บทที่ 3
หลังไทเฮาพระราชทานสมรสและส่งมือมู่ไคเวยให้คังอ๋องเรียบร้อยก็คล้ายจะวางใจว่าภัยร้ายทั้งหลายสงบลงแล้ว หญิงชราจึงหลับตาลง เนื้อตัวอ่อนยวบ หมดสติไปทั้งอย่างนั้น
บรรดาข้าหลวงและนางกำนัลร้อนใจจนกรีดร้องเสียงดังลั่น
จังหวะนี้เอง มู่ไคเวยก็ดึงมือของตนเองกลับมาอย่างรวดเร็ว
ความคิดของนางเรียบง่ายมาก
ประการแรก นางไม่ใช่หมอและยิ่งไม่ใช่หมอหลวงจึงไม่อาจช่วยไทเฮาที่หมดสติไปเพราะได้รับความตกใจที่มากเกินไปได้
ประการถัดมาคือแม้สถานการณ์วิกฤตจะผ่านพ้นไป แต่ไม่ได้หมายความว่าเหตุการณ์ข้างนอกจะได้รับการแก้ไขอย่างราบรื่น ตัวนางที่เป็นหัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีแห่งหน่วยประตูหกบานต้องเร่งไปให้ความช่วยเหลือพวกพี่น้องที่วิ่งวุ่นอยู่ข้างนอก
ประการสุดท้าย นางไม่คิดว่าการพระราชทานสมรสของไทเฮาจะเป็นเรื่องจริงจัง เพราะหากยกนางให้แก่คังอ๋องที่ติดตามอยู่ข้างกายไทเฮาจริง คังอ๋องของพวกตนคง…ต้องอัดอั้นตันใจมากแน่
ยิ่งไปกว่านั้นบุตรมังกรหลานหงส์ในเชื้อพระวงศ์ย่อมคู่ควรกับสตรีที่ถือกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์ มิใช่ว่ามู่ไคเวยดูแคลนตนเอง แต่นางรู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีความเหมาะสมกันเลย
ด้วยเหตุนี้ หญิงสาวจึงรีบตัดบท เก็บงำความรู้สึกและดึงมือกลับมา แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินรับสั่งของไทเฮา “ท่านอ๋อง คนร้ายยังลอยนวลอยู่จำเป็นต้องเร่งติดตาม ผู้น้อยต้องขอตัวก่อน”
ไม่รอคอยคำอนุญาต มู่ไคเวยก็ยกงานที่เหลือให้คังอ๋องไปเช่นนี้แล้วลุกขึ้นเดินจากไป
นางคิดว่าที่นี่มีทั้งข้าหลวง นางกำนัล และนายทหารราชองครักษ์เต็มห้องให้คังอ๋องฟู่จิ่นซีเรียกใช้ได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีนางอยู่ด้วย
มู่ไคเวยออกจากห้องแสดงธรรมไปก็เจอสภาพอันน่าอเนจอนาถที่ด้านนอก แม้ราชองครักษ์ของราชสำนักจะเจอปัญหาแต่พวกเขามีอาวุธติดตัว ผิดกับเหล่าภิกษุจำนวนไม่น้อยที่นอนจมกองเลือด นับคร่าวๆ มีจำนวนราวเจ็ดถึงแปดสิบคน การที่ภิกษุของอารามเป่าหวาลุกขึ้นต่อต้านราชสำนักเกินครึ่งเช่นนี้เป็นสถานการณ์ที่ผิดปกติ
นางเร่งตามไปที่ภูเขาด้านหลังอารามเพื่อสมทบกับปี้โถวผู้นั่งตำแหน่งอันดับสองของหน่วยประตูหกบาน
“ลูกพี่วางแผนได้ยอดเยี่ยม ข้าพาพวกเด็กๆ มาเฝ้าตอรอกระต่าย กันที่นี่ แล้วก็เจอหน้าจริงๆ” ใบหน้ากระด้างของปี้โถวมีรอยยิ้ม เขากำหมัดชกใส่ฝ่ามืออีกข้างของตนเอง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “เสียดายที่หนีไปได้หนึ่งคน ไอ้คนที่ชื่อกวนชินนั่นไม่ใช่เล่นเลยจริงๆ ศิษย์พี่เขาอยากให้ช่วยพาหยวนเต๋อต้าซือไปด้วย แต่แปดส่วนน่าจะเกิดเรื่องไม่ลงรอย ศิษย์พี่ศิษย์น้องเลยมีปากเสียงกัน ศิษย์พี่ของเขากับอาจารย์มาทางนี้ ส่วนตัวกวนชินอาศัยช่วงชุลมุนหนีรอดไปได้”
กวนชินอาศัยช่วงที่อารามเป่าหวากำลังโกลาหลแทรกตัวเข้าไปในกลุ่มภิกษุที่ไม่รู้เรื่อง กับผู้ที่มีจิตศรัทธา ทำให้สามารถหลบหนีไปได้สำเร็จ หน่วยประตูหกบานจับเป็นกวนจีได้ แต่ภิกษุที่มีสมญานามว่ากวนอีกสองคนได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะถูกมู่ไคเวยแทงเข้าที่อกและฟันไหล่จนแขนขาด เป็นเหตุให้ไม่นานก็เสียชีวิต
บุคคลที่เป็นตัวการสำคัญของเรื่องวุ่นวายทั้งหมดคือกวนจื่อ ตอนมู่ไคเวยเห็นเขาอีกครั้ง เขาก็ล้มลงไปเพราะถูกธนูของหน่วยประตูหกบานปักอยู่บนหน้าอกถึงสามดอก โลหิตสดไหลรินไม่หยุด คาดว่าคงรอดยาก
หยวนเต๋อต้าซือนั่งแปะอยู่ข้างกายกวนจื่อ แผ่นหลังคุ้มงอมากกว่าเดิม
กวนจื่อดึงแขนเสื้อของอาจารย์ เปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก “ทั้งหมดเราทำไปเพื่อท่าน…อาจารย์เป็นผู้ถอดความพระคัมภีร์ที่ดีที่สุด มีเพียงหนึ่งเดียว และจะไม่มีผู้ใดทำได้อย่างท่านอีก…พระไตรปิฎกยังไม่ได้รับการถอดความอีกเป็นจำนวนมาก นอกจากอาจารย์ ในอารามเป่าหวาแห่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดทำได้…ขอเพียงอาจารย์ยังมีชีวิต จะต้องมีผู้มีจิตศรัทธามากมาย แต่อาจารย์ชราแล้ว…ชรามาก คนคนนั้นบอกว่า…สามารถทำให้คนตายฟื้นคืน…จะช่วยให้อาจารย์มีชีวิตอยู่อีกสิบปี ยี่สิบปี ไปจนถึง…”
“คนผู้นั้นเป็นใคร” มู่ไคเวยพลิกใบหน้าเปื้อนโลหิตของกวนจื่อให้หันมา “ท่านร่วมมือกับผู้ใด” สีหน้าและน้ำเสียงของนางดุดัน
กวนจื่อจ้องหน้าหญิงสาวอย่างอึ้งๆ เขาอ้าปากกระอักเลือดออกมามากมายจนพูดไม่ได้อีก ลมหายใจขาดห้วง สองตาปิดสนิทลง
ครั้งนี้หน่วยประตูหกบานปฏิบัติภารกิจสำเร็จ และพบบรรดาสตรีที่ถูกลักพาตัวไปก่อนหน้านี้ในห้องใต้ดินของเรือนด้านหลังอารามเป่าหวาที่ถูกทิ้งร้างไว้หลายปี แต่ยังขาดอยู่อีกสองคน
กวนจีที่ยังมีชีวิตอยู่จึงกลายมาเป็นนักโทษเพียงหนึ่งเดียวที่ยังมีลมหายใจของหน่วยประตูหกบาน และเป็นไปอย่างที่มู่ไคเวยคิดไว้ว่าตัวตั้งตัวตีในเรื่องนี้ก็คือกวนจื่อ คนที่ใช้สมองวางแผนคือกวนชิน ส่วนกวนจีรับตำแหน่งเป็นผู้ช่วย หน่วยประตูหกบานใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งอย่างต่อเนื่อง แต่กลับล้วงเบาะแสจากปากของกวนจีมาได้ไม่มาก
ระหว่างที่มู่ไคเวยกำลังวิ่งรอกสืบคดีให้วุ่นจนต้องทิ้งเรื่องสมรสพระราชทานของไทเฮาเอาไว้ด้านหลัง คืนหนึ่ง พ่อบ้านชราของครอบครัวนางก็มาตาม บอกว่าบิดาของมู่ไคเวยอยากให้นางกลับจวน
ทันทีที่เร่งเข้าจวนมา มู่ไคเวยก็พบว่าบิดาผู้ไม่เคยแสดงสีหน้าว่าชอบชังหรือเจ็ดอารมณ์ กำลังนั่งด้วยท่าทีที่น่าเกรงขามอยู่ในห้องโถง ท่าทางกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก เต็มไปด้วยความลำบากใจอย่างยิ่งยวด
“วันนี้พ่อถูกเรียกตัวเข้าเฝ้า ฮ่องเต้ทรงให้พ่อไปพบที่ตำหนักจ้งหยวนเพื่อสนทนากัน”
“ถึงท่านพ่อจะลาออกจากการเป็นมือปราบเทวดา และปลดประจำการจากกลุ่มสี่ปักษีแห่งหน่วยประตูหกบานแล้ว แต่ท่านยังคงเป็นสมาชิกของสามตุลาการของราชสำนักเรา การที่ฮ่องเต้ทรงเรียกท่านเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์เช่นนี้ เพราะในวังมีปัญหาอะไรหรือ” สมองของหญิงสาวอัดแน่นไปด้วยเรื่องคดี
บิดานางเงียบไปพักใหญ่ก่อนเอ่ยตอบ “ในวังไม่มีปัญหา แต่บ้านเรามีปัญหา” นิ้วที่เคาะเข่าอยู่รวบกำเป็นหมัด “ไทเฮามีพระเสาวนีย์ยกเจ้าให้เป็นชายาเอกคังอ๋อง ฮ่องเต้จึงเรียกพ่อเข้าวังเพื่อคุยเรื่องนี้”
คำว่า ‘คุย’ ความจริงคือการแจ้งให้ทราบ
การที่บิดานางถูกฮ่องเต้เรียกให้ไปเข้าเฝ้าเพื่อ ‘แจ้งข่าว’ ว่าทั้งหมดนี้เป็นพระประสงค์ของไทเฮาที่พระราชทานสมรสต่อหน้าธารกำนัล พระองค์จึงต้องรักษาสัจจะด้วยการจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย
“ความหมายของฮ่องเต้คือเจ้าช่วยชีวิตไทเฮาและคังอ๋องเอาไว้ นับว่ามีความชอบใหญ่หลวง ตัวเจ้ามีตำแหน่งเป็นถึงขุนนางหลวงขั้นสามของราชสำนักเรา จึงไม่มีตำแหน่งที่สูงยิ่งกว่านี้ให้อีก ประกอบกับตัวเจ้าเองก็อายุยี่สิบห้าปีแล้ว การมอบตำแหน่งชายาเอกของคังอ๋องจึงมีความเหมาะสม พ่อเองก็อยากให้เจ้าถอนตัว และคิดว่ามารดาเจ้า…น่าจะหวังให้เจ้าออกจากกลุ่มสี่ปักษีแห่งหน่วยประตูหกบานเพื่อแต่งงานและมีบุตรมากกว่า” มู่เจิ้งหยางนิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าเขาพลันเคร่งเครียดมากขึ้น “แต่ในสายตาพ่อ คังอ๋องผู้นี้ไม่เหมาะกับเจ้า”
ลำพังแค่สมรสพระราชทานก็ทำให้มู่ไคเวยมึนงงพอแล้ว นางใช้สมองคิดอย่างหนักก่อนเอ่ยถาม “ท่านพ่อไม่ชอบที่คังอ๋องสุขภาพอ่อนแอเลยรู้สึกว่าเขาไม่เหมาะกับลูกหรือ”
“นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุด” มู่เจิ้งหยางถอนหายใจหนักๆ “มีเรื่องหนึ่งที่พ่อไม่เคยบอกเจ้า แต่วันนี้พ่อจะเล่าให้ฟัง เจ้าจะได้เตรียมใจไว้ เมื่อสิบเจ็ดปีก่อนตอนที่มารดาเจ้าประสบภัยจนเสียชีวิต แม้ฉากหน้าจะบอกว่าถูกคนร้ายดักเล่นงานที่ซานชวนโข่ว แต่ความจริงไม่ได้ง่ายดายปานนั้น เพราะนางผ่านไปเห็นเหตุการณ์ไม่เป็นธรรมจึงชักดาบช่วยคนที่ไม่สมควรช่วยต่างหาก”
“คนที่ไม่สมควรช่วย?”
“เป็นคนที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอยากกำจัดแต่ไม่สะดวกลงมืออย่างเปิดเผย”
เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน
บริเวณเส้นทางน้ำซานชวนโข่ว
คนร้ายลอบโจมตี
คนที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอยากกำจัด
การตายของมารดา
มารดาของนางลิ่นเกิ่งเจินเป็นผู้มีชื่อเสียงในยุทธภพ แต่กลับต้องมาสิ้นชีวิตลงในมือโจรสลัดกลุ่มหนึ่งเสียได้เล่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ มันเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร…สำหรับเรื่องนี้ มู่ไคเวยก็เคยคิดทบทวนมานับครั้งไม่ถ้วน
เมื่อประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้งในตอนนี้ นางจึงคิดปะติดปะต่อเหตุการณ์ต่างๆ แล้วเบาะแสทุกอย่างก็นำไปสู่สิ่งๆ เดียว
“เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน คังอ๋องคนก่อนกับพระชายาพาซื่อจื่อฟู่จิ่นซีที่ยังเด็กออกไปเสาะหาหมอที่นอกเมือง แต่กลับถูกโจรสลัดดักปล้นตอนกลางดึก สุดท้ายบริวารของคังอ๋องคนก่อนก็ตายหมด แต่ซื่อจื่อที่อายุยังน้อยกลับหนีรอดไปได้อย่างปาฏิหาริย์ สรุปคือ…นี่เป็นฝีมือของท่านแม่ใช่หรือไม่ โจรสลัดที่ซานชวนโข่วอะไรนั่นเป็นแค่ตัวตนที่ถูกสร้างขึ้น ความจริงมีศัตรูที่ร้ายกาจยิ่งกว่านั้นอีก…ใช่หรือไม่” มู่ไคเวยกังขาในการตายของมารดามาตลอด ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองหรือ “คนที่ฮ่องเต้อยากกำจัดคือคังอ๋องคนก่อน ทั้งที่เขาเป็นน้องชายแท้ๆ ของพระองค์ เพราะว่า…ทั้งสองพระองค์เป็นพี่น้องกัน เป็นฝาแฝด?…อา! ฝาแฝด?!”
บิดานางผงกศีรษะ “สำหรับชาวบ้านทั่วไป ลูกชายแฝดถือเป็นเรื่องมงคลยิ่ง แต่สำหรับเชื้อพระวงศ์ บุตรชายคนโตกับคนรองย่อมมีความแตกต่าง การมีลูกแฝดจึงถูกมองเป็นเรื่องอัปมงคล ประกอบกับพวกโหรหลวงน้อยใหญ่ในสมัยนั้น ตรวจดูดวงดาวแล้วทำนายว่าดาวรองจะข่มดาวหลัก ทำให้ฝ่าบาทต้องการกำจัดคังอ๋องคนก่อน”
แต่การกำจัดคังอ๋องคนก่อนจำเป็นต้องกระทำอย่างลับๆ คนร้ายที่มารดาของนางเจอตอนนั้นจึงเป็นมือสังหารที่เป็นหมากลับซึ่งฮ่องเต้ชุบเลี้ยงมากับมือ
ตอนนั้นมู่ไคเวยอายุแปดขวบ แต่นางกลับจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้ดีว่าท่านลุงที่เอาฟืนมาส่งให้ที่จวนทุกวันบอกว่ามีคนวานเขาให้เอาของสำคัญมามอบให้ถึงมือนายท่านมู่
สิ่งที่ส่งมาถึงมือบิดาในวันนั้นคือห่อผ้าทรงสี่เหลี่ยมสีขาวหนึ่งห่อกับห่อของยาวๆ อีกหนึ่งห่อ บิดานางเปิดห่อของทั้งสองต่อหน้าบุตรสาว พบว่าในห่อทรงสี่เหลี่ยมคือโถใส่อัฐิสีดำสนิทหนึ่งใบ ส่วนห่อของยาวๆ อีกห่อคือกระบี่อ่อนหลิวเขียว อาวุธที่มารดานางนำติดตัวตระเวนไปทั่วยุทธภพ
ตอนนั้นมารดานางเดินทางไปเยี่ยมสหาย แต่ตอนกลับมากลับมีแค่โถใส่อัฐิหนึ่งใบ
ทั้งยังมีจดหมายแนบมากับโถใส่อัฐิและกระบี่ จนเมื่อมู่ไคเวยเริ่มทำงานในหน่วยประตูหกบานแล้ว นางถึงได้เปิดจดหมายออกอ่านร่วมกับบิดา จดหมายเขียนว่าดาบของศัตรูที่รุมเล่นงานมารดานางอาบยาพิษ ลิ่นเกิ่งเจินเสียเลือดมากและพิษกำเริบทำให้เสียชีวิต ด้วยเหตุนี้แม้จะเผาร่างเป็นเถ้าถ่านแล้วแต่พิษยังคงอยู่ ทำให้โถใส่อัฐิกลายเป็นสีดำ จำเป็นต้องผนึกโถใส่อัฐิไว้เป็นเวลาสามเดือน พิษในอัฐิจึงจะสูญสลายและสามารถเปิดผนึกได้อีกครั้ง
มู่ไคเวยเคยได้ยินบิดาพูดถึงคนที่ลงชื่อบนจดหมายว่าเป็นผู้อาวุโสหญิงที่เคยคบหากับผู้อาวุโสของครอบครัวนาง
ผู้อาวุโสหญิงคนนั้นช่วยมารดาของมู่ไคเวยไว้ตอนเผชิญภัยร้าย เสียดายที่สายเกินไป ทำให้มารดานางไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน
ทว่าโถใส่อัฐิสีดำสนิทที่ผู้อาวุโสหญิงให้คนส่งกลับมาที่จวนสกุลมู่มีกลิ่นจางๆ ที่หญิงสาวไม่เคยลืม เป็นกลิ่นหอมใสบาดจมูกอ่อนเบาที่ตราตรึงถึงดวงวิญญาณของนาง และเป็นกลิ่นเดียวกับที่มู่ไคเวยเคยได้กลิ่นจากร่างของเฮยซานผู้ปิดบังโฉมหน้า
นางอยากรู้มาตลอดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับมารดา อยากรู้ให้ชัดทั้งขั้นตอนและรายละเอียดทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่ความลับที่เกี่ยวกับราชวงศ์ไม่สามารถให้คนนอกล่วงรู้ บิดาจึงปิดบังนางมาตลอดจนถึงวันนี้
“มารดาเจ้าสอดมือเข้าไปขวางหมากลับโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้ฮ่องเต้จะทรงทราบเรื่องนี้ในภายหลังแต่พระองค์ก็ไม่ได้ยุ่งกับสกุลมู่ของพวกเรา พ่อคิดว่าพระองค์คงอยากหยุดดูท่าทีไปก่อน แต่การที่ฮ่องเต้สนับสนุนพระราชทานสมรสของไทเฮาครั้งนี้ เป็นเพราะทรงมีพระดำริแอบแฝงที่เห็นได้ชัด พ่อคิดว่า…พระองค์มีพระราชประสงค์จะทดสอบอะไรบางอย่าง”
การมอบมู่ไคเวยให้คังอ๋องฟู่จิ่นซีแบบผลักเรือตามน้ำเพื่อให้นางไปอยู่ข้างกายฟู่จิ่นซี เป็นเพราะต้องการทดสอบเรื่องอะไร
ต้องการรู้ว่าสกุลมู่ของนางเป็นพวกของคังอ๋อง และจะช่วยคังอ๋องกำราบฮ่องเต้หรือไม่เช่นนั้นหรือ
สองวันมานี้ มู่ไคเวยต้องคิดหนัก
เพราะวันนั้นหลังจากคุยกันถึงช่วงสุดท้าย บิดาไม่อยากให้นางคิดมากจึงบอกว่าแม้การพระราชทานสมรสของไทเฮาจะได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้ แต่เขาจะหาทางแก้ไขปัญหานี้ และจะไม่ยอมให้มู่ไคเวยไปเป็นชายาเอกของคังอ๋องเด็ดขาด
แต่…จะแก้ไขอย่างไรเล่า
ฮ่องเต้ต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ต้องตาย นับประสาอะไรกับการพระราชทานสมรส
หากสกุลมู่ของนางขัดราชโองการทำให้โอรสสวรรค์พิโรธจนเลือดลมพลุ่งพล่าน ผลจะออกมาเป็นอย่างไรกัน
หลังเที่ยง รถม้าพาหญิงสาววิ่งไปบนถนนหลวงที่ทอดกลับไปสู่เมืองหลวง แต่เนื่องจากมีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันทำให้ถนนมีโคลนเลนจับหนา แม้สายพิรุณจะเบาลงแล้วแต่ยังคงพร่างพรม เสียงกีบม้าย่ำแอ่งน้ำกระเซ็นเป็นฝอยกับเสียงล้อรถบดดังกึกๆ สร้างบรรยากาศชวนเกียจคร้านให้แก่สมองที่ถูกมู่ไคเวยใช้งานอย่างหนักให้ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
กึก! ปัง!
รถม้าสะเทือนอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวจนตัวรถเอียงวูบไปด้านหนึ่ง ทำให้ล้อที่อยู่ด้านล่างขยับไม่ได้
“คุณหนู” คนบังคับรถม้าของสกุลมู่ที่สวมเสื้อและหมวกหญ้าอยู่หน้ารถรีบเลิกผ้าม่านขึ้นสำรวจ “ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
“อากุ้ย ข้าไม่เป็นไร” มู่ไคเวยนั่งตัวตรงแล้วเก็บผลไม้ที่กระจัดกระจายใส่กลับเข้าไปในตะกร้าใบใหญ่พลางถาม “ล้อรถติดหล่มใช่หรือไม่ แล้วม้าเราได้รับบาดเจ็บที่ใดบ้าง”
อากุ้ยโบกมือ “มันไม่ได้รับบาดเจ็บขอรับ ไม่เป็นไรเลย คุณหนูนั่งดีๆ นะขอรับ ข้าจะบังคับม้าให้ลากรถขึ้นจากหล่ม”
“ข้าช่วยนะ” มู่ไคเวยพูดพลางยันกายขึ้นเตรียมกระโดดออกไปด้านนอก
อากุ้ยร้อนใจรีบโบกไม้โบกมือเป็นพัลวันจนสุดท้ายเขาต้องยึดผ้าม่านเพื่อกันมู่ไคเวยไว้ไม่ให้กระโดดลงจากรถ “ไม่ได้ๆๆ ขอรับ! คุณหนูห้ามลงมาเจอฝนเด็ดขาด! คุณหนูทุกคนสมควรได้รับการทะนุถนอมดูแลอย่างดี คุณหนูของเราก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น!”
มู่ไคเวยกุมหน้าผากหัวเราะ “อากุ้ย อย่าลืมสิว่าข้าเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยประตูหกบาน เคยบุกน้ำลุยไฟมาแล้ว ใช่ว่าจะไม่เคยตากฝนเสียหน่อย เหตุใดยังต้องทะนุถนอมดูแลอีก”
“ข้าไม่สนใจเรื่องนั้นหรอกขอรับ เวลานี้ท่านคือคุณหนูของบ้านเรา เป็นคุณหนูนะขอรับ มิใช่หัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีอะไรนั่น หากปล่อยให้ท่านต้องลงไปตากฝน มิเท่ากับเป็นการตบหน้าข้าหรือ ไม่ได้เด็ดขาด!”
ที่บอกว่า ‘บ่าวรังแกนาย’ เนื่องจากบ่าวเก่าแก่พวกนี้เห็นนางมาตั้งแต่เล็กจนโต พวกเขาเป็นบ่าวรับใช้และผู้ติดตามที่ทำงานรับใช้ใกล้ชิดมาตั้งแต่สมัยท่านปู่ ทำให้มู่ไคเวยถูกพวกเขา ‘รังแก’ และ ‘อบรม’ จนคุ้นชิน ไม่อาจวางมาดอย่างที่ผู้เป็นนายควรมีได้
ระหว่างที่มู่ไคเวยกำลังคิดหนักว่าจะพูดเกลี้ยกล่อมอากุ้ยอย่างไร จู่ๆ อากุ้ยที่อยู่นอกรถก็ตวาดถามเสียงดัง
“ผู้ใด!”
มู่ไคเวยสะดุ้งแล้วเลิกสนใจเรื่องอื่น นางใช้มือปัดผ้าม่านออกอย่างแรง ท่ามกลางสายฝน นางเห็นอากุ้ยชักดาบล่าสัตว์ที่เขาเคยนำติดตัวไปผ่านสงครามทั่วทุกทิศและอาบเลือดสดๆ มานับครั้งไม่ถ้วนออกจากฝัก พร้อมหันไปเผชิญหน้ากับรถเทียมม้าคู่คันสีดำแต่งดงามประณีตอย่างที่สุดคันหนึ่ง
รถม้าคล้ายจงใจวิ่งเข้ามาตอนที่อากุ้ยกำลังจะปะทะกับนาง ประกอบกับมีเสียงฝนตกมาไม่ขาด ทำให้พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็นมันชั่วขณะ ดังนั้น เมื่อรถม้าวิ่งมาหยุดอยู่ที่นั่นอย่างกะทันหันจึงทำให้อากุ้ยตกใจจนต้องชักมีดออกมา
คนบังคับรถม้าของฝ่ายตรงข้ามไม่ตอบแต่กระโดดลงจากรถมาพร้อมเปิดม่านดิ้นทองของตัวรถด้านหลังอย่างรวดเร็ว
“ล้อติดหล่มหรือ อืม…ดูจากสภาพแล้วคงต้องออกแรงมากทีเดียว หากใต้เท้ามู่ไม่รังเกียจ ให้คนของข้าช่วยดีหรือไม่”
น้ำเสียงทุ้มต่ำดุจลมฤดูวสันต์ดังผ่านหูมาทำให้มู่ไคเวยต้องมองบุรุษใบหน้าขาวจัดดุจหิมะที่นั่งพิงหมอน อยู่ในรถม้า หัวใจของนางเต้นแรงขึ้น รู้สึกตกใจจนหายใจผิดจังหวะเล็กน้อย
หญิงสาวกระโดดลงจากรถ กดมือที่ถือมีดของอากุ้ยลงแล้วก้มศีรษะคารวะ “ไม่ทราบว่าท่านคังอ๋องมาเลยเสียมารยาท ต้องขออภัยเพคะ”
“ขออภัยอะไรกัน ใต้เท้ามู่พูดเช่นนี้…เท่ากับไม่เห็นข้าเป็นสหายน่ะสิ”
น้ำเสียงขัดเขินคล้ายกำลังตัดพ้อทำให้มู่ไคเวยต้องช้อนตาขึ้นมองอีกครั้ง นางรู้สึกร้อนวาบในอกอย่างมาก
ท่านอ๋องหม้อต้มยาคนนี้เป็นที่รู้จักกันดีในเมืองหลวง ใบหน้าคมคายอมโรคแลดูใสซื่อบริสุทธิ์ นัยน์ตาเป็นประกายของเขาทำให้มู่ไคเวยมองความนัยที่ซ่อนอยู่ได้ว่าเขากำลังรู้สึกยินดีอย่างแท้จริง ราวกับว่าการได้เจอนาง พูดคุยกับนาง ทำให้เขารู้สึกเบิกบานใจอย่างยิ่ง
“ท่านอ๋อง ผู้น้อยมิได้…”
“ขึ้นรถก่อนดีหรือไม่” ฟู่จิ่นซีตัดบทหญิงสาวแล้วยิ้มเขินๆ ให้นาง “ข้าจะส่งเจ้ากลับจวน”
มู่ไคเวยปฏิเสธไม่ได้
นางต้องยอมให้ท่านอ๋องผู้มีบรรดาศักดิ์ขั้นหนึ่งและเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ประทานความเมตตาอยู่แล้ว เนื่องจากฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องทำให้รถม้าของนางติดหล่ม อากุ้ยผู้เป็นบ่าวอาวุโสของนางจึงปรารถนาให้มีใครสักคนมาดูแลมู่ไคเวยพอดี ด้วยเหตุนี้พอฟู่จิ่นซีเชิญหญิงสาวขึ้นรถด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะเป็นการคาดหวัง อากุ้ยจึงดีใจมากกว่าใครและไม่คอยให้มู่ไคเวยได้มีท่าที เขาก็ตัดสินใจแทนนางอย่างรวดเร็วด้วยการผลักคุณหนูขึ้นรถม้าของอีกฝ่าย
ยังดีที่ผู้ติดตามและองครักษ์สองคนของจวนคังอ๋องอยู่ช่วยอากุ้ย มู่ไคเวยเลยทำใจกว้างด้วยการเข้าไปนั่งในรถม้าขนาดใหญ่ที่มีกลิ่นหอมของยาสมุนไพรเข้มข้นกับเจ้าของรถที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
รถม้าของจวนคังอ๋องนั่งสบายจริงๆ แม้จะวิ่งอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยดินเลนก็ไม่รู้สึกโคลงเคลงมาก
เมื่อขึ้นมาแล้วก็ต้องนั่งให้สบาย มู่ไคเวยคิดในใจ อีกประการคือนางอยากไขข้อสงสัยมากมายที่มีต่อตัวฟู่จิ่นซีแห่งจวนคังอ๋อง โอกาสนี้จึงมาอย่างได้จังหวะพอดี
“ท่านอ๋อง…” มู่ไคเวยยังถามไม่ทันจบก็ถูกคำถามของชายหนุ่มทำให้ต้องนิ่งงัน
“ที่ใต้เท้ามู่ออกนอกเมืองมาวันนี้เพราะไปเคารพสุสานที่ทะเลสาบหลิ่วหู ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปสิบลี้หรือ” ฟู่จิ่นซียิ้มนิดๆ พูดเสียงนุ่ม “วันนี้เป็นวันหยุดของเจ้าจึงไม่ต้องสวมชุดขุนนาง แต่การที่เจ้าสวมชุดขาว และเมื่อครู่ข้าเห็นแวบๆ ว่าในรถม้ามีโต๊ะบูชากับของเซ่นไหว้ เพราะผลไม้บางส่วนหล่นออกมานอกตะกร้า ประกอบกับทิศทางที่รถม้าวิ่งมาทำให้ข้าสรุปเช่นนี้…ข้าเดาถูกหรือไม่”
มู่ไคเวยยกมุมปากขึ้นนิดๆ เลียนแบบชายหนุ่ม แล้วผงกศีรษะ “สมัยที่ท่านแม่มีชีวิตอยู่นางรักทิวทัศน์ที่ทะเลสาบหลิ่วหูเป็นที่สุด ท่านพ่อจึงจัดหาที่ดินให้นาง เพื่อให้ท่านแม่ได้พักผ่อนอยู่ในธรรมชาติไปตลอดกาล”
“อืมๆ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ฟู่จิ่นซีงึมงำเสียงเบา
“ท่านอ๋องพูดอะไรนะเพคะ” มู่ไคเวยได้ยินไม่ชัด
เขาจึงเลิกคิ้ว “ไม่มี…ไม่มีอะไร ข้าแค่จะบอกว่าพอใต้เท้ามู่เปลี่ยนมาใส่ชุดสตรีเช่นนี้แล้วงามมาก”
“…” มู่ไคเวยพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เนื่องจากสวมชุดสตรี นางจึงไม่ได้นั่งขัดสมาธิอย่างห้าวหาญต่อหน้าอ๋องแห่งราชวงศ์เทียนเฉา แต่เลือกนั่งพับเพียบแทน ตอนที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ มู่ไคเวยก็ขัดเขินจนต้องดึงกระโปรงยาวและเอามือเช็ดกับกระโปรง “เรื่องนี้…ขอบพระคุณท่านอ๋องที่เอ่ยชม” หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกและกระตุ้นตนเองอีกครั้ง “ว่าแต่…ท่านอ๋องรู้ได้อย่างไรว่าสุสานของมารดาข้าอยู่ที่ทะเลสาบหลิ่วหูเพคะ”
รู้ได้อย่างไร…
“เจ้าหนาวหรือ” ชายหนุ่มโพล่งถาม
พาออกนอกเรื่องจนได้สินะ! “หา? เอ่อ ผู้น้อยไม่…” นางตั้งท่าจะส่ายหน้า
“ต้องหนาวแน่ ฤดูใบไม้ผลิยังไม่มาแต่ฝนฤดูหนาวกลับตกไม่หยุด ทั้งยังเพิ่งกลับมาจากทะเลสาบที่จับตัวเป็นน้ำแข็งด้วย เจ้ากอดนี่ไว้ดีกว่า”
ร่างที่สวมเสื้อคลุมจิ้งจอกสีขาวดุจหิมะลุกขึ้นนั่งตัวตรง และโน้มตัวเข้ามาหาหญิงสาว
คังอ๋องยัดบางสิ่งเข้ามาในมือนาง มู่ไคเวยยังอยู่ในท่านั่งท่าเดิม เพียงรู้สึกว่าแผ่นหลังของตนเกร็งขึ้นอย่างกะทันหัน และให้ความรู้สึกอึดอัดอย่างแปลกๆ
ความอบอุ่นแผ่ซ่านอยู่ในอุ้งมือของนาง มันอุ่นเสียจนทำให้นิ้วเย็นเฉียบของมู่ไคเวยรู้สึกเจ็บแปลบนิดๆ
เมื่อมองดูหญิงสาวก็พบว่าเป็นเตาอุ่นมืออันเล็กประณีตอันหนึ่ง บัดนี้นางถึงเพิ่งรู้ว่าตนเองหนาวแต่กลับทำเหมือนความหนาวจนแข็งพวกนี้เป็นเรื่องสามัญธรรมดา
“ผู้น้อยไม่กล้าใช้เตาอุ่นมือของท่านอ๋องหรอกเพคะ” นางส่งคืน
“ไม่ได้ให้เจ้าใช้ แค่วานใต้เท้ามู่ช่วยประคองไว้ให้ข้าหน่อย เพราะรถม้ามันโคลงเคลงมาก อย่าทำมันตกเชียวล่ะ”
ฟังแล้วมุมปากของมู่ไคเวยก็กระตุกนิดๆ นางไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี
นางวางมือทั้งสองข้างลงอย่างเงียบๆ และประคองเตาอุ่นมือไว้ที่หน้าอก ทำให้ได้ยินเสียงของเขาพูดต่อว่า
“ข้าย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่าสุสานของจอมยุทธ์หญิงลิ่นผู้เป็นมารดาของใต้เท้าอยู่ที่ใด ในเมื่อสกุลมู่ของท่านทำงานรับใช้ราชสำนักมาถึงสามรุ่น เป็นแบบอย่างของสามตุลาการและเป็นที่เคารพยำเกรงของราษฎร สกุลมู่จึงมีความชอบอย่างใหญ่หลวง นอกจากนี้ใต้เท้ายังเข้ามารับหน้าที่ในกลุ่มสี่ปักษีของหน่วยประตูหกบานทั้งที่เป็นสตรี ซ้ำยังทำงานได้ดีกว่าบุรุษ สามารถคลี่คลายคดีได้นับไม่ถ้วน ช่วยขจัดภัยร้ายมากมายให้บ้านเมือง ในสายตาข้า ท่านถือเป็นผู้องอาจในตำนานประเภทเดินสิบก้าว สังหารหนึ่งชีวิต สามารถท่องเที่ยวไปได้สุดหล้า” พูดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าคมคายที่ดูอมโรคก็ฉายแววผิดหวัง
“ตอนเด็กๆ ข้าอยากมีชีวิตที่สามารถท่องเที่ยวไปในใต้หล้าอย่างมีความสุข ทว่าจนใจที่ร่างกายอ่อนแอทำให้ทุกสิ่งที่ข้าคิดเป็นได้เพียงแค่ความคิด ในเมืองหลวงแห่งนี้ สิ่งที่ตรงกับจินตนาการของข้ามากที่สุดก็คือสกุลมู่ของเจ้า ดังนั้นข้าจึงเผลอใส่ใจสกุลมู่ของเจ้าเสมอ”
มู่ไคเวยไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ สองแก้มจึงร้อนเห่อขึ้นมาทันที
ภายในรถม้าเงียบกริบไปพักหนึ่งก่อนที่มู่ไคเวยจะเอ่ยถาม “ว่ากันว่าเพราะท่านอ๋องร่างกายอ่อนแอ และตอนเด็กป่วยเป็นโรคประหลาดทำให้…คังอ๋องกับพระชายาคนก่อนไปเจอโจรสลัดที่ซานชวนโข่วเข้า ช่างเป็นเรื่องที่น่าสลดใจอย่างมาก…แล้วท่านอ๋องจำได้หรือไม่ว่ามีคนช่วยท่านได้อย่างไร หรือจำเรื่องราวในตอนนั้นได้หรือไม่ และโรคประหลาดนั่นได้รับการรักษาเช่นไร”
ฟู่จิ่นซีดึงเสื้อกันหนาวให้ห่อตัวได้ดีขึ้น ขนจิ้งจอกหิมะฟูฟ่องช่วยขับเน้นใบหน้าขาวผุดผาดให้แลดูหล่อเหลาคมคายมากยิ่งขึ้น
เขาขดร่างนิดๆ เอนพิงหมอนใบใหญ่ น้ำเสียงเนิบช้าลงกว่าเดิม “ตอนนั้นข้ายังเด็กมาก อาการป่วยทำให้มึนศีรษะอยู่ตลอดเวลาจึงจำอะไรไม่ได้ พอได้สติก็พบว่ามีหมอหญิงคนหนึ่งอยู่ตรงหน้า หมอหญิงผู้นั้นใช้วิชาเฉพาะตัวรักษาอาการป่วยให้ข้า เพียงแต่อาการป่วยหนักดุจขุนเขา และการรักษายาวนานดุจสาวไหม ระหว่างนั้นข้าต้องทนทรมานอยู่หลายครั้ง ทั้งยังเกือบตายอยู่หลายหน ใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็มๆ กว่าจะฝืนขจัดโรคประหลาดออกจากตัวสำเร็จ แต่คนเราเมื่อเจ็บแล้วจะทำให้ฟื้นคืนเหมือนเดิมก็เป็นเรื่องยาก…เหตุใดใต้เท้ามู่จึงอยากรู้เรื่องนี้หรือ”
มู่ไคเวยสังเกตเห็นว่าคังอ๋องฟู่จิ่นซีดูจะเก่งเรื่องวกถามแบบไม่ให้ตั้งตัว ไม่รู้ว่าเขามีเจตนาหรือไม่ แต่สิ่งที่เขาพูดมาทำให้ผู้อื่นรู้สึกสลดใจ
“ผู้น้อยเพียงรู้สึกแปลกใจ” มู่ไคเวยพยายามทำเสียงให้นิ่งที่สุด
นางสังเกตเห็นว่าท่านั่งที่ดูคล้ายไม่มีกระดูกของเขากับใบหน้าเผือดซีดเหมือนไม่มีสีเลือดนั้น หากไม่มีเสื้อคลุมขนจิ้งจอกช่วยบังเอาไว้ บางทีอาจได้เห็นร่างผอมบางที่ไร้เนื้อหนังของเขาอยู่ข้างในก็เป็นได้
ต้องทนทรมานอยู่หลายครั้ง เกือบตายหลายหน คนที่เคยเจ็บ…
คำบอกเล่าของเขาทำให้นางจินตนาการภาพของเด็กน้อยที่ถูกโรคภัยรุมเร้าจนต้องดิ้นรนเวียนวนอยู่หน้าประตูผีหลายต่อหลายรอบกว่าจะรอดมาได้ ทว่าเมื่อได้สติ เขาก็ต้องเผชิญกับความเศร้าเสียใจที่สูญเสียบิดามารดาไปพร้อมกัน…หน้าอกด้านซ้ายของนางพลันปวดหนึบจนไม่กล้าคิดไปมากกว่านั้น
ตอนแรกนางวางแผนว่าจะเลียบๆ เคียงๆ เพื่อดูว่าคังอ๋องฟู่จิ่นซีรู้สาเหตุที่แท้จริงในการตายของบิดามารดาของเขาที่ซานชวนโข่วหรือไม่
แน่นอนว่านางอยากรู้ว่าเขาเคยพบมารดาของนาง…หรือเคยพูดคุยกับมารดาของนางบ้างหรือไม่
ก่อนที่มารดานางจะจากไป ได้ทิ้งคำสั่งเสียอะไรไว้
ตอนมารดายังอยู่…นางอาลัยท่านพ่อและบุตรสาวของนางบ้างหรือไม่
แต่สุดท้ายมู่ไคเวยพลันรู้สึกว่าการซักถามเช่นนี้ดูเป็นการละลาบละล้วงมากเกินไป ทำให้นางรู้สึกลำบากใจ เพราะสถานการณ์ของฟู่จิ่นซีในเวลานั้นก็ลำบากยากแค้นเช่นเดียวกัน แล้วมู่ไคเวยจะคาดหวังให้เด็กที่ถูกโรคประหลาดรุมเร้าคนหนึ่งจดจำฝันร้ายนั้นอย่างไม่มีวันลืมเลือนหรือ!
นางส่ายศีรษะแล้วยิ้มเล็กน้อย “ต้องขออภัยท่านอ๋อง ผู้น้อยทำงานอยู่ในหน่วยประตูหกบานมาหลายปีทำให้เวลาพบเจอเรื่องข้องใจอะไรแล้วต้องหาคำตอบให้ได้ ช่างน่าละอายใจนัก”
ฟู่จิ่นซีมองนางด้วยเนตรหงส์ที่ฉายแววอ่อนล้าปริบๆ ริมฝีปากรูปกระจับยกสูงขึ้น “หัวหน้ามู่สอบปากคำข้าเหมือนเป็นคนร้ายเช่นนี้ ข้าไม่สบายใจเลย”
‘หัวหน้ามู่สอบปากคำข้าเหมือนเป็นคนร้ายเช่นนี้ ข้าไม่สบายใจเลย’
ประโยคนี้ผุดขึ้นมาในสมองของมู่ไคเวยแล้วกึกก้องอึงอลอยู่ในโสตประสาท เพราะคำคุ้นหูที่ใครคนหนึ่งที่มีฝีมือตึงมือนางเคยกล่าวกับนางไว้
เฮยซาน
ไม่ เป็นไปไม่ได้ ข้าจะต้องคิดมาก เหลวไหลเกินไปแน่ๆ
นางทำงานที่หน่วยประตูหกบานมานาน แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ต้องทวนซ้ำถึงสามรอบกว่าจะปล่อยวางได้ นางเป็นคนขี้ระแวง ช่างคิดมาก และห่วงมากจนตะกอนที่อยู่ในก้นบึ้งของจิตใจแทบจะใกล้ตกผลึกกลายเป็นต้นตอของโรคแล้ว
ทว่าในคืนที่เฮยซานปรากฏตัวขึ้น นางได้ไล่ตามกลิ่นของอีกฝ่ายจนเบาะแสขาดหายไปที่นอกกำแพงสูงของจวนคังอ๋องจริงๆ
ด้านในกำแพงสูงของจวนคังอ๋องซ่อนใครเอาไว้ หรือมีปริศนาอะไรอยู่
หรือจะบอกว่าทั้งหมดเกิดจากนิสัยชอบตั้งคำถามของนาง?
“ผู้น้อยมิกล้า” เพราะเห็นว่าเขาไม่ได้โกรธจริง มู่ไคเวยจึงส่ายหน้าและยิ้มนิดๆ อีกครั้ง
ทันใดนั้น เหมือนนางจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้เลยหยิบวัตถุกลมจิ๋วเม็ดหนึ่งออกมาจากถุงผ้าสีขาวตรงเอวมาไว้ในฝ่ามือแล้วยื่นไปตรงหน้าฟู่จิ่นซีอย่างสำรวม “ท่านอ๋องช่วยดูหน่อยเถอะว่าท่านรู้จักมุกเม็ดนี้หรือไม่”
ไข่มุกมีขนาดเท่าเล็บมือ เม็ดกลมเกลี้ยงไร้ตำหนิ ส่องประกายแวววับสดใส เป็นอัญมณีชั้นเลิศที่ต้องใช้ช่างฝีมือเยี่ยมจึงจะทำของเล็กน่ารักชิ้นนี้ออกมาได้
ประกายของไข่มุกสะท้อนเข้าไปในดวงตา ทำให้นัยน์ตาของฟู่จิ่นซีราวกับเปล่งแสงจ้าขึ้น ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมายังคงเรียบเรื่อย
“ที่แท้มุกเม็ดนี้ก็อยู่ที่เจ้า” เขานิ่งไปนิดหนึ่ง “นี่คือลูกประคำที่เสด็จย่าใส่ติดข้อพระหัตถ์มานานหลายปี ใช้ไข่มุกจำนวนสิบแปดเม็ดที่มีลักษณะเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนร้อยเป็นสร้อยประคำข้อพระหัตถ์เพื่อให้เสด็จย่าทรงใช้เวลาสวดมนต์ หลังเกิดเหตุที่อารามเป่าหวา ไม่รู้ว่าสร้อยประคำขาดตั้งแต่เมื่อไร พวกนางกำนัลเก็บเม็ดมุกกลับมาแต่หาเม็ดสุดท้ายไม่พบ”
มู่ไคเวยเอ่ยตอบ “ผู้น้อยเก็บได้จากข้างเท้าของกวนจี ตอนนั้นสถานการณ์วิกฤตทำให้กวนจีเกือบหนีไปได้ คิดไม่ถึงว่าเขาเกิดลื่นล้มในช่วงเวลาความเป็นความตายจนลุกไม่ขึ้น”
ได้ยินเช่นนี้แล้ว คิ้วที่ยาวจนเกือบถึงจอนผมของฟู่จิ่นซีก็เลิกขึ้นสูงก่อนผงกศีรษะ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ข้าเข้าใจแล้ว สร้อยประคำคงขาดตอนนั้น แล้วไข่มุกเม็ดที่อยู่ในมือใต้เท้าก็กลิ้งไปอยู่ข้างเท้าของกวนจีทำให้เขาบังเอิญเหยียบถูกมันเข้าเลยเสียหลักล้มลงไปกินมูลสุนัข”
เห็นนางเม้มปากนิ่งงัน ฟู่จิ่นซีก็เอนตัวเข้าหานางอีกครั้ง “หรือใต้เท้าไม่ได้คิดเช่นนี้?”
มู่ไคเวยยิ้มขื่นอยู่ในใจ
หากข้าไม่คิดเช่นนี้แล้ว จะให้คิดว่ามีใครสักคนยื่นมือมาช่วยด้วยการใช้อัญมณีเป็นอาวุธลับเล่นงานกวนจีจนหมอบราบโดยที่ข้าจับพิรุธไม่ได้อย่างนั้นหรือ
ใบหน้าคมคายผงะถอยห่างออกไปอย่างกะทันหัน ก่อนที่ใบหน้าครึ่งหนึ่งจะเข้าไปแอบหลังแขนเสื้อกว้างเพื่อก้มหน้าไอเบาๆ
มู่ไคเวยเลิกคิดมาก นางรีบยื่นเตาอุ่นมือกับไข่มุกไปให้ “ท่านอ๋อง…โปรดรักษาสุขภาพด้วย”
เสียงไอไม่ได้หยุดลงง่ายๆ เขาไอจนเนตรหงส์มีน้ำตาเล็ด
ชายหนุ่มเอียงหน้ามองนางพลางกระพือขนตาช้าๆ ริมฝีปากซีดเซียวแย้มรอยยิ้มออกมาอย่างอ่อนกำลัง
มู่ไคเวยรู้ว่าตนเองพูดปลอบใครไม่เก่ง ทั้งที่ควรจะพูดอะไรให้มากกว่าคำว่า ‘รักษาสุขภาพ’ ที่ดูไม่มีสาระเช่นนี้
“ที่ข้านั่งรถออกมาวันนี้เพราะคำสั่งของพวกหมอหลวงที่บอกว่าการมาสูดอากาศบริสุทธิ์ที่นอกเมืองจะทำให้ร่างกายแข็งแรง และสภาพจิตใจดีขึ้น” ฟู่จิ่นซีรับเตาอุ่นมือที่มู่ไคเวยส่งคืนมาซุกเข้าในเสื้อคลุม “แต่การได้เจอใต้เท้ามู่ และได้นั่งรถม้าคันเดียวกัน ได้พูดคุยกันเช่นนี้ กลับทำให้ข้ารู้สึกสบายใจได้มากกว่า”
‘คำสารภาพ’ ของเขาทำให้มู่ไคเวยนิ่งงัน ริมฝีปากขยับคล้ายอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยออกมารถม้ากลับหยุดลงพอดี น้ำเสียงแจ่มใสของผู้ติดตามดังมาจากนอกม่านดิ้นทองผืนหนาหนักว่า “ท่านอ๋องขอรับ เรามาถึงหน้าจวนสกุลมู่แล้ว”
พอมู่ไคเวยได้ยิน นางก็ทำท่าจะแหวกผ้าม่านลงจากรถม้า
ความคิดของหญิงสาวเรียบง่ายมากคือพอลงจากรถม้าแล้วนางจะยืนตัวตรงเพื่อจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย และทำความเคารพเพื่อแสดงความขอบคุณอย่างสำรวม ทว่ามู่ไคเวยกลับไม่ได้ทำดังใจคิด เพราะคังอ๋องเลือกที่จะยื่นนิ้วมาหยิบไข่มุกในมือนางไปตอนนี้พอดี
ผลคือ…มือของนางถูกมือเขายึดไว้พร้อมไข่มุกเม็ดนั้น
“ท่านอ๋อง?” มู่ไคเวยไม่เคยสนใจเรื่องที่ว่าชายหญิงไม่พึงใกล้ชิดกันทั้งการให้และการรับ แต่การถูกรวบมืออย่างไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้หัวใจของนางเต้นกระหน่ำรัวเร็วอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ภายในรถม้าเงียบสนิท สายตาของคังอ๋องที่จับจ้องอยู่ที่นางฉายแววลึกซึ้งคล้ายกำลังใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด
“ตอนเด็ก ท่านพ่อท่านแม่พาข้าไปหาหมอทำให้ถูกสังหาร แต่ตัวข้าที่ควรตายมากกว่ากลับรอดชีวิต พอข้ากลับมาที่เมืองหลวงเลยถูกคนลือว่ามีชะตาพิฆาตบิดามารดามาโดยตลอด ตอนอายุสิบแปดปี ข้าได้รับพระกรุณาจากเสด็จย่าและเสด็จลุงช่วยเฟ้นหาชายาเอกให้…เรื่องนี้ หัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีที่ตระเวนอยู่ในเมืองหลวงน่าจะเคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง”
มู่ไคเวยรับคำ “หลานสาวผู้อาวุโสจูเก๋อ และบุตรีของใต้เท้าเสนาบดีแห่งกรมพิธีการน่ะหรือ” อันที่จริง นางสามารถแกะมือออกจากอุ้งมือของเขาได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงไม่ทำเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะเขาเป็นเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์เทียนเฉาผู้สูงศักดิ์ ทว่า…การสลัดมือเขาออกไปอาจทำให้…เขาเสียความรู้สึก เมื่อคิดได้เช่นนี้มู่ไคเวยก็ไม่อยากทำให้ฟู่จิ่นซีต้องเสียใจ
ถ้าจะให้บอกเหตุผลกันจริงๆ ล่ะก็…อืม น่าจะเป็นเพราะชายหนุ่มมีรูปโฉมเหมือนคนที่ต้องการการคุ้มครองอย่างมากกระมัง
ริมฝีปากรูปกระจับของฟู่จิ่นซีกระตุกเบาๆ เป็นรอยยิ้มอันฝืดฝืน “ถูกต้อง…มิผิด แต่พอมีคำสั่งพระราชทานสมรสให้คุณหนูสกุลจูกับข้าแล้ว คุณหนูสกุลจูก็เกิดล้มป่วย หลับไม่ยอมตื่น ทำให้ผู้อาวุโสจูต้องร่ำไห้มาทูลฟ้อง คนแก่อายุร่วมแปดสิบร้องไห้ฟูมฟาย ขอร้องฮ่องเต้ให้ถอนราชโองการ ยกเลิกการแต่งงานระหว่างคุณหนูสกุลจูกับข้า ฮ่องเต้จำต้องทำตามคำขอร้องของขุนนางเก่าแก่สามแผ่นดินด้วยการยกเลิกการหมั้นหมาย เมื่อนั้นคุณหนูสกุลจูถึงฟื้น จากนั้น…เรื่องทำนองนี้ก็เกิดขึ้นซ้ำอีกในการพระราชทานสมรสครั้งที่สอง บุตรีของใต้เท้าเสนาบดีแห่งกรมพิธีการหลับไม่ยอมตื่นเช่นเดียวกัน จนมีการยกเลิกการหมั้นแล้วถึงได้ฟื้นคืนสติ”
มู่ไคเวยเม้มริมฝีปาก “เหตุใดท่านอ๋องจึงเล่าเรื่องนี้ให้ผู้น้อยฟังเล่า”
ฟู่จิ่นซีถอนหายใจเบาๆ “เจ้าไม่เข้าใจจริงๆ หรือ การที่เสด็จย่าอยากให้เจ้าเป็นชายาเอกของคังอ๋อง เพราะเจ้าสังหารนักบวชชั่วและตามจับคนร้ายที่อารามเป่าหวาได้อย่างดุดัน มีประสบการณ์โชกโชน สามารถปิดประตูจัดการศัตรูได้อย่าง หากเจ้าแต่งเข้าจวนคังอ๋องแล้ว จะต้องกำราบปีศาจ และกำราบดาวปีศาจนำเคราะห์อย่างข้าได้”
มู่ไคเวยคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ ทั้งที่เวลาบุรุษสตรีคุยเรื่องแต่งงานกันน่าจะมีความรู้สึกเขินอาย แต่เขากลับไม่มี มีแต่สีหน้าคิดหนักและเป็นกังวล ส่วนนางก็ไม่มีอารมณ์ขัดเขินเช่นเดียวกัน นางคิดเพียงแต่ว่าเขา…น่าสงสาร
ไม่รู้ว่าควรพูดปลอบอย่างไร นางจึงพลิกมือเพื่อจับมือของเขา แต่เพราะกลัวว่าไข่มุกในมือจะไปกดถูกมือชายหนุ่ม มู่ไคเวยจึงผ่อนแรงลง ไม่กล้าบีบมือเขาแรง
แววตาของฟู่จิ่นซีเปลี่ยนไปทันที ได้แต่มองจ้องนางตาไม่กะพริบ
“ท่านอ๋อง…มิใช่ดาวปีศาจนำเคราะห์อะไร ท่านอย่าคิดมากเกินไป”
เอ่อ…ข้าพูดไม่เก่งจริงๆ
บางสิ่งวาบผ่านมาในสมอง มู่ไคเวยเชิดหน้าขึ้น “แล้วผู้น้อยเล่า ท่านอ๋องก็เห็นอยู่ว่าแม้ไทเฮาจะยกผู้น้อยให้ท่าน ผู้น้อยก็ยังอยู่ดีมีสุขมิใช่หรือ มิใช่ผู้น้อยโอ้อวดตนเอง แต่ผู้น้อยสุขภาพดีมาตั้งแต่เล็ก ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลยสักครั้ง แข็งแรงพอๆ กับวัว ผู้น้อยก็อยากรู้เหมือนกันว่าโรคหลับไม่ตื่นนี่จะทำอะไรผู้น้อยได้หรือไม่!”
ช้าก่อน ไม่ถูกสิ ข้าแค่จะพูดให้เขาสบายใจขึ้นมิใช่หรือ เหตุใดสุดท้าย…กลับเหมือน…เหมือนข้าสามารถสยบไอปีศาจได้จริงๆ และไม่มีทางหลับไม่ตื่นเพราะได้รับพระราชทานให้แต่งงานกับเขา
ปวดหัวนัก ลำบากใจเสียจริง! ข้ากำลังพูดจาเหลวไหลอะไรอยู่นี่
ทว่าฟู่จิ่นซีกลับยิ้มจนมองเห็นฟันขาว เสียงหัวเราะอันเสนาะหูมีกังวานเปี่ยมพลังจนทำให้คนได้ยินใจสั่น
เพียงแต่เขากำลังขบขันคำพูดที่เผลอหลุดปากไปของนาง หรือขบขันเพราะถูกนางเย้าแหย่ มู่ไคเวยก็ไม่แน่ใจ นางรู้แต่เพียงว่าการที่คนหน้าตาดูดีมาตั้งแต่เกิดอย่างเขายิ้มมากๆ เช่นนี้ เป็นเรื่องที่ผิดต่อฟ้าดินอย่างยิ่ง
เสียงหัวเราะของชายหนุ่มค่อยๆ เบาลง เขาเผลอใช้นิ้วโป้งคลึงผิวของนาง แววตาก็พลันสงบลง
“ข้าเข้าใจว่าตนเองไม่ใช่คู่ที่ดีสำหรับใต้เท้ามู่ หากใต้เท้ามู่รู้สึกลำบากใจที่จะปฏิเสธงานสมรสพระราชทานจากไทเฮาครั้งนี้ ข้าสามารถจัดการให้ได้ และจะทำอย่างดีเพื่อเป็นการชดเชย ไม่ให้สกุลมู่ของใต้เท้ามู่ต้องเดือดร้อนเป็นอันขาด”
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 พ.ย. 62)
Comments
comments
No tags for this post.