บทนำ
เมื่อหนึ่งพันปีก่อนจั๋วเหวินจวินเคยกล่าวไว้ว่า ‘เพียงขอได้พบใครสักคน ครองคู่กันไปจนผมหงอกขาว’ ฟั่นเฉิงต้าเคยเอ่ยว่า ‘ปรารถนาให้ข้าเป็นดาวท่านเป็นเดือน ส่องสว่างเคียงคู่กันไปในทุกราตรี’ หยวนเจิ่นเคยพูดว่า ‘เมื่อเคยไปเยือนมหาสมุทร นทีใดก็ไม่อาจเทียบ นอกจากเมฆสีรุ้งเหนือภูเขาอูซาน เมฆแห่งอื่นล้วนเผือดสีสัน’ อวี๋เสวียนจีเคยกล่าวว่า ‘หาสิ่งของที่ไม่อาจประเมินค่า ยังง่ายกว่าหาบุรุษผู้มีรักมั่น’ หยวนเฮ่าเวิ่นเคยกล่าวไว้ว่า ‘ถามโลกหล้าความรักคือสิ่งใด ไม่ว่าเป็นตายก็ขออยู่เคียงคู่กัน’
บางครั้งเจี่ยนเหยียนก็เคยคิดเช่นกันว่าบนโลกใบนี้จะมีความรักที่ทำให้คนใจเต้นรัวอยู่จริงหรือ แต่ว่าในฐานะคนที่ข้ามมิติมาจากโลกยุคหลังอย่างนางนั้นไม่เชื่อ
นางเคยมีบิดามารดาที่รักนางดุจสมบัติล้ำค่า พี่ชายที่รักและปกป้องนาง นางเคยมีชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงในยุคประชาธิปไตยซึ่งสังคมเปิดกว้างและเจริญรุ่งเรือง นางเคยเรียนหนังสือ เติบโตขึ้นมา มีคนที่ตนเองแอบรักอย่างมีความสุข นางเคยรับความคิดที่ทันสมัยที่สุดบนโลกใบนี้ เคยเหยียบย่างไปทั่วโลก มองโลกในแง่ดี แต่อยู่มาวันหนึ่งนางก็ข้ามมิติมายังยุคโบราณที่ไม่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์
หญิงสาวที่นี่จะต้องรักษาหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมจะต้องชำนาญด้านพิณ หมากล้อม คัดอักษร วาดภาพ และงานเย็บปักถักร้อย ประตูใหญ่ไม่ออก ประตูเล็กไม่ข้ามการแต่งงานจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของบิดามารดา ทำตามคำพูดของแม่สื่อแม่ชัก สรุปก็คือเมื่อก่อนนางประหนึ่งนกที่โผบินอย่างอิสรเสรีบนผืนนภากว้างใหญ่ ทว่าตอนนี้มีกรงขังกักตัวนางไว้เสียแล้ว ทำให้นางต้องอยู่แต่ในส่วนลึกของจวน เวลากลางวันได้แต่ยืนจับกรอบประตูเงยหน้ามองผืนฟ้าอันห่างไกลและเมฆสีขาวที่เคลื่อนคล้อยผ่าน เวลากลางคืนอยู่กับแสงตะเกียงดวงเล็กดุจเมล็ดถั่ว นั่งฟังเสียงหยาดฝนตกกระทบลงบนใบกล้วยอยู่บนตั่งไม้ข้างบานหน้าต่าง ตอนเที่ยงคืนพลิกร่างกระสับกระส่าย นึกคะนึงหาอดีตมากมายเมื่อภพชาติก่อน
ทุกอย่างประดุจภาพฝันและภาพลวงตา นางเคว้งคว้างสับสนจนไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี ได้แต่คิดว่าตนเองควรจะยอมแพ้ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ยอมรับพันธนาการทุกอย่างที่ยัดเยียดให้นางเป็นเช่นหญิงสาวทุกคนในยุคสมัยนี้ หรือว่าควรยืนหยัดต่อความคิดเดิม พยายามต่อสู้เพื่ออิสรภาพของตนเอง
คำตอบนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน…หากไร้ซึ่งอิสรภาพมิสู้ตายเสียดีกว่า ท้ายที่สุดนางก็ไม่เต็มใจจะยอมแพ้อยู่ดี ดังนั้นจึงพยายามต่อสู้เพื่อผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ ใฝ่หาชีวิตอิสรเสรี ส่วนเรื่องความรักนั้น…นางคิดว่าในยุคสมัยที่บุรุษคิดว่าการมีสามภรรยาสี่อนุเป็นเรื่องปกติลึกถึงกระดูกเช่นนี้ นางจะไปตามหาบุรุษที่ตลอดชีวิตเต็มใจมีนางเพียงผู้เดียวได้อย่างไร อย่างไรนางก็ไม่อยากครอบครองบุรุษร่วมกับหญิงสาวคนอื่น ดังนั้นนางยอมไม่มีความรักเสียเลยดีกว่า
จนกระทั่งนางได้พบกับสวีจ้งเซวียน…
บทที่ 1
ช่วงปลายฤดูหนาวต้นฤดูใบไม้ผลิประเดี๋ยวอุ่นประเดี๋ยวหนาว สะใภ้ห้าจี้ซื่อแม่ม่ายของจวนสกุลสวีแห่งทงโจวกำลังยืนอยู่ด้านหน้าประตูฉุยฮวารอต้อนรับพี่สาวกับหลานชายหลานสาวของนางซึ่งเดินทางมาไกลจากหลงโจว
ประมาณช่วงเที่ยงวัน ในที่สุดก็มีสาวใช้วิ่งเข้ามารายงานว่าพี่สาวกับหลานๆ นางมาถึงแล้ว
จี้ซื่อได้ยินดังนั้นก็รีบเดินอ้อมกำแพงบังตาออกไปต้อนรับทันที
