บทที่ 1
ต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าสีฟ้าคราม สายลมโชยอ่อนพัดแผ่ว ม่านโปร่งบนศาลาริมน้ำขยับไหว
ที่อยู่หลังม่านโปร่งคือโฉมสะคราญในอาภรณ์งามวิจิตรสองคน พวกนางนั่งสบายๆ อยู่หลังโต๊ะเตี้ยยาวที่มีผลไม้และน้ำชาวางอยู่ ข้างกายมีนางกำนัลห้อมล้อม คอยปรนนิบัติรับใช้อย่างขยันขันแข็ง
ที่อยู่ด้านนอกคือทหารองครักษ์เปลือยอกกำยำสองนาย พวกเขาต่อสู้กันครั้งแล้วครั้งเล่า เม็ดเหงื่อไหลย้อยลงมาตามใบหน้าหล่อเหลาได้สัดส่วน หยดลงบนกล้ามเนื้อล่ำสันของพวกเขา
ขณะที่กำลังโรมรันพันตูอยู่นั้น หนึ่งในนั้นก็ชักมือออกแล้วคว้าเอวบางๆ ของอีกฝ่าย อีกฝ่ายหน้าท้องหดเกร็ง อ่อนไหวดั่งน้ำค้างบนยอดหญ้า ตาทั้งสองข้างลุกเป็นไฟ หายใจฟืดฟาดประหนึ่งสัตว์ป่า
บรรยากาศรอบกายดูเหมือนจะเริ่มร้อนระอุขึ้นมา
หวาหยางโบกพัดทรงกลมในมือเบาๆ เงาพัดบดบังสายตาท่าทีคล้ายไม่แยแสใส่ใจแต่ความจริงกลับชื่นชมหลงใหลของนางไว้
ความจริงก่อนหน้านี้นางชิงชังการต่อสู้ กลิ่นเหงื่อเหม็นของบุรุษทำให้นางรู้สึกรังเกียจขยะแขยง
ทว่าเวลานี้นางกลับรู้สึกว่าภาพตรงหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ที่ปรากฏอยู่ในสมองของนางคือภาพอาชาโจนทะยาน พยัคฆาห้ำหั่นกัน…รวมถึงเฉินจิ้งจง สามีที่ตายไปของนาง
เฉินจิ้งจงรูปร่างสูงเด่นแข็งแกร่งกำยำ ว่ากันว่าเขาเริ่มฝึกฝนการต่อสู้ตั้งแต่อายุหกขวบ บิดาของเขาเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ เป็นเก๋อเหล่า* สองสมัย ส่วนเหล่าพี่ชายก็สอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวนทั่นฮวา ทว่าเฉินจิ้งจงกลับตัดสินใจเดินเข้าสู่เส้นทางทหารอย่างเด็ดเดี่ยว
เขามีสีหน้าเย็นชาทว่ากลับหล่อเหลายิ่งนัก หวาหยางในยามนั้นเพราะชื่นชอบในใบหน้าของเขาจึงเห็นพ้องกับสมรสพระราชทานของเสด็จพ่อและเสด็จแม่
แต่ใครเล่าจะคาดคิด หลังเป็นคู่สามีภรรยากันขึ้นมาจริงๆ แค่ใบหน้าหล่อเหลาเพียงอย่างเดียวกลับไม่พอ วาจากิริยามารยาทของเฉินจิ้งจงแทบเรียกได้ว่าท้าทายขีดความอดทนของนางอยู่ตลอดเวลา
เวลากินอาหารเขาโปรดปรานให้มีสุราจอกเล็กวางอยู่บนโต๊ะตลอด กว่าจะดับกลิ่นไม่พึงประสงค์พวกนั้นได้ก็ไม่รู้ว่าต้องบ้วนปากซ้ำๆ กี่รอบต่อกี่รอบ ทว่าเพราะเฉินจิ้งจงเป็นคนหยาบกระด้าง ทำสิ่งใดล้วนมักขอไปที ดังนั้นยามที่ต้องร่วมเตียงกันนางก็มักจะได้กลิ่นสุราลอยมาจากตัวของเขาที่นอนข้างกันอยู่เสมอ
เฉินจิ้งจงภาคภูมิใจในฝีมือการต่อสู้ของตนเอง เขาฝึกฝนจนร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง กำยำล่ำสันเสียยิ่งกว่าอาชาเหงื่อโลหิต ที่นางเคยพบเห็น ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นเขาเป็นครั้งแรกล้วนต้องเอ่ยปากชมว่า ‘องอาจห้าวหาญ’ ออกมาคราหนึ่ง
เพราะขุนนางบู๊ล้วนชอบออกเหงื่อ ดังนั้นทุกครั้งหลังเฉินจิ้งจงกลับมาจากการปฏิบัติหน้าที่ เขาจึงพากลิ่นเหงื่อกลับมาด้วยเสมอ
ขอเพียงเขารู้จักใส่ใจ ปัญหาอันใดย่อมไม่มี แค่ไม่ต้องให้นางเผชิญหน้ากับกลิ่นเหม็นพวกนั้นก็เป็นอันใช้ได้ ทว่าเฉินจิ้งจงกลับไม่ให้ความสำคัญ บางครั้งก็ลืมสระผมหรือไม่ก็ไม่อาบน้ำเลย ทิ้งตัวนอนลงบนตั่งหอมของนางไปทั้งอย่างนั้น หวาหยางถึงกับรำคาญผิวหยาบๆ และเนื้อหนาๆ ของเขาที่มาทำให้ผ้าปูที่นอนแพรไหมชั้นเลิศของนางเสียหาย
พ่อสามีรวมถึงเหล่าพี่ชายต่างพูดคุยเหตุผลกับเขาอย่างใจเย็น ทว่าเขากลับเมินเฉยเอ่ยปากด้วยถ้อยวาจาเย็นชา ทำเอาบรรยากาศภายในบ้านชะงักงัน นางเองก็พลอยกระอักกระอ่วนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปด้วย
เพราะเรื่องราวหยุมหยิมเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้เกิดขึ้นทุกวันไม่มีหยุดหย่อน หวาหยางจึงยิ่งเห็นเฉินจิ้งจงขัดหูขัดตามากขึ้นทุกที
เฉินจิ้งจงรู้ดีแก่ใจ ทว่าเขาเองก็มีศักดิ์ศรีของตนเองเช่นกัน ดังนั้นคืนค่ำฉันสามีภรรยาระหว่างเขากับนางจึงมีแต่ลดน้อยถอยลง
หวาหยางรู้สึกผิดหวัง นอกจากอีกฝ่ายจะไม่รู้จักใส่ใจนางแล้ว เรี่ยวแรงของเฉินจิ้งจงก็ไม่ต่างอะไรกับวัวที่บ้าคลั่ง ยากเกินกว่าที่นางจะทนรับไหว ทุกครั้งที่นอนค้างอ้างแรมด้วยกัน นางล้วนกรีดร้องจนคอแทบแตก
เป็นสามีภรรยากันมาสี่ปี นางเองก็ชิงชังเขาสี่ปีเช่นกัน
จนกระทั่งเฉินจิ้งจงเสียชีวิตในสนามรบ
บุรุษรูปร่างกำยำที่มักกลับบ้านมาพร้อมเหงื่อเต็มตัวตลอดเวลาผู้นั้นลงไปนอนหลับสนิทอยู่ใต้พื้นพิภพ ไม่มาปรากฏตัวต่อหน้านางอีก
ผู้ตายเป็นใหญ่หลังเฉินจิ้งจงเสียชีวิต หวาหยางก็เลิกถือสากับนิสัยเลวร้ายของอีกฝ่าย ในสมองเหลือก็แต่เรื่องดีๆ ของเขา
อย่างเช่นเขาที่แบกนางเดินอย่างมั่นคงอยู่ท่ามกลางสายฝนที่โถมกระหน่ำ
อย่างเช่นแผ่นอกอันอบอุ่นของเขาในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ
“เป็นอะไรไป ผานผาน เจ้าใจลอยอยู่หรือ”
น้ำเสียงหยอกกระเซ้าดังลอยเข้าหู หวาหยางกลับมาได้สติอีกครั้ง แล้วจึงสังเกตเห็นว่าองครักษ์ทั้งสองต่อสู้ประลองกำลังกันจบแล้ว ตอนนี้กำลังคุกเข่ารอนางตกรางวัลอยู่ข้างนอก
หวาหยางไหนเลยจะยอมให้ท่านอาหญิงที่ชอบประพฤติตนเหลวไหลของนางผู้นี้กระเซ้า นางจีบปากน้อยๆ พูดคล้ายยังไม่หนำใจ “ข้าก็แค่รู้สึกว่าฝีมือของพวกเขาธรรมดา ไม่มีอะไรน่าสนใจนักเท่านั้นเอง จึงใจลอยเผลอคิดถึงเรื่องอื่น”
อันเล่อต้าจ่างกงจู่ ส่งสายตาให้พวกนางกำนัล
นางกำนัลคนหนึ่งเดินออกไปตกรางวัลให้กับองครักษ์ทั้งสอง ก่อนจะบอกให้พวกเขาถอยออกไป
หลังจากองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกจากไป อันเล่อต้าจ่างกงจู่ก็ได้เอ่ยปากกระเซ้าหวาหยางขึ้นมาอีก “พวกเขาเป็นองครักษ์อันดับหนึ่งอันดับสองในจวนข้า แต่เจ้ากลับบอกว่าฝีมือของพวกเขาธรรมดา แต่ก็อย่างว่า ผานผานของพวกเราเคยมีสามีที่เก่งกาจการศึกเช่นนั้น สายตาหากจะสูงส่งบ้างก็ย่อมเป็นเรื่องปกติธรรมดา”
หวาหยางยังคงวางท่าเอ้อระเหยไม่อินังขังขอบ ดูเหมือนว่านางไม่แยแสคำพูดของคนภายนอกที่พูดถึงสามีผู้ล่วงลับของตนเอง
อันเล่อต้าจ่างกงจู่จุปาก “ตายจริง ผานผานของพวกเราปลงได้แล้วอย่างนั้นหรือ”
“คนก็ตายไปตั้งสามปีแล้ว ยังจะจดจำเขาเพื่อการใด”
“บุรุษเสียภรรยา บางคนก็แต่งงานใหม่ภายในสามเดือน เจ้าเป็นถึงพี่สาวแท้ๆ ของฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบัน ในเมื่อตัดใจจากเฉินจิ้งจงได้นานแล้ว เหตุใดยังต้องเลียนแบบหญิงม่ายที่เพียรรักษาพรหมจรรย์เพื่อให้ได้มาซึ่งซุ้มประตูสรรเสริญด้วยเล่า”
“แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยคิดอยากได้ซุ้มประตูสรรเสริญ ทว่ามีเหตุผลอันใดให้ข้าต้องแต่งสามีใหม่ด้วยเล่า หากสามีคนใหม่ก็เป็นพวกไม่รู้จักใส่ใจผู้อื่น ชอบปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ท่วมเหม็นไปด้วยเหงื่อไคลอีก ถึงตอนนั้นข้ามิเท่ากับหาเรื่องให้ตนเองลำบากหรือ”
อันเล่อต้าจ่างกงจู่แย้มยิ้มกล่าวว่า “จริงอย่างที่เจ้าว่า อาหญิงก็แค่ทนเห็นเจ้าที่อยู่ในวัยสาวสะพรั่งนอนโดดเดี่ยวอยู่ทุกค่ำคืนไม่ได้ก็เท่านั้น เจ้าไม่สู้เอาอย่างอาหญิง เลี้ยงดูชายบำเรอไว้ในจวนสักสองสามคน จะเป็นพวกบัณฑิตหน้าหยกหรือบุรุษองอาจห้าวหาญก็ได้ ก่อนนอนก็เรียกตัวมาปรนนิบัติรับใช้ ตื่นก็ค่อยไล่ออกไป เช่นนั้นมีความสุขยิ่งนัก”
หวาหยาง “…”
นางรู้อยู่แล้ว ท่านอาหญิงที่ชอบประพฤติตนเหลวไหลของนางผู้นี้พูดไปพูดมาก็ไม่แคล้วต้องชักจูงให้นางเดินไปบนวิถีทางไม่เป็นโล้เป็นพายเฉกเดียวกันแน่
หวาหยางเป็นคนรักหน้าตา ไม่ปรารถนาจะให้ตนเองต้องมีชื่อเสียงแปดเปื้อนว่าเลี้ยงดูชายบำเรอไว้
หากนางชื่นชอบอะไรเช่นนั้นก็ว่าไปอย่าง เป็นถึงองค์หญิงใคร่ทำสิ่งใดย่อมสามารถทำสิ่งนั้นได้ตามประสงค์ ไม่จำเป็นต้องสนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่น ปัญหาก็คือนางไม่สนใจเรื่องเลี้ยงดูชายบำเรอนั่นเลยแม้แต่น้อย
นั่นก็เพราะนางได้พบเจอบุรุษสามประเภทที่โดดเด่นที่สุดในใต้หล้าแล้ว
ประเภทแรกคือแม่ทัพอย่างเฉินจิ้งจง ทักษะการต่อสู้สูงล้ำเหนือผู้ใด วีรชนผู้กล้าในบทประพันธ์ทั้งหลายล้วนเป็นเช่นนี้
ทว่าวีรชนผู้กล้าเองก็ต้องกินข้าวใช้ชีวิต วีรชนผู้กล้าเองก็มีจุดที่ชวนให้คนรังเกียจชิงชัง
ประเภทที่สองคือบัณฑิตเฉกเช่นพ่อสามี พี่ชายสามีของนางทั้งสอง วิญญูชนผู้อยู่ในกฎเกณฑ์ กิริยาท่าทางงดงาม
ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้สมบูรณ์พร้อมเหมือนอย่างที่เห็น นางเคยเห็นพ่อสามีตกใจงูหนีไปหลบอยู่หลังภรรยา เคยเห็นพี่ชายสามีของนางพวกนั้นตีลังกาหกล้มหกลุก กระเซอะกระเซิงอยู่ท่ามกลางลมฝน
ประเภทสุดท้ายก็คืออดีตฮ่องเต้ เสด็จพ่อของนาง บุรุษผู้อยู่เหนือผู้คนทั่วหล้า
มีเกียรติแล้วเช่นไร เสด็จพ่อผู้ฉลาดปราดเปรื่องมีคุณธรรมดูเหมือนจะเป็นฮ่องเต้ที่ดี ความจริงกลับเป็นเพียงบุรุษที่หลงใหลอยู่กับกามราคะ สุดท้ายก็สิ้นใจอยู่บนเตียงของอิสตรี
สิ่งที่บุรุษในใต้หล้านี้ปรารถนา สูงสุดก็แค่การขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ หรือการได้ตำแหน่งขุนนางระดับสูง บางคนแค่ฝันถึงมัน บางคนใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อพยายามให้ได้มา
บุรุษที่จัดว่าประเสริฐที่สุดทั้งสามประเภท หวาหยางล้วนเคยพบเห็นมาหมดสิ้น บางครั้งนางก็นับถือ บางครั้งก็คิดว่าแค่เท่านั้นเอง
ด้วยเหตุนี้ยังมีบุรุษแบบใดอีกที่จะเข้าตานาง สามารถทำให้นางยินดีร่วมเรียงเคียงหมอนด้วย
ท่านอาหญิงของนางไม่ใส่ใจ หมายใจก็เพียงความสำราญบนตั่งเตียงเท่านั้น
ทว่าหวาหยางใส่ใจ บุรุษที่ไม่เข้าตานาง ไหนเลยจะมีคุณสมบัติใกล้ชิดนาง ขึ้นไปอยู่บนเตียงตั่งของนางได้
ขณะที่สองอาหลานยังคงหัวเราะพูดคุยเรื่อง ‘ชายบำเรอ’ พ่อบ้านเรือนหน้าก็รีบร้อนเดินเข้ามา มองหวาหยางด้วยสายตาเป็นกังวล ก้มหน้ารายงาน
“เรียนต้าจ่างกงจู่ จ่างกงจู่* เมื่อครู่สกุลเฉินได้ส่งคนมาบอก…บอกว่าใต้เท้าราชเลขาธิการ…สิ้นแล้วขอรับ”
เกิดเสียง ‘ตุ้บ’ ดังขึ้น พัดทรงกลมในมือของหวาหยางหล่นตกพื้น หยกที่แขวนอยู่ปลายด้ามแตกเป็นสองเสี่ยง
ราชเลขาธิการเฉิน…บิดาของเฉินจิ้งจง พ่อสามีของนาง
หากจะถามว่าคนที่หวาหยางนับถือมากที่สุดในชาตินี้คือผู้ใด แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นเฉินถิงเจี้ยน พ่อสามีของนางผู้นี้
พ่อสามีของนางเป็นผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ อายุเพียงสิบหกก็สอบผ่านได้เป็นบัณฑิตจวี่เหรินแล้ว พออายุสิบเก้าก็ได้เป็นจ้วงหยวน เพียงช่วงอายุสี่สิบก็ได้เป็นเก๋อเหล่าแห่งสภาขุนนาง
ตอนหวาหยางแต่งเข้าสกุลเฉิน เป็นช่วงที่อดีตราชเลขาธิการชราภาพและล้มป่วยบ่อยครั้ง ทุกคนต่างคิดว่าพ่อสามีของนางต้องรับช่วงดูแลสภาขุนนางต่อเป็นแน่
ในช่วงเวลาสำคัญมารดาของพ่อสามีก็ลาจากโลกนี้ไปกะทันหัน ว่ากันตามระเบียบข้อบังคับ พ่อสามีของนางจำต้องกลับบ้านไว้ทุกข์สามปี
หวาหยางแม้จะเป็นองค์หญิงแต่ก็ต้องติดตามครอบครัวของสามีไปใช้ชีวิตอย่างยากลำบากที่บ้านเกิดของพวกเขาซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายพันหลี่นางแทบจะทนไม่ไหวแล้ว แต่พ่อสามีกลับออกจากเมืองหลวงอย่างสงบเยือกเย็นโดยไม่รู้สึกเสียใจหรือลังเลใจเลยที่ต้องสละตำแหน่งในขณะที่เขากำลังจะไปถึงจุดสูงสุด
หลังการไว้ทุกข์จบสิ้น พ่อสามีของนางก็พาทุกคนกลับมายังเมืองหลวง
ครั้งนี้เขาได้ขึ้นเป็นราชเลขาธิการสภาขุนนางอย่างสะดวกราบรื่น อุทิศตนรับใช้ราชสำนักต่อไปนับแต่นั้น
ตอนเสด็จพ่อสวรรคต อวี้อ๋องก่อกบฏ พ่อสามีของนางวางแผนอยู่ในค่าย ควบคุมราชสำนักภายในอย่างมั่นคง และปราบปรามการก่อกบฏภายนอก
ด้วยเพราะความเคารพเลื่อมใสอีกฝ่ายเช่นนี้ ถึงเฉินจิ้งจงจะตายไป ต่อให้นางย้ายกลับมาพำนักอาศัยยังจวนองค์หญิงของตนเองตามเดิม หวาหยางก็ยังคงรักษาสถานะลูกสะใภ้สกุลเฉินไว้ ทุกครั้งที่พบเจอราชเลขาธิการ นางก็ยังคงเรียกอีกฝ่ายว่า ‘ท่านพ่อ’ ด้วยความเคารพ
พ่อสามีของนางคือเสาหลักของแผ่นดิน ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์!
ดังนั้นหวาหยางจึงไม่เคยคิดว่าหลังจากพ่อสามีตายไปจะมีขุนนางราชสำนักกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นถวายฎีกากล่าวโทษพ่อสามีนาง
และยิ่งนึกไม่ถึงว่าน้องชายนางผู้เป็นฮ่องเต้ที่ให้ความเคารพพ่อสามีมาโดยตลอดจะมีราชโองการริบทรัพย์บ้านสกุลเฉิน
พี่ใหญ่เฉินป๋อจงถูกใส่ร้ายจนต้องเข้าคุกก่อนจะถูกลงโทษจนถึงแก่ความตาย
แม่สามีไม่อาจทนแบกรับความสูญเสียใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นได้ สุดท้ายก็เสียชีวิต
สมาชิกบ้านสกุลเฉินที่เหลือล้วนถูกเนรเทศไปที่ชายแดน
เดือนสิบสองอากาศหนาวเหน็บ หิมะโถมกระหน่ำ
หวาหยางมิอาจนิ่งเฉยดูดาย นางออกจากเมืองหลวงไปอย่างเงียบๆ หยุดรออยู่บนเส้นทางที่บ้านสกุลเฉินจำเป็นต้องเดินผ่าน
นางยืนอยู่ริมถนน สาวใช้ข้างกายเพราะกลัวนางเหน็บหนาวจึงห่มคลุมร่างนางไว้ด้วยเสื้อคลุมหนังสุนัขจิ้งจอกหนาๆ อีกทั้งยังยัดเตาพกสำริดอุ่นร้อนไว้ในอ้อมแขนของนาง
เพียงไม่นานหวาหยางก็เห็นบรรดาญาติที่เคยพูดคุยหัวเราะร่วมกับนางในบ้านเหล่านั้น ทุกคนต่างสวมชุดนักโทษสีขาวเนื้อบาง มือเท้าถูกตีตรวนเดินมุ่งหน้ามาทางนาง
พี่ใหญ่ที่เป็นจ้วงหยวนยามนี้ไม่อยู่แล้ว ส่วนพี่สามอดีตทั่นฮวาที่เคยอบอุ่นอ่อนโยน เจ้าชู้กรุ้มกริ่ม เวลานี้ก็ไม่สดใสเหมือนก่อน ใบหน้าไร้ชีวิตชีวา ทั้งๆ ที่เห็นนาง แต่เขากลับทำเหมือนไม่เห็น
บรรดาพี่สะใภ้ทั้งหลายต่างร่ำไห้หลั่งน้ำตา มิใช่เพื่อตนเอง หากแต่ขอให้นางช่วยทูลต่อฮ่องเต้ให้ทรงเมตตาลูกๆ ของพวกนาง
หวาหยางกับเฉินจิ้งจงเป็นสามีภรรยากันมาสี่ปี ช่วงเวลากว่าครึ่งล้วนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อาภรณ์ไว้ทุกข์ในบ้านหลังเก่า หลังจากนั้นเพราะต้องห่างกันบ่อยครั้งจึงไม่มีทายาทสืบสกุล ทว่านางกลับมีหลานชายสามคน หลานสาวสองคน
ยามนี้พวกเขาเดินผ่านหน้านางไป บ้างก็มีสีหน้าเฉยชา บ้างก็น้ำตาร่วงเผาะราวกับสายฝน
หวาหยางยืนอยู่กลางพายุหิมะ มองดูพี่ชายพี่สะใภ้ที่เคยรู้จักมักคุ้น หลานชายหลานสาวผู้บริสุทธิ์เดินห่างออกไปทีละน้อย สุดท้ายก็ลับหายไปจากสายตา
“หิมะตกหนักแล้ว พวกเรากลับกันเถอะเพคะ” สาวใช้ข้างกายสองตาแดงก่ำ ประคองพานางขึ้นรถม้า
สายตาของหวาหยางจับจ้องไปยังกลางถนนหลวง
หิมะขาวสล้าง รอยเท้ากระจัดกระจาย คาดว่านี่คงจะเป็นร่องรอยสุดท้ายที่บ้านสกุลเฉินทิ้งไว้ในเมืองหลวงแห่งนี้แล้ว
ทว่ารอยเท้าเหยียดยาวนี้ไม่นานก็ถูกหิมะกลบกลืนหมดสิ้น แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นนางก็ยังคงมองเห็นใบหน้าคุ้นเคยเหล่านั้นได้ชัดถนัดตา
‘ดูแลตนเองด้วย ข้าไปล่ะ’
ในวันที่เฉินจิ้งจงนำทัพออกเดินทาง แสงอาทิตย์ยามเช้าหม่นหมอง เขายืนกล่าวอำลานางอยู่เหนือหัวเตียง
‘เจ้าสี่เป็นคนหยาบกระด้าง หากมีอันใดที่ทำให้องค์หญิงไม่สบายพระทัย กระหม่อมจะจัดการลงโทษเขาเอง’
ในวันยกน้ำชา เสียงของพ่อสามีหนักแน่นตรงไปตรงมา
‘เรือนหลังนี้ต่อเติมใหม่ เตียงตู้โต๊ะเก้าอี้หรือก็ทำขึ้นใหม่ หากองค์หญิงมีสิ่งใดไม่พอพระทัย หม่อมฉันจะให้คนมาเปลี่ยน’
เพิ่งย้ายมาอยู่บ้านเก่าได้ไม่ทันไร แม่สามีก็พานางไปดูเรือนพำนักก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยเพราะเกรงว่านางจะไม่คุ้นชิน
‘กระหม่อมพูดไม่เข้าหูเอง ขอองค์หญิงอย่าได้ทรงตำหนิที่น้องสี่โมโหโทโส’
‘องค์หญิงระวัง เจ้าห่านนั่นมันกัดคน!’
‘นี่คือดอกท้อที่ข้าเพิ่งเด็ดมาใหม่ ท่านอาสะใภ้สี่ชอบหรือไม่’
หวาหยางหลับตา
มิควรเป็นเช่นนี้
บทลงเอยของบ้านสกุลเฉินมิควรเป็นเช่นนี้!
บทที่ 2
เมืองหลิงโจว ตำบลสือเฉียว บ้านสกุลเฉิน
คืนค่ำเย็นสบาย จู่ๆ เฉินจิ้งจงก็ลืมตาขึ้น
ภายในเตียงห้องท่ามกลางความเงียบสงัดที่สามารถได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตก มีเสียงกระซิกร่ำไห้แผ่วเบาดังลอยมาจากบนเตียงจริงๆ
เฉินจิ้งจงขมวดคิ้วหงุดหงิด
เขายอมรับ การให้องค์หญิงสูงศักดิ์คนหนึ่งเดินทางไกลพันหลี่ติดตามพวกเขามาไว้ทุกข์ยังบ้านเก่าเช่นนี้นับเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมต่อนาง แม้แต่ชายชาติอาชาไนยหยาบกระด้างอย่างเขาก็ยังทำผิดต่อนาง ทว่านับแต่วันที่เดินทางออกจากเมืองหลวงนางก็เริ่มชักสีหน้าไม่พอใจแล้ว จนถึงวันนี้เวลาก็ผ่านไปสองเดือนกว่า วันเวลาเนิ่นนานเช่นนี้ ต่อให้ทนลำบากไม่ไหวอย่างไรก็ควรยอมรับมันได้แล้ว ไหนเลยจะยังน้อยเนื้อต่ำใจ ดึกดื่นค่อนคืนร่ำไห้กระซิกเช่นนี้ไม่รู้จบรู้สิ้น
เฉินจิ้งจงไม่เข้าใจ
ตอนที่ฮ่องเต้พระราชทานสมรส บ้านสกุลเฉินเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไรนางเลย ตัวเขาผู้นี้ก็เป็นคนที่นางเห็นด้วยตาตนเอง
เรื่องกลับมาไว้ทุกข์ที่บ้านเก่าในครั้งนี้ อันที่จริงตาเฒ่าเองก็เคยเสนอให้นางอยู่ที่เมืองหลวง แต่ไม่รู้นางคิดอะไรถึงเสนอตัวตามมาด้วย
อีกแล้ว น้อยเนื้อต่ำใจอีกแล้ว…
เฉินจิ้งจงลุกขึ้นนั่ง
นางเป็นองค์หญิง บ้านสกุลเฉินใหญ่น้อยล้วนต้องกุลีกุจอเอาใจ ก่อนกลับมามารดาของเขาถึงกับลงมือเขียนจดหมายบอกน้องสะใภ้ที่อยู่ทางนี้ให้จัดเตรียมเตียงห้องหรูหราหลังหนึ่งไว้ให้ก่อนล่วงหน้า
ที่อยู่ด้านในของเตียงห้องคือเตียงหลังหนึ่ง กว้างขวางพอให้คนสี่คนนอนได้อย่างสบายๆ
พื้นกระดานนอกเตียงเองก็กว้างขวางเช่นกัน ด้านหนึ่งวางโต๊ะเครื่องประทินโฉมเล็กๆ ของนางไว้ ส่วนที่อยู่อีกด้านคือกล่องสัมภาระไม้หนานมู่ลายทอง* สองใบ บรรจุทรัพย์สินเงินทองที่นางพกติดตัวมาด้วย
ว่ากันตามหลักแล้วเขาคือราชบุตรเขย มีสิทธิ์เสวยสุขอยู่บนเตียงหลังนี้ร่วมกับนาง ทว่านางกลับรังเกียจชิงชังเขา นี่ก็ผ่านมายี่สิบวันแล้ว แต่วันเวลากว่าครึ่งเฉินจิ้งจงล้วนต้องนอนอยู่บนพื้นกระดานด้านนอกนั่น
ตอนนี้ถึงจะใกล้เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่อากาศก็ยังคงเย็นอยู่ ทว่าร่างกายเขาแข็งแกร่งกำยำ สภาพอากาศจึงไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาแต่อย่างใด
“เหตุใดจึงร้องไห้”
ในห้องมืดสนิท เฉินจิ้งจงเห็นหน้าของนางไม่ชัด เห็นก็แค่เงาร่างเลือนรางเท่านั้น
นางไม่มีท่าทีตอบสนอง ไม่รู้ว่าคร้านเกินกว่าจะสนใจเขาหรือจงใจคร่ำครวญให้เขาฟังกันแน่
เสียงกระซิกร่ำไห้แผ่วเบากระแทกใส่หัวใจเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ต่างอะไรกับผิวน้ำในทะเลสาบที่กระเพื่อมไหวแผ่วเบาทั้งๆ ที่ไม่มีลม สาดซัดเข้าใส่รากไม้หงิกงอสีเข้มของต้นไม้ริมฝั่งที่งอกเงยโผล่พ้นพื้นดิน
ไม่รู้เหตุใดจู่ๆ เฉินจิ้งจงถึงได้นึกถึงท่าทางเยี่ยงดอกสาลี่ต้องหยาดฝนของนางยามพวกเขาสองคนสนิทสนมกันก่อนหน้านี้
ลักษณะนิสัยของนางยามนี้ไม่น่ารักเลยแม้แต่น้อย ทว่าตอนนั้นกลับทำเขาหลงใหลแทบคลั่ง
เฉินจิ้งจงถอนหายใจเดินออกจากเตียงห้อง หยิบกลักจุดไฟที่วางไว้ขึ้นมาจุดตะเกียง
ดวงไฟส่ายไหว แสงไฟเหลืองหรุบหรู่ แต่ความมืดริมหน้าต่างก็ยังถูกขับไล่ออกไปจนสิ้น
ที่ข้างๆ ชั้นวางของสำหรับล้างหน้าบ้วนปากได้เตรียมอ่างน้ำไว้ใบหนึ่ง เดิมเฉินจิ้งจงตั้งใจจะเอาผ้าไปชุบน้ำเย็น แต่พอนึกถึงนิสัยขี้น้อยใจของนางขึ้นมา เขาก็คว้ากาสำริดเก็บความร้อนแล้วรินน้ำร้อนครึ่งกาลงไปในอ่างน้ำเย็น
ครั้นเตรียมน้ำเสร็จเรียบร้อย เฉินจิ้งจงก็มือหนึ่งถือตะเกียง มือหนึ่งถือผ้าหมาดที่บิดน้ำออกเรียบร้อย เดินกลับมาที่เตียงห้องอีกครั้ง
เตียงห้องไม่ต่างอะไรกับห้องขนาดเล็ก ห้อมล้อมแสงไฟอ่อนโยนไว้ภายใน
เฉินจิ้งจงวางตะเกียงลงแล้วหันมองไปที่เตียง
เดิมเขาคิดว่าตนเองจะต้องเผชิญหน้ากับใบหน้าของโฉมสะคราญที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก แต่นึกไม่ถึงว่านางกลับยังคงหลับใหล เสียงร่ำไห้เงียบหายไปแล้ว บนใบหน้างดงามขาวสล้างนั้นยังคงมีหยาดน้ำตาหยดหนึ่งที่ยังไม่ไหลลงมา
นางก็แค่ฝันร้ายอย่างนั้นหรือ
เฉินจิ้งจงยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นมั่นใจว่านางหลับแล้ว เขาก็มองดูผ้าในมือ เพราะไม่อยากปล่อยมันเสียเปล่า จึงนั่งลงข้างเตียงเงียบๆ ค้อมกายช่วยนางปาดเช็ดหยาดน้ำตานั่น
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาว่าผิวพรรณราวกับเทพธิดาของนางนั้นนุ่มนวลเพียงใด เฉินจิ้งจงเคลื่อนไหวแผ่วเบาตามสัญชาตญาณ
หวาหยางรู้สึกได้ว่ามีคนสัมผัสนาง เพียงแต่เพราะยามนี้สมองหนักอึ้ง ร่างกายหรือก็ไร้เรี่ยวแรง จึงไม่ได้ขยับตัว
นางรู้ว่าตนเองล้มป่วยแล้ว
วันที่สองหลังคนในบ้านสกุลเฉินถูกคุมตัวส่งออกนอกเมืองหลวง นางก็ล้มป่วย
หมอหลวงบอกว่าเป็นเพราะนางออกไปยืนตากหิมะท่ามกลางอากาศเหน็บหนาว แต่หวาหยางกลับรู้สึกว่านางเป็นไข้ใจ
นางต้องการช่วยสกุลเฉิน ตอนได้ยินว่าน้องชายผู้เป็นฮ่องเต้คิดจะตรวจสอบริบทรัพย์บ้านสกุลเฉิน นางก็เข้าวังไปก่อนแล้ว
แล้วผลลัพธ์เป็นเช่นไร
น้องชายที่เพิ่งจะปีกกล้าขาแข็งของนางผู้นั้นถึงกับเอ่ยปากบอกว่านี่เป็นเรื่องของแผ่นดิน ห้ามนางก้าวก่าย
หวาหยางไปขอพบเสด็จแม่ ทว่าเสด็จแม่ก็ไม่ต่างอะไรกับนาง ถูกฮ่องเต้ปฏิเสธออกมาด้วยกันทั้งคู่
คำขอร้องจากคนในครอบครัวสองคนไม่เป็นผล เหล่าขุนนางใหญ่ที่มีใจหมายช่วยสกุลเฉินล้วนถูกน้องชายของนางลงโทษต่อว่าต่อขาน
ศพของพ่อสามีกับพี่ใหญ่ยังไม่ทันเย็น สะใภ้และหลานๆ ก็ต่างพากันถูกเนรเทศ พวกเขาร่างกายอ่อนแอ ไหนเลยจะทนความยากลำบากในการถูกคุมตัวเนรเทศออกไปได้
นึกถึงตรงนี้หางตาของหวาหยางก็มีน้ำตาหลั่งริน
ถึงสายสัมพันธ์ระหว่างนางกับคนเหล่านั้นจะไม่ได้ลึกซึ้งอะไรนัก แต่ในเมื่อรู้ดีว่าพวกเขาบริสุทธิ์ นางไหนเลยจะทนนิ่งเฉยดูดายได้
เฉินจิ้งจงมองดูขนตาหนาๆ เปียกชื้นของนางจนลืมการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ
ความจริงเขาไม่เคยเห็นนางหลั่งน้ำตามาก่อน
ไม่ว่าอยู่บ้านสกุลเฉินนางจะได้รับความอยุติธรรมสักเพียงใด แต่ที่นางแสดงออกให้เขาเห็นก็มีแต่ท่าทีเย่อหยิ่งชิงชังเท่านั้น คล้ายแค่มองดูเขาคราหนึ่งก็ทำนัยน์ตานางสกปรกได้แล้ว
ร่ำไห้จะมากจะน้อยก็เป็นการแสดงออกถึงความอ่อนแออย่างหนึ่ง สตรีหยิ่งยโสเช่นนางรู้จักก็แต่เหน็บแนมเยาะเย้ยถากถางข้อบกพร่องของผู้อื่นเท่านั้น เป็นไปได้เช่นไรที่จะรู้จักแสดงความอ่อนแอ
เขามองดูน้ำตาที่หลั่งรินออกมาไม่รู้จักจบจักสิ้น ปาดเช็ดอย่างไรก็ไม่มีวันหมดนั่น ก่อนจะลองเอ่ยปากเรียก “องค์หญิง?”
หลังจากเรียกอยู่สามครั้ง โฉมสะคราญที่กำลังหลับฝันในที่สุดก็ตื่นขึ้น มองมาทางเขาด้วยสายตาที่พร่าเลือนเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
ไม่ว่าจิตใจของเฉินจิ้งจงจะแข็งสักปานใด ยามนี้ก็อ่อนลงหลายส่วนแล้ว เขาถามเสียงแผ่ว “องค์หญิงฝันเห็นอะไรหรือ”
หวาหยางตกตะลึงมองดูคนที่อยู่ตรงหน้า
ถึงจะตายจากกันไปสามปีแล้ว แต่นางก็ยังคงจดจำสามีของตนเองผู้นี้ได้อยู่
เขาสวมเสื้อตัวกลางสีขาว บางทีในนรกคนที่ตายไปแล้วอาจสวมใส่เสื้อผ้าเช่นนี้
ตอนเขายังมีชีวิตอยู่มักปั้นหน้าบึ้งตึง ท่าทางราวกับทุกคนล้วนติดค้างเขา ทว่าเวลานี้เขากลับดูอ่อนโยนลงมาก
หรือว่าคนเมื่อตายไป ไม่ว่าจะเป็นความโกรธแค้นหนักหนาสักเพียงใดก็ล้วนแต่เลือนหายหมดสิ้น?
พวกเขาสามีภรรยาเคยแต่มองหน้ากันด้วยสายตาเดียดฉันท์ ทว่าเวลานี้หวาหยางกลับพบความรู้สึกที่สามารถพึ่งพาได้ในตัวเขา
นางเคยพึ่งพิงเสด็จพ่อ ทว่าเสด็จพ่อกลับวุ่นวายอยู่กับการแสวงหาความสำราญบนตัวสนมนางกำนัล
นางเคยพึ่งพิงเสด็จแม่ ทว่าเสด็จแม่กลับเอาแต่วิตกกังวลครุ่นคิด สนใจก็แต่น้องชายจะควบคุมตำหนักบูรพาอยู่บนบัลลังก์มังกรได้หรือไม่
นับตั้งแต่ออกเรือน นางที่ยามนี้กลายเป็นสตรีที่แต่งงานแล้วคล้ายจำเป็นต้องเติบใหญ่เสียที แม้แต่การออดอ้อนเสด็จแม่ก็ยังกลายเป็นเรื่องเหลวไหล
หวาหยางไม่ชอบเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย นางยังคงปรารถนาจะเป็นองค์หญิงตัวน้อยที่ไม่มีเรื่องอันใดให้ต้องเป็นกังวล ได้รับความรักความเอ็นดูจากเสด็จพ่อเสด็จแม่
หากเฉินจิ้งจงยังมีชีวิตอยู่ นางไม่มีทางเผยตัวตนเช่นนี้ต่อหน้าเขาแน่ แต่เขาตายไปแล้ว ไม่แน่ว่าพอฟ้าสว่างเขาก็จะหายลับจากไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางยังจะต้องใส่ใจอันใดอีก
นางโถมกายเข้าสู่อ้อมแขนของเฉินจิ้งจง ใบหน้าแนบอยู่กับอกแกร่ง มือทั้งสองข้างโอบเอวเขาไว้แน่น
เฉินจิ้งจงตัวแข็งทื่อ
แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีสตรีนางใดโอบกอดเขาเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นตลอดระยะเวลาครึ่งปีหลังแต่งงานกันมา นอกจากตีหน้าปั้นปึ่งใส่เขาแล้ว สิ่งที่หวาหยางทำบ่อยที่สุดคือผลักไสเขาไปข้างนอก
น้ำตาอุ่นร้อนทำเสื้อตัวในบางๆ เปียกชื้น อกแกร่งเย็นเยียบ
เฉินจิ้งจงระงับความรู้สึกสงสัยไว้ชั่วขณะ โอบกอดนางไว้พลางลูบศีรษะนางเบาๆ “ตกลงองค์หญิงฝันเห็นอะไรกันแน่”
หวาหยางตอบอย่างใจลอย “ข้าไม่ได้ฝัน”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเหตุใดถึงร้องไห้เล่า”
หวาหยางตกตะลึง นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองดูบุรุษตรงหน้าพลางถาม “ท่านไม่รู้หรือ”
เฉินจิ้งจงสีหน้างุนงง “รู้เรื่องอะไร”
หวาหยางมองดูสายตาสับสนทว่าสงบนิ่งของเขา ในใจรู้สึกรันทด
ถึงเขากับพ่อสามีมักจะขัดแย้งกันอยู่เป็นประจำไม่ต่างกับน้ำและน้ำมัน ปฏิบัติต่อคนอื่นๆ ในครอบครัวก็ล้วนเพิกเฉยเย็นชา แต่ถึงอย่างนั้นความสัมพันธ์ทางสายเลือดก็ยังคงใกล้ชิดสนิทสนม หากเขารู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงขึ้นกับสกุลเฉิน ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นทุกข์โกรธขึ้งเช่นไร
นอนตายตาหลับมานานหลายปี แล้วมีเหตุผลใดต้องให้เขาทนทุกข์ทรมาน
หวาหยางส่ายหน้า กอดเขาแน่นอีกครั้ง เปลี่ยนเรื่องสนทนา “ท่านมาได้อย่างไร”
เพราะเห็นคนที่ไม่น่าจะได้เห็น หวาหยางจึงคิดว่าตนเองยังคงอยู่ในฝัน
เฉินจิ้งจงงุนงงหนัก ขณะกำลังจะเอ่ยปากถามให้กระจ่าง จู่ๆ นางก็ช้อนมือสั่นระริกขึ้น ลูบไล้ใบหน้าของเขา
เฉินจิ้งจงหายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วง
หวาหยางที่อยู่ในสายตาของเขามีเส้นผมดำขลับยุ่งเหยิง ใบหน้าอาบน้ำตาไม่ต่างอะไรกับดอกโบตั๋นกลีบขาวที่มีหยาดน้ำค้างเกาะอยู่ นัยน์ตาวับวาวเป็นประกายดุจสายน้ำ เขาพูดอะไรไม่ออก
เฉินจิ้งจงงุนงง เขามองเห็นร่องรอยของความรักเลือนรางซึ่งมีค่าและหายากเหมือนหยดน้ำอมฤตของพระโพธิสัตว์กวนอินที่กว่าจะหลั่งรินออกมาสักหยดได้ก็ไม่ใช่ง่าย
เปลวไฟในใจเขาโหมกระพือรวดเร็ว
สติสัมปชัญญะบอกกับเขาว่าไม่ควรคิดอะไรเช่นนั้น ทว่าเขาก็แค่บุรุษหนุ่มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังซึ่งเพิ่งแต่งงานได้สามเดือนก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์คนหนึ่งเท่านั้น
อดทนอดกลั้นมานานเช่นนี้ ร่างกายของเขาย่อมมีท่าทีตอบสนอง
แขนของเขาโอบกระหวัดลงบนเอวของสตรีที่อยู่เบื้องหน้า กระชับร่างของนางเข้าหาตนเอง จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลง
เพิ่งแนบร่างเข้าไปได้ไม่ทันไร ร่างของหวาหยางก็อ่อนระทวยสิ้น
เรื่องบางเรื่องเมื่อได้ลิ้มรสแล้วก็อยากจะลิ้มลองอีก ยิ่งไปกว่านั้นนางก็อยู่ในสถานะม่ายมาแล้วสามปี
ท่ามกลางค่ำคืนที่ยาวนาน หวาหยางที่ขาดคู่มิอาจข่มตาหลับก็จมอยู่ท่ามกลางความทรงจำที่มีเฉินจิ้งจงอยู่ภายใน
ยามนี้สามีภรรยากลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง หวาหยางนึกโมโหที่มิอาจรั้งเขาไว้ได้นาน
นางคล้ายเถาวัลย์ที่อ่อนแอและบอบบาง พยายามอย่างที่สุดที่จะพันเกี่ยวเขาไว้ ไม่ว่าเขาจะองอาจห้าวหาญเพียงใดก็มิอาจสลัดหลุด
นางลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง จนกระทั่งเฉินจิ้งจงจู่ๆ ก็ปิดปากนาง
หวาหยางมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
เฉินจิ้งจงหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เม็ดเหงื่อไหลรินลงมาตามใบหน้าหล่อเหลาดุดัน นัยน์ตาดำขลับอึมครึม ทว่ากลับมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ภายใน
“อย่าส่งเสียง หากดังออกไปตาเฒ่าต้องด่าข้าอีกเป็นแน่”
ช่วงไว้ทุกข์ห้ามแต่งงาน ห้ามกินเนื้อสัตว์ ห้ามดื่มสุรา อีกทั้งยังห้ามสามีภรรยาร่วมหลับนอน
เรื่องบางเรื่องเขากล้าทำกล้ารับ แต่เรื่องเช่นนี้มีแค่สามีภรรยาเท่านั้นที่รู้จะดีกว่า
หวาหยางมองเขาอย่างงงงัน
ตาเฒ่า?
คนที่เรียกพ่อสามีของนางว่าตาเฒ่ามีก็แต่เฉินจิ้งจงเท่านั้น
ทว่าพวกตนสามีภรรยาพบเจอกันในฝัน เฉินจิ้งจงยังต้องกลัวพ่อสามีด้วยหรือ
ความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยเริ่มต้นได้ไม่ทันไรก็ถูกเฉินจิ้งจงทำลายลงจนสิ้นในเสี้ยวอึดใจต่อมา
แสงตะเกียงจากทางด้านนอกสาดส่องเข้ามา เงาร่างของคนทั้งสองทอดลงบนผนังเตียงด้านใน
หวาหยางนอนอยู่ เงาร่างจึงไม่ชัดเจนนัก ตรงกันข้ามกับเฉินจิ้งจงที่ไม่ต่างอะไรกับเสือดาวที่โลดโผนโจนทะยานไม่หยุด
หวาหยางหลับตาอย่างขัดเขิน ทว่าเพียงไม่นานนางก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง จ้องมองดูเงาของเฉินจิ้งจงคล้ายไม่อยากนึกเชื่อ
วิญญาณก็มีเงาด้วยอย่างนั้นหรือ
ร่างของวิญญาณก็ร้อนผ่าวราวกองเพลิง?
ทุกสรรพสิ่งในฝันล้วนเหมือนจริงเช่นนี้?
ความรู้สึกสงสัยเพิ่มพูนมากขึ้นทุกขณะ หวาหยางมองไปยังบุรุษที่อยู่บนตัวนาง
เมื่อสายตาของทั้งคู่สอดประสาน เฉินจิ้งจงคลายมือออก ใบหน้าหล่อเหลาขยับเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วและปิดริมฝีปากของนางอย่างรุนแรงหยาบกระด้างเฉกวัวเคี้ยวโบตั๋น* ไม่ผิดจากทุกครั้ง
หวาหยางไม่ชอบจูบเช่นนี้ ทว่าเขามีเรี่ยวแรงมหาศาลดุจวัว ไม่ว่านางจะผลักดันเช่นไรก็ไม่ได้ผล สุดท้ายก็ได้แต่พินิจพิจารณาสิ่งที่อยู่รอบๆ ต่อ
ม่านมุ้งสีขาว ไม่ใช่เตียงในจวนองค์หญิงของนาง
เสื้อตัวในที่ถูกเฉินจิ้งจงโยนทิ้งก็เป็นสีขาวเช่นกัน ไม่ใช่ชุดที่นางใส่เมื่อคืน
นี่มันเรื่องอะไรกัน
หวาหยางจิตใจว้าวุ่นราวกับด้ายพันกัน เพียงแต่นางไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดถี่ถ้วนละเอียดลออ กว่าเฉินจิ้งจงจะหยุดมือ ท้องฟ้านอกหน้าต่างก็สว่างไสวแล้ว
เขาม้วนเสื้อตัวในเป็นก้อนก่อนจะโยนมันออกไปด้านนอก หลังจากนั้นก็กลับมากอดหวาหยางไว้อีกครั้ง จูบข้างลำคอนางคล้ายแรงปรารถนายังมิสิ้น
หวาหยางตัวแข็งทื่ออยู่เป็นนาน จู่ๆ นางก็คว้าแขนเขาไว้แล้วจิกเล็บเข้าไปอย่างแรง
เฉินจิ้งจงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขณะจะถามว่าเหตุใดถึงต้องทำร้ายกันด้วย เพียงชั่วพริบตาเขาก็จำเรื่องน่าอายที่ตนเองทำลงไปได้ จึงหัวเราะเสียงแผ่วออกมาคราหนึ่ง กอดอีกฝ่ายไว้พลางกล่าวขออภัย
“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น คราวหน้าข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก”
หวาหยางตัวแข็งทื่อยิ่งกว่าเดิม นางหยิกตนเองคราหนึ่ง เจ็บยิ่งนัก
ทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างเจ็บ เช่นนี้ยังเป็นฝันได้อีกหรือไร
เฉินจิ้งจงยังคงปลอบใจนาง “วางใจเถอะ ข้าปลดปล่อยข้างนอก รับรองว่าไม่ตั้งครรภ์”
หวาหยาง “…”
นางผลักชายที่เนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะออก คว้าผ้าห่มผืนบางมาคลุมตัวแล้วเดินลงจากเตียงโดยไม่สวมรองเท้า
ทันทีที่พ้นออกจากเตียงห้อง หวาหยางก็พบว่าที่นี่คือห้องที่มีการจัดวางเรียบง่ายห้องหนึ่ง นางรู้สึกคุ้นตายิ่งนัก
เมื่อเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างหน้าต่าง นางก็ผลักมันออกเบาๆ
ลานเรือนขนาดเล็กปรากฏขึ้นในสายตา ที่อยู่ในแปลงดอกไม้นอกหน้าต่างคือโบตั๋นดอกตูมที่กำลังรอเวลาเบ่งบาน
“เหตุใดถึงไม่นอนต่ออีกสักหน่อยเล่า”
เสียงแหบพร่าทุ้มต่ำของเฉินจิ้งจงดังอยู่ที่ด้านหลัง หวาหยางหันหน้ากลับไปช้าๆ
แสงอรุณแรกยามเช้าผ่านข้างตัวนางไป และตกกระทบที่ร่างของเฉินจิ้งจง
เขาสวมก็แต่กางเกงตัวใน เปลือยอกกำยำล่ำสัน ไหล่กว้าง เอวหน้าท้องเรียวกระชับ
เพิ่งมีอะไรกันไปยกหนึ่ง สีหน้าของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอม เฉินจิ้งจงยืนอยู่ท่ามกลางแสงอรุณ ไม่รู้จักขวยเขิน
หวาหยางพิจารณาดูเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เท้าจรดหัวถึงสามรอบ แต่ก็ไม่พบท่าทีของภูตผีแต่อย่างใด
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 ก.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.