X
    Categories: ซ่อนกลิ่นทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนกลิ่น บทที่ 1.1 – 1.2

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 1-1 อุบัติเหตุบนถนนในชนบท

เมื่อถึงยามเที่ยง ดวงตะวันเดือนแปดช่างร้อนระอุแผดเผาเหลือแสน

ในท้องนาอันกว้างใหญ่ คนที่กำลังสาละวนอยู่กับการทำนาบ้างก็เกาะกลุ่มกันเดินขึ้นมาบนคันนาเตรียมตัวจะกลับบ้านไปพักผ่อน บ้างก็งีบหลับกลางวันระยะเวลาสั้นๆ ใต้ต้นไม้ข้างผืนนา

ทว่าดรุณีน้อยเรือนกายผอมแห้งเล็กจ้อยผู้หนึ่งกลับยังคงถอนหญ้าอยู่บนคันนา หยาดเหงื่อร้อนๆ เปียกชุ่มไปทั่วเสื้อแขนสั้นที่เย็บปะชุนของนาง ใบหน้าผ่ายผอมปรากฏสีแดงเถือกอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เห็นได้ชัดว่าถูกแดดเผาเสียแล้ว

ยามนางเหยียดเอวขึ้นมาเล็กน้อยหมายจะพักผ่อนสักครู่หนึ่ง ก็ได้ยินหญิงชราซึ่งอยู่ใต้ร่มไม้ข้างๆ คันนาเอ่ยขึ้นอย่างดุร้ายว่า “เผลอประเดี๋ยวเดียวเจ้าก็แอบอู้เสียแล้ว! ดีแต่กินล้างกินผลาญไปวันๆ ต่อให้ที่บ้านมีภูเขาทองคำก็คงถูกนางสารเลวอย่างเจ้าล้างผลาญไปจนหมด! หากวันนี้เจ้าไม่เก็บเกี่ยวนาหมู่* นี้ให้เรียบร้อย แม้แต่น้ำข้าวก็ไม่มีให้เจ้าดื่ม!”

หญิงชราที่ตะโกนพูดคือหวังเฉี่ยวภรรยาของเซวียเซิ่งช่างเหล็กในท้องที่ สตรีผู้นี้เป็นคนปากคอเราะรายจนเป็นที่เลื่องลือไปทั้งหมู่บ้าน ยามอยู่ในบ้านมีอำนาจบาตรใหญ่พูดคำใดก็ไม่มีใครกล้าขัด มักจะปะทะฝีปากกับคนบ้านใกล้เรือนเคียงเป็นประจำ แต่ไม่เคยตกเป็นรองเลยสักครั้ง

ทว่าน่าเสียดายที่บุตรชายซึ่งหวังเฉี่ยวให้กำเนิดออกมาอย่างยากลำบากกลับมีโรคสติปัญญาอ่อนด้อยติดตัวมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา อีกทั้งรูปร่างยังอ้วนเผละ นางรู้สึกอับอายขายหน้าผู้อื่น นิสัยใจคอจึงยิ่งร้ายกาจมากกว่าเดิม บัดนี้เซวียต้าเป่าบุตรชายของนางก็อายุสิบหกปีแล้ว การมีทายาทสืบทอดสกุลจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก

หวังเฉี่ยวเป็นคนหัวสูง ไม่ยอมให้บุตรชายตนเองแต่งหญิงสาวพิกลพิการเป็นภรรยา แต่บุตรสาวครอบครัวชาวไร่ชาวนาทั่วไปก็ไม่มีใครยินดีแต่งกับบุตรชายสติปัญญาอ่อนด้อยของนาง ส่วนครอบครัวตกอับที่ยากจนข้นแค้นเสียจนต้องขายบุตรสาว นางก็ไม่ถูกใจอีก

หลังจากสองครอบครัวเกี่ยวดองกันแล้ว หากลูกสะใภ้ผู้นั้นวันๆ เอาแต่คิดหาวิธีส่งเงินทองจุนเจือบ้านเดิมของตนเอง เช่นนั้นสกุลเซวียมิเท่ากับถูกหนูเจาะถังข้าวสารหรอกหรือ เมื่อคิดดังนี้แล้ว นางสู้ซื้อคนมาจากพ่อค้ามนุษย์ยังดีเสียกว่า หาเด็กสาวที่ไม่มีครอบครัวมาสักคน เลี้ยงเอาไว้ในบ้านตั้งแต่เด็กๆ จะได้ป้องกันมิให้ภายภาคหน้าคิดเอาใจออกหากอีกด้วย

หวังเฉี่ยวเปลืองเรี่ยวแรงไปกับเรื่องการแต่งงานของบุตรชายจนแทบล้มประดาตาย สุดท้ายก็ไหว้วานญาติห่างๆ ของตนให้ซื้อดรุณีน้อยอายุสิบเอ็ดสิบสองจากพ่อค้ามนุษย์ที่รู้จักกันมาคนหนึ่ง

ได้ยินว่านางหนูตัวน้อยผู้นี้ถูกขายต่อมาสามสี่ครั้งแล้ว แม้แต่พ่อค้ามนุษย์ที่ขายนางก็บอกไม่ได้แน่ชัดว่าบ้านเก่าของนางอยู่ที่ใดกันแน่

แม้ว่านางหนูน้อยจะผอมแห้งไปเสียหน่อย แต่มีแขนมีขาครบถ้วนสมบูรณ์ ซื้อกลับมาบ้านก็ถือว่าเป็นแรงงานชั้นดี เครื่องหน้าของนางก็งามละเอียดลออยิ่ง ทว่าน่าเสียดาย ที่มาที่ไปของนางไม่ถูกทำนองคลองธรรม ได้ยินว่าถูกลักพาตัวมา ไม่มีสัญญาขายตัวอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงไม่สามารถเข้าไปเป็นสาวใช้ในตระกูลใหญ่ๆ ได้ เดิมทีมีแต่ต้องขายดรุณีผู้นี้ไปยังสถานที่อโคจรเท่านั้น แต่ว่ากลับถูกใจหวังเฉี่ยวเข้า

เนื่องจากแม่นางน้อยหน้าตางดงามน่ามอง ค่าตัวจึงแพงกว่าปกติ แต่พอหวังเฉี่ยวนึกถึงสารรูปอัปลักษณ์ของบุตรชายตนเอง ก็อยากจะให้หลานเกิดมารูปโฉมงดงามขึ้นเสียหน่อย ดังนั้นถึงจะแพงไปนิดก็ต้องจำใจยอมรับ

เซวียเซิ่งสามีของหวังเฉี่ยวเป็นช่างเหล็กที่ฝีมือไม่เลวจึงพอจะหาเงินได้บ้าง ในเมื่อหวังเฉี่ยวผู้นั้นจ่ายเงินให้มากพอ พ่อค้ามนุษย์จึงยินดีจะขายให้เช่นกัน

สกุลเซวียจึงนับว่ามีสะใภ้เด็ก* ด้วยประการฉะนี้ หวังเฉี่ยวถามชื่อเสียงเรียงนามของแม่นางน้อย แม่นางน้อยบอกว่าตนเองถูกลักพาตัวมาตั้งแต่เยาว์วัย กระทั่งชื่อก็จำไม่ได้แล้ว ดังนั้นหวังเฉี่ยวจึงเอาความสะดวกสบายเป็นที่ตั้ง เอาแต่เรียกนางว่า ‘นางหนู’ วางแผนว่าต่อไปพอเข้าห้องหอกับต้าเป่าแล้วค่อยเรียกว่า ‘คนในเรือนต้าเป่า’

แม้นางหนูจะอายุยังน้อย ยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานกับเซวียต้าเป่าอย่างเป็นทางการ แต่หวังเฉี่ยวกลับแสดงความเป็นแม่สามีออกมาอย่างเต็มที่ ยามมีเรื่องไม่สบอารมณ์อันใดก็จะมาลงกับนางหนูผู้นี้

ยามนี้ก็เช่นนี้เดียวกัน วันนี้หวังเฉี่ยวทะเลาะกับเซวียเซิ่ง จึงระบายโทสะกับสะใภ้เด็กตัวน้อยที่บ้าน ให้นางทำงานกลางแดดร้อนจัด

ชาวบ้านที่อยู่ด้านข้างมองเห็นแม่นางน้อยเหนื่อยล้าจนโซซัดโซเซจะล้มแหล่มิล้มแหล่อยู่ในนาก็พากันทอดถอนใจบ่อยครั้งเช่นกัน เอ่ยเสียงต่ำเบาว่า “เวรกรรมจริงๆ” ถ้าหากนี่เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของตนเอง ไหนเลยจะยอมปล่อยให้ผู้อื่นทรมาทรกรรมเช่นนี้ได้

แต่ก็ติดที่อีกฝ่ายเป็นหวังเฉี่ยว ใครก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งไม่เข้าเรื่อง ทำได้เพียงมองดูแม่นางน้อยใช้แรงงานอยู่บนคันนาอย่างเงียบๆ

น้ำข้าวที่นางดื่มมาเมื่อเช้านี้มีแต่น้ำไม่มีเนื้อ มิหนำซ้ำตั้งแต่เมื่อเช้านี้ก็ยังมิได้ดื่มน้ำเลยสักนิดมาเป็นเวลานาน ในที่สุดเมื่อนางทำนาเสร็จแล้วเดินมายังบนถนนซึ่งใช้สำหรับขับเกวียนขนส่งพืชพันธุ์ธัญญาหาร ฝ่าเท้าของนางหนูกลับซวนเซ ล้มคะมำลงไปกับพื้นถนน

ช่างบังเอิญยิ่งนัก ยามนี้ในบริเวณซึ่งห่างออกไปไม่ไกลมีอาชาพันธุ์ดีสามตัวควบตะบึงเข้ามาพอดิบพอดี

ถนนสายนี้หาใช่ทางหลวงไม่ น้อยยิ่งที่จะมีรถม้าของคนต่างถิ่นขับผ่าน ทว่าอาชาพันธุ์ดีสามตัวที่วิ่งเข้ามากลับถูกคนบนหลังตวัดแส้ควบอาชามาตลอดทาง ไม่มีทีท่าจะควบคุมความเร็วเลยแม้แต่น้อย จู่ๆ นางหนูน้อยก็ล้มขวางอยู่กลางถนน ชวนให้คนรับมือไม่ทันจริงๆ เหล่าคนที่อยู่อีกด้านพากันส่งเสียงหวีดร้อง แม้แต่หวังเฉี่ยวซึ่งกินขนมดื่มน้ำแกงอยู่ใต้เงาร่มไม้ก็ยังลุกขึ้นยืนร้องเสียงหลง กลัวว่าเงินสิบตำลึงที่ตนเองเอาไปซื้อคนมาจะหายวับไปกับตา

ครั้นเห็นว่ากีบเท้าม้ากำลังจะเหยียบลงบนร่างคน เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ซึ่งขี่อยู่บนหลังอาชาก็กระตุกเชือกบังเหียนอย่างรุนแรง พร้อมกันนั้นก็ใช้ศีรษะอาชาของตนเองกระแทกใส่อาชาพันธุ์ดีซึ่งอยู่ข้างๆ ทำให้อาชาของสหายเบี่ยงไปอีกทางหนึ่ง หลบหลีกแม่นางน้อยที่ล้มฟุบอยู่บนพื้นไปได้อย่างหวุดหวิด

อาชาที่ตามอยู่ด้านหลังถือโอกาสหยุดลงเช่นเดียวกัน เด็กชายซึ่งแต่งกายในชุดเด็กรับใช้ผู้หนึ่งพลิกกายลงจากหลังม้าอย่างฉับไวแล้ววิ่งมาด้านหน้าเพื่อเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่หยุดอาชาผู้นั้นเป็นอันดับแรก “คุณชายสี่ ท่านไม่เป็นอะไรนะขอรับ”

นัยน์ตาสีดำของเด็กหนุ่มผู้นั้นทะมึนลงเล็กน้อย เอ่ยออกคำสั่งว่า “ชิงเยี่ยน ไปดูซิว่าแม่นางน้อยผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง”

เมื่อชิงเยี่ยนได้ยินคำสั่งของคุณชายก็รีบร้อนเดินปรี่เข้าไป เขาก้มหน้ามองดูแม่นางน้อย “นี่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่”

อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้า บนใบหน้าดวงน้อยเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นธุลี ดูราวกับใกล้จะหมดลมหายใจ

ไม่รอให้นางได้ทันเอ่ยพูด หวังเฉี่ยวก็ไล่ตามมาด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดดุร้าย ตะโกนเสียงดังลั่น “อันธพาลจากที่ใดกัน ชนสะใภ้บ้านข้าจนบาดเจ็บ ถ้าไม่ชดใช้เงินก็อย่าคิดว่าจะ…”

หวังเฉี่ยวเพิ่งจะตะโกนไปได้ครึ่งเดียว สุ้มเสียงก็หยุดชะงักลงฉับพลัน เพราะว่านางมองเห็นเด็กหนุ่มรูปโฉมหล่อเหลาเหนือสามัญที่อยู่บนหลังอาชาชัดเต็มสองตา

เกรงว่านี่คงจะเป็นเทพเซียนที่ออกจากภาพวาดกระมัง บุตรชายบ้านใดหน้าตาหล่อเหลาหมดจดปานนี้หนอ

พอชิงเยี่ยนได้ยินคำตะโกนโหวกเหวกของหวังเฉี่ยว ในใจกลับไม่ชอบใจนัก…

คุณชายเจอพวกต้มตุ๋นเข้าเสียแล้ว!

เขามักจะได้ยินว่าในแถบบ้านนอกมีคนจงใจไล่สุนัขผอมหมูป่วยของตนเองมาเดินบนทางหลวงที่รถม้าสัญจรไปมาบ่อยๆ ถ้าหากถูกคนชนตายก็จะเรียกคนกลุ่มใหญ่มาขวางทาง กระชากอาชา รีดไถเงินก้อนใหญ่แล้วถึงจะยอมปล่อยตัวไป

เขานึกไม่ถึงว่าบนถนนสายเล็กๆ ในบ้านนอกคอกนาเช่นนี้จะมีคนทำอาชีพอย่างนี้ด้วย ทั้งยังใช้ชีวิตคนมารีดไถเงินอีก! ถ้าหากเมื่อครู่นี้คุณชายดึงเชือกบังเหียนหยุดอาชาไม่ทัน แม่นางน้อยผู้นี้ไม่ตายอนาถคากีบเท้าอาชาหรอกหรือ คราวนี้คุณชายเจอปัญหาใหญ่เสียแล้ว!

ครั้นชิงเยี่ยนนึกถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็ย่ำแย่ขึ้นมาทันใด เขาเอ่ยด้วยสีหน้าโมโหกราดเกรี้ยวว่า “สะใภ้ของเจ้ากระโจนมาบนถนนเอง บัดนี้บนร่างนางไม่มีแม้แต่รอยกีบเท้าม้าด้วยซ้ำ ไยพวกเราต้องชดใช้เงินด้วย”

หวังเฉี่ยวถูกถามจนนิ่งอึ้งไป แต่เมื่อเห็นเด็กหนุ่มบนหลังอาชาสวมใส่อาภรณ์สวยงามหรูหรา ดูท่าทางปวกเปียกรังแกง่าย ถ้าหากไม่เรียกเอาเงินสักก้อนคงน่าเสียดายแย่มิใช่หรือ

น่าโมโหนักที่นางหนูนี่ไม่ล้มไปบนกลางถนน ถ้าหากถูกย่ำสักสองสามทีก็จะได้เรียกค่าเสียหายเป็นค่าหมอค่ายาก้อนโต!

พอคิดถึงตรงนี้นางก็ใช้สองมือเท้าสะเอวแล้วงัดท่าทีวางอำนาจไม่ยอมใครเฉกเช่นยามอยู่ในเรือนของตนเองออกมา นางยืนขวางกลางถนนพร้อมเอ่ย “ข้าไม่สน เจ้าดูสิ นางทึ่มทื่อจนพูดไม่ออกแล้ว เพราะถูกม้าของพวกเจ้าทำให้ตกใจเสียขวัญอย่างไรเล่า! ถ้าพวกเจ้าไม่จ่ายค่าหยูกยามาก็อย่าคิดจะไปที่ใดเลย!”

เมื่อได้ยินวาจานี้ เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาหมดจดผู้นั้นก็มองดวงตะวันบนท้องนภาครู่หนึ่งอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ท่าทางเหมือนร้อนใจอยากจะรีบเดินทาง จึงเอ่ยกำชับสั่งอย่างเฉยชาว่า “ชิงเยี่ยน ยกถุงเหอเปา* ของเจ้าให้นางเสีย”

พอชิงเยี่ยนได้ยินคำสั่งจากผู้เป็นนายก็ไม่กล้าขัดขืน ปลดถุงเหอเปาตรงข้างเอวออกแล้วโยนให้อีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก หวังเฉี่ยวรับเอามาก็รู้สึกว่ามือหนักอึ้งในทันที ในถุงเหอเปาใบนั้นคงจะมีเงินมากถึงสองตำลึง นางเปิดออกดู และแล้วก็พบว่าเป็นก้อนเงินสีขาววาววับจริงๆ

เด็กดีๆ บุตรชายตระกูลเศรษฐีนี่ช่างมือเติบเสียจริงๆ!

ในใจนางพลันยินดีปรีดา ขณะที่กำลังจะรับเงินเอาไว้นั้น นางหนูซึ่งลุกขึ้นมานั่งอย่างช้าๆ ก็ได้สติกลับมา นางมองสำรวจตัวอักษรที่แกะสลักอยู่บนกระดิ่งบนลำคออาชา ต่อมาก็มองเด็กหนุ่มผู้มีบุคลิกไม่ธรรมดาผู้นั้นเล็กน้อย ฟังพวกเขาถกเถียงกันอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เปิดปากเอ่ยด้วยสุ้มเสียงแผ่วเบาว่า “แม่สามี ตอนข้าซักผ้าอยู่ในเรือน ได้ยินอาจารย์ของสำนักวิชาที่อยู่ข้างบ้านเล่าประวัติศาสตร์ชนบทตอนที่กำลังสอนหนังสือ

บทที่ 1-2 อุบัติเหตุบนถนนในชนบท

ถนนชนบทสายนี้เป็นถนนที่ฮ่องเต้เกาจู่เสด็จผ่านเมื่อครั้งออกตรวจราชการ ฝ่าบาททรงสวมใส่ฉลองพระองค์เยี่ยงสามัญชน เผลอขี่อาชาเหยียบย่ำต้นกล้าในแถบชนบทเข้า จึงถูกชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวขวางทางเอาไว้ พระองค์ท่านมิได้โยนเงินให้จบเรื่องไป แต่กลับโทษตัวพระองค์เองที่ไม่เข้าใจถึงความยากลำบากของราษฎรในชนบท ด้วยเหตุนี้พอลงมาจากหลังอาชาจึงชักดาบสังหารอาชาเป็นการชดใช้ความผิด ในขณะเดียวกันก็ทรงประกาศพระราชโองการว่าผู้ใดที่ควบอาชาตามคันนาในเขตชนบท จะต้องถูกโบยสี่สิบไม้เป็นการลงโทษ…คุณชายยอมจ่ายเงินมากมายเพียงนี้ แสดงว่าคุณชายเองก็รู้ว่าตนเองก่อปัญหาใหญ่เข้าแล้ว ท่าน…ก็รับไว้เถิด อย่าทำให้พวกเขาลำบากใจอีกเลย”

แม้นางจะเอ่ยถ้อยคำนี้อย่างอ่อนระโหยโรยแรง ฟังดูเหมือนคำพูดเปี่ยมเมตตาช่วยเอ่ยโน้มน้าว แต่หลังจากหวังเฉี่ยวได้ยินเข้าก็เข้าใจกระจ่างแจ้งขึ้นมาโดยพลัน คิดว่าในที่สุดตนเองก็จับจุดอ่อนของผู้มาเยือนได้แล้ว จะถูกแกะตัวอวบอ้วนใช้เงินแค่สองตำลึงไล่ให้พ้นทางไม่ได้เด็ดขาด!

พอคิดถึงตรงนี้นางก็ร้องโวยวายขึ้นมาทันที “กะอีเงินแค่นี้ พวกเจ้าคิดว่ากำลังให้เงินไล่ขอทานหรืออย่างไร! ถ้าหากวันนี้พวกเจ้าไม่ให้ความเป็นธรรม ข้าก็จะลากพวกเจ้าไปหานายอำเภอ!”

สุ้มเสียงของนางไม่ดัง แต่ว่านายบ่าวที่อยู่ตรงข้ามล้วนได้ยินกันหมด คุณชายสี่ผู้นั้นขมวดคิ้วนิดๆ ดูเหมือนไม่คาดคิดว่าสตรีบ้านนอกหนึ่งแก่หนึ่งเด็กทั้งสองคนจะก่อกวนปั่นป่วนถึงเพียงนี้

เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ชิงเยี่ยนก็โมโหจนแทบระเบิด พวกนางรังเกียจว่าคุณชายให้เงินน้อยไป เลยคิดจะลากพวกตนไปหานายอำเภออย่างนั้นหรือ

ทว่าพอคุณชายชุดดำหน้าตาหล่อเหลาองอาจซึ่งอยู่ข้างๆ คุณชายสี่ได้ยินก็หัวเราะพรืดออกมา เบ้ปากพลางเอ่ย “พวกเจ้าสองคนแม่ผัวลูกสะใภ้จะลากพวกเราไปหานายอำเภอได้อย่างไร พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร ถ้าหากไปหานายอำเภอจริงๆ เกรงว่าจะเป็นพวกเจ้านั่นล่ะที่จะซวย”

แม่นางน้อยลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างเชื่องช้า ใช้แขนเสื้อที่ครูดกับพื้นจนขาดเช็ดเศษฝุ่นธุลีบนใบหน้าออกเล็กน้อย ยืนอยู่ด้านหลังหวังเฉี่ยวอย่างกล้าๆ กลัวๆ เอ่ยเสียงแผ่วกับหวังเฉี่ยวว่า “แม่สามี สองท่านนี้ดูแล้วก็รู้ว่าเป็นผู้มีวิชาความรู้ที่จะสอบเข้ารับใช้ราชสำนัก อาจารย์ที่อยู่บ้านข้างๆ บอกว่าบัณฑิตผู้แสวงหาลาภยศชื่อเสียงล้วนมิอาจประพฤติตนด่างพร้อย ถ้าหากท่านยืนยันจะฟ้องร้องพวกเขาให้ได้ มิเท่ากับเป็นการทำลายอนาคตของพวกเขาหรอกหรือ อีกอย่างชาวบ้านตาดำๆ ในบ้านนอกคอกนาอย่างพวกเราแต่ละวันก็ยุ่งวุ่นกับงานในไร่ในนาจนปลีกตัวไม่ได้อยู่แล้ว ไหนเลยจะมีเวลาไปพบนายอำเภอได้…ท่านกับพ่อสามีอยากจะได้งานที่ศาลบรรพชนสกุลเฉิงมาตลอดเลยมิใช่หรือ ดูแล้วทั้งสองท่านคงจะเป็นผู้สูงศักดิ์จากที่นั่น ท่าทางรีบเร่งเดินทางเช่นนี้ คงจะมีค่าเดินทางไม่มาก…มิสู้ลองถามพวกเขาดูว่าจะช่วยออกหน้าพูดให้พ่อสามีกับท่านได้งานซ่อมแซมศาลบรรพชนของสกุลเฉิงหน่อยได้หรือไม่ เช่นนี้ทั้งไม่เสียน้ำใจ ทั้งช่วยให้ชื่อเสียงของคุณชายไม่มัวหมองได้ด้วยมิใช่หรือ”

ครั้นหวังเฉี่ยวได้ยินก็มองสำรวจป้ายจวนซึ่งห้อยอยู่กับอาชาของพวกเขาด้วยดวงตาแวววาวเป็นประกาย

นั่นมันอักษรคำว่า ‘เฉิง’ ตัวโตๆ เลยมิใช่หรือไร

เทวดาฟ้าดินพระโพธิสัตว์เจ้าขา ข้าไม่มีปัญญาไปล่วงเกินสกุลเฉิงหรอกนะเจ้าคะ!

นางตกใจจนรีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยใบหน้ายิ้มประจบประแจง พูดโพล่งออกมาทันทีด้วยท่าทางพินอบพิเทาว่าเมื่อครู่นี้เพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น แต่นางก็บอกกล่าวอย่างไม่ยอมตัดใจว่าหากคุณชายทั้งสองท่านมีเมตตาปรานี ช่วยให้นางกับสามีได้งานในศาลบรรพชนที่กำลังสร้างอยู่สักงาน พวกนางทุกคนในครอบครัวจะซาบซึ้งสำนึกในบุญคุณยิ่ง ไม่กล้าแพร่งพรายความผิดของพวกคุณชายออกไปแม้แต่น้อยนิดแน่นอน

ทว่าครั้นคุณชายชุดดำผู้นั้นได้ยินคำพูดนี้ก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังก้อง ก่อนจะหันหน้าไปหาเด็กหนุ่มชุดขาวที่อยู่ข้างกาย “เทียนฟู่ ดูออกหรือยัง พวกนางจงใจวางแผนมาดักเจ้า บ้านเดิมเจ้านี่ช่างเต็มไปด้วยผู้เก่งกล้าสามารถเสียจริงๆ ถึงกับมีหญิงชราบ้านนอกพรรค์นี้มาข่มขู่ดักปล้นเจ้า!”

ในดวงตาเรียวยาวของเด็กหนุ่มชุดขาวเอ่อล้นด้วยประกายเย็นเยียบ เขาเดินผ่านหญิงชราที่กำลังยิ้มประจบผู้นั้นไป จากนั้นก็มองประเมินนางหนูตัวน้อยที่พูดจาเสียงเบาหวิวราวกับยุงผู้นั้น

เขามองดูอยู่เฉยๆ จนเห็นกระจ่างชัด อย่าเห็นแค่ว่าหญิงชราผู้นั้นโวยวายใหญ่โต นางหนูตัวน้อยผู้นี้ต่างหากที่เป็นคนยุยงส่งเสริมอยู่เบื้องหลัง หากนางไม่พูดเรื่องอาจารย์สอนหนังสือเล่าประวัติศาสตร์อันใดนั่นขึ้นมา เดิมทีหญิงชราผู้นั้นก็คงรับเงินแล้วปล่อยพวกเขาไปแล้ว…

ประจวบเหมาะกับที่นางหนูตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย เผยหน้าผากและเครื่องหน้าออกมาท่ามกลางเส้นผมยุ่งเหยิง สายตาของนางสบเข้ากับสายตาของคุณชายสี่พอดี นางจึงก้มหน้าต่ำด้วยความขลาดกลัวทันที ท่าทางหวาดกลัวไม่กล้าสู้หน้าคน

แต่แค่ชั่วขณะนั้นก็เพียงพอจะทำให้เด็กหนุ่มเห็นใบหน้าของนางชัดเต็มสองตา เด็กหนุ่มจึงผงะอึ้งไปเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่

ยามคุณชายชุดดำผู้นั้นกำลังจะอ้าปากสั่งสอนหญิงชราดื้อด้านที่ไม่รู้จักพอนั้น คุณชายสี่กลับเอ่ยปากขึ้นว่า “ชิงเยี่ยน บอกพ่อบ้านที่คฤหาสน์เก่าว่าให้มอบงานแก่หญิงชราผู้นี้สักงาน”

แม้ชิงเยี่ยนจะไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่กล้าหน่วงรั้งจนคุณชายไม่ได้เดินทางต่อ ด้วยเหตุนี้จึงควักป้ายห้อยเอวชิ้นหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อแล้วโยนลงบนพื้นให้แม่ผัวลูกสะใภ้นั้น ก่อนจะเอ่ยแค่นเสียงเย็นชาว่า “ถือป้ายนี้ไปหาเฉิงฝูพ่อบ้านที่คฤหาสน์เก่าของสกุลเฉิง เขาจะให้งานพวกเจ้าเอง”

ยามนี้เองก็เริ่มมีชาวบ้านจดจำป้ายจวนบนอาชาของพวกเขาได้แล้ว จึงต่างพากันพูดคุยกระซิบกระซาบ

หวังเฉี่ยวไม่มีเวลามาเก็บป้ายห้อยเอวที่ถูกโยนลงบนพื้น นางรีบกระชากหูนางหนูหลบไปอยู่ข้างทาง จากนั้นก็น้อมส่งอาชาสามตัววิ่งห้อเหยียดออกไปด้วยใบหน้ายิ้มสู้

กระทั่งอาชาจากไปแล้ว หวังเฉี่ยวผู้นั้นถึงค่อยบีบใบหน้าของนางหนูอย่างทารุณพลางเอ่ย “นางเด็กบ้า ปกติไม่พูดไม่จา ขนาดไม้สามท่อนฟาดก็ยังไม่มีเสียงผายลมออกมาสักเสียง แล้วเหตุใดวันนี้ถึงได้พูดมากนักนะ ทำข้าเกือบจะล่วงเกินคนสกุลเฉิงเข้าแล้ว เจ้าอยากจะให้สกุลเซวียเก่าแก่ของพวกเราสิ้นตระกูลหรือไร”

นางหนูน้อยก้มหน้างุดปล่อยให้หวังเฉี่ยวดุด่าตบตี รอจนนางหยุดปากแล้วถึงค่อยเอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “เมื่อวานแม่สามีคุยเล่นกับคนอื่นที่ข้างบ่อน้ำก็ได้ยินว่าคุณชายสกุลเฉิงจะกลับเมืองหลวงแล้วมิใช่หรือ คนสูงศักดิ์พรรค์นั้นมิใช่ว่าจะกลับมาทุกปีเสียหน่อย ถึงต่อให้กลับมา แต่ไหนเลยจะจดจำพวกเราได้ ทว่างานที่เงินดีอย่างการซ่อมแซมศาลบรรพชนสกุลเฉิงมิใช่ว่าจะมีได้ทุกปี แม่สามีอย่าลืมเก็บป้ายเอาไปลองดูเล่า ถ้าหากได้งานแล้ว ข้า…ก็จะมีชุดใหม่ด้วยใช่หรือไม่”

ยามเอ่ยวาจานี้ นางหนูน้อยก็ดึงเสื้อผ้าขาดวิ่นบนร่างกายของตน ท่าทางเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังอย่างยิ่ง

หวังเฉี่ยวคิดว่านางหนูน้อยพูดจามีเหตุผล ยามนี้จึงหยิบป้ายที่อยู่บนพื้นขึ้นมา พินิจมองป้ายด้วยความปลาบปลื้มยินดี อักษร ‘เฉิง’ ที่เคลือบทองอยู่บนป้ายเห็นแล้วชวนให้คนคันยุบยิบในใจจริงๆ

พอนึกถึงว่าบุรุษจากหมู่บ้านข้างๆ ที่ได้งานในสกุลเฉิงได้รับค่าจ้างครึ่งตำลึงทองกลับมาทุกเดือนๆ หวังเฉี่ยวก็ไม่อยากชักช้ารั้งรอ ไม่มีเวลามามัวสั่งสอนสะใภ้เด็ก รีบสั่งให้นางขึ้นเกวียนแล้วมุ่งหน้ากลับเรือนของตนเองโดยเร็ว

คุณชายสี่ที่ควบอาชาออกไปกลับหันไปมองแม่นางน้อยซึ่งนั่งอยู่บนเกวียนเล่มนั้นอีกหลายครา

ชิงเยี่ยนเห็นสายตาของคุณชายสี่จึงเอ่ยอย่างรู้ซึ้งว่า “คุณชายสี่ หากท่านรู้สึกอัดอั้นคับแค้นใจ ประเดี๋ยวข้าจะรีบใช้ทางลัดกลับไปที่คฤหาสน์เก่า บอกให้พ่อบ้านเล่นงานสตรีดื้อด้านผู้นี้ให้หนักๆ!”

คุณชายสี่หันหน้ากลับมา เอ่ยอย่างเรียบเฉย “ไม่ต้องหรอก เจ้าไปพร้อมกับข้า”

คุณชายชุดดำหันไปเอ่ยถาม “เทียนฟู่ เจ้าไปที่นั่นเพื่ออันใดกัน ท่านลุงเจ้ากำลังเร่งให้เจ้ากลับไปมิใช่หรือ”

คุณชายสี่กลับไม่อยากอธิบาย เอ่ยเพียงแค่ว่า “ขอซื่อจื่อ* เดินทางนำไปก่อนเถิด ผู้น้อยจะตามไปทีหลัง”

“…”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: