X
    Categories: ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มากทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 7

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 7

นอกเรือนซื่ออี๋ถัง บนระเบียงทางเดิน

เฉินเซี่ยวจงยืนเอามือไพล่หลังอยู่ด้านหน้าเจินเอ๋อร์ เป็นการขจัดทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการที่เขาอาจจะพยายามล่อลวงสาวใช้ข้างกายองค์หญิง

เจินเอ๋อร์ลอบพินิจพิจารณาดูเงาร่างสูงโปร่งนั่น ในใจนึกเสียดาย

ถ้าราชบุตรเขยสุภาพมีมารยาทอ่อนโยนดั่งหยกเฉกเช่นคุณชายสาม เช่นนั้นองค์หญิงกับราชบุตรเขยจะต้องเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่ฉินเซ่อสอดประสาน ไม่ใช่ทะเลาะกันทุกๆ สองสามวันเช่นนี้แน่

ขณะที่นางกำลังคิดเหลวไหล เสียงฝีเท้าก็ดังลอยมาจากทางด้านหลัง เจินเอ๋อร์หันกลับไป พบราชบุตรเขยที่ถึงหน้าตาจะหล่อเหลาเช่นเดียวกันแต่กลับชอบปั้นหน้าบึ้งตึงอยู่ตลอดเวลา นางรีบก้มหน้า

บุรุษองอาจห้าวหาญสีหน้าเย็นชาเยี่ยงราชบุตรเขยนี้ ทั้งบ้านสกุลเฉินมีก็แต่เก๋อเหล่ากับองค์หญิงของตนเท่านั้นที่กล้าชักสีหน้าใส่

เฉินจิ้งจงเดินผ่านข้างกายเจินเอ๋อร์ไป

พี่น้องพบหน้ากัน เฉินเซี่ยวจงยิ้มเรียกน้องสี่คราหนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่าย

เฉินจิ้งจงเอ่ยปากอย่างหงุดหงิด “มาพบข้ามีธุระอะไร”

ท่าทางของเฉินจิ้งจงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ ทว่าเฉินเซี่ยวจงกลับไม่กลัว เขาเอ่ยปากกระเซ้าเสียงแผ่ว “ก็ไม่มีเรื่องใหญ่โตอะไร แค่ตอนอยู่ที่ด้านหน้าได้กลิ่นปลาหอมๆ ลอยมาจากเรือนของเจ้า เลยแวะมาเตือนเจ้าสักหน่อย เจ้าเองก็รู้ว่าท่านพ่อของพวกเราเข้มงวดยิ่ง หากเขาพบว่าเจ้ากินเนื้อสัตว์ในช่วงไว้ทุกข์ เกรงว่าจะลงโทษเจ้าให้ไปคุกเข่าอยู่ที่ศาลบรรพชน”

เฉินจิ้งจงส่งเสียประชดออกมาคำหนึ่ง “กลิ่นปลาจากที่ใด อาหารทั้งโต๊ะเมื่อครู่กับข้าวที่ดีที่สุดคือเห็ดหูหนูผัดไข่”

เฉินเซี่ยวจงเดิมก็ไม่ได้กลิ่นเนื้อสัตว์อันใด ทั้งหมดล้วนได้ยินมาจากปากของภรรยา ดังนั้นจึงจงใจเอ่ยปากหยั่งเชิงผู้เป็นน้องชายดู

พอเห็นน้องชายปฏิเสธ เฉินเซี่ยวจงก็ยิ้มถาม “เจ้าไม่ได้วิ่งไปจับปลาที่หลังเขาหรอกหรือ”

เฉินจิ้งจงชี้ไปในเรือน พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าไม่ใช่เพราะมีบรรพบุรุษตัวน้อยผู้นั้นอยู่ ช่วงนี้ข้าคงไปจับพวกมันมากินบรรเทาความหิวจริงอย่างที่ท่านว่าแล้ว แต่มีนางอยู่ ข้าไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว หาเรื่องให้นางรังเกียจข้าเพิ่มอีก”

เฉินเซี่ยวจงเผยรอยยิ้มเห็นอกเห็นใจออกมาอย่างรวดเร็ว

ตอนอยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว องค์หญิงยังคงไว้หน้าผู้เป็นน้องชายของเขาอยู่ ไม่เคยจงใจชักสีหน้าใส่ตรงๆ ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาถ้าไม่ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงมีร่องรอยปรากฏให้เห็น ไหนเลยจะปิดบังชาวบ้านได้

“เอาล่ะ ในเมื่อทางพวกเจ้าไม่มีอะไร เช่นนั้นข้าก็จะกลับไปพักผ่อนแล้ว ตอนบ่ายยังต้องสอนหนังสือให้พวกเด็กๆ อีก ข้าล่ะปวดหัวจริงๆ”

เฉินเซี่ยวจงไม่ได้ถามอะไรอีก ทำเพียงยิ้มแล้วเดินจากไป

ที่เรือนฝูชุ่ยถัง หลัวอวี้เยี่ยนนอนตะแคงอยู่บนตั่ง ไม่ได้หลับ พอเห็นผู้เป็นสามีกลับมา นางก็ถามอย่างกระตือรือร้น

“ว่าอย่างไรบ้าง”

เฉินเซี่ยวจงส่ายหน้า “น้องสี่บอกว่าพวกเขาไม่ได้กินเนื้อสัตว์ ที่เจ้าได้กลิ่นบางทีอาจเป็นกลิ่นเห็ดหูหนูผัดไข่”

หลัวอวี้เยี่ยนเบิกตากว้าง “ท่านคิดว่าข้าแยกแยะกลิ่นผัดไข่กับกลิ่นปลาทอดไม่ออกหรือ ท่านไม่เชื่อข้าใช่หรือไม่ อย่าลืมสิว่าจมูกข้าดีมาแต่ไหนแต่ไร ตอนนั้นหลังสอบได้ตำแหน่งทั่นฮวาท่านไปดื่มสุราเคล้านารีฉลอง มิหนำซ้ำยังจงใจเปลี่ยนเสื้อผ้า ข้ายังจับกลิ่นแป้งชาดบนผมท่านได้เลย!”

เฉินเซี่ยวจงรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาทันที “ดื่มสุราเคล้านารีอะไรที่ใดกัน สหายพวกนั้นยืนกรานต้องการเลี้ยงฉลองให้ข้าให้ได้ต่างหาก มิหนำซ้ำยังเชิญสตรีในหอคณิกามาให้ความบันเทิง พวกนางโปรยแป้งชาดไปทั่ว เพราะเปื้อนแป้งชาดและกลัวเจ้าเข้าใจผิดจนโมโหถึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เจ้ากลับใช้มันเป็นหลักฐานปรักปรำข้า”

สวรรค์เป็นพยาน ชาตินี้เขามีภรรยาเพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่เคยคิดจะมีใครไหนอื่นอีกมาก่อน และยิ่งไม่เคยทำตัวแปดเปื้อนอันใด

หลัวอวี้เยี่ยนรื้อฟื้นเรื่องเก่าก็เพียงเพื่อต้องการยืนยันว่าจมูกของนางใช้การได้ดี ไม่ได้นึกสงสัยผู้เป็นสามีแต่อย่างใด

พ่อสามีอบรมสั่งสอนบุตรชายทั้งสามอย่างเข้มงวด ห้ามทำตัวเสเพลเหลวไหล ในบ้านแม้แต่สาวใช้อุ่นเตียงใดๆ หรือก็ไม่มี

ว่ากันว่าก่อนที่คุณชายรองเฉินเหยี่ยนจงจะล้มป่วยอำลาโลกนี้ไปเมื่ออายุสิบแปดปี เคยมีคนเสนอให้เขาแต่งภรรยาจัดงานมงคลขับไล่ความโชคร้าย ต่อให้ไม่มีประโยชน์แต่อย่างน้อยก็ยังมีทายาทสืบสกุล ทว่าเฉินเหยี่ยนจงไม่ต้องการทำลายชีวิตสตรีน่าสงสารนางหนึ่งจึงปฏิเสธไป บิดามารดาก็ไม่มีใครบังคับฝืนใจเขา หากเป็นบิดามารดาบ้านอื่น ต่อให้ต้องใช้ยาก็ต้องบังคับให้เขาทิ้งทายาทสืบสกุลไว้

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงคุณธรรมของบ้านสกุลเฉิน

“น้องสี่บอกว่าไม่ได้กิน ท่านก็เชื่อหรือ”

หลัวอวี้เยี่ยนขยับเข้าด้านใน ให้สามีนอนลงมาคุยกัน

“ถ้าเป็นแค่เขา ข้าไหนเลยจะเชื่อ แต่มีองค์หญิงอยู่ที่นั่น เขามีหรือจะกล้าโกหกต่อหน้าองค์หญิง”

หลัวอวี้เยี่ยนแค่นเสียงเฮอะ “เกิดองค์หญิงเองก็กินด้วยเล่า พวกเขาสองคนย่อมช่วยกันปกปิด”

ครั้นย้อนนึกถึงท่าทีถือตนขององค์หญิงหวาหยาง เฉินเซี่ยวจงก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่น “องค์หญิงไม่คล้ายคนที่จะหวั่นไหวกับเรื่องอะไรเช่นนั้น”

ยิ่งเป็นคนที่ฐานะชาติกำเนิดสูงส่งก็ยิ่งรักษาหน้า ปกติองค์หญิงรังเกียจน้องสี่ถึงเพียงนั้น แล้วมีหรือจะเปิดช่องให้น้องสี่สบโอกาสเยาะเย้ยตนเองได้ เฉินเซี่ยวจงคิด ต่อให้ตอนนี้น้องสี่เอาอาหารล้ำค่าโอชารสไปวางไว้ตรงมุมปากองค์หญิง นางก็ไม่มีทางกิน

คำพูดนี้จะว่าไปก็มีเหตุผลอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นนางก็กินอาหารกลางวันจนอิ่ม ไม่รู้สึกอยากอาหารอะไรอีกแล้ว เพราะไม่อยากสนใจกับเรื่องดังกล่าวอีก หลัวอวี้เยี่ยนจึงกอดสามีพูดคุยเรื่องอื่นแทน

ส่วนทางเรือนซื่ออี๋ถัง เพราะถูกเฉินจิ้งจงหยันเย้ยอย่างไม่ไว้หน้า หวาหยางจึงปิดประตูใส่หน้าเขาอีกคราว ให้เขาไปนอนกลางวันอยู่ที่เรือนปีกตะวันออก

เฉินจิ้งจงไม่สนใจ

ต้องนิสัยเช่นนี้สิถึงจะเรียกว่าปกติ เขาคุ้นชินนานแล้ว

กลางวันมีเฉาอวิ๋นอยู่เป็นเพื่อน หวาหยางไม่กังวลว่าจะมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอหนอนแมลงสัตว์เลื้อยคลานน่าเกลียดอะไรโผล่มาปรากฏอยู่ข้างกาย ทว่าตอนกลางคืนไม่ไหว จำเป็นต้องมีเฉินจิ้งจงอยู่ด้วยนางถึงจะนอนหลับได้อย่างสนิทใจ

ดังนั้นหลังกินข้าวเย็นเสร็จเฉินจิ้งจงก็มาอยู่ในห้องรองอย่างไม่ครั่นคร้าม หวาหยางเองก็ไม่ได้ไล่เขาไป

“องค์หญิง น้ำผสมเรียบร้อยแล้วเพคะ”

หวาหยางเตรียมไปอาบน้ำ

เฉินจิ้งจงนอนตะแคงอยู่บนตั่งริมหน้าต่าง มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ มองนางพลางพูด “ตอนเช้าเพิ่งอาบไปไม่ทันไร ตอนนี้อาบอีกแล้วหรือ หรือองค์หญิงไม่กลัวอาบจนผิวหนังลอก?”

หวาหยางรู้ว่าปากสุนัขของเขาไม่มีทางมีงาช้างงอกออกมาได้ ดังนั้นจึงไม่นึกสนใจ

เฉินจิ้งจงเปลี่ยนท่า หลับตาพักเอาแรง

หลังจากผ่านไปได้ราวๆ สองเค่อคนก็กลับมา เฉินจิ้งจงผินหน้ามองไป เห็นนางเปลี่ยนมาอยู่ในชุดเสื้อตัวในผ้าต่วนสีขาวปักลายใบบัวสีเขียว ปิ่นหยกปักอยู่บนเส้นผมดำขลับที่ถูกเกล้าไว้ เผยให้เห็นลำคอเพรียวระหงขาวราวหิมะกับพวงแก้มแดงระเรื่อหลังอาบน้ำเสร็จ

สองตาของเขาจ้องเขม็ง ทว่าโฉมสะคราญกลับสองตามองตรงไปอย่างมั่นคง เพียงชั่วพริบตาก็หายลับเข้าไปในห้องนอน

เฉินจิ้งจงกำลังจะตามเข้าไป แต่จู่ๆ เขาก็จำที่ตกลงรับปากนางเมื่อตอนเช้าได้ หลังจากนี้เขาจะอาบน้ำชำระร่างกายทุกคืน

เฉินจิ้งจงไปห้องรองทางทิศตะวันตก ใช้น้ำที่หวาหยางเหลือไว้เช็ดเนื้อเช็ดตัวอย่างรวดเร็ว

หลังอาบน้ำเสร็จเขาถึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองลืมหยิบเสื้อตัวในมาเปลี่ยน ทว่าเฉินจิ้งจงเองก็คร้านเกินกว่าจะเรียกสาวใช้ให้เข้ามาช่วยเหลือ ดังนั้นหลังเช็ดตัวเสร็จเขาก็เดินไปหยิบเอาเสื้อนอกที่เพิ่งถอดทิ้งขึ้นมาห่มร่างใหม่อีกครั้ง หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องนอนราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

เฉาอวิ๋นเพิ่งช่วยองค์หญิงจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องให้นางอยู่ปรนนิบัติรับใช้อีก นางจึงหันไปแสดงคารวะต่อราชบุตรเขยที่เดินผ่านประตูเข้ามาก่อนจะก้มหน้าถอยจากไป

หวาหยางลุกขึ้นจากโต๊ะเครื่องประทินโฉม ชายตามองไปทางเตียงห้องปราดหนึ่ง พอเห็นเฉินจิ้งจงสวมเสื้อตัวนอกที่ใส่เมื่อตอนกลางวัน นางก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

“ข้าอาบน้ำแล้ว แค่ลืมเอาเสื้อตัวในเข้าไปเปลี่ยน” เขาพูดพลางถอดเสื้อออก

หวาหยาง “…”

เขาเปลือยอกกำยำออกมาได้ไม่ทันไร หวาหยางก็รีบหันหน้าไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังปลดม่านโปร่งลง

หลังเปลี่ยนเสื้อตัวในเสร็จ เฉินจิ้งจงก็เป่าตะเกียง เดินตรงมาหยุดอยู่ที่หลังม่าน

ครั้นสายตาคุ้นชินกับความมืด เขาก็มองเห็นหญิงสาวนอนอยู่กลางเตียงหันหน้าเข้าด้านใน ผ้าห่มผืนบางทาบอยู่บนร่าง ก่อเกิดเป็นโครงร่างอ่อนช้อยงดงาม

เฉินจิ้งจงตระหนักรู้ได้ทันที เขาหยิบเอาหมอนผ้าห่มที่วางอยู่ข้างนอกเตียงกลับไปนอนบนพื้นกระดานเหมือนเช่นทุกครั้ง

หวาหยางนิ่งมองดูผนังเตียงเงียบๆ

ชาติที่แล้วตลอดระยะเวลาสองปีที่อยู่หลิงโจว นางกับเฉินจิ้งจงแทบไม่เคยพูดคุยกันดีๆ แม้แต่ประโยคเดียว ตอนแรกเขานอนพื้นกระดาน หลังจากนั้นก็นอนเช่นนั้นมาโดยตลอด ราวกับว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาสองสามีภรรยาพึงกระทำก็ไม่ปาน

แน่นอนว่าพวกเขาสองคนก็เคยมีชีวิตเยี่ยงสามีภรรยาเช่นกัน เพียงแต่ไม่บ่อย ผนวกกับความรู้สึกภายในใจของหวาหยางที่เฝ้าปฏิเสธอยู่ตลอดเวลา ส่วนเฉินจิ้งจงเองก็ไม่รู้จักทำตัวอ่อนโยน ด้วยเหตุนี้เรื่องดังกล่าวสำหรับนางแล้วจึงไม่ใช่ความสุขอะไร จะมีก็ได้ไม่มีก็ได้

ทว่าเมื่อคืนเพราะสูญเสียและได้คืนมา นางถึงได้ตามใจเขาเช่นนั้น ถึงกับ…

หวาหยางส่ายหน้า ยุติความทรงจำในอดีตที่ไม่ควรโผล่มาในยามนี้

“องค์หญิงหลับหรือยัง” เสียงของเขาดังลอยมาจากพื้น ไม่สูงไม่ต่ำ แหบพร่าอยู่เล็กน้อย

“มีอะไร”

ถ้าเขาอยากขึ้นมานอน ขอแค่ไม่ทำอะไรรุ่มร่าม นางย่อมตกลง

เฉินจิ้งจงมือไพล่ไว้ที่หลังศีรษะ มองดูเพดานเตียงมืดดำพลางบอก “ไม่มีอะไร ตอนเช้าข้าเอาไก่กลับมาตัวหนึ่งด้วย องค์หญิงอยากกินตอนกลางวันหรือว่าตอนเย็น”

หวาหยางไม่ได้นึกถึงเรื่องพวกนี้ ไม่รู้ว่าเหตุใดพอได้ยินเฉินจิ้งจงพูดออกมานางถึงได้น้ำลายสอ

“ตอนเย็นก็แล้วกัน จะได้ไม่มีคนสังเกตเห็น”

“อืม ปลาบนภูเขาอ้วนท้วน ทว่าไก่ป่ากลับมีเนื้อไม่มาก ตัวหนึ่งแค่พอพวกเราซดน้ำแกงอุดร่องฟันเท่านั้น”

“นอนเถอะ เลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้ว” ยิ่งคิดนางก็ยิ่งหิว

“ก็มันอดไม่ได้”

หวาหยางนึกตำหนิอีกฝ่ายอยู่ในใจ แค่ไก่มื้อหนึ่งเท่านั้น แต่เขากลับนึกถึงไม่เลิก?

“เช่นนั้นก็เชิญท่านคิดตามสบาย ข้านอนล่ะ”

หวาหยางขยับตัวเข้าด้านใน ปรับท่วงท่าเตรียมเข้าสู่ห้วงนิทรา

“องค์หญิงไม่คิดถึงมันอย่างนั้นหรือ ข้าเห็นองค์หญิงเหมือนจะมีความสุขอยู่นะ”

ก่อนหน้านี้นางไม่ชอบเรื่องนั้นจริงๆ เขาดูออก ดังนั้นทุกครั้งจึงไม่กล้าดึงเวลาเนิ่นนานเกินไป เกรงว่านางจะยิ่งต่อต้าน ทว่าเมื่อคืนนางกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

มีความสุข?

ในที่สุดหวาหยางก็เข้าใจว่าเขากำลัง ‘คิดถึงอะไร’ นางกัดฟัน ทำเหมือนไม่ได้ยิน

เฉินจิ้งจงกลับลุกขึ้นนั่ง จ้องมองดูแผ่นหลังของอีกฝ่ายพร้อมกับเอ่ยปาก “ตอนเช้าข้ากินบะหมี่ องค์หญิงตั้งเงื่อนไขไว้สามข้อ บอกว่าถ้าข้าทำได้ ท่านจะให้ข้าขึ้นเตียง เมื่อครู่ข้าอาบน้ำแล้วบ้วนปากแล้ว ตอนนี้คงขึ้นไปนอนบนเตียงได้แล้วกระมัง”

“ได้ แต่ห้ามถูกเนื้อต้องตัวข้า”

ยานั่นสามเดือนถึงจะกินได้หนึ่งครั้ง หวาหยางไม่อยากให้เป็นเพราะความโลภของอีกฝ่ายทำลายสุขภาพตนเอง

เฉินจิ้งจงไม่พูดไม่จา โยนหมอนขึ้นมา กอดผ้าห่มทิ้งตัวลงนอนเต็มแรง

ลมหายใจร้อนผ่าวระอยู่ที่หลังคอของหวาหยาง เห็นได้ชัดว่าเขานอนอยู่ใกล้นางมาก นางรับรู้ได้ถึงไอร้อนของชายหนุ่มที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของอีกฝ่ายไม่หยุด

จู่ๆ เตียงก็คล้ายหดเล็กลง

ภาพที่นางไม่อยากนึกถึงยังคงปรากฏชัดในหัว ยังมีภาพร่างกายกำยำของทหารองครักษ์สองนายที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ในจวนของท่านอาหญิงนั่นอีก

หวาหยางขยับเข้าด้านในเงียบๆ

ครั้นนางหยุด ที่ด้านหลังของนางก็มีความเคลื่อนไหว เฉินจิ้งจงขยับตามมา

ที่อยู่ทางด้านหน้าของนางคือผนังเตียง ยามนี้ไม่อาจขยับไปที่ใดได้อีกแล้ว เฉินจิ้งจงไม่ต่างอะไรกับหมาป่าที่กำลังจ้องเหยื่อเขม็ง ไม่คิดปิดบังความปรารถนาของตนเองแม้แต่น้อย ลมหายใจที่ปล่อยออกมาหนักหน่วงมากขึ้นทุกที ร้อนผ่าวมากขึ้นทุกขณะ

เป็นเช่นนี้หวาหยางจะนอนได้เช่นไร

“ท่านหันไปได้หรือไม่ หายใจหนักหน่วงเช่นนี้ ข้ารำคาญจะแย่” นางแสร้งทำเป็นพูดอย่างไม่พอใจ

เฉินจิ้งจงพ่นลมหายใจใส่นางอีกสองคราวก่อนจะหันร่างไปอีกด้าน กระเถิบออกไปอีกสองฉื่อ* เปิดทางให้นางขยับตัวได้

สองสามีภรรยาต่างนอนนิ่งไม่ขยับ ในม่านมุ้งเงียบลงอย่างรวดเร็ว

หวาหยางยังคงลืมตา

นางนึกถึงการกลับมาเกิดใหม่ของตนเอง

เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหันเช่นนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่าพรุ่งนี้พอตื่นขึ้นมานางจะกลับไปยังจวนองค์หญิงในเมืองหลวง กลับไปยังช่วงเวลาที่ไม่มีเฉินจิ้งจง บ้านสกุลเฉินถูกเนรเทศไปยังชายแดน

หากเป็นเช่นนั้นจริง นางย่อมไม่อาจทำอันใดได้ แต่อย่างน้อยนางก็ควรให้เฉินจิ้งจงได้เข้าใจว่านางไม่ได้รังเกียจเขาเหมือนอย่างก่อนหน้านี้แล้ว

หวาหยางค่อยๆ หันกลับมา เผชิญหน้ากับแผ่นหลังของเฉินจิ้งจงที่กำลังนอนตะแคงอยู่ ท่านอนเช่นนี้ทำให้ไหล่ของเขาดูกว้างมากยิ่งขึ้น

ความคิดของหวาหยางลอยละล่องไปไกล

ก่อนแต่งงานนางนอนเพียงลำพัง ตอนเฉินจิ้งจงตายนางกลายเป็นม่ายก็ยังคงนอนเพียงลำพัง

คนคนเดียวกัน ทว่าความรู้สึกกลับต่างกันลิบลับ

เพราะก่อนแต่งงานออกจากวังมานางพำนักอยู่ในวังหลวง วังหลวงคือบ้านของนาง มีเสด็จพ่อเสด็จแม่ มีน้องชาย

หลังเป็นม่าย นางอาศัยอยู่ในจวนองค์หญิงเพียงคนเดียว ไม่อาจเข้าไปพักอยู่ในวังหลวงได้อีก และไม่อาจรับเสด็จแม่มาอยู่ด้วยได้ ต่อให้รับมาได้จริง เสด็จแม่ก็ไม่มีทางยอมออกจากวังหลวง เพราะการกระทำเช่นนั้นอาจทำให้เหล่าขุนนางและราษฎรต่างพากันคาดเดาสงสัยไปต่างๆ นานา

จวนองค์หญิงคือบ้านของนาง แต่กลับเย็นเยียบไม่เหมือนบ้าน

ถ้าเฉินจิ้งจงมีชีวิตอยู่ ต่อให้สามีภรรยาทะเลาะกันทุกวัน อย่างไรก็ยังครึกครื้น

ตลอดระยะเวลาสามปีอันยาวนาน จะมากจะน้อยอย่างไรนางก็คิดถึงเขา

“อย่าขยับ”

ตั้งแต่นางขยับตัว เฉินจิ้งจงก็รู้แล้ว อีกทั้งยังคิดว่านางแค่เปลี่ยนท่านอนเท่านั้น นึกไม่ถึงว่านางจะพูดออกมาเช่นนี้

เฉินจิ้งจงยังคงนอนนิ่ง

หวาหยางแนบร่างเข้ามา มือวางลงบนเอวบางทว่าแข็งแกร่งของเขา

ถ้าไม่ใช่เพราะตอนกลางวันเขาทำนางโมโหครั้งแล้วครั้งเล่า บางทีนางอาจคิดกอดเขาเช่นนี้นานแล้ว

เฉินจิ้งจงตัวแข็งทื่อ

หวาหยางกุมแขนที่แข็งแกร่ง ลูบไล้ไหล่กว้างของเขา รับรู้ถึงร่างกายที่อุ่นร้อนของเขา ถึงตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายคือคนตัวเป็นๆ นอนอยู่ข้างกายนางจริงๆ

ใจนางสงบนิ่ง ทว่าร่างกายของเฉินจิ้งจงกลับร้อนดังไฟสุม

หรือว่านี่คือวิธีการใหม่ๆ ที่นางคิดใช้ทรมานข้า?

พอนึกขึ้นได้ว่าตอนเช้านางเพิ่งกินยาเข้าไป เฉินจิ้งจงก็หลับตา ทำตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ต่อ

 

หวาหยางหลับสนิท

นางจำได้ว่าตนเองนอนกอดเฉินจิ้งจงหลับไป แต่นึกไม่ถึงว่าพอเช้าตื่นขึ้นมากลับกลายเป็นเฉินจิ้งจงกอดนางแทน

ทั้งร่างของนางตกอยู่ในอ้อมแขนของเฉินจิ้งจง อกของเขากระเพื่อมไหวเป็นจังหวะสม่ำเสมออยู่บนแผ่นหลังของนาง แขนกำยำโอบอยู่บนเอวนาง

หวาหยางนึกดีใจที่ตนเองยังคงหันหลังให้เขา ขณะเดียวกันก็รังเกียจแขนของเขาที่หนักอึ้งเกินไป ทับจนนางอึดอัด นางลองยกแขนของเขาออก ทันใดนั้นแขนนั่นก็เหยียดยืดไปทางด้านหน้า ฝ่ามือขนาดใหญ่ตรึงร่างนางไว้อย่างแม่นยำ

หวาหยาง “…”

“ผอมลงจริงๆ ด้วย” ก่อนที่นางจะทันได้โกรธ เฉินจิ้งจงก็ชิงชักมือกลับก่อน เอ่ยปากกระซิบอย่างไม่พอใจ

หวาหยางหน้าตาบึ้งตึง

เฉินจิ้งจงเลิกคิ้ว “มีอะไร หรือมีแต่องค์หญิงที่เสียมารยาทกับข้าได้ แต่ข้าทำไม่ได้?”

หวาหยางหยิบหมอนขึ้นมาฟาดใส่เขา

เฉินจิ้งจงกระโดดลงจากเตียง วิ่งตรงไปที่ห้องเวจทันใด

โกรธก็ส่วนโกรธ หวาหยางยังมีเรื่องให้เขาทำอีก หลังกินอาหารเช้าเสร็จนางยื่นจดหมายถึงครอบครัวสองฉบับที่เขียนเสร็จเมื่อวานให้เขา

“ท่านไปถามท่านพ่อดู ถ้าท่านพ่อมีฎีกาที่จะส่งไปเมืองหลวง เช่นนั้นก็ฝากจดหมายสองฉบับนี้ของข้าติดไปด้วย”

เสด็จพ่อให้ความสำคัญกับพ่อสามีของนาง หลังจัดการงานไว้ทุกข์เป็นที่เรียบร้อย ว่ากันตามหลักเขาก็น่าจะเขียนฎีการายงานความคืบหน้าให้เสด็จพ่อของนาง

เฉินจิ้งจงจงใจถาม “แล้วถ้าไม่มีเล่า”

“เช่นนั้นก็ให้พ่อบ้านไปที่จุดพักม้าสักครั้ง”

บ้านสกุลเฉินแห่งนี้เล็กเกินไป นางกับพี่สะใภ้ทั้งสองก็เหมือนกันที่ต่างพาสาวใช้ติดตัวมาด้วยสี่คน ไม่มีบ่าวชายให้เรียกใช้

เฉินจิ้งจงเข้าใจแล้ว “ข้าก็คือบ่าวรับใช้ข้างกายขององค์หญิงสินะ”

หวาหยางมองเขาปราดหนึ่ง จากนั้นก็หยิบเอาเงินใบ* แผ่นหนึ่งจากในห้องมามอบให้เขา “เงินรางวัล ตอนนี้ท่านคงไปได้แล้วกระมัง”

เฉินจิ้งจงชั่งเงินใบดู สายตาที่มองนางคลุมเครือยากจะเข้าใจ หลังจากนั้นก็เดินจากไป

 

ณ เรือนหลัก

เก๋อเหล่าเฉินถิงเจี้ยนกำลังต้อนรับน้องรองของตนเองเฉินถิงสือ

ตอนเขาอายุสิบเก้าปีก็สอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวน หลังจากนั้นถ้าไม่เป็นขุนนางอยู่ที่เมืองหลวงก็ถูกส่งไปเป็นขุนนางท้องถิ่นตามที่ต่างๆ ตลอดระยะเวลาสามสิบปีล้วนอาศัยน้องรองช่วยดูแลกิจการครอบครัวดูแลมารดา ยามนี้พี่น้องพร้อมหน้า พวกเขาย่อมมีเรื่องมากมายพูดคุยกัน

“พี่ใหญ่ นี่คือสมุดบัญชีของบ้านพวกเรา ก่อนหน้านี้ท่านไม่อยู่บ้าน ตอนนี้ท่านกับพี่สะใภ้กลับมาแล้ว กิจการของทางบ้านสมควรมอบให้พวกท่านดูแล”

เฉินถิงสือชี้ไปยังสมุดบัญชีสองลังที่บ่าวรับใช้แบกเข้ามา พูดอย่างนอบน้อมจริงใจ

เฉินถิงเจี้ยนโบกมือ “เจ้าพูดอะไรของเจ้า ไม่ช้าก็เร็วอย่างไรข้าก็ต้องกลับไป เรื่องพวกนี้เจ้ากับน้องสะใภ้ดูแลต่อเถอะ”

“อย่างไรพี่ใหญ่ก็ลองเทียบบัญชีดูสักหน่อย…”

“เจ้าทำเช่นนี้เท่ากับเห็นข้าเป็นคนอื่น!”

เฉินถิงเจี้ยนหน้าตึง ครั้นบารมีแห่งขุนนางที่สะสมมานานปีโถมทับลงมา เฉินถิงสือก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรอีก

เฉินจิ้งจงมาถึงพอดี

ถึงแม้เฉินถิงสือจะเป็นอารอง แต่พอเห็นหลานชายองอาจห้าวหาญเคร่งขรึมจริงจังผู้นี้เข้าก็ไม่วายตกประหม่าเผลอลุกขึ้นยืน

เฉินถิงเจี้ยนถลึงตาใส่ผู้เป็นบุตร “เหตุใดถึงไม่แสดงคารวะต่ออารอง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ใช้ได้หรือไร!”

เฉินจิ้งจงสีหน้าเรียบเฉย “เป็นอาหลานกัน เหตุใดต้องเห็นเป็นอื่นด้วย”

เขาใช้ถ้อยคำที่บิดาของตนเพิ่งพูดย้อนกลับไป

เฉินถิงเจี้ยนหางตากระตุก เจ้าสี่เรียนหนังสือไม่เอาไหนก็จริง แต่ปากคอกลับเราะรายยิ่งกว่าใคร!

เฉินจิ้งจงเองก็ไม่พูดอะไรมาก วางจดหมายสองฉบับลงบนโต๊ะที่อยู่ข้างตาเฒ่า “จดหมายขององค์หญิง ถ้าท่านมีเวลาก็ฝากส่งไปที่เมืองหลวงด้วย”

เฉินถิงเจี้ยนหางตากระตุกอีกรอบ ส่งสัญญาณให้น้องรองของตนออกไปก่อน เขาถามบุตรชายอีกครั้ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าในจดหมายเขียนอะไรไว้”

“วางใจได้ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นถ้อยคำชื่นชมครอบครัวพวกเรา”

เฉินถิงเจี้ยนถอนหายใจ ทว่าสีหน้ากลับเคร่งขรึม เขาเอ่ยปากสั่งสอนบุตรชาย “ข้ากับท่านแม่ของเจ้าไม่ได้ทำเรื่องน่าละอายอันใดต่อองค์หญิง ที่องค์หญิงน้อยเนื้อต่ำใจทั้งหมดล้วนเพราะเจ้าทั้งนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าองค์หญิงไม่ชอบที่เจ้าทำตัวหยาบกระด้าง แต่กลับไม่รู้จักแก้ไขปรับปรุง ยังคงทำตัวดื้อรั้นดึงดัน!”

เฉินจิ้งจงยิ้มหยัน ยังไม่ทันฟังจบเขาก็เดินจากไปเสียก่อนแล้ว

 

(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนตุลาคม 2568)

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: