บทที่ 13
ผีผาไม่อยากจะเชื่อ จ้องมองจนดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วแทบจะถลนออกมา “เป็นไปได้อย่างไรกัน คุณหนู ท่านก็เป็นถึงคุณหนูสูงศักดิ์ของจวนโหว ทั้งยังได้รับสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ ท่านอ๋องมีหรือจะกล้าทำตัวไม่เคารพ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะกล้าสังหารคุณหนูด้วยซ้ำ”
เนี่ยชิงหลวนถึงกับต้องนวดหว่างคิ้ว
คิดแล้วนางก็ไม่อยากจะเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ผีผาฟังเลย
หลักๆ นางรู้สึกว่าตนเองแสดงออกอย่างขี้ขลาดมากไปหน่อย จั่วหลิงเพียงแค่เอามีดมาจ่อคอ นางก็แข้งขาอ่อนเสียแล้ว ยังร่ำร้องออกไปว่าขอผู้กล้าไว้ชีวิตด้วย
นางไม่อยากทำลายภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่ ทั้งยังดูเป็นคนห้าวหาญและรอบรู้ไปเสียทุกสิ่งในใจผีผาให้ต้องแตกสลายไป
แม้ที่จริงแล้วภาพลักษณ์ของนางในใจผีผาก็แค่คุณหนูจอมเจ้าเล่ห์ที่แสนจะขี้ขลาดและชอบแหกคอกก็ตามที
ดังนั้นนางจึงบอกว่า “คุณหนูจวนโหวจะไปสลักสำคัญอันใด ฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้ก็แค่เรื่องขี้ปะติ๋ว แม้แต่ชีวิตของขุนนางผู้แทนพระองค์จั่วหลิงยังไม่แยแส เขาจะไปเคารพอะไรกับคนอย่างข้า อีกอย่างเมืองหล่งก็อยู่ห่างจากเมืองหลวงนับหมื่นนับพันหลี่ จั่วหลิงแค่เอาดาบฟันข้าฉับเดียว แล้วปั้นแต่งเหตุผลขึ้นมาตามอำเภอใจ บอกว่าข้าตายเพราะเจ็บป่วยกะทันหัน คนเขาจะมาสืบเสาะหาความจริงหรือ ต่อให้มาสืบ คุณหนูของเจ้าก็คงเน่าเปื่อยจนเหลือแต่โครงกระดูกแล้ว ถึงสืบจนได้ความแล้วจะทำอะไรได้ อีกอย่างฮ่องเต้ยังต้องพึ่งพาจั่วหลิงให้ช่วยคุ้มกันเมืองหล่ง ต้องเอาอกเอาใจเขา แค่สังหารหญิงสาวนางหนึ่ง พระองค์เข้ามายุ่มย่ามสิถึงจะแปลก ผีผาเอ๋ย คุณหนูของเจ้านี่นะ เฮ้อ สมแล้วกับคำว่าหญิงงามมักต้องเผชิญทุกข์”
พอได้ยินนางพูดเช่นนี้ ผีผาก็พลอยตระหนกไปด้วย ราวกับว่าตอนนี้จั่วหลิงถือดาบมายืนจังก้าอยู่หน้าประตูและอาจบุกเข้ามาฟันแทงเนี่ยชิงหลวนได้ทุกเมื่อ
ดังนั้นนางจึงยืดร่างน้อยๆ ของตนเองขึ้นขวางหน้าเนี่ยชิงหลวน แล้วพูดอย่างห้าวหาญ “คุณหนูไม่ต้องกลัวเจ้าค่ะ ถึงตอนนั้นถ้าจั่วหลิงกล้าทำอะไรคุณหนู ข้าจะ ข้าจะ…”
เนี่ยชิงหลวนถามน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “เจ้าจะทำอย่างไร”
ผีผากลอกตาไปมา หันไปเห็นถ้วยชาที่เนี่ยชิงหลวนวางไว้บนโต๊ะก่อนหน้านี้ นางจึงคว้าถ้วยชาใบนั้นมาไว้ในมือแล้วพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ข้าก็จะเอาถ้วยชาขว้างเขาให้ตาย”
แม้เนี่ยชิงหลวนได้ยินแล้วรู้สึกว่าน่าขบขัน แต่ก็ซาบซึ้งใจ
“เจ้าออมแรงไว้ก่อน แล้วไปช่วยข้าจัดการสองเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
ผีผารีบถาม “เรื่องอะไรหรือคุณหนู”
เนี่ยชิงหลวนลุกขึ้นดึงเอากล่องใส่เครื่องประทินโฉมชั้นล่างสุดออก แล้วหยิบเงินแท่งในนั้นออกมาสองแท่งส่งให้ผีผา สั่งว่า “ตอนนี้ให้เจ้ากับชิงเอ๋อร์ออกไปข้างนอก มองหาร้านเสื้อผ้า แล้วซื้อเสื้อผ้ามาให้ข้าสักสองชุด”
ผีผาจึงว่า “เสื้อผ้าใหม่ๆ ของคุณหนูมีอีกหลายหีบที่ยังไม่ได้เอาออกมาสวมเลยนะเจ้าคะ จะซื้อเสื้ออะไรอีก อีกอย่างในหีบสินเดิมของคุณหนูก็ยังมีผ้าดีๆ ตั้งหลายพับ อยากจะตัดชุดอะไรก็ใช้ผ้าพวกนั้นเถิด เมืองชายแดนเช่นนี้อัตคัดขาดแคลน จะมีผ้าเนื้อดีอันใด ไม่เห็นจะต้องรีบร้อนออกไปซื้อหาเลยนี่เจ้าคะ”
“ก็เพราะผ้าที่พวกเราเอามาดีเกินไป ถึงต้องให้เจ้าออกไปซื้อ”
ผีผายิ่งฟังยิ่งงงงวย “เพราะเหตุใดกันเจ้าคะ”
เนี่ยชิงหลวนจำต้องอธิบายให้นางฟังอย่างอดทน “เจ้าไม่รู้หรือ ทุกครั้งที่พวกเราออกไปนอกห้อง คนของจวนอ๋องก็ต่างมองมาที่พวกเราด้วยสายตาแปลกๆ ถ้าเป็นยามปกติ ข้าก็คงคิดว่าสาวงามเช่นข้างดงามจนบุปผาหมอง จึงได้ถูกผู้คนจ้องมอง แต่วันนี้หญิงสาวผู้นั้นออกปากเตือนมาแล้ว ข้าจึงค่อยรู้ โธ่ ที่แท้เสื้อผ้าของพวกเราสวยงามสะดุดตาเกินไป คนเขาจึงได้จ้องเอา”
ผีผาทำทีไม่ยี่หระอยู่บ้าง “คุณหนูเป็นลูกหลานบ้านท่านโหวจากเมืองหลวง เสื้อผ้างดงามอลังการอยู่บ้างก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว คุณหนู ท่านไม่ต้องไปแยแสอะไรกับสายตาของคนพวกนั้นนักหรอก ไม่แน่ว่าพวกเขาก็แค่อิจฉาท่านเท่านั้นเอง”
เนี่ยชิงหลวนไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไรดี จึงว่า “โธ่ ผีผา เข้าเมืองตาหลิ่ว เข้าใจไหมเล่า ขอบอกกับเจ้า การที่ทุกคนพากันเมามาย ทว่ามีเพียงข้าที่ได้สติอยู่ท่ามกลางเหล่าคนเมา มันช่างเป็นความทุกข์อย่างที่สุดแล้ว ข้าทำตัวเป็นคนมีสติอยู่เพียงลำพังไม่ได้หรอก อย่างไรก็ต้องเมาไปกับทุกคน”
ผีผาโยนแท่งเงินกะน้ำหนักอยู่ในมือ ยังคงรู้สึกไม่ยี่หระอยู่บ้าง แต่นางก็รู้ดีว่าคงไม่อาจเปลี่ยนใจคุณหนูได้จึงน้อมยอมทำตามแต่โดยดี “เช่นนั้นก็ได้คุณหนู ข้าจะออกไปหาซื้อเสื้อผ้าสักสองชุดกับชิงเอ๋อร์เดี๋ยวนี้”
เนี่ยชิงหลวนยังร้องสั่งตามหลังมาอีก “อย่าได้ซื้อเสื้อผ้าในร้านที่ดีที่สุด ยิ่งดูสามัญได้มากเท่าไรยิ่งดี หากเป็นไปได้ เมื่อสวมออกไปเดินต้องไม่มีใครเหลียวมองซ้ำสอง เจ้ากับชิงเอ๋อร์เองก็ซื้อติดมือมาด้วยสักสองชุด”
ผีผาโบกมือให้นางทั้งๆ ที่ไม่ได้หันกลับไป ทำท่าบอกว่ารับทราบแล้ว ขณะเดียวกันก็พูดฝากสายลมเหนือไปอย่างเย็นชาสองประโยค “คุณหนู ท่านนี่พูดมากน่ารำคาญจริง คิดว่าข้าบ้องตื้นเหมือนท่านหรือไร”
เนี่ยชิงหลวนถึงกับพูดไม่ออก
นี่สิที่เรียกว่ายกหินทุ่มใส่เท้าตนเอง นางไม่ควรสอนให้ผีผารู้จักคำพูดสมัยใหม่พวกนั้นเลย อยู่ดีๆ ทุกอย่างก็มาลงที่ตัวนางเสียอย่างนั้น
กระทั่งผีผานำเสื้อผ้าที่ซื้อหาได้กลับมาถึงจวน เนี่ยชิงหลวนเปิดออกดู ก็ต้องพยักหน้าหงึกๆ อย่างพึงพอใจ
สีสันจืดชืด ไร้ลวดลายปักเย็บประดิดประดอย ดูแล้วด้อยกว่าเสื้อผ้าของสาวใช้ในจวนอ๋องเสียอีก
ผีผาถามขึ้น “คุณหนู ท่านคงไม่ต้องสวมเสื้อผ้าพวกนี้ติดกายทุกวันกระมัง นั่นคงยากที่จะรับได้จริงๆ”
ผีผารู้สึกว่าเสื้อผ้าเหล่านี้แม้แต่นางเองก็ยังไม่อยากจะสวม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณหนูที่สวมแต่เสื้อผ้าแพรพรรณชั้นดีมาแต่เล็ก
“โง่จริง อยู่ในนี้ก็สวมเสื้อผ้าปกติสิ เสื้อผ้าพวกนี้เอาไว้สวมเมื่อออกไปข้างนอก พอสวมเช่นนี้แล้วออกไปเดิน คนเขาจะได้ไม่เอาแต่จับจ้องเรา”
ผีผาร้อง “อ้อ” เป็นเชิงรับรู้ แล้วยกน้ำชาขึ้นมาดื่ม แต่ยังครุ่นคิดอยู่ในใจ คุณหนู นี่ก็แค่การโกหกตนเองและหลอกลวงผู้อื่นเท่านั้น ในเมื่อท่านมีรูปโฉมเช่นนี้ ไม่ว่าจะสวมใส่เสื้อผ้าเช่นไรออกไปข้างนอก ก็ล้วนเป็นที่สะดุดตาผู้คนทั้งนั้น นอกเสียจากทำลายโฉมให้ยับเยินเท่านั้น
เวลานี้เนี่ยชิงหลวนก็พูดขึ้นอีก “ผีผา เจ้าดื่มน้ำเสร็จหรือยัง”
ผีผากลืนน้ำชาลงคอแล้วถามกลับ “คุณหนู ยังมีอะไรอีกหรือ”
“ไปสืบถามดูทีว่าหญิงสาวที่อยู่กับจั่วหลิงวันนี้เป็นใคร มีความสัมพันธ์อันใดกับจั่วหลิงกันแน่ ดีที่สุดต้องสืบมาให้หมดว่าบ้านนางมีคนอยู่กี่คน โคตรเหง้าวงศ์ตระกูลทำอะไรมาบ้าง”
ผีผาได้ฟังก็ดีใจ รู้สึกว่าในที่สุดคุณหนูของตนก็มีความอาจหาญขึ้นมาแล้ว จึงรีบไต่ถามอย่างกระตือรือร้น “คุณหนู ท่านคิดได้รอบคอบนัก อยากจะสำแดงบารมีของพระชายาจิ้นอ๋องให้นางรู้แล้วใช่หรือไม่ จะได้ไม่มาทำรุ่มร่ามกับท่านอ๋องของพวกเราอีก”
เนี่ยชิงหลวนกลับบอกเสียงอ่อยว่า “ข้าแค่อยากแน่ใจฐานะของนางเท่านั้น จะได้ไม่ทำเรื่องใดล่วงเกินจั่วหลิงโดยไม่ตั้งใจ หากถึงตอนนั้นแม้แต่ชีวิตน้อยๆ ของข้าก็ยังไม่แน่ว่าจะรักษาเอาไว้ได้”
ผีผาหมดคำพูดในทันใด
คุณหนู ท่านนี่ช่างขี้ขลาดจริงๆ
แต่ไหนแต่ไรมาผีผาเก่งกาจสามารถยิ่งนักในการนินทา ออกไปเดินเตร่เพียงครู่เดียว กลับมาแล้วก็เล่าเรื่องที่สืบทราบมาได้ให้เนี่ยชิงหลวนฟังอย่างคล่องปากเหมือนกำลังแจกแจงรายการทรัพย์สินของตนเอง
หญิงผู้นั้นมีนามว่าเจียงปั้นซย่า เป็นบุตรีเถ้าแก่ร้านหุยชุน พ่อลูกสกุลเจียงมีความสามารถเอกอุในทางการแพทย์ ทั้งยังมีใจเมตตาที่หาได้ยากยิ่งอย่างแท้จริง เห็นใครมีฐานะยากจนก็เข้าใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือพร้อมมอบยาให้รักษาตัว จึงมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในเมืองหล่ง แต่เพราะเมืองหล่งอยู่ห่างไกลถึงชายแดน ไม่มีหมอของทางราชสำนักคนใดอยากเดินทางมายังเมืองกันดารแสนลำเข็ญที่แม้แต่นกกาก็ยังไม่เฉียดกราย ในกองทัพจึงขาดแคลนหมอทหาร ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ เมื่อพ่อลูกสกุลเจียงเสนอตัวมาทำงานให้ จั่วหลิงย่อมต้องตอบรับตามสถานการณ์ที่เป็นไป
ที่วันนี้เจียงปั้นซย่ามาปรากฏตัวที่จวนอ๋อง ก็เพราะสองวันก่อนมีชาวหูบุกโจมตีเมือง องครักษ์คนหนึ่งของจั่วหลิงชื่อหวังซุ่นต้องธนูได้รับบาดเจ็บ เจียงปั้นซย่าจึงมารักษาแผลให้เขา
เนี่ยชิงหลวนได้ฟังจนจบ หัวคิ้วก็ขมวดมุ่น
ผีผายังคอยพูดอยู่ข้างๆ “คุณหนู ไม่ต้องกังวลไปเจ้าค่ะ ที่แท้เจียงปั้นซย่าผู้นั้นมิใช่มารหัวใจของท่าน เป็นเพียงหมอหญิงเท่านั้น”
เนี่ยชิงหลวนคิด ไม่ว่าเจียงปั้นซย่าจะเป็นหมอหญิงหรือเป็นอะไรก็ตาม ข้าล้วนไม่กังวล ที่กังวลที่สุดก็คือนางจะคิดว่าข้าเป็นมารหัวใจของนางต่างหาก
นางถอนหายใจ ตบบ่าผีผาแล้วว่า “เพื่อจะปกป้องชีวิตน้อยๆ นี้ ผีผา ต่อไปพวกเราอยู่ในเมืองหล่งต้องรู้จักหดหางเจียมเนื้อเจียมตัวเข้าไว้”
ผีผางุนงง “แต่คุณหนู ท่านเป็นพระชายาจิ้นอ๋องตัวจริงนะเจ้าคะ ในเมืองหล่ง นอกจากท่านอ๋องแล้ว ท่านเป็นใหญ่ที่สุด เหตุใดต้องหดหางด้วยเล่า”
เนี่ยชิงหลวนแหงนหน้ามองฟ้า อารมณ์ความรู้สึกจมดิ่งหนักอึ้งเสียยิ่งกว่าไปเคารพคนตายที่สุสานเสียอีก
แค่จั่วหลิงคนเดียวก็หนักหนาสาหัสพอดูแล้ว ไม่ต้องคิดถึงเจียงปั้นซย่าผู้มีชื่อเสียงโดดเด่นในเมืองหล่ง ที่สำคัญก็คือหากอาศัยสัมผัสที่หกของสตรีแล้ว นางรับรู้ได้ว่าความรู้สึกไม่เป็นมิตรของเจียงปั้นซย่าที่มีต่อนางนั้นมีไม่น้อยเลยทีเดียว
วันถัดมาเนี่ยชิงหลวนที่หดหางอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวก็สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เพิ่งซื้อ ออกจากจวนอ๋องพร้อมผีผา
เหตุผลที่นางออกนอกจวนอ๋องนั้นเรียบง่ายมาก จั่วหลิงยกห้องนอนของเขาให้นางแล้ว นางย่อมต้องตกแต่งห้องหับเสียใหม่ตามความชื่นชอบของตน
หลังจากหยิบจับข้าวของในหีบสินเดิมออกมาดู จึงพบว่านางยังไม่มีมุ้งกันยุง
ไม่ต้องพูดถึงยุง บัดนี้กระทั่งสุนัขในเมืองหล่งก็ยังยากจะรอดชีวิต แต่เนี่ยชิงหลวนเป็นคนระแวดระวังภัยอยู่เสมอ หลังมาถึงเมืองหล่ง นางยิ่งต้องการมุ้งสักหลังเป็นอย่างมาก
ยามหลับใหล หากได้มุ้งมาครอบ ก็ถือเป็นการคุ้มกันตัวนางจากโลกภายนอกได้อย่างแน่นหนา ช่วยให้รู้สึกสบายใจได้เปลาะหนึ่ง แม้จะเป็นการหลอกตนเองก็ตามที
หลังเนี่ยชิงหลวนเลือกมุ้งปักลวดลายนกแมลงและดอกไม้สีเขียวต้นหอมได้แล้ว ก็หนีบถุงเคลือบน้ำมันออกไปเดินเล่นตามท้องถนนกับผีผา
เมืองหล่งตั้งอยู่ในดินแดนพายัพ ลมเหมันต์พัดถี่ อากาศฟุ้งไปด้วยฝุ่นทราย ดังนั้นเมื่อเนี่ยชิงหลวนกับผีผาออกไปเดินข้างนอกจึงนำผ้ามาโพกปิดใบหน้าไว้อย่างแน่นหนา
เดินเล่นได้สักพักก็ถึงเวลากินอาหาร พวกนางตั้งใจว่าจะไม่กลับไปกินอาหารที่เค็มจัดที่จวน สองนายบ่าวจึงพร้อมใจพากันไปลิ้มลองอาหารแปลกใหม่นอกจวนดูบ้าง
ตอนที่ผีผาออกมาหาซื้อเสื้อผ้าข้างนอกเมื่อวานก็ได้เดินสำรวจดูบ้างแล้ว ถึงตอนนี้จึงเดินนำเนี่ยชิงหลวน สีหน้าราวกับจะบอกว่าดูสิข้าเป็นคนช่างสังเกตเพียงใด ซ้ำยังแสดงท่าทางภาคภูมิใจรอให้ชมพลางบอกว่านางเดินสำรวจมาแล้ว ที่นี่คือโรงเตี๊ยมชั้นเลิศของเมืองหล่ง
สองนายบ่าวย่างเท้าก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยม ดึงผ้าปิดหน้าออก ยกมือกวักเรียกเด็กรับใช้แล้วเริ่มสั่งอาหาร
เวลานี้เอง ณ มุมลับตาแห่งหนึ่งที่ชั้นบน จ้าวเสี่ยวเป่ยมองดูพวกนางแล้วหันไปพูดกับคนที่อยู่ข้างๆ “ท่านแม่ทัพ ข้าว่าพวกนางคงจะทนกินอาหารของเจิ้งปั๋วไม่ไหวเหมือนกัน จึงได้แล่นมาหาของกินแปลกใหม่ถึงที่โรงเตี๊ยมนี่”
บทที่ 14
คนที่นั่งอยู่ข้างๆ จ้าวเสี่ยวเป่ยย่อมต้องเป็นจั่วหลิง
แต่ในเมื่อจ้าวเสี่ยวเป่ยใช้คำว่า ‘เหมือนกัน’ นั่นย่อมบ่งบอกว่าเขาทั้งสองก็กินอาหารของเจิ้งปั๋วไม่ลงเช่นกัน ต้องแล่นมาหาของกินที่โรงเตี๊ยมนี้
นี่มิใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองมากินอาหารที่นี่ พูดเจาะจงลงไปก็คือทุกสี่ห้าวันจะต้องออกมาหาของกินข้างนอก
จ้าวเสี่ยวเป่ยเป็นบุตรชายแม่นมของจั่วหลิง ถ้าจะว่าไปแล้ว ดื่มจากเต้าเดียวกันย่อมมีสายสัมพันธ์พี่น้อง จะมองทางใดจ้าวเสี่ยวเป่ยก็นับเป็นน้องชายของจั่วหลิง ดังนั้นจั่วหลิงจึงปฏิบัติกับเขาค่อนข้างอ่อนโยน
พอจั่วหลิงได้ยินการคาดเดาของจ้าวเสี่ยวเป่ยแล้วก็ไม่พูดอะไร เพียงหันออกไปมองนอกหน้าต่างดังเดิมด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
อันที่จริงนอกหน้าต่างก็ไม่มีอะไรที่น่ามอง มีแต่ภาพหิมะปกคลุมพื้นดินจนขาวโพลนไปหมด
จ้าวเสี่ยวเป่ยชินเสียแล้วกับสีหน้าเฉยชาไร้อารมณ์เช่นนี้จึงไม่ได้สนใจ ยังคงลอบสังเกตการณ์เนี่ยชิงหลวนกับผีผาที่ชั้นล่างต่อไป
มุมที่เขากับจั่วหลิงเลือกมีทำเลที่ดีมาก สามารถกวาดตามองเห็นได้ทั่วชั้นล่าง แต่คนชั้นล่างจะมองไม่เห็นพวกเขา
เขาเห็นว่าเนี่ยชิงหลวนสั่งอาหารแล้ว กำลังดื่มชากับผีผาพลางพูดคุยเรื่องบางอย่างด้วยกัน
เวลานี้จ้าวเสี่ยวเป่ยกลับสงสัยใคร่รู้อย่างมาก จึงกวักมือเรียกเด็กรับใช้
เด็กรับใช้เอาผ้าเช็ดโต๊ะพาดบ่า เอามือแนบลำตัววิ่งมาหาแล้วถามอย่างนอบน้อมยิ่ง “ท่านจ้าวเรียกข้าน้อย มีอะไรหรือขอรับ”
จ้าวเสี่ยวเป่ยกับจั่วหลิงมากินอาหารที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้บ่อยๆ ดังนั้นตั้งแต่เถ้าแก่โรงเตี๊ยมจนถึงเด็กรับใช้ล้วนรู้จักทั้งสองเป็นอย่างดี
จ้าวเสี่ยวเป่ยชี้ไปที่เนี่ยชิงหลวนกับผีผาที่อยู่ข้างล่าง “แม่นางทั้งสองสั่งอาหารอะไรบ้าง”
เด็กรับใช้หันมองตามที่เขาชี้แล้วรีบบอกทันที “อ้อ แม่นางทั้งสองนั่นเอง พวกนางสั่งเนื้อวัวตุ๋น แป้งทอดห่อไส้เนื้อวัว เนื้อแพะผัดต้นหอม ซี่โครงแพะย่าง แล้วก็สั่งน้ำแกงเนื้อแพะใส่แป้งย่างมาคนละชาม อาหารพวกนี้สั่งเหมือนกันสองชุด ชุดหนึ่งกินที่นี่ อีกชุดห่อกลับขอรับ”
เมืองหล่งเลี้ยงวัวกับแพะไว้มาก ดังนั้นโรงเตี๊ยมจึงมีอาหารหลากหลายที่ทำจากเนื้อวัวและเนื้อแพะ
จ้าวเสี่ยวเป่ยกระตุกมุมปาก ในใจคิดว่าแม่นางทั้งสองไม่ได้กินเนื้อมานานแล้ว อาหารที่สั่งจึงล้วนมีเนื้อ ที่สำคัญก็คือพวกนางกินจุถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เวลานี้เองเด็กรับใช้ก็ถามขึ้นอย่างนอบน้อม “ท่านแม่ทัพ ท่านจ้าว มาคราวนี้พวกท่านจะสั่งอะไรกินขอรับ คงจะนึกได้แล้วกระมัง”
จ้าวเสี่ยวเป่ยไม่ได้ตอบ เพียงมองไปทางจั่วหลิง
จะอย่างไรจั่วหลิงก็เป็นถึงแม่ทัพ เขาย่อมต้องรอให้จั่วหลิงเป็นคนสั่งอาหาร
จั่วหลิงได้ยินแล้วก็ยังรักษาท่าทีเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทอดสายตามองออกไปยังผืนหิมะนอกหน้าต่าง เพียงหันใบหน้าด้านข้างอันคมคายให้พวกเขาทั้งสอง แล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา “เนื้อวัวตุ๋น แป้งทอดห่อไส้เนื้อวัว เนื้อแพะผัดต้นหอม ซี่โครงแพะย่าง น้ำแกงเนื้อแพะใส่แป้งย่าง”
จ้าวเสี่ยวเป่ยพลันเกิดคำถามขึ้นมาเต็มหัว
ท่านแม่ทัพคิดจะทำอะไร สั่งอาหารเช่นเดียวกับพวกเนี่ยชิงหลวนไม่ว่า ที่สำคัญคือแค่บอกตรงๆ ประโยคเดียวว่าสั่งเหมือนพวกนางก็ได้ไม่ใช่หรือ ไฉนต้องสั่งออกมาทีละอย่างๆ ด้วยเล่า
เด็กรับใช้ก็งุนงงเช่นกัน แต่ประการแรกเพราะเขาเคารพยำเกรงจั่วหลิง ประการต่อมาเพราะเกรงกลัวจั่วหลิงอยู่บ้าง จึงไม่ได้ถามอะไรทั้งสิ้น เพียงขานรับแล้วหันหลังกลับ ตรงไปยังห้องครัวเพื่อสั่งอาหาร
ทว่าจ้าวเสี่ยวเป่ยเป็นคนที่เก็บซ่อนอะไรไว้ในใจไม่ได้ ทนเงียบได้พักใหญ่ แต่สุดท้ายก็ยังอดไม่ไหวต้องถามขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ เหตุใดต้องสั่งอาหารเหมือนพวกนางด้วยเล่า”
ขณะเดียวกันก็แอบคิดในใจ หรือว่าท่านแม่ทัพเกิดถูกใจเนี่ยชิงหลวนผู้นี้เข้าให้แล้ว จะว่าไป อย่างไรเสียบัดนี้พวกเขาทั้งสองก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันอย่างชอบธรรม อีกอย่างเนี่ยชิงหลวนก็มีรูปโฉมงดงามออกปานนั้น ท่านแม่ทัพจะนึกรักแต่แรกพบก็เข้าใจได้ แต่ท่านแม่ทัพของพวกเราเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน ย่อมกระดากปากหากต้องเอ่ยออกมา จึงใช้วิธีการเช่นนี้เพื่อแสดงให้รู้ว่าสนใจเนี่ยชิงหลวน อืม จะต้องเป็นเช่นนี้แน่
ทางเขากำลังนึกวาดภาพไปไกลอย่างเพลิดเพลินยิ่ง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงที่ไร้ซึ่งความอบอุ่นแม้แต่น้อยของจั่วหลิงดังขึ้นข้างหู “ขี้เกียจคิด”
ทีแรกจ้าวเสี่ยวเป่ยนิ่งงัน ไม่เข้าใจว่าคำพูดห้วนสั้นนี้หมายความว่าอะไร สักพักพอได้สติ เขาก็ทำหน้าเอือมระอา
ท่านแม่ทัพช่างขี้เกียจอะไรเช่นนี้ แค่ให้คิดว่าจะกินอะไร จำเป็นด้วยหรือจะต้องสั่งอาหารเลียนแบบผู้อื่น แต่ที่สำคัญท่านทำเช่นนี้ คนอื่นอาจเข้าใจผิดได้ง่ายๆ เลยมิใช่หรือ
จ้าวเสี่ยวเป่ยรู้สึกว่าต่อให้เขากับจั่วหลิงจะเติบโตมาด้วยกัน แต่ก็ยังจับจุดไม่ได้เสียทีว่าจั่วหลิงเป็นคนเช่นไรกันแน่
ด้วยเหตุที่จั่วหลิงเป็นถึงแม่ทัพ เถ้าแก่โรงเตี๊ยมจึงไม่กล้าดูแลบกพร่อง ถึงแม้อาหารเหล่านี้พวกเนี่ยชิงหลวนจะสั่งก่อน พวกจั่วหลิงสั่งทีหลัง แต่สุดท้ายกลับยกอาหารมาให้พวกจั่วหลิงก่อน
จานแรกที่ยกมาคือเนื้อวัวตุ๋น เนื้อแพะผัดต้นหอม และน้ำแกงเนื้อแพะใส่แป้งย่าง
พอจั่วหลิงเห็นว่าอาหารมาแล้วจึงค่อยหันกลับมา ยื่นมือไปหยิบตะเกียบก้มหน้าก้มตากินไม่พูดไม่จา
ถ้าจะใช้คำพูดของจ้าวเสี่ยวเป่ยแล้ว แม่ทัพของเขาเป็นพวกหน้าตายถึงขั้นที่ตอนกินข้าวก็ยังทำสีหน้าไร้ความรู้สึก ดังนั้นอาหารเหล่านี้จะมีรสเค็มหรือจืด อร่อยล้ำหรือย่ำแย่ ล้วนไม่อาจคาดเดาจากสีหน้าของเขาได้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าถึงแม้เจิ้งปั๋วจะทำอาหารรสเค็มจัดสักเพียงใด แต่คนในจวนอ๋องก็ไม่กล้าปริปากบ่นแม้เพียงครึ่งประโยค
เมื่อใดท่านแม่ทัพกินอาหารที่เจิ้งปั๋วทำ ก็ไม่เคยแสดงสีหน้าเหลือจะกินออกมาให้ใครเห็นสักครั้ง แล้วพวกเขามีหรือจะกล้าบ่น
มีเพียงจ้าวเสี่ยวเป่ยที่รู้ว่าหลังจั่วหลิงกินอาหารของเจิ้งปั๋วแล้วถึงกับต้องดื่มน้ำอั่กๆ จากนั้นยังสั่งให้เขาออกไปซื้อขนมรสชาติหวานๆ มาให้อีกด้วย
ใช่แล้ว จั่วหลิงที่ผู้คนเอาไปเล่าลือกันว่าชอบทำหน้าเย็นชา ใจคอโหดเหี้ยม ยิงธนูมิเคยพลาดเป้า ฝ่ายเหล่าศัตรูเพียงได้ยินนามเรียกขานก็พากันครั่นคร้าม แท้จริงแล้วกลับเป็นผู้ชื่นชอบอาหารรสชาติหวานผู้หนึ่ง
จ้าวเสี่ยวเป่ยกินอาหารอย่างกระสับกระส่ายไม่เป็นสุข
ด้านหนึ่งเขากินไป อีกด้านยังต้องคอยสังเกตพวกเนี่ยชิงหลวนกับบ่าวและจั่วหลิงไปพร้อมๆ กัน
ตอนนี้เองก็เห็นเด็กรับใช้ยกอาหารไปให้พวกนาง เหมือนว่าจะเป็นเนื้อวัวตุ๋น เนื้อแพะผัดต้นหอม และน้ำแกงเนื้อแพะใส่แป้งย่าง
แป้งทอดห่อไส้เนื้อวัวนั้นต้องนวดแป้ง ทั้งยังต้องนำไปปิ้งบนเตา วิธีการปรุงซับซ้อนหลายขั้นตอน ส่วนซี่โครงแพะย่างยิ่งยุ่งยากกว่า ดังนั้นกับข้าวสองอย่างนี้กว่าจะยกมาขึ้นโต๊ะคงต้องเป็นอาหารจานหลักในชุดสุดท้ายแน่
เนี่ยชิงหลวนกับผีผาสองนายบ่าวหยิบตะเกียบขึ้นมาเริ่มกินแล้วเช่นกัน
อืม ท่าทางการกินของทั้งสองคนก็มิได้สุภาพเรียบร้อยสักเท่าใด หรือว่าหญิงสาวในเมืองหลวงก็ล้วนเป็นเช่นนี้
จ้าวเสี่ยวเป่ยกำลังแอบวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในใจ ทันใดนั้นก็เหลือบเห็นคนเดินเข้ามาทางประตูโรงเตี๊ยมจากหางตา
อันที่จริงไม่มีทางที่จะไม่สังเกตเห็น เพราะทั้งสองแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบพลทหาร
จ้าวเสี่ยวเป่ยเองก็ค่อยๆ ไต่เต้าจากตำแหน่งพลทหารขึ้นมาจนได้เป็นผู้บัญชาการทหารม้า ดังนั้นจึงใส่ใจต่อพวกพลทหารมากเป็นพิเศษ
เห็นพลทหารทั้งสองกวาดตามองไปรอบๆ โถงใหญ่ชั้นล่าง แล้วจู่ๆ ชายร่างท้วมในสองคนนั้นก็เอาศอกสะกิดเพื่อน ทำทีพยักพเยิดให้เขาหันไปมองเนี่ยชิงหลวน
ตอนนี้เองจ้าวเสี่ยวเป่ยใจเต้นตึกๆ มีลางสังหรณ์ว่าจะต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่
ในค่ายทหารล้วนมีแต่ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ขันแข็ง ทุกวันเลือดลมพลุ่งพล่านแต่ไร้หนทางปลดปล่อย หากไม่หาทางปลดปล่อยด้วยตนเองก็ต้องไปปลดปล่อยกับพวกเดียวกัน แต่ทำเช่นนี้บ่อยๆ ก็รู้สึกซ้ำซากน่าเบื่อ ดังนั้นจึงมีพลทหารส่วนหนึ่งที่ใช้เวลาผลัดเวรออกมาพักผ่อน เดินเที่ยวเตร่อยู่ข้างนอก
เมืองหล่งเองก็มีหอคณิกา มีเงินสักหน่อยก็ได้เสพสุขให้สบายตัว แต่มีพลทหารบางนายไม่อยากจ่าย ดังนั้นจึงต้องคิดหาวิธีการที่ต่ำช้าบางอย่าง
เมื่อก่อนเรื่องเช่นนี้เคยเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดของที่นี่ จั่วหลิงจึงลงโทษพลทหารที่ทำความผิดเช่นนี้อย่างไม่ออมมือ
ตัดหัวด้วยดาบเดียวนั้นถือว่าปรานี เพราะวิธีลงทัณฑ์ร้ายแรงอย่างการตัดเอวก็ล้วนเคยทำมาแล้ว
ถ้าจะใช้คำพูดแบบจั่วหลิงก็คือ ‘ทั้งเสื้อผ้าและอาหารของพวกเขาล้วนเป็นสิ่งที่ราษฎรมอบให้ ราษฎรจึงเป็นดั่งบิดามารดรที่เอื้อเฟื้อให้เสื้อผ้าและอาหาร พวกเขาเป็นทหาร ต่อสู้ฆ่าฟันและยอมอุทิศชีวิตก็เพื่อปกป้องคุ้มครองราษฎร เหตุใดกลายเป็นว่าราษฎรต้องมาถูกพวกเดียวกันเองกลั่นแกล้งรังแก มิใช่ถูกอริราชศัตรูข่มเหงฆ่าฟัน’ แต่ไหนแต่ไรมาเขาจึงจัดการทหารชั่วเยี่ยงนี้อย่างแข็งกร้าวไม่เคยออมมือ
แต่ถึงจะเชือดไก่ให้ลิงดูอย่างไร สุดท้ายก็ยังมีคนสารเลวพรรค์นี้แฝงตัวในหมู่ทหารอยู่ดี
จ้าวเสี่ยวเป่ยรู้สึกว่าพลทหารสองนายที่ชั้นล่างดูแล้วคงเป็นพวกสารเลวอย่างที่ว่ามา
พลทหารสองนายนั้นหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้กัน จากนั้นเดินไปนั่งร่วมโต๊ะกับเนี่ยชิงหลวนและผีผา
“คุณหนู” พลทหารร่างท้วมเผยยิ้มกว้างพลางนั่งลงข้างๆ เนี่ยชิงหลวน สีหน้ากรุ้มกริ่ม “เราสองพี่น้องขอร่วมโต๊ะกับเจ้าได้หรือไม่”
ตอนนั้นในห้องโถงใหญ่ชั้นล่างแม้จะมีคนมากินอาหาร แต่ก็ยังมีโต๊ะว่างอยู่สองสามโต๊ะ จึงไม่จำเป็นต้องละจากโต๊ะว่างๆ เพื่อแล่นมาขอร่วมโต๊ะกับผู้อื่น
เจตนาต่ำทรามของพลทหารทั้งสอง กระทั่งคนผ่านทางยังรับรู้ได้ แต่คนที่กินอาหารอยู่รอบๆ ล้วนเป็นชาวบ้านสามัญ จึงไม่กล้าทำอะไร
ผีผาเองก็ตกใจถึงกับมือไม้จับไม่มั่น จนตะเกียบหล่นลงบนโต๊ะ
“อ้าว” ทหารร่างผอมเห็นดังนั้นก็หัวเราะ “คุณหนูใหญ่ผู้นี้เป็นอะไรไปเล่า ไฉนถือตะเกียบไม่มั่นคง มาๆ พี่ชายจะช่วยเก็บตะเกียบให้เจ้า”
ว่าแล้วก็ยื่นมือไปคว้าตะเกียบ จากนั้นฉวยโอกาสที่ยื่นตะเกียบให้ผีผาบังอาจลูบมือของนาง
แม้ปกติเมื่ออยู่ต่อหน้าเนี่ยชิงหลวน ผีผามักชอบอวดเบ่งแยกเขี้ยวยิงฟันทำตัวเก่งกาจ แต่ตอนนี้นางตกใจจนหน้าซีด ไม่รู้จะขัดขืนอย่างไร
เห็นมือของพลทหารผอมลูบจับมือผีผา ตะเกียบคู่หนึ่งจึงยื่นมาจากด้านข้าง ตีผัวะใส่หลังมือเขาอย่างแรง
เจ้าทหารผอมหันไปมอง จึงเห็นว่าคนที่ใช้ตะเกียบตีมือเขาก็คือเนี่ยชิงหลวน
ตอนนี้ใบหน้าเนี่ยชิงหลวนยังคงยิ้มแย้ม น้ำเสียงไร้แววกรุ่นโกรธ “ทหารท่านนี้ ต้องขออภัยด้วย พวกเราไม่คุ้นเคยการร่วมโต๊ะกับผู้อื่น รบกวนท่านทั้งสองนั่งที่โต๊ะว่างด้านโน้นก็แล้วกัน”
ยามนางเผยยิ้มดูงดงามราวท้องฟ้าแจ่มกระจ่างหลังหิมะตก สดใสเจิดจ้าราวแสงตะวันก็ไม่ปาน จนเจ้าทหารผอมเกือบจะเลือดกำเดาไหล
เขาไม่ถือสาที่เนี่ยชิงหลวนตีหลังมือตนเองแม้แต่น้อย กลับเผยยิ้มโง่เง่าเลื่อนลอยออกมา แล้วยื่นมือไปหมายจะลูบไล้ใบหน้าของเนี่ยชิงหลวน
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มกราคม 65)
Comments
comments
No tags for this post.