บทที่ 3
เฉินจิ้งจงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหวาหยาง ด้วยความสูงที่แตกต่างกันทำให้ใบหน้าของนางอยู่ระดับเดียวกับอกร้อนผ่าวของเขา
ต่อให้ร่างกายกำยำงดงามนี้เป็นของผู้เป็นสามี หวาหยางก็ยังคงไม่ถึงขั้นจับจ้องมองดูมันได้อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ก็เหมือนกับองครักษ์ในจวนท่านอาหญิงของนางที่ต้องแขวนม่านโปร่งบางบังขวางไว้ชั้นหนึ่ง
นางเบนสายตาหลบ มือข้างหนึ่งกุมผ้าห่มผืนบางบนตัวไว้
ผ้าห่มสีขาวปักลายดอกโบตั๋นอย่างประณีตงดงามถูกนางหยิบขึ้นมาห่มห่อร่างกายไว้อย่างไม่ใส่ใจ แต่กลับดูงดงามราวกับเทพธิดาลงมาจากสวรรค์
ทว่าใบหน้าของนางกลับแดงระเรื่อ เส้นผมเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อขดม้วนแนบอยู่ข้างแก้ม
เฉินจิ้งจงคิด นี่คือช่วงเวลาที่นางงดงามอ่อนโยนน่าพิสมัยที่สุด คล้ายสตรีทั่วไปนางหนึ่ง มิใช่องค์หญิงที่มักวางท่าใหญ่โตอยู่เป็นนิจ
“วิ่งลงจากเตียงมาเช่นนี้ องค์หญิงไม่หนาวหรือ”
สายตาของเขากวาดมองฝ่าเท้าเล็กขาวเนียนดั่งหยกของนาง เฉินจิ้งจงจู่ๆ ก็ค้อมเอวช้อนร่างของนางขึ้น อุ้มไว้ในอ้อมแขน
ถึงจะเป็นสามีภรรยากัน ทว่าเฉินจิ้งจงทำสิ่งใดล้วนดูสีหน้านาง หากนางไม่ชอบเขาย่อมไม่เข้าใกล้ ทว่าหากนางมอบรอยยิ้มให้เพียงน้อย เขาก็พร้อมจะกดคนลงบนเตียง ถึงจะไม่ใช่พวกบีบบังคับฝืนใจให้อีกฝ่ายยอมมีอะไรกับเขา แต่หากโอกาสมาถึง เขาไหนเลยจะสะกดกลั้นอยู่
เขาเป็นมนุษย์ปุถุชน มิใช่ภิกษุ
เมื่อคืนก่อนเข้านอนนางโมโหเพราะพบเจอลูกงูตัวหนึ่งเข้า เฉินจิ้งจงย่อมรู้ตัวว่าตนเองต้องลงไปนอนอยู่บนพื้นกระดาน
ทว่าพอตกค่ำนางกลับเป็นฝ่ายมอบกายเข้าสู่อ้อมแขนของเขา ลูบไล้ใบหน้าของเขา ยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี เฉินจิ้งจงที่สุขสบายทั้งกายใจ ไหนเลยจะตัดใจปล่อยให้คู่เรียงเคียงหมอนของตนนอนหนาวเพียงลำพังได้
หวาหยางจิตใจสับสน ครั้นตระหนักได้ว่าเฉินจิ้งจงกำลังอุ้มตนเองกลับเตียง นางก็ขัดขืนเบาๆ มือข้างหนึ่งยันอกเขาไว้ มืออีกข้างชี้ไปที่หน้าต่าง
“ฟ้าสว่างแล้ว”
เฉินจิ้งจงผินหน้า ใบหน้าหล่อเหลางดงามสว่างกระจ่างอยู่ใต้แสงตะวัน
เขาเข้าใจความหมายของนางผิด ยิ้มกล่าวว่า “ข้าก็แค่อุ้มองค์หญิงกลับไปเท่านั้น ไม่ได้คิดจะเริ่มใหม่อีกครั้ง”
หวาหยางพยายามควบคุมความคิดอ่านไม่ให้ถูกอีกฝ่ายชักใบให้เรือเสีย นางสังเกตดูบุรุษตรงหน้า “ท่านไม่กลัวหรือ”
“กลัวอะไร”
ขณะที่หวาหยางกำลังคิดจะเปิดโปงฐานะ ‘ภูตผี’ ของอีกฝ่าย จู่ๆ ก็มีเสียง ‘ฮัดเช่ย’ ดังมาจากในลาน นางชะโงกหน้ามองไป เห็นเจินเอ๋อร์สาวใช้ตัวน้อยยืนปิดปากท่าทางตื่นตระหนกอยู่ที่นอกครัว เฉาเยวี่ยสาวใช้รุ่นใหญ่หันหลังให้นาง คล้ายกำลังสั่งสอนเจินเอ๋อร์อยู่
อาศัยจังหวะที่พวกนางยังไม่ทันมองมาทางนี้ หวาหยางยกเท้าขวาขึ้นอย่างรวดเร็ว ปลายเท้าเขี่ยปิดหน้าต่าง จะได้ไม่มีใครเห็นพฤติกรรมไม่งามระหว่างนางกับเฉินจิ้งจง
น่องเรียวงามขาวสล้างปรากฏต่อสายตา แววตาของเฉินจิ้งจงหม่นหมองลงอีกครั้ง
น่าเสียดายที่ไม่อาจทำอะไรได้อีก
เฉินจิ้งจงวางนางกลับลงไปบนเตียงห้อง ครั้นเห็นนางหดขากลับเข้าไปใต้ผ้าห่มคล้ายไม่ต้องการให้เขาดูมันอีกก็ยิ้มถาม
“จะให้ข้าช่วยองค์หญิงแต่งกาย หรือจะให้เรียกพวกสาวใช้เข้ามาดี?”
หวาหยางจ้องมองเขา “ถ้าพวกนางเข้ามา ท่านจะไปใช่หรือไม่”
เฉินจิ้งจงสีหน้าพิลึกพิลั่น “องค์หญิงต้องการให้ข้าอยู่?”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาย่อมต้องออกไปเพราะไม่ปรารถนาจะเห็นสีหน้าเย็นชาของนาง
ขณะที่หวาหยางกำลังจะพยักหน้า จู่ๆ นางก็นึกถึงเสื้อผ้าสกปรกที่เขาทิ้งไว้บนพื้นได้
“อยู่เถอะ แต่อย่าให้พวกนางเห็น อีกอย่างเก็บเสื้อผ้าของท่านไปด้วย”
นางใจกล้า แต่สาวใช้พวกนั้นต้องกลัวภูตผีแน่
เฉินจิ้งจงคิดว่านางเขินอายที่จะให้พวกสาวใช้เดาเรื่องความสนิทสนมที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ได้ จึงตกปากรับคำทันที ไม่เสียเวลาครุ่นคิดอื่นใด
ครั้นไม่พบอีกฝ่ายปรากฏต่อสายตา หวาหยางก็หยิบเอาเสื้อตัวในที่หลุดลุ่ยอยู่บนเตียงขึ้นมาสวม แสร้งทำเป็นคล้ายเพิ่งตื่นนอน สั่นกระดิ่งทองที่วางอยู่ข้างเตียงเป็นประจำ
เฉาอวิ๋นที่รับหน้าที่อยู่เวรตอนกลางคืนเดินเข้ามา นางเลิกม่านโปร่งขึ้น
หวาหยางพบว่าอีกฝ่ายแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันเรียบๆ สะอาดตา เสื้อเขียวกระโปรงเขียว บนผมมีปิ่นไม้ปักอยู่อันหนึ่ง
หวาหยางให้ความสำคัญกับความงามยิ่งยวด ไม่ยอมให้การประทินโฉมของตนเองมีอันใดผิดพลาด ยิ่งกับสาวใช้ข้างกายก็ยิ่งเข้มงวด การแต่งกายในชีวิตประจำวันของเฉาอวิ๋นและเฉาเยวี่ยล้วนไม่มีอันใดแตกต่างจากคุณหนูตระกูลใหญ่
นางจ้องมองเฉาอวิ๋น ในความทรงจำของนาง เฉาอวิ๋นคล้ายเคยมีวันเวลาที่แต่งกายเช่นนี้มาก่อน…
“องค์หญิง เหตุใดถึงไม่พบราชบุตรเขยเล่าเพคะ”
เฉาอวิ๋นชำเลืองมองไปทางห้องอาบน้ำปราดหนึ่ง เอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง
ราชบุตรเขยเป็นคนหยาบกระด้าง ต่างกับองค์หญิงที่ใส่ใจกับทุกเรื่อง นางชิงชังที่ถูกราชบุตรเขยแย่งใช้ห้องอาบน้ำก่อนมาโดยตลอด
หวาหยางตกตะลึงมองดูอีกฝ่าย “ราชบุตรเขย?”
เฉาอวิ๋นกระซิบ “ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันเฝ้าอยู่ข้างนอกตลอด ยังไม่เห็นราชบุตรเขยเดินออกไป”
หวาหยางหัวสมองลั่น ‘วิ้ง’ ความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยต่างๆ นานายามนี้ได้รับคำตอบแล้ว
ร่างกายอุ่นร้อนของเฉินจิ้งจง ลานเรือนเรียบง่ายที่นางคล้ายเคยรู้จัก การแต่งกายเรียบง่ายของสาวใช้รุ่นใหญ่…
ที่แท้ก็มิใช่วิญญาณของเฉินจิ้งจงกลับแดนมนุษย์มาพบนาง แต่เป็นนางที่ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน!
เฉาอวิ๋นคิดว่าองค์หญิงถูกเรื่อง ‘ราชบุตรเขยแย่งใช้ห้องอาบน้ำ’ ทำตกใจ นางครุ่นคิดฉับไว จงใจตะโกนไปทางห้องอาบน้ำ
“ราชบุตรเขยรีบออกมาเถิด องค์หญิงมีเรื่องจะถามท่าน!”
เฉินจิ้งจงไม่นึกเคลือบแคลงสงสัย ทำเพียงเอาเสื้อตัวในที่มี ‘หลักฐาน’ แปดเปื้อนใส่ลงไปในถังน้ำในห้องอาบน้ำ ขยี้มันส่งๆ ก่อนจะบิดให้แห้ง
ตอนเขาเดินออกมา หวาหยางและสาวใช้ก็ต่างเบนสายตามองไป
เฉินจิ้งจงยังคงเปลือยกายท่อนบน ในมือถือเสื้อตัวในที่ถูกบิดฟั่นจนไม่ต่างอะไรกับเชือกปอ
ทั้งเจ้านายและสาวใช้หลุบตาลง
เฉินจิ้งจงมองดูหวาหยางอยู่หลายครั้ง หยิบเอาเสื้อตัวในอีกตัวออกมาจากตู้เสื้อผ้าที่อยู่อีกด้าน เปลี่ยนสวมกลับลงไปอย่างรวดเร็ว
“ถามหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ”
เฉินจิ้งจงเดินมาหยุดอยู่นอกเตียงห้องแล้วถามอย่างสงสัย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าก่อนหน้านี้นางเป็นคนกำชับสั่งเขาเองว่าให้ซ่อนตัวให้ดี
เฉาอวิ๋นลอบส่งสายตาให้ผู้เป็นนาย
หวาหยางชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปาก “ข้าต้องการอาบน้ำ ท่านออกไปก่อน”
เฉินจิ้งจง “…”
เหตุใดถึงรู้สึกว่าหลังลงจากเตียงนางถึงได้เปลี่ยนไปนะ
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงจากไปแต่โดยดี
สองสามีภรรยาพักอาศัยอยู่ในเรือนซื่ออี๋ถัง
ถึงจะเป็นแค่เรือนคั่นเดี่ยว แต่ก็เป็นเรือนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านสกุลเฉินที่สร้างขึ้นให้หวาหยางโดยเฉพาะ
ส่วนครอบครัวของพี่ใหญ่พี่สามแบ่งกันพำนักอาศัยอยู่ทางด้านหน้าของเรือนซื่ออี๋ถัง ซึ่งก็เป็นเรือนคั่นเดี่ยวที่มีเรือนปีกข้างเหมือนกัน ทว่ากลับไม่มีห้องเล็กด้านข้าง ไม่มีครัวน้อยเหมือนอย่างของพวกเขา ทุกวันจะกินข้าวใช้น้ำล้วนต้องให้ไปเอาที่เรือนหลัก มิหนำซ้ำเรือนหลักที่ว่ายังเป็นเพียงเรือนคั่นสาม* ขนาดเล็กเท่านั้น เทียบไม่ได้กับจวนสกุลเฉินที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ในเมืองหลวงนั่นเลย
เรือนปีกข้างของพี่ชายพี่สะใภ้ถูกพวกลูกๆ ยึดไปหมดแล้ว ส่วนทางฝั่งพวกเขา เรือนปีกตะวันตกถูกหวาหยางดัดแปลงเป็นห้องหนังสือ ห้องเก็บของ ส่วนเรือนปีกตะวันออก…
เฉินจิ้งจงกระตุกมุมปาก
นางรังเกียจเขา ตอนเพิ่งย้ายเข้ามาที่บ้านเก่าหมาดๆ นางเคยบอกว่าในเมื่อสองสามีภรรยาต้องไว้ทุกข์ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกครหา เขาไปพำนักอยู่ที่เรือนปีกข้างจะดีกว่า
ดังนั้นคืนแรกเฉินจิ้งจงจึงนอนอยู่ที่เรือนปีกตะวันออกเพียงลำพัง
วันที่สองนางพบหนอนสีดำตัวโตเข้าตัวหนึ่ง ตกอกตกใจจนหน้าถอดสี เพราะเฉาอวิ๋นกับเฉาเยวี่ยเองก็กลัว นางถึงได้เรียกเขากลับไป
ทว่าก็มีแต่ตอนกลางคืนเท่านั้น ตอนกลางวันสองสามีภรรยาต่างล้วนอยู่กันคนละห้อง เสื้อผ้าส่วนใหญ่ของเขาก็อยู่ที่เรือนปีกตะวันออก
เพราะไม่มีสิทธิ์เรียกใช้สาวใช้ที่หวาหยางพามาด้วย เฉินจิ้งจงจึงได้แต่ต้องไปเอาน้ำที่เรือนเก็บน้ำด้วยตนเอง
หลังบ้วนปากล้างหน้าเสร็จ เฉินจิ้งจงก็นั่งยองๆ ลงกับพื้น ใช้เจ่าโต้ว ซักเสื้อตัวในใหม่อีกรอบ กำจัดกลิ่นที่ยังหลงเหลือ
ตอนออกไปตากผ้าเขาก็ได้พบเจินเอ๋อร์กับจูเอ๋อร์ อีกฝ่ายกำลังออกแรงหาบน้ำร้อนไปห้องประธาน
ลานเรือนขนาดเล็ก มิหนำซ้ำหวาหยางยังไม่ชอบให้บ่าวรับใช้เดิมของสกุลเฉินไปป้วนเปี้ยนในเขตพื้นที่ของนาง ดังนั้นสาวใช้ของเรือนซื่ออี๋ถังจึงมีแต่เฉาอวิ๋น เฉาเยวี่ย เจินเอ๋อร์ และจูเอ๋อร์สี่คนเท่านั้น
อันที่จริงจะว่าไปก็นับว่าเพียงพออยู่ แค่สาวใช้ทั้งสี่ต้องทำงานหนักเพิ่มมากขึ้นกว่าตอนอยู่ในเมืองหลวงก็เท่านั้น
หลังตากผ้าเรียบร้อย เฉินจิ้งจงก็หันไป เขาสังเกตเห็นกลุ่มควันจากครัวน้อยลอยละล่องออกมาจากปล่องควันกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
เฉินจิ้งจงนึกถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาอีก
ไม่แปลกที่นางจะโอดครวญ ตลอดทางที่มาจากเมืองหลวง ขนาดเขาเป็นบุรุษอกสามศอกก็ยังรู้สึกทรมาน สตรีบอบบางอย่างองค์หญิงเมื่อต้องใช้ชีวิตยากลำบากก็ย่อมผ่ายผอมลงเป็นเรื่องธรรมดา
กว่าจะมาถึงได้ก็ไม่ใช่ง่าย และเพราะช่วงไว้ทุกข์ห้ามกินเนื้อสัตว์ วันๆ หนึ่งได้แต่กินผักกินข้าวต้ม อารมณ์หรือก็ไม่ดี แล้วเมื่อไรจะเรียกเนื้อหนังกลับคืนมาได้
เพื่อนางเพื่อตนเอง เฉินจิ้งจงไม่อาจทำเป็นนิ่งดูดาย
อาศัยจังหวะตอนยังเช้าอยู่ เขาจึงอ้อมไปยังห้องเล็กทางทิศตะวันตก ปีนกำแพงก่อนจะกระโดดลงไปอย่างชำนิชำนาญ
ตำบลสือเฉียวห้อมล้อมด้วยภูเขาแม่น้ำ บ้านสกุลเฉินตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง หากเดินไปด้านหลังประมาณครึ่งหลี่ก็จะพบกับลำธารเล็กๆ สายหนึ่ง ข้ามลำธารเดินต่อไปอีกครึ่งหลี่ก็จะพบกับภูเขาเตี้ยๆ ทว่าทอดยาวลูกหนึ่ง
น้ำอุ่นผสมเรียบร้อย หวาหยางไปอาบน้ำก่อน นางไม่อนุญาตให้สาวใช้คนสนิทตามเข้ามาปรนนิบัติรับใช้
เมื่อคืนเฉินจิ้งจงไม่ต่างกับหมาป่าหิวกระหาย เพียงเพราะนางโง่เขลาเข้าใจว่าเขาเป็นภูตผีที่ตายไปแล้วถึงสามปี กว่าจะได้มาพบกันอีกครั้งก็ไม่ใช่ง่าย นางจึงทำใจตำหนิเขาไม่ลง
รอยจ้ำแดงๆ สองดวงบนข้อมือเกิดจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย ส่วนบนร่างกาย…หวาหยางไม่กล้ามอง
ครั้นอาบน้ำแต่งกายเสร็จ นางก็เรียกเฉาอวิ๋นให้เข้ามาช่วยเช็ดผมให้
นางหลับตาพิงร่างอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าแดงระเรื่อ สีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เฉาอวิ๋นนึกขึ้นได้ถึงเสียงการเคลื่อนไหวที่ได้ยินเมื่อคืน ราชบุตรเขยเปี่ยมไปด้วยเรี่ยวแรงกำลัง แม้แต่เตียงห้องหนักๆ นั่นก็ยังสั่นสะเทือน
ทว่าในเมื่อองค์หญิงตั้งใจปกปิด นางย่อมต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว
“พวกเราอยู่ที่นี่กันนานเท่าไรแล้ว” หวาหยางเอ่ยปากถาม น้ำเสียงคล้ายถามไปส่งๆ
เฉาอวิ๋นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา “พวกเรามาถึงที่นี่เมื่อวันที่สาม วันนี้วันที่ยี่สิบห้า ผ่านมาได้ยี่สิบกว่าวันแล้วเพคะ”
หวาหยางเข้าใจแล้ว ปีนี้เป็นปีรัชศกจิ่งซุ่นปีที่ยี่สิบห้า เป็นปีแรกที่นางตามบ้านสกุลเฉินมาไว้ทุกข์อยู่ที่หลิงโจว
นางย้อนเวลากลับมาได้อย่างไร หวาหยางไม่รู้ แต่หากกลับมาเกิดใหม่ได้จริง นางก็รู้สึกดีใจยิ่ง
พ่อสามีของนางสร้างคุณงามความดีต่อแผ่นดินไว้มากมาย หลังสิ้นชีวิตเกียรติยศชื่อเสียงอันใดไม่ควรถูกคนทำลายลง ภรรยากับบุตรหลานก็ไม่ควรมีจุดจบเช่นนั้น
รวมถึงน้องชายของนาง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าตอนเด็กฉลาดเฉลียวรู้อันใดควรมิควร น่ารักน่าใคร่ยิ่งนัก เหตุใดโตขึ้นมาถึงได้กลายเป็นทรราชเช่นนั้นได้ นางจำเป็นต้องชักจูงน้องชายที่หลงผิดให้กลับมาอยู่บนวิถีทางที่ถูกต้อง!
ยังมีเฉินจิ้งจง
ต่อให้เขาเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง แต่ก็เป็นแม่ทัพผู้กล้าที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้และปวงประชา หวาหยางตั้งใจจะปกป้องชีวิตเขาอย่างสุดกำลังความสามารถ
หลังหวีผมเสร็จ เฉาเยวี่ยสาวใช้รุ่นใหญ่อีกคนก็เตรียมอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย
หวาหยางมองไปที่ลานคราหนึ่ง “ราชบุตรเขยเล่า”
เฉาเยวี่ยส่ายหน้า นางยุ่งอยู่ในครัวตลอด ไม่ทันได้สังเกตเรื่องราวด้านนอก
เฉาอวิ๋นอยู่ข้างกายผู้เป็นนาย นางเองก็ไม่รู้เช่นกัน
เจินเอ๋อร์เอ่ยตอบ “ตอนหาบน้ำพวกหม่อมฉันพบเจอราชบุตรเขยเข้าพอดีเพคะ ราชบุตรเขยคล้ายไปตากผ้า หลังจากนั้นก็หายตัวไป”
หวาหยางขมวดคิ้ว
โชคยังดีที่เพียงไม่นานนางก็นึกขึ้นได้ ชาติที่แล้วเฉินจิ้งจงทำตัวไม่ค่อยจะถูกขนบธรรมเนียมเท่าไรนัก มักลอบปีนกำแพงออกไปล่าสัตว์อยู่เป็นประจำ มีอยู่หลายครั้งที่เขาถึงกับตั้งใจเอาไก่ย่างปลาย่างกลับมาให้นางด้วย หวาหยางแม้ในใจจะนึกอยาก แต่เพราะกลัวจะถูกเขาหัวเราะเยาะจึงยอมอด รักษาท่าทีศักดิ์ศรีองค์หญิงของตนไว้ พร้อมเอ่ยปากเหน็บแนมว่าเขาไม่กตัญญูต่อผู้เป็นย่าของตนเอง
เฉินจิ้งจงไม่สนใจ เขานั่งลงกินเนื้อคำโตต่อหน้านางพลางพูดหยัน ‘ท่านย่าเอ็นดูข้า ตอนเด็กๆ ท่านย่าชอบดูข้ากินข้าวเป็นที่สุด ยิ่งข้ากินเยอะนางก็ยิ่งดีใจ ท่านย่าอยู่บนสวรรค์ หากให้นางเห็นข้าไว้ทุกข์อดอาหาร นางต้องเป็นคนแรกที่เจ็บปวดใจ’
เพราะไม่ต้องการฟังความคิดอ่านบิดเบี้ยวของเขา หวาหยางจึงไล่เขาออกไป เหลือไว้ก็แต่กลิ่นเนื้อย่างหอมกรุ่นที่กำจายอยู่ทั่วทั้งห้อง ไม่ว่าทำเช่นไรก็ไม่ยอมจางหาย
“องค์หญิงเสวยก่อนเถอะเพคะ หากยังรอต่อไป บะหมี่จะเกาะเป็นก้อนเสียก่อน” เฉาเยวี่ยที่รับผิดชอบงานครัวเอ่ยปากเตือนเสียงแผ่ว
หวาหยางพยักหน้า จับตะเกียบมองดูถ้วยบะหมี่บนโต๊ะ
ที่เฉาเยวี่ยทำเช้านี้คือบะหมี่ไข่ใส่ผัก ผักพวกนี้ทางเรือนหลักส่งมาให้ เพิ่งเด็ดมาจากสวนผักบ้านสกุลเฉินตอนหัวรุ่ง สดใหม่เป็นที่สุด
เส้นบะหมี่เรียบลื่นเป็นประกาย แค่ดูก็รู้แล้วว่าต้องอร่อยแน่
ฝีมือทำครัวของเฉาเยวี่ยไม่ธรรมดา เพียงแต่ชาติที่แล้วเพราะต้องไว้ทุกข์อย่างยากลำบากหวาหยางจึงอารมณ์ไม่ดี กินอะไรล้วนไม่ถูกปาก ตอนกลับถึงเมืองหลวงใบหน้าซูบเซียวร่างกายผ่ายผอม ทำเอาเสด็จแม่หลั่งน้ำตา น้องชายเองก็โกรธจัด มั่นอกมั่นใจว่าบ้านสกุลเฉินกระทำทารุณต่อนาง…
หวาหยางตกตะลึง หรือว่าที่น้องชายโกรธแค้นบ้านสกุลเฉินเช่นนั้น ส่วนหนึ่งเพราะข้าเป็นเหตุ?
ไม่น่าจะใช่ นางไม่เคยโอดครวญอันใดกับน้องชาย ทุกครั้งที่อีกฝ่ายถามว่าคนที่บ้านสกุลเฉินเป็นเช่นไร นางล้วนชื่นชมในสิ่งที่ควรชื่นชม เรื่องที่ไม่พึงพอใจก็เก็บงำไว้ในใจ
ช่างเถอะ เรื่องราวในชาติที่แล้วล้วนไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไข ครั้งนี้นางต้องหลีกเลี่ยงป้องกันเรื่องราวใดๆ ที่จะทำให้น้องชายของนางเกลียดแค้นชิงชังบ้านสกุลเฉินไม่ให้เกิดขึ้นเด็ดขาด
มีคุณูปการของบ้านสกุลเฉินอยู่เบื้องหน้า มีความพยายามของนางอยู่เบื้องหลัง นางไม่เชื่อว่าน้องชายของนางผู้นั้นจะเป็นทรราชแต่กำเนิดได้
อารมณ์ของนางเปลี่ยนไป หวาหยางรู้สึกว่าบะหมี่มังสวิรัติชามนี้หอมกรุ่นเป็นที่สุด ไม่เพียงกินเส้นบะหมี่จนหมด แม้แต่น้ำแกงก็ยังซดหมดไปครึ่งชาม
เฉาเยวี่ยมองดูอยู่ข้างๆ ดีใจจนนึกอยากร้องไห้ สามเดือนมานี้องค์หญิงแทบไม่นึกอยากอาหาร ทุกเช้าค่ำนางเฝ้าแต่นึกหนทางทำอาหารรสเลิศออกมา คิดจนผมบางแทบหมดหัวแล้ว!
เฉาอวิ๋นเองก็สองตาแดงก่ำ บ้านเก่าสกุลเฉินเก่าซอมซ่อเรียบง่าย องค์หญิงพำนักอาศัยไม่มีความสุข หากยังกินไม่ลงอีก สองปีที่เหลือต่อจากนี้จะทำเช่นไร
โชคดีจริงๆ โชคดียิ่งนัก!
บทที่ 4
หลังกินอาหารเช้าเสร็จหวาหยางก็ไปเดินเล่นอยู่ในลานขนาดเล็กของเรือนซื่ออี๋ถัง
ที่นี่เป็นลานสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็กของแท้ ทุกห้องหับล้วนเห็นกระจ่างชัดได้ในปราดเดียว
กลางลานมีต้นไหว ที่เห็นชัดว่าเพิ่งย้ายเข้ามาปลูกได้ไม่นานอยู่ต้นหนึ่ง ลำต้นมีขนาดเท่ากับถังน้ำ บนตำแหน่งที่อยู่สูงเหนือจากพื้นดินครึ่งตัวคนมีกิ่งหนาเท่าขาคนแตกแขนงอยู่สามกิ่ง แยกออกไปกิ่งละทิศ กิ่งเล็กกิ่งน้อยไขว้สลับไปมานั้นสูงเหนือหลังคาบ้าน ใบอ่อนสีเขียวทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ พอถึงกลางฤดูร้อนใต้ต้นไม้ก็จะเป็นจุดที่ร่มรื่นที่สุดภายในลาน
หวาหยางเงยหน้า แสงอรุณสดใสเจิดจ้าส่องผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้กิ่งไม้ลงมา นางหรี่ตาลงเล็กน้อย
เฉินจิ้งจงไม่อยู่ ทว่านางกลับคล้ายเห็นเขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ เอียงกายพิงลำต้น ในมือถือดอกไม้เล็กๆ สีขาวช่อหนึ่ง ส่งกลีบดอกเข้าปาก เคี้ยวพลางก้มหน้าลงถามนาง
‘นี่คือดอกไหว องค์หญิงอยากลองชิมดูหรือไม่’
หวาหยางในเวลานั้นรังเกียจเฉินจิ้งจงอยู่เป็นทุนเดิม พอเห็นเขากินกลีบดอกไม้ดิบ นางก็ยิ่งรู้สึกว่าคนผู้นี้หยาบช้ายิ่งนัก ไม่สมกับที่เกิดมาเป็นบุตรชายสกุลเฉินเลยแม้แต่น้อย
นางไม่สนใจเฉินจิ้งจง หันหลังเดินกลับห้องไป
เวลานี้พอนึกย้อนกลับไปหวาหยางกลับจิตใจสงบนิ่ง เขาตายอย่างน่าเวทนาเช่นนั้น ตอนมีชีวิตอยู่หากจะจับไก่ป่าเคี้ยวดอกหญ้าบ้างจะเป็นไร
ลานหลักก็เป็นเช่นนี้ ส่วนห้องเล็กทางทิศตะวันออกตะวันตกยังล้อมรอบด้วยลานข้างเล็กๆ สองแห่ง ห้องเล็กทางทิศตะวันออกกับลานข้างเล็กใช้สำหรับซักตากเสื้อผ้า ส่วนห้องเล็กทางทิศตะวันตกก็ให้สาวใช้ทั้งสี่ของนางพักอาศัย
หวาหยางเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าซุ้มประตูวงเดือนหน้าลานข้างฝั่งตะวันออก ไม่คิดจะผ่านเข้าไป ทำเพียงกวาดตามองเรื่อยเปื่อย เพียงเท่านี้นางก็พบเสื้อตัวในที่เปียกชื้นของเฉินจิ้งจงตัวนั้นแล้ว
นางนึกถึงคำพูดของเจินเอ๋อร์ เสื้อตัวในนี้เฉินจิ้งจงซักมันเองกับมือก่อนจะนำมาตากไว้ที่นี่
นับว่าเขายังรู้จักรักษาหน้าอยู่บ้าง ไม่ได้เอาเสื้อเปื้อนคราบสกปรกโยนให้สาวใช้ของนางจัดการ
ขณะที่หวาหยางกำลังจะเดินเข้าไป ทันใดนั้นเท้าของนางก็หยุดชะงัก
‘ผีโหย’ อย่างเฉินจิ้งจงเมื่อคืนกินนางอยู่กว่าครึ่งชั่วยาม
เจ้าสิ่งนั้นของเขาไม่ต่างอะไรกับถุงน้ำที่ปากปิดสนิท ถึงส่วนใหญ่จะถูกขังอยู่ภายใน แต่ใครเล่าจะรับรองได้ว่ามันไม่มีอะไรเล็ดลอดออกมา
สีหน้าของนางเปลี่ยนไป หวาหยางเร่งร้อนกลับเข้าห้อง
นางไม่ได้เรียกให้เฉาอวิ๋นตามเข้ามา หลังปิดประตูแล้วนางก็เดินเข้าไปหยุดอยู่หน้ากล่องหวายถักขนาดเล็กสองใบที่อยู่ในเตียงห้อง ก่อนจะนั่งยองๆ ลง เปิดกล่องหนึ่งในสองใบนั้น
ที่อยู่ด้านในคือเครื่องประดับศีรษะล้ำค่าที่นางใช้เป็นประจำ นอกจากนี้ยังมีขวดกระเบื้องสีครามใบน้อยอยู่อีกใบหนึ่ง ด้านในบรรจุยาลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดถั่วสามเม็ด
ในวังไม่ว่าจะของแปลกประหลาดล้ำค่าหายากอันใดล้วนมีด้วยกันทั้งสิ้น รวมถึงยาวิเศษที่มีสรรพคุณอัศจรรย์ทั้งหลาย
สนมชายาตำหนักในบ้างก็หวังว่าตนเองจะมีสายเลือดมังกรอยู่ในครรภ์ บ้างก็หวังว่าจะไม่มี
ฝ่ายแรกสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก หากสามารถให้กำเนิดทายาทมังกรได้ ต่อให้เป็นแค่องค์หญิง ครึ่งชีวิตที่เหลือของพวกนางย่อมดำเนินไปได้อย่างสงบสุขมั่นคง
ส่วนพวกที่ไม่อยากมีนั้น เหตุผลของพวกนางย่อมมีมากมายหลายหลาก อย่างรังเกียจฮ่องเต้ถึงขนาดไม่อยากมีแม้แต่ทายาทของเขา บ้างก็มีโอรสมังกรมากพอแล้ว วันๆ ถ้าไม่วางท่าหยิ่งยโสวางตัวเป็นคนโปรดก็สาละวนอยู่กับการรักษารูปร่างของตน ยังมีอีกพวกเป็นพวกที่ใจกล้ามากที่สุด มิหนำซ้ำยังเป็นสนมชายาที่ไม่ได้รับความโปรดปราน เพราะโดดเดี่ยวอีกทั้งยังอยู่ในช่วงวัยแรกแย้มถึงกับกล้าเสี่ยงอันตรายไปยุ่งเกี่ยวกับเหล่าทหารองครักษ์ ปรารถนาก็เพียงแต่ความสำราญ แน่นอนว่าเมื่อเป็นเช่นนี้พวกนางย่อมต้องหาทางเลี่ยงไม่ให้ตนเองตั้งครรภ์
นานวันเข้ายาห้ามครรภ์สารพัดชนิดก็ปรากฏขึ้นในหมู่สตรีตำหนักใน
ขวดที่อยู่ในมือของหวาหยางเป็นสิ่งที่เสด็จแม่เตรียมไว้ให้นางก่อนออกจากเมืองหลวง
ในเวลานั้นหวาหยางเข้าวังไปพบเสด็จแม่ เหตุผลของการไปโอดครวญร้องทุกข์ก็คือนางไม่ปรารถนาจะตามบ้านสกุลเฉินไปไว้ทุกข์ที่หลิงโจว ถึงนางจะแต่งกับเฉินจิ้งจง แต่อย่างไรนางก็เป็นสตรีสูงศักดิ์ เหตุใดต้องไปไว้ทุกข์ให้หญิงแก่บ้านนอกที่ไม่เคยพบหน้าค่าตากันด้วย
หวาหยางหวังว่าเสด็จแม่จะสนับสนุนการตัดสินใจของนาง เห็นด้วยที่จะให้นางอยู่ในเมืองหลวง
ทว่าเสด็จแม่กลับยกเหตุผลมากมายขึ้นมาพูด บอกว่านางเป็นองค์หญิง ถึงจะสามารถใช้สิทธิพิเศษมากมายของเหล่าเชื้อพระวงศ์เพื่อเสวยสุขอยู่ในเมืองหลวงต่อ ทว่าภายใต้คำว่า ‘กตัญญู’ นางไหนเลยจะทำเรื่องนอกรีตนอกรอยเช่นนั้นได้ พี่สะใภ้ทั้งสองของเฉินจิ้งจงล้วนเดินทางไปหลิงโจว หากองค์หญิงอย่างนางไม่ไป เรื่องนี้แพร่สะพัดออกไปก็ไม่รู้ว่าพวกชาวบ้านจะวิพากษ์วิจารณ์กันเช่นไร
ยังมีอีกเรื่องที่ถึงเสด็จแม่ของนางจะไม่ได้บอก แต่หวาหยางกลับรู้ดีแก่ใจ นั่นก็คือเสด็จแม่ชื่นชมยกย่องในความสามารถของพ่อสามีนางเป็นที่สุด และเชื่อว่าพ่อสามีจะได้เป็นราชเลขาธิการคนต่อไปแน่นอน ที่เสด็จแม่ต้องการให้นางแต่งกับเฉินจิ้งจงก็เพราะหมายจะใช้เรื่องนี้ดึงพ่อสามีของนางเข้าเป็นพวกด้วย
เมื่อเหตุผลอย่างชื่อเสียงและผลประโยชน์โถมทับลงมา หวาหยางก็ได้แต่ต้องยอมรับโดยดุษณี
หลังจากนั้นเสด็จแม่ก็มอบยาห้ามครรภ์ขวดนี้ให้กับนาง
เสด็จแม่อาศัยฐานะคนที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อนบอกกับนางว่าการจะให้บุรุษที่เพิ่งแต่งงานหมาดๆ ปล่อยภรรยาที่สะสวยงดงามไว้ข้างๆ โดยไม่แตะต้องนั้นเป็นก็แค่เรื่องเหลวไหลในหมู่คนสติปัญญาอ่อนด้อยเท่านั้น ความจริงแล้วพวกเขาไหนเลยจะทนไหว สองสามีภรรยาหลบอยู่ในห้อง ลอบหลับนอนด้วยกันครั้งสองครั้งมิใช่ปัญหาใหญ่โตอะไรสักหน่อย แค่จะปล่อยให้เด็กเกิดมาไม่ได้ก็เท่านั้น ยาห้ามครรภ์นี้สรรพคุณอ่อนโยนไม่รุนแรง ทุกๆ สามเดือนใช้ครั้งหนึ่ง ไม่เพียงสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ ยังไม่ส่งผลเสียต่อพื้นฐานร่างกาย
เฉินจิ้งจงเป็นทายาทรุ่นหลาน ไว้ทุกข์แค่ปีเดียวก็ออกทุกข์ได้แล้ว หากนานๆ ทีมีอะไรกันสักครั้ง ยาลูกกลอนสามเม็ดนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ถึงจะมีน้อย อย่างไรก็ดีกว่าไม่มี
หวาหยางถามอย่างกระฟัดกระเฟียด ‘แล้วถ้าเขาต้องการหลายๆ ครั้งเล่า จะให้ทำเช่นไร’
เสด็จแม่ของนางตอบด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เฉินจิ้งจงผู้นี้เกินไปจริงๆ พร้อมสั่งให้นางแสดงอำนาจขององค์หญิงออกมา สามีภรรยาควรเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน มิใช่กระทำตามอำเภอใจไร้หลักการอยู่แต่ฝ่ายเดียว
ได้ยินเช่นนั้นหวาหยางก็รู้สึกสบายใจขึ้น รู้ว่าถึงเสด็จแม่จะเห็นการใหญ่สำคัญ แต่กระนั้นก็ยังคงใส่ใจบุตรีเช่นนางอยู่
ยาห้ามครรภ์มีรสขมเล็กน้อย หลังกินลงไปหวาหยางต้องดื่มน้ำตามเกือบครึ่งถ้วยกว่าจะบรรเทารสขมที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้นได้
ไม่รู้เป็นเพราะฤทธิ์ของยาหรือว่าอะไร ใจนางหวิวแปลกๆ รู้สึกไม่สบายท้องอยู่ตลอดเวลา นางจึงขึ้นไปนอนหงุดหงิดอยู่บนเตียง
ชาติที่แล้วนางไม่เคยกินยาห้ามครรภ์
วิธีการที่เสด็จแม่บอกบางทีอาจใช้ได้กับบุรุษส่วนใหญ่ แต่มิใช่กับเฉินจิ้งจง
บุรุษหยาบกระด้างผู้นี้บางครั้งก็หน้าหนาไร้ยางอายยิ่ง หวาหยางแค่พูดคุยยิ้มหัวเราะกับสาวใช้คนสนิทข้างกาย พอเขาเห็นนางมีสีหน้ายิ้มแย้มก็เผลอคิดไปเองว่านางอารมณ์ดี ตกค่ำถึงกับกล้าโถมทับใส่ร่างนาง
ตอนอยู่ที่หลิงโจว นอกจากยามอยู่ต่อหน้าพ่อแม่สามีแล้ว หวาหยางก็เรียกได้ว่าแทบจะไม่เคยยิ้ม ยิ่งเวลาอยู่ตามลำพังกับเฉินจิ้งจง นางยิ่งไม่เคยแสดงสีหน้าดีๆ ใส่อีกฝ่าย มิหนำซ้ำยังโยนความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่พบเจอในบ้านสกุลเฉินทั้งหมดระบายใส่เขา
กินอยู่ไม่สบายหวาหยางไหนเลยจะมีอารมณ์หลับนอนกับเขา เฉินจิ้งจงคาดว่าน่าจะพอเดาออก ดังนั้นทุกคืนจึงไปนอนอยู่บนพื้นกระดานช่วยกั้นงูกั้นแมลงที่อาจเลื้อยคลานปีนไต่เข้ามาแต่โดยดี ไม่เคยเอ่ยปากขอมีอะไรด้วยแม้เพียงครั้ง
หวาหยางพลิกตัว
แต่ก่อนนางคิดว่าทุกสิ่งล้วนสมควรเป็นเช่นนี้ นางเป็นองค์หญิง เฉินจิ้งจงเป็นราชบุตรเขย ราชบุตรเขยสมควรเชื่อฟังองค์หญิง หากเขากล้าก้าวล่วงนางถือว่าไม่เคารพ
นางมักไม่พูดไม่จาเฝ้าชักสีหน้าใส่เขาตลอด เทียบกับสาวใช้คนสนิทพวกนั้นแล้ว หวาหยางเรียกว่าปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นดีกว่าปฏิบัติต่อเขาเสียอีก
ทว่าตอนนี้พอคิดๆ ดูแล้ว เฉินจิ้งจงเห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นบุรุษหนุ่มละโมบโลภมาก การที่เขาสามารถอดทนอดกลั้นไม่ฝืนบังคับใจนางได้นานเช่นนี้ หากจะเรียกว่าเป็นสุภาพบุรุษก็น่าจะพอได้อยู่กระมัง
นางเห็นเขาเป็นคนหยาบกระด้างมาโดยตลอด ยกมือยกเท้าล้วนหยาบคายไร้มารยาท มีอยู่หลายครั้งที่นางเอาเขาไปเปรียบเทียบกับพี่ใหญ่ที่เป็นจ้วงหยวนกับพี่สามที่เป็นทั่นฮวา ยิ่งเทียบนางก็ยิ่งรับเขาไม่ได้
ทว่าเฉินจิ้งจงกลับไม่เคยใช้อารมณ์กับนางเลยสักครั้ง บุรุษหน้าด้านไร้ยางอายในสายตานาง เหตุใดถึงกลายเป็นบุรุษใจกว้างไปได้
นั่นก็หมายความว่าบนตัวเขายังมีข้อดีอยู่มากมาย เพียงแต่ชาติที่แล้วนางจมอยู่ในโลกของตนเองถึงได้ไม่เคยสังเกตเห็น
เช่นนั้นชาตินี้นางควรทำดีกับเขามากสักหน่อย
ตะวันลอยขึ้นกลางฟ้า เฉาอวิ๋นและเฉาเยวี่ยยืนอยู่หน้าประตูโถงกลาง กระซิบถกกันว่ากลางวันนี้จะทำอาหารอะไรให้องค์หญิงดี
คาดไม่ถึงว่าจะมีเสียง ‘โครม’ ดังลอยมาจากห้องเล็กทางทิศตะวันตก
เฉาอวิ๋นหน้าซีด ในตำบลที่ห่างไกลเช่นนี้คงไม่ใช่ว่ามีโจรร้ายกล้าเข้ามาก่อเหตุฆาตกรรมอะไรกระมัง
อย่าว่าแต่องค์หญิงจะรังเกียจบ้านเก่าสกุลเฉินหลังนี้เลย แม้แต่พวกนางเองก็ยังรังเกียจ เรือนเล็ก กำแพงเตี้ย บางครั้งก็มีงูแมลงเลื้อยไต่เข้ามา ทำเอาคนอกสั่นขวัญแขวนทั้งวัน!
ระยะนี้เฉาเยวี่ยลงมือทำอาหารทุกวัน เรี่ยวแรงเพิ่มมากขึ้น ไม่ขี้กลัวเหมือนเก่า นางบอกให้เฉาอวิ๋นเฝ้าอยู่ที่นี่ ก่อนจะรีบชักเท้าวิ่งไปที่ห้องครัว คว้ามีดหั่นผักมาเล่มหนึ่ง!
ตอนวิ่งออกมาพร้อมมีดหั่นผัก นางก็เห็นราชบุตรเขยมือข้างหนึ่งถือไก่ภูเขาขนงามตัวหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ถือปลาอ้วนที่ยังมีน้ำหยดอยู่เดินออกมาจากห้องเล็กทางทิศตะวันตก เฉาอวิ๋นที่อยู่ใต้ชายคาสองตาเบิกกว้างอ้าปากค้าง
เฉาเยวี่ยเองก็ตกตะลึง
เฉินจิ้งจงมองดูมีดหั่นผักที่ส่องประกายวับวาวในมืออีกฝ่าย
เฉาเยวี่ยรีบซ่อนมีดไว้ด้านหลัง ใบหน้าเล็กๆ แดงระเรื่อ สีหน้ากระอักกระอ่วน
เฉินจิ้งจงเข้าใจได้ทันที เขาชำเลืองมองไปทางห้องประธานพลางถามเฉาอวิ๋น “องค์หญิงเล่า”
เฉาอวิ๋นตอบเสียงแผ่วเบา “หลังเสวยอาหารเช้าเสร็จองค์หญิงก็เสด็จกลับไปบรรทมต่อแล้วเจ้าค่ะ”
เฉินจิ้งจงไม่รู้สึกแปลกใจ ร่างกายของนางอ่อนแอ มิหนำซ้ำเมื่อคืนยังเหน็ดเหนื่อยไม่ใช่น้อย
เขาถือเหยื่อที่ล่ามาได้เดินไปหยุดอยู่หน้าเฉาเยวี่ย ขมวดคิ้วพูด “ในรัศมีสิบหลี่มีใครบ้างไม่รู้ว่าที่นี่คือบ้านสกุลเฉิน โจรกระจอกทั่วไปไม่มีทางกล้าล่วงล้ำเข้ามา และคนที่กล้าเข้ามาก็ย่อมไม่มีทางกลัวมีดหั่นผักของเจ้า คราวหน้าถ้าพบเจอเรื่องเช่นนี้อีก ให้ตะโกนเรียกคนช่วย พวกองครักษ์จะได้ได้ยิน”
เฉาเยวี่ยก้มหน้า คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากถาม “หากเป็นราชบุตรเขยเล่า”
“หลังจากนี้เวลาข้ากลับมาจะผิวปากก่อนคราหนึ่ง”
เฉาเยวี่ยถอนหายใจโล่งอก “ราชบุตรเขยวางใจ บ่าวจะจดจำไว้”
เฉินจิ้งจงยื่นเหยื่อในมือส่งให้นาง “ปลาเอาไปตุ๋นทำน้ำแกง ส่วนไก่เก็บไว้ค่อยกินวันพรุ่งนี้ อย่าลืมมัดปากมันไว้ อย่าให้มันเที่ยวร้องกระโตกกระตาก”
เฉาเยวี่ยสองตาเบิกกว้าง “เช่น…เช่นนี้คงไม่เหมาะกระมัง”
“หากไม่ตุ๋น หรือพวกเจ้าจะปล่อยให้องค์หญิงของพวกเจ้าหิ้วท้องหิวต่อไป?”
เฉาเยวี่ยรับปากอย่างรวดเร็ว
เฉินจิ้งจงมองดูห้องครัวคราหนึ่ง ตอนหันกลับมาเขาก็เอ่ยว่า “อาหารเช้าของข้าส่งเข้าไปด้วย”
เรื่องราวที่ต้องทำมีอยู่ไม่น้อย เฉาอวิ๋นรีบวิ่งเข้ามาช่วยเฉาเยวี่ย
เฉินจิ้งจงสาวเท้ายาวๆ ตรงไปที่ห้องประธาน หยุดยืนอยู่หน้าโถงกลางครู่หนึ่งก่อนจะไปยังห้องนอน
ด้านในเงียบสงัด นอกเตียงห้องม่านโปร่งถูกปลดลง
เฉินจิ้งจงเลิกม่านก็เห็นนางหลับอยู่กลางเตียง ตัวนางที่บางและผอมอยู่แล้วกลับยิ่งดูบอบบางอ่อนแอมากขึ้นไปอีกเมื่อเทียบกับเตียงขนาดใหญ่หรูหรานี้
ทันใดนั้นเขาก็สูดจมูกฟุดฟิด ได้กลิ่นยาจางๆ
ยิ่งเห็นหัวคิ้วของนางขมวดอยู่ด้วยกันเช่นนั้น เฉินจิ้งจงก็รู้สึกกังวลในใจ อาจเป็นไปได้ว่าเขาใช้แรงมากเกินไปและทำให้นางได้รับบาดเจ็บแล้วหรือไม่
ถึงจะนึกสงสัย แต่เฉินจิ้งจงก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะปลุกนางขึ้นมาถามในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเดินจากไปเงียบๆ
เขานั่งอยู่ในโถงกลาง หลังจากผ่านไปราวๆ หนึ่งเค่อ* เฉาอวิ๋นก็ประคองบะหมี่ชามหนึ่งเข้ามา ยังคงเป็นบะหมี่ไข่ใส่ผัก น้ำแกงใสราวกับน้ำ แม้แต่คราบน้ำมันสักหยดก็ไม่มี
เฉินจิ้งจงเรียกเฉาอวิ๋นที่กำลังจะถอยจากไปแล้วเอ่ยถาม “องค์หญิงป่วยหรือ”
เฉาอวิ๋นส่ายหน้า “ไม่นะเจ้าคะ”
“แล้วเหตุใดข้าถึงคล้ายได้กลิ่นยา”
“เช่นนั้นราชบุตรเขยก็ต้องดมผิดแล้วแน่ๆ เช้าวันนี้องค์หญิงทรงอารมณ์ดีไม่ใช่น้อย ถึงกับกินบะหมี่หมดชาม”
ได้ยินน้ำเสียงของอีกฝ่ายลิงโลดยินดีเช่นนั้น เฉินจิ้งจงก็ตระหนักได้ทันทีว่าอาการเบื่ออาหารของหวาหยางก่อนหน้านี้ย่ำแย่เพียงใด
เมื่อถามไม่ได้ความอะไร เขาก็สั่งให้สาวใช้ถอยออกไป
เฉินจิ้งจงออกไปล่าสัตว์ในหุบเขาตั้งแต่หัวรุ่ง ใช้เรี่ยวแรงไปไม่ใช่น้อย ยามนี้หิวจนไส้กิ่วแล้ว ตอนกินบะหมี่เขาล้วนคีบมันขึ้นมาก้อนใหญ่ สูดกินเข้าปากคำโต
หวาหยางที่หลับไปได้หนึ่งชั่วยามถูกเสียงกินบะหมี่ของอีกฝ่ายปลุกตื่น
ตอนตื่นขึ้นมาใหม่ๆ นางยังนึกสงสัยว่าเป็นเสียงอะไร พอได้ยินเฉินจิ้งจงบอกให้เฉาอวิ๋นเอามาให้เขาอีกชาม นางจึงเข้าใจได้ทันที หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว
นางไม่ชอบวิธีกินอาหารเช่นนี้ของเขาจริงๆ
หวาหยางตั้งใจว่าจะทำดีกับเฉินจิ้งจงสักเล็กน้อย ทว่าหากเขายังคงท้าทายความอดทนอดกลั้นของนางเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วล่ะก็ เกรงว่านางคงไม่มีทางปั้นหน้ายิ้มแย้มให้เขาได้เลย
หวาหยางจัดการกับเสื้อผ้าผมเผ้าของตนเองพอเป็นพิธีก่อนจะเดินออกมา
เฉินจิ้งจงกำลังจะเริ่มกินบะหมี่ชามที่สอง เส้นบะหมี่ถูกคีบขึ้นมาแล้ว แต่พอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเขาก็หันหน้ามองไป พบกับใบหน้างดงามแดงระเรื่อทว่ามึนตึงอยู่เล็กน้อยของหญิงสาวเข้าพอดี
อะไรทำให้นางไม่พอใจขึ้นมาอีกเล่า
เฉินจิ้งจงหลุบตามองตะเกียบในมือ กินบะหมี่คำนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากันก็แล้วกัน
เขาสูดบะหมี่ลงท้องเต็มปากเต็มคำ หวาหยางหัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ส่งสายตาบอกเฉาอวิ๋นที่อยู่หน้าประตูให้ถอยไปไกลหน่อย หลังจากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะกินข้าว มองชายหนุ่มพลางพูด
“ท่านจะกินให้ช้าหน่อยไม่ได้หรือไร ทางที่ดีกินอย่าให้มีเสียง”
เฉินจิ้งจงปรายตามองนาง พูดโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “ก็ข้าหิว”
“หิวก็ค่อยๆ กินได้ ใช่ว่าจะต้องรีบไปทำธุระอะไรต่อจากนี้เสียหน่อย”
เฉินจิ้งจงชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง เรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ยิ่งมีคนวุ่นวายกับเขามากเท่าไร เขาก็ยิ่งดึงดันดื้อรั้นมากเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงทำเหมือนไม่ได้ยิน ควรกินเช่นไรก็กินเช่นนั้นต่อ
หวาหยางกัดฟันโมโห หากเป็นเมื่อก่อนนางต้องกระฟัดกระเฟียดเดินจากไป หลบไปให้พ้นจากเสียงนั้นแน่ ทว่านางตัดสินใจแล้วว่าจะทำดีกับเขาสักหน่อย
นางยินดีให้โอกาสเขาอีกครั้ง จึงพูดออกมาตามตรง “วิธีการกินเช่นนี้ของท่าน ข้าได้ยินแล้วปวดหัว ยิ่งข้าปวดหัวก็ยิ่งหงุดหงิดรำคาญ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตร่วมกันดีๆ ได้อย่างไร”
เฉินจิ้งจงเงยหน้าด้วยความประหลาดใจ เขากลืนบะหมี่ที่เหลือในปากลงท้อง พิจารณาดูหวาหยางพลางเอ่ยปากถาม “องค์หญิงอยากใช้ชีวิตร่วมกันดีๆ กับข้า?”
สายตาของเขาคมกริบตรงไปตรงมาคล้ายสามารถอ่านทะลุใจคน มิหนำซ้ำยังแฝงไว้ซึ่งแววตาดุดันราวกับต้องการบอกว่า ‘ไม่ว่าใครก็อย่าฝันว่าจะหลอกข้าได้’ อีกหลายส่วน
คางของหวาหยางเชิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นางส่งเสียงเฮอะประชดออกมาคำหนึ่งด้วยท่าทีเย่อหยิ่งจองหองแบบเดียวกัน
เฉินจิ้งจงไม่แน่ใจว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ เอ่ยปากถามหยั่งเชิง “ถ้าข้ากินข้าวเสียงเบา วันหน้าองค์หญิงจะให้ข้านอนเตียงด้วยอย่างนั้นหรือ”
เทียบกับความคิดอ่านเจ้าเล่ห์ซับซ้อนพวกนั้น เขาสนใจก็แต่ผลประโยชน์ที่จะได้รับจริงๆ มากกว่า ไม่เช่นนั้นไม่ว่านางจะใช้คำพูดดีงามสักเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์
หวาหยางมองเขาพลางบอก “ได้ แต่มีข้อแม้”
เฉินจิ้งจงจุปากหนักๆ ออกมาคำหนึ่ง น่าขันจริงๆ ข้ากับนางเป็นสามีภรรยากัน ข้าอยากนอนเตียงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรสักหน่อย แต่นางกลับยังตั้งเงื่อนไข!
หวาหยางไม่สนใจท่าทีเย้ยหยันของเขา นางยื่นข้อเสนอที่ตนเองต้องการออกมาตรงๆ “ฤดูร้อน ทุกวันก่อนนอนท่านต้องอาบน้ำ อย่างน้อยก็ต้องเช็ดตัว ฤดูใบไม้ผลิใบไม้ร่วงสองวันอาบครั้งได้ ฤดูหนาวสามวันอาบครั้งไม่มีปัญหา แน่นอนว่าถ้าเหงื่อออกมากไปเช่นนั้นก็จำเป็นต้องอาบน้ำทุกวัน อีกอย่างไม่ว่าจะอาบน้ำหรือไม่ เท้าล้วนต้องล้างให้สะอาด ปากก็ต้องบ้วนให้สะอาดด้วยเช่นกัน ห้ามมีกลิ่นสุราหลงเหลือ”
เฉินจิ้งจงนิ่งเงียบ
หวาหยางอกกระเพื่อมเมื่อได้เห็นท่าทีดื้อรั้นนั่น
เฉินจิ้งจงกวาดตามองมาคราหนึ่งก่อนจะหลุบตาพูด “แค่ขึ้นเตียงนอนอย่างเดียว องค์หญิงก็ตั้งกฎระเบียบเสียมากมายก่ายกองเช่นนั้น ข้าว่ามันออกจะยุ่งยากเกินไปหน่อย”
“ท่านหมายความเช่นไร”
เฉินจิ้งจงใช้ตะเกียบกวนเส้นบะหมี่ในชามก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองนางเขม็ง “ความหมายก็คือหากทุกคืนองค์หญิงให้ข้าได้นอนอย่างมีความสุข เช่นนั้นองค์หญิงพูดอะไรข้าย่อมล้วนยินดีทำตาม”
หวาหยาง “…”
กลางวันแสกๆ แต่เขากลับกล้าพูดเรื่องหน้าไม่อายออกมาเช่นนี้!
“ฝันไปเถอะ!”
ขณะหมุนตัวกลับไป หวาหยางนึกอยากถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาสักครั้งจริงๆ ทว่าการอบรมสั่งสอนตั้งแต่เล็กจนโตบอกให้นางฝืนใจข่มไว้
เฉินจิ้งจงมองแผ่นหลังที่อับอายกลายเป็นโกรธของอีกฝ่ายแล้วยิ้มกล่าว “อย่างนั้นข้าจะยอมให้สักก้าวก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทุกคืน ขอแค่ตอนข้าต้องการองค์หญิงยอมให้ความร่วมมือด้วย เงื่อนไขพวกนั้นข้าล้วนรับปาก”
หวาหยางยังคงเดินขึ้นหน้าต่อ
เฉินจิ้งจงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบเล็กน้อย “เป็นสามีภรรยา หนึ่งเดือนแค่ครั้งสองครั้ง บางทีถึงกับไม่มี มิหนำซ้ำยังต้องทนดูองค์หญิงชักสีหน้า เช่นนั้นไหนเลยจะเรียกว่าใช้ชีวิตร่วมกันดีๆ ได้”
หวาหยางชะงักเท้า พูดประชดประชัน “เพราะมีเหตุถึงมีผล หากท่านไม่ทำเรื่องที่ข้าไม่ชอบมากมายก่อน มีหรือที่ข้าจะชักสีหน้าใส่”
“ทางข้าก็เหมือนกัน เป็นองค์หญิงที่หาเรื่องข้าก่อน ข้าถึงได้ไม่อยากให้องค์หญิงได้สมดั่งใจปรารถนา”
หวาหยางยิ้มอย่างอับจน หันกลับไปถลึงตาใส่เขา “ข้าหาเรื่องท่านเมื่อไร!”
“นับตั้งแต่วันแรกที่องค์หญิงแต่งเข้ามา สายตาที่องค์หญิงมองข้าไม่ต่างอะไรกับกำลังเลือกของชิ้นหนึ่ง ไม่เคยเห็นข้าเป็นสามี”
เขาไม่ได้ตาบอด วันที่ยกน้ำชาวันนั้นนางล้วนมองดูพี่ใหญ่กับพี่สามด้วยสายตาชื่นชม หลังชื่นชมเสร็จก็มองดูเขา สีหน้าท่าทางเปลี่ยนเป็นผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
ในเมื่อต้องการแต่งกับพวกบัณฑิตปัญญาชน แล้วนางตอบรับสมรสพระราชทานของฮ่องเต้ด้วยเหตุใด
คนในบ้านอาจยอมให้กับองค์หญิงอย่างนาง ทว่าเขามีศักดิ์ศรี อย่าหวังจะได้เห็นเขาทำตัวประจบประแจงรับใช้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 ก.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.