บทที่ 2
กลิ่นเย็นฉุนจากร่างของบุรุษคนนั้นยังคงอยู่ แม้กลิ่นจะน้อยลงไปบ้างแล้ว แต่กลับกรุ่นกลิ่นจางอยู่ในสายลมของภูเขาเย็นจัดยามที่พัดผ่านมา
หลังจัดวางกำลังใหม่เรียบร้อย มู่ไคเวยส่งงานให้ปี้โถวกับพรรคพวกดูแลต่อก่อนสะกิดเท้าไล่ตามกลิ่นเข้าไปในป่า
ฆานประสาทของนางเฉียบไวกว่าคนทั่วไป หากพูดตามอย่างบิดาของนางมู่เจิ้งหยางบอกเอาไว้ก็คือจมูกนางไวกว่าคนปกติสิบสองส่วน
เนื่องจากมู่ไคเวยมีความสามารถในการจำแนกกลิ่นได้อย่างละเอียดชัดเจน ขอเพียงเป็นกลิ่นที่นางสนใจแล้วจะไม่มีวันลืมเลือน
กลิ่นที่นางได้จากตัวเฮยซานในคืนนี้เหมือนกับกลิ่นแปลกๆ บนสัมภาระที่มารดานางทิ้งไว้เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน
นางจะต้องตามหาเขาให้พบ
สิบเจ็ดปีผ่านไป ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เบาะแสเล็กๆ ชิ้นนี้ แล้วจะให้นางปล่อยไปง่ายๆ ได้หรือ
อยู่นั่น! อยู่ตรงนั้น! ข้าหาเจอแล้ว!
พอได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังมาจากด้านหลัง เงาร่างสูงเพรียวของบุรุษก็ออกมาให้นางเห็นแค่แวบเดียวแล้วหลบเข้าไปในมุมมืดของป่าที่ไร้แสงจันทร์ส่อง ดวงตาวาววับที่จดจ้องหญิงสาวมีตาดำกับตาขาวแยกกันชัดเจน คล้ายเขากำลังตกใจมากที่นางไล่ตามมาได้
หน้ากากเนื้อบางของชายหนุ่มเลื่อนหลุดออกไปแล้ว พอมู่ไคเวยสังเกตเห็น นางก็ยืนนิ่งโดยไม่ได้ก้าวเข้าไปใกล้อีก
เพราะบุรุษที่สวมหน้ากากทำงานย่อมไม่อยากให้ผู้ใดเห็นใบหน้าที่แท้จริง หากนางไล่ตามติดมากเกินไป เกรงว่าเขาจะหนีไปไกลกว่าเดิม วิชาตัวเบาของมู่ไคเวยสู้เฮยซานไม่ได้ หากบีบให้เขาต้องหนี การไล่ตามเขาจะต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาล
ด้วยเหตุนี้ หญิงสาวจึงหยุดเท้า
ระยะห่างจากจุดที่ชายหนุ่มเร้นกายเข้าไปในความมืด ทำให้มู่ไคเวยเห็นเครื่องหน้าของเขาได้ไม่ถนัด แต่นางยังมองออกว่าชายหนุ่มยกมือขึ้นมากุมจมูก..ชั่วขณะนั้น มู่ไคเวยทั้งรู้สึกขำและรู้สึกผิดในคราวเดียวกัน
“จมูกของท่านซาน…ยังดีอยู่หรือไม่”
รอบด้านตกอยู่ในความเงียบสงัด อึดใจต่อมา เสียงเล็กเสียงน้อยของบุรุษก็ดังอึกอักมาว่า
“วิชาโขกศีรษะเหล็กของใต้เท้ามู่ทำให้ใบหน้าอันดูดีของข้า…ยังพอไหวกระมัง”
มู่ไคเวยอยากหัวเราะมาก แต่นางไม่ได้เปล่งเสียงหัวเราะออกไป เพียงแค่ยกมุมปากขึ้นเพราะน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียดของชายหนุ่ม
“ข้ามีเรื่องอยากจะสอบถาม ขอท่านซานโปรดช่วยไขข้อข้องใจให้ด้วย”
ชายหนุ่มอุทานแล้วหัวเราะเสียงแปลกๆ “เป็นเพราะท่านจับตัวข้าไม่ได้ หรือถึงจับได้ก็ขังข้าไว้ไม่สำเร็จ ท่านเลยยังไม่ยอมแพ้จึงเปลี่ยนวิธีเพื่อมารับมือกับข้าใช่หรือไม่”
มู่ไคเวยไม่ตอบแต่กลับย้อนถาม “ท่านซานรู้จักมารดาข้าหรือไม่”
น้ำเสียงของนางเป็นปกติ แต่กลับทำให้คนถูกถามมีท่าทีใจลอย เขานิ่งไปพักใหญ่ก่อนตอบ
“มารดาของหัวหน้ามู่ จอมยุทธ์หญิงแซ่ลิ่นเป็นผู้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีอย่างยิ่ง ชาวยุทธ์ทุกคนย่อมต้องเคยได้ยินเรื่องราวของนาง แล้วจะมีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้จัก”
มู่ไคเวยถามอีก “มารดาข้าประสบเหตุร้ายจนเสียชีวิตเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน ตอนนั้นข้าเพิ่งอายุเต็มแปดขวบ นายท่านซานเองจะอายุสักกี่ขวบกันเชียว น่าจะยังเด็กอยู่ใช่หรือไม่ แสดงว่าท่านมาได้ยินเรื่องในยุทธภพของมารดาข้าในภายหลังหรือ”
“เอ่อ ข้า…ข้าเด็กขนาดนั้นเสียเมื่อไรเล่า เอาอะไรมาตัดสินว่าข้ายังเด็กอยู่ ข้าแก่มากนะ แก่กว่าเจ้าด้วย!” ดูเอาเถอะว่าเขาตอบอะไรไป โอย ไม่มีความสุขุมเสียเลย
เป็นเพราะเขาถอดหน้ากากออกไปแล้ว แต่นางกลับไล่ตามมาอย่างไม่คาดฝัน ซ้ำยังถามถึงเรื่องในอดีตเลยทำให้เขารู้สึกลนลานใช่หรือไม่
“หัวหน้ามู่สอบปากคำข้าเหมือนเป็นคนร้ายเช่นนี้ ข้าไม่สบายใจเลย” เขาแสร้งกระแอมให้คอโล่งสองครั้งแล้วหัวเราะหึๆ “ท่านเดินอยู่บนเส้นทางแห่งแสงตะวัน ส่วนข้าเดินอยู่บนสะพานไม้เดียวดาย เราทั้งสองต่างคนต่างเดิน ไม่ล่วงเกินกัน ขอลา!” ชิงหนีก่อนย่อมได้เปรียบ!
