บทที่ 11
เนี่ยชิงหลวนตกใจกลัวจนตัวสั่น ต้องรีบตะกายลงจากเตียง
รีบเสียจนไม่ทันได้สวมรองเท้า ยืนเท้าเปล่าบนพื้นเย็นเฉียบในวันที่มีหิมะตก รสชาติเช่นนี้สิที่เรียกว่าหนาวจนสะใจ
นางแน่ใจได้เลยว่าชายที่อยู่ตรงหน้าก็คือจั่วหลิง แม่ทัพแดนพายัพที่คนเล่าลือกัน
นอกจากเขาแล้วยังจะมีใครหน้าไหนมายืนพูดจาด้วยน้ำเสียงเฉยชาถึงขั้นนี้ได้
จั่วหลิงนิ่วหน้า มองดูเตียงของตนเอง
ด้านบนมีผ้าห่มที่เขาไม่คุ้นตาและกลิ่นอายที่ไม่คุ้นเคย
ต่อมาเขายื่นมือไปเลิกผ้าห่มที่ปูทับบนเตียงนอนออก ยังไม่ทันถอดเกราะก็ล้มตัวลงบนเตียงแล้วหลับไป
ไม่ช้าเนี่ยชิงหลวนก็ได้ยินเสียงลมหายใจผ่อนยาวที่สงบและมั่นคงของเขาดังขึ้น
เสี้ยวอึดใจนั้นเอง นางรู้สึกประหลาดใจอย่างที่สุด
ดูจากที่จั่วหลิงแสดงออกเมื่อครู่ เหมือนเขาถือสาอย่างมากหากใครมานอนเตียงของตน แต่เขากลับไม่หันหลังเดินจากไป ซ้ำยังไม่ชักกระบี่ออกมาฟันนางทิ้ง
เนี่ยชิงหลวนรออยู่สักครู่ เห็นจั่วหลิงยังคงไม่ขยับเขยื้อน ก็เดาว่าคงผล็อยหลับไปแล้วจริงๆ
นางหันออกไปมองนอกหน้าต่างสักพัก กลองตีบอกเวลายามจื่อเพิ่งสิ้นเสียง ดึกป่านนี้แล้ว นางจะวิ่งไปขอซุกหัวนอนที่ใดได้เล่า
สุดท้ายนางจนปัญญา จำต้องหยิบผ้าห่มที่จั่วหลิงเพิ่งเลิกออกโยนทิ้งไว้อีกด้านไปปูบนพื้น
มีแค่ผ้าห่มผืนนี้เท่านั้นหรือ
สายตาเนี่ยชิงหลวนมองไปยังเตียงนอน
บนนั้นยังมีผ้านวมหนาๆ อีกสองผืนที่นางให้ผีผานำมากองรวมอยู่ด้วย
นางเหลือบมองจั่วหลิงทีหนึ่ง ในความมืดถึงจะมองไม่เห็นว่าเขาลืมตาหรือหลับตา แต่เสียงลมหายใจยังผ่อนยาวและราบเรียบมั่นคง
เนี่ยชิงหลวนรวบรวมความกล้า จากนั้นค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้เตียง
แต่ผ้าห่มสองผืนนั้นปูอยู่ชั้นในสุด จั่วหลิงนอนทับอยู่ข้างนอก ไม่อาจหยิบมาง่ายๆ
ดังนั้นเนี่ยชิงหลวนจึงค่อยๆ ชะโงกเข้าไป สุดท้ายก็คลำพบผ้าห่มสองผืนนั้น
แต่ชั่วอึดใจถัดมานางเห็นแสงเงาวาบขึ้นต่อหน้า มีบางสิ่งที่เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งจ่ออยู่ตรงลำคอ
รอจนรับรู้ได้ว่าสิ่งนั้นคือมีดสั้นเล่มหนึ่ง สองขาของเนี่ยชิงหลวนก็อ่อนยวบทันที
“ท่าน…ท่านผู้กล้า” ฟันบนล่างของเนี่ยชิงหลวนกระทบกันดังกึกๆ ส่วนน้อยเพราะความหนาว แต่ส่วนมากแล้วเพราะความตกใจกลัว “ไว้ชีวิตด้วย ข้า ข้าแค่จะมาหยิบผ้านวมสักผืนเท่านั้น ขออภัยที่รบกวนการนอนของท่าน”
นางไม่รู้ว่าจั่วหลิงตื่นตั้งแต่เมื่อไร และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาลุกขึ้นมานั่ง ทั้งยังฉวยเอามีดสั้นมาจ่อคอของนางได้อีก
ตอนนี้เนี่ยชิงหลวนยืนอยู่ตรงหัวเตียง ค้างอยู่ในท่าโน้มตัวเอื้อมมือไปจะหยิบผ้าห่ม ส่วนจั่วหลิงหยัดตัวขึ้นนั่ง เตียงหลังใหญ่เช่นนี้ แต่ทั้งสองกลับอยู่ใกล้กันอย่างเลี่ยงไม่ได้
ใกล้เสียเนี่ยชิงหลวนได้เห็นใบหน้าของจั่วหลิงอย่างชัดเจน
ไม่เห็นจะดำมะเมื่อมจนดูอัปลักษณ์ราวกับอสูรร้ายอย่างที่เขาว่ากัน แต่กลับมีใบหน้าขาวผ่อง หน้าตาหล่อเหลาเสียจนไม่อาจเหลียวมองไปทางอื่น
เพียงแต่สีหน้านั้นเย็นชาอย่างร้ายกาจ เฉกเช่นเดียวกับกระบี่ที่ส่งประกายเยือกเย็น เผยคมอันวาววับออกมาจนใครก็ไม่กล้าเข้าใกล้
ในห้วงเวลาแห่งความเป็นความตาย อย่างไรเนี่ยชิงหลวนก็ไม่หลงรูปโฉมจนหลงผิดไปเสียก่อน
นางยิ้มแย้มใสซื่อไร้พิษสง แสดงให้เห็นว่าตนไม่มีเจตนาร้าย “ท่านแม่ทัพ มืดเช่นนี้อาจพลั้งมือกันได้ง่ายๆ ท่านช่วยเก็บมีดสั้นเล่มนี้ก่อนได้หรือไม่”
จั่วหลิงกวาดตามองนางอย่างเย็นชา เพียงพลิกมือเนี่ยชิงหลวนก็รู้สึกว่าความเย็นยะเยือกที่ลำคอได้หายวับไปแล้ว
แต่สองขาก็ยังอ่อนระทวย แทบหมดเรี่ยวแรงลากผ้าห่มทั้งสองผืนนั้นออกมา
อีกอย่างหลังผ่านเรื่องเมื่อครู่ เนี่ยชิงหลวนก็ไม่กล้าจะอยู่ร่วมห้องกับจั่วหลิงแล้วจริงๆ
ใครจะรู้ ปีศาจร้ายตนนี้อาจมีนิสัยชอบละเมอลุกขึ้นมาฆ่าคนก็เป็นได้
ดังนั้นเนี่ยชิงหลวนจึงคิดว่าเอาเถอะ หิมะตกเช่นนี้ ข้าไหนเลยจะทำอะไรได้ แต่ถึงเขาจะวางมีดลงแล้ว นางก็ยังอยากจะออกไปจากห้องนี้อยู่ดี
ทว่านางเพิ่งจะขยับเท้าได้เพียงก้าวเดียว จู่ๆ จั่วหลิงก็พลิกร่างลงมาจากเตียง
เนี่ยชิงหลวนประหลาดใจยิ่ง รีบถอยหลบไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าซีดขาวราวกับหิมะ
แต่จั่วหลิงไม่แม้แต่จะหันมามองนาง เขาเดินตรงไปยังหน้าประตู เปิดออกแล้วเดินจากไป
เนี่ยชิงหลวนชะงักงันในทันใด
เขาคิดจะทำอะไรอีก
แต่ในเมื่อปีศาจร้ายไปแล้ว ใจที่เต้นระส่ำของเนี่ยชิงหลวนจึงค่อยสงบลงได้
นางครุ่นคิดพลางหยิบผ้าห่มบนพื้นขึ้นมาปูใหม่บนเตียง ดึงผ้านวมด้านข้างมาห่มตนเองไว้อย่างแน่นหนา หลับตาลงเตรียมพร้อมนอนหลับ
แต่อย่างไรก็เพิ่งผ่านเรื่องน่าตระหนกมา แม้นอนแล้วก็หลับไม่เป็นสุข ยังรู้สึกเย็นวาบที่ลำคอได้อย่างเลือนๆ จนต้องคอยเอามือลูบลำคอตนเองอย่างไม่รู้ตัว
ตอนเช้าเมื่อผีผายกน้ำเข้ามาให้ จึงไม่แปลกที่สีหน้าของเนี่ยชิงหลวนจะดูซีดเซียว
ผีผาเทน้ำร้อนในกาทองแดงลงในอ่างทองแดง คอยช่วยเนี่ยชิงหลวนล้างหน้าหวีผม จากนั้นจึงถามขึ้นว่า “คุณหนูนอนหลับไม่สนิทหรือเจ้าคะ”
นางคิดว่าคุณหนูของนางกล้าหาญมาก ต่อให้มีชาวหูลอบโจมตียามวิกาลก็ยังนอนหลับสนิทได้อยู่หลายวัน ยังจะมีเรื่องใดที่ทำให้นางนอนไม่หลับได้อีกหรือ
เนี่ยชิงหลวนเอาผ้าขนหนูที่ใช้เช็ดหน้าวางคลุมบนใบหน้า รู้สึกเหนื่อยล้าจับใจจนไม่อยากจะเอ่ยปากพูดอะไรทั้งสิ้น
ล้างหน้าหวีผมแล้ว ชิงเอ๋อร์ที่ไปนำอาหารเช้ามาให้จากห้องครัวก็เดินกลับมา
ยังคงเป็นอาหารจานผัดที่ดูไม่ออกว่าเป็นผักอะไรจานหนึ่ง หมั่นโถวจานหนึ่ง เพิ่มข้าวต้มมาอีกชาม
หมั่นโถวยังคงรสเฝื่อนมาก ส่วนผัดผักนั้นเนี่ยชิงหลวนถือเสียว่ากินเป็นเครื่องเคียงเหมือนผักดองเค็มก็แล้วกัน
แต่ที่สำคัญคือต่อให้คิดว่าเป็นของดองแล้ว ผักนั่นก็ยังเค็มเกินไปอยู่ดี
เนี่ยชิงหลวนกินไปได้ไม่กี่คำก็ต้องวางตะเกียบลง ทำท่าบอกว่าไม่กินแล้ว
รู้สึกเหนื่อยใจยิ่งกว่าเก่า ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ผีผาอยู่ข้างๆ บอกว่า “คุณหนู ตอนแรกที่ข้าเห็นคนในจวน ยังคิดว่าไม่สมกับเป็นคนของท่านแม่ทัพ แต่ละคนล้วนดูผ่ายผอม ที่แท้เป็นเพราะอาหารไม่ถูกปาก แต่ละมื้อไม่ได้กินอิ่มนี่เอง”
เนี่ยชิงหลวนนอนฟุบกับโต๊ะ ไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น
ผีผายังอยากนินทาต่อ “หลายวันก่อนข้าคอยเงี่ยหูตั้งใจฟังอยู่สักพัก คุณหนูลองเดาสิ ที่แท้เจิ้งปั๋วผู้ทำอาหารเคยเป็นองครักษ์คนสนิทของท่านอ๋องผู้เฒ่า ภายหลังได้ช่วยชีวิตท่านอ๋องผู้เฒ่าไว้จนขาพิการไปข้างหนึ่ง ออกรบไม่ได้อีก ท่านอ๋องผู้เฒ่าจึงให้เขาคอยดูแลเรื่องอาหารการกินในจวนอ๋อง แต่เจิ้งปั๋วอายุอานามมากแล้ว ปากรับรสได้ไม่ดีจึงใส่เกลือเต็มที่ ไม่บันยะบันยัง แต่ในเมื่อท่านอ๋องของพวกเราไม่ว่าอะไร คนอื่นๆ ในจวนย่อมไม่กล้าไปด้วย จำต้องฝืนกินกันไปเช่นนี้ เฮ้อ คุณหนู พวกเขายังบอกวิธีให้ข้ามาอย่างหนึ่ง ตอนที่กินให้ตักน้ำชามหนึ่งมาวางไว้ข้างๆ จะกินอะไรก็เอาอาหารสงๆ ในน้ำเสียหน่อย เช่นนี้ก็ไม่เค็มแล้ว”
ชีวิตบัดซบอะไรอย่างนี้ เนี่ยชิงหลวนทนเต็มกลืนแล้ว หมดคำจะเอ่ยวาจา
กินเสร็จเนี่ยชิงหลวนไม่อยากจะออกไปรับลมเย็น จึงได้แต่นั่งกัดเล็บอยู่ในห้อง ฆ่าเวลาด้วยการครุ่นคิดถึงสถานการณ์ในภายภาคหน้า
ขณะกำลังคิดนั่นเอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าสับสนดังขึ้นด้านนอก
เนี่ยชิงหลวนจึงเรียกชิงเอ๋อร์ “ชิงเอ๋อร์ ออกไปดูที เกิดอะไรขึ้น”
ชิงเอ๋อร์ขานรับคำหนึ่ง กำลังจะออกไป แต่ยังไม่ทันได้ออกก็มีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามา
สวมเสื้อเกราะสำหรับออกรบ ดูก็รู้ว่าเป็นทหาร
เนี่ยชิงหลวนตกใจจนสะดุ้งโหยงลุกขึ้นมาจากเก้าอี้
คงไม่ใช่เพราะการที่นางหลับไปบนเตียงของจั่วหลิงทำให้เขายังโกรธไม่หาย ตอนนี้จึงส่งลูกน้องมาหาเรื่องจะลากตัวนางออกไปกระมัง
แต่ทหารหลายนายที่เข้ามาล้วนแสดงความเคารพยำเกรงต่อนางมากไม่ว่าจะคำพูดหรือท่าที
หัวใจที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นตั้งแต่คืนวานของเนี่ยชิงหลวนจึงค่อยๆ สงบลงจนเป็นปกติ จากนั้นจึงค่อยพบว่าบนบ่าของทหารเหล่านั้นแบกอะไรบางอย่างมาด้วย
“พวกเจ้าต้องการอะไร”
เนี่ยชิงหลวนถามอย่างลังเล ใครจะรู้ นี่อาจเป็นเครื่องลงทัณฑ์ที่จั่วหลิงคิดขึ้นเพื่อจับนางทรมานก็เป็นได้
เวลานี้คนผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังก็เดินเข้ามาหา เนี่ยชิงหลวนมองดู เป็นคนคุ้นหน้านี่เอง
อันที่จริงจะว่าไปแล้วก็ไม่นับว่าคุ้นหน้ามากนัก แค่คุ้นหน้ากว่าเมื่อเทียบกับคนแปลกหน้าเหล่านี้ต่างหาก
คนที่มาคือจ้าวเสี่ยวเป่ย เวลานี้เขาไม่ได้สวมเสื้อเกราะออกรบ แต่สวมชุดเครื่องแบบตามสบาย ดูๆ ไปแล้วระดับความอบอุ่นเป็นมิตรเพิ่มขึ้นทันที
เนี่ยชิงหลวนถามคำถามเดิมกับเขาด้วยความงุนงงสงสัย
ใครจะรู้ พอเจ้าหนุ่มเงยหน้าก็ทำสีหน้าเหมือนจะบอกว่าคนธรรมดาสามัญที่แสนโง่เขลาอย่างเจ้า จะไปเข้าใจปัญหาที่ลึกซึ้งเช่นนี้ได้เช่นไร แล้วตอบกลับมาว่า “พวกเรามาเปลี่ยนเตียง”
เดิมทีเนี่ยชิงหลวนก็งุนงงเหมือนเดินอยู่ปลายสายหมอก ตอนนี้จึงยิ่งเหมือนผลุบหายเข้าไปกลางกลุ่มหมอกเลยทีเดียว
“เปลี่ยนเตียงอะไรกัน”
จ้าวเสี่ยวเป่ยคางตกลงมาเล็กน้อย แล้วตอบกลับอย่างเย่อหยิ่ง “ท่านแม่ทัพของเราติดที่นอน”
…แค่ติดที่นอน มีอะไรให้เย่อหยิ่งกันเล่า
ทหารกลุ่มนั้นรีบย้ายเตียงหลังเดิมออกไป จากนั้นก็พากันต่อโครงเตียงสี่เสาให้นางเสียงดังโครมคราม
เนี่ยชิงหลวนจึงรู้ว่าของที่ทหารเหล่านั้นแบกไว้บนบ่า ที่แท้ก็คือชิ้นส่วนแต่ละชิ้นของเตียงนั่นเอง
ผีผาเองก็พลอยงงงันไปด้วย รอจนจ้าวเสี่ยวเป่ยกับทหารเหล่านั้นออกไปหมดแล้ว จึงค่อยถามว่า “คุณหนู นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ”
เนี่ยชิงหลวนสอดมือทั้งสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ ตอบไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “อ้อ นี่เป็นเรื่องดี แสดงว่าจั่วหลิงยกห้องนอนห้องนี้ให้ข้า ส่วนตนเองไสหัวไปนอนที่อื่นแล้วน่ะสิ”
ผีผาแย้ง “แต่คุณหนู พวกท่านเพิ่งจะแต่งงานก็แยกห้องกันแล้วจริงหรือ คนอื่นจะมองอย่างไร”
เนี่ยชิงหลวนคิด ช่างหัวคนอื่นปะไร ถึงอย่างไรข้าก็ไม่อยากจะนอนกับจั่วหลิงอยู่แล้วนี่
หวนนึกถึงรสชาติการถูกมีดเย็นเฉียบวางพาดลำคอแล้ว นางก็รู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้แทบไม่อยากจะพบหน้าจั่วหลิงอีกต่อไป
บทที่ 12
แต่ในเมื่ออยู่ร่วมกันในจวนอ๋อง ต่อให้เงยหน้าไม่พบ ก้มหน้าก็ยังต้องเห็น จะหลบเลี่ยงให้ไม่เจอกันชั่วชีวิตได้หรือ
มองดูเตียงหลังใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามากับการตกแต่งภายในอันทึมทึบ เนี่ยชิงหลวนก็ครุ่นคิดแล้วเอ่ยเรียกผีผากับชิงเอ๋อร์ ตั้งใจว่าจะไปค้นข้าวของในหีบเก็บสินเดิมออกมาตกแต่งห้องหับเสียหน่อย
จะได้ถือโอกาสเดินเที่ยวชมจวนจิ้นอ๋องไปด้วย ตั้งแต่เข้ามาในขุมนรกแห่งนี้ นางก็ยังไม่ได้ออกไปเดินดูเลย
ท้องฟ้ากระจ่างสดใสหลังหิมะผ่านพ้น อากาศกำลังสดชื่น แต่ก็ยังหนาวจับใจ
เนี่ยชิงหลวนสวมเสื้อตัวยาวคอปักลายดอกไม้ร่วงสีเหลืองนวลกับกระโปรงแพรสีเหลืองอมเขียว ห่มเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกไว้ด้านนอก ถือเตาพกใบเล็กไว้ เรียกได้ว่าเตรียมพร้อมรับความหนาวเต็มที่
สินเดิมของนางย่อมมีมาก ข้าวของเครื่องใช้ประจำวันใดๆ ที่นำมาใช้ได้ก็น่าจะมีหมดแล้ว
หยิบจับเลือกสรรไปมา สุดท้ายก็หาสิ่งของที่พอจะนำมาใช้เฉพาะหน้าได้สองสามอย่าง
เนี่ยชิงหลวนให้ผีผาถือชุดผ้าขนสัตว์สองชิ้นที่เลือกกับมือ แล้วให้ชิงเอ๋อร์ถือกาน้ำทำจากหยกกับแจกัน ส่วนของอื่นที่ค่อนข้างหนักให้วางไว้ตรงนั้นก่อน สักพักค่อยสั่งให้คนช่วยขนมา
สามคนนายบ่าวพูดคุยกันพลางเดินกลับ
แม้จะบอกว่าเป็นจวนอ๋อง แต่อย่างไรเสียก็อยู่ไกลถึงชายแดน จึงมิได้ใหญ่โตอลังการ จวนแห่งนี้แม้ไม่นับว่าใหญ่โต แต่ก็ยังดีกว่าบ้านพ่อค้าวาณิชทั่วไป
ขณะเดินผ่านโถงทางเดินยาวแห่งหนึ่ง สามคนนายบ่าวก็พากันหยุดเดินโดยมิได้นัดหมาย
นั่นเพราะที่โถงทางเดินแห่งนั้นมีคนสามคนกำลังเดินสวนมาพอดี
เนี่ยชิงหลวนรู้จักสองในสามคนนั้น แต่หนึ่งในสองคนที่นางรู้จักเป็นคนที่นางไม่อยากพบเจอที่สุด
คนผู้นั้นก็คือจั่วหลิง
จั่วหลิงกับหญิงสาวผู้หนึ่งเดินเคียงกันอยู่ด้านหน้า จ้าวเสี่ยวเป่ยคอยเดินตาม
ผีผาเอาศอกสะกิดเนี่ยชิงหลวนครู่หนึ่งพลางถาม “คุณหนู หญิงสาวผู้นั้นเป็นใคร เหตุใดจึงเดินมาด้วยกันกับท่านอ๋องเล่า”
เนี่ยชิงหลวนคิด เจ้าถามเช่นนี้เหมือนข้าคุ้นเคยกันดีกับจั่วหลิงอย่างนั้น เขาไปเดินกับหญิงสาวคนใดข้าจะไปรู้จักหรือ
ตอนนี้นางอยากจะให้ตนเองหายตัวได้ในบัดดล จั่วหลิงจะได้มองไม่เห็นนาง
แต่สามคนตรงหน้าก็ยังเห็นนางอยู่ดี ต่างพากันหยุดเดินแล้ว
เนี่ยชิงหลวนเริ่มแสร้งทำเป็นไม่เห็นพวกเขา ทั้งเงยหน้ามองฟ้า ทั้งหันไปมองทางอื่น สรุปสั้นๆ คือไม่มองไปทางนั้นเลย
หวังว่าพวกเขาจะรู้ตัวแล้วรีบๆ ไสหัวไปเสีย
ผีผาตามหลังมา รู้สึกว่าคุณหนูของตนช่างไม่ได้เรื่อง มีหญิงสาวแปลกหน้ายืนเคียงข้างสามีตนเอง ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเดินเข้าไปถามไถ่สักหน่อย ยังทำเป็นมองไม่เห็นเสียอย่างนั้น
ว่ากันว่ารู้เขารู้เรา ร้อยศึกไร้พ่าย ผีผาคิดแล้วว่าคุณหนูไม่กล้ามอง แต่นางในฐานะเป็นสาวใช้คนสนิท ช่วยมองหน้าหญิงสาวผู้นั้นแทนคุณหนูเองน่าจะดี
ว่าแล้วผีผาก็จ้องมองหญิงสาวผู้นั้นตาเขม็ง
นางสวมเสื้อตัวสั้นสีน้ำเงินกับกระโปรงกลางเก่ากลางใหม่สีเดียวกัน เสียบปิ่นเงินรูปดอกเหมยที่ดูเป็นของเก่าแก่ไว้เพียงอันเดียวบนศีรษะ แต่งกายเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน ว่ากันถึงรูปหน้าก็เรียวยาวเป็นรูปไข่ ผิวขาวเนียนละเอียด ดูแล้วงามสง่า คิดแล้วเมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชนคงมีคนเหลียวมองตามไม่น้อย
ผีผาจึงคิดว่าถ้าจะว่ากันถึงเรื่องรูปร่างหน้าตา หญิงสาวผู้นี้มิมีสิ่งใดมาประชันขันแข่งกับคุณหนูได้ ไม่ต้องไปสนใจอะไรนาง
ดังนั้นผีผาจึงถอนสายตากลับมา แล้วหันไปมองชุดหนังเตียว* ยาวสีเข้มในมือแทน
ทว่าเวลานี้หญิงสาวผู้นั้นก็กำลังมองประเมินทางนี้เช่นกัน
หรืออาจบอกได้ว่านางกำลังมองประเมินแต่เนี่ยชิงหลวนเพียงผู้เดียว
คราวนี้เนี่ยชิงหลวนเหลืออดแล้ว คิดในใจว่าเหตุใดสามคนนี้ไม่ไปเสียที หากยังไม่ไป เช่นนั้นนางก็จะบ่ายหน้าไปเสียก่อน จะให้อยู่เล่นยืนตัวแข็งเหมือนหุ่นไม้ ใครขยับก่อนคนนั้นแพ้อย่างนั้นหรือ
นางหันไปมองผีผาและชิงเอ๋อร์ ใช้สายตาบอกว่าพวกนางจะเดินไปต่อ
สามนายบ่าวเพิ่งจะก้าวเท้าออกเดินได้ก้าวเดียว จู่ๆ หญิงสาวที่อยู่ด้านตรงข้ามกลับเอ่ยปากถามขึ้น
“ขอเรียนถาม แม่นางท่านนี้คือใครกัน”
ผีผารู้สึกว่าแม้หญิงสาวผู้นี้ไม่มีอะไรให้ต้องหวาดหวั่น แต่ในเมื่อนางออกปากถามเช่นนั้น ก็จำเป็นจะต้องช่วยขีดเส้นแบ่งขอบเขตแทนคุณหนูของตนให้ชัดเจน ให้หญิงสาวผู้นั้นได้รับรู้ไว้ว่าคุณหนูของตนเป็นนายหญิงของจวนอ๋องแห่งนี้
ทว่านางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เนี่ยชิงหลวนก็รู้ความคิดของนางก่อนแล้ว จึงยื่นมือมากระตุกชายเสื้อนางพลางมองตาขวางเป็นการห้ามปราม
ผีผาได้แต่เม้มปาก สุดท้ายต้องกลืนคำที่อยากจะพูดกลับเข้าไปดังเดิม
ผีผาบ่นในใจ โธ่คุณหนู ช่างขี้ขลาดเสียจริง
เนี่ยชิงหลวนไม่รู้สึกสักนิดว่าตนเองขี้ขลาด คิดแต่เพียงว่าถึงแม้หญิงสาวผู้นั้นจะออกปากถามว่านางเป็นใคร แต่คำพูดนั้นเป็นการถามจั่วหลิงต่างหาก นางไม่เห็นจำเป็นจะต้องเอื้อเฟื้อช่วยคลายข้อสงสัย
เนี่ยชิงหลวนเหลือบมองจั่วหลิงทางหางตา อยากลองฟังดูว่าแม่ทัพผู้เย็นชาที่ผู้คนเล่าลือจะแนะนำนางกับผู้อื่นเช่นไร
ทว่าเมื่อเหลือบมองไป เนี่ยชิงหลวนก็พบว่าจั่วหลิงนั้นดูหล่อเหลายิ่งกว่าที่นางได้เห็นเมื่อคืนเสียอีก
เมื่อคืนสายตาพร่ามัว ซ้ำยังอยู่ในบรรยากาศที่ตึงเครียด ไหนเลยจะมีแก่ใจสำรวจรูปร่างหน้าตาของจั่วหลิงอย่างละเอียดว่าเป็นอย่างไร การปกป้องชีวิตน้อยๆ ให้รอดต่างหากที่สำคัญที่สุด
ทว่ามามองดูในตอนนี้ จั่วหลิงมีโหนกคิ้วคมชัด สันจมูกโด่งงาม ใบหน้าคมคาย ดูไปแล้วหล่อเหลาเป็นที่สุด จะมองตรงที่ใดก็ล้วนชวนให้เพ่งพินิจทั้งสิ้น
แต่สีหน้าเขาช่างเย็นชา ตอนนี้แค่ยืนอยู่ตรงนั้นในชุดสีเข้มที่เรียบง่าย ก็ยังชวนให้คนรู้สึกกดดันสุดขีดเพราะความเย็นชาอยู่ดี
เนี่ยชิงหลวนร้อง เชอะ ในใจอย่างไม่ยี่หระ คิดอยู่ว่ามองไม่ออกเลยว่าปีศาจตนนี้จะดูดีได้ถึงเพียงนี้ แล้วข่าวลือที่ว่าเขาหน้าตาอัปลักษณ์ราวกับอสูรร้ายมาจากที่ใดกัน หรือว่าเพราะขุนนางผู้แทนพระองค์ท่านนั้นไม่พอใจ จึงได้จงใจปรักปรำเขาเป็นการใหญ่
มองประเมินจั่วหลิงแล้ว สายตาของเนี่ยชิงหลวนก็เคลื่อนไปยังจ้าวเสี่ยวเป่ยกับแม่นางผู้นั้น
ไม่ต้องพูดถึงจ้าวเสี่ยวเป่ย เมื่อใดที่ได้พบหน้ากัน เมื่อนั้นล้วนตีสีหน้าแสยะเขี้ยวยิงฟัน คอยพูดจาเสียดสีเหมือนนางเป็นคนโง่เขลา แต่บัดนี้ยามอยู่ต่อหน้าจั่วหลิง กลับวางตัวสงบเสงี่ยมราวกับเป็นกระต่ายขาวตัวน้อยก็ไม่ปาน
ส่วนหญิงสาวผู้นั้นหน้าตางดงามไม่เลว ถ้าจะว่ากันถึงสายตาที่นางทอดมองจั่วหลิง ต่อให้นางปกปิดไว้ดีเพียงใด แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นสายตาของเนี่ยชิงหลวนได้
ชาติก่อนนางดูละครโทรทัศน์มามาก เรื่องเล็กน้อยระหว่างชายหญิงเช่นนี้มีหรือจะดูไม่ออก
หญิงสาวผู้นี้แสดงความรักและชื่นชมจั่วหลิงออกมาอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว
ทว่าจั่วหลิงคงเป็นพวกหัวทึบจริงๆ เหมือนเขาจะไม่เข้าใจเจตนาของหญิงสาวผู้นี้ ยังคงยืนทื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ตรงนั้น
ไม่รู้ว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ แม้หญิงสาวผู้นั้นจะเอียงหน้าหันไปถาม แต่เขากลับไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น
แท้จริงแล้วที่ปีศาจตนนี้ทำตัวเย็นชาเย่อหยิ่งเพราะคร้านจะพูดกับหญิงสาวผู้นี้ หรือไม่รู้จริงๆ ว่าจะตอบเรื่องฐานะของนางกับหญิงสาวผู้นั้นอย่างไร
ส่วนจ้าวเสี่ยวเป่ย เมื่อจั่วหลิงไม่พูด เขาก็จับทางไม่ถูกเช่นกันว่าท่านแม่ทัพของเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเอ่ยอะไรออกมาก่อน
จะว่าไปนางถามจั่วหลิง เรื่องอะไรตัวเขาต้องรับเอามาเป็นธุระของตนเองด้วยเล่า
ดังนั้นบรรยากาศจึงกลายเป็นน่ากระอักกระอ่วนไปในทันใด
แก้มสองข้างของหญิงสาวนางนั้นมีสีแดงระเรื่อผุดขึ้นจางๆ สุดท้ายต้องหาทางลงให้ตนเอง จึงหันไปพูดกับเนี่ยชิงหลวน “ดูแม่นางสวมเสื้อผ้าแต่งกายหรูหรา มิได้อัตคัดเฉกเช่นชาวบ้านสามัญแถบชายแดนเหมือนพวกข้า คิดแล้วเป็นอย่างที่เขาว่ากัน คงจะเป็นคุณหนูจากจวนโหวที่ฮ่องเต้พระราชทานสมรสแก่ท่านแม่ทัพกระมัง”
หญิงสาวผู้นี้แม้พูดโดยเปิดเผยเหมือนชื่นชมเสื้อผ้าอาภรณ์ที่หรูหราของเนี่ยชิงหลวน แต่นางกลับไม่คิดว่าเป็นคำชมที่มาจากใจจริง
นอกจากนี้ยังรู้สึกได้ว่าหญิงสาวผู้นี้พูดจาแฝงนัยเสียดสีอย่างเห็นได้ชัด
เป็นการบอกอย่างชัดแจ้งว่านางเป็นคุณหนูใหญ่จากบ้านผู้ดีในเมืองหลวง ไม่เข้ากับพวกเขาที่เป็นคนชายแดนแม้แต่น้อย
เดิมทีเนี่ยชิงหลวนคิดจะตีฝีปากโต้ตอบไปบ้าง แต่เมื่อไม่รู้แน่ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้กับจั่วหลิงมีความสัมพันธ์ใดต่อกัน ชั่วคราวจึงไม่กล้าจะทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง
หวนนึกถึงเมื่อคืนนี้ จั่วหลิงไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เอามีดสั้นอันแสนน่ากลัวมาจ่อคอนาง เนี่ยชิงหลวนก็เอามือถูจมูก ยิ้มแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “ฮ่าๆ แหม พูดได้ดี พูดได้ดี”
จั่วหลิงเหลือบมองนาง รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
อย่างไรเสียในภาพประทับจำ พวกคุณหนูจากสกุลผู้ดีในเมืองหลวงส่วนใหญ่มักเย่อหยิ่งและจุกจิก ไม่มีความอดกลั้น ขอเพียงใครกล้ามายั่วยุก็จะบันดาลโทสะทันที มักหลุดปากพูดไปโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา หรือไม่ก็วางตัวดีงามเกินเหตุ ถึงขั้นที่ใครมาถ่ายรดบนศีรษะก็จะยอมทนอดกลั้นอยู่เงียบๆ ไม่แน่ว่าอาจช่วยส่งกระดาษเช็ดก้นไปให้เขาอีกต่างหาก
ทว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ภรรยาแต่ในนามของเขา เผยรอยยิ้มที่ดูเสแสร้งมากไปหน่อยกระมัง
แต่จั่วหลิงก็ประหลาดใจอยู่เพียงครู่เดียว หลังจากนั้นก็ยังคงเงยหน้าหันไปมองทางอื่นอย่างทะนงตน
ผีผากลับรู้สึกว่าพอกันที
นางรู้สึกว่าการที่หญิงสาวผู้นี้ไม่มีอะไรมาประชันขันแข่งกับคุณหนูของตนได้นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่นางมายั่วล้อคุณหนูก็เป็นอีกเรื่อง
ผีผาจึงโพล่งออกมาว่า “เจ้า”
เพิ่งจะหลุดปากคำเดียวเท่านั้น กลับต้องซู้ดปากเบาๆ ทันที
เนี่ยชิงหลวนเหยียบเท้าผีผาแล้วดึงนางให้มาอยู่ข้างหลัง จากนั้นหันไปยิ้มกับคนตรงหน้าพลางว่า “ขออภัยด้วย เป็นที่ขบขันแล้ว เป็นที่ขบขันแล้ว”
ว่าแล้วก็ไม่สนใจทั้งสามคนตรงหน้าอีก นางเพียงดึงแขนผีผาแล้วเดินจากมา
มาถึงห้องผีผาก็โยนเสื้อขนสัตว์สองตัวในมือไว้กับโต๊ะ แล้วพูดกับเนี่ยชิงหลวนอย่างฉุนเฉียว “เหตุใดคุณหนูขี้ขลาดถึงเพียงนี้ คนเขาพูดจาลามปามจนแทบจะขึ้นไปอยู่บนศีรษะท่านอยู่แล้ว ยังมัวแต่ยิ้มแย้มยื่นไมตรีให้เขาอยู่ได้”
เนี่ยชิงหลวนไม่สนใจนาง เพียงรินน้ำชาให้ตนเองแล้วเอามาถือไว้
เพิ่งได้พบปีศาจร้ายตนนั้นมาหมาดๆ นางต้องดื่มชาช่วยสงบจิตใจเสียก่อน
กระทั่งความตระหนกบรรเทาลงบ้างแล้ว นางค่อยนั่งลง พูดกับผีผาว่า “เจ้าจะไปรู้อะไร อย่าได้เห็นว่าข้าเป็นถึงพระชายาจิ้นอ๋องที่ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้แล้วจะมีหน้ามีตา ที่จริงแล้วชีวิตน้อยๆ ของข้าอยู่ในกำมือของจั่วหลิงต่างหาก”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 ม.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.