยมากกว่าเดิมอยู่นิดหน่อยจริงๆ ถ้าเป็นแต่ก่อนองค์หญิงไหนเลยจะยอมราชบุตรเขยนานเพียงนี้”
เฉาหลานพูดจาเรื่อยเปื่อย “บางทีราชบุตรเขยอาจเป็นพวกหน้าหนาเจ้าเล่ห์ จงใจเกาะแกะองค์หญิงไม่ยอมปล่อยก็เป็นได้”
“เขากล้าหรือ!”
เฉาหลานไม่ได้ส่งเสียงอันใดอีก เพียงหลบไปหมอบนอนอยู่บนเก้าอี้บนระเบียงทางเดินที่อยู่ห่างออกไปพลางบอก “ข้านอนล่ะ ไว้องค์หญิงเรียกให้เข้าไปปรนนิบัติ เจ้าค่อยเรียกข้า”
เฉาลู่ “…”
ครั้นแสงตะวันนอกหน้าต่างไม่ได้แผดเผาเช่นนั้นอีกต่อไป ในที่สุดเฉินจิ้งจงก็เลิกม่านโปร่งหน้าเตียงห้องขึ้นแล้วสวมกางเกงตัวในเดินออกมา
เขาไปทำความสะอาดของสิ่งนั้นในห้องเวจ ใช้น้ำสะอาดล้างอยู่สี่ห้ารอบ หลังจากนั้นก็กลับเข้าไปในห้องนอน แช่ของสิ่งนั้นไว้ในอ่างดอกบัวต่อ หมายใช้มันอีกครั้งตอนกลางคืน
หลังเช็ดมือเสร็จ เฉินจิ้งจงก็เดินไปที่หน้าโต๊ะ มือข้างหนึ่งถือกาน้ำชา มืออีกข้างถือถ้วยชา เดินกลับเข้าไปในเตียงห้อง
เมื่อครู่หวาหยางใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายไปกับการสวมเสื้อผ้า ยามนี้กำลังขดตัวนอนอย่างอ่อนแรงอยู่บนเตียง เรือนร่างถูกหุ้มห่อไว้ด้วยชุดผ้าแพรสีแดงโปร่งบางราวกับปีกจักจั่น ท่อนล่างเป็นกางเกงผ้าแพรหลวมๆ สีเดียวกัน เพราะอากาศร้อนนางจึงไม่ได้ห่มผ้าห่ม ข้อมือขาวสล้างโผล่พ้นแขนเสื้อ ขากางเกงหรือก็ม้วนตลบขึ้นบนตามท่านอนของนาง เผยให้เห็นปลีน่องขาวละเอียดกับฝ่าเท้าเล็กๆ น่ารักๆ นั่น
ไม่ว่าส่วนใดก็ล้วนขาวลออ มีก็แต่เพียงใบหน้าเท่านั้นที่แดงระเรื่อ คล้ายดอกโบตั๋นแดงที่เพิ่งถูกสายฝนเล็กละเอียดชะผ่าน
หวาหยางได้ยินเสียงเฉินจิ้งจงนั่งลงข้างๆ เดิมนางก็ไม่คิดจะใส่ใจ แต่เพราะกระหายน้ำเหลือกำลังนางจึงปล่อยให้อีกฝ่ายยกร่างของตนเองขึ้น
ความแข็งแรงของเฉินจิ้งจงปรากฏอยู่ในทุกด้าน อย่างในเวลานี้เขาสามารถอุ้มนางขึ้นได้อย่างง่ายดาย ทำเอาหวาหยางเผลอรู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังลอยละล่องราวกับเทพธิดาจริงๆ
นางหลุบตา จิบน้ำที่อีกฝ่ายป้อนถึงมุมปากช้าๆ
เฉินจิ้งจงทำจนคุ้นชินแล้ว เดิมทีเขายังจับจังหวะไม่ค่อยถูก บางทีก็ป้อนเร็วเกินไปจนนางสำลัก บางทีก็ช้าจนถูกนางถลึงตาใส่ แต่ตอนนี้เขาคล่องแคล่วมากแล้ว แม้แต่จังหวะที่หวาหยางดื่มไปไม่กี่คำแล้วจะหยุดพัก เขาก็รู้ได้อย่างแม่นยำ
คนที่สามารถปรนนิบัติรับใช้หวาหยางได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติเช่นนี้ คนก่อนหน้านี้ก็คืออู๋รุ่นนั่นเอง
“ยิ้มอะไร” พอสังเกตเห็นมุมปากของหวาหยางยกขึ้น เฉินจิ้งจงก็เอ่ยถาม แค่ดื่มน้ำก็ยังดีใจได้อย่างนั้นหรือ
หวาหยางช้อนตาขึ้น นัยน์ตาชุ่มชื้นแฝงไว้ซึ่งรอยยิ้มชัดแจ้ง “ข้ากำลังยิ้ม ถ้าวันใดข้าเบื่อท่านแล้ว ไม่อยากให้ท่านเป็นราชบุตรเขยอีกต่อไป แต่ด้วยฝีมือปรนนิบัติรับใช้ดีเด่นเช่นนี้ หากท่านตัดใจไปจากข้าไม่ได้ ยินดีเปลี่ยนตนเองเป็นขันทีปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายข้า ข้าคงได้แต่ต้องเก็บท่านไว้”
เฉินจิ้งจงประชดออกมาคำหนึ่ง “เกรงว่าคนที่จะตัดใจไม่ได้จะเป็นองค์หญิง ไม่ใช่ข้า”
หวาหยาง “…”
นางดื่มน้ำต่อ ตอนเอนตัวลงบนเตียงอีกครั้ง เฉินจิ้งจงก็เอ่ยปาก
“หลับต่ออีกสักครู่เถอะ ต้องการให้ข้าสั่งพวกสาวใช้ให้เตรียมน้ำไว้หรือไม่”
“ได้”
ถึงแม้จะง่วงมาก แต่นางก็ยังทนเหงื่อบนตัวไม่ไหว อย่างไรก็ต้องอาบน้ำให้สะอาด
เฉินจิ้งจงหยิบกระดิ่งเรียกสาวใช้ของหวาหยางออกมาแล้วสั่นมันสองสามที
เพียงไม่นานเสียงฝีเท้าจากด้านนอกก็ดังลอยเข้ามา ก่อนจะหยุดอยู่หน้าประตูห้องนอนรอรับคำสั่ง
เฉินจิ้งจงให้พวกนางไปเตรียมน้ำ เขาใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดทำความสะอาดร่างกายง่ายๆ อยู่ในห้องก่อนจะหยิบเสื้อนอกขึ้นมาสวม
“ข้าไปรอที่ลานเรือนหน้าก่อน ตอนกินข้าวค่อยแวะมาอีกครั้งหนึ่ง” เขายืนอยู่หน้าฉากบังลม พูดไปทางเตียง
ตอนนี้ไม่เหมือนช่วงไว้ทุกข์ที่หลิงโจวที่ทุกคนต่างว่างไม่มีอะไรทำ หลังกลับมาถึงเมืองหลวง ตาเฒ่าได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นราชเลขาธิการ พวกเขาสามพี่น้องเองก็ล้วนมีตำแหน่งขุนนางติดตัว ในบ้านพร้อมจะมีแขกเหรื่อมาเยี่ยมเยือนอยู่ตลอดเวลา ต่อให้เป็นพ่อลูกพี่น้องก็จำเป็นต้องพบหน้าพูดคุยปรึกษาหารือกัน เขาต้องเตรียมพร้อมอยู่ทุกเมื่อ ส่วนหวาหยางถึงจะเป็นองค์หญิงแต่ก็ไม่ได้ว่างถึงเพียงนั้น อย่าว่าแต่แม่สามีเหล่าพี่สะใภ้เลย ด้านนอกเองก็อาจมีคนคิดจะมาเยี่ยมเยือนประจบประแจงนางทุกเมื่อเช่นกัน
หวาหยางขานรับอย่างไม่ใส่ใจ
เฉินจิ้งจงเดินจากไป
เฉาหลานกับเฉาลู่สั่งสาวใช้ให้ไปบอกกับทางเรือนเก็บน้ำ พวกนางทำเพียงรอเข้าไปปรนนิบัติรับใช้อยู่ที่ห้องรอง ไม่จำเป็นต้องไปทำงานหนักอย่างแบกน้ำด้วยตนเอง
ตอนราชบุตรเขยออกมา พวกนางลอบพินิจพิจารณาดูเขาอย่างไม่รู้ตัว ราชบุตรเขยสวมอาภรณ์คอกลมปักลายเป็นระเบียบเรียบร้อย ท่วงทีหรือก็สูงสง่า ใบหน้าหล่อเหลานั่นยังคงเย็นชาเหมือนเก่า ไม่ได้วางท่าทีเย่อหยิ่งจองหองเพราะได้รับความโปรดปรานต่อหน้าพวกนาง หากกลับคล้ายยังคงเป็นราชบุตรเขยที่มักถูกองค์หญิงรังเกียจในช่วงแรกคนนั้นไม่เปลี่ยน
จนกระทั่งเงาร่างของราชบุตรเขยหายลับไปจากสายตา สาวใช้ทั้งสองมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งทางเรือนเก็บน้ำหาบน้ำเข้ามา
พอได้สติพวกนางก็รีบเข้าห้องนอนไปปรนนิบัติองค์หญิง
ทั้งสองแยกย้ายกันม้วนเก็บม่านโปร่งไว้อีกด้านก่อน สายตาที่ชำเลืองมองไปบนเตียงของเฉาลู่แฝงไว้ซึ่งความรู้สึกวิตกกังวลอยากรู้อยากเห็นอยู่หลายส่วน
ในความทรงจำ ก่อนหน้านี้หลังจากราชบุตรเขยเสร็จกิจ ทุกครั้งองค์หญิงล้วนมีสีหน้าโกรธขึ้ง…ทว่ายามนี้ที่เฉาลู่มองเห็นคือใบหน้างดงามสบายๆ ของโฉมสะคราญนั้นแลดูอ่อนระโหยอยู่สองสามส่วน ความรู้สึกอิ่มเอมมีความสุขในดวงตานั้นเผยชัดยากจะปิดบัง
คล้ายตอนพวกนางพี่น้องเล่นจักจี้กัน หากหัวเราะมากไปท้องก็จะปวด ทว่าหัวเราะก็คือหัวเราะ คือความรู้สึกเบิกบานใจ
หวาหยางเพิ่งลืมตาขึ้น พอพบว่าคนที่เข้ามาเป็นพวกนางสองคน นางก็รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย
เรื่องที่นางทำกับเฉินจิ้งจงนั้น เฉาอวิ๋นกับเฉาเยวี่ยคุ้นชินอยู่นานแล้ว นายบ่าวต่างไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกอันใด ต่างฝ่ายต่างวางตัวสบายๆ แต่เฉาลู่กับเฉาหลานนั้นอีกไม่นานก็ย่อมคุ้นเคยได้เอง คนที่จำเป็นต้องปรับตัวคือพวกนาง ไม่ใช่ตนที่เป็นองค์หญิง
หวาหยางยกมือ เฉาลู่รีบขยับเข้าไปประคององค์หญิงอย่างมั่นคง เฉาหลานกลับสนใจเสื้อตัวในสีขาวธรรมดาๆ ที่ปูอยู่บนเตียง แค่เห็นรูปแบบเรียบง่ายไม่มีอะไรพิเศษเช่นนั้นนางก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของราชบุตรเขย
หวาหยางเพิ่งพบว่าเสื้อตัวในนี้ยังถูกทาบทับอยู่ที่ด้านล่าง
ร่างกายของเฉินจิ้งจงไม่ต่างอะไรกับหลอมขึ้นจากเหล็ก หากไม่ปูผ้าเพิ่มอีกชั้น ผ้าปูที่นอนสู่จิ่นของนางไม่ว่าจะมีมากเพียงใดก็คงไม่พอใช้
แต่เรื่องนี้นางไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายให้พวกสาวใช้ฟัง หลังจากนั่งอยู่ที่ข้างเตียงครู่หนึ่ง ขาทั้งสองข้างหายสั่น หวาหยางก็ตรงไปอาบน้ำยังห้องอาบน้ำ
เฉาหลานเก็บเตียง ส่วนเฉาลู่ตามไปรับใช้
เพราะเป็นสาวใช้รุ่นใหญ่ ความสัมพันธ์กับผู้เป็นนายจึงแตกต่างออกไป ดังนั้นคำพูดบางอย่างนางจึงกล้าเอ่ยปาก
เฉาลู่นั่งลงบนม้านั่ง มือข้างหนึ่งถือผ้าเช็ดหน้าเช็ดถูลงบนไหล่เกลี้ยงเกลาขององค์หญิงพลางถามเสียงแผ่ว “องค์หญิง ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพระองค์กับราชบุตรเขยดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากแล้วใช่หรือไม่เพคะ”
“ก็พอใช้ได้ เจ้าจำไว้บอกกับเฉาหลานด้วย หลังจากนี้ให้ความเคารพนับถือราชบุตรเขยมากหน่อย อย่าได้ถลึงตาไม่พอใจใส่เขาเหมือนก่อนหน้านี้อีก”
แน่นอนว่านางไม่ได้ตำหนิสาวใช้ที่ก่อนหน้านี้ทำตัวเสียมารยาทใส่เฉินจิ้งจง ทั้งนี้ก็เพราะพวกสาวใช้จะทำตามสีหน้าของนาง ยามนางไม่พอใจเฉินจิ้งจง หากสาวใช้พวกนี้วันๆ ปั้นหน้ายิ้มแย้มให้เฉินจิ้งจง นั่นก็เท่ากับทรยศหักหลังองค์หญิงเช่นนางแล้ว
เฉาลู่ลอบจุปาก “อา ราชบุตรเขยได้รับความโปรดปรานจากองค์หญิงจริงๆ หากรู้เช่นนี้แต่แรก คืนนั้นตอนราชบุตรเขยกลับมา รวมถึงเมื่อคืนวาน พวกหม่อมฉันก็คงเกรงอกเกรงใจเขามากกว่านี้หน่อย”
หวาหยางฟังออกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ปกติ นางถามว่า “นอกจากสองคืนนั้น ระหว่างนั้นราชบุตรเขยล้วนพำนักอยู่ที่กององครักษ์?”
เฉาลู่เอ่ยตอบ “ใช่เพคะ คืนแรกที่องค์หญิงไม่อยู่ ราชบุตรเขยมานอนที่เรือนหลัง พวกหม่อมฉันเกือบจะไล่เขากลับไปแล้ว แต่เพราะราชบุตรเขยท่าทางแข็งกร้าวยิ่งนัก พวกหม่อมฉันเลยไม่กล้าพูดอะไร ส่วนเมื่อคืนพวกหม่อมฉันคิดว่าราชบุตรเขยทึกทักเอาเองว่าค่ำคืนจะสามารถอยู่ปรนนิบัติรับใช้องค์หญิงได้ ดังนั้นจึงชักสีหน้าใส่ราชบุตรเขย เฮ้อ องค์หญิง พวกหม่อมฉันไม่รู้จริงๆ ว่าพระองค์เริ่มโปรดปรานราชบุตรเขยแล้ว ราชบุตรเขยคงไม่ได้คิดแค้นผูกพยาบาทพวกหม่อมฉันกระมัง”
พวกนางพำนักอาศัยอยู่ในวังหลวงกับองค์หญิงมานาน มักได้ยินอยู่ตลอดเวลาว่าสนมชายาที่เป็นที่โปรดปรานคอยใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นต่อหน้าฮ่องเต้ ตอนนี้เฉาลู่จึงกลัวราชบุตรเขยจะอาศัยโอกาสตอนกลายเป็นคนโปรดเป่าหูองค์หญิงเล่นงานสาวใช้ไร้มารยาทอย่างพวกนาง
หวาหยาง “…”
กับเฉินจิ้งจง นางน่าจะยังไม่ได้โปรดปรานเขาถึงเพียงนั้นกระมัง อย่างมากก็ดีกว่าชาติที่แล้วนิดหน่อยเท่านั้น
จะเรียกว่าโปรดปรานได้ก็ต้องเหมือนอย่างเสด็จพ่อกับเสด็จแม่นั่น เรื่องเล็กน้อยอันใดล้วนถามไถ่ เรื่องใหญ่ก็ยินดีรับฟังเสด็จแม่ แน่นอนว่าเสด็จพ่อมีสนมชายาคนโปรดอยู่ไม่น้อย เพียงแต่มอบตำแหน่งใหญ่สุดให้เสด็จแม่ก็เท่านั้น
“วางใจเถอะ ราชบุตรเขยไม่ได้เป็นคนใจแคบเช่นนั้น เขาเองก็ไม่มีทางลงโทษพวกเจ้าเพียงเพราะเรื่องเช่นนี้” หวาหยางปลอบใจสาวใช้ของตนเองก่อน
เฉาลู่ถอนหายใจโล่งอก
หวาหยางครุ่นคิดเรื่องที่สิบกว่าวันมานี้เฉินจิ้งจงไม่กลับบ้านต่อ
ชาติที่แล้วนางกลับเมืองหลวง พำนักอยู่ในวังหลวงนานหนึ่งเดือนเต็ม ภายใต้การเร่งรัดของเสด็จแม่หลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายนางถึงได้ยอมกลับมาจวนสกุลเฉินอย่างไม่เต็มอกเต็มใจ เฉินจิ้งจงรับนางกลับจวน หลังจากพักอยู่ในจวนได้สองคืน ต่อมาก็บอกว่าเพราะยุ่งอยู่กับการฝึกทหารที่กององครักษ์ จึงได้แต่จะกลับมาเฉพาะตอนวันหยุดเท่านั้น
หวาหยางเดาว่าคงเพราะเฉินจิ้งจงทนรับสีหน้าเย็นชารังเกียจเดียดฉันท์ของนางไม่ไหวถึงได้ชักสีหน้าใส่นางด้วย นิสัยหยิ่งยโสของเขาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเปลี่ยน
พลบค่ำ ท้องฟ้ายังไม่ทันมืด เฉินจิ้งจงแวะมาที่เรือนหลัง
หวาหยางนั่งรับลมอยู่ใต้เงาไม้ในลาน ฤดูร้อนก็เช่นนี้ มีก็แต่ตอนหัวรุ่งกับยามพลบค่ำเท่านั้นที่พอจะออกมาอยู่ข้างนอกได้
เฉินจิ้งจงนั่งลงอยู่ข้างนางอย่างเป็นธรรมชาติ ยกจานใส่ผลไม้เมล็ดแตงที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้าขึ้น ตนเองกินคำหนึ่ง ป้อนนางชิ้นหนึ่ง
พอเฉาลู่กับเฉาหลานเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจได้ทันทีถึงสถานะใหม่ของราชบุตรเขย พวกนางจากไปอย่างคนรู้ความ
หวาหยางมองเฉินจิ้งจงปราดหนึ่งแล้วเอ่ยถาม “ได้ยินว่าช่วงนี้ท่านวุ่นอยู่กับการฝึกทหารเลยไม่ได้กลับบ้าน”
เฉินจิ้งจงมองนางแล้วเอ่ยตอบ “ฝึกทหารมีอะไรให้ยุ่ง เช้าฝึก ตกค่ำพวกเขาเข้านอน ข้าเองก็ต้องพักผ่อน เพียงแต่องค์หญิงไม่อยู่ ข้าเลยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหนึ่งชั่วยามถ่อกลับมา”
“ดังนั้นหลังจากนี้ท่านจะกลับมาทุกวัน?”
เฉินจิ้งจงกินเสร็จก็ตอบอย่างไม่ต้องหยุดคิด “องค์หญิงมิใช่ทำคืนหนึ่งพักผ่อนคืนหนึ่งหรือไร วันที่องค์หญิงต้องการหยุดพัก ข้าก็จะไปนอนที่กององครักษ์”
ถึงเขาจะมีเรี่ยวแรงมากมาย แต่ก็รู้จักเหนื่อยเป็น ไม่อยากเปลืองแรงเสียเปล่า
หวาหยาง “…”
หยิ่งทะนงอะไร ทุ่มเทให้กับหน้าที่การงานตรงที่ใด ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ไม่ใช่ทั้งนั้น เขามันก็ไม่ต่างอะไรกับสุนัข ขอแค่มีเนื้อกิน จะให้หามรุ่งหามค่ำอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น แต่หากไม่มีเนื้อกินก็จะกลายเป็นตัวเกียจคร้านขึ้นมาทันที!
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนพฤศจิกายน 2568)
Comments
comments
No tags for this post.