“คอยก่อน” มู่ไคเวยเห็นชายหนุ่มกำลังจะลับหายไปในความมืดจึงไล่ตามไป นางพยายามทุ่มสุดตัว แต่ในป่ามีร่มไม้รกครึ้มมากมาย และวิชาตัวเบาของเฮยซานก็เหนือชั้น ทำให้เขาหายวับไปในไม่กี่อึดใจเท่านั้น ทิ้งให้มู่ไคเวยอยู่กับกลิ่นที่จางลงไปเรื่อยๆ
พิจารณาจากบทสนทนากับเขาเมื่อครู่ เฮยซานบอกว่า ‘ข้าอยู่เมืองหลวงจนคุ้นแล้วจึงไม่มีความคิดจะย้ายรัง’
เขาจะต้องกลับเข้าไปในเมืองแน่ๆ
คิดได้ดังนั้น มู่ไคเวยจึงโคจรพลังเพื่อเร่งกลับไปที่ตัวเมืองพร้อมเสาะหากลิ่นที่จางลงจนเกือบไม่มี
พอเข้าเมืองแล้ว กลิ่นกลับยิ่งน้อยลงไปอีก เพราะในช่วงห้ามออกจากบ้านมีหิมะตกปรอยๆ มู่ไคเวยวิ่งพล่านไปทั่วทุกหนแห่งเพื่อเสาะหากลิ่นนั้น ก่อนหน้าที่กลิ่นเย็นฉุนจะจางหายไป นางก็ได้มายืนอยู่ที่นอกกำแพงสูงของเรือนด้านหลังของคฤหาสน์หลังหนึ่ง
เนื่องจากปราศจากหลักฐาน มู่ไคเวยจึงต้องเลาะเลียบกำแพงสูงไปยังด้านหน้าเรือนพักแล้วเงยหน้าขึ้นมองป้ายที่แขวนอยู่เหนือประตูซึ่งสลักด้วยตัวอักษรลี่ซู* ซึ่งดูหนักแน่นมั่นคง
‘จวนคังอ๋อง’
เมื่อหน้ากากหนังเนื้อบางที่หมดสภาพเกินกว่าจะเกาะติดผิวเนื้อหล่นลงไปในอ่างไฟก็ถูกเปลวไฟกลืนกินอย่างรวดเร็ว วัสดุที่ทำขึ้นจากน้ำยางชนิดพิเศษพลันมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา
บนขาตั้งอ่างล้างหน้าตรงมุมห้องลับมีน้ำสะอาดเตรียมไว้ ชายหนุ่มจึงเข้าไปวักน้ำล้างหน้าอย่างไม่กลัวความเย็นจัดสองสามครั้ง
มือขวาแตะลงบนผิวหน้า นิ้วมือและฝ่ามือมีไอร้อนผะผ่าว เป็นไออุ่นแบบแปลกๆ ที่ติดมาจากการกุมมือกับแม่นางคนหนึ่ง ยามนี้เขาไม่รู้แล้วว่าใบหน้าหรือฝ่ามือที่ร้อนกว่ากัน
หัวใจที่ซ่อนอยู่ในโพรงอกเต้นกระหน่ำรัวแรงจนรู้สึกเจ็บกระดูกหน้าอก ชายหนุ่มจึงยกมือขึ้นนวดมันตามสัญชาตญาณก่อนคว้าผ้าเช็ดหน้าบนราวมาเช็ดหยดน้ำที่เกาะพราวเต็มใบหน้า
หลังจากถอดชุดตระเวนราตรีทิ้งไว้ในห้องลับเรียบร้อยแล้ว เขาก็ใช้เส้นทางลับกลับไปที่ห้องนอน เมื่อดึงกลไกเพื่อเปิดประตูลับที่ทำเป็นผนังชั้นวางวัตถุโบราณก็เห็นเงาร่างของบ่าวอาวุโสผู้ภักดียืนอยู่ เมื่ออีกฝ่ายเห็นเขา ดวงตาฝ้าฟางก็เบิกโพลง
“ท่านอ๋อง ท่าน…ท่านโดนซ้อมหรือขอรับ!”
“อืม” เขานวดจมูกที่ยังเจ็บ
บ่าวอาวุโสผู้ภักดีโกรธจัด “ผู้ใดตาไร้แววถึงได้กล้าซ้อมท่าน ข้าจะไปเอาคืนให้เอง!”
ไม่คอยให้บุรุษที่ถูกเรียกว่า ‘ท่านอ๋อง’ เอ่ย ก็มีเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาของสตรีชิงนำมาก่อน สตรีสูงวัยคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องนอนอย่างแช่มช้า ก่อนเอ่ยแค่นเสียงเย็น “ลองว่าคนตาไร้แววผู้นั้นซ้อมเขาได้ แล้วตาแก่อย่างเจ้าจะอาศัยวรยุทธ์อ่อนด้อยเหมือนแมวสามขา** ไปจัดการคนผู้นั้นได้หรือ”
บ่าวอาวุโสผู้ภักดีมีใบหน้าแดงก่ำ สองตาราวกับมีไฟลุกโชติช่วง “เช่นนั้น…เช่นนั้น…ท่านก็ไปสิ! ท่านเก่งนักก็ไปเลย!”
“เรื่องอะไรข้าต้องไป เขาถูกซ้อมหนักๆ เช่นนี้ก็ดี ในเมื่อฝีมือไม่เอาไหนก็สมควรต้องเจ็บตัวแล้ว”
เห็นบ่าวอาวุโสผู้ภักดีกับสตรีสูงวัยตั้งท่าจะลงไม้ลงมือกัน ชายหนุ่มจึงต้องรีบแย่งสิทธิ์ในการพูดกลับมา “ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามแตะต้องคนผู้นั้น! ข้ายอมให้นางซ้อมเพราะข้าเป็นฝ่ายติดค้างนาง นางอยากจะทำอะไรข้าก็ได้เต็มที่ ผู้ใดก็ห้าม…ห้ามแตะต้องนาง!”
บรรยากาศพลันเงียบกริบ
สตรีสูงวัยปรายตามองมา สีหน้าฉายแววเข้าอกเข้าใจ
บ่าวอาวุโสผู้ภักดีผงกศีรษะรับอย่างนอบน้อม หัวคิ้วคลายออก ท่าทางโอนอ่อนผ่อนตามอย่างมาก เขาพูดเสียงงึมงำกับตนเอง “อ้อ…ที่แท้ท่านอ๋องก็ถูกสตรีซ้อม”
‘ท่านเฮยซาน’ ที่เพิ่งได้รับสมญานามมาหมาดๆ ในคืนนี้ต้องออกแรงถูหน้าอีกครั้ง เสียดายที่ความร้อนซ่อนอยู่ใต้ผิว ถูเท่าไรก็ไม่หมดไปเสียที
ห้าวันต่อมา
พิธีกรรมทางศาสนาของอารามเป่าหวาจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ปีละหนึ่งครั้ง เจ้าอาวาสหยวนเต๋อต้าซือ* จึงออกมาแสดงธรรมที่ลานหน้าพระอุโบสถด้วยตนเองในช่วงก่อนเที่ยง ครั้งละหนึ่งชั่วยามต่อเนื่องกันเป็นเวลาสามวัน
ว่ากันว่าหยวนเต๋อต้าซือถือกำเนิดมาพร้อมกับความเป็นภิกษุ เพียงอายุห้าขวบก็ได้รับสมญาทางธรรมจากอาจารย์ และเข้าพิธีปลงผมอย่างเป็นทางการ เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงแรกรุ่นก็เดินทางจาริกแสวงบุญไปยังชมพูทวีปเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎก ถอดความพระคัมภีร์หลายครั้ง และมีใจฝักใฝ่ศึกษาพุทธศาสนา ทำให้ท่านกลายมาเป็นยอดภิกษุของพุทธศาสนา
มาวันนี้หยวนเต๋อต้าซืออายุมากแล้ว แม้ท่านจะยังดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส แต่กิจธุระต่างๆ ในวัดล้วนอยู่ในมือของลูกศิษย์ การแสดงธรรมตลอดสามวันนี้จะเป็นการออกงานครั้งสุดท้ายของท่าน เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป เหล่าผู้มีจิตศรัทธามีหรือจะยอมพลาด ทันทีที่ฟ้าสว่าง เส้นทางภูเขาที่นำมายังอารามเป่าหวาก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คน หากต้องการสอบสวนอารามเป่าหวาซึ่งถือเป็นอารามหลวง และแตะต้องหยวนเต๋อต้าซือผู้เป็นอรหันต์ในสายตาของชาวบ้าน รวมถึงศิษย์ชั้นเอกของวัด มู่ไคเวยจำเป็นต้องใช้ความนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว เพื่อลงมือให้สำเร็จภายในครั้งเดียว เพราะหากต้องล่วงเกินกันก็ต้องล่วงเกินให้ถึงที่สุด
เสียงระฆังยามเช้าดังเหง่งหง่างสะท้อนก้องไปทั่วหุบเขา
การเสด็จของไทเฮามีองครักษ์และข้าหลวงช่วยเปิดทางมาที่อาราเป่าหวาอย่างเอิกเกริก หลังมีพระเสาวนีย์ก็มีพระบัญชาห้ามราษฎรคุกเข่ารับเสด็จ รับสั่งว่าวันนี้ทุกคนล้วนต้องการมาสักการะพระเหมือนกัน จึงควรคุกเข่าไหว้พระโพธิสัตว์และพระพุทธยามขึ้นเขาเข้าวัดเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าทำความเคารพผู้อื่นอีก
หยวนเต๋อต้าซือนำศิษย์ออกมารับเสด็จไทเฮาเข้าไปในห้องแสดงธรรมด้วยตนเอง หลังจบพิธีสักการะที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และการแสดงธรรมที่ราษฎรทุกคนรอคอยแล้ว ก็มีการแสดงธรรมเป็นการส่วนพระองค์แด่บุคคลสำคัญในห้องแสดงธรรมต่อ…ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุคคลสำคัญที่กล่าวมานี้มิใช่ข้าหลวงและนางกำนัลที่ติดตามอยู่ข้างกายไทเฮา แต่เป็นคังอ๋องที่ตามเสด็จมาไหว้พระด้วย
คังอ๋องฟู่จิ่นซี อายุยี่สิบห้าปี เป็นหลานชายของฮ่องเต้ซิงอวี้ และไทเฮาผู้ทรงเกียรติที่สุดนี้ก็คือเสด็จย่าของเขา
แม้ชาติกำเนิดของคังอ๋องจะสูงส่ง ทว่าเขากลับกำพร้ามาตั้งแต่ยังเล็ก
ว่ากันว่าตอนคังอ๋ององค์ก่อนกับพระชายาพาบุตรชายโทนอายุแปดขวบที่ป่วยเป็นโรคประหลาดไปหาหมอรักษายังต่างถิ่น ระหว่างทางก็เจอโจรสลัดที่ซานชวนโข่วโจมตีเพื่อชิงทรัพย์ ทำให้เรือล่มลงกลางแม่น้ำอันเชี่ยวกรากที่มีหินแหลมคม เป็นเหตุทำให้คังอ๋ององค์ก่อนกับพระชายาเสียชีวิตอยู่ที่ก้นแม่น้ำ
เมื่อข่าวนี้ถูกส่งกลับมาที่เมืองหลวง ฮ่องเต้ซิงอวี้กับไทเฮาทั้งโกรธและเสียใจ จนทำให้ขุนนางท้องที่ทั้งบุ๋นและบู๊ในซานชวนโข่วต้องเร่งกระจายกำลังลงพื้นที่ และส่วนกลางต้องส่งกำลังทหารไปปราบปรามรังโจรสลัดให้สิ้นซาก
ขณะนั้นพวกเขาที่ยังหาตัวฟู่จิ่นซีผู้เป็นบุตรของคังอ๋องไม่พบก็ทำให้คิดไปว่าเขามีลางร้ายมากกว่าดี ซื่อจื่อ*อายุแปดขวบหายสาบสูญไปเกือบหนึ่งปีเต็มก่อนจะกลับมาที่เมืองหลวงอีกครั้ง พร้อมบ่าวผู้ซื่อสัตย์วัยฉกรรจ์อายุเลยสี่สิบปี กับสตรีอาวุโสหนึ่งคน
วันนี้หยวนเต๋อต้าซือได้พบกับคังอ๋องผู้ประสบภัยแต่เอาชีวิตรอดมาได้เป็นครั้งแรก หลังสนทนากันได้สักพัก เขาก็รู้สึกคับแค้นใจที่พบอีกฝ่ายช้าเกินไป
ตอนแรกเขาตั้งใจแสดงธรรม แต่คิดไม่ถึงว่าคังอ๋องจะเป็นฝ่ายปุจฉาความหมายของอรรถาธิบายพระธรรมของท่านอย่างต่อเนื่อง ถามมาตอบไปตั้งแต่เรื่อง ‘มี’ ในพระคัมภีร์อาคม ‘จิตว่าง’ ในคัมภีร์สติไปจนถึง ‘การทำจิตให้ว่าง’ ในปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร จนไม่เหลือสิ่งใดให้คุยอีก ทิ้งให้ไทเฮา ‘ทรงเป็นประธาน’ อยู่ที่ด้านข้างจนนางกำนัลชั้นสูงคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องแสดงธรรมอย่างเงียบกริบแต่รวดเร็ว นางยื่นหน้าไปกระซิบที่ริมหูของไทเฮา หยวนเต๋อต้าซือถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนได้เสียท่าทางอันสำรวมไปแล้ว
โชคดีที่ไทเฮาดูจะไม่ได้ใส่ใจ เพราะนางเพียงรับฟังบทสนทนาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ทว่าพอได้รับฟังคำรายงานของนางกำนัล ใบหน้าอ่อนโยนเปี่ยมเมตตากลับมีอาการมุ่นหัวคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ
เห็นเช่นนี้ หยวนเต๋อต้าซือย่อมต้องหยุดสนทนาธรรมกับคังอ๋องโดยทันที และเผลอหันไปมองศิษย์ห้าคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมเพื่อร่วมแสดงธรรมด้วยแววตาฉงน
ศิษย์ทั้งหมดของเขาสมควรมีทั้งสิ้นเจ็ดคน พวกเขาเป็นศิษย์เอกที่ติดตามหยวนเต๋อต้าซือมาหลายปีและสร้างความภาคภูมิใจให้แก่อาจารย์เช่นเขาอย่างมาก แต่ละคนเป็นอัจฉริยชนที่ได้รับสมญานามจากหยวนเต๋อต้าซือด้วยตัวอักษร ‘กวน’ จนถึงวันนี้ หยวนเต๋อต้าซือมีวัยสูงขึ้น กิจธุระทั้งในและนอกวัดจึงต้องมอบหมายให้ศิษย์ดูแลทุกอย่าง ทำให้พวกเขาได้รับฉายาว่า ‘เจ็ดกวนแห่งอารามเป่าหวา’ แต่เหตุใดในงานสำคัญเช่นนี้ ศิษย์ที่ควรมารวมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ถึงได้เหลืออยู่แค่ห้าคน?
หลังฟังคำรายงานจากนางกำนัลจบ ไทเฮาก็เอ่ยเสียงเครียดว่า “นี่เป็นเรื่องใหญ่ เรียกหน่วยประตูหกบานเข้ามาอธิบายให้ข้าฟัง”
“น้อมรับพระเสาวนีย์เพคะ” นางกำนัลย่อกายแล้วถอยออกไปจากห้องแสดงธรรม
“เสด็จย่า เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” อ๋องหนุ่มยกชาหอมที่ภิกษุในวัดจัดเตรียมไว้ให้บนโต๊ะเตี้ยข้างตัวขึ้นจิบกลั้วคอก่อนใช้มือข้างหนึ่งกอดเตาอุ่นใบเล็กไว้กับอก และใช้มืออีกข้างกุมมือที่บีบแน่นของไทเฮา แล้วเอ่ยถามเสียงนุ่มด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ไทเฮาตบหลังมือขาวใสจนมองเห็นเส้นเลือดสีเขียวของท่านอ๋องหนุ่ม ริมฝีปากที่เม้มแน่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มปลอบใจภายในชั่วพริบตา “ไม่มีอะไร จะมีอะไรได้เล่า ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่านี้ เมื่อมาถึงย่าแล้ว ย่าจะช่วยจัดการแทนเจ้าเอง เจ้าไม่ต้องตกใจจนหลับไม่สนิทกระทั่งล้มป่วยอีกเล่า เด็กดี เชื่อย่านะ ไม่ต้องตกใจ”
อ๋องหนุ่มยิ้มบางๆ ผงกศีรษะรับอย่างว่าง่าย “พ่ะย่ะค่ะ หลานจะไม่ตกใจ”
มู่ไคเวยที่สวมชุดขุนนางสีดำปลอดตามนางกำนัลเข้ามาในห้องแสดงธรรม สิ่งที่นางเห็นคือภาพแห่งความผูกพันและความสุขของย่าหลานที่เกาะกุมมือและส่งยิ้มให้แก่กัน
นางก้มศีรษะและคุกเข่าลงข้างหนึ่งเป็นการแสดงคารวะ “ผู้น้อยมู่ไคเวย คารวะไทเฮาและคังอ๋องเพคะ”
“เอ๋? เจ้า เจ้า…เสี่ยวมู่จื่อมิใช่หรือ อ้อ ข้านึกได้แล้ว บิดาเจ้าเป็นมือปราบเทวดาที่ทำงานควบหน่วยหยาเหมินของสามตุลาการจนต่อมาเจ้าพาคนไปคลี่คลายคดีปลอมเงินกับไฟไหม้ที่ทางใต้ของเมืองสำเร็จ ภาระของหน่วยประตูหกบานจึงมาอยู่บนไหล่เจ้าแทน”
ไทเฮานึกย้อนแล้วตบขาเบาๆ สีหน้าทวีความอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น
“บิดาเจ้ากับเจ้าเคยเข้าวังไปรับพระราชทานรางวัลหลายครั้ง ข้าย่อมเคยเห็นเจ้าและยังกล่าวชื่นชมเจ้าด้วย ตอนนั้นข้ายังบอกทุกคนเลยว่าเสี่ยวมู่จื่อแห่งสกุลมู่ช่วยกอบกู้หน้าให้สตรีราชวงศ์เทียนเฉาของพวกเรา เจ้าน่าจะจำได้กระมัง”
“พรืด…แค่กๆ” เสียงคล้ายหลุดหัวเราะเบาแสนเบาดังมา ทว่าเจ้าของเสียงรีบกดมันไว้ทำให้ได้ยินไม่ถนัดว่าเขากำลังกลั้นหัวเราะหรือแอบไอกันแน่
“คันคออีกแล้วหรือ เจ็บหน้าอกหรือไม่ วันนี้ไม่ควรให้เจ้ามาด้วยเลยจริงๆ เรื่องขึ้นเขาเช่นนี้ ย่าไม่ควรตามใจเจ้าเลย” ไทเฮาตกใจ ทำให้นางกำนัลที่ติดตามอยู่ข้างกายพลอยตื่นตระหนกตามไปด้วย แต่ละคนยกชา ส่งผ้า ส่งกระโถนและลูบหลังให้ท่านอ๋องหนุ่มที่นั่งพิงที่เท้าแขนอยู่บนฟูกกันให้วุ่นวายไปหมด
มู่ไคเวยยังคงนิ่งสงบ นางไม่แม้แต่จะเลิกคิ้วขึ้น ทว่าจู่ๆ นางกลับได้ยินเสียงท่านอ๋องหนุ่มหัวเราะเบาๆ
“เสด็จย่า หลานไม่เป็นไร รีบให้แม่นางเสี่ยวมู่จื่อลุกขึ้นมาคุยกันดีกว่า”
เมื่อถูกเตือน ไทเฮาจึงหันมาสนใจมู่ไคเวยอีกครั้ง และสั่งให้นางทำตัวตามสบาย
มู่ไคเวยกล่าวขอบพระทัยแล้วลุกขึ้นเพื่อถวายรายงานอย่างกระชับชัดเจน “หน่วยประตูหกบานได้รับแจ้งข่าวว่าเมื่อห้าวันก่อนมีนักโทษอุกฉกรรจ์หนีออกจากคุกของศาลยุติธรรมแล้วมาอยู่ที่อารามเป่าหวา นักโทษรายนี้มีส่วนเกี่ยวพันกับคดีการหายตัวไปอย่างต่อเนื่องของสตรีในเมืองหลวง แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันประกอบพิธีสำคัญของอารามเป่าหวา มีไทเฮาและท่านอ๋องทรงให้เกียรติมาเยือน หน่วยประตูหกบานไม่อาจใช้กำลังล่วงล้ำ ทว่าการช่วยคนต้องเร่งด่วนเช่นเดียวกับการดับไฟ ผู้น้อยเป็นห่วงว่าหากช้าไปก้าวหนึ่งจะมีมือดีมาช่วยคนร้ายให้หนีไปไกลขึ้น และทำให้สตรีที่ถูกลักพาตัวไม่ได้รับการช่วยเหลือ”
แม้หยวนเต๋อต้าซือจะอายุมาก แต่พอได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้ว เขายังคงสงบปากไว้ไม่อยู่ “ใต้เท้ามู่เป็นหัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีแห่งหน่วยประตูหกบานที่ได้รับการขนานนามว่าอสุราหน้าหยกแห่งเมืองหลวง แต่กลับทำงานชุ่ยๆ เช่นนี้หรือ ใต้เท้าบอกว่าอารามเป่าหวาของข้าซุกซ่อนคนร้ายหนีคุกไว้? แล้วท่านมีหลักฐานหรือไม่”
“เพราะมีหลักฐานทางเราถึงได้กล้าปิดล้อมห้องแสดงธรรมของต้าซือ” มู่ไคเวยหันไปเผชิญหน้ากับเจ้าอาวาสด้วยแววตาเยือกเย็น “กำลังคนและม้าจำนวนหลายกลุ่มของหน่วยประตูหกบานได้แทรกตัวปะปนอยู่ในเหล่าผู้ที่มีจิตศรัทธาในวันนี้เพื่อลอบสังเกตเหตุการณ์ คิดไม่ถึงว่าจะเจอคนร้ายลงมือในวัด พวกท่านช่างใจกล้ายิ่ง แม้แต่นางข้าหลวงในวังที่อยู่ในปกครองขององค์ไทเฮายังกล้าแตะต้อง หากไม่ใช่เพราะคนของข้าให้ความช่วยเหลือได้ทัน เกรงว่าคงมีผู้สูญหายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคดีแล้ว”
ได้ยินคำว่านางข้าหลวงในวัง ไทเฮาก็หยัดกายนั่งตรงทันที “เสี่ยวอันจื่อ เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ หรือ”
นางกำนัลคนที่เข้ามาถวายรายงานเมื่อครู่ทูลตอบอย่างรวดเร็ว “กราบทูลไทเฮา พออันกูกูจัดการเรื่องคนที่จะเข้ามาถวายการรับใช้ในห้องแสดงธรรมเรียบร้อย แล้วออกจากห้องแสดงธรรมไปไม่นานก็ถูกคนเล่นงาน คนร้ายพุ่งเข้ามาอุดปากนางจากทางด้านหลังแล้วลากไปยังเรือนด้านหลังของอารามเป่าหวา โชคดีที่มือปราบของหน่วยประตูหกบานที่ปลอมเป็นผู้ที่มีจิตศรัทธาเห็นเข้า ไทเฮาไม่ต้องเป็นกังวลนะเพคะ เวลานี้อันกูกูปลอดภัยแล้ว แค่ข้อเท้าแพลงจากตอนดิ้น นางจึงให้หม่อมฉันมาถวายรายงาน”
ไทเฮาโล่งอก ผงกศีรษะ “เช่นนั้นก็ดีๆ” นางหันมามองมู่ไคเวย น้ำเสียงมีกระแสหวาดหวั่น “เสี่ยวมู่จื่อ แล้วคนร้ายเล่า จับตัวได้หรือไม่ เป็นใครกันแน่”
เสี่ยวอันจื่อ เสี่ยวมู่จื่อ…มู่ไคเวยคิดในใจว่า นี่คงเป็นคำเรียกที่แสดงถึงความสนิทสนมของไทเฮาเสียแปดส่วน
หญิงสาวจึงเลือกมองผ่านไป ใบหน้างดงามพริ้มเพราฉายแววเคร่งเครียดขณะทูลตอบ “กราบทูลไทเฮา คนของหม่อมฉันได้ต่อสู้กับคนร้ายซึ่งหน้า ทำให้แน่ใจว่าเป็นนักโทษที่แหกคุกของศาลยุติธรรมออกมาเมื่อห้าวันก่อนไม่ผิดแน่ แต่คนร้ายเจ้าเล่ห์เกินไป มันจับอันกูกูเป็นตัวประกันแล้วหนีหายไปที่ภูเขาด้านหลังของอารามเป่าหวา ขณะนี้เจ้าหน้าที่ของหน่วยประตูหกบานทุกคนกำลังตามจับตัวอยู่เพคะ”
“นี่ นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไร เหตุใด…เพราะเหตุใด” สีหน้าของหยวนเต๋อต้าซือซีดเผือด เขาพยายามลุกแต่กลับยืนไม่ขึ้น
จังหวะนี้เอง กวนจื่อผู้เป็นหนึ่งในเจ็ดกวนแห่งอารามเป่าหวาและเป็นศิษย์ที่อาวุโสมากที่สุดก็ลุกขึ้นมาจากเบาะกลม เขาไม่ได้เข้ามาประคองเจ้าอาวาส แต่กลับหันไปโต้เถียงกับมู่ไคเวย “เป็นไปไม่ได้ ท่านโกหก ท่านแต่งเรื่องขึ้นเอง!”
มู่ไคเวยไม่โกรธซ้ำยังยิ้ม มือข้างหนึ่งของนางกุมมีดพกที่ข้างเอวพลางเอียงหน้ามอง “นักบวชย่อมไม่มุสา ข้ามิใช่นักบวชจึงต้องพูดปดบ้าง หวังว่าพระท่านคงไม่ลงทัณฑ์มากจนเกินไป แต่สำหรับพระอาจารย์ท่านนี้ อืม…ตำแหน่งที่นั่งของท่านเป็นลำดับที่สามของเจ็ดกวนแห่งอารามเป่าหวา แสดงว่าท่านน่าจะเป็นอาจารย์สามกวนจื่อ ไม่ทราบว่าอาจารย์กวนจื่อทราบได้อย่างไรว่าข้าแต่งเรื่องขึ้นเอง”
ก่อนหน้านี้นางพูดเป็นจริงเป็นจัง แต่ต่อมากลับยอมรับว่าโกหกได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ทว่ายังไม่ทันที่ทุกคนจะดึงสติกลับคืนมาได้ ก็ได้ยินมู่ไคเวยพูดเสียงชัดเจนว่า “หรือที่อาจารย์กวนจื่อมั่นใจเป็นเพราะนักโทษแหกคุกคนนั้นถูกท่านสังหารไปนานแล้ว แม้แต่ศพก็กลบฝังเรียบร้อย ท่านเลยจับโกหกข้าได้อย่างซึ่งหน้า?”
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร!” กวนจื่อตวาดเสียงเกรี้ยว เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน
“เหลวไหล?” มู่ไคเวยเลิกคิ้วและยิ้มอย่างเย็นชา “เมื่อคืนนี้ช่วงกลางดึก ภูเขาด้านหลังของอารามเป่าหวาไม่ได้สงบเงียบ เพราะมีรถสามล้อถูกลอบเข็นจากอารามไปที่ภูเขาด้านหลัง บนรถมีศพสามศพ การจะฝังศพทั้งสามให้เรียบร้อยคงต้องใช้แรงมากใช่หรือไม่ เสียดายที่อาจารย์กวนจื่อเข้าใจว่าตัวเองฝังศพเรียบร้อยโดยไม่รู้เลยว่าหน่วยประตูหกบานคอยสะกดรอยท่านอยู่เป็นเวลาหลายวันแล้ว ในที่สุดก็เห็นบุปผาเช่นท่านโผล่ออกมาจนได้”
สีหน้าของพวกไทเฮาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่ใบหน้าที่ได้รับการบำรุงดูแลจนเดาอายุไม่ออกของกวนจื่อกลับประเดี๋ยวดำประเดี๋ยวขาวมากยิ่งกว่า
หยวนเต๋อต้าซือลุกขึ้นยืนด้วยเนื้อตัวสั่นเทิ้ม เขาถามเสียงแหบแห้ง “กวนจื่อ…กวนเจินกับกวนเจี้ยเล่า เหตุใดจึงไม่เห็นศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองของเจ้า ข้าไม่เห็นเงาของพวกเขาสองคนตั้งแต่เช้าแล้ว ในวัดก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไปที่ใด เจ้าบอกมาซิว่าพวกเขาไปที่ใด”
ดวงตาของกวนจื่อหรี่ลงเล็กน้อย เขาเม้มปากไม่ตอบคำ
ชั่วขณะนั้น พระอาจารย์หนุ่มคนหนึ่งที่มีตัวอักษรกวนในชื่อเช่นกันผุดลุกขึ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงปลอบใจ “อาจารย์ กวนชินรู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองอยู่ที่ใด กวนชินจะไปตามพวกเขามาให้เดี๋ยวนี้!”
“ไม่ว่าใครก็ห้ามไปที่ใดทั้งนั้น!” มู่ไคเวยพูดเสียงดุ
พร้อมกันนั้น อาวุธลับอย่างมีดบินก็ถูกเหวี่ยงออกจากมือของนางเสียงดังฟึ่บ มีดบินเปล่งประกายวาววับปักลงตรงปลายเท้าที่กำลังจะก้าวออกจากห้องแสดงธรรมของกวนชินพอดี
หญิงสาวกวาดตามองเหล่าภิกษุที่มีสมญานามว่ากวนแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึก “หยวนเต๋อต้าซือ เมื่อคืนคนของข้าไปขุดหลุมที่ภูเขาด้านหลัง นอกจากจะพบตัวคนร้ายที่แหกคุกของศาลยุติธรรม อีกสองศพที่เหลือคือพระอาจารย์สองท่านของอารามนี้ การจะนำศพบุรุษตัวโตๆ สามคนไปฝังกลางหุบเขาโดยไม่ให้ท่านและนักบวชในสำนักรู้ ต้าซือคิดว่าลำพังอาจารย์กวนจื่อเพียงคนเดียวจะทำสำเร็จได้ง่ายๆ หรือ”
ได้ยินมาถึงตรงนี้ ขาทั้งสองข้างของหยวนเต๋อต้าซือพลันอ่อนยวบจนต้องทรุดลงไปนั่งอีกครั้ง พลางพูดเสียงงึมงำฟังไม่ได้ความ
บัดนี้ ไทเฮาพอเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ แล้ว อำนาจอันน่าเกรงขามจึงแผ่ซ่าน นางสะบัดแขนเสื้อตบเบาะด้วยความโกรธจัด “บังอาจ! วิปริต! เห็นอารามเป่าหวาเป็นสถานที่เช่นใดกัน เจ้า…เจ้า…นี่…พวกเจ้า…พวกเจ้ายืนขึ้นเช่นนี้…คิดจะทำอะไร!”
ในบรรดาพระอาจารย์ที่มีสมญานามว่ากวนทั้งห้าคน นอกจากกวนจื่อกับกวนชินที่ยืนนิ่งไม่ขยับ อีกสามคนที่เหลือต่างยันกายขึ้นมาจากเบาะกลมทีละคนอย่างช้าๆ พลางจ้องหน้าแขกผู้ทรงเกียรติที่ขึ้นเขามาเยือนในวันนี้ด้วยสีหน้าทะมึนคล้ายจะเป็นคำตอบให้แก่สิ่งที่มู่ไคเวยถามไปเมื่อครู่ว่า…คนคนเดียวไม่มีทางทำงานสำเร็จโดยง่าย แต่หากห้าคนร่วมแรงร่วมใจกัน ย่อมสะดวกง่ายดาย
ห้องแสดงธรรมตกอยู่ในความเงียบชั่วอึดใจ กวนจื่อมองหยวนเต๋อต้าซือที่นั่งนิ่งขาอ่อนเปลี้ยแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพยกย่องว่า “อาจารย์ พวกเราทำเพื่อท่าน และเพื่อความมั่นคงรุ่งเรืองของอารามเป่าหวา ศิษย์พี่กวนเจินกับศิษย์พี่กวนเจี้ยไม่ยอมเข้าใจ พอพวกเขาเห็นนักโทษแหกคุกและสิ่งที่ไม่ควรเห็น พวกเราจึงจำเป็นต้องลงมือ เสียสละพวกเขาเพื่อวันข้างหน้าของทุกคน”
หยวนเต๋อต้าซือมีน้ำตากลบดวงตา เขาส่ายหน้าพูดเสียงงึมงำ “อกตัญญู…เนรคุณ…นี่พวกเจ้าทำอะไรลงไป”
จังหวะนี้ กวนชินที่แสร้งทำเป็นจะออกไปตามคนก็หยิบคบเพลิงอันหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ เขายอบกายลง ก่อนจะเอาคบเพลิงขีดกับพื้นทำให้ไฟติดขึ้นมาทันที
“วางลง!” ทันทีที่หางตาของมู่ไคเวยเห็นแวบๆ นางก็ซัดมีดบินที่เป็นอาวุธลับออกไป
ทว่ากวนชินกลับยิ้มแปลกๆ เขาไม่ได้หลบเลี่ยงแต่ปล่อยให้มีดบินตัดนิ้วสองนิ้วไปเสียอย่างนั้น คบเพลิงระเบิดตูม แสงไฟพุ่งทะลุหลังคาขึ้นไปแตกตัวบนฟ้า
ดูท่านี่จะเป็นปืนไฟขนาดเล็กที่ใช้ในการสื่อสาร แสดงว่าในอารามเป่าหวาจะต้องมีคนของพวกเขาอีก
มู่ไคเวยชักกระบี่ออกจากฝัก เมื่อกระบี่สาดประกายวาววับประดุจหิมะ ก็ยิ่งขับเน้นใบหน้าดูเหี้ยมเกรียมและสองตาลึกล้ำดูพรั่นพรึงมากยิ่งขึ้น
ข้าหลวงและนางในที่สามารถเข้ามาถวายการรับใช้ใกล้ชิดในห้องแสดงธรรมมีจำนวนไม่ถึงสิบคน และบัดนี้แต่ละคนล้วนอยู่ในท่าทางที่อลหม่าน
ข้าหลวงสองคนร้องโวยวายจะวิ่งออกไปข้างนอก แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะออกไปเรียกองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกสำเร็จก็ถูกกวนจีผู้เป็นลำดับสี่ในเจ็ดกวนแห่งอารามเป่าหวาเตะจนสลบเหมือดในเท้าทีเดียว วิชาบาทาไร้เงาของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่เก็บงำประกายได้อย่างแนบเนียน
ในขณะเดียวกันก็มีเสียงต่อสู้ดังเข้ามาจากด้านนอก ปืนไฟที่กวนชินปล่อยขึ้นฟ้าให้ผลชะงัด เพราะมันทำให้คนของอารามเข้าเล่นงานองครักษ์จากวังหลวงจำนวนเกือบร้อยนายในระยะประชิด เสียงดาบกระทบกันและเสียงโหวกเหวกดังก้องห้องแสดงธรรม คล้ายกับมีศัตรูกรูเข้ามาจากสี่ทิศแปดทาง ทำให้ผู้สูงศักดิ์ภายในห้องไร้ซึ่งหนทางหลบหนี
“ไทเฮา! ไทเฮา!”
“ไทเฮาทรงพระทัยเย็นไว้ เย็นไว้ก่อน!”
“เสี่ยวหลี รีบเอายาลูกกลอนขวดสีฟ้าของหมอหลวงหลี่มาเร็ว!”
“อยู่นี่ๆ!”
“รีบเทยาเม็ดหนึ่งออกมาป้อนไทเฮาก่อน ยังมียาขวดสีม่วงด้วย เปิดเร็วๆ สิ!”
“ได้ๆ! โอ๊ะ…”
มู่ไคเวยรับฟังเสียงความวุ่นวายที่ด้านหลังอย่างสงบ สายตาจ้องตรงไปยังภิกษุที่มีสมญานามว่ากวนทั้งห้าคน
นางพอจะมองออกว่ากวนจื่อที่มีอาวุโสสูงที่สุดกับกวนชินที่มีอาวุโสน้อยสุดไม่เหมือนคนที่รู้วรยุทธ์ แต่กวนจีกับคนที่เหลืออีกสองคนไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ หากพวกเขาสามคนร่วมมือกัน…นางจะมีโอกาสชนะเท่าไรกันนะ
ทันใดนั้นก็มีเสียงทุ้มนุ่มของบุรุษดังมา
“เสี่ยวหลี ส่งขวดยาให้ข้า เดี๋ยวข้าจัดการเอง” ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น ความวุ่นวายโดยรอบก็คล้ายจะสงบลงได้ชั่วขณะหนึ่ง ทำให้มู่ไคเวยอดปรายตาไปมองอย่างรวดเร็วไม่ได้
นางเห็นไทเฮาพิงร่างอยู่กับอกของพระราชนัดดา…คังอ๋อง พอนางข้าหลวงเปิดขวดยาสมุนไพรได้แล้วก็วางขวดยาใส่มือคังอ๋อง เวลานี้ไทเฮายังไม่หมดสติแต่สีหน้าแย่มาก ส่วนคังอ๋อง…มู่ไคเวยเหลียวไปมองก็เพียงศีรษะที่ก้มต่ำของชายหนุ่มกับเรือนผมสีดำขลับดุจเส้นไหมที่สวมรัดเกล้าหยกมุกและทิ้งตัวให้สยายคลุมบ่า
“เสี่ยวมู่จื่อ…เสี่ยวมู่จื่อ…” ไทเฮาสูดกลิ่นยาสมุนไพรโดยมีนางกำนัลช่วยลูบหลังและนวดเฟ้นตามจุดต่างๆ ให้ นางช้อนตาขึ้นเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
มู่ไคเวยก้มศีรษะรับคำ “ทรงหลบอยู่ข้างหลังก่อน ไม่ต้องตกพระทัยนะเพคะ”
นางพูดยังไม่ทันจบคำ กวนจีก็นำศิษย์น้องลำดับห้าและหกลงมือแล้ว
เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดยิ่ง
มู่ไคเวยเดาความคิดของฝ่ายตรงข้ามได้นานแล้ว เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ก็ไม่อาจหนีได้อีกต่อไป วิธีที่ดีที่สุดคือจับผู้สูงศักดิ์ทั้งสองเป็นตัวประกัน เพราะไทเฮาและคังอ๋องย่อมเป็นยันต์คุ้มภัยชั้นยอด สามารถทำให้พวกเขาค่อยๆ เจรจาต่อรองกับราชสำนักได้โดยไม่จำเป็นต้องดิ้นรนหาทางรอดเอาเอง
ทว่ามู่ไคเวยกลับถ่วงเวลาเอาไว้ได้ ขณะที่พวกเขาไม่อาจปล่อยให้เวลาล่วงเลยได้อีกต่อไป
หญิงสาวใช้กระบี่ได้อย่างแคล่วคล่องว่องไว ประกายกระบี่สาดวูบวาบโจมตีพวกเขาสามคนทั้งซ้ายขวา บน กลาง ล่าง อาวุธของนางทรงพลังไร้ผู้ใดต้านทาน วิชากระบี่และมีดก็พลิกแพลงได้หลากหลาย แต่ที่เป็นจุดแข็งคือการโจมตีโดยครอบคลุมอย่างหนักหน่วง
“มีด!” ไม่รู้ว่ากวนจื่อไปเอาอาวุธมาจากที่ใด บางทีเขาอาจจะซุกซ่อนมันไว้ในห้องพระและห้องหนังสือ หรือบางทีอาจจะซ่อนไว้ทุกห้องในอารามเป่าหวาก่อนแล้ว เขาจึงโยนมีดเล่มใหญ่ไปให้พวกกวนจีสามคนก่อนไปช่วยกวนชินที่ห้ามเลือดเรียบร้อยแล้ว และกำลังคุมตัวหยวนเต๋อต้าซือเอาไว้ ซึ่งคนหลังดูเหมือนจะได้รับความตกใจจนนิ่งงัน สีหน้าของท่านฉายแววสิ้นหวัง ร่างกายอ่อนยวบเหมือนดินเลน ไม่ว่าจะถูกลากไปที่ใดก็เอาแต่พึมพำว่า
“ทรพี ชั่วช้า ฆ่าคน จบกัน อารามเป่าหวาจบสิ้นแล้ว…ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว”
“อาจารย์ อารามเป่าหวายังไม่ถึงกับจบสิ้น ตราบใดที่ยังมีชีวิต การถอดความพระคัมภีร์รวมเข้ากับชื่อเสียงของอาจารย์ ย่อมเรียกศรัทธาจากผู้คนได้ ขอเพียงพวกเราร่วมแรงร่วมใจย่อมรักษาตำแหน่งอันดับหนึ่งและมีอำนาจได้ดังเดิม จะมีโทษทัณฑ์อันใดกัน” กวนจื่อพูดปลอบเสียงเบาอย่างอดไม่อยู่
มู่ไคเวยไม่อาจแบ่งสมาธิไปฟัง เพราะนางกำลังถูกพวกกวนจีสามคนใช้มีดเล่มใหญ่เล่นงานอีกครั้ง
โลหิตพลันเดือดพล่าน การปะทะทวีความรุนแรงมากขึ้น หญิงสาวไม่อาจคาดเดาได้ว่าตนเองมีโอกาสชนะมากน้อยเพียงใด เพราะศึกที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่สิ่งที่ใครอยากเจอก็เจอได้ เนื่องจากศัตรูมีวิชายุทธ์สูงส่ง และทั้งสามคนต่างช่วยส่งเสริมกัน สามารถทำงานร่วมกันได้จนเกือบเหมือนอาภรณ์ฟ้าไร้ตะเข็บ
เพียงแค่เกือบเหมือน…เพราะมันยังมีจุดอ่อน
มู่เจิ้งหยางบิดาของนางเคยถ่ายทอดวิชา ‘กำแพงคู่’ ซึ่งถือเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาของสกุลมู่ให้ วิชานี้มีประโยชน์มากเวลาที่ถูกยอดฝีมือกลุ้มรุมโจมตี มู่ไคเวยจึงมานะร่ำเรียนอย่างหนัก แต่นางยังไม่แตกฉานเท่ากับศิษย์พี่ใหญ่เมิ่งอวิ๋นเจิง ความรู้สึกบอกว่านางยังขาดอะไรบางอย่าง จนภายหลังบิดาบอกนางว่าสิ่งที่นางขาดก็คือประสบการณ์จากการต่อสู้จริง
การต่อสู้จริงเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่ายๆ แล้วจะให้นางปล่อยผ่านไปได้อย่างไร!
สำหรับศึกที่อยู่ตรงหน้านี้ นางจะต้องชนะ…ชนะให้ได้…และต้องชนะอย่างเดียวด้วย
มู่ไคเวยชักมีดเงินที่เอวออกมา มีดเล่มนี้บิดาตั้งใจให้คนทำเพื่อนางโดยเฉพาะ มีความยาวครึ่งแขน และด้ามจับพอเหมาะพอดีกับมือของนาง
มือหนึ่งถือกระบี่ อีกมือถือมีดเงิน ประโยชน์ของวิชากำแพงคู่คือการใช้ความยาว ความแข็งแกร่ง ความสั้นและความเสี่ยง หญิงสาวทอนความยาวเสริมความสั้นเพื่อใช้ความสั้นให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะป้องกันหรือเข้าโจมตีก็สามารถพลิกแพลงได้ตามสถานการณ์
พวกกวนจีสามคนสามารถรุกและถอยได้อย่างคล่องแคล่ว ประกายจากดาบใหญ่สามเล่มวูบวาบคล้ายแหขนาดใหญ่ที่กำลังทิ้งตัวลงมา
แต่มู่ไคเวยเข้าสกัดไว้ เมื่อพิจารณาแล้วว่าผู้สูงส่งเหล่านี้มีทั้งคนแก่และคนอ่อนแอ ซ้ำยังมีนางกำนัลรูปร่างอ้อนแอ้นบอบบางอีกกลุ่มหนึ่ง นางจำเป็นต้องตีวงรักษาพื้นที่เพื่อมิให้คนที่อยู่ข้างหลังต้องสูญเสียปราการคุ้มครอง
ทันใดนั้น…
“โดน!” นางวาดกระบี่ออกไป แม้จะพบกับความว่างเปล่า แต่มีดสั้นในมือซ้ายต่างหากที่เป็นไม้ตาย เพราะมันแทงทะลุหัวใจฝ่ายตรงข้ามเสียงดังฉึก ทำให้ค่ายกลมีดของทั้งสามคนถูกทำลาย มู่ไคเวยไม่ยอมเว้นจังหวะแม้แต่น้อย กระบี่ลวงเปลี่ยนเป็นจริง โดยทิ้งคมลงบนแขนของฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง ทำให้แขนหนึ่งข้างขาดทันที
กวนจีร้องลั่นพร้อมถอยกรูดไปข้างหลังอย่างรวดเร็วแต่ไม่รู้ข้อเท้าไปกระแทกถูกอะไรทำให้ขาของเขาชาจนล้มลงกับพื้นอย่างแรง
มู่ไคเวยเบือนหน้าไปมองด้านข้างเล็กน้อย หัวใจนางพลันกระตุก แต่ไม่อาจปล่อยให้โอกาสงามตรงหน้าหลุดมือไป นางจึงลดกระบี่ลงพาดที่คอของกวนจี
หลังควบคุมตัวฝ่ายตรงข้ามสำเร็จแล้ว มู่ไคเวยจึงกวาดตามองกวนจีและสภาพรอบๆ ด้วยสายตางุนงงปนคิดหนัก และสุดท้ายนางก็เก็บวัตถุชิ้นเล็กจิ๋วกลมมนเม็ดหนึ่งขึ้นมาจากข้างเท้า
กวนจื่อกับกวนชินลากตัวหยวนเต๋อต้าซือออกจากห้องแสดงธรรมไปนานแล้ว
เวลานี้ มู่ไคเวยทำให้นักบวชสองคนบาดเจ็บสาหัสและจับตัวกวนจีได้สำเร็จ ในที่สุด คนข้างนอกก็บุกเข้ามาในห้อง และมีเงาคนอีกหลายคนที่พยายามพังหน้าต่างบานใหญ่เพื่อแย่งกันเข้ามา โชคดีที่ทุกคนล้วนแต่เป็นคนของนาง นอกจากราชองครักษ์แล้วก็ยังมีสายของหน่วยประตูหกบานที่มู่ไคเวยลอบวางไว้ในอารามด้วย
ทันทีที่ราชองครักษ์เข้ามาในห้องแสดงธรรมและมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างถนัดก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง พูดเสียงดังลั่นเป็นทำนองว่า “พวกกระหม่อมมาช้า ขอไทเฮาและท่านอ๋องโปรดทรงลงโทษด้วย” ทำให้เหล่าราชองครักษ์ที่ตามหลังเข้ามาต้องคุกเข่าตาม
มู่ไคเวยส่งตัวกวนจีไปให้ลูกน้องสองคน ก่อนเก็บอาวุธในมือกลับเข้าฝัก แล้วหันไปคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นเช่นเดียวกัน
“ทำให้ไทเฮาและท่านอ๋องต้องตกพระทัย หม่อมฉัน…เอ๋?” มู่ไคเวยประสานแขนทั้งสองข้างไว้บนหน้าอก แต่ยังไม่ทันที่วลี ‘มีโทษถึงตาย’ สี่คำจะได้หลุดออกจากปาก ใบหน้าของคังอ๋องที่เงยขึ้นมามองนางก็ทำให้หญิงสาวตกใจจนต้องนิ่งงัน
ใช่ว่านางไม่เคยพบคังอ๋องฟู่จิ่นซีมาก่อน แต่ทุกครั้งพวกเขาล้วนอยู่ไกลกัน ไม่เคยได้เจอกันในระยะประชิดเช่นวันนี้
ยามนี้ ทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงแค่มือเอื้อม ชายหนุ่มโอบร่างของไทเฮานั่งอยู่บนเบาะ มีเหล่านางกำนัลห้อมล้อม และมู่ไคเวยคุกเข่าขออภัย ทำให้สายตาของทั้งสองคนสบประสานกันพอดี
ลูกหลานของราชวงศ์เทียนเฉาส่วนมากมักเกิดมาหน้าตาดี ทำให้ใบหน้ารูปผลแตงขาวจัดดุจหิมะจนเกือบดูเหมือนป่วยของคนตรงหน้านางพลอยดูดีไปด้วย ใต้คิ้วเข้มเรียวยาวคือเนตรหงส์งามสง่า จมูกโด่งสวยได้รูป ริมฝีปาก…เป็นรูปกระจับงามแท้ ริมฝีปากบนบาง ริมฝีปากล่างอวบอิ่ม ทำให้เหมือนไม่ว่าเขาจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม มุมปากก็จะยกสูงอยู่เสมอ ทำให้คนอื่นๆ นึกอยากจะยกมุมปากขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้…ยังมี…ความรู้สึกแปลกๆ ที่ยากจะบรรยายอีกอย่างหนึ่ง
ตอนที่เขามองนาง สายตาเขาวาววับคล้ายกำลังจดจ่อ ตั้งใจ และไม่อยากให้พลาดเลยแม้แต่น้อย คล้ายเชื่อมั่นในตัวนางอย่างหมดจิตหมดใจ เหมือนนางเป็น…สิ่งที่เขาปรารถนา?
มู่ไคเวยรีบปัดความคิดเหลวไหลนี้ออกจากสมอง พลางขยับริมฝีปากเพื่อพูดอะไรบางอย่าง ทว่าริมฝีปากรูปกระจับของชายหนุ่มกลับเอ่ยออกมาก่อนว่า “เจ้าบอกให้หลบหลังเจ้า เสด็จย่ากับข้าก็หลบกันอย่างดี เจ้าบอกว่าอย่าตกใจ ข้าก็ไม่ตกใจ ข้าเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง”
น้ำเสียงสนิทสนมกับเนตรหงส์ที่มองนางอย่างอ่อนเชื่อมโดยไม่กะพริบทำให้มู่ไคเวยรู้สึกอึดอัดนิดๆ และนึกหวั่นอยู่ในใจว่าน้ำเสียงทุ้มนุ่มของบุรุษเช่นนี้เหมือนจะสะกดวิญญาณผู้คนได้อย่างแท้จริง
ยิ่งสีหน้าท่าทางหัวอ่อนดูไม่มีพิษภัยของเขา ยิ่งดูใสซื่ออย่างที่ทำให้ทุกคนรู้สึกอยากปกป้องดูแลเขาจากใจจริง
“เสี่ยว เสี่ยวมู่จื่อ…” ไทเฮาเริ่มได้สติ แม้จะไม่มีเรี่ยวแรง แต่นางมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างได้อย่างชัดเจน หญิงชราจึงร้องเรียกและยื่นมือออกไปหามู่ไคเวยที่รับคำนางเสียงเบา
ตอนแรกมู่ไคเวยยังคุกเข่าตัวตรงอย่างสำรวมกิริยา แต่พอเห็นมือที่ได้รับการบำรุงดูแลจนเนียนขาวดุจหิมะของไทเฮายื่นมาจนเกือบถึงหน้า นางก็จำเป็นต้องยื่นมือที่ไม่อาจเรียกได้ว่านุ่มนิ่มของตนเองออกไปกุมมือของไทเฮาไว้
“เป็นเจ้า เสี่ยวมู่จื่อ…”
…เอ๋? ข้าเป็นอะไรหรือ มู่ไคเวยมีสีหน้าประหลาดใจ
ไทเฮาพูดเสียงหอบ “อสุราหน้าหยกแห่งเมืองหลวงผู้ปราดเปรียวและกล้าหาญราวกับถือทวนออกรบจะต้อง…จะต้องกำราบปีศาจได้แน่” ไทเฮาบีบมือมู่ไคเวยแน่น “ข้าจะพระราชทานสมรสให้เจ้า ให้เจ้าได้เป็นชายาเอกของคังอ๋อง มอบเจ้า…มอบเจ้าแก่เขา”
มู่ไคเวยพบว่ามือของนางถูกไทเฮาจับไปยัดไว้ในมือใครอีกคนแล้ว และคนคนนั้นก็รวบมือนางเอาไว้ แต่เขาไม่ได้รวบมันเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังสอดประสานนิ้วเข้ากับนิ้วของนางด้วย
“…ท่านอ๋อง?” น้ำเสียงของนางแหบพร่าเหมือนกลืนถ่านก้อนใหญ่ลงไป
“อืม เสด็จย่าทรงยกเจ้าให้ข้า” สีหน้าเข้าอกเข้าใจสถานการณ์ของเขายังคงดูใสซื่อไร้พิษภัยเช่นเดิม
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 ต.ค. 62)
Comments
comments
No tags for this post.