บทที่ 5
แน่นอนว่าหวาหยางไม่มีทางลืมช่วงเวลาตอนที่นางเพิ่งแต่งเข้าบ้านสกุลเฉินใหม่ๆ
เฉินจิ้งจงองอาจหล่อเหลา หวาหยางแต่งไปพร้อมวาดหวังว่าจะมีชีวิตสมรสที่งดงามรอคอยนางอยู่เบื้องหน้า ทว่าประสบการณ์ย่ำแย่ในคืนแต่งงานกลับทำให้นางนึกอยากกลับวังยกเลิกงานแต่ง
เจ็บถึงเพียงนั้น วันที่สองนางไหนเลยจะยังปั้นหน้ายิ้มแย้มให้เขาได้อีก
เห็นแขนของเขาที่ใหญ่กำยำ เห็นขาของเขาที่ยืดยาว แค่นึกว่าถ้าเขาหัดทำตัวสุภาพเรียบร้อยมีมารยาทเหมือนอย่างเฉินป๋อจงหรือเฉินเซี่ยวจงบ้าง บางทีเขาอาจไม่หยาบคายและใจร้อนเช่นนี้
ข้อบกพร่องเต็มตัวแทนที่จะพยายามแก้ไข กลับมาวิพากษ์วิจารณ์ท่าทีของชาวบ้าน มิหนำซ้ำยังจงใจทำตัวขัดใจนาง
เห็นเฉินจิ้งจงสูดบะหมี่คำโตเช่นนั้น หวาหยางก็อดชี้ไปที่นอกประตูไม่ได้ “ไปกินที่เรือนปีกข้างโน่น!”
สามีภรรยามีแต่ต้องพยายามร่วมกันถึงจะมีช่วงเวลาดีๆ ด้วยกันได้ ในเมื่อเฉินจิ้งจงไม่ยอมให้ความร่วมมือ แล้วนางมีเหตุผลอันใดให้ต้องยอมทน
ด้วยเหตุนี้เฉินจิ้งจงจึงทำเพียงมองนางปราดหนึ่ง ถือชามตะเกียบเดินจากไป
หวาหยางกลับเข้าห้องด้วยความโมโห
เฉาอวิ๋นตามเข้ามา ประคององค์หญิงนั่งลงพลางลูบแผ่นหลังนางเบาๆ เอ่ยอย่างเจ็บปวดใจแทน “องค์หญิงอย่าได้กริ้วนะเพคะ เดี๋ยวจะส่งผลเสียต่อพระวรกาย แลกกับเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อยนะเพคะ”
หวาหยางมองออกไปที่นอกหน้าต่าง เห็นเงาร่างของเฉินจิ้งจงหายลับเข้าไปในเรือนปีกตะวันออกพอดี “ข้าก็ใช่ว่าอยากโมโห แต่คำพูดของเขาเจ้าเองก็ได้ยินไม่ใช่หรือไร”
ก่อนหน้านี้เดิมทีเฉาอวิ๋นเดินจากไปไกลแล้ว แต่เพราะฟังออกถึงความรู้สึกขุ่นข้องของผู้เป็นนาย นางจึงลอบขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะได้ยินราชบุตรเขยกล่าววาจาสกปรกไร้ยางอายอย่าง ‘ขอแค่ตอนข้าต้องการองค์หญิงยอมให้ความร่วมมือด้วย’ ซึ่งเป็นสาเหตุให้องค์หญิงยิ่งเดือดดาลเข้าไปใหญ่
อย่าว่าแต่องค์หญิงเลย แม้แต่เฉาอวิ๋นเองก็ยังรู้สึกโมโห!
เยี่ยม ราชบุตรเขยอยากนอนด้วย องค์หญิงก็ต้องให้ความร่วมมือน่ะหรือ เขาเห็นองค์หญิงของข้าเป็นนางคณิกาขับร้องบทเพลงกล่อมนอนหรือไรกัน
องค์หญิงของนางฐานะสูงส่ง ราชบุตรเขยแทนที่จะหาหนทางเอาอกเอาใจองค์หญิงเพื่อให้ได้มาซึ่งโอกาสกลับขึ้นไปนอนเตียงเหมือนเก่า แต่นี่อะไร กลับหาว่าองค์หญิงของนางชักสีหน้า มิหนำซ้ำยังจงใจหาเรื่องให้องค์หญิงโกรธอีก
“ได้ยินแล้วหม่อมฉันยังอยากจับราชบุตรเขยกดนอนบนม้านั่ง โบยเขาให้หนักๆ สักหลายๆ ทีช่วยองค์หญิงระบายโทสะ!” เฉาอวิ๋นพูดพลางมองไปทางเรือนปีกตะวันออกด้วยสายตาชิงชัง
หวาหยางนึกภาพไปตามคำพูดของอีกฝ่าย ในใจรู้สึกสบายขึ้นเล็กน้อย
เฉาอวิ๋นช่วยนวดไหล่ให้องค์หญิงอย่างใส่ใจ พอได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกของผู้เป็นนายกลับมาเป็นปกติ นางก็เริ่มเล่าเรื่องราชบุตรเขยไปล่าสัตว์ออกมา
“องค์หญิง แม้บางครั้งราชบุตรเขยจะทำตัวน่าโมโห แต่ถึงอย่างนั้นในใจเขาก็ยังคงเป็นห่วงองค์หญิงไม่น้อยนะเพคะ ยังไม่ทันกินข้าวเช้าราชบุตรเขยก็ปีนกำแพงออกไปตั้งแต่หัวรุ่ง จับไก่ป่ากับปลาตัวหนึ่งกลับมา บอกเฉาเยวี่ยให้ตุ๋นน้ำแกงบำรุงสุขภาพให้พระองค์”
นางเป็นคนยุติธรรม กับราชบุตรเขยอะไรควรด่าก็ด่า อะไรควรชมก็ชม
หวาหยางตะลึงงัน
ชาติที่แล้วเฉินจิ้งจงลอบออกไปกินเนื้อสัตว์ ถ้าจำไม่ผิดเหตุการณ์เหมือนไม่ได้เกิดขึ้นเร็วเช่นนี้ ย่าแท้ๆ ของตนเองเพิ่งถูกฝังกลบไปได้แค่ครึ่งเดือนเท่านั้นไม่ใช่หรือไร
หรือเพราะเมื่อวานเขาตักตวงผลประโยชน์จากนางไปเต็มอิ่มแล้ว จึงใช้วิธีนี้ตอบแทนน้ำใจ?
คิดว่านางอยากได้น้ำแกงปลาของเขานักหรือไร
เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางช่วยชี้หนทางให้เขา มิหนำซ้ำยังบอกออกไปชัดแจ้งด้วยว่านางประสงค์สิ่งใด แต่เฉินจิ้งจงกลับไม่ยอมรับปาก!
“ไม่กิน ไปบอกเฉาเยวี่ย ถ้าราชบุตรเขยอยากกินน้ำแกงก็ให้เขาลงครัวเอง พวกเจ้าห้ามช่วยเขาเด็ดขาด ทำได้แค่เพียงเตรียมอาหารปกติให้เขาสามมื้อต่อวันเท่านั้น”
เฉาอวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เพียงไม่นานนางก็ตัดสินใจได้!
ฝั่งหนึ่งคือน้ำแกงปลาธรรมดาๆ ถ้วยหนึ่ง ส่วนอีกฝั่งคือคำสั่งขององค์หญิง แน่นอนว่าอย่างหลังย่อมสำคัญกว่า!
ราชบุตรเขยทำองค์หญิงโมโหเช่นนี้ เลิกฝันไปได้เลยว่าจะใช้น้ำแกงปลาถ้วยหนึ่งขจัดความรู้สึกขุ่นข้องได้
เฉาอวิ๋นเดินกระฟัดกระเฟียดมาที่ห้องครัว
เฉาเยวี่ยกำลังขอดเกล็ดปลา มีผ้ากันเปื้อนพันอยู่รอบเอว ไม่เหลือท่วงทีเฉกเช่นนางกำนัลข้างกายขององค์หญิงอย่างในอดีตอีก
ทว่าเพื่อองค์หญิง เฉาเยวี่ยรู้สึกยินดี พอนึกว่าอีกสักครู่ก็จะสามารถลงมือตุ๋นน้ำแกงปลารสเลิศให้กับองค์หญิงได้ มุมปากของนางก็ยกขึ้นน้อยๆ
เฉาอวิ๋นเดินมาหยุดอยู่ข้างกายอีกฝ่าย กระซิบพูดอะไรบางอย่าง
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉาเยวี่ยจางหาย นางสั่งเฉาอวิ๋นให้ไปรับใช้องค์หญิงก่อน ส่วนตนเองก็เช็ดมือเช็ดไม้ สายตากวาดมองไปยังปลาอ้วนที่ขอดเกล็ดเสร็จแล้วครึ่งหนึ่งด้วยความรู้สึกเสียดาย หลังจากนั้นก็เดินออกจากห้องไป มาหยุดอยู่ที่ขอบหน้าต่างเรือนปีกตะวันออกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ราชบุตรเขย องค์หญิงมีคำสั่ง บอกว่าไม่ประสงค์จะดื่มน้ำแกงปลา หากท่านต้องการก็เชิญไปตุ๋นเอง”
หลังนางพูดจบได้ไม่นานเฉินจิ้งจงก็เดินออกมา มือข้างหนึ่งถือชามเปล่า มืออีกข้างถือตะเกียบ
เฉาเยวี่ยยืนนิ่งไม่ถ่อมตน ไม่จองหองอวดดี
เฉินจิ้งจงมองไปทางห้องประธาน หน้าต่างบานนั้นปิดลงแล้ว บดบังคนที่อยู่ด้านในไม่ให้ผู้ใดมองเห็น แล้วเขาก็ขมวดคิ้ว
ทะเลาะก็ส่วนทะเลาะ เขาไม่ได้โกรธสักหน่อย นางเป็นองค์หญิงย่อมมีสิทธิ์รังเกียจเขา และในเมื่อเขาไม่เจ็บไม่คันกับสิ่งที่นางทำ แล้วเหตุใดเขาต้องถือสาหาความนางด้วย
แต่เขาไม่อาจทนดูนางผอมแห้งแรงน้อยต่อไปได้อีก เพราะไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นความทุกข์ยากที่นางจำต้องเผชิญเพราะแต่งงานกับเขา
เฉินจิ้งจงไปยังห้องครัว ปิดประตูหน้าต่างสนิทแน่น
เฉาเยวี่ยยืนฟังอยู่ทางด้านนอกครู่หนึ่งก่อนจะไปรายงานต่อองค์หญิง
หวาหยางรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย นางรู้ว่าเฉินจิ้งจงย่างพวกสัตว์ป่าเป็น แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะยังทำน้ำแกงปลาเป็นด้วย บนโลกนี้จะมีบุรุษหนุ่มสักกี่คนที่ทำครัวเป็น
ในห้องครัว
ภายใต้การเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว เพียงไม่นานเฉินจิ้งจงก็จัดการกับปลาเป็นที่เรียบร้อย
บิดาของเขาอายุเลยสามสิบถึงค่อยไปลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองหลวง รับคนทั้งครอบครัวเข้าไปอยู่ด้วยกัน ทว่าท่านย่ากลับไม่คุ้นชินกับชีวิตเช่นนั้น หลังทนอยู่ได้หนึ่งปีนางก็พาอารองกับครอบครัวของเขากลับมายังบ้านเก่า
เฉินจิ้งจงตอนอายุสิบขวบได้พาอาจารย์สอนการต่อสู้กลับมาด้วย จนกระทั่งอายุสิบแปดถึงได้ถูกท่านย่าเร่งเร้าให้เข้าเมืองหลวงไปแสวงหาความก้าวหน้า
ตลอดช่วงระยะเวลาแปดปี สาวชาวบ้านอย่างท่านย่าชอบเข้าครัวลงมือทำอาหารเอง ส่วนเฉินจิ้งจงก็อยู่เป็นลูกมือคอยช่วยอีกฝ่ายทำอาหารเสมอ ดังนั้นจึงพอมีวิชาทำอาหารติดตัวอยู่บ้าง
ปลาพวกนี้เจริญเติบโตอยู่ในทะเลสาบที่ถูกห้อมล้อมด้วยผาชัน แม้แต่พวกนายพรานที่อยู่ละแวกนั้นก็ยังไม่เข้าไป เมื่อไม่มีอันตรายกล้ำกราย พวกมันย่อมอ้วนท้วนสมบูรณ์
เฉินจิ้งจงสับหัวปลาออก หมักเนื้อปลาไว้ครู่หนึ่ง รอไว้ให้สาวใช้นำไปตุ๋นน้ำแดงตอนอาหารกลางวัน
หัวปลาใหญ่พอๆ กับหนึ่งฝ่ามือของเขา เฉินจิ้งจงลงมือทอดด้วยน้ำมันปริมาณน้อยๆ ก่อน หลังจากนั้นค่อยเอาไปตุ๋นอีกที ใช้ไฟแรงทำน้ำแกง
อากาศบริเวณหน้าช่องเตาไฟร้อนจัด เมื่อเฉินจิ้งจงเติมฟืนลงไป เหงื่อพราวผุดเต็มหน้าผาก
แม้เปิดหน้าต่างอากาศย่อมเย็นสบายหน่อย ทว่าถึงตอนนั้นกลิ่นหอมของน้ำแกงปลาย่อมกระจายออกไป หากมีลมพัดหอบเอากลิ่นของมันไปถึงเรือนหลัก ตาเฒ่าเกิดได้กลิ่นขึ้นมามีหวังต้องตรงดิ่งมาเอ่ยปากสั่งสอนเขาเป็นแน่
เฉินจิ้งจงไม่กลัวถูกสั่งสอน เพียงแต่เขาคิดว่าปัญหาน้อยดีกว่าปัญหามาก ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ไม่อยากให้คนในบ้านนึกสงสัยว่าหวาหยางเองก็กินเนื้อสัตว์ด้วยหรือไม่ เอานางไปซุบซิบนินทาลับหลัง
หลังจากผ่านไปได้ราวๆ หนึ่งเค่อ เฉินจิ้งจงก็ยกฝาหม้อออก น้ำแกงที่อยู่ด้านในเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวข้น เต้าหู้ลื่นๆ กับเห็ดภูเขาหน้าตาคล้ายร่มกลิ้งขลุกๆ อยู่ภายใน
เฉินจิ้งจงเปิดตู้ครัว หยิบเอาถ้วยน้ำแกงลายดอกโบตั๋นออกมาใบหนึ่ง หลังจากนั้นก็หยิบเอาชามกับตะเกียบออกมาอีกคู่
เหมือนหวาหยางจะชอบดอกโบตั๋นมากเป็นพิเศษ ในบ้านนอกบ้านทุกหนแห่งล้วนมีร่องรอยของดอกโบตั๋น
เฉาอวิ๋นหลบอยู่หลังหน้าต่างโถงกลาง พอประตูครัวเปิดออก เห็นราชบุตรเขยประคองถาดรองเดินตรงมาที่ห้องประธาน นางก็รีบเข้าไปรายงานองค์หญิงที่อยู่ในห้องนอน
หวาหยางนั่งอยู่ริมโต๊ะโดยมีกระดาษเซวียนจื่อ แผ่นหนึ่งวางอยู่ตรงหน้า กำลังเตรียมเขียนจดหมายให้เสด็จแม่กับฮ่องเต้คนละฉบับ
ชาติที่แล้วนางเห็นหลิงโจวเป็นดินแดนแร้นแค้นห่างไกล คิดว่าการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เป็นเรื่องลำบากลำบน ไม่มีอะไรให้เขียน ดังนั้นจึงมีเพียงช่วงก่อนปลายปีเท่านั้นที่นางจะตอบกลับไปอย่างขอไปที
ยามนี้นางคิดจะเขียนเรื่องราวที่น่าสนใจอะไรบางอย่างให้เสด็จแม่และน้องชายเชื่อว่านางอยู่ที่นี่สุขกายสบายใจดี
เพิ่งเริ่มเขียนคำว่า ‘ทูลเสด็จแม่’ เฉาอวิ๋นก็ตรงเข้ามารายงานข่าว
“พวกเจ้าถอยออกไปก่อน”
หวาหยางมือขวาจับพู่กัน มือซ้ายยกชายแขนเสื้อ ลงมือเขียนต่อ
ขณะที่เฉินจิ้งจงประคองถ้วยน้ำแกงเดินเข้าไปในโถงกลาง เขาก็เห็นเฉาอวิ๋นกับเฉาเยวี่ยเดินออกมาจากห้องนอนทีละคน สีหน้าของเขายังคงเป็นปกติคล้ายไม่สนใจว่าพวกสาวใช้รู้แล้วว่าเขาลงมือทำน้ำแกงปลาให้องค์หญิงเองกับมือ
เฉาอวิ๋นกับเฉาเยวี่ยก้มหน้าหลบไปยืนอยู่อีกด้านเปิดทางให้เขา ทันทีที่เฉินจิ้งจงเดินผ่านหน้าไปพวกนางสองคนก็ได้กลิ่นน้ำแกงหอมกรุ่นยั่วจมูก
เฉาอวิ๋นกลืนน้ำลายอย่างไม่นึกละอาย
สำหรับพวกนางแล้วน้ำแกงปลาไม่ใช่ของหายากอะไร ทว่าสามเดือนมาแล้วที่พวกนางไม่เคยได้ลิ้มรสเลยสักครั้ง ด้วยเหตุนี้น้ำแกงปลาถ้วยหนึ่งจึงกลายเป็นอาหารอันโอชะ
อยู่ห่างกันเพียงคืบ
เฉินจิ้งจงเดินตรงมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะหนังสือ วางถาดลงตรงหน้าหญิงสาว
หวาหยางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ปรายตามองดูถ้วยน้ำแกงตรงหน้าปราดหนึ่งก่อนจะหันกลับไปตั้งอกตั้งใจเขียนจดหมายต่อ
เฉินจิ้งจงเปิดฝาถ้วยออก กลิ่นหอมข้นๆ แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ
ขนตาของหวาหยางกระตุกเล็กน้อย ทว่านางกลับทำทีคล้ายไม่ได้กลิ่นอันใด
เฉินจิ้งจงไม่ได้สังเกตดูว่านางเขียนอะไร เขาตักน้ำแกงถ้วยหนึ่งออกมาวางแยก ก่อนจะนั่งลงไป ใช้ตะเกียบคีบเนื้อที่ไม่มีก้างออกมาจากหัวปลา แยกวางลงบนจานอีกใบ
“น้ำแกงยังร้อนอยู่ องค์หญิงกินเนื้อก่อนก็แล้วกัน”
หลังคีบเนื้อออกมาห้าหกชิ้น เฉินจิ้งจงก็เลื่อนจานไปทางนาง
หวาหยางสีหน้าเรียบเฉย “ข้ามาที่นี่เพื่อไว้ทุกข์ให้ฮูหยินผู้เฒ่า ไม่ใช่มากินเนื้อสัตว์”
“องค์หญิงผ่ายผอมเช่นนี้ ท่านย่าเห็นต้องเจ็บปวดใจแน่”
“จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าเพิ่งแต่งเข้ามาได้ไม่ทันไรก็เห็นท่านเหมือนสินค้าชิ้นหนึ่ง วันๆ เอาแต่ชักสีหน้าใส่ท่าน อีกทั้งยังไม่ให้ท่านนอนเตียงอีก เช่นนี้แล้วฮูหยินผู้เฒ่าคงมีแต่จะตำหนิว่าข้ารังแกหลานชายที่แสนดีของนางมากกว่า”
“วางใจได้ ท่านย่าเป็นคนขี้ขลาด ต่อให้ข้านอนพื้นทุกคืน นางก็ไม่มีทางกล้ามีเรื่องกับองค์หญิง” เขาตอบกลับอย่างรวดเร็ว
หวาหยางมองดูเนื้อปลาในถ้วยนั่นก่อนจะช้อนตามองเขา “ในเมื่อท่านโกรธข้า แล้วเหตุใดถึงยังทำดีหวังผลกับข้าอีก”
“องค์หญิงอดอยากผ่ายผอมอยู่ที่บ้านข้า หากข้าไม่ขุนองค์หญิงให้อ้วนขึ้นอีกหน่อย กลับเมืองหลวงไปไหนเลยจะมีคำตอบให้กับฝ่าบาทได้”
หวาหยางยังคงเขียนหนังสือต่อ “อารมณ์ไม่ดี ไม่ว่าจะอร่อยสักเพียงใดข้าก็ไม่อยากกิน”
“หากข้ากินข้าวเสียงเบา องค์หญิงก็จะอารมณ์ดีอย่างนั้นหรือ”
หวาหยางยอมรับอยู่เงียบๆ
เฉินจิ้งจงยังอยากพูดถึงเรื่องขึ้นไปนอนบนเตียง แต่เพราะกลัวจะทะเลาะกันขึ้นมาอีกจึงได้แต่ตอบรับนางก่อน “ได้ หากองค์หญิงยอมกินเนื้อดื่มน้ำแกงดีๆ ข้าจะยอมเปลี่ยน”
หวาหยางอยากทำดีกับเขาจริงๆ พอเห็นเขายอมถอยก้าวหนึ่งนางก็ไม่ดื้อรั้นอีก ย้ายกระดาษกับพู่กันไปข้างๆ แล้วถือจานไว้
เฉินจิ้งจงรีบยื่นตะเกียบส่งให้นาง
เนื้อปลาสดใหม่ รสชาติเค็มกำลังดี หวาหยางกินอย่างพินิจพิจารณาและระมัดระวัง โชคดีที่ไม่ได้กินถูกก้างเข้า
เฉินจิ้งจงนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม มองดูขนตายาวๆ ของอีกฝ่ายที่กำลังหลุบลง แก้มตอบขาวสะอาดขับดุนให้ริมฝีปากแลดูนุ่มนวลอ่อนโยนหยาดเยิ้ม
ไม่เสียทีที่เป็นองค์หญิง จะกินอะไรล้วนแทบไม่มีเสียง อีกทั้งยังคล้ายเป็นเช่นนี้นับแต่เกิด ไม่ชวนให้คนรู้สึกว่านางจงใจทำ
“หากเหล่าทหารล้วนกินเหมือนอย่างองค์หญิง ม้าเหล็กของพวกศัตรูคงบุกเข้าถึงค่ายก่อนแล้ว” เฉินจิ้งจงเอ่ยปากประชดเล็กน้อย
หวาหยางไม่ได้มองดูเขา “ข้าไม่ใช่ทหาร”
“แต่ข้าคือผู้ฝึกยุทธ์ ตีข้าให้ตายข้าก็ทำอย่างองค์หญิงไม่ได้”
“ข้าไม่ได้ให้ท่านทำอย่างข้า แค่เอาอย่างบิดาและพี่ชายท่านก็พอ แน่นอนว่าหากข้ามองไม่เห็น ท่านจะกินดื่มเช่นไรก็ตามแต่”
เฉินจิ้งจงประชดเสียงออกจมูก ทว่ามือกลับยังคงคีบเนื้อปลาให้นางต่อ ให้จานที่อยู่ตรงหน้านางยังคงมีเนื้อปลาห้าหกชิ้นเหมือนเช่นเดิม
หลังจากกินปลาไปได้เจ็ดแปดชิ้น หวาหยางก็นึกอยากหยุดตะเกียบ
เฉินจิ้งจงยังคงควานหาเนื้อจากหัวปลา เขาเอ่ยปากโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “กินให้มากหน่อย หน้าอกเป็นไม้กระดานหมดแล้ว”
หวาหยาง “…”
เห็นอีกฝ่ายหน้าแดงไม่รู้เพราะโกรธหรือขัดเขินกันแน่ เฉินจิ้งจงก็แย้มยิ้ม “พูดตรงไปตรงมาก็ไม่ได้หรือ ตอนแต่งเข้ามาใหม่ๆ องค์หญิงยังดูอวบอ้วนอยู่นิดหน่อยเลย”
คำว่าอวบอ้วนนี้เขาจงใจกระเซ้านาง อันที่จริงต้องบอกว่าอวบอัดมากกว่า
ตอนอยู่ในเมืองหลวงเขาเคยพบเจอโฉมสะคราญรูปร่างผอมเพรียวมาไม่ใช่น้อย รวมทั้งพี่สะใภ้ทั้งสองก็จัดอยู่ในพวกต้องลมเข้าหน่อยก็ล้มได้ทันที ทว่าหวาหยางกลับต่างออกไป ถึงเอวจะเล็กคอดกิ่ว แต่แก้มกลับเป็นพวง คล้ายผลท้ออวบอิ่มส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ชวนให้คนนึกอยากพุ่งเข้าไปกัดสักคำ
ตอนที่ตาเฒ่าบอกให้เขาแต่งกับองค์หญิงที่ฟังดูเหมือนจะเอาใจยากนั้น เฉินจิ้งจงเคยเอ่ยปากปฏิเสธมาก่อน จนกระทั่งวันที่ได้พบเจอกันที่ลานประลอง เขาเห็นนางขาวสล้างโดดเด่นอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่เดินตามหลังฮ่องเต้อยู่ไกลๆ แค่ความขาวราวกับหิมะแรกนั่นก็ทำเอาท้องน้อยของเขาเกร็งไปหมด
เขาอยากได้ตัวนาง ขอเพียงนางยอมหลับนอนกับเขา ตอนกลางวันนางจะเย่อหยิ่งสักเพียงใด รังเกียจชิงชังเขาปานใด ต่อให้ต่อว่าต่อขานเขาหนักถึงเพียงใด เฉินจิ้งจงก็ล้วนไม่ใส่ใจ
หวาหยางไม่พอใจกับวาจาสกปรกโสมมของเขาอยู่เป็นทุนเดิม ยิ่งพอเห็นสายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่อกเสื้อของนางเช่นนั้น นางก็ยิ่งเดือดดาล
ต้องเป็นเพราะเมื่อคืนนางยอมเขามากไปแน่ๆ เขาถึงยิ่งทำตัวหน้าไม่อายเช่นนี้
นางวางตะเกียบลงด้วยสีหน้าเย็นชาปั้นปึ่ง “ข้าไม่กินแล้ว ท่านยกออกไปได้แล้ว”
เฉินจิ้งจงเลื่อนถ้วยน้ำแกงมาทางนาง “น้ำแกงต่างหากถึงจะเป็นอาหารหลัก องค์หญิงลองชิมดูก่อน ถ้าอร่อยก็ยกโทษที่เมื่อครู่ข้าปากไม่มีหูรูดก็แล้วกัน แต่ถ้าไม่อร่อยข้ายินดีรับโทษเพิ่ม เชิญองค์หญิงลงโทษได้ตามสบาย”
หวาหยางนึกคล้อยตาม ใช้ช้อนตักน้ำแกงขึ้นมาคำเล็กๆ หลังจากดื่มเสร็จนางก็ขมวดคิ้ว ขณะกำลังจะเอ่ยปาก จู่ๆ เฉินจิ้งจงก็พูดขึ้น
“ถ้าบอกว่าไม่อร่อย น้ำแกงปลาที่เหลือล้วนเป็นของข้า หลังจากนี้ข้าจะไม่ขึ้นเขาทำอาหารป่าให้องค์หญิงอีก นอกเสียจากว่าองค์หญิงจะให้ข้านอนด้วย นอนครั้งหนึ่งแลกกับอาหารสำหรับหนึ่งวัน”
หวาหยาง “…”
“ตอนนี้องค์หญิงพูดออกมาตามตรงได้เลย หลังจากนี้ไม่ว่าท่านจะให้ข้านอนด้วยหรือไม่ ขอเพียงข้าขึ้นเขาไปหาของกิน ข้าจะเอากลับมาแบ่งให้องค์หญิงส่วนหนึ่ง”
หวาหยางใบหน้าแดงก่ำ นางตำหนิเขาเสียงแผ่ว “วันๆ ท่านรู้จักก็แต่เรื่องหลับนอนหรือไร”
เฉินจิ้งจงพิงหลังเข้ากับพนักเก้าอี้ สีหน้าคล้ายไม่ได้ทำผิดอะไร “องค์หญิงเพิ่งจะยอมให้ข้านอนด้วยแค่สองครั้งเท่านั้น ตอนนี้ยังจะห้ามข้านึกถึงอีกอย่างนั้นหรือ”
หวาหยางไม่อยากคุยกับเขาเรื่องนี้ นางหน้าหงิกหน้างอเดินไปที่เตียงแล้วนั่งลงบนขอบเตียง ใบหน้าหันเข้าด้านใน เผยให้เห็นลำคอเรียวยาวสีชมพูระเรื่อ
เฉินจิ้งจงมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ประคองถ้วยน้ำแกงเดินเข้าไปนั่งลงตรงหน้านาง
หวาหยางไม่มองเขา
เฉินจิ้งจงถอนหายใจ “กินเถอะ ร่างกายสำคัญ”
เขายกถ้วยขึ้นระดับมุมปากของหญิงสาว หวาหยางหันหน้ามา ทันทีที่หันมานางก็สังเกตเห็นขากางเกงที่เปียกชื้นเป็นวงกับพื้นรองเท้าเปื้อนโคลนของเขา
พอนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้กินข้าวเช้าก็ขึ้นเขาไปล่าสัตว์เพื่อเอามาให้นางบำรุงร่างกาย หวาหยางก็ใจอ่อน
นางรับถ้วยน้ำแกงมา หลุบตากินเข้าไปช้อนแล้วช้อนเล่า
หากว่ากันด้วยใจเป็นธรรม ฝีมือเข้าครัวของเฉินจิ้งจงนับว่าไม่เลว น้ำแกงปลาสดใหม่ถูกปาก
เพราะนางยินดีดื่ม บรรยากาศระหว่างสามีภรรยาถึงได้ผ่อนคลายลง
เฉินจิ้งจงตักน้ำแกงถ้วยที่สองให้นาง
คราวนี้พอดื่มหมด หวาหยางก็ไม่ยอมดื่มอีกแล้ว
เฉินจิ้งจงกลับไปที่โต๊ะ แต่ทันใดนั้นเขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้บางอย่างจึงหันหน้ากลับมาเอ่ยถาม “ข้าคล้ายได้กลิ่นยา องค์หญิงไม่สบายตรงที่ใดหรือ”
หวาหยางประชดออกมาคำหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าตอบ “ข้ากลัวตั้งครรภ์ก็เลยกินยาห้ามครรภ์เข้าไป ขมนิดหน่อย”
เฉินจิ้งจงขมวดคิ้ว “ยาห้ามครรภ์?”
หวาหยางอธิบายให้เขาฟังถึงคุณประโยชน์ของยาลูกกลอนชนิดนี้ด้วยคำพูดสั้นกระชับเรียบง่าย
เป็นยาที่ประกอบไปด้วยพิษสามส่วน เฉินจิ้งจงยังคงไม่เข้าใจนัก “ข้าบอกแล้วว่าปลดปล่อยข้างนอก เหตุใดองค์หญิงถึงยังต้องทำอะไรให้มันมากความเช่นนี้อีก”
หวาหยางกุมแขนเสื้อแน่น ถลึงตามองเขาพลางพูด “ตาข้างใดของท่านเห็นว่ามันจะไม่พลาด แน่อยู่แล้วว่าเรื่องตั้งครรภ์นี้ไม่เกี่ยวกับท่านเลย แต่เป็นข้าต่างหากที่ต้องกินยาห้ามครรภ์ ข้าอาจจะป่วยหรือถึงขั้นเสียชีวิตไปเลย แต่ท่านกลับสามารถทำตัวเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้!”
ยาขมถึงเพียงนั้น คิดว่านางโง่หรือไรที่ต้องกินมันลงไปให้ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะยอมรับต่อผลของการตั้งครรภ์ในช่วงไว้ทุกข์ไม่ไหว!
ครั้นเห็นหางตานางแดงระเรื่อขึ้นมา เฉินจิ้งจงก็ชักนึกเสียใจ
เพราะเพิ่งแต่งงานเป็นครั้งแรก เป็นสามีครั้งแรก เขาถึงได้คิดว่าขอแค่ปลดปล่อยอยู่ภายนอกเท่านั้นก็จะไม่มีอันใดผิดพลาดได้แล้ว ที่พูดออกไปเช่นนั้นก็เพราะไม่ต้องการให้นางต้องทรมานกินยาเข้าไปเปล่าๆ
“ขออภัยด้วย ข้าผิดเอง” เฉินจิ้งจงวางถ้วยน้ำแกงลงข้างๆ หันกลับไปนั่งยองๆ ลงตรงหน้านาง กุมมือนางพลางเอ่ยปากขออภัย
หวาหยางสีหน้าเย็นชาสะบัดมือเขาออก ความรู้สึกหงุดหงิดโมโหตลอดเช้าเอ่อท้นออกมาอีกระลอก หยาดน้ำตาเกาะอยู่บนขนตา
จู่ๆ เฉินจิ้งจงก็พบว่าเขาไม่กลัวนางชักสีหน้า ไม่กลัววาจาถากถางเย้ยหยันของนาง แต่กลับกลัวท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้ของนาง
“ได้ ข้ารับปาก ก่อนออกจากไว้ทุกข์ข้าจะไม่คิดถึงเรื่องนั้นอีก จะไม่ให้องค์หญิงต้องกินยานั่นอีกแม้แต่เม็ดเดียว”
หวาหยางนิ่งเฉยไม่ยินดียินร้าย
เฉินจิ้งจงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “หลังจากนี้ข้าจะกินข้าวดีๆ อาบน้ำบ้วนปากทุกวัน รับรองว่าจะไม่ทำให้องค์หญิงต้องปวดหัวอีก”
หวาหยางก้มหน้ามองดูเขาก่อนจะเอ่ยปาก “เรื่องนี้ท่านเป็นคนพูดเองนะ วันหน้าหากท่านผิดคำพูด ข้าจะไม่ดีกับท่านอีก”
เฉินจิ้งจงพยักหน้ารัวๆ
นางพูดจบจู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ นางเคยทำดีกับข้าตั้งแต่เมื่อไรกัน
บทที่ 6
น้ำแกงปลาที่เหลือไม่ได้เสียเปล่า ทั้งหมดล้วนตกสู่กระเพาะของเฉินจิ้งจง
เพราะเพิ่งทำหญิงสาวหลั่งน้ำตาหมาดๆ เฉินจิ้งจงจึงกินอย่างไม่สบายใจเท่าไรนัก เขาใช้ช้อนเล็กของนางค่อยๆ ตัก ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ยกถ้วยจรดปากได้ก็กรอกมันลงท้องไปตรงๆ
หวาหยางนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ลงมือเขียนจดหมายต่อ
นางไม่มีอันใดปิดบัง เฉินจิ้งจงเองก็มองดูนางเขียนอย่างเปิดเผย หน้าแรกที่นางเขียนล้วนแต่บรรยายว่าระหว่างทางคนที่บ้านของเขานั้นเอาใจใส่ดูแลนางเช่นไร ตัวอักษรที่นางเขียนล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกพึงพอใจที่มีต่อพวกเขา
ช้อนในมือของเฉินจิ้งจงกระแทกถูกมุมปากทำให้น้ำแกงกระฉอก เขารีบดึงตัวออก โชคดีที่ไม่ได้เปื้อนถูกอกเสื้อ เพียงแต่การเคลื่อนไหวใหญ่โต งกๆ เงิ่นๆ เกินไปหน่อยก็เท่านั้น
หวาหยางชายตามองเขาปราดหนึ่ง
รังเกียจก็ยังคงรังเกียจ แต่ไม่ได้ชิงชังเหมือนอย่างในอดีต คล้ายแค่ตำหนิติติงมากกว่า
สายตาของนางทำเอาเฉินจิ้งจงคันคะเยอไปทั้งเนื้อทั้งตัว เขาเพิ่งรับปากนางว่าจะไม่แสดงอารมณ์ปรารถนาใดๆ ออกมา ดังนั้นจึงทำได้เพียงแสร้งว่าจิตใจสงบนิ่งดั่งสายน้ำ
“จดหมายนั่นแจ้งแต่เรื่องดี ไม่บอกกล่าวเรื่องร้าย?”
เฉินจิ้งจงวางช้อนลง เขาเดาว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะอธิบายได้ว่าเหตุใดนางที่มีแต่ความไม่พอใจเต็มท้อง แต่สิ่งที่เขียนกลับเหมือนเป็นคนละคนเลย
“พูดตามตรง นอกจากท่านแล้ว คนในบ้านของท่านทุกคนล้วนห่วงใยเอาใจใส่ข้า ส่วนเรื่องจุดพักม้าซอมซ่อรถม้านั่งไม่สบายนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่ยากจะเลี่ยงได้”
“เหตุใดต้องนอกจากข้า ข้าปฏิบัติต่อองค์หญิงไม่ดีตรงที่ใด”
หวาหยางยังไม่ทันพลิกบัญชีเก่า เสียงของเฉาอวิ๋นก็ดังลอยเข้ามา “องค์หญิง ราชบุตรเขย เฉินฮูหยินมาเพคะ!”
พวกเขาสองสามีภรรยาสบตากันทีหนึ่ง หวาหยางลุกขึ้นเก็บโต๊ะหนังสือ เฉินจิ้งจงรีบเอาถ้วยน้ำแกงกับข้าวของอื่นๆ ไปเก็บซ่อน…ในห้องเวจ
หวาหยาง “…”
นางไม่มีทางใช้ถ้วยชามชุดนี้อีก
ครั้นเฉินจิ้งจงออกมาจากห้องเวจ นางก็ถลึงตาใส่เขาคราหนึ่งก่อนจะเดินออกไป
ซุนซื่อเดินตามเจินเอ๋อร์เข้าไปในลาน โดยมีสาวใช้รุ่นใหญ่ที่ชื่อล่าเหมยเดินตามหลังมาด้วย
ซุนซื่อคือภรรยาของเก๋อเหล่าเฉินถิงเจี้ยน
นางเกิดในเมืองหลิงโจว บิดาเป็นอาจารย์อยู่ในสำนักศึกษาของทางการ ความรู้กว้างขวาง ในเวลานั้นเฉินถิงเจี้ยนมักจะไปเยี่ยมคำนับเขาอยู่เสมอ ถึงได้รู้จักซุนซื่อ สุดท้ายก็สู่ขอนางเป็นภรรยา
แม่สามีอำลาโลก ซุนซื่อผู้เป็นสะใภ้สวมอาภรณ์ไว้ทุกข์สีขาว บนศีรษะปักปิ่นไม้จันทน์ไว้อันหนึ่ง แต่งกายไม่ต่างอะไรกับสตรีทั่วไปในตำบล เพียงแต่ยามเป็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยงดงาม ยิ่งต่อมาเป็นภรรยาขุนนางติดตามเฉินถิงเจี้ยนผู้เป็นสามี มีชีวิตกินดีอยู่ดี ท่วงท่าจึงยิ่งไม่ธรรมดา แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นฮูหยินของผู้มีอำนาจวาสนา
เรือนซื่ออี๋ถังกับเรือนหลักอยู่ห่างกันแค่หนึ่งระเบียงทางเดิน เมื่อวานตอนพลบค่ำงูตัวหนึ่งทำหวาหยางตกใจกรีดร้องเสียงดัง เฉินถิงเจี้ยนกับซุนซื่อต่างได้ยิน ในเวลานั้นซุนซื่อรีบเข้ามาปลอบใจนาง วันนี้ก็แวะมาเยี่ยมอีก ทั้งนี้ก็ด้วยเพราะเป็นห่วงกลัวองค์หญิงงามหยาดเยิ้มผู้เป็นสะใภ้จะตกใจจนล้มป่วยเอา
หลังสอบถามเจินเอ๋อร์เป็นที่เรียบร้อย ซุนซื่อก็เห็นหวาหยางเดินออกจากห้องประธานมา ที่ตามอยู่ทางด้านหลังคือบุตรชายคนสุดท้องของตนเอง
ซุนซื่อกวาดตามองดูใบหน้าของสองสามีภรรยาปราดหนึ่ง หรี่ตาลงเล็กน้อย
เหมือนมีอะไรบางอย่างผิดปกติ!
องค์หญิงไม่พอใจที่เจ้าสี่ทำตัวหยาบกระด้าง เจ้าสี่เองก็ไม่ชอบท่าทีหยิ่งยโสขององค์หญิง เวลาอยู่ด้วยกันทั้งคู่มักเห็นอีกฝ่ายขัดหูขัดตา เวลานี้เหตุใดพวกเขาสองคนถึงได้ดูสมัครสมานสามัคคีกันนัก!
หรือว่าในที่สุดองค์หญิงก็เห็นข้อดีบางอย่างของเจ้าสี่แล้ว อย่างเวลากลัวงูกลัวหนอนแมลงสามารถให้เจ้าสี่ช่วยบังขวางได้?
ขณะที่ซุนซื่อกำลังลอบพินิจพิจารณาอยู่เงียบๆ หวาหยางที่กลับมาเกิดใหม่ก็รู้สึกรันทดที่ได้พบเจอแม่สามีใหม่อีกครั้ง
บ้านสกุลเฉินทั้งหมดแทบจะไม่มีใครไม่ให้ความเคารพนับถือนาง แต่คนที่ดีต่อนางที่สุดยังคงเป็นแม่สามีผู้นี้
เพราะพ่อสามีกับพี่ชายสามีเป็นบุรุษ ถึงแม้จะต้องดูแลนางแต่ก็แทบไม่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับนางเพียงลำพัง ส่วนพี่สะใภ้ทั้งสองก็กลัวนางเป็นที่สุด หรือบางทีพวกนางอาจไม่อยากให้คนรู้สึกว่าตนเองจงใจประจบสอพลอ ดังนั้นจึงมีน้อยครั้งที่จะเสนอตัวมาอยู่เป็นเพื่อนข้างกาย มีก็แต่แม่สามีเท่านั้นที่มักจะมาเยี่ยมเยือนนางอยู่เป็นประจำ คอยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบอยู่เสมอ เอาใจใส่แทบทุกอย่าง
บางทีอาจมีความกลัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทว่าหวาหยางแยกแยะออกว่าสิ่งใดมาจากใจจริง สิ่งใดแค่ทำตามหน้าที่ แม่สามีผู้นี้ชอบนางจริงๆ
แม่สามีดีเช่นนี้ ชาติที่แล้วกลับต้องมาตรอมใจตายหลังสามีสิ้นชีพ คนทั้งจวนถูกจับเข้าคุก พี่ชายใหญ่ถูกปรักปรำถูกโบยตายอย่างไร้ค่า
“ท่านแม่ ท่านมาแล้ว”
หวาหยางเดินตรงเข้าไปประคองแขนซ้ายของแม่สามีอย่างรวดเร็ว
ซุนซื่อตกตะลึง!
สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามหลังจากแต่งเข้ามาล้วนเรียกนางว่าท่านแม่ตามพวกบุตรชาย มีก็แต่องค์หญิงฐานะชาติกำเนิดสูงส่งผู้นี้เท่านั้นที่เรียกนางด้วยความเกรงใจว่ามารดา
เรียกมารดาจะว่าไปก็ดีเหมือนกัน สตรีชาวบ้านที่เติบโตอยู่ในสถานที่เช่นนี้ โชคดีได้องค์หญิงมาเป็นลูกสะใภ้ อันที่จริงก็นับว่าเกิดควันพวยพุ่งขึ้นเหนือสุสานบรรพชน* แล้ว!
ดังนั้นพอได้ยินลูกสะใภ้ซึ่งเป็นองค์หญิงเรียก ‘ท่านแม่’ เช่นนั้น ซุนซื่อก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้!
ถึงจะเห็นท่าทีตกอกตกใจของอีกฝ่ายอยู่ในสายตา แต่หวาหยางก็ไม่รู้ว่าควรอธิบายเช่นไร
ชาติที่แล้วนางไม่ได้พยายามปรับตัวเข้ากับครอบครัวนี้อย่างจริงจัง ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน หากนางอยากมีคืนวันดีๆ กับเฉินจิ้งจงจริง เช่นนั้นก็มีเรื่องราวบางอย่างที่ต้องแก้ไข
เฉินจิ้งจงมองดูนางอยู่สองสามคราว
หวาหยางคล้ายไม่รู้สึกตัว นางใส่ใจก็แต่ดูแลแม่สามี
ซุนซื่อได้สติ นางเอ่ยปากพูดอย่างเป็นห่วงเป็นใยขึ้นมาก่อน “เมื่อคืนหลังโปรยยาพวกนั้น ยังเห็นหนอนแมลงสัตว์เลื้อยคลานอันใดอีกหรือไม่”
หวาหยางยิ้มพลางส่ายหน้า
ซุนซื่อมองดูทิวเขาที่อยู่ทางทิศเหนือแล้วพูดอย่างอับจน “ที่นี่อยู่ใกล้เขา งูเงี้ยวเขี้ยวขอสัตว์เลื้อยคลานถึงได้มีอยู่มาก พวกหม่อมฉันคุ้นเคยนานแล้ว สงสารก็แต่องค์หญิง พบเจอเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรก คงตกพระทัยไม่น้อย”
หวาหยางไม่ได้ปฏิเสธ
ชาติที่แล้วนางถูกงูเงี้ยวเขี้ยวขอสัตว์เลื้อยคลานที่โผล่มาเป็นพักๆ พวกนั้นทำเอาอกสั่นขวัญแขวนไม่น้อยจริงๆ ทุกครั้งที่ตั้งสติได้นางก็ไปอาละวาดใส่เฉินจิ้งจง จนเฉินจิ้งจงต้องนำยามาโปรยไว้รอบๆ พวกมันถึงได้ค่อยๆ มีจำนวนลดลง
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าขี้ขลาดตาขาว แล้วเมื่อคืนตอนเข้าใจผิดว่าเฉินจิ้งจงเป็นผี เหตุใดถึงไม่กลัวเล่า
หวาหยางลอบชำเลืองมองไปทางเฉินจิ้งจง
เฉินจิ้งจงคิดว่านางกำลังตำหนิที่เขาไม่ได้ทำหน้าที่องครักษ์ให้ดี ไม่ได้ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนรอบคอบ เขาระแวดระวังป้องกันโจรร้ายได้ ทว่ากับงูตัวเท่าตะเกียบจะให้คนที่อยู่เรือนปีกตะวันออกอย่างเขาป้องกันอย่างไร
จะว่าไปเขาควรต้องขอบใจงูน้อยตัวนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงยังต้องนอนคนเดียวอยู่ในเรือนปีกข้าง ไหนเลยจะสำราญบานใจอย่างเมื่อคืนได้
คนทั้งสามเข้าไปยังโถงกลาง
จู่ๆ ซุนซื่อก็สูดจมูกฟุดฟิด
หวาหยางเป็นวัวสันหลังหวะ นางไม่ปรารถนาให้แม่สามีพบว่าตนลอบกินเนื้อสัตว์
เฉินจิ้งจงเอ่ยอธิบาย “เพื่อจัดการกับเจ้างูตัวนั้น เมื่อคืนข้าตรวจค้นไปทั่วกว่าจะได้นอนก็ดึกดื่นเที่ยงคืน เช้านี้ตื่นสาย เพิ่งกินข้าวเช้าเสร็จไป”
ซุนซื่อเข้าใจ เอ่ยถามลูกสะใภ้ว่า “อาการเบื่ออาหารขององค์หญิงเช้านี้เป็นเช่นไรบ้าง”
“บางทีอาจเพราะปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศได้แล้ว ตอนนี้เจริญอาหารขึ้นมาก วันนี้ถึงกับกินบะหมี่หมดไปชามหนึ่ง”
ซุนซื่อดีใจมาก มองดูใบหน้าเล็กๆ ของนางพลางบอก “เช่นนั้นก็ดีแล้วๆ ระยะนี้องค์หญิงผ่ายผอมลงไม่น้อย ต้องบำรุงร่างกายให้มากๆ”
หวาหยางพยักหน้า ในใจคิดว่าถ้าทุกวันลอบกินเนื้อสัตว์กับเฉินจิ้งจงได้ล่ะก็ เชื่อว่าเพียงไม่กี่วันนางต้องกลับมาเป็นปกติได้แน่
หลังจากคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ซุนซื่อก็เตรียมจากไป
นางรู้ว่าฐานะของตนเองต่ำต้อย ยากจะสนทนากับองค์หญิงซึ่งเป็นลูกสะใภ้ไปในทิศทางเดียวกัน อยู่นานไปรังแต่จะทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจ
หวาหยางกับเฉินจิ้งจงส่งนางออกจากเรือนซื่ออี๋ถัง
ตอนเดินกลับมา เฉินจิ้งจงก็เอ่ยถามนาง “เหตุใดจู่ๆ องค์หญิงถึงเปลี่ยนวิธีเรียกท่านแม่”
“ข้าอยากจะเรียกเช่นไรก็เช่นนั้น มีอะไรน่าถามกัน”
เฉินจิ้งจงก้าวเท้าเดินขึ้นไปขวางอยู่หน้านาง ก้มหน้าพิจารณาสตรีที่อยู่ตรงหน้า “เปลี่ยนวิธีเรียกก็เรื่องหนึ่ง เมื่อคืนองค์หญิงเองก็ดูเหมือนจะไม่ปกติสักเท่าไร…นอนอยู่ดีๆ เหตุใดถึงต้องร้องไห้ด้วย”
หวาหยางโกหก “ข้าฝันร้าย”
“แต่ตอนนั้นองค์หญิงบอกว่าไม่ได้ฝัน มิหนำซ้ำยังทอดร่างเข้าสู่อ้อมแขนข้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน”
หวาหยางหน้าแดง ถลึงตาใส่อีกฝ่าย “ท่านไม่ชอบหรือไร”
เฉินจิ้งจงสีหน้าสับสน “ชอบก็ส่วนชอบ แต่ทำเช่นนั้นมันขัดต่อธรรมเนียมปฏิบัติ”
ความหมายก็คือถ้าไม่ใช่เพราะหวาหยางให้ท่าเขา เขาย่อมสามารถไว้ทุกข์ได้ต่ออย่างไม่มีปัญหา
ถ้าเชื่อก็น่าขันแล้ว นางผลักเขาออก เดินตรงกลับเข้าห้อง อีกทั้งยังลงกลอนไว้ กันไม่ให้เขาตามเข้ามา รบกวนนางเขียนจดหมาย
เขาออกแรงผลักประตูกลับไม่ขยับ หลังจากยืนอยู่ครู่หนึ่งเฉินจิ้งจงก็เดินไปที่ลาน
หลังจากนี้ยังต้องขึ้นเขาไปบ่อยๆ อีก จำเป็นต้องทำคันธนูและลูกธนูกับชะลอมดักปลาที่เหมาะมือไว้ใช้
ภายในห้อง ขณะที่หวาหยางเขียนจดหมายไปได้ครู่หนึ่ง จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงขัดเหลาไม้ดังขึ้น นางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าต่างด้วยความกระหายใคร่รู้ ใต้ชายคาเรือนปีกตะวันออก นางเห็นเฉินจิ้งจงนั่งอยู่บนตั่งเตี้ยตัวเล็กๆ มือข้างหนึ่งถือท่อนไม้ยาว หนาขนาดข้อมือคน ส่วนมืออีกข้างถือมีดตัดไม้ ตั้งอกตั้งใจเหลาไม้อยู่
แขนเสื้อทั้งสองข้างถูกม้วนมาจนถึงข้อศอก เผยให้เห็นต้นแขนกำยำ
ชายหนุ่มก้มหน้า ใบหน้าด้านข้างหล่อเหลาจริงจัง น่ามองเสียยิ่งกว่าองครักษ์ในจวนของท่านอาหญิงไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
นี่คือสามีของนาง เป็นบุรุษที่ต้องตาต้องใจนางในยามนั้น ถึงจะแค่ถูกใจใบหน้าของเขา แต่อย่างไรเขาก็เป็นคนที่นางเลือกเอง
หยาบกระด้างแล้วเช่นไร นางไม่ประสงค์ให้เขาตาย ครั้งนี้ไม่ว่าใครก็อย่าหวังว่าจะพรากชีวิตเขาไปได้
ด้านหน้าของเรือนซื่ออี๋ถังคือเรือนฝูชุ่ยถัง เป็นที่พำนักของครอบครัวพี่สามของเฉินจิ้งจง
เฉินเซี่ยวจงเป็นทั่นฮวา เปี่ยมสติปัญญาความสามารถ เป็นเลิศทางด้านอักษร ยามนี้กลับมาไว้ทุกข์ที่บ้านเก่า หากไม่มีกิจอันใดเขาล้วนไม่ออกจากประตู นอกจากตอนไปสอนหลานชายหลานสาวกับบุตรชายทั้งสองในห้องเรียนของตระกูลตามคำสั่งของผู้เป็นบิดา
เฉินเซี่ยวจงไม่ชอบถูกเด็กๆ ห้อมล้อม ตอนผู้เป็นบิดาเอ่ยปากสั่ง เขาก็รีบผลักพี่ใหญ่ของตนเองออกไปตามสัญชาตญาณ
‘ท่านพ่อ พี่ใหญ่ความรู้เหนือกว่าข้า ในหมู่พี่น้องนิสัยใจคอของเขาคล้ายท่านที่สุด หนักแน่นสุขุมน่าเลื่อมใส สามารถกำราบพวกเอ้อร์หลาง* อยู่ เหตุใดท่านถึงไม่ให้พี่ใหญ่สอนหนังสือเล่า’
เฉินถิงเจี้ยนสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก ‘ให้เจ้าสอนหนังสือก็เพื่อฝึกฝนนิสัยของเจ้า พี่ใหญ่ของเจ้าหนักแน่นสุขุมมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนอะไรอีก’
เฉินเซี่ยวจง ‘…’
สอนหนังสืออยู่ในเรือนหลักมาตลอดทั้งเช้า เฉินเซี่ยวจงรู้สึกอ่อนล้าไปทั้งใจ
หลังเห็นหลานสาวกับต้าหลางกลับเรือนกวนเฮ่อถังไปเป็นที่เรียบร้อย เฉินเซี่ยวจงที่อยู่บนระเบียงทางเดินก็พาเอ้อร์หลางกับซานหลางบุตรชายทั้งสองของตนมุ่งหน้าตรงไปที่เรือนฝูชุ่ยถัง
ครั้นผ่านเข้าไปถึงในลาน เขาก็พบผู้เป็นภรรยายืนอยู่ใต้ชายคาระเบียง มือข้างหนึ่งประคองครรภ์ที่โตออกมาอย่างเห็นได้ชัดพลางชะเง้อคอไปทางด้านหลังคล้ายได้กลิ่นอะไรบางอย่าง
เฉินเซี่ยวจงประหลาดใจ “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่”
หลัวอวี้เยี่ยนเรียกสาวใช้ในเรือนให้พาพวกเด็กๆ ไปล้างมือก่อน หลังจากนั้นก็เดินไปหยุดอยู่ข้างกายเฉินเซี่ยวจงกระซิบลงที่ข้างหูของอีกฝ่าย
“ข้าคล้ายได้กลิ่นปลาทอด ท่านลองดมดู”
เฉินเซี่ยวจงไม่ได้ลองทำ เขายิ้มออกมาก่อนเป็นอันดับแรก “จะเป็นไปได้อย่างไร ในบ้านของพวกเราไม่มีทางมีคนกินเนื้อสัตว์ มิหนำซ้ำด้านหลังยังไม่มีบ้านของผู้อื่น ถึงแม้ที่ถนนด้านหน้าจะมีคนกินปลาอยู่ก็ตาม แต่วันนี้ลมกลับพัดมาจากทิศเหนือ กลิ่นหอมก็ไม่มีวันมาถึงฝั่งเราหรอก”
หลัวอวี้เยี่ยนเบ้ปาก “ใครบอกว่าด้านหลังของพวกเราไม่มีคน น้องสี่กับองค์หญิงมิใช่พักอยู่ที่นั่นหรือไร ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีครัวเล็กอยู่ด้วย! เฮอะ เป็นองค์หญิงมีหรือจะทนลำบากได้ ไม่แน่ว่านางอาจจงใจให้ทางนั้นส่งปลาส่งเนื้อให้! ข้าไม่สน ข้าท้องทายาทของสกุลเฉิน ยามนี้ไม่ได้กินเนื้อมาเกือบสามเดือนแล้ว ข้าไม่กินแต่ลูกในท้องของข้าต้องได้กิน เอ้อร์หลาง ซานหลางล้วนฉลาดเฉลียว ท่านไม่กลัวว่าลูกในท้องของท่านคนนี้จะอดจนโง่หรือไร”
องค์หญิงน่าสงสาร แล้วนางไม่น่าสงสารหรือ นางเองก็เป็นบุตรีจวนโหวในเมืองหลวง อยู่ดีกินดีมาตั้งแต่เล็ก ต้องมาทนลำบากเพียงเพื่อปลามื้อหนึ่งตั้งแต่เมื่อไร
เฉินเซี่ยวจงเอ่ยขึ้น “เป็นไปไม่ได้ ท่านพ่อเคร่งครัดกฎระเบียบเป็นที่สุด ท่านแม่เองก็เชื่อฟังท่านพ่อ เรื่องอื่นๆ พวกเขาอาจทำตามประสงค์ขององค์หญิง แต่เรื่องนี้ไม่มีทาง ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะให้พ่อบ้านส่งเนื้อสัตว์เข้าไป เพราะเช่นนั้นจะทำให้เดือดร้อนและถูกจับผิดได้”
“แต่ข้าได้กลิ่นปลาจริงๆ!”
เฉินเซี่ยวจงเห็นหลัวอวี้เยี่ยนยืนกรานเช่นนั้น เขาก็ลองสูดจมูกดมดู แต่ไม่รู้ว่าไม่มีจริงๆ หรือจมูกของเขาไม่ไวเท่านางกันแน่ เขาจึงดมไม่ได้กลิ่นอะไรแม้แต่น้อย
ในตอนนี้เองสาวใช้จากเรือนหลักส่งอาหารกลางวันเข้ามาแล้ว ข้าวขาวพร้อมกับข้าวสามอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง แน่นอนไม่ว่าจะกับข้าวหรือน้ำแกงล้วนไม่มีเนื้อสัตว์
เฉินเซี่ยวจงประคองผู้เป็นภรรยาเข้าโถงกลางก่อน เอ้อร์หลางกับซานหลางล้างมือเสร็จก็เดินตามเข้ามา
เอ้อร์หลางอายุห้าขวบ รู้ว่าครอบครัวต้องไว้ทุกข์ให้กับท่านย่า ส่วนซานหลางอายุสามขวบ ไม่อาจเข้าใจเหตุผล พอเห็นบนโต๊ะไม่มีเนื้อสัตว์ที่ตนเองชอบกิน ใบหน้าเล็กๆ นั่นก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง มองดูบิดามารดาด้วยสายตาน้อยเนื้อต่ำใจ เขาอยากกลับเมืองหลวงแล้ว ตอนอยู่ในเมืองหลวงทุกวันล้วนมีเนื้อสัตว์กิน บ้านเก่าของท่านปู่ยากจนข้นแค้นเกินทน ทุกมื้อได้แต่กินผักกับโจ๊กขาว
ถ้าหลัวอวี้เยี่ยนไม่ได้กลิ่นปลา นางย่อมทนได้ แต่นี่นางได้กลิ่นแล้ว พอคิดว่าพ่อสามีลำเอียงเอาใจทางเรือนซื่ออี๋ถังมากกว่า นางก็นึกน้อยใจ กินข้าวไม่ลง
บนโต๊ะอาหารบรรยากาศอึมครึม เฉินเซี่ยวจงเห็นเต็มสองตา เขาเองก็รู้สึกไม่สบอารมณ์
ที่สำคัญคือภรรยาของเขาก็เป็นคุณหนูจวนโหวคนหนึ่ง ตอนนี้หรือก็กำลังตั้งครรภ์ แต่กลับกินได้แค่ของพวกนี้ เขามีหรือจะทนดูได้
“วันนี้กินไปก่อนเถอะ อย่างไรข้าจะลองคิดหาหนทางดู” เฉินเซี่ยวจงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ตำแหน่งทั่นฮวาของเขานี้ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ เขามีหน้าตาหล่อเหลา อัธยาศัยดี กิริยาท่าทางงดงาม ยามปลอบใจคนน้ำเสียงหรือก็อ่อนโยน แล้วเช่นนี้สตรีใดเล่าจะต้านทานไหว
หลัวอวี้เยี่ยนชำเลืองมองใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นสามี นางตัดสินใจจะยอมอดทนอีกสักครั้ง
นางเองก็หาใช่คนไร้เหตุผล ทุกคนยินดีไว้ทุกข์ นางย่อมไม่มีความคิดเห็นอันใด แต่ถ้าพ่อสามีอนุญาตให้บ้านสี่จุดเตา เช่นนั้นนางก็ควรได้รับการปฏิบัติเฉกเดียวกัน!
หลังมื้ออาหาร เฉินเซี่ยวจงนั่งอยู่ในโถงกลางราวๆ สองเค่อก่อนจะมุ่งหน้าไปเรือนซื่ออี๋ถัง
เจินเอ๋อร์นั่งอยู่บนตั่งน้อยหน้าประตูลาน มือถือเข็มกับด้าย มีตะกร้าเย็บผ้าอยู่ข้างขาของนาง
พอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากระเบียงทางเดิน เจินเอ๋อร์ก็ชะโงกหน้าดู เห็นว่าเป็นคุณชายสามในอาภรณ์สีขาว สวมผ้าโพกศีรษะ งามสง่าราวกับต้นไม้หยกรับลม*
เจินเอ๋อร์สองแก้มแดงระเรื่อ นางรีบเก็บข้าวของข้างกายแล้วลุกขึ้นยืน
“คุณชายสาม”
“อืม ข้ามีธุระต้องการพบราชบุตรเขยของพวกเจ้า ไปบอกกับเขาที”
เรือนของพวกเขาสามพี่น้องล้วนเป็นเรือนคั่นเดี่ยว เดินผ่านเข้าไปก็แทบจะพบกับบ่าวรับใช้ทันที เขานอบน้อมต่อพี่สะใภ้ กับองค์หญิงผู้เป็นน้องสะใภ้ก็ยิ่งไม่กล้าเสียมารยาท ดังนั้นเขาจึงต้องการพบน้องสี่ จะได้พูดคุยกันที่ระเบียงทางเดิน
เจินเอ๋อร์รับคำ รีบตรงไปบอกเฉาอวิ๋น
ที่ห้องประธาน หวาหยางกับเฉินจิ้งจงเพิ่งกินอาหารเสร็จ จานที่วางอยู่ตรงหน้าเฉินจิ้งจงคือเศษก้างปลายาวๆ ชิ้นหนึ่ง แล้วยังมีก้างเล็กๆ อีกเป็นจำนวนมาก
ทางหวาหยางก้างปลาแม้แต่สักชิ้นก็ไม่มี เนื้อปลาที่นางกินนั้นเฉินจิ้งจงล้วนเลือกเอาก้างออกจนหมดก่อนถึงค่อยส่งมาให้
“องค์หญิง คุณชายสามมาขอพบราชบุตรเขยเพคะ”
เฉาอวิ๋นเคยกำชับเจินเอ๋อร์ว่าให้เข้ามารายงานก่อน ห้ามพูดอะไรทั้งสิ้น
หวาหยางมองไปทางเฉินจิ้งจง “หรือว่าเขาได้กลิ่น?”
กลิ่นปลาทอดชัดเจนกว่ากลิ่นตุ๋นน้ำแกงปลา ถึงเฉาเยวี่ยจะทำตามเฉินจิ้งจงปิดประตูหน้าต่างสนิทแล้วก็ตามที ทว่ากลิ่นหอมของมันก็ยังคงกำจายออกมาเล็กน้อย
เฉินจิ้งจงเอ่ยว่า “ได้กลิ่นก็เท่านั้น ขอเพียงพวกเราไม่ยอมรับ พวกเขาย่อมพูดอะไรไม่ได้”
เขาบอกให้เฉาอวิ๋นรินน้ำชา กินจนปากมันไปหมดเช่นนี้ ก่อนไปพบพี่สามจำเป็นต้องกลั้วปากก่อน ไม่อย่างนั้นหลักฐานย่อมปรากฏชัดแจ้ง
หวาหยางมองดูเขาสาละวนทำนั่นนี่ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็เอ่ยขึ้น “พี่สามไม่เหมือนคนตะกละ คิดว่าน่าจะมาเพราะพี่สะใภ้สาม พี่สะใภ้สามกำลังตั้งครรภ์อยู่ ทุกมื้อได้กินแต่ผัก น่าสงสารยิ่งนัก”
ได้ยินว่าระหว่างพี่สะใภ้น้องสะใภ้ส่วนใหญ่มักทะเลาะเบาะแว้งกระทบกระทั่งกันได้ง่าย ทว่าเรื่องเช่นนี้กลับไม่มีทางเกิดขึ้นกับหวาหยาง
ชาติที่แล้วต่อหน้านางพี่สะใภ้ทั้งสองล้วนนอบน้อม ตรงกันข้ามกลับเป็นนางที่วางตัวสูงส่ง ชอบอยู่คนเดียวมากกว่าจะไปพูดคุยกับเหล่าพี่สะใภ้
เสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับศีรษะที่นางใช้ล้วนเป็นของพระราชทานด้วยกันทั้งสิ้น แล้วมีอะไรให้นางต้องไปอิจฉาผู้อื่น
ผนวกกับภาพพวกเฉินเซี่ยวจงถูกล่ามโซ่ตีตรวนเดินอยู่กลางหิมะให้เป็นที่น่าเวทนาที่นางได้เห็นเองกับตา หวาหยางที่กลับมาเกิดใหม่ยิ่งใจอ่อนมากขึ้นไปอีก
เฉินจิ้งจงบ้วนชาในปากทิ้ง สายตาที่มองดูนางคล้ายกำลังมองดูสตรีโง่งม
หวาหยางขมวดคิ้ว “มีอะไรหรือ”
“ท่านใช่องค์หญิงเสียที่ใด เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นเทพธิดาที่ลงมายังโลกมนุษย์ ไม่รู้จักความยากลำบากของแดนมนุษย์ เห็นใครน่าสงสารก็ล้วนนึกอยากช่วยเหลือ”
ถูกอีกฝ่ายกระเซ้าเช่นนั้น ใบหน้างดงามของหวาหยางจากขาวก็กลายเป็นแดง จากแดงกลายเป็นเขียว
เฉินจิ้งจงเอ่ยปากแทนนาง “ท่านคิดว่าข้าใจดำใช่หรือไม่ แค่ปลาตัวเดียว แม้แต่กับพี่ชายพี่สะใภ้ก็ยังไม่อยากแบ่งให้”
หวาหยางไม่ได้คิดเช่นนั้น นางแค่รู้สึกว่าถ้าบ้านสามล่วงรู้ความลับของพวกนางแล้ว เช่นนั้นก็แค่ให้เฉินจิ้งจงส่งปลาส่งไก่ไปให้พวกเขาบ้างเป็นบางคราวก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไร ถึงอย่างไรทางนั้นก็มีสตรีตั้งครรภ์อยู่
เฉินจิ้งจงประชดออกมาคราหนึ่ง “ข้าไปจับปลาเพราะทนเห็นองค์หญิงผ่ายผอมเช่นนี้ไม่ได้ อยากให้องค์หญิงบำรุงร่างกาย ถ้าพี่สามเอ็นดูพี่สะใภ้สามจริง เขาก็ควรจะไปเอง ท่านอย่าได้ถูกท่าทีเยี่ยงปัญญาชนของเขาหลอกเอาเชียวล่ะ เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จนเจ็ดแปดขวบถึงได้เข้าเมืองหลวง ตอนเด็กๆ เขาก็ตะลอนไปทั่วหุบเขา ต่อให้ตอนนี้จับไก่ป่าจับกระต่ายไม่ได้ นึกอยากกินปลาก็ย่อมรู้ว่าจะไปหาจากที่ใด
เขาไม่ไปเองเพราะกลัวตาเฒ่าจะจับได้ กลัวท่วงทีเยี่ยงสุภาพชนจะเสื่อมเสีย กลัวถูกหาว่าเป็นคนไม่กตัญญู มาขอแบ่งปลาจากพวกเราที่นี่ พวกเขาสองสามีภรรยาย่อมสบายใจกว่า รู้สึกว่าพวกเราทำลายกฎเกณฑ์ก่อน หากวันใดถูกตาเฒ่าจับได้ พวกเขาย่อมสามารถยกเรื่องตั้งครรภ์ขึ้นเป็นข้ออ้าง แล้วพวกเราเล่ามีข้ออ้างอะไร หรือจะให้ข้าบอกว่าองค์หญิงทนความลำบากไม่ได้?
เรื่องไม่เผยพิรุธยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาทางนั้นมีเอ้อร์หลาง ซานหลาง พี่สามถึงจะเจ้าเล่ห์ แต่เด็กสองคนนั่นไหนเลยจะหลอกตาเฒ่าได้”
หวาหยาง “…”
“โชคดีที่ท่านเป็นองค์หญิง หากเป็นหญิงสาวชาวบ้าน หลังแต่งงานมีพี่สะใภ้น้องสะใภ้สักหลายๆ คน ชาตินี้ทั้งชาติรับรองว่าต้องได้ถูกชาวบ้านรังแกจนตายแน่” พูดจบเขาก็สะบัดชายเสื้อ เดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
หวาหยางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เฉาอวิ๋นกระซิบเตือน “องค์หญิงอย่าได้กริ้ว คำพูดของราชบุตรเขยจะว่าไปก็มีเหตุผลอยู่นะเพคะ”
หวาหยางเข้าใจ ที่นางไม่พอใจคือท่าทางของเฉินจิ้งจงต่างหาก แค่คุยเหตุผลกันดีๆ ก็ได้ไม่ใช่หรือไร เหตุใดต้องหยันเย้ยกระแนะกระแหนกันเช่นนั้นด้วย
ได้ยินว่าราชบุตรเขยทั้งหลายต่อหน้าองค์หญิงล้วนแต่วางตัวนอบน้อม แล้วเหตุใดเฉินจิ้งจงผู้นี้ถึงได้ต่างออกไปเพียงนี้ แม้แต่เสด็จพ่อยังไม่เคยพูดกับนางเช่นนี้มาก่อน!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 ก.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.