สองพี่น้องไม่ได้พบหน้ากันมายี่สิบกว่าปี ยามนี้ทันทีที่ได้พบหน้าก็จับมือกันแน่น ยังไม่ทันจะพูดอะไรก็ล้วนมีน้ำตาคลอหน่วย ทั้งสองคนต่างได้สาวใช้กับหมัวมัวของตนเองช่วยกันปลอบ จึงพากันหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาที่ปลายหางตา หันไปเอ่ยคำพูดแสดงความคิดถึงอื่นๆ แทน
หลังจากนั้นจี้ซื่อก็มองดูเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเจี่ยนฮูหยินก่อนยิ้มถาม “นี่ก็คือชิงเกอเอ๋อร์กับเหยียนเจี่ยเอ๋อร์ใช่หรือไม่ โตกันเพียงนี้แล้ว”
เจี่ยนฮูหยินมีบุตรชายบุตรสาวอย่างละคน บุตรคนโตเจี่ยนชิงปีนี้อายุสิบแปด เกิดมามีใบหน้ากลม แม้แต่ดวงตาสองชั้นกับจมูกก็ดูกลมมนเช่นเดียวกัน หน้าตาดูธรรมดาสามัญ แต่บุตรสาวของนาง เจี่ยนเหยียน แม้ปีนี้จะเพิ่งอายุสิบสาม ทว่ากลับมีผิวขาวเสียยิ่งกว่าหิมะ รูปโฉมงดงาม จี้ซื่อนึกทอดถอนใจระคนชื่นชมอยู่ในใจ
เจี่ยนชิงกับเจี่ยนเหยียนรีบก้าวขึ้นหน้ามาคารวะจี้ซื่อพร้อมเปล่งเสียงเรียกพร้อมกันว่า “ท่านน้า”
จี้ซื่อประคองทั้งสองคนขึ้นมาพร้อมกัน นางมองเจี่ยนชิงสลับกับเจี่ยนเหยียน ก่อนยิ้มเอ่ยกับเจี่ยนฮูหยิน “ดูดีกันทั้งคู่ราวกุมารทองกุมารีหยกเชียว ข้าไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยชมอย่างไรแล้ว!” ด้านข้างมีสาวใช้ยื่นกล่องผ้าสองใบมารออยู่แล้ว จี้ซื่อจึงรับมายื่นส่งให้เจี่ยนชิงกับเจี่ยนเหยียน “เด็กดี นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากน้า พวกเจ้ารับไปเล่นกันเถอะ”
เจี่ยนชิงกับเจี่ยนเหยียนต่างเอ่ยขอบคุณพร้อมยื่นมือออกไปรับกล่องผ้ามา
ในตอนนี้จี้ซื่อก็หันไปจับมือของเจี่ยนฮูหยิน จากนั้นนำพวกเขาเดินไปยังเรือนเหอเซียง สถานที่พักของตนเอง
รอจนทุกคนนั่งลงเรียบร้อย จี้ซื่อจึงให้สาวใช้ยกชาและกล่องขนมเข้ามาวาง จากนั้นสั่งต่อว่า “รีบไปเรียกอันเกอเอ๋อร์กับหนิงเจี่ยเอ๋อร์มาเร็วเข้า”
สาวใช้ขานรับแล้วออกไป ทางด้านนี้จี้ซื่อกับเจี่ยนฮูหยินนั่งแยกกันอยู่สองฝั่งของตั่งหลัวฮั่นโดยมีโต๊ะไม้ฮวาหลีตัวเล็กคั่นกลาง กำลังพูดคุยถึงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีนี้ เมื่อคุยไปถึงประเด็นที่อ่อนไหว ทั้งสองคนก็ต่างร้องไห้ออกมา
ช่วงเวลานั้นเจี่ยนเหยียนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เหมยกุยตัวที่สองทางซ้ายมือก็ยกถ้วยชาขึ้นมาเปิดฝาออกจิบน้ำชาพลางแอบมองสำรวจจี้ซื่อไปหนึ่งหน…อีกฝ่ายสวมเสื้อตัวยาวสีเขียวอ่อนกึ่งใหม่กึ่งเก่ากับกระโปรงจีบรอบสีงาช้าง คลุมทับด้วยเสื้อตัวนอกสีชมพูหวาน แม้สีจะอ่อนแต่กลับดูอ่อนโยนสง่างามอย่างมาก จากนั้นมองไปทางเจี่ยนฮูหยินที่นั่งอยู่ด้านข้างอีกครา…ทางนี้สวมเสื้อตัวยาวคอปกสีเงินปักลายดอกเบญจมาศดอกใหญ่กับกระโปรงทรงหน้าม้า สีน้ำเงินเข้มอมม่วง ดูงามสว่างไสวสะดุดตา แต่ถึงอย่างไรก็ยังถูกจี้ซื่อข่มลงไปอยู่ดี
เจี่ยนเหยียนขยับปิดฝาถ้วยชาในมือลงเบาๆ ในใจคิดว่า แม้ทั้งสองคนตรงหน้าจะเป็นพี่น้องกัน แต่รูปโฉมกลับไม่เหมือนกันสักนิด ขณะที่จี้ซื่อดูบอบบางอ่อนหวาน มารดาในนามของข้าผู้นี้กลับมีสีหน้าที่ดูเข้มงวด ใจร้าย ไม่น่าคบหาด้วยง่าย ขณะที่คิดเจี่ยนเหยียนก็รับฟังบทสนทนาระหว่างจี้ซื่อกับเจี่ยนฮูหยินไปด้วย
หลังฟังพวกนางสนทนากันไปสักพักเจี่ยนเหยียนถึงได้รู้ว่าที่แท้ในปีนั้นจี้ซื่อก็แต่งให้กับนายท่านห้าสกุลสวี แต่นายท่านห้าสกุลสวีผู้นี้จากไปเร็ว เหลือทิ้งไว้เพียงบุตรชายบุตรสาวฝาแฝดคู่หนึ่งที่ปีนี้อายุครบสิบปีพอดี
ขณะที่เจี่ยนเหยียนกำลังตั้งใจฟังก็เห็นม่านประตูเลิกขึ้น ภายในห้องสว่างขึ้นมาพร้อมได้ยินเสียงสาวใช้เอ่ย “ฮูหยิน คุณหนูกับคุณชายมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
เจี่ยนเหยียนหันมองไปทางประตู นางเห็นเด็กหญิงกับเด็กชายเดินตามกันเข้ามาโดยมีสาวใช้กับบ่าวหญิงอาวุโสจำนวนหนึ่งตามหลังมาประหนึ่งดาวล้อมเดือน
คาดว่าเด็กทั้งสองคนนี้ก็คือบุตรชายกับบุตรสาวของจี้ซื่อ สวีเมี่ยวหนิงกับสวีจ้งอันนั่นเอง
สวีเมี่ยวหนิงหน้าตาน่ารักอ่อนหวาน หลังเข้ามาก็ใช้ดวงตากลมโตมองสำรวจเจี่ยนฮูหยิน เจี่ยนชิง กับเจี่ยนเหยียนไม่หยุด ไม่มีท่าทีขลาดกลัวสักนิดเดียว ขณะที่สวีจ้งอันดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก หลังเดินเข้ามาสายตาก็ไม่ว่อกแว่กไปที่ใด เคร่งครัดตามขนบธรรมเนียม
จี้ซื่อกวักมือเรียกให้สวีเมี่ยวหนิงกับสวีจ้งอันเดินมาตรงหน้า ก่อนชี้ไปทางเจี่ยนฮูหยินแล้วบอกให้พวกเขาเรียกนางว่า ‘ท่านป้า’
สวีเมี่ยวหนิงจึงย่อกายลงพร้อมเอ่ยเรียกเสียงใสว่า “ท่านป้า”
ส่วนสวีจ้งอันก็ประสานมือ เอ่ยออกมาช้าๆ ว่า “ท่านป้า”
เจี่ยนฮูหยินรีบบอกให้เสิ่นมามาคนสนิทของตนเองนำของขวัญแรกพบหน้าออกมามอบให้สวีเมี่ยวหนิงกับสวีจ้งอัน ขณะเดียวกันก็เอ่ยอย่างใจดี “เด็กดี ป้าอยู่ไกล ตอนที่พวกเจ้าเกิดมาป้าไม่สามารถมาดูพวกเจ้าได้ นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของป้า รีบรับไปเถอะ”
สวีจ้งอันกับสวีเมี่ยวหนิงเอ่ยขอบคุณเจี่ยนฮูหยินพร้อมยื่นมือออกไปรับมา
จากนั้นจี้ซื่อก็ยิ้มเอ่ยกับพวกเขาว่า “ยังไม่รีบไปทักทายพี่ชายพี่สาวพวกเจ้าอีกหรือ”
เจี่ยนชิงกับเจี่ยนเหยียนเองก็แยกกันมอบของขวัญแรกพบหน้าให้เช่นกัน สวีจ้งอันและสวีเมี่ยวหนิงต่างได้ถุงพกที่ใส่ทองแท่งเอาไว้สองแท่ง
สกุลสวีแห่งนี้พูดไปก็นับเป็นตระกูลบัณฑิต ทุกวันนี้ยังมีรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายกรมพิธีการอยู่ด้วยผู้หนึ่ง นับได้ว่าเป็นตระกูลชั้นสูง แต่คนที่เจี่ยนฮูหยินแต่งงานด้วยกลับเป็นแค่พ่อค้าผู้หนึ่งเท่านั้น ตอนนี้สามีนางตายไปแล้ว นางพาบุตรชายบุตรสาวมาพึ่งพาอาศัยน้องสาวตนเอง ฝากตัวพักอยู่ที่จวนสกุลสวี ในแต่ละวันอาจต้องดูแลจัดการบ่าวรับใช้บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพื่อไม่ให้คนสกุลสวีพูดกันว่าครอบครัวนางตระหนี่ จนพากันมาดูถูกพวกนาง ดังนั้นตอนออกเดินทางมาจากบ้านเจี่ยนฮูหยินจึงมอบถุงใส่ทองแท่งกับถุงใส่เศษเงินอย่างละหนึ่งใบให้เจี่ยนชิงกับเจี่ยนเหยียนโดยเฉพาะ ทั้งยังกำชับพวกเขาว่าถ้าต้องควักเงินก็ต้องควัก อย่าให้ผู้อื่นดูถูกพวกเขาได้เป็นอันขาด
ในตอนนั้นเจี่ยนเหยียนรับมาทันทีอย่างมีความสุข
นางเป็นคนที่ข้ามมิติมาที่นี่ เมื่อภพชาติก่อนเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ พอลืมตาขึ้นอีกทีก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดที่ตนเองกลายไปเป็นเด็กทารกคนหนึ่งแทน ซ้ำยังเป็นเด็กทารกที่มีคนนอนตายอยู่ด้านข้างด้วย
ตอนนั้นนางหลงคิดว่าตนเองจะต้องตายเหมือนกันแน่ๆ ทว่าคิดไม่ถึงว่าชีวิตจะยังไม่ถึงคราวตาย แม่ชีท่านหนึ่งผ่านมาช่วยชีวิตนางเอาไว้
แต่ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงกลียุค แม่ชีผู้นั้นยังแทบเอาชีวิตตนเองไม่รอด นับประสาอะไรกับเด็กทารกผู้หนึ่ง ดังนั้นเมื่ออับจนหนทางแล้ว แม่ชีผู้นั้นจึงอุ้มนางไปมอบให้เจี่ยนฮูหยินเลี้ยงดู
ยามนั้นเจี่ยนฮูหยินเพิ่งคลอดบุตรสาวคนหนึ่ง แต่คลอดมาได้ไม่กี่วันก็ตายจากไป รวมกับที่บุตรชายคนโตของตนเองมักเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ อยู่เสมอ แม่ชีผู้นั้นจึงอาศัยเรื่องนี้บอกให้เจี่ยนฮูหยินรับเด็กหญิงคนหนึ่งมาเลี้ยงดูเพื่อป้องกันเคราะห์ร้ายให้บุตรชายคนโต และอย่าได้ให้คนอื่นรู้ว่าเด็กหญิงผู้นี้เป็นเด็กเก็บมาเลี้ยงจะดีที่สุด ไม่อย่างนั้นจะป้องกันเคราะห์ให้ไม่ได้
เจี่ยนฮูหยินหลงเชื่อจึงรับเลี้ยงเจี่ยนเหยียนไว้ โดยที่บอกกับคนนอกว่าเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของตนเอง ภายหลังเจี่ยนเหยียนโตขึ้น นางเห็นว่าเจี่ยนเหยียนมีรูปโฉมงดงาม จึงเชิญอาจารย์มากมายมาสอนศาสตร์ด้านพิณ หมากล้อม คัดอักษร และวาดภาพให้นาง รวมไปถึงการร่ายกวีขับร้องเพลง แต่ก็ไม่ได้เกิดจากความปรารถนาดีอันใด เพียงแค่คิดจะเลี้ยงเจี่ยนเหยียนให้เป็นดั่งม้าผอมแห่งหยางโจวคิดว่ารอนางโตขึ้นเมื่อไรก็จะยกให้เป็นอนุของขุนนางสูงศักดิ์สักคนหนึ่ง จะได้ช่วยสนับสนุนสกุลเจี่ยนของพวกนางได้
และเพื่อที่จะทำให้รูปร่างเจี่ยนเหยียนดูอ้อนแอ้น เจี่ยนฮูหยินถึงขั้นกำชับห้องครัวไม่ให้นางกินเนื้อสัตว์ ให้กินแต่อาหารมังสวิรัติเท่านั้น ซ้ำข้าวมื้อหนึ่งยังไม่อาจกินเกินครึ่งชาม ดังนั้นหลายปีมานี้เจี่ยนเหยียนจึงรู้สึกหิวอยู่ทุกวัน
อย่างไรก็ตาม นางตัดสินใจว่าจะไม่มีวันไปเป็นอนุใคร ดังนั้นจึงคิดหาโอกาสที่เหมาะสมหนีไปนานแล้ว แต่การหนีไม่จำเป็นต้องใช้เงินหรือ นางกำลังทุกข์ใจที่ในมือไม่มีเงิน บังเอิญที่เจี่ยนฮูหยินมอบของพวกนี้ให้พอดี ดังนั้นนางย่อมรับเอาไว้อยู่แล้ว
ถุงพกที่ใส่ทองแท่งให้สวีจ้งอันกับสวีเมี่ยวหนิงเป็นถุงที่เจี่ยนเหยียนปักเองกับมือ ทว่าลวดลายของถุงพกไม่เหมือนกัน ถุงพกในมือสวีจ้งอันเป็นลายหมีสยงเมา* กินใบไผ่ ส่วนถุงพกในมือสวีเมี่ยวหนิงคือลายแมวหยอกผีเสื้อ
สวีเมี่ยวหนิงชอบถุงพกใบนี้มากอย่างเห็นได้ชัด นางถือถุงพกไว้ในมือพลางพลิกดูลายแมวกับผีเสื้อไปมา ทั้งยังคอยช้อนสายตามองเจี่ยนเหยียนเป็นพักๆ
เจี่ยนเหยียนเพียงหลุบตาลงยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มทำเป็นมองไม่เห็น
ในตอนนั้นเจี่ยนฮูหยินก็ให้เสิ่นมามานำของขวัญของจี้ซื่อออกมา ทั้งยังให้สาวใช้ยกหีบไม้การบูรใบใหญ่เข้ามา เมื่อเปิดออกก็พบว่าข้างในเต็มไปด้วยกล่องเล็กๆ ที่ห่อเอาไว้เรียบร้อย ล้วนใช้เชือกแดงมัดเอาไว้ ด้านบนแปะกระดาษสีแดงที่เขียนไว้อย่างชัดเจนว่าจะให้ผู้ใด
“กล่องนี้มอบให้ฮูหยินผู้เฒ่า สามกล่องนี้มอบให้ฮูหยินของแต่ละบ้าน ส่วนพวกนี้มอบให้บรรดาคุณชายกับคุณหนู” เจี่ยนฮูหยินมองสาวใช้นำของขวัญเหล่านี้ออกจากหีบมาเรียงได้เต็มโต๊ะพอดีพลางเอ่ยแนะนำไปทีละกล่อง “แค่น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของข้าเท่านั้น รบกวนให้สาวใช้ของเจ้านำสิ่งของเหล่านี้ไปส่งทั้งหมดด้วย” ก่อนชะงักไปแล้วจงใจชี้ไปยังหีบไม้การบูรซึ่งมีกล่องที่ห่อผ้าไว้อย่างดูวิจิตรประณีตสองกล่อง “ส่วนนี่มอบให้คุณชายใหญ่”
จี้ซื่อภายในใจกระจ่างแจ้ง เผยยิ้มเอ่ย “พี่สาวเกรงใจเกินไปแล้วจริงๆ แค่ท่านมาที่นี่ได้ข้าก็ดีใจมากแล้ว จะต้องตระเตรียมของขวัญมากมายเพียงนี้ไปไย คิดเผื่อถึงกระทั่งทุกคนในจวนสกุลสวีอีก” ก่อนกล่าวต่อ “เพราะรู้ล่วงหน้าว่าพี่สาวกับชิงเกอเอ๋อร์และเหยียนเจี่ยเอ๋อร์จะมา ข้าจึงสั่งให้คนไปเก็บกวาดห้องเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หากพี่สาวไม่รังเกียจก็พักอยู่ทางห้องปีกตะวันออกของเรือนข้าเถิด พวกเราพี่น้องจะได้พูดคุยกันสะดวก ส่วนเหยียนเจี่ยเอ๋อร์ให้ไปพักอยู่เรือนแยกทิศตะวันออกเป็นอย่างไร” นางเอ่ยยิ้มๆ พลางหันไปชี้ที่สวีเมี่ยวหนิง “หนิงเจี่ยเอ๋อร์ของข้านิสัยแปลกประหลาดที่สุด นางไม่ยอมพักอยู่ด้วยกันกับข้า เต็มใจจะพักอยู่ในเรือนแยกด้านข้างมากกว่า บอกว่าไม่มีผู้ใดคอยจับตามอง นางไม่ต้องพะวงอันใด ทั้งยังรู้สึกผ่อนคลายเป็นตนเองได้มากกว่า ข้าคิดว่าหากให้เหยียนเจี่ยเอ๋อร์พักอยู่กับพวกเรา เจอหน้าพวกเราตลอดทั้งวัน เกรงว่าจะรู้สึกอึดอัดไม่เป็นตนเองเช่นกัน จึงเก็บกวาดเรือนแยกทิศตะวันออกให้นางพักอยู่เสียเลย ส่วนชิงเกอร์เอ๋อร์ก็ให้ไปพักกับอันเกอเอ๋อร์ที่เรือนหน้า จะได้สะดวกแก่การไปเข้าเรียน พี่สาวเห็นว่าอย่างไรเจ้าคะ”
ส่วนใหญ่ภายในสวนดอกไม้มีแต่หญิงสาวพักอยู่ บุรุษจะพักอยู่ด้านในก็ไม่ค่อยดี นับประสาอะไรกับที่เป็นเพียงญาติกันเท่านั้น เจี่ยนฮูหยินย่อมเข้าใจในเรื่องนี้จึงตอบรับทันที “จัดการเช่นนี้ย่อมดีที่สุดแล้ว”
“พี่สาวกับชิงเกอเอ๋อร์และเหยียนเจี่ยเอ๋อร์เดินทางรอนแรมกันมาไกล ทุกคนคงจะเหนื่อยมากแล้ว พี่สาว ให้ข้าส่งท่านไปพักยังห้องปีกตะวันออกก่อนเถิด หลังท่านพักผ่อนแล้วพวกเราพี่น้องค่อยมาคุยกันต่อ” หลังเอ่ยเช่นนี้นางก็สั่งให้สาวใช้สองคนแยกย้ายกันพาเจี่ยนเหยียนกับเจี่ยนชิงไปส่งที่เรือนแยกทิศตะวันออกกับเรือนหน้าด้วย
เจี่ยนเหยียนจึงลุกจากเก้าอี้เอ่ยลาจี้ซื่อ ก่อนหมุนตัวเดินตามสาวใช้ไปยังเรือนแยกทิศตะวันออก
ที่แท้เรือนแยกทิศตะวันออกแห่งนี้ก็ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเรือนเหอเซียง เป็นเรือนเล็กสามห้องหลักสองห้องรอง เชื่อมติดกับระเบียงทางเดินออกไปข้างนอก ตรงกลางมีประตูเรือนสองบานพับอยู่ ปกติแล้วหากเปิดประตูเรือนสองบานพับไว้ เรือนแยกทิศตะวันออกแห่งนี้ก็จะเชื่อมกับเรือนหลักของเรือนเหอเซียง หากปิดเอาไว้ก็จะเป็นเสมือนเรือนเล็กแยกสันโดษออกมาอย่างไรอย่างนั้น และหากต้องการออกไปข้างนอก หลังเดินผ่านประตูเรือนสองบานพับออกมา แค่เดินคดเคี้ยวทะลุประตูใหญ่ด้านหน้าห้องโถงต่อก็ออกไปได้แล้ว เส้นทางสะดวกอย่างยิ่ง
สาวใช้พาเจี่ยนเหยียนเดินเข้าไปในห้องหลัก ได้เห็นที่บนผนังเบื้องหน้าเป็นหน้าต่างบานใหญ่กรอบบุปผาลายน้ำแข็งร้าว ทาปิดทับด้วยกระดาษสีขาวหิมะ ข้างบานหน้าต่างเป็นโต๊ะยาว ด้านบนวางฉากกั้นเล็กๆ ลายบุปผาสี่ฤดูเอาไว้ แจกันลายเมฆมงคลหลากสีสองใบตั้งเคียงกัน ด้านข้างโต๊ะยาววางโต๊ะสูงสองตัวที่มีกระถางดอกไม้ตามฤดูกาลวางอยู่ข้างบน ถัดจากโต๊ะยาวก็เป็นโต๊ะแปดเซียนสีดำขลับตัวหนึ่ง ด้านข้างโต๊ะแปดเซียนมีเก้าอี้เหมยกุยสองตัว ด้านบนวางเบาะเก้าอี้สาดหมึกเอาไว้
สาวใช้ชี้ไปทางห้องรองฝั่งตะวันออกพร้อมเอ่ย “คุณหนูญาติผู้พี่ ทางนั้นคือห้องนอนของท่านเจ้าค่ะ”
เจี่ยนเหยียนมองตามไป เห็นว่าเป็นห้องที่ใช้ประตูกั้นห้องแปดบานพับกั้นแยกออกมา เมื่อมองผ่านม่านประตูไปพอจะเห็นเลือนรางว่าข้างในวางเตียงไว้หลังหนึ่ง ด้านข้างหน้าต่างวงเดือนวางโต๊ะเครื่องแป้งรวมถึงสิ่งของอย่างอื่นที่ห้องของสตรีในห้องหอควรมีเอาไว้ นางไม่ได้เดินเข้าไปดูในทันที เพียงหันกลับมาผงกศีรษะเอ่ยขอบคุณสาวใช้ ทั้งยังฝากให้อีกฝ่ายบอกต่อไปยังท่านน้าด้วยว่า “ลำบากท่านน้าแล้วที่เก็บกวาดเรือนเงียบสงบเช่นนี้ออกมาให้ข้า รอประเดี๋ยวข้าจะไปขอบคุณด้วยตนเองอีกครั้ง”
สาวใช้รับคำแล้วถอยออกไป
หลังจากนั้นเจี่ยนเหยียนก็สั่งให้ไป๋เวยกับซื่อเยวี่ยสาวใช้สองคนของตนช่วยกันเปิดหีบที่นำมาจากหลงโจวออก เริ่มเก็บข้าวของแต่ละอย่างให้เข้าที่
ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงสาวใช้ที่อยู่ด้านนอกดังขึ้นมาว่า “คุณหนู คุณหนูญาติผู้น้องมาหาเจ้าค่ะ”
สวีเมี่ยวหนิงเดินนำสาวใช้ชิงหยาตรงเข้ามาในเรือนแยกทิศตะวันออก จากนั้นก็กระโดดโลดเต้นมาตรงหน้าเจี่ยนเหยียนอย่างสนิทสนม ก่อนเงยหน้าขึ้นมองนางพร้อมเอ่ยเสียงหวาน “พี่สาว”
เจี่ยนเหยียนเผยยิ้มตอบ ก้มหน้ามองนางพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ว่าอย่างไรน้องสาว”
สวีเมี่ยวหนิงมีสีหน้าซุกซน รอยยิ้มประหนึ่งบุปผา ชุดสีแดงดอกไห่ถังปักลายกิ่งดอกอวี้หลันยิ่งขับให้นางดูน่ารักมากขึ้น สายตาของนางมองสำรวจไปมาบนร่างเจี่ยนเหยียนรอบหนึ่ง ก่อนบนใบหน้าจะเผยรอยยิ้มหวานขึ้นมา คว้าแขนเจี่ยนเหยียนมากอดไว้เอ่ย “พี่สาว ท่านรูปโฉมงดงามจริงเชียว!”
เจี่ยนเหยียนรู้สึกขบขันอยู่ในใจ รอยยิ้มบนใบหน้าไม่ได้ลดลง ทั้งยังยื่นมือไปตบหลังมือสวีเมี่ยวหนิงเบาๆ พลางยิ้มเอ่ยตอบรับนางตามมารยาทต่อไป “น้องสาวเองก็หน้าตาน่ามองมากเช่นกัน” จากนั้นสายตาก็มองเลยไปยังถุงพกลายแมวหยอกผีเสื้อที่สวีเมี่ยวหนิงยังกำแน่นไว้ในมือใบนั้น พู่ห้อยสีแดงด้านบนแกว่งไกวไปมาไม่หยุดตามการเคลื่อนไหวของนาง รอยยิ้มของเจี่ยนเหยียนจึงยิ่งกดลึกมากกว่าเดิม
น้องสาวผู้นี้ของนางดูเหมือนจะชอบถุงพกใบนี้มาก ดังนั้นที่มาตีสนิทกับนางจะต้องมีบางอย่างที่อยากจะพูดหรือเรื่องที่อยากจะขอร้องนางอย่างแน่นอน
ไม่ผิดจากที่คาด ชั่วขณะต่อมาเจี่ยนเหยียนก็เห็นสวีเมี่ยวหนิงยกถุงพกในมือขึ้นพร้อมถามว่า “พี่สาว ท่านเป็นคนเย็บถุงพกใบนี้เองหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว” เจี่ยนเหยียนรู้แจ้งแก่ใจในทันใด ดังนั้นจึงยิ้มผงกศีรษะ “ข้าเป็นคนเย็บเอง มีอันใดหรือ น้องสาวชอบถุงพกใบนี้มากหรือ”
สวีเมี่ยวหนิงรีบผงกศีรษะทันที “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้าชอบมาก ชอบมากๆ ไม่ทราบว่าพี่สาวยังมีลายอื่นที่น่าสนใจกว่านี้หรือไม่”
“ไป๋เวย” เจี่ยนเหยียนกลั้นยิ้ม หันหน้ากลับไปสั่งไป๋เวยที่ยืนอยู่ด้านข้าง “ข้าจำได้ว่าถุงพกที่ข้าปักตอนอยู่บ้านล้วนเก็บไว้ในกล่องสีดำวาดลายเป่าขลุ่ยเรียกหงส์ เจ้าไปหาถุงพกที่ปักลายแมวกวักออกมาให้ญาติผู้น้องเถอะ”
ไป๋เวยขานรับ นางหันตัวกลับไปค้นหาของจากในหีบสักพักก็หยิบกล่องสีดำขลับวาดลายใบนั้นออกมา จากนั้นเปิดค้นอยู่ครู่หนึ่งจึงประคองสองมือยื่นถุงพกใบนั้นไปให้
สวีเมี่ยวหนิงรีบยื่นมือออกมารับไว้ทันที
ถุงพกใบนี้ไม่ได้เป็นทรงรี ทรงสี่เหลี่ยม หรือทรงน้ำเต้าตามแบบทั่วไป กลับเย็บออกมาเป็นทรงแมวกวักกลมๆ ดูแล้วน่ารักน่าชังอย่างมาก
สวีเมี่ยวหนิงชอบมากอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มบนใบหน้าดูสดใสจริงใจมากกว่าตอนเรียกนางว่า ‘พี่สาว’ เมื่อครู่นี้มากนัก
“พี่สาว นี่เป็นแมวอะไรกัน มีอยู่ที่ใดหรือ ข้าจะให้ท่านแม่ไปซื้อมาให้ข้าเลี้ยงสักตัว”
เจี่ยนเหยียนเงียบไปครู่หนึ่ง ในใจคิดว่า ถึงอยากเลี้ยงก็คงเป็นไปไม่ได้ ทว่าหากมีโอกาสได้รู้จักช่างหลอมเครื่องเคลือบ อาจให้พวกเขาหลอมตัวหนึ่งออกมาให้เจ้าเล่นได้
นางได้แต่เอ่ยอธิบายว่า “แมวกวักตัวนี้เป็นแมวที่ข้าเย็บออกมาเพื่อผ่อนคลายยามเบื่อหน่าย ในความเป็นจริงไม่ได้มีแมวเช่นนี้” ทั้งยังพูดกับสวีเมี่ยวหนิงต่อว่า “ดูสิ แมวกวักยกขาหน้าขวาขึ้นหมายถึงกวักเรียกเงินทอง ยกขาหน้าซ้ายขึ้นคือกวักเรียกความสุข เมื่อยกทั้งสองขาขึ้นมาก็คือกวักเรียกทั้งเงินทองและความสุข กระดิ่งทองคำที่ห้อยไว้ตรงหน้าอกมันก็มีไว้เพื่อกวักเรียกเงินทองและความสุขเหมือนกัน”
หลังได้ยินเช่นนั้นสวีเมี่ยวหนิงก็ยิ่งดีใจมากขึ้นกว่าเดิม
“พี่สาว” สวีเมี่ยวหนิงเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้ายินดี “ถุงพกที่พี่สาวเย็บดูดีกว่าถุงพกที่พี่เซวียนเย็บมากนัก! พี่เซวียนเย็บแต่พวกดอกไม้เอยผีเสื้อเอย ไม่เคยเย็บแมวกวักอะไรเช่นนี้มาก่อน” ก่อนนางจะชะงักไปแล้วเอ่ยต่อ “อีกอย่างของทุกอย่างที่พี่เซวียนทำมาก็มีแต่มอบให้น้องหญิงสี่ ไม่เคยให้ข้า ฮึ! ไว้วันพรุ่งนี้ข้าจะเอาแมวกวักตัวนี้ไปให้น้องหญิงสี่ดู บอกให้นางรู้ว่าข้าไม่เสียดายของที่พี่เซวียนเย็บปักเหล่านั้นหรอก!”
เจี่ยนเหยียนได้ยินก็รู้สึกขบขัน ที่แท้ก็เป็นการโอ้อวดกันระหว่างเด็กหญิงนี่เอง
สวีเมี่ยวหนิงชื่นชอบถุงพกทั้งสองใบมาก จึงตัดสินใจห้อยทั้งสองใบเอาไว้ที่เอวอย่างไม่สนใจอะไร และดูเหมือนภายหลังจะรู้สึกว่าอยู่ดีๆ รับถุงพกของเจี่ยนเหยียนเอาไว้สองใบพร้อมกันดูไม่ค่อยเหมาะสม จึงแกว่งมือนางไปมาพลางถาม “พี่สาว ตอนนี้ท่านยุ่งหรือไม่ หากไม่ยุ่งข้าจะพาท่านไปเดินเล่นภายในสวนเจ้าค่ะ” แม้สวีเมี่ยวหนิงจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสอบถาม ทว่ากลับจูงมือเจี่ยนเหยียนเดินออกไปข้างนอกแล้ว
เจี่ยนเหยียนไร้ทางเลือก อีกทั้งนางรู้สึกว่าการได้ออกไปเดินเล่นก็ไม่เลวเช่นกัน ประการแรกจะได้เดินชมสวนดอกไม้ด้านหลังของจวนสกุลสวี ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมล่วงหน้า ประการที่สองยังหาโอกาสหลอกถามสวีเมี่ยวหนิงเพื่อจะได้รับรู้ความสัมพันธ์ของคนในสกุลสวีด้วย ต้องรู้ว่าความสัมพันธ์ของคนในตระกูลใหญ่นั้นซับซ้อนมาก ไม่ทันระวังเพียงนิดก็อาจยุ่งยากได้
ดังนั้นนางจึงปล่อยให้สวีเมี่ยวหนิงดึงตนเองเดินออกไปนอกเรือน ระหว่างนั้นก็หันหน้ากลับไปสั่งไป๋เวยว่า “เจ้ารออยู่ที่นี่ จัดเก็บข้าวของที่พวกเรานำมาให้เรียบร้อย ส่วนซื่อเยวี่ย เจ้าตามข้ากับคุณหนูญาติผู้น้องออกไปเดินเล่น”
หลังออกมาจากประตูเรือนเล็กสวีเมี่ยวหนิงก็ชี้ไปข้างหน้าพร้อมเอ่ย “พี่สาว ทางด้านนั้นก็คือเรือนแยกทิศตะวันตกที่ข้าพักอยู่ หากท่านไม่มีอะไรทำก็ไปหาข้าได้นะเจ้าคะ”
เมื่อมองผ่านต้นไม้ดอกไม้อันอุดมสมบูรณ์ในลานเรือนไป ก็พอจะมองเห็นประตูเรือนสองบานพับที่เหมือนทางเรือนนางไม่ผิดเพี้ยนได้
เจี่ยนเหยียนยิ้มรับปาก
สวีเมี่ยวหนิงดีใจมาก แล้วก็จูงมือนางเดินไปตามระเบียงทางเดินต่อ เพียงไม่นานก็ออกมาจากประตูใหญ่ของเรือนเหอเซียง เมื่อเดินไปทางขวาอีกไม่ไกลก็ได้เห็นสระน้ำขนาดใหญ่
บริเวณริมฝั่งปลูกต้นหลิวกับต้นท้อเอาไว้ คาดว่าเมื่ออากาศอบอุ่นมาเยือน ภาพของดอกท้อแดงคู่ใบหลิวเขียวจะต้องเป็นทัศนียภาพที่ดีมากแน่นอน
สวีเมี่ยวหนิงชี้ไปยังสระน้ำ “เมื่อฤดูร้อนมาถึง ภายในสระจะเต็มไปด้วยใบบัว ดอกบัวบาน งดงามยิ่งนัก! พี่สาว ถึงเวลานั้นพวกเรามาชมดอกบัวด้วยกันดีหรือไม่เจ้าคะ”
เจี่ยนเหยียนย่อมตอบรับว่า “ดีสิ”
สวีเมี่ยวหนิงมีความสุขอย่างมาก
เจี่ยนเหยียนเห็นสวีเมี่ยวหนิงมีความสุขเช่นนี้ ในใจก็คิดไปว่าเด็กคนนี้ทำตัวเหมือนคนไม่มีญาติพี่น้อง ตอนนี้พอมาเจอสหายที่เล่นด้วยได้ถึงมีความสุขมากเพียงนี้อย่างไรอย่างนั้น ดังนั้นนางจึงลองถามเกี่ยวกับพี่น้องของสวีเมี่ยวหนิงดู และเมื่อถามดูจึงได้รู้ว่านางมีพี่ชายสามคน พี่สาวสองคน น้องชายหนึ่งคน และน้องสาวอีกหนึ่งคน
แน่นอนว่าน้องชายบิดามารดาเดียวกันมีเพียงสวีจ้งอันเท่านั้น คนอื่นๆ ล้วนเป็นพี่น้องคนละพ่อคนละแม่ทั้งสิ้น ส่วน ‘น้องหญิงสี่’ ที่สวีเมี่ยวหนิงเคยเอ่ยถึงผู้นั้นมีนามว่า ‘สวีเมี่ยวจิ่น’ เป็นลูกของบ้านใหญ่ ตอนนี้ก็อายุสิบปีเช่นกัน อายุน้อยกว่าสวีเมี่ยวหนิงแค่สองเดือนเท่านั้น แม้ปกติทั้งสองคนจะเล่นด้วยกันได้ แต่น่าเสียดายที่น้องหญิงสี่สุขภาพอ่อนแอตั้งแต่เกิด จึงไม่ค่อยได้ออกมาเล่นข้างนอกมากสักเท่าไร
ขณะที่พี่สาวสองคนล้วนเป็นลูกของบ้านรอง คนหนึ่งเกิดจากภรรยาเอก นามว่า ‘สวีเมี่ยวหวา’ อีกคนเกิดจากอนุภรรยา นามว่า ‘สวีเมี่ยวหลัน’ ทว่าพี่สาวคนโตมีนิสัยเย่อหยิ่งมาก ดูถูกเด็กไม่มีบิดาอย่างนาง ปกติจึงไม่ค่อยจะเล่นกับนางเท่าไร ส่วนพี่สาวคนรองก็เหนียมอายยิ่ง ถามออกไปสามประโยคนางอาจไม่ตอบกลับมาสักประโยค อยู่ด้วยกันก็เล่นไม่สนุก ยังมีญาติผู้พี่อีกคน นามว่า ‘อู๋จิ้งเซวียน’ เป็นหลานสาวทางบ้านสกุลเดิมของท่านย่า แต่ปกติแล้วพี่เซวียนผู้นี้จะสนิทแต่กับพี่หญิงใหญ่และน้องหญิงสี่ ไม่ค่อยมาเล่นกับนางเท่าไร ถุงพกที่ปักก็มอบให้แต่น้องหญิงสี่ไม่มีให้นาง ส่วนบรรดาพี่ชายน้องชาย พวกเขาล้วนต้องไปเรียนหนังสือ ไม่มีเวลามาเล่นเป็นเพื่อนนาง
สวีเมี่ยวหนิงยิ่งเล่ายิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ราวกับหลายปีมานี้ตนเองอยู่ตามลำพังมาโดยตลอด แต่สุดท้ายนางก็ได้มีความสุขขึ้นมาเสียที จึงกอดแขนเจี่ยนเหยียนพลางยิ้มเอ่ย “พี่สาว ข้ารู้สึกชอบท่านตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นท่านแล้ว หลังจากนี้พวกเรามาเล่นด้วยกันนะเจ้าคะ!”
เจี่ยนเหยียนหัวเราะไปกับคำพูดของสวีเมี่ยวหนิง ก่อนยกมือขึ้นลูบศีรษะนางเบาๆ ยิ้มรับปาก “ได้สิ หลังจากนี้เมื่อใดที่เจ้ารู้สึกเบื่อหน่ายก็มาหาข้าได้เสมอ”
ทั้งสองคนเดินเลาะริมฝั่งไปพลางพูดคุยกันไป สวีเมี่ยวหนิงชี้ไปยังเรือนเล็กสองเรือนที่ฝั่งตรงข้าม “ผู้ที่พักอยู่ในเรือนถังหลีคือพี่เซวียน ส่วนในเรือนจิ้งอี๋คือพี่หญิงรองของข้า” จากนั้นก็ยื่นมือชี้ไปทางด้านหน้าของตนเอง แล้วชี้ไปที่ด้านหลังต่อ “ตรงนั้นคือเรือนอีหลันซึ่งพี่หญิงใหญ่ของข้าพักอยู่ อยู่ไม่ห่างจากเรือนเหอเซียงของพวกเรานัก ส่วนน้องหญิงสี่ข้าพักอยู่ในเรือนหนิงชุ่ยทางด้านข้างป่าเหมยเจ้าค่ะ”
ครั้นเมื่อเจี่ยนเหยียนมองดู…ยอดเยี่ยม ยามนี้พวกข้าอยู่ห่างจากเรือนหนิงชุ่ยไม่ไกลแล้ว ยืนอยู่ตรงนี้ยังมองเห็นประตูเรือนได้ คาดว่าเด็กหญิงผู้นี้น่าจะมีความคิดจะนำถุงพกทั้งสองใบไปโอ้อวดให้น้องหญิงสี่ของนางดูอยู่
ไม่ผิดจากที่คาด ชั่วขณะต่อมาเจี่ยนเหยียนก็ได้ยินสวีเมี่ยวหนิงเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “พี่สาว พวกเราเดินมานานเพียงนี้ก็เหนื่อยแล้ว มิสู้ไปนั่งพักที่เรือนน้องหญิงสี่กันดีหรือไม่”
เจี่ยนเหยียนนั้นอย่างไรก็ได้ ในเมื่อนางมาถึงสกุลสวีแล้ว ไม่ช้าไม่เร็วนางย่อมได้เจอกับสมาชิกทุกคนในครอบครัวนี้แน่ มิสู้ทำความรู้จักไปทีละคนตั้งแต่ตอนนี้เสียเลย อย่างไรก็มีสวีเมี่ยวหนิงอยู่ เด็กหญิงผู้นี้มีไหวพริบ มีอีกฝ่ายคอยแทรกอยู่ตรงกลาง ไม่แน่ว่าไม่นานนางกับสวีเมี่ยวจิ่นอาจสนิทสนมกันแล้วก็เป็นได้ จะได้ไม่ต้องลำบากหากภายหลังไปพบสวีเมี่ยวจิ่นตามลำพังแล้วไม่รู้ว่าควรจะตีสนิทอย่างไรดี
ดังนั้นเจี่ยนเหยียนจึงเดินไปทางเรือนหนิงชุ่ยด้วยกันกับสวีเมี่ยวหนิง
ทว่ายังไม่ทันเดินไปถึงก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดดังขึ้นกะทันหัน ประตูเรือนสองบานพับที่ปิดสนิทถูกเปิดออกจากด้านใน มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินนำออกมาก่อน
เมื่อเจี่ยนเหยียนช้อนสายตาขึ้นมองก็ได้เห็นว่าบุรุษผู้นั้นอายุประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี สวมชุดสีเทาอ่อน บริเวณปกเสื้อกับชายแขนกุ๊นด้วยผ้าสีคราม รูปร่างผอมเพรียว รูปโฉมหล่อเหลา ส่วนเด็กสาวผู้นั้นอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี สวมเสื้อสีงาช้าง กระโปรงสีฟ้าอ่อน คลุมทับด้วยเสื้อกันลมสีแดงลายก้านดอกบัว ดูงามสง่าอย่างมาก
ช่างเป็นคู่สร้างคู่สมกันจริงๆ เจี่ยนเหยียนนึกชื่นชมอยู่ในใจ ก่อนปลายหางตาจะเหลือบไปเห็นว่าสวีเมี่ยวหนิงที่ร่าเริงมาตลอดทางกลับเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าลงไปจนหมด ยืนประสานมือเรียบร้อยอยู่ตรงนั้น พร้อมทั้งเอ่ยเรียกเสียงเบาออกไปว่า “พี่ใหญ่”
ดังนั้นเจี่ยนเหยียนจึงได้รู้ว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้าก็คือคุณชายใหญ่สกุลสวี ‘สวีจ้งเซวียน’
นางรู้มาตั้งแต่ตอนอยู่บ้านเดิมแล้วว่าสวีจ้งเซวียนเป็นบุคคลสำคัญในกลุ่มคนรุ่นหลังของสกุลสวี ตอนนี้ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายกรมพิธีการ ขุนนางลำดับหลักขั้นสามแล้ว เพียงแต่นางไม่เคยนึกมาก่อนว่าเขาจะอายุน้อยเพียงนี้
ด้วยความประหลาดใจนางจึงมองสวีจ้งเซวียนนานขึ้น นึกไม่ถึงว่าเขาจะหันมามองนางกับสวีเมี่ยวหนิงพอดี ทั้งสองคนจึงสบตากันเข้าเต็มๆ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 มี.